โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

วัน: 30 มีนาคม 2023

“พล.อ.ประวิตร”ประกาศ ก้าวข้ามความขัดแย้ง ก้าวข้ามความยากจน เปิดขุนพล400เขต ชู นโยบายแก้ไขปัญหาปากท้อง ฟื้นฟูเศรษฐกิจสู่โอกาสใหม่ ทำได้ทันที

,

“อุตตม” ชู นโยบาย3 เร่งด่วน-8 เร่งรัด “พปชร.” พลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทยให้ยั่งยืน

วันที่ 30 มีนาคม 2566 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร.พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค,นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค,นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมดูแลการเลือกตั้ง ส.ส.กทม.และแกนนำภาคร่วมงานพร้อมเพรียง และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ จัดกิจกรรม “เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต ทั่วประเทศ และว่าที่ผู้สมัครสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พร้อมเปิดนโยบายพรรคพลังประชารัฐ” ร่วมกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. 400 เขตทั่วประเทศ และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ที่จะนำนโยบายของพรรคที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ผ่านกลไกนโยบายที่พรรคจะนำเสนอ ทั้งทางด้านสวัสดิการประชารัฐ สังคมประชารัฐ และเศรษฐกิจประชารัฐ ที่มีเป้าหมายให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากจน มั่นใจได้ว่าทุกนโยบายพร้อมทำได้ทันทีเมื่อได้เป็นรัฐบาล ที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย ได้มีอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ที่ยั่งยืน

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวบนเวทีว่า สวัสดีครับพี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านวันนี้ ผมรู้สึก อบอุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง การเลือกตั้งในครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐ พร้อมแล้วที่จะเข้ามารับใช้ประชาชน ผมอยากจะสื่อสารให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทราบว่าคนไทยทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพี่น้องร่วมชาติ ที่ผ่านมา ประเทศของเราพัฒนาได้ยาก เพราะความขัดแย้ง และความแตกแยก ผมจึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมใจกัน ก้าวข้ามความขัดแย้ง ด้วยความรัก ความเข้าใจเห็นอกเห็นใจ ซึ่งกันและกัน

“ผมพร้อม ที่จะประสานประโยชน์ กับทุกฝ่ายพร้อมที่จะนำ ความรัก ความสามัคคีมาสู่ ประเทศชาติ ของเราคนไทย ต้องรักกันสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อสร้างความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรืองให้กับ ประเทศชาติ และประชาชน เมื่อเราก้าวข้ามความขัดแย้งได้เราก็จะมีพลัง ที่จะก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน”

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พี่น้องครับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของท่านทั้งหลายที่จะให้พรรคใดมาบริหารประเทศ พรรคพลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมายดังที่ได้รับชมในวีดิทัศน์ไป เมื่อสักครู่นี้แล้ว ทีมเศรษฐกิจของเราคิดไว้มากมาย การเลือกตั้งครั้งนี้ถ้าเราได้คะแนนมาเป็นที่หนึ่งจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ทันที ขับเคลื่อนนโยบายที่ทำไว้ ทั้งนโยบายบัตรประชารัฐ 700 บาท ต่อเดือน การลดราคาน้ำมัน ลดราคาแก๊สและลดค่าไฟฟ้า การดูแลคนไทยทุกช่วงวัย ทั้งเบี้ยประชาชน ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป มารดาที่ตั้งท้องตั้งแต่เดือนที่ 5 จะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายจนถึงวันคลอดและดูแล ทารกหลังคลอด จนถึง 6 ขวบ นโยบายในเรื่องน้ำ มีเราต้องไม่มีแล้ง โดยจะพัฒนาแหล่งน้ำ ระบบชลประทานแก้ปัญหา น้ำท่วม น้ำแล้ง น้ำอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อการเกษตรส่งเสริม ตนยืนยันว่ามีเราจะไม่มีแล้งอีกต่อไป ส่งเสริมสิทธิที่ดินทำกิน มีเราต้องมีที่ดินทำกิน ถ้ามีที่ทำกินไม่มีจน จะก้าวข้ามความยากจนได้ เราจะแก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างงาน สร้างรายได้ยกระดับ การศึกษา เศรษฐกิจฐานรากภาคอุตสาหกรรม การคมนาคมและนโยบายอื่น ๆ อีกมากมาย

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหายาเสพติด ทั้งการป้องกันปราบปรามและบำบัดฟื้นฟูอย่างจริงจังเราจะปราบปรามผู้มีอิทธิพล อาชญากรรมข้ามชาติการฉ้อโกงออนไลน์ แชร์ลูกโซ่ และหนี้นอกระบบ เราจะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เราคือครอบครัวเดียวกัน เราจะรักสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียว

“ขอให้เชื่อมั่นผม เชื่อมั่นในพรรคพลังประชารัฐ และผู้สมัครฯ ทั้ง 400 เขต และส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ยืนอยู่ตรงนี้ ผมขอประกาศกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศว่าพวกเราทำได้ และพร้อมแล้วที่จะรับใช้ประชาชน พี่น้องครับวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค. นี้โปรดกาบัตรเลือกพลังประชารัฐ ทั้ง 2 ใบ เลือกทั้งคน เลือกทั้งพรรค เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน”พล.อ.ประวิตร กล่าว

นอกจากนี้ ภายในงานพรรคพลังประชารัฐ ได้นำเสนอคลิปวิดีโอเกี่ยวกับนโยบายที่จะมุ่งฟื้นเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาครบทุกมิติให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วย “นโยบาย 3 เร่งด่วน 8 เร่งรัด” โดย “3 นโยบายเร่งด่วน”ประกอบด้วย 1. แก้หนี้ประชาชน ผู้ประกอบการ ให้เบ็ดเสร็จ เติมทุนด้วยวิธีใหม่ ควบคู่สร้างโอกาสใหม่ โดยทำทันที 2. ดูแลสวัสดิการ เสริมทักษะ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3. การยกระดับคุณภาพชีวิตทุกช่วงวัย

และ “8 นโยบายเร่งรัด” วางรากฐานเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 1. ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมภาคการเกษตร วิสาหกิจชุมชนเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว 2. ยกเครื่องภาคอุตสาหกรรมเดิม สู่เศรษฐกิจใหม่ในอุตสาหกรรม S-curve เพื่อขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจ BCG 3. เร่งพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ ทั้ง อีอีซี และขยายพื้นที่ยุทธศาสตร์ใหม่ 4. ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทุกระบบทั้งถนน ราง น้ำ และอากาศ รวมถึงพัฒนาโครงเครือข่าย 5G ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ การต่อยอดพร้อมเพย์ และเป๋าตังค์ ให้คนไทยเข้าสู่ Digital Economy อย่างแท้จริง 5. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ทั้งระดับปวช. ปวส. ให้เรียนฟรีมีงานทำ พัฒนาแพลตฟอร์มเชื่อมแหล่งงาน เพื่อสร้างรายได้ระหว่างเรียน ส่วนแรงงานเดิมจะส่งเสริมเข้าโปรแกรมเพิ่มทักษะให้สอดรับกับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ 6. ปฎิรูประบบราชการ แก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค เพื่อส่งเสริมให้เกิดเอสเอ็มอีที่มีความเข้มแข็ง 7. ปฏิรูประบบงบประมาณ กระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น สู่การพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เพื่อเข้าสู่งบประมาณสมดุลในระยะยาว เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง ที่ตอบสนองความต้องการของพื้นที่ได้อย่างตรงจุด และ 8. ต่อต้านคอร์รัปชั่นเต็มรูปแบบ สร้างระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ เพิ่มโทษนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชันเป็นสองเท่า รวมถึงมีเทคโนโลยีบล็อคเชนที่จะนำมาใช้ในโครงการประมูลภาครัฐขนาดใหญ่

ทั้งนี้ บรรยากาศภายในงานได้มีประชาชนที่เดินทางมาจากทุกภาคและในกทม.เต็มความจุอัฒจันทร์ โดยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ต่างเดินทักทาย และถ่ายรูปกับประชาชนที่ถือป้ายไฟส่งเสียงต้อนรับว่าที่ผู้สมัครอย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ยังมีศิลปินดารา กลุ่มนางงาม,นายแบบ,อินฟลูเอนเซอร์จากหลากหลายอาชีพ ,LGBTQ,กลุ่มนักแข่งเกมส์ อีสปอร์ต มาร่วมรับฟังนโยบายของพรรค พปชร.ด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 30 มีนาคม 2566

“สนธิรัตน์” ประกาศ ทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ พร้อมทำงานทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล

,

“สนธิรัตน์” ประกาศ ทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ พร้อมทำงานทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล // ตั้งเป้าเพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศไทย // หนุนมิติความยั่งยืน ส่งเสริมเครื่องยนต์ Soft Power-การท่องเที่ยว สร้างรายได้เข้าประเทศ // ขยายเขตเศรษฐกิจพิเศษทั่วประเทศ ดึงดูดนักลงทุน

