โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

เดือน: มีนาคม 2023

สันติ-ชัยวุฒิ เยือนกรุงเก่าพบปชช.ต่อเนื่องย้ำนโยบายพปชร.เข้าถึงทุกกลุ่ม เลือก”พล.อ.ประวิตร”เป็นนายกฯผลักดันพัฒนาเศรษฐกิจทุกระดับเข้มแข็ง

,

สันติ-ชัยวุฒิ เยือนกรุงเก่าพบปชช.ต่อเนื่องย้ำนโยบายพปชร.เข้าถึงทุกกลุ่ม เลือก”พล.อ.ประวิตร”เป็นนายกฯผลักดันพัฒนาเศรษฐกิจทุกระดับเข้มแข็ง

วันที่ 31 มีนาคม 2566 เวลา 17.30 น.นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ พร้อม ด้วยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ร่วมเวทีปราศรัย วัดลาดทราย อ.วังน้อย จ.พระนครอยุธยา โดยมีนายพิตติพรรธน์ พรรณธนะ เขต 4 นายภูมินทร์ มงคลกาย เขต 5 นายชณทัต ปัทะมะภูวดล เขต 3 แนะนำตัวให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยเสนอนโยบายที่มุ่งช่วยปากท้องชาวอยุธยา

นายสันติ กล่าวว่า ว่าที่ผู้สมัครทั้ง 3 เขต มีความตั้งใจที่จะเสนอตัวในการรับใช้พี่น้องประชาชนอย่างจริงใจและจริงจัง และขอให้มั่นใจได้ว่า ทุกคนเป็นพลังของพรรคพลังประชารัฐ เป็นพื้นที่ความหวัง และความตั้งใจของพรรค ที่ทุกคนจะสามารถได้รับการตอบรับจากประชาชน เลือกมาเป็นตัวแทนที่สามารถผลักดันนโยบายต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน พร้อมกับนำความเจริญและเดินหน้าพัฒนาจังหวัด ทั้งในด้านการส่งเสริมอาชีพ สร้างความก้าวหน้าในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องผ่านกลไกของพรรค และรัฐบาล

นายสันติ กล่าวต่อว่า นอกจากนโบายบัตรสวัสดิการประชารัฐ ที่จะเพิ่มเงินเป็น 700 บาทต่อเดือน เรายังมีนโยบายบุตร ธิดา ประชารัฐ เพื่อส่งเสริมด้านสุขอนามัย และลดภาระการเลี้ยงดูบุตร ให้กับสตรีผู้เป็นเพศแม่ ซึ่งถือเป็นผู้สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ในการเพิ่มจำนวนประชากร เพราะมีส่วนสำคัญในการสร้างบุคลากรเพื่อการพัฒนาประเทศต่อไป แต่ต้องยอมรับประเทศประสบปัญหา ผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้พรรค ออกนโยบายดูแลผู้สูงอายุ เพิ่มเงินเบี้ยสวัสดิการประชารัฐ 345 678 ที่พร้อมดูแลผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไปได้ 3,000 บาท 70 ปี 4,000 บาท และ 80 ปีขึ้นไป 5,000 บาท

“ส่วนเป้าหมายที่จะสร้างแหล่งเงินให้เข้าถึงประชาชนได้มากยิ่งขึ้น ผ่านนโยบายการเงินการคลัง ซึ่งจะดำเนินการให้เป็นจริง แต่ต้องอาศัยเสียงพี่น้องประชาชน มอบความไว้วางใจให้กับ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรีและว่าที่ผู้สมัครพปชร.เป็นรัฐบาล เพื่อนำนโยบายต่าง ๆ ออกมาช่วยเหลือ รวมถึงการแก้ไขระเบียบการปล่อยกู้ของสถาบันการเงิน โดยให้นำเงินฝากที่อยู่ในระบบ 19-20 ล้านล้านบาท ต้องกำหนดให้แบ่งสัดส่วนการปล่อยกู้อย่างทั่วถึง แบ่งเป็นการจัดสรรเงินฝากในสัดส่วน 50% เพื่อนำมาปล่อยกู้ให้กับประชาชนทั้งคนชั้นกลาง ผู้มีรายได้น้อย โดยให้พี่น้องประชาชน ที่มีความต้องการวงเงินไม่เกิน ระดับ 100,000-500,000 บาท นำไปพัฒนาอาชีพ ไม่ใช่กระจุกไว้ปล่อยสินเชื่อเพียงระดับบนเพียงอย่างเดียว เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถลืมตาอ้าปากได้”

ด้านนายชัยวุฒิ กล่าวว่า ตนดีใจที่เห็นพี่น้องชาวอยุธยามารับฟังข้อมูลที่เป็นประโยชน์จาก พปชร. เนื่องจากพรรคมี นโยบายเพื่อประชาชนออกมาจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ได้สื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ โดยเชื่อว่าประชาชนเข้าใจ และรับรู้นโยบายดีๆ ทั้งนโยบายบัตรสวัสดิการประชารัฐ เพิ่มเป็น 700 บาท นโยบายดูแลผู้สูงอายุ และนโยบายมารดาประชารัฐ ซึ่งพรรคดูแลได้ทุกกลุ่ม และทำได้ทันที

“ที่ผ่านมา พปชร.ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค ซึ่งเป็นผู้ประสานทุกฝ่าย และมีส่วนสำคัญทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ บริหารประเทศได้ 4 ปีเต็ม ซึ่งพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ถือว่ามีเศรษฐกิจที่ดี ค้าขายขยายตัวเจริญรุ่งเรือง ลูกหลานมีอาชีพ และเพื่อให้เกิดความมั่นคงในอาชีพ สำคัญอย่างยิ่ง คือความสงบสุข ที่จะนำมาซึ่งความเชื่อมั่น ให้กับทั้งคนไทยและต่างชาติเข้ามาลงทุน ในอยุธยาเพิ่มขึ้น นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นต่อไป เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชน”

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า ประชาชนบางส่วนยังประสบปัญหาความยากจน พปชร. ไม่เคยมองข้าม โดยที่ผ่านมาได้ร่วมผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน การแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยเฉพาะพื้นที่อ. บางบาน ที่มีปัญหามาก ซึ่งพล.อ.ประวิตร ได้ผลักดันให้มีการขุดคลองระบายน้ำเพิ่มขึ้นอีก 1 สายเพื่อเร่งระบายน้ำไม่ให้เกิดการท่วมขัง
การที่พรรคฝ่ายตรงข้ามพูดสิ่งไม่ดี บอกว่า 8 ปี ไม่มีอะไรเลยนั้น ผมยอมรับว่า หลายคนยังมีความลำบาก แต่วันนี้โลกเปลี่ยนไป ในฐานะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงดีอี ได้มีการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ต และสามารถทำการค้าผ่าน ระบบสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ด้วยการขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ การนำระบบอินเตอร์เนตเพื่อสนับสนุนการค้าระบบใหม่ เพราะวันนี้เมืองไทยพัฒนาไปไกลมากแล้ว เพียงแค่ทุกคนสามารถใช้เครื่องมือสื่อสารผ่านระบบสมาร์ทโฟน ก็เข้าไปขายสินค้าสร้างรายได้รูปแบบใหม่ได้ และยังมีอีกหลายโครงการที่จะทำให้ พี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด

“หากพล.อ.ประวิตรได้เป็นนายก เพิ่มเงินเป็น 700 บาทแน่นอน ต้องบอกว่า วันนี้มีสีเสื้อไม่มีอีกแล้ว หาก บ้านเมืองยังมีปัญหา ทำให้ประชาชนเดือดร้อน นักการเมือง ประชาชน ทะเลาะกัน หากเลือกเรา พปชร. ก็จะได้พรรคการเมืองที่เข้มแข็ง ที่ได้เข้าไปจัดตั้งรัฐบาล พร้อมทำงานให้ประชาชน เพราะเราก้าวข้ามความขัดแย้ง เราทำทุกนโยบายได้ทันที การจัดตั้งรัฐบาลได้ ความขัดแย้งไม่เกิด เราต้องจับมือ เลือกตั้งพรรคที่ดี ไม่ได้เลือกตั้งเพราะเปลี่ยนประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร เรายึดมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องปกป้องรักษา ดังนั้นวันที่ 14 พ.ค.นี้ ขอให้พี่น้อง ประชาชน เลือกทั้งคนและพรรค เพื่อให้ พปชร.ได้เป็นรัฐบาล พร้อมดูแลพี่น้องประชาชน”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 31 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” ตรวจพื้นที่รับน้ำเสีย แหล่งเพาะพันธ์สัตว์น้ำทะเล บางตะบูน เพชรบุรี หวั่นสร้างผลกระทบอาชีพประมงพื้นบ้าน เร่งพัฒนาแหล่งน้ำให้สมบูรณ์ รับท่องเที่ยวขยายตัว ฟื้นศก.ท้องถิ่น

,

“พล.อ.ประวิตร” ตรวจพื้นที่รับน้ำเสีย แหล่งเพาะพันธ์สัตว์น้ำทะเล บางตะบูน เพชรบุรี
หวั่นสร้างผลกระทบอาชีพประมงพื้นบ้าน เร่งพัฒนาแหล่งน้ำให้สมบูรณ์ รับท่องเที่ยวขยายตัว ฟื้นศก.ท้องถิ่น

เมื่อ 31 มี.ค.66 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผอ.กอนช. ได้ลงพื้นที่ไปยัง เทศบาล ต.บางตะบูน อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี และร่วมหารือกับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้รับฟังการบรรยายสรุปภาพรวมของจังหวัดเพชรบุรี จาก ผวจ.และสภาพปัญหา ผลกระทบของน้ำเน่าเสีย ในพื้นที่ ต.บางตะบูน จากนายกเทศมนตรี รวมทั้ง รับทราบรายงานแผนงานและโครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่สำคัญ และแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย ใน 3 จังหวัด (ราชบุรี สมุทรสงคราม และเพชรบุรี) จากเลขาฯ สทนช.

พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวมอบนโยบาย การปฎิบัติงานที่สำคัญ เนื่องจากปัจจุบัน จ.เพชรบุรี มีแหล่งท่องเที่ยวและมีกิจกรรมหลากหลายด้าน จึงมีความต้องการใช้น้ำในปริมาณที่สูงมาก และในบางพื้นที่ยังมีปัญหา สภาพน้ำเน่าเสีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ ของพี่น้องประชาชน โดยได้กำชับ สทนช.ให้เร่งบูรณาการทุกหน่วยงานในการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ ในพื้นที่รอยต่อ 3จังหวัด (ราชบุรี-สมุทรสงคราม-ประจวบคีรีขันธ์) และปฏิบัติตาม 10 มาตรการรองรับฤดูแล้ง โดยเคร่งครัด รวมทั้งเร่งรัดแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย ในพื้นที่ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมย้ำ เทศบาล ต.บางตะบูน ต้องดูแลการใช้น้ำในพื้นที่ให้มีคุณภาพ และเพียงพอต่ออนาคต และลดการสูญเสียของน้ำในระบบ ด้วย

พล.อ.ประวิตร ยังได้พบปะพี่น้องประชาชนที่มาให้การต้อนรับ เป็นจำนวนมากอย่างใกล้ชิด เป็นกันเอง พร้อมทั้งได้สะท้อนความห่วงใยจากรัฐบาล ที่มีต่อประชาชนทุกคน ทุกครัวเรือน ในความจำเป็นที่ต้องการใช้น้ำมากขึ้นในอนาคตและจะพยายามให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ จากปัญหาน้ำเสีย ทำให้หอยแครงพื้นบ้านมีปริมาณลดลง โดยคำนึงถึงความผาสุขในวิถีชีวิตของพี่น้องประชาชน เป็นสำคัญ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 31 มีนาคม 2566

เครือข่ายประชาชนอีสาน (สอส.) สภาประชาชน ๔ ภาค อ.สูงเนิน ต้อนรับ”พล.อ.ธรรมรักษ์”อบอุ่น พร้อมสนับสนุน พปชร.เผย ดีใจ ที่นายพลลูกอีสานกลับมาช่วยชาติ

,

เครือข่ายประชาชนอีสาน (สอส.) สภาประชาชน ๔ ภาค อ.สูงเนิน ต้อนรับ”พล.อ.ธรรมรักษ์”อบอุ่น พร้อมสนับสนุน พปชร.เผย ดีใจ ที่นายพลลูกอีสานกลับมาช่วยชาติ

พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งรับผิดชอบดูแลพื้นที่ภาคอีสาน เดินทางลงพื้นที่อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งทางสภาเครือข่ายประชาชนอีสาน (สอส.) สภาประชาชน 4 ภาค โดยมีนายประพาส โงกสูงเนิน ประธานสภาเครือข่ายประชาชนอีสาน พร้อมประชาชน มาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

นายประพาส กล่าวว่า เครือข่ายประชาชนอีสานขอสนันสนุน พล.อ.ธรรมรักษ์ ที่มาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ โดยวันนี้ พี่น้องชาวอีสานต้องการมาแสดงความยินดีและดีใจที่ พล.อ.ธรรมรักษ์ ได้กลับมาช่วยเหลือประเทศชาติอีกครั้ง รวมถึงต้องการให้กำลังใจนายพลลูกอีสานในการช่วยงาน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ สู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้

ทั้งนี้ ประชาชนที่มาต้อนรับได้สอบถาม พล.อ.ธรรมรักษ์ถึงปัญหาต่าง เช่น การระบาดของยาเสพติดจำนวนมากว่าจะมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างไร รวมไปถึงปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปากท้อง ที่ปัจจุบันค่าครองชีพสูงขึ้น และการปรองดองของคนไทยในสังคม

โดย พล.อ.ธรรมรักษ์ ได้กล่าวว่ากับประชาชนว่า ทุกปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น พล.อ.ประวิตร ได้ทราบและตระหนักดี จึงมีนโยบายในการแก้ปัญหาทุกเรื่องให้กับประชาชนแล้ว ซึ่งหากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล จะเกิดการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมทันที

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 31 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” ’ ติดตามพัฒนาแหล่งน้ำเมืองท่องเที่ยว หัวหิน คาดความต้องการใช้น้ำสูงขึ้นปชช.ปลื้ม แก้ปัญหาเร็ว-ได้ผล

,

“พล.อ.ประวิตร” ’ ติดตามพัฒนาแหล่งน้ำเมืองท่องเที่ยว หัวหิน คาดความต้องการใช้น้ำสูงขึ้นปชช.ปลื้ม แก้ปัญหาเร็ว-ได้ผล

เมื่อ 31 มี.ค.66 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะได้เดินทางไปปฏิบัติราชการพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และจ.เพชรบุรี เพื่อติดตามการพัฒนาแหล่งน้ำ การบริหารจัดการน้ำ และการผลิตน้ำประปาคุณภาพโดย พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก ประจำรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.กอนช.ร่วมลงพื้นที่ พร้อมสักการะ องค์หลวงปู่ทวด และถวายสังฆทาน แด่เจ้าอาวาส เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนเดินทางไปยังอ่างเก็บน้ำห้วยมงคลอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.ทับใต้ อ.หัวหิน จ.ประจวบฯ และสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 14 เพื่อประชุมหารือร่วมกับ จังหวัด ,สทนช. ,กรมชลประทาน และผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาค โดยรับฟังการบรรยายสรุปภาพรวมการบริหารจัดการน้ำของจังหวัด ซึ่งมี ลำน้ำทั้งหมด 6 ลุ่มสาขา ปัจจุบันมีปริมาณน้ำ รวม 220 ล้าน ลบ.ม.ได้รับการสนับสนุนงป. จากรัฐบาล ปี 61-65 จำนวน 781 โครงการ, ปี65 จำนวน 13 โครงการ,ปี66 จำนวน 21 โครงการ, และโครงการสำคัญอีก 5 โครงการ สำหรับ อ่างเก็บน้ำห้วยมงคลฯ ก่อสร้างเพื่อเก็บกักน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค และบรรเทาความเดือดร้อนจากอุทกภัย ช่วงฤดูน้ำหลาก มีความจุอ่างฯ 5.85 ล้าน ลบ.ม.

พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวมอบนโยบายที่สำคัญ โดยกำชับ สทนช. ให้เร่งรัดการดำเนินงานตาม 10มาตรการรองรับฤดูแล้ง พร้อมย้ำให้ กรมชลประทาน เร่งบริหารจัดการแหล่งเก็บน้ำให้มีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการใช้น้ำ ให้เพียงพอทุกพื้นที่ รวมทั้ง เพิ่มประสิทธิภาพระบบประปา ต้องผลิตน้ำที่ได้มาตรฐาน และมีคุณภาพ สำหรับบริการประชาชนและนักท่องเที่ยว ด้วย

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้พบปะกับพี่น้องประชาชนที่มาให้การต้อนรับ อย่างอบอุ่นและรับฟังข้อเรียกร้อง/ข้อคิดเห็น อย่างเป็นกันเอง เพื่อนำไปแก้ไขปัญหาให้สอดคล้อง ตรงตามความต้องการของประชาชน ต่อไป ซึ่งได้มีชาวบ้านสะท้อนความรู้สึก และกล่าวขอบคุณ พล.อ.ประวิตร กับ รัฐบาล ที่มีความจริงใจ ทุ่มเทแก้ปัญหาน้ำ และอื่นๆ อย่างได้ผล และรวดเร็ว สามารถลดความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี ทำให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมากในปัจจุบัน พร้อมยังได้กล่าวสนับสนุนลุงป้อม อยากให้เป็นนายกฯ คนต่อไปด้วย จากนั้น พล.ประวิตร และคณะได้เดินทางไปตรวจราชการต่อในพื้นที่ จ.เพชรบุรี

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 31 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร”ประกาศ ก้าวข้ามความขัดแย้ง ก้าวข้ามความยากจน เปิดขุนพล400เขต ชู นโยบายแก้ไขปัญหาปากท้อง ฟื้นฟูเศรษฐกิจสู่โอกาสใหม่ ทำได้ทันที

,

“อุตตม” ชู นโยบาย3 เร่งด่วน-8 เร่งรัด “พปชร.” พลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทยให้ยั่งยืน

วันที่ 30 มีนาคม 2566 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร.พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค,นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค,นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมดูแลการเลือกตั้ง ส.ส.กทม.และแกนนำภาคร่วมงานพร้อมเพรียง และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ จัดกิจกรรม “เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต ทั่วประเทศ และว่าที่ผู้สมัครสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พร้อมเปิดนโยบายพรรคพลังประชารัฐ” ร่วมกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. 400 เขตทั่วประเทศ และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ที่จะนำนโยบายของพรรคที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ผ่านกลไกนโยบายที่พรรคจะนำเสนอ ทั้งทางด้านสวัสดิการประชารัฐ สังคมประชารัฐ และเศรษฐกิจประชารัฐ ที่มีเป้าหมายให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากจน มั่นใจได้ว่าทุกนโยบายพร้อมทำได้ทันทีเมื่อได้เป็นรัฐบาล ที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย ได้มีอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ที่ยั่งยืน

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวบนเวทีว่า สวัสดีครับพี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านวันนี้ ผมรู้สึก อบอุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง การเลือกตั้งในครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐ พร้อมแล้วที่จะเข้ามารับใช้ประชาชน ผมอยากจะสื่อสารให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทราบว่าคนไทยทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพี่น้องร่วมชาติ ที่ผ่านมา ประเทศของเราพัฒนาได้ยาก เพราะความขัดแย้ง และความแตกแยก ผมจึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมใจกัน ก้าวข้ามความขัดแย้ง ด้วยความรัก ความเข้าใจเห็นอกเห็นใจ ซึ่งกันและกัน

“ผมพร้อม ที่จะประสานประโยชน์ กับทุกฝ่ายพร้อมที่จะนำ ความรัก ความสามัคคีมาสู่ ประเทศชาติ ของเราคนไทย ต้องรักกันสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อสร้างความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรืองให้กับ ประเทศชาติ และประชาชน เมื่อเราก้าวข้ามความขัดแย้งได้เราก็จะมีพลัง ที่จะก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน”

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พี่น้องครับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของท่านทั้งหลายที่จะให้พรรคใดมาบริหารประเทศ พรรคพลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมายดังที่ได้รับชมในวีดิทัศน์ไป เมื่อสักครู่นี้แล้ว ทีมเศรษฐกิจของเราคิดไว้มากมาย การเลือกตั้งครั้งนี้ถ้าเราได้คะแนนมาเป็นที่หนึ่งจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ทันที ขับเคลื่อนนโยบายที่ทำไว้ ทั้งนโยบายบัตรประชารัฐ 700 บาท ต่อเดือน การลดราคาน้ำมัน ลดราคาแก๊สและลดค่าไฟฟ้า การดูแลคนไทยทุกช่วงวัย ทั้งเบี้ยประชาชน ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป มารดาที่ตั้งท้องตั้งแต่เดือนที่ 5 จะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายจนถึงวันคลอดและดูแล ทารกหลังคลอด จนถึง 6 ขวบ นโยบายในเรื่องน้ำ มีเราต้องไม่มีแล้ง โดยจะพัฒนาแหล่งน้ำ ระบบชลประทานแก้ปัญหา น้ำท่วม น้ำแล้ง น้ำอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อการเกษตรส่งเสริม ตนยืนยันว่ามีเราจะไม่มีแล้งอีกต่อไป ส่งเสริมสิทธิที่ดินทำกิน มีเราต้องมีที่ดินทำกิน ถ้ามีที่ทำกินไม่มีจน จะก้าวข้ามความยากจนได้ เราจะแก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างงาน สร้างรายได้ยกระดับ การศึกษา เศรษฐกิจฐานรากภาคอุตสาหกรรม การคมนาคมและนโยบายอื่น ๆ อีกมากมาย

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหายาเสพติด ทั้งการป้องกันปราบปรามและบำบัดฟื้นฟูอย่างจริงจังเราจะปราบปรามผู้มีอิทธิพล อาชญากรรมข้ามชาติการฉ้อโกงออนไลน์ แชร์ลูกโซ่ และหนี้นอกระบบ เราจะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เราคือครอบครัวเดียวกัน เราจะรักสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียว

“ขอให้เชื่อมั่นผม เชื่อมั่นในพรรคพลังประชารัฐ และผู้สมัครฯ ทั้ง 400 เขต และส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ยืนอยู่ตรงนี้ ผมขอประกาศกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศว่าพวกเราทำได้ และพร้อมแล้วที่จะรับใช้ประชาชน พี่น้องครับวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค. นี้โปรดกาบัตรเลือกพลังประชารัฐ ทั้ง 2 ใบ เลือกทั้งคน เลือกทั้งพรรค เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน”พล.อ.ประวิตร กล่าว

นอกจากนี้ ภายในงานพรรคพลังประชารัฐ ได้นำเสนอคลิปวิดีโอเกี่ยวกับนโยบายที่จะมุ่งฟื้นเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาครบทุกมิติให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วย “นโยบาย 3 เร่งด่วน 8 เร่งรัด” โดย “3 นโยบายเร่งด่วน”ประกอบด้วย 1. แก้หนี้ประชาชน ผู้ประกอบการ ให้เบ็ดเสร็จ เติมทุนด้วยวิธีใหม่ ควบคู่สร้างโอกาสใหม่ โดยทำทันที 2. ดูแลสวัสดิการ เสริมทักษะ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3. การยกระดับคุณภาพชีวิตทุกช่วงวัย

และ “8 นโยบายเร่งรัด” วางรากฐานเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 1. ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมภาคการเกษตร วิสาหกิจชุมชนเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว 2. ยกเครื่องภาคอุตสาหกรรมเดิม สู่เศรษฐกิจใหม่ในอุตสาหกรรม S-curve เพื่อขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจ BCG 3. เร่งพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ ทั้ง อีอีซี และขยายพื้นที่ยุทธศาสตร์ใหม่ 4. ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทุกระบบทั้งถนน ราง น้ำ และอากาศ รวมถึงพัฒนาโครงเครือข่าย 5G ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ การต่อยอดพร้อมเพย์ และเป๋าตังค์ ให้คนไทยเข้าสู่ Digital Economy อย่างแท้จริง 5. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ทั้งระดับปวช. ปวส. ให้เรียนฟรีมีงานทำ พัฒนาแพลตฟอร์มเชื่อมแหล่งงาน เพื่อสร้างรายได้ระหว่างเรียน ส่วนแรงงานเดิมจะส่งเสริมเข้าโปรแกรมเพิ่มทักษะให้สอดรับกับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ 6. ปฎิรูประบบราชการ แก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค เพื่อส่งเสริมให้เกิดเอสเอ็มอีที่มีความเข้มแข็ง 7. ปฏิรูประบบงบประมาณ กระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น สู่การพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เพื่อเข้าสู่งบประมาณสมดุลในระยะยาว เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง ที่ตอบสนองความต้องการของพื้นที่ได้อย่างตรงจุด และ 8. ต่อต้านคอร์รัปชั่นเต็มรูปแบบ สร้างระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ เพิ่มโทษนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชันเป็นสองเท่า รวมถึงมีเทคโนโลยีบล็อคเชนที่จะนำมาใช้ในโครงการประมูลภาครัฐขนาดใหญ่

ทั้งนี้ บรรยากาศภายในงานได้มีประชาชนที่เดินทางมาจากทุกภาคและในกทม.เต็มความจุอัฒจันทร์ โดยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ต่างเดินทักทาย และถ่ายรูปกับประชาชนที่ถือป้ายไฟส่งเสียงต้อนรับว่าที่ผู้สมัครอย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ยังมีศิลปินดารา กลุ่มนางงาม,นายแบบ,อินฟลูเอนเซอร์จากหลากหลายอาชีพ ,LGBTQ,กลุ่มนักแข่งเกมส์ อีสปอร์ต มาร่วมรับฟังนโยบายของพรรค พปชร.ด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 30 มีนาคม 2566

“สนธิรัตน์” ประกาศ ทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ พร้อมทำงานทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล

,

“สนธิรัตน์” ประกาศ ทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ พร้อมทำงานทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล // ตั้งเป้าเพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศไทย // หนุนมิติความยั่งยืน ส่งเสริมเครื่องยนต์ Soft Power-การท่องเที่ยว สร้างรายได้เข้าประเทศ // ขยายเขตเศรษฐกิจพิเศษทั่วประเทศ ดึงดูดนักลงทุน

วันที่ 30 มี.ค. 2566 ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ ร่วมเวทีตอบคำถามจากภาคธุรกิจ พร้อมนำเสนอนโยบาย ในงานเสวนา “มุมมองของภาคธุรกิจต่อนโยบายขับเคลื่อนประเทศ” ซึ่งจัดขึ้นโดยหอการค้าไทย โดยมีตัวแทนภาคธุรกิจ เอกชน และพรรคการเมืองเข้าร่วม

นายสนธิรัตน์ กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ว่า ทันทีที่พรรคพลังประชารัฐเป็นรัฐบาล นโยบายด้านเศรษฐกิจหลักๆ ที่พรรคจะบูรณาการและทำทันที คือ 1. การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ด้วยมิติความยั่งยืน โดยการนำ BCG เป็นกรอบของการผลักดันนโยบาย ควบคู่มิติใหม่คือ ESG เช่น ในภาคการเกษตร ต้องสนับสนุนเรื่อง Smart Agriculture เพื่อให้เราเป็นฐานใหญ่เรื่องความสามารถในการแข่งขันภาคเกษตรของโลก 2. ส่งเสริมซอฟท์พาวเวอร์ และการท่องเที่ยวชุมชน ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่สำคัญของรัฐบาลในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ โดยการท่องเที่ยวที่ดีจำเป็นต้องเชื่อมโยงซอฟท์พาวเวอร์และเศรษฐกิจฐานราก อาทิ ชอฟท์พาวเวอร์สายศรัทธา อาหาร เป็นต้น 3. ต่อยอดโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ (อีอีซี) ให้เกิดประสิทธิภาพ และบรรลุผลตามที่เริ่มไว้ โดยเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ เช่น ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใต้ ตะวันตก และเหนือ เพื่อเป็นเครื่องยนต์ใหม่ในการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมของประเทศ เพราะอีอีซีไม่เพียงยกระดับอุตสาหกรรม แต่จะดึงดูดการลงทุน นักลงทุนเข้ามาในประเทศ

“ทันทีที่พรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล ซึ่งมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เป็นบุคคลที่นำพาประเทศก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อขับเคลื่อนสังคม เศรษฐกิจของประเทศ ให้ก้าวข้ามผ่านทุกวิกฤติ วันนี้ เราขอแสดงความมุ่งมั่นว่า พรรคพลังประชารัฐมีความพร้อม ทั้งในด้านนโยบาย และบุคคลากรที่มีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมือง พร้อมที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ทั้งนี้ในช่วงการตอบคำถาม นายสนธิรัตน์ ได้ตอบคำถามในประเด็นการส่งเสริมภาคธุรกิจเกษตร และอาหาร เรื่องนโยบายหรือแผนงานเกี่ยวกับการสร้างมูลค่าเพิ่ม และประสิทธิภาพการแข่งขันด้านการเกษตร และอาหารของประเทศไทยในเวทีโลกว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งของประเทศ แต่ปัญหาคือภาคเกษตรมีแรงงานเกี่ยวข้องมาก แต่ยังขายสินค้าเป็นชุมชน ซึ่งที่ผ่านมาพรรคพลังประชารัฐพยายามยกระดับ และเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการของกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ ยังต้องแก้ไขเรื่องการบริหารให้สอดรับกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อสร้างมูลค่า และความยั่งยืน

นายสนธิรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การนำสินค้าเกษตรไปสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้ไทยเป็นครัวของโลก จะต้องมีการสร้างแพลตฟอร์มด้านอาหาร และสินค้าเกษตรในระดับโลกที่เป็นของเราเอง เช่น นโยบาย From Farm to Table ที่เป็นจุดแข็ง และต้องเร่งสนับสนุน เพื่อนำสินค้าเกษตรไปสู่ระดับโลก และสอดรับกับซอฟท์พาวเวอร์การท่องเที่ยวของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม สินค้าเกษตรไม่เพียงแค่เรื่องอาหาร แต่ยังรวมถึงเรื่องพลังงาน คือการเปลี่ยนพืชเศรษฐกิจเป็นไบโอเจ็ท นอกจากนี้ ควรใช้จุดแข็งในการเป็นประเทศเกษตรกรรม ดำเนินการเรื่องคาร์บอนเครดิต เพื่อเป็นอีกช่องทางในการเพิ่มรายได้ให้ประเทศ ทั้งหมดนี้หากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล จะเร่งขับเคลื่อนในทันที เพื่อฟื้นเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาแข็งแกร่ง และสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 30 มีนาคม 2566

“อุตตม” ชู นโยบาย3 เร่งด่วน-8 เร่งรัด “พปชร.” พลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทยให้ยั่งยืน

,

“อุตตม” ชู นโยบาย3 เร่งด่วน-8 เร่งรัด “พปชร.” พลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทยให้ยั่งยืน

วันที่ 28 มี.ค. 2566 ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอก คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ดร.อุตตม สาวนายน ประธานคณะกรรมการจัดทำนโยบาย พรรคพลังประชารัฐ ร่วมเสวนา “วิสัยทัศน์การขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทย” ที่จัดขึ้นโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

โดย ดร.อุตตม ได้แสดงวิสัยทัศน์ตอนหนึ่งว่า ปรัชญาในการทำนโยบายเศรษฐกิจของพรรคพลังประชารัฐ คือทำอย่างครบวงจร เริ่มตั้งแต่จัดทำยุทธศาสตร์โดยการระดมทุกภาคส่วน และนโยบายต้องทำได้จริง เพราะประเทศไทยไม่มีเวลาลองผิดลองถูก เราอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ โดยพรรคพลังประชารัฐ ขอนำเสนอนแนวทางฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย ให้ก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน ด้วยนโยบาย 3 เร่งด่วน 8 เร่งรัด โดย 3 นโยบายเร่งด่วน คือการแก้ไขปัญหาครบทุกมิติ ประกอบด้วย 1. แก้หนี้ประชาชนและผู้ประกอบการให้เบ็ดเสร็จ เติมทุนให้จริงจังด้วยวิธีใหม่ และสร้างโอกาสใหม่ โดยทำทันที 2. ดูแลสวัสดิการคนไทย เสริมทักษะ และพัฒนาคนไทย โดยมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งเป็นบัตรเพื่อการพัฒนา และดูแลสวัสดิการ 3. การยกระดับคุณภาพชีวิตทุกช่วงวัย และการลงทุนปฐมวัย ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด

ขณะที่ 8 นโยบายเร่งรัด เพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจให้โตยั่งยืน ดร.อุตตม ระบุว่า ประกอบด้วย 1. ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมภาคเกษตร และวิสาหกิจชุมชน พร้อมเชื่อมโยงเข้ากับภาคอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว 2. ยกเครื่องภาคอุตสาหกรรมเดิม สร้างเศรษฐกิจใหม่สู่อุตสาหกรรม S-curve เพื่อให้อุตสาหกรรมประเทศขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจฐาน BCG 3. เร่งพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะอีอีซี รวมถึงขยายพื้นที่ยุทธศาสตร์ใหม่ ๆ ให้ทั่วทุกภาค 4. ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทั้งถนน ราง ทางน้ำ และอากาศ รวมไปถึงยกระดับโครงสร้างดิจิทัล พัฒนาเครือข่าย 5G ให้ครอบคลุมทั้งประเทศโดยเร็วที่สุดต้นทุนงถูก เพื่อต่อยอดพร้อมเพย์ และเป๋าตังค์ ให้คนไทยเข้าสู่ Digital Economy อย่างแท้จริง

ดร.อุตตม กล่าวต่อว่า 5. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยให้นักเรียนนักศักษาระดับอาชีวะ ปวส. เรียนฟรีมีงานทำ ด้วยการทำแพลทฟอร์มเชื่อมแหล่งงานกับสถานