โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

เดือน: พฤษภาคม 2023

“ผู้กองมาร์ค”เชื่อมั่นว่า ปชช.ให้โอกาสผู้แทนฯที่ลงพื้นที่และทำงานจริง วอน 14 พ.ค.นี้ เข้าคูหา ตัดสินใจเลือกจากหัวใจและสายตา

,

“ผู้กองมาร์ค”เชื่อมั่นว่า ปชช.ให้โอกาสผู้แทนฯที่ลงพื้นที่และทำงานจริง วอน 14 พ.ค.นี้ เข้าคูหา ตัดสินใจเลือกจากหัวใจและสายตา

13 พ.ค. 2566 / ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช ผู้สมัคร ส.ส.เขตบางซื่อ – ดุสิต กทม.หมายเลข 12 พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยก่อนวันเลือกตั้ง 14 พ.ค.ว่า ตนความมั่นใจในคะแนนเสียงของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพราะตนทำงานในเขตบางซื่อมากว่า 13 ปี แม้ว่าจะไม่มีตำแหน่งใด ๆทางการเมืองเลย ตนได้สัมผัสกับชาวบ้าน เราร่วมทุกข์ ร่วมสุขมาด้วยกัน จึงเชื่อมั่นว่า ประชาชนจะให้โอกาสผู้แทนที่ลงพื้นที่และทำงานจริง

“หลายคนอาจจะอยากถามผมเรื่องอุดมการณ์ทางความคิดทางการเมืองของผม ซึ่งผมขอตอบตรงนี้เลยว่า ผมไม่ได้ยึดโยงที่พรรคการเมือง แต่ผมสามารถทำงานร่วมกับพรรคการเมืองใดก็ได้ ที่มีนโยบายแนวทางในการทำงานที่ตรงกัน และอะไรดีที่สุดสำหรับประเทศ เพื่อที่จะทำงานให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนให้มากที่สุด ” ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าว

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวต่อว่า การพัฒนาพื้นที่บ้านเกิดของเรา ตนไม่สามารถทำคนเดียวต่างลำพังได้ แต่ตนเข้ามาขอโอกาสรับใช้พี่น้องประชาชน แล้วเราจะมาร่วมมือร่วมใจกันทำเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างยั่งยืนและถาวร พรุ่งนี้จะเป็นวันที่คนไทยได้ตัดสินอนาคตของตัวเอง ขออย่าเลือกผู้สมัคร ส.ส.โดยการฟังเสียงโน้มน้าวของใคร แต่ขอให้ฟังเสียงหัวใจตัวเอง ตัดสินจากสายตาที่เคยเห็นการทำงานของผู้สมัคร

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 13 พฤษภาคม 2566

“พล.อ. ธรรมรักษ์”เดินสายให้กำลังใจผู้สมัคร ส.ส.พปชร.ภาคอีสานครบทุกจังหวัด ส่งสารจาก”พล.อ.ประวิตร”ขอให้ทำงานเพื่อประชาชน

,

“พล.อ. ธรรมรักษ์”เดินสายให้กำลังใจผู้สมัคร ส.ส.พปชร.ภาคอีสานครบทุกจังหวัด ส่งสารจาก”พล.อ.ประวิตร”ขอให้ทำงานเพื่อประชาชน

พล.อ. ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ลงพื้นที่ให้กำลังใจผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ ในภาคอีสาน จังหวัดยโสธร เป็นจังหวัดที่ 20 ซึ่งถือว่าครบทุกจังหวัดแล้ว โดย พล.อ.ธรรมรักษ์ มีกำหนดการเดินทางกลับกรุงเทพ ในวันที่ 13 พ.ค.66 เพื่อเตรียมตัวไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค.66

พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าวว่า ในการเดินทางลงพื้นที่ทั้ง 20 จังหวัดนั้น ภาพรวมถือว่ามีความเรียบร้อยดี อาจจะมีปัญหาในบ้างเล็กน้อย แต่ก็อยู่ในขอบเขตที่สามารถแก้ไขได้ นอกจากนี้ตนต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชนในแต่ละจังหวัดที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ตนรู้สึกอบอุ่นใจและชื่นใจอย่างมาก เพราะแม้จะไม่ได้มีโอกาสมาเยี่ยมพื้นที่กว่า 15 ปี แต่ทุกคนก็ยังไม่เคยลืมกัน

ทั้งนี้ พล.อ.ธรรมรักษ์ ยังเปิดเผยด้วยว่า ตนได้บอกกับผู้สมัครทุกเขตว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และผู้บริหารพรรคทุกคน ฝากกำลังใจมาให้ ฝากให้ทำงานเพื่อประชาชนอย่างหนัก เป็นผู้แทนฯให้ได้ จะได้นำนโยบายที่เป็นประโยชน์มาพัฒนาในพื้นที่ แก้ปัญหาให้กับประชาชนและประเทศชาติ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 13 พฤษภาคม 2566

“ทีมขุนพลพปชร. ร่วมคาราวานรถหาเสียงชวนคนไทยเลือกตั้ง 14 พ.ค.นี้ ชวนปชช.ใช้เหตุผลตัดสินก่อนใช้สิทธิ์ กาเบอร์ 37 เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง

,

“ทีมขุนพลพปชร. ร่วมคาราวานรถหาเสียงชวนคนไทยเลือกตั้ง 14 พ.ค.นี้
ชวนปชช.ใช้เหตุผลตัดสินก่อนใช้สิทธิ์ กาเบอร์ 37 เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง

13 พ.ค. 2566 เวลา 9.00 น. อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จุดกระจายรถหาเสียง โดยมีนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมกทม. นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล และ ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ที่ปรึกษาคณะกรรมการฝ่ายจัดทำนโยบาย ขึ้นขบวนรถแห่ เพื่อให้กำลังใจผู้สมัคร ส.ส.ทั่วประเทศพร้อมเชิญชวนพี่น้องประชาชนเข้าคูหาเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ในของรณรงค์หาเสียงของการเลือกตั้งครั้งนี้ อยากตั้งข้อสังเกตให้กับพี่น้องประชาชน ที่ไปใช้สิทธิก่อนกาบัตรเลือกตั้งครั้งนี้ นับว่ามีความสำคัญที่จะนำพาประเทศเดินไปข้างหน้า หากจะไปเลือกพรรคที่จะนำไปการสร้างความขัดแย้ง จะทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้เสียโอกาสและน่าเสียดายที่จะพัฒนาประเทศ หรือต้องหยุดการพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะขณะนี้เศรษฐกิจของประเทศ การท่องเที่ยวกำลังเติบโตไปได้ด้วยดี หากเกิดความรุนแรง หรือนำนโยบายที่ขัดกับความรู้สึก ความเชื่อหรือความศรัทธาของประชาชน อาจนำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมืองได้

สิ่งสำคัญที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค อยากให้พี่น้องประชาชนเข้าใจ ถ้าไม่มีเรา ก็จะทำให้ปัญหาตามมามากมาย และไม่มีนโยบายที่จะช่วยเหลือประชาชน หรืออาจจะทำให้เกิดความขัดแย้ง ขอให้ประชาชนเลือกพรรคพลังประชารัฐ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง กาเบอร์ 37

นายสกลธี กล่าวว่า ในวันนี้จะเป็นการรวมตัว และ กระจายไปในจุดต่างๆ ของกรรมการทุกคนเพื่อไปช่วยผู้สมัครในแต่ละเขต ซึ่งเรามั่นใจทั้งตัวบุคคล และพรรค เพราะเชื่อมั่นว่า ตัวผู้สมัครไม่เป็นรองใคร แม้ว่าในสนามกรุงเทพต้องอาศัยกระแสเป็นส่วนสำคัญ โดยในส่วนของผู้สมัครทุกคนได้ลงพื้นที่อย่างเต็มที่อยู่แล้ว ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของพี่น้องประชาชน ในวันพรุ่งนี้ที่จะเข้าคูหาและก็เลือกเบอร์ 37

“การเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญ ต่อผลของการเลือกตั้งว่าเราเลือกอะไร และได้อะไร ผู้สมัครพปชร.ทุกคนพูดมาแล้วว่าเลือกพรรคพลังประชารัฐ เราจะก้าวข้ามความขัดแย้ง ซึ่งอยากให้ทุกคนใช้เหตุผลว่าเลือกแล้วจะได้อะไรกลับมา”

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า พรรคได้ทำงานอย่างเต็มที่ จึงขอฝากพี่น้องประชาชน ให้โอกาสกับพรรคพลังประชารัฐ เพื่อให้พปชร. เข้ามาทำหน้าที่รับใช้ชาวกทม.อีกครั้ง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 13 พฤษภาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร ”ส่งนโยบายถึงมือ ประชาชนผ่านคาราวานหาเสียงรอบกรุง ชวนคนไทยทุกคน ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง กา พปชร.ส่งกำลังใจผู้สมัครทุกเขตลุยเต็มพิกัด

,

“พล.อ.ประวิตร ”ส่งนโยบายถึงมือ ประชาชนผ่านคาราวานหาเสียงรอบกรุง ชวนคนไทยทุกคน ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง กา พปชร.ส่งกำลังใจผู้สมัครทุกเขตลุยเต็มพิกัด

วันที่ 13 พ.ค.66 เวลา 08.00 น
พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)จัดกิจกรรมปล่อยตัวคาราวาน รถหาเสียงโค้งสุดท้ายทั่ว กทม.นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐโดย ได้โบกธงพรรคพปชร. เพื่อปล่อยคาราวานรถหาเสียงไปในเส้นทางต่างๆ โดยมี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีม กทม. นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษาคณะกรรมการฝ่ายจัดทำนโยบาย ขึ้นขบวนรถแห่ เพื่อให้กำลังใจผู้สมัคร ส.ส.ทั่วประเทศพร้อมเชิญชวนพี่น้องประชาชนเข้าคูหาเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม นี้

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า วันนี้พรรคหาเสียงอย่างเข้มข้น และจะยุติการหาเสียงในเวลา 18.00 น. ขอให้ผู้สมัครทุกคนทำงานให้เต็มที่ เพื่อประเทศชาติ และประชาชนของเรา และความแข็งแกร่งของพรรคพลังประชารัฐ ที่จะนำนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชนต่อไป

สำหรับเป้าหมายของพรรค ยังไม่มีการวางแผนใดๆ ขอให้ รอดูวันที่ 14 พฤษภาคม เพราะเราต้องให้เกียรติประชาชน ประชาชนจะเลือกใครก็แล้วแต่ และไม่ได้มีการคาดการณ์จำนวนที่นั่ง ที่จะได้รับ

อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร ได้เชิญชวนประชาชนมาใช้สิทธิ์ในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ขอให้มาทุกคน เพราะบ้านเมืองเราต้องการความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนออกมาเลือกตั้ง เพื่อที่จะเห็นว่าเรามีสิทธิ์มีเสียงในการลงคะแนนเลือกตั้งทุกคน ขอฝากไว้ด้วย

สำหรับขบวนคาราวาน เริ่มปล่อยขบวนตั้งแต่หน้าพรรคพลังประชารัฐ ผ่านห้าแยกลาดพร้าว อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผ่านแยกยมราช เข้าถนนหลานหลวง ไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สะพานพุทธ และจบที่ วงเวียนใหญ่ วนไปจนใกล้เวลาสิ้นสุดการหาเสียง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 13 พฤษภาคม 2566

‘ผู้กองธรรมนัส’ ปลุกพลังคนพะเยานับหมื่น “กางจ้องฟังปราศรัยทิ้งทวนกลางฝน” อ้อน ขอความเมตตาชาวพะเยาเทคะแนนให้ เบอร์ 6 ยกจังหวัด ร่วมกันสร้างบ้านแปงเมืองเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น

,

‘ผู้กองธรรมนัส’ ปลุกพลังคนพะเยานับหมื่น “กางจ้องฟังปราศรัยทิ้งทวนกลางฝน” อ้อน ขอความเมตตาชาวพะเยาเทคะแนนให้ เบอร์ 6 ยกจังหวัด ร่วมกันสร้างบ้านแปงเมืองเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น

ที่จังหวัดพะยา ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 จังหวัดพะเยา พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ในฐานะประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ และนายจีรเดช ศรีวิราช ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 เบอร์ 6 พปชร.พร้อมด้วยทีมงานผู้ช่วยหาเสียงขึ้นรถแห่ปราศรัยขอคะแนนพี่น้องประชาชนในเขตเทศบาลตำบลเชียงม่วน อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา โดยมีประชาชนออกมาต้อนรับและให้กำลังใจตามหมู่บ้าน ตลอดสองข้างทางเป็นจำนวนมาก

จากนั้นร้อยเอกธรรมนัส เดินทางไปพร้อมด้วยนายไพรัตน์ ตันบรรจง ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อเพื่อไปพบปะประชาชนและปราศรัยหาเสียงช่วยนายอนุรัตน์ ตันบรรจง หรือ ‘น้องออม’ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 ที่บริเวณสนามกีฬาเชียงแรง อำเภอภูซาง ซึ่งมีประชาชนมารอให้กำลังใจและรับฟังการปราศรัยเป็นจำนวนมาก แม้จะมีฝนตกหนักแต่ประชาชนก็ไม่ยอมลุกจากเก้าอี้ ต่างพากันกางจ้อง(กางร่ม)นั่งฟังปราศรัยอย่างไม่ย่อท้อ จนกระทั่งฝนหยุดตกในเวลาต่อมา

โดยนายอนุรัตน์ ปราศรัยว่า ตนเองมีความมุ่งมั่น และความจริงใจที่จะนำนโยายของพรรคพลังประชารัฐ มาแก้ปัญหาให้พ่อแม่พี่น้องที่ยังค้างคา ที่ผ่านมาหลายปียังไม่มีการแก้ไข เกษตรกรยังประสบกับปัญหาผลผลิตราคาถูก ผลงานที่ผ่านมาของผู้กองธรรมนัส ได้พิสูจน์ตัวเอง ทำคุณงามความดี พัฒนาบ้านแปงเมืองทั้ง 9 อำเภอของพะเยา ตนเชื่อว่า ผลงานต่างๆ จะเป็นที่ประจักษ์ต่อพ่อแม่พี่น้อง

“ราคาพืชผลการเกษตรเป็นปัญหาเรื้อรัง ถ้าเขาบอกว่าเป็นโรค ก็เป็นโรคร้ายที่ไม่ได้รับการแก้ไขครับ ดังนั้นผมจะใช้มันสมอง ใช้ความวิริยะอุตสาหะ เข้าไปแก้ปัญหา ไม่ใช่ปล่อยให้ผ่านไป 4 ปี พอมีการเลือกตั้งก็บอกให้เลือกแบบนั้นแบบนี้ วันนี้ผมพร้อมอาสามาเปลี่ยนปัญหาของพ่อแม่พี่น้องให้เป็นความสุข การหาเสียงในโค้งสุดท้ายนี้ผมเชื่อว่า พ่อแม่พี่น้องจะให้โอกาส ผมเป็น ส.ส.” นายอนุรัตน์ กล่าว

