โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

วัน: 9 มีนาคม 2023

“สนธิรัตน์” ประกาศนโยบายพลิกโฉมเศรษฐกิจประเทศไทย// เร่งยกระดับเครื่องยนต์เศรษฐกิจเดิม เพิ่มเติมเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่// ย้ำ ขอก้าวข้ามความขัดแย้ง จัดตั้งรัฐบาล นำทุกนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้สำเร็จ

,

“สนธิรัตน์” ประกาศนโยบายพลิกโฉมเศรษฐกิจประเทศไทย// เร่งยกระดับเครื่องยนต์เศรษฐกิจเดิม เพิ่มเติมเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่// ย้ำ ขอก้าวข้ามความขัดแย้ง จัดตั้งรัฐบาล นำทุกนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้สำเร็จ

วันที่ 9 มี.ค. 2566 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ ร่วมแสดงวิสัยทัศน์สู่สนามเลือกตั้งปี 2566 ในงาน IBusiness Forum 2023 “The Next Thailand’s Future : จุดเปลี่ยนประเทศไทยสู่ความยั่งยืน”

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า หากพรรคพลังประชารัฐได้เข้าไปบริหารเศรษฐกิจของประเทศหลังการเลือกตั้ง ต้องนำ 4 เครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยกลับมาเน้นย้ำ ได้แก่ การท่องเที่ยวการส่งออก การลงทุน และการใช้จ่ายภาครัฐ โดยการท่องเที่ยว จะเป็นเครื่องจักรสำคัญในด้านเศรษฐกิจ ซึ่งนโยบายของพรรคพลังประชารัฐคือจะใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วเติมเข้าไป ไม่ใช่เฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยว แต่ยังรวมถึงเรื่องคุณภาพของการท่องเที่ยว ทั้งนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูงหรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยเชื่อมโยงการท่องเที่ยวชุมชนกับการท่องเที่ยวเชิงมหภาคด้วย

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า สำหรับการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ พรรคพลังประชารัฐเคยผลักดันมาแล้วตั้งแต่การก่อตั้ง EEC และการขับเคลื่อนโครงสร้างการส่งออกที่ไปอยู่ในเครื่องยนต์ใหม่ ๆ เพิ่มความสามารถของเศรษฐกิจใหม่ๆ ภายใต้การขับเคลื่อน 3 เรื่องเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ Innovation Economy, Digital Economy และ BCG ที่เรามีอยู่แล้ว โดย BCG ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะสอดรับกับจุดแข็งของประเทศไทยที่เป็นประเทศเกษตร ซึ่งการส่งออกต้องเปลี่ยนผ่านโครงสร้างของการส่งออกในประเทศไทยทั้งภาคเกษตร และอุตสาหกรรม รวมทั้งเตรียมพร้อมต่อการแข่งขันให้ได้

นอกจากนี้ นายสนธิรัตน์ ยังได้กล่าวถึง 5 นโยบายเร่งด่วนที่สำคัญที่พรรคพลังประชารัฐจะทำประกอบด้วย 1. แก้หนี้ เติมทุน เพิ่มทักษะ สร้างโอกาส 2. บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มวงเงินบัตรประชารัฐ ทำให้เกิดประโยชน์ให้ประชาชนมากขึ้น ยืนยันเดินหน้าต่อยอด เป็นนโยบายหลักของพรรค 3. สิทธิที่ดินทำกิน 4. การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ และป้องกันน้ำท่วม และ 5. การดูแลคนไทยทุกช่วงวัย