วันที่ 30 มี.ค. 2566 ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ ร่วมเวทีตอบคำถามจากภาคธุรกิจ พร้อมนำเสนอนโยบาย ในงานเสวนา “มุมมองของภาคธุรกิจต่อนโยบายขับเคลื่อนประเทศ” ซึ่งจัดขึ้นโดยหอการค้าไทย โดยมีตัวแทนภาคธุรกิจ เอกชน และพรรคการเมืองเข้าร่วม

นายสนธิรัตน์ กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ว่า ทันทีที่พรรคพลังประชารัฐเป็นรัฐบาล นโยบายด้านเศรษฐกิจหลักๆ ที่พรรคจะบูรณาการและทำทันที คือ 1. การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ด้วยมิติความยั่งยืน โดยการนำ BCG เป็นกรอบของการผลักดันนโยบาย ควบคู่มิติใหม่คือ ESG เช่น ในภาคการเกษตร ต้องสนับสนุนเรื่อง Smart Agriculture เพื่อให้เราเป็นฐานใหญ่เรื่องความสามารถในการแข่งขันภาคเกษตรของโลก 2. ส่งเสริมซอฟท์พาวเวอร์ และการท่องเที่ยวชุมชน ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่สำคัญของรัฐบาลในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ โดยการท่องเที่ยวที่ดีจำเป็นต้องเชื่อมโยงซอฟท์พาวเวอร์และเศรษฐกิจฐานราก อาทิ ชอฟท์พาวเวอร์สายศรัทธา อาหาร เป็นต้น 3. ต่อยอดโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ (อีอีซี) ให้เกิดประสิทธิภาพ และบรรลุผลตามที่เริ่มไว้ โดยเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ เช่น ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใต้ ตะวันตก และเหนือ เพื่อเป็นเครื่องยนต์ใหม่ในการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมของประเทศ เพราะอีอีซีไม่เพียงยกระดับอุตสาหกรรม แต่จะดึงดูดการลงทุน นักลงทุนเข้ามาในประเทศ

“ทันทีที่พรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล ซึ่งมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เป็นบุคคลที่นำพาประเทศก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อขับเคลื่อนสังคม เศรษฐกิจของประเทศ ให้ก้าวข้ามผ่านทุกวิกฤติ วันนี้ เราขอแสดงความมุ่งมั่นว่า พรรคพลังประชารัฐมีความพร้อม ทั้งในด้านนโยบาย และบุคคลากรที่มีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมือง พร้อมที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ทั้งนี้ในช่วงการตอบคำถาม นายสนธิรัตน์ ได้ตอบคำถามในประเด็นการส่งเสริมภาคธุรกิจเกษตร และอาหาร เรื่องนโยบายหรือแผนงานเกี่ยวกับการสร้างมูลค่าเพิ่ม และประสิทธิภาพการแข่งขันด้านการเกษตร และอาหารของประเทศไทยในเวทีโลกว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งของประเทศ แต่ปัญหาคือภาคเกษตรมีแรงงานเกี่ยวข้องมาก แต่ยังขายสินค้าเป็นชุมชน ซึ่งที่ผ่านมาพรรคพลังประชารัฐพยายามยกระดับ และเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการของกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ ยังต้องแก้ไขเรื่องการบริหารให้สอดรับกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อสร้างมูลค่า และความยั่งยืน

นายสนธิรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การนำสินค้าเกษตรไปสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้ไทยเป็นครัวของโลก จะต้องมีการสร้างแพลตฟอร์มด้านอาหาร และสินค้าเกษตรในระดับโลกที่เป็นของเราเอง เช่น นโยบาย From Farm to Table ที่เป็นจุดแข็ง และต้องเร่งสนับสนุน เพื่อนำสินค้าเกษตรไปสู่ระดับโลก และสอดรับกับซอฟท์พาวเวอร์การท่องเที่ยวของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม สินค้าเกษตรไม่เพียงแค่เรื่องอาหาร แต่ยังรวมถึงเรื่องพลังงาน คือการเปลี่ยนพืชเศรษฐกิจเป็นไบโอเจ็ท นอกจากนี้ ควรใช้จุดแข็งในการเป็นประเทศเกษตรกรรม ดำเนินการเรื่องคาร์บอนเครดิต เพื่อเป็นอีกช่องทางในการเพิ่มรายได้ให้ประเทศ ทั้งหมดนี้หากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล จะเร่งขับเคลื่อนในทันที เพื่อฟื้นเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาแข็งแกร่ง และสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 30 มีนาคม 2566