ด้านร้อยเอกธรรมนัส กล่าวว่า ขอบคุณในน้ำใจของพ่อแม่พี่น้องทุกท่านที่หลั่งไหลมาฟังปราศรัยของตนเองและน้องออม รวมถึง คุณพ่อไพรัตน์ ที่วันนี้มาในบทบาทผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ของพรรคฯ ด้วย ซึ่งวันนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าพ่อแม่พี่น้องจะพร้อมใจกันสนับสนุนเราให้เข้าไปเป็นผู้แทนเป็นปากเป็นเสียงในสภาฯ

ร้อยเอกธรรมนัส กล่าวต่อว่า ตั้งใจจะมาบอกเรื่องดีมีประโยชน์ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 700 บาท และผู้ถือบัตรยังมีประกันชีวิตอีก 200,000 บาท เพื่อ ไม่ให้เป็นภาระลูกหลาน ตลอดการดูแลผู้สูงอายุ ที่จะมีเบี้ยยังชีพแบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็นจำนวน 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปี ขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน เท่านั้นยังไม่พอเรายังแก้ปัญหาแหล่งน้ำและที่ดินทำกิน เปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด ใครที่มีเอกสาร คทช.ก็จะเปลี่ยนเป็น สปก.4-01 ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ที่ดินในการสร้างรายได้และประกอบอาชีพอย่างยั่งยืน ซึ่งเราจะทำทันทีที่ได้จัดตั้งรัฐบาล

“พ่อแม่พี่น้องครับ วันที่ 14 พฤษภาคม นี้ขอความเมตตาจากทุกท่านไปลงคะแนนให้ผมกับน้องออม และจีรเดช ศรีวิราช เขต 1 เขต 2 และเขต 3 เบอร์ 6 ยกจังหวัดเพื่อเข้าไปเป็น ส.ส.ผนึกกำลังกันสร้างบ้านแปงเมืองพะเยาของเราให้เจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเสร็จสิ้นปราศรัยหาเสียงที่อำเภอภูซาง ร้อยเอกธรรมนัส ยังไปพบปะประชาชนและปราศรัยหาเสียงช่วยนายจีรเดช เขต 3 อีกครั้งที่อำเภอปง ซึ่งมีประชาชนมาให้กำลังใจเป็นจำนวนมากท่ามกลางฝนตกอย่างหนักเช่นกัน


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 13 พฤษภาคม 2566

พปชร.ปิดเวทียิ่งใหญ่ “เลือกลุงป้อม นำได้ ตามเป็น เย็นพอ ฟังทุกฝ่าย”ประกาศ นั่งนายกฯเป็นภารกิจสุดท้ายในชีวิต ขอคนไทยรวมพลังจับมือเดินหน้าไปด้วยกัน

,

พปชร.ปิดเวทียิ่งใหญ่ “เลือกลุงป้อม นำได้ ตามเป็น เย็นพอ ฟังทุกฝ่าย”ประกาศ นั่งนายกฯเป็นภารกิจสุดท้ายในชีวิต ขอคนไทยรวมพลังจับมือเดินหน้าไปด้วยกัน

วันที่ 12 พฤษภาคม 2566 เวลา 16.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค ขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่โค้งสุดท้าย ก่อนประชาชนจะลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ปี 2566 ในวันที่ 14 พฤษภาคม นี้ ณ อาคารกีฬาเวสน์ 2 สนามไทย – ญี่ปุ่นดินแดง กรุงเทพฯ มีประชาชนกว่า 4,000 คน มาร่วมรับฟังการปราศรัย พร้อมชูสโลแกน “เลือกลุงป้อม นำได้ ตามเป็น เย็นพอ ฟังทุกฝ่าย” ที่จะนำพาทุกฝ่ายก้าวข้ามความขัดแย้ง

ทั้งนี้การปราศรัยเริ่มตั้งแต่เวลา 14.30 น.โดยมีนายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นเวทีพูดเป็นคนแรกว่า ผมในนามของพรรคพลังประชารัฐตลอดระยะเวลาหาเสียงกว่า 2 เดือน เราได้รับเสียงตอบรับที่อบอุ่นจากคนไทยทั้งประเทศ ต้องขอขอบคุณด้วยใจ วันที่ 14 พ.ค.นี้ อนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือของประชาชนทุกคน จึงอยากให้ทุกคนตั้งคำถามว่า อยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไร? อยากเห็นเศรษฐกิจที่ดี คนไทยกินดีอยู่ดี หรืออยากจะเห็นความแตกแยกของคนสองยุค อยากเห็นคอรัปชั่น ยาเสพติดระบาดทั่วเมือง ที่ผ่านมา การเมืองไทยไม่ไปไหนเพราะติดหล่มอยู่กับความขัดแย้ง

นายสกลธี กล่าวต่อว่า คนที่อาสาเข้ามาเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน ต้องเคารพการตรวจสอบได้ ประชาชนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด รักใคร ก็ต้องยอมรับกฎหมาย ตนอยากจะเตือนสติว่า ไม่ว่าคุณจะได้รับการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย การเลือกตั้งคือ การที่คุณได้มีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศเท่านั้น ไม่ใช่คุณจะอยู่เหนือกฎหมาย แล้วมาใช้กฎหมู่ทำลายล้างกัน ดังนั้นประเทศเราต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง ของพรรคพลังประชารัฐ คือ อยากจะให้ประชาชนรักกัน

“พรรคพลังประชารัฐมี กองทุนประชารัฐพัฒนาประเทศ 3 แสนล้านบาท ที่จะพัฒนากรุงเทพฯ ขอเพียงแค่ประชาชนให้โอกาสผู้สมัครของเราเข้าไปลงมือทำ ซึ่งพรรคเรามี พล.อ.ประวิตร เป็นผู้จัดการตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังการทำงาน จนทำให้รัฐบาลอยู่มาได้ถึง 4 ปี ผลงานที่ทุกคนรู้กันดีก็คือ แก้หนี้นอกระบบ แก้เศรษฐกิจ และแก้ปัญหาน้ำ” นายสกลธี กล่าว

นายวราเทพ กล่าวว่า พรรคนี้อนาคตไกล จึงขอเป็นตัวแทนกก.บห. พรรคนี้ไม่มีนายใหญ่ และไม่มีครูใหญ่ แต่มีใจบันดาลแรง วันนี้มีหลายเวที และที่ผ่านมามีวาทกรรมที่เกิดขึ้นตลอดการหาเสียง 60 วัน สร้างความเกลียดชังและใส่ร้าย แต่พปชร.มีนโยบายโดยไม่ต้องมีวาทกรรม ไม่ต้องแอบอ้างว่าคิดใหญ่ ทำเป็น แต่เราคิดเป็น ทำได้ และทำทันที บางคนบอกให้กาพรรคประเทศไทยไม่เหมือนเดิม แต่ถ้ากา พปชร.ประเทศไทยจะดีกว่าเดิม

นายวราเทพ กล่าวต่อว่า กว่า 20 ปี ท่ามกลางวิกฤตสถานการณ์ เห็นแต่พล.อ.ประวิตร ที่ทำได้ ถึงไม่ย้ายไปไหน หลายคนอยากกลับมา จึงบอกว่าหลังเลือกตั้งให้กลับมา ถามว่าผู้นำคนไหนเป็นแบบนี้ จะเลือกคนหนุ่มสาว แต่ผู้นำที่เคลือบแคลงจะมาเปลี่ยนแปลงจะทำให้เชื่อได้หรือไม่ เราต้องเลือกแบบมีเหตุผล ไม่ใช่เลือกข้างใดข้างหนึ่งแบบไร้สติ ขอให้ประชาชนคิดอย่างไรก็ได้เพื่อหยุดความขัดแย้ง และก้าวข้ามไปด้วยกัน

“วันนี้ไม่มีรัฐบาลพรรคไหนที่จะไม่ทำเพื่อประชาชน ทุกคนอยากทำเพื่อประชาชน แต่โอกาสไม่เหมือนกัน ครั้งที่แล้ว เราเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล และมีพรรคร่วม 19 พรรค แต่หัวหน้าเราไม่มีโอกาสเป็นนายกฯ แต่วันนี้หัวหน้าพรรค พปชร.มีโอกาสเป็นนายกฯ แล้ว และคิดว่าสามารถทำได้ในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง โดย 4 ปีที่แล้วมีพรรคเดียวที่ชนะใจคนทุกภูมิภาคคือพรรค พปชร.ที่มีส.ส.ทุกภาค รวมทั้ง กทม.12 คน เพียงพรรคเดียว ได้ส.ส.116 คน ในครั้งนี้ขอให้ทุกคนพิสูจน์ว่า คน กทม.จะเลือกกลับมาเป็น 2 เท่า และผมเชื่อมั่นว่าทางออกของประเทศจะเกิดขึ้นได้ ถ้ามีผู้นำที่ตั้งใจ และเดินทางไปดูแลประชาชนครบทุกจังหวัด อย่าง พล.อ.ประวิตร” นายวราเทพ กล่าว

ด้านนายสนธิรัตน์ กล่าวกับพี่น้องประชาชนว่า อีก 2 วัน จะเป็นการชี้ชะตาของประเทศไทย กว่า 10 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยตกอยู่ในวังวนความขัดแย้ง ครั้งนี้เราจะปล่อยให้ประเทศเดินเข้าวังวนแบบนั้นอีกหรือไม่? เราต้องหยุดวงจรนี้และเดินหน้าไปพร้อมกับพรรคพลังประชารัฐ เรากำลังจะได้ตัดสินอนาคตของพวกเราทุกคน มันจะมีผลกระทบต่อชีวิตคนไทยทั้งประเทศ

“พรรค พปชร.จะเป็นสถาบันทางการเมืองที่จะพาพี่น้องคนไทยผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ เพราะหลายคนกำลังกังวลถึงความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคการเมืองที่จะเข้ามายุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้น พรรคที่สามารถเชื่อมโยง พูดคุย กับทุกพรรค นั่นก็คือ พรรค พปชร.ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่เหมาะสมที่วุดในสถานการณ์ตอนนี้ เพราะผู้นำทางการเมืองต้องพร้อมที่จะเป็นกาวใจให้กับทุกฝ่าย ต้องมีบารมีที่ทุกฝ่ายให้ความแกรงใจ รวมถึงพร้อมรับฟัง และพร้อมทุ่มเมฃทแรงกาย แรงใจให้กับประชาชน” นายสนธิรัตน์ กล่าว

จากนั้น เมื่อเวลา 15.40 น.พรรคพลังประชารัฐเปิดตัว พล.อ.ประวิตร อย่างยิ่งใหญ่นำขบวนโดยผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 33 คน พร้อมธงโบกสะบัด โดย พล.อ.ประวิตร เปิดตัวด้วยการเดินอย่างกระฉับกระเฉง ยิ้มแย้มกับประชาชนที่มาร่วมฟังการปราศรัย รวมถึงติดไมค์ลอยคล้องหูด้วย

ต่อมา พล.อ.ประวิตร กล่าวปราศรัยปิดเวทีว่า ทุกนโยบายที่หาเสียงไว้ ผมขอสัญญาว่า จะทำให้สำเร็จ เพราะผมเป็นคนที่ไม่มีภาระใดๆ ไม่มีธุรกิจ ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ผมมีเพียงภารกิจเดียว
และ เป็นภารกิจสุดท้ายในชีวิตผม คือการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศไทย ผมขอให้ทุกคนช่วยกัน

“ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมาของการเป็นรัฐบาล ผมสามารถพูดคุยกับทุกคน รับฟังความคิดเห็นต่างได้จากทุกฝ่ายได้ โดยไม่มีอคติใดๆ ตลอดชีวิตของผมมีหน้าที่ในการปกป้องประเทศจากศัตรูภยันตราย ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ความมั่นคงป้องกันชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่งของเรา วันนี้ผมได้เห็นแล้วว่า ประเทศของเรายังมีปัญหาอีกมาก โดยเฉพาะปัญหาความยากจน และปัญหาเรื่องปากท้องไปจนถึงการก้าวข้ามความขัดแย้ง และการก้าวล่วงสถาบัน การแทรกแซงทางการเมือง ทั้งภายในและภายนอกประเทศ”

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ผมและพรรคพลังประชารัฐ มุ่งมั่นที่จะเอาชนะปัญหาของประชาชนในทุกเรื่องให้ได้ เรารับรองว่า เราจะก้าวไปด้วยกัน ทุกนโยบายที่รับปากพี่น้องประชาชน เมื่อทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรี ผมจะทำทันที โดยขอให้ทุกคนมีความเชื่อมั่นว่า ผมทำได้ ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นพรรคพลังประชารัฐ และผู้บริหารของพรรคจะทำงานเพื่อประชาชนทุกคน ขอให้เชื่อมั่นว่าผมจะนำพาประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง เราจะช่วยกันนำพาประเทศนี้ให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป ขอให้เลือกผมและพรรคพลังประชารัฐ ประเทศชาติจะไม่วุ่นวาย เศรษฐกิจจะเดินหน้า ค้าขายจะเจริญรุ่งเรือง ขอให้เลือกพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 และ ผู้สมัคร ส.ส. ทุกเขตของพรรคพลังประชารัฐทั่วประเทศ

“ประเทศเราถ้ามีความสงบแล้ว ความเจริญรุ่งเรืองจะมาสู่ประเทศของเราอย่างแน่นอน พรรคพลังประชารัฐและผู้สมัครของพรรคทุกคนยินดีที่จะนำความรุ่งเรืองมาสู่ประเทศชาติ ขอให้พวกเราทุกคนก้าวข้ามความขัดแย้งไปด้วยกัน ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชนคนไทย วันที่ 14 พฤษภาคมนี้ เข้าคูหากาเบอร์ 37 “เลือกลุงป้อม นำได้ ตามเป็น เย็นพอ ฟังทุกฝ่าย “เราจะก้าวข้ามความขัดแย้งพร้อมเดินหน้าไปด้วยกัน”

ทั้งนี้ก่อนปิดเวที พล.อ.ประวิตร ได้ถ่ายภาพร่วมกับ กก.บห. ผู้สมัคร ส.ส.กทม. และถ่ายภาพร่วมกับประชาชนที่มาร่วมในเวทีปิดปราศรัยด้วย นอกจากนี้ยังมีแฟนคลับชาวจีน ที่เดินทางจากต่างประเทศมาร่วมให้กำลังใจ พล.อ.ประวิตร โดยระบุว่า เชื่อว่าพล.อ.ประวิตร จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จึงอยากมาถ่ายรูปคู่ด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 12 พฤษภาคม 2566

‘ผู้กองธรรมนัส’ นำทีมปราศัยหาเสียงจังหวัดแพร่ ช่วงโค้งสุดท้าย ช่วย “นายกฯแต่ง” สุรสิทธิ์ เพชรปิตุพงษ์ เขต 2 เบอร์ 5 มั่นใจคว้าชัยปักหมุดส.ส.อีกหนึ่งจังหวัดภาคเหนือ

,

‘ผู้กองธรรมนัส’ นำทีมปราศัยหาเสียงจังหวัดแพร่ ช่วงโค้งสุดท้าย ช่วย “นายกฯแต่ง” สุรสิทธิ์ เพชรปิตุพงษ์ เขต 2 เบอร์ 5 มั่นใจคว้าชัยปักหมุดส.ส.อีกหนึ่งจังหวัดภาคเหนือ

วันที่ 11 พพฤษภาคม 2566 ที่จังหวัดแพร่ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดยร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 จังหวัดพะเยา ในฐานะประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ พร้อมด้วย นางสาวธนพร ศรีวิราช ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ และ ดร.ธนสาร ธรรมสอน ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อร่วมลงพื้นที่ ให้กำลังใจ ปราศัยหาเสียง ช่วยผู้สมัครเขต 2 ของพรรคฯ คือนายสุรสิทธิ์ เพชรปิตุพงษ์ หรือ ‘นายกฯ แต่ง’ เบอร์5 ณ เวทีปราศัยอำเภอร้องกวาง โดยมีประชาชนในพื้นที่เขต 2 ได้แก่ อำเภอเมืองแพร่ (เฉพาะตำบลแม่คำมี ตำบลห้วยม้า ตำบลแม่หล่าย ตำบลแม่ยม ตำบลวังธง ตำบลท่าข้าม และตำบลวังหงส์) อำเภอร้องกวาง อำเภอม่วงไข่ และอำเภอสอง มาให้กำลังใจและรับฟังปราศรัยนโยบายพรรคเป็นจำนวนมาก

ร้อยเอกธรรมนัส กล่าวว่า นับเป็นโอกาสดี ที่ได้มาพบปะพ่อแม่พี่น้องในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้งในครั้งนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญจะมาบอกเล่าให้ฟัง ถึงนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของพลอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ยึดหลักก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่ และมุ่งหวังให้ประชาชน อยู่ดีกินดี ก้าวข้าวความยากจน โดยเราจะร่วมกันดูแล พลิกฟื้นเศรษฐกิจฐานรากให้ประชาชนมีรายได้อย่างยั่งยืน ทั้งเรื่องการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน ผลักดันแก้ปัญหาแหล่งน้ำ เรามีนโยบายชัดเจน ที่จะเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด ใครที่มีเอกสาร คทช.ก็จะเปลี่ยนเป็น สปก.4-01 ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ที่ดินในการสร้างรายได้และประกอบอาชีพอย่างยั่งยืน

“พ่อแม่พี่น้องครับ ขอเสียงครอบครัวบัตรประชารัฐหน่อย จำกันได้ใช่มั๊ย ตั้งแต่ปลายปี 62 จนถึงปลายปี 65 ที่มีการแพร่ระบาดโรคโควิดนั้น ถามว่าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่อยู่กับพี่น้องช่วยลดภาระค่าใช่จ่ายได้ใช่หรือไม่ คำตอบคือช่วยได้ ซึ่งที่ผ่านมาบัตรฯ มีมูลค่า 300 บาท ผมมาเมืองแพร่วันนี้ จะบอกพี่น้องประชาชนในเขต 2 ว่าเราจะเพิ่มเป็น 700 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับ สภาวะเศรษฐกิจ ทั้งน้ำมันแพง แก๊สแพง ไฟฟ้าแพง สวนทางราคาพืชผลการเกษตรของเราทั้งข้าวและพืชไร่ต่างๆ ที่มีราคาถูกลง นอกจากนี้ ก็จะบอกอีกว่า ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนั้น ยังมอบประกันชีวิตอีก 200,000 บาทด้วย เมื่อท่านสิ้นลมหายใจ ก็ไม่เป็นภาระของลูกของหลานหรือคนอยู่ข้างหลังอีกต่อไป ครับ”

จากนั้น ร้อยเอกธรรมนัส ยังได้แนะนำตัวนายสุรสิทธิ์ เพชรปิตุพงษ์ หรือ ‘นายกฯแต่ง’ เบอร์ 5 พร้อมขอให้ประชาชนในพื้นที่เขต 2 ไว้วางใจหันมาเลือกคนดี มีความรู้ความสามารถมีประสบการณ์เคยเป็นอดีตนายกเทศมนตรีตำบลร้องกวาง ที่เคยดูแลรับใช้ประชาชนในช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างดี ดังนั้นวันที่ 14 พฤษภาคม นี้ อย่าลืมไปใช้สิทธ์เลือกตั้งกาบัตรสีม่วงเบอร์ 5 บัตรสีเขียว กาเบอร์ 37 เลือกพรรคพลังประชารัฐ เพื่อเข้าไปจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งตนเองหวังใจว่าผู้สมัครของพรรคฯ ในจังหวัดแพร่นี้ จะได้รับชัยชนะและมี ส.ส.เข้าสู่สภาฯ อีกหนึ่งจังหวัดภาคเหนือ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 12 พฤษภาคม 2566

“สนธิรัตน์” แท็กทีม “พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ – บุรินทร์” ลุยเมืองคอนปราศรัยช่วย “อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ” เขต 4 เบอร์ 6 ประกาศแก้ความยากจน พลิกชีวิตพี่น้องคนใต้ด้วยปาล์มน้ำมัน

,

“สนธิรัตน์” แท็กทีม “พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ – บุรินทร์” ลุยเมืองคอนปราศรัยช่วย “อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ” เขต 4 เบอร์ 6 ประกาศแก้ความยากจน พลิกชีวิตพี่น้องคนใต้ด้วยปาล์มน้ำมัน

วันที่ 10 พ.ค. 2566 ที่ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ ประธานอนุกรรมการเพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันทั้งระบบ และดร.บุรินทร์ สุขพิศาล อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ และกรรมการฝ่ายจัดทำนโยบายพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่พบปะประชาชน และตัวแทนเกษตรกรชาวสวนปาล์ม เพื่อรับฟังปัญหาและนำเสนอนโยบายด้านการเกษตรของพรรค พร้อมปราศรัยย่อยช่วยนายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ผู้สมัคร ส.ส. นครศรีธรรมราช เขต 4 เบอร์ 6 หาเสียงช่วงโค้งสุดท้าย โดยก่อนเข้าร่วมงานนายสนธิรัตน์ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยังวัดเขาขุนพนม ที่ อ.พรหมคีรี เพื่อร่วมพิธีบวงสรวงสักการะอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อเป็นสิริมงคลด้วย

นายสนธิรัตน์ ได้ปราศรัยตอนหนึ่งว่า วันนี้ตั้งใจมา จ.นครศรีธรรมราช เพราะที่นี่คือดินแดนของคนที่จะรวยด้วยปาล์มน้ำมัน เราเป็นทีมงานที่ทำจริงเรื่องปาล์มน้ำมัน ทำกันมาตั้งแต่ก่อนปี 2562 ผลักดันจนราคาเคยขึ้นไปถึง 12 บาท แต่วันนี้ราคาปาล์มน้ำมันตกลงอีก เหลือ 5 บาทกว่า ตนจึงต้องมาที่นี่เพื่อบอกว่าทีมที่แก้ปัญหา และรู้เรื่องปาล์มน้ำมันดีที่สุดคือพวกตนที่อยู่ตรงนี้ หากพวกตนกลับไปเป็นรัฐบาล จะเอาน้ำมัน B10 กลับมา ราคาจะกลับไป 10 บาทกว่าอีก แต่ต่อให้ได้ราคาสูง ก็ขาดทุนได้ เพราะราคาปุ๋ยแพง พรรคพลังประชารัฐจึงมีนโยบายปุ๋ยคนละครึ่ง นอกจากนี้จะทำให้ภาคใต้กลายเป็นแผ่นดินของปาล์มน้ำมันทั้งภาคใต้ ด้วยการนำปาล์มน้ำมันไปทำน้ำมันอากาศยานชีวภาพ หรือไบโอเจ็ท นี่คือสิ่งที่พรรคพลังประชารัฐจะทำ และเตรียมทำไว้แล้ว ทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล นอกจากนี้พรรคประกาศนโยบายแล้วว่าจะให้เงินทุนแก่พี่น้องที่เป็นเกษตรกรครอบครัวละ 3 หมื่นบาทเพื่อนำไปเพิ่มผลผลิตต่อไร่ด้วยนวัตกรรมต่างๆ
“หากวันนี้ทีมงานของผมคิดได้แค่การทำน้ำมัน B10 หรือแค่ประกันรายได้ คงไม่มาหาพี่น้อง ผมคงไม่กล้ามาบอกว่าจะทำให้เราร่ำรวยอย่างไร แต่วันนี้ตัดสินใจเลือกเวทีปราศรัยต่างจังหวัดที่สุดท้ายที่ จ.นครศรีธรรมราช และผมไม่ได้แค่มาหาเสียงแต่เอาทีมงานตัวจริงเสียงจริงที่ทำเรื่องปาล์มน้ำมันมา ระยะเวลา 6 – 7 ปี พิสูจน์แล้วว่าทำได้จริง พวกผมมาอาสากับพี่น้องที่นครศรีธรรมราช และประกาศจากที่นี่ไปยังทุกจังหวัดที่ปลูกปาล์มน้ำมันว่าพรรคพลังประชารัฐ จะเอาปาล์มน้ำมันมาแก้ปัญหาความยากจนให้พี่น้องลืมตาอ้าปากได้ตลอดไป ด้วยนโยบายน้ำมัน B10 ปุ๋ยคนละครึ่ง ไบโอเจ็ท และจะทำให้ภาคใต้เป็นศูนย์กลางน้ำมันอากาศยานชีวภาพจากปาล์มน้ำมันของเอเชีย ยกระดับราคาให้พี่น้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข นี่คือความตั้งใจของผม และทีมงาน จากหัวใจของคนทำงานปาล์มน้ำมัน เรื่องอื่นผมไม่รู้ แต่ปาล์มน้ำมันพวกผมเชี่ยวชาญ และสามารถพลิกชีวิตพี่น้องได้จริงๆ ผมไม่ได้แค่มาหาเสียง แต่มาคารวะพี่น้องที่นี่ด้วยหัวใจคนปาล์มน้ำมัน และอยากเห็นพี่น้องอยู่ดีกินดี ร่ำรวย ดังนั้นเลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 และเลือกนายอาญาสิทธิ์ เบอร์ 6 เพื่อเข้าไปผลักดันนโยบายต่างๆ ให้สำเร็จ” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ขณะที่พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ฝากความห่วงใยมายังพี่น้องชาวสวนปาล์มน้ำมัน จ.นครศรีธรรมราช ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ถือเป็นผู้พลิกชีวิตปาล์มน้ำมันไทย และอนาคตจะพลิกโฉมเกษตรกรไทยให้พัฒนาแบบก้าวกระโดด โดย พล.อ.ประวิตร มอบหมายให้ทีมงานแก้ปัญหาให้ทำได้จริง ที่ผ่านมาเราได้แก้ปัญหาน้ำมันปาล์มล้นตลาด มีการนำปาล์มน้ำมันไปเป็นส่วนผสมน้ำมัน B10 พร้อมทั้งเร่งผลักดันส่งออกน้ำมันปาล์มดิบไปต่างประเทศ ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าส่งออก 1.5 ล้านตัน นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร มีนโยบายการนำน้ำมันปาล์มดิบมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ และการนำน้ำมันปาล์มดิบไปผลิตเป็นน้ำมันอากาศยานชีวภาพ หรือไบโอเจ็ท ในอนาคตจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตน้ำมันอากาศยานของเอเซีย นอกจากนี้ยังมีนโยบายเกษตรอัจฉริยะ พลิกโฉมให้เกษตรกรเป็นปราชญ์รอบรู้ เป็นเกษตรกรอัจฉริยะ เกษตรกรจะร่ำรวย จะแปรรูปสร้างการใช้ปาล์มน้ำมันให้มั่นคง ราคาจะคงที่ทั้งปี รวมถึงการเป็นเกษตรรักษ์โลก เป็นมิตรสิ่งแวดล้อมด้วย อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าผลงานใครก็ขโมยไปไม่ได้ ท่านทำจริง ตนเชื่อมั่นว่า พล.อ.ประวิตร จะทำให้พี่น้องอยู่ดีกินดี และเราเป็นทีมงานที่รู้เรื่องปาล์มน้ำมันดีที่สุด

ด้าน ดร.บุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้เหมือนได้กลับมาบ้านของพ่อ ตนตั้งใจอย่างยิ่งที่จะพัฒนา จ.นครศรีธรรมราช ให้ร่ำรวยไปด้วยกัน ซึ่งเราแก้ปัญหาน้ำมันปาล์มล้นตลาดด้วยการบริหารสต็อก ต้องระบายส่งออก เพราะถ้าสต๊อคสูง จะทำให้ราคาผลปาล์มตก ในอดีตได้นำไปทำน้ำมัน B10 นำไปเผาผลิตไฟฟ้า รวมถึงสนับสนุนการส่งออกไปประเทศอินเดีย 1 ล้านตัน ทำให้ได้ราคาเฉลี่ย 7 บาทกว่า ซึ่งคนที่นำไปอ้างว่าทำเรื่องนี้ ไม่จริง เพราะคนที่ทำจริงๆ คือพวกเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ โดยมีพล.อ.ประวิตร เป็นคนสั่งการ นอกจากนี้ การแปรรูปเกษตรเป็นอีกเรื่องที่สำคัญมาก ทั้งแปรรูปเป็นน้ำมันหล่อลื่นชีวภาพ ผงซักฟอกชีวภาพ แชมพู เครื่องสำอางค์ ที่ล้วนมีส่วนผสมของปาล์มน้ำมัน ซึ่งเวลาน้ำมันปาล์มดิบราคาลง แต่ผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปแล้วไม่ลดลงตาม หากเราไม่รู้จักปรับตัว มัวแต่ผลิตน้ำมันพืชขายก็ต้องเจอสถานการณ์ผันผวนของราคาเป็นวงจรแบบนี้ไปตลอด

อย่างไรก็ตาม ส่วนประกอบที่ราคาสูงในผลิตภัณฑ์ที่ว่านั้นปัจจุบันต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งทำมาปาล์มน้ำมันจากสวนของพี่น้องที่ส่งออกแล้วมีการนำไปแปรรูป แล้วนำกลับมาขายให้พี่น้องใช้ในราคาแพง ต่อไปในอนาคตเราจะปฏิวัติระบบนี้ เราจะผลิตเอง ขายเอง ใช้กันเองและรวยกันเอง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 พฤษภาคม 2566

“ดร.นฤมล” หนุน “ภักดีหาญส์” พร้อมทำงานลาดพร้าว-บึงกุ่ม ลุยแก้ปัญหาอาชญากรรมพื้นที่ เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้ปชช.

,

“ดร.นฤมล” หนุน “ภักดีหาญส์” พร้อมทำงานลาดพร้าว-บึงกุ่ม
ลุยแก้ปัญหาอาชญากรรมพื้นที่ เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้ปชช.

วันนี้ (11 พ.ค.66) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ลงพื้นที่ช่วย นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 13 เขตลาดพร้าว เขตบึงกุ่ม หมายเลข 8 ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ เพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะต่างๆ และขอให้ประชาชนช่วยลงคะแนนเสียงให้ตัวผู้สมัครและพรรค พปชร. โดยมีพี่น้องประชาชน และพ่อค้า-แม่ค้า ในตลาด ต.รวมโชค (โชคชัย4) ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีและขอถ่ายรูปร่วมเฟรมอย่างเป็นกันเอง

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ทางผู้สมัคร และพรรคได้ทำงานกันอย่างเต็มที่ ผู้สมัครทุกคนลงพื้นที่อย่างหนักซึ่งในเขตลาดพร้าว “หาญส์ หิมะทองคำ” และภรรยา ปู-มัณฑนา ได้เข้ามาทำงานในพื้นที่มาโดยตลอดและทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเป็นผู้ค้ารายย่อยได้รับผลกระทบเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งพรรคมีเรื่องแหล่งทุนที่จะเข้ามาเติมเต็ม มาดูแลในเรื่องการประกอบอาชีพที่มั่นคงมากขึ้น ดังนั้นผู้สมัครของพรรคได้เตรียมพร้อมที่จะนำนโยบายเข้ามาช่วยเหลือและแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดเมื่อได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ในสภา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน จากการสะท้อนเสียงในการลงพื้นที่ ตลาดโชคชัย 4 ครั้งนี้ มีพี่น้องให้การตอบรับเป็นอย่างดี เชื่อว่าจะเมตตาให้หาญ ได้เข้ามารับใช้เขตนี้ พร้อมผู้สมัคร กทม.อีก 32 คน ที่พร้อมแล้วที่จะทำงานเพื่อคน กทม.

“อย่างไรก็ตามในวันที่ 12 พฤษภาคม นี้ พรรคได้มีแผนการหาเสียงในเวทีปิดท้ายอีกครั้ง ซึ่งจะมีขึ้นที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง (กรุงเทพ 2) แม้ว่าจะเป็นวันเดียวกับที่พรรคต่างๆ ได้จัดกิจกรรมปราศรัย รวมถึงสถานที่เดียวกันพรรคอื่นก็ไม่มีความกังวล เนื่องจากจัดปราศรัยคนละช่วงเวลา ในส่วนของพรรคเองก็มีการจัดเวทีย่อยในพื้นที่อื่นๆ อีก ซึ่งผู้สมัครทุกคนก็มีกลุ่มอาสาสมัครเข้ามาร่วมแสดงพลังโค้งสุดท้ายให้กับพรรค เพราะครั้งนี้ถือเป็นเวทีใหญ่ที่สมาชิกพรรคมารวมตัวกันในพื้นที่แห่งนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงเวทีเฉพาะ กทม. เท่านั้น” ศ.ดร.นฤมล กล่าว

นายภักดีหาญส์ กล่าวว่า นอกจากเป้าหมายการแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจและปากท้องให้กับคนในพื้นที่แล้ว ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักของพรรคแล้ว ยังมีนโยบายเฉพาะพื้นที่ที่จะมาดูแลพี่น้องประชาชนซึ่งถือเป็นภัยใกล้ตัวในพื้นที่ โดยเฉพาะการเพิ่มจุด CCTV ติดตั้งไฟส่องสว่างตามจุดต่างๆ เช่น สะพาน พื้นที่ทางเข้าชุมชน ที่เป็นจุดอับและจุดมืดค่อนข้างเยอะ และมีแหล่งมั่วสุมเกิดขึ้น จำเป็นต้องดำเนินการเพิ่มมาตราการสร้างความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อป้องปรามการก่ออาชญากรรมในพื้นที่ ร่วมถึงการขยายขอบเขตการดูแลความปลอดภัยของประชาชนโดยอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) และกู้ภัย ซึ่งในประเทศไทยมีจำนวน 1 ล้านกว่าคน ให้เข้ามาดูแลพี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่างใกล้ชิดมากขึ้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 พฤษภาคม 2566

“ชาญกฤช” ไขข้อข้องใจ ทำไมนายกฯ คนที่ 30 ต้องชื่อ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” พร้อมปลุกพลังเงียบ เข้าคูหากาเบอร์ 37 และเลือกผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคพลังประชารัฐ

,

“ชาญกฤช” ไขข้อข้องใจ ทำไมนายกฯ คนที่ 30 ต้องชื่อ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” พร้อมปลุกพลังเงียบ เข้าคูหากาเบอร์ 37 และเลือกผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคพลังประชารัฐ

เมื่อวันที่ 9 พ.ค. 66 นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐ เปิด 5 คุณสมบัติของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่เหมาะสมจะก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ดังนี้

คุณสมบัติที่ 1 การลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ เพื่อผ่านการเลือกตั้งจากประชาชนทั้งประเทศตามวิถีประชาธิปไตย เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากประชาชน มีความสง่างามในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดังคำพูดของ พล.อ.ประวิตร ที่ระบุว่า “ถ้าผมไม่มีชื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง แล้วผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่าประชาชนเลือกผมด้วย ไม่ใช่กาบัตรเลือกคนอื่น แล้วผมเป็นแค่ผลพลอยได้ ผมจึงเลือกที่จะเป็นทั้งหัวหน้าพรรค ผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ผมมั่นใจว่า คะแนนที่ได้มานั้น ประชาชนเลือกผม” คุณสมบัติที่ 2 การเป็นมือประสาน 10 ทิศ สามารถทำงานกับฝ่ายการเมืองได้กับ​ทุกพรรค ทุกฝ่าย โดยเฉพาะการเป็นผู้จัดการประสานการจัดตั้งรัฐบาลเมื่อปี 2562 ดังปรากฎในผลโพล ที่ประชาชนต่างยกให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง และเป็นนายกรัฐมนตรีที่จะสามารถประสานงานจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างราบรื่น ไม่เกิดการแบ่งสี แบ่งขั้ว คุณสมบัติที่ 3 สามารถทำงานกับข้าราชการ และเข้าถึงคนรุ่นใหม่ โดยเปิดโอกาสให้เยาวชน นิสิต นักศึกษาเข้าพบ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันบ่อยครั้งอย่างเป็นกันเอง คุณสมบัติที่ 4 การเป็นผู้มากบารมี สามารถเชื้อเชิญบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ ให้มาร่วมกันแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน และทำงานขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้าโดยไม่สะดุด หรือไร้รอยต่อระหว่างเปลี่ยนผ่านรัฐบาล โดยเห็นได้จากดรีมทีมเศรษฐกิจของพรรค ซึ่งล้วนเป็นกูรูเศรษฐกิจระดับแนวหน้าของประเทศ และคุณสมบัติที่ 5 พล.อ.ประวิตร จะเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ เกิดความมั่นคงตลอดระยะเวลา 4 ปี โดยไม่ต้องเปลี่ยนตัวผู้นำกลางคัน ทำให้เกิดความต่อเนื่อง และเกิดความเชื่อมั่นทั้งประชาชนคนไทยและนักลงทุนต่างชาติ

“พล.อ.ประวิตร มีความพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าท่านจะเดินช้า แต่ระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ขาทั้งสองข้างของท่าน ได้ลงพื้นที่ไป 77 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนในทุกเรื่อง หวังให้ประชาชนพ้นจากความยากจนและคลายทุกข์ลงได้ ทั้งปัญหาที่ดินทำกิน ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง และปัญหาปากท้อง เช่นเดียวกับครั้งนี้ พล.อ.ประวิตร จะขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยสมอง สองมือ และประสบการณ์ที่มีของตัวท่านเอง ทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข และประชาชนอยู่ดีกินดี ขอเพียงพี่น้องประชาชนเปิดใจเลือก พล.อ.ประวิตร และเลือกพรรคพลังประชารัฐ เข้ามาทำหน้าที่ เพื่อทลายปัญหาความขัดแย้ง และนำพาประเทศไทยก้าวข้ามความยากจนไปได้อย่างยั่งยืน” นายชาญกฤช กล่าว

โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ ​ขอให้คนไทยใช้โอกาสการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ในวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค.นี้ พิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบในการเลือกผู้นำประเทศและผู้แทนฯ ของตัวเอง เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ จะเป็นการชี้ชะตาอนาคตประเทศไทยในอีก 4 ปีข้างหน้า พร้อมเชิญชวนประชาชนให้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค.นี้ และหากพรรคพลังประชารัฐคือคำตอบ โปรดอย่าลังเลที่จะเลือกหมายเลข 37 บนบัตรเลือกตั้งสีเขียว และเลือกผู้สมัครฯ ของพรรคทั่วประเทศ ผ่านบัตรเลือกตั้งสีม่วง เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย ให้ก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 พฤษภาคม 2566

“ศันสนะ”ลงพื้นที่วอนชาวฝั่งธนกาเบอร์1 ชูนโยบายหยุดสุรา-กัญชาเสรี-ยาเสพติด

,

“ศันสนะ”ลงพื้นที่วอนชาวฝั่งธนกาเบอร์1
ชูนโยบายหยุดสุรา-กัญชาเสรี-ยาเสพติด

ดร.ศันสนะ สุริยะโยธิน ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตธนบุรี-คลองสาน-ราษฎร์บูรณะ พรรคพลังประชารัฐ หมายเลข 1 กล่าวถึงการลงพื้นที่ขณะนี้ว่า เมื่อวานนี้ตนพบผู้เสียชีวิตอีกแล้ว ตรงบริเวณริมถนนในซอยโกวบ๊อ ซึ่งเป็นจุดใกล้เคียงกับผู้เสียชีวิตรายก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าจะเสียชีวิตเพราะความร้อน แต่ผู้ตายดื่มสุราเมามานอนเต๊นท์ขายของริมถนน ซึ่งเมื่ออากาศร้อนอยู่แล้ว ยิ่งดื่มสุรา ก็ยิ่งร้อนทั้งภายนอกและภายใน
ทั้งนี้ตนเคยพูดถึง ร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า’ หรือ ร่าง พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่เคยมีความพยายามของพรรคการเมืองหนึ่งให้ผ่านสภา โดยอ้างว่าเป็นการเปิดช่องให้ประชาชนทั่วไปมีโอกาสทำธุรกิจ โดยไม่ต้องเจออุปสรรคเรื่องเงินทุนที่สูงไป และเพื่อหยุดการผูกขาดของนายทุน ซึ่งในประเด็นนี้ตนไม่เห็นด้วย เพราะมีคำถามว่า สุราเสรีหยุดนายทุน 2-3 รายได้จริงหรือ เพราะนายทุนก็เปิดบริษัทย่อยมาคุมตลาดได้ และยังเพิ่มนายทุนรายย่อยที่อยากทำสุราขาย ชาวบ้านประชาชนจะมาปั้นตัวเองผลิตสุราขายหรือส่งออกได้ ต้องมีทุนเพียงพอ
“ทุกวันนี้คนในสังคมมีแต่การรณรงค์ และข้อห้ามหลายอย่างในการลดการดื่ม อุปสรรคที่เกิดขึ้นทำให้ระดับนายทุนใหญ่ยังสะเทือน แล้วรายเล็กที่อยากจะเข้ามาในธุรกิจนี้จะทำอย่างไร เรื่องหยุดสุราเสรี หรือยาเสพติดเสรี ไม่ใช่เรื่องของพรรคพลังประชารัฐ แต่เป็นความตั้งใจส่วนตัว ที่ไม่สนับสนุน ในขณะที่เรายังไม่พร้อม และการตัดสินเรื่องระดับชาติ ก็จำเป็นที่ต้องคำนึงถึงอนาคตของลูกหลาน ที่จะเป็นผู้ดื่มหน้าใหม่เร็วเกินไป ผมห่วงในฐานะพ่อคนหนึ่ง”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 พฤษภาคม 2566

ดร.ลั่น – สฤษดิ์ ไพรทอง ลงพื้นที่เยาวราชหาเสียงโค้งสุดท้าย พบแฟนคลับต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมชูนโยบายท่องเที่ยวแก้เศรษฐกิจปากท้องเร่งด่วน ผลักดันกรุงเทพฯชั้นในสู่จุดหมายที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องมาเยือน ย้ำทำได้ทันทีไม่ต้องรอ

,

ดร.ลั่น – สฤษดิ์ ไพรทอง ลงพื้นที่เยาวราชหาเสียงโค้งสุดท้าย พบแฟนคลับต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมชูนโยบายท่องเที่ยวแก้เศรษฐกิจปากท้องเร่งด่วน ผลักดันกรุงเทพฯชั้นในสู่จุดหมายที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องมาเยือน ย้ำทำได้ทันทีไม่ต้องรอ

ดร.สฤษดิ์ ไพรทอง หรือ ดร.ลั่น ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กรุงเทพมหานคร เขต 1 หมายเลข 11 กล่าวในระหว่างลงพื้นที่หาเสียงย่านเยาวราชว่า จากการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนในช่วงที่ผ่านมา เสียงสะท้อนที่ได้รับฟังส่วนใหญ่ที่ต้องการให้ทางพรรคฯ ผลักดันเร่งด่วนยังคงเป็นเรื่องเศรษฐกิจและปัญหาปากท้อง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาปากท้องประชาชนโดยเร็วเช่นกัน

ทั้งนี้ หนึ่งในนโยบายของ พปชร.นั้น จะมีนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ผ่านกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาท เพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นมหานครแห่งอาเซียน เพื่อเร่งนำเงินเข้าประเทศให้เร็วที่สุด ตามนโยบายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคฯ เนื่องจากการท่องเที่ยวเป็นช่องทางที่เร็วที่สุดในการหารายเข้าประเทศ เพราะการท่องเที่ยวนั้น ไม่ต้องรอการก่อสร้าง รอเพียงแต่นักท่องเที่ยวมาในประเทศ ก็ได้เงินเข้าประเทศทันที ซึ่งกรุงเทพฯเป็นหมุดหมาย และเป็นแลนด์มาร์คการท่องเที่ยวของภูมิภาคนี้อยู่แล้ว
.
ขณะเดียวกัน ในพื้นที่กรุงเทพฯชั้นใน มีย่านการค้าและการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวรู้จักดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นย่านของกินชื่อดังอย่างเยาวราช ย่านศิลปวัฒนธรรมอย่างพระบรมมหาราชวัง และย่านถนนข้าวสาร ซึ่งสามารถพัฒนาพื้นที่ใกล้เคียงต่อยอดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวไปสู่ชุมชนต่าง ๆ ในพื้นที่ได้เช่นกัน

พร้อมกันนี้ ดร.สฤษดิ์ ยังได้นำเสนอ นโยบายลดค่าครองชีพให้กับประชาชน หาก พปชร.ได้เป็นรัฐบาล ที่จะผลักดันทันที เช่น ลดค่าไฟฟ้าเหลือหน่วยละ 2.50 บาท, ลดราคาน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 6.30 บาท และเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุแบบขั้นบันได คือ ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็น 3,000 บาทต่อเดือน, อายุ 70 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็น 4,000 บาทต่อเดือน อายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็น 5,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น

สำหรับบรรยากาศในการลงพื้นที่เยาวราช ของดร.สฤษดิ์ ในครั้งนี้ ยังคงมีประชาชน พ่อค้า แม่ค้า และแฟนคลับ ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมกับส่งเสียงเชียร์เหมือนเช่นเคย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 พฤษภาคม 2566