“พรรคพลังประชารัฐ ได้ประกาศเป้าหมายที่จะแก้ปัญหาให้เอสเอ็มอีคือเรื่องกองทุนประชารัฐ SMEs Wallet และศูนย์ส่งเสริมเศรษฐกิจ SMEs ครบวงจร รวมถึงการเปลี่ยนบทบาทของรัฐในการส่งเสริมเอสเอ็มอี โดยเฉพาะสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (สสว.) ที่ต้องปรับบทบาทครั้งใหญ่ หากกลไกของรัฐใน สสว. และกระทรวงต่าง ๆ ไม่ปรับบทบาทจะไม่สามารถขับเคลื่อนได้ สสว. ควรเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เชิงนโยบบาย ทำหน้าที่ดูแลงบประมาณ และประเมินผล” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ในเรื่องพลังงาน นายสนธิรัตน์ ระบุว่า มี 3 เรื่องใหญ่ๆ ที่ต้องเปลี่ยนแปลง 1. เรื่องน้ำมัน พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายชัดเจนคือปฏิรูปโครงสร้างน้ำมัน ทำให้ได้ราคาที่เป็นธรรม รวมถึงลดการใช้น้ำมัน โดยจะใช้นโยบายการเปลี่ยนผ่านสู่อีวีเต็มรูปแบบ เปลี่ยนรถเก่าเป็นรถพลังงานอีวี 2. เรื่องไฟฟ้า มีนโยบายชัดเจนคือจะลดค่าใช้จ่ายให้พี่น้องประชาชน เน้นการติดตั้งโซล่าเซลล์บนหลังคาเรือน รวมถึง Net Metering หากทำเรื่องนี้ได้จะเพิ่มรายได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนและ 3. โรงไฟฟ้าชุมชน จะเป็นอีกนโยบายหลักของพรรคพลังประชารัฐด้วย ทั้งหมดคือสิ่งที่เราต้องเร่งยกระดับเครื่องยนต์เดิม เพิ่มศักยภาพเครื่องยนต์ใหม่ ทั้งเรื่องอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์ ท่องเที่ยว เกษตรและเทคโนโลยี เรื่องการเกษตร นโยบายของพรรคเราต้องเปลี่ยนผ่านเกษตรสู่เกษตรพลังงาน ไบโอเจ็ท หรือน้ำมันเครื่องบินจากพืชพลังงาน

“ผมขอเน้นย้ำว่า ไม่ว่านโยบายใดจะดีแค่ไหนอย่างไร หากประเทศมีการเมืองที่ไม่มั่นคง มีการเมืองเชิงความขัดแย้ง สิ่งที่เป็นนโยบายทั้งหลายนั้นก็เป็นเพียงนโยบายในการหาเสียง แต่ไม่สามารถขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติได้ วันนี้ พรรคพลังประชารัฐจึงได้ประกาศแล้วว่า จะก้าวข้ามความขัดแย้ง และพร้อมนำพาประเทศไทยให้มีความสมดุลทางการเมือง และนำทุกนโยบายที่เราได้หาเสียง ไปสู่การปฏิบัติให้สำเร็จ” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 มีนาคม 2566

“ศ.ดร.นฤมล”เผย 18 มี.ค.เปิดเวทีกลางกรุงพบประชาชน เปิดโฉม 33 ว่าที่ผู้สมัครเคาะประตูชูนโยบายเข้าถึงทุกพื้นที่

,

“ศ.ดร.นฤมล”เผย 18 มี.ค.เปิดเวทีกลางกรุงพบประชาชน เปิดโฉม 33 ว่าที่ผู้สมัครเคาะประตูชูนโยบายเข้าถึงทุกพื้นที่

วันที่ 9 มี.ค. ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงการเปิดปราศรัยใหญ่ใน กทม. ของพรรคพลังประชารัฐ ในวันที่ 18 มี.ค.นี้ เวลา 17.00น. ลานคนเมือง กทม. ว่า เป็นการเปิดตัว ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ทั้ง 33 เขต โดยมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มาร่วมสร้างขวัญและกำลังใจ พร้อมด้วยการนำเสนอนโยบายของพรรคสำหรับ คนกทม. ที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวกทม.แต่ละเขต เพราะด้วยความปัญหาและความแตกต่างของบริบทพื้นที่ ซึ่งพรรคพร้อม รับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชน ผ่าน 33 ว่าที่ผู้สมัครพปชร.ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ มีประสบการณ์ในพื้นที่จริง และพร้อมทำด้วยหัวใจ

ทั้งนี้ หลังจากจัดเวทีปราศรัยใหญ่ในกทม. จะจัดมีการจัดเวทีปราศรัยย่อยในแต่ละพื้นที่ใน กทม. ทั้งในกทม.ฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก เพื่อที่จะนำเสนอนโยบายให้สอดรับกับพื้นที่ ซึ่งขณะนี้ได้วางตัวผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค เกือบครบทุกเขตแล้ว ซึ่งยังมีเพียงบางพื้นที่ที่ทาง กกต.มีการแบ่งเขตใหม่ คือลด 4จังหวัดและเพิ่ม 4 จังหวัดรวมถึงในกทม. อย่างไรก็ตามพรรคตั้งเป้าจะได้ส.ส.กทม.มากว่าเดิม หลังจากรอบที่แล้วได้ ส.ส.มา 12 คน เพราะเชื่อมั่น ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรคที่มี มีของดีอยู่ในตัว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 มีนาคม 2566

พปชร.ดันนโยบาย”บ้านประชารัฐ 360 องศา” ลดปัญหาเหลื่อมล้ำคนเมือง ส่งว่าที่ผู้สมัครทุกเขตสแกนความต้องการปชช. สร้างความมั่นคงที่อยู่อาศัย

,

พปชร.ดันนโยบาย”บ้านประชารัฐ 360 องศา” ลดปัญหาเหลื่อมล้ำคนเมือง ส่งว่าที่ผู้สมัครทุกเขตสแกนความต้องการปชช. สร้างความมั่นคงที่อยู่อาศัย

วันที่ 9 มีนาคม พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) จัดงานเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของว่าที่ผู้สมัครและตัวแทนชุมชนเพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบาย พปชร. ภายใต้หัวข้อ “บ้านประชารัฐ 360 องศา เข้าใจ เข้าถึง ทำได้จริง” โดยมีศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัครกทม. พปชร. นักวิชาการ และตัวแทนชุมชน ประกอบด้วย นางสาวชญาภา ปรีฎาพากย์ ว่าที่ผู้สมัครสส.เขตบางคอแหลม ยานนาวา นายภูวกร ปรางภรพิทักษ์ นายระพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธา นายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ ว่าที่ผู้สมัครสส.กรุงเทพ อ.สุนีย์ ไชยรส รองคณบดีฝ่ายพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ นายศุ บุญเยี่ยม เลขาชุมชนเชื้อเพลิง 2 ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนำเสนอมุมมองและปัญหาที่ของคนกรุงเทพที่เกิดขึ้น ที่จะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน โดยในเวทีครั้งนี้ได้นำเสนอประเด็นปัญหาเรื่องของที่อยู่อาศัย ซึ่งถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่พรรคมีความเข้าใจปัญหาเมืองในทุกมิติ จากการเข้าถึงข้อมูล ด้วยการศึกษา วิจัย และ สามารถทำได้ จริงทั้งด้านการเงิน และให้อยู่ได้ภายใต้กรอบของ กฎหมาย ผ่านว่าที่ผู้สมัครทั้ง 33 เขต ที่ได้ลงพื้นที่มาอย่างยาวนาน เพื่อรวบรวมข้อมูล และสะท้อนปัญหาที่แท้จริงของประชาชน สู่นโยบายของกทม. ให้สอดรับกับนโยบายกลางของพรรคในนโยบาย “มีเรา มีที่ทำกิน มีที่ดินไม่มีจน”

“ เราอยากทำให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นโดยจะมีโมเดล บ้านประชารัฐ ที่เราจะทำเพิ่มเติม ในแต่ละเขต ซึ่งจะหาเขตที่เหมาะสม โดยเริ่มต้นจากเขตเอกมัย 19 ซึ่งการทำโมเดล พัฒนาบนพื้นฐาน ทำแบบเข้าใจ เข้าถึงและทำได้จริง มีความเป็นไปได้ทางการเงิน กฎหมาย จะทำอย่างไร เพื่อให้คนกทม.มีบ้าน มีหลักค้ำประกันชีวิต สำหรับครอบครัว ทำให้สังคมมีชีวิตความเป็นอยู่ในกทม.ที่ดีขึ้น โดยเริ่มต้นจากเวทีนี้เป็นเวทีแรก และเวทีต่อไปวันที่ 16 มีนาคม 2566 ที่จะมีประเด็นทางด้านมิติสังคม ตามสโลแกนของพรรค “ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่” โดยเฉพาะในเรื่องคำว่าก้าวข้าม เป็นก้าวข้ามในมิติด้านใดบ้าง ที่ต้องการแก้ไขปัญหากับประชาชน สังคม และประเทศ”

นางสาวชญาภา กล่าวว่า ภายหลังจากการได้ลงพื้นที่เป็นระยะเวลาหลายเดือน พบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยของคนฐานรากที่เรื้อรังมานาน โดยในปัจจุบันที่ดินในเขตยานนาวามีมูลค่าที่แพงขึ้นมาก ทำให้คนฐานรากซึ่งเป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนแรงงาน รับจ้าง หาบเร่แผงลอย ไปจนถึงกลุ่มคัดแยกขยะ ที่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ใกล้แหล่งงานได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยในเขตยานนาวามีชุมชน 23 ชุมชน ถูกขับไล่ 6 ชุมชน ชาวบ้านต้องไร้ที่อยู่ และบางกลุ่มที่เคยเช่าอยู่ในราคาถูกเมื่อหมดสัญญาก็ไม่ได้รับการต่อสัญญาอีก และมีแนวโน้มอาจถูกขับไล่ ซึ่งปัญหานี้รัฐและเอกชนต้องเข้ามาช่วยเหลือ เพราะหากประชาชนยังไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัย ปัญหาจะตามมาอีกมาก ทั้งที่ประชาชนเหล่านี้ก็คือส่วนหนึ่งที่จะช่วยดูแลบ้านเมือง
“พรรคพลังประชารัฐได้ให้ความสำคัญกับเรื่องที่อยู่อาศัยอย่างมาก หากประชาชนมีที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน โอกาสด้านต่างๆ จะตามมา ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา คุณภาพชีวิตต่างๆ ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำและทำให้คุณภาพชีวิตของเขาดีขึ้น และสังคมที่ดีขึ้นตามมา”

นายภูวกร กล่าวว่า จาการสำรวจพื้นที่อยู่อาศัยของแต่ละชุมชน ในเขตวัฒนาหลายแห่งมีปัญหาถูกไล่รื้อ จากการลงพื้นที่ริมคลอง และ ริมทางรถไฟ มองว่าสามารถนำโมเดลบ้านประชารัฐมาต่อยอดได้ แต่เราต้องใช้การออกแบบยูนิเวอร์แซล ดีไซน์ คือ ต้องสำรวจสมาชิกในชุมชนว่าเป็นกลุ่มใดบ้าง ทั้งเด็ก และ ผู้สูงอายุ เพื่อการออกแบบบ้านให้ทุกคนในสังคมอยู่กันอย่างเท่าเทียม และต้องออกแบบให้เหมาะสมกับท้องถิ่นเข้ากับบริบทชุมชนและสังคม โดยมีการระดมสมองจากทุกภาคส่วน อาจมีการจัดประกวดออกแบบบ้านจากนักศึกษา นักศึกษาต้องไปทำการบ้านกับชุมชน โดยเน้นย้ำการ “อัพเกรดคุณภาพชีวิต” ของประชาชนในชุมชนเมือง รวมถึงการทำสิ่งแวดล้อมในชุมชนให้ดีขึ้น เช่น การบำบัดน้ำสีย เราเชื่อว่าถ้าบ้านดี สังคมจะดีตามมา

นายระพีพัฒน์ กล่าวว่า เรื่องที่อยู่อาศัยมีหลายมิติ สิ่งสำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ ต้องมีพื้นที่สันทนาการ สิ่งแวดล้อม และ สาธารณูปโภค เรามองว่าในส่วนของบ้านประชารัฐ คือ แผนระยะสั้น ส่วนแผนระยะยาวเราอยากปฏิรูปที่ดิน จัดสรรใหม่ โดยนำที่ดินธนารักษ์มาช่วยให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยที่ทำกิน สำหรับบ้านประชารัฐอาจมีการปฏิรูปใหม่โดยสร้างเป็นตึกและต้องตอบโจทย์การทำกิน มีที่จอดรถซึ่งเป็นเครื่องมือที่เขาใช้ทำมาหากิน นอกจากนี้เราจะทำที่พักผ่อนหย่อนใจพื้นที่สาธารณะ เพื่อให้กลายเป็นแหล่งทำกินของชาวบ้าน ทำให้เป็นพื้นที่ที่ทำคนในสังคมเมืองใช้ร่วมกัน โดยมองว่าปัจจุบันนี้มีกฎหมายการลงทุนของรัฐกับเอกชนแล้ว เราสามารถเอาที่ดินของรัฐมาปฏิรูปให้เอกชนมาลงทุนแล้วจัดพื้นที่ทำกิน จัดให้เป็นพื้นที่กิจกรรมงานศิลปะเพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาเกิดการค้าขายให้เงินไหลเวียน โดยจะต้องหา 1 พื้นที่ 1 เขต จะผลักดันให้โมเดลนี้เกิดขึ้นกระจายทุกเขต เพื่อเป็นต้นทุนชีวิตให้เราทุกคน

นายตรีสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องที่อยู่อาศัยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องไม่ต่ำกว่า 15 ฉบับ ทำให้หลายครั้งนโยบายเรื่องที่อยู่อาศัยเกิดการติดขัด และไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง สิ่งที่พรรคพลังประชารัฐจะทำหากได้รับเลือกเข้าไปในสภา คือ เราจะรวบรวมกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แล้วไปผลักดันนโยบายต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหา ทั้งกลุ่มที่มีที่อยู่อาศัยอยู่แล้วแต่สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม และ กลุ่มที่ไม่มีที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะการอุดหนุนงบประมาณผ่านกองทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยของกทม. โดยจากเดิมที่กทม.ได้งบประมาณเพียง 1 หมื่นล้านบาท ก็จะอุดหนุนเพิ่มอีก 1 หมื่นล้านบาท พร้อมกับนำที่ดินธนารักษ์ที่คาดว่ามีอยู่ในกทม.ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านไร่ มาพัฒนาเพื่อให้คนเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และวันนี้พลังประชารัฐก้าวข้ามความขัดแย้ง ไม่ว่า ผู้ว่าฯกทม.จะเป็นใคร เราสามารถทำงานโดยก้าวข้ามความขัดแย้งอย่างแน่นอน
ด้าน อ.สุนีย์ ไชยรส รองคณบดีฝ่ายพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต มาร่วมให้ความคิดเห็นในเวทีนี้ด้วย กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าปัญหาคนไม่มีที่ทำกิน ส่วนมากเกี่ยวข้องกับที่ของรัฐ และ ปัญหาก็คือกฎหมายการไล่รื้อจับ มองว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต้องเร่งสำรวจภาพรวมว่าใครอยู่ในสถานการณ์อะไร ข้อมูลต้องชัด การวางแผนพื้นที่ทั้งหมดว่าสถานการณ์ ออกแบบการแก้ปัญหาให้นึกถึงระยะยาว ไม่ใช่แค่มีบ้าน จำเป็นต้องมีสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต เช่น ศูนย์เลี้ยงเด็กคุณภาพใกล้ชิดชุมชน เป็นต้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 มีนาคม 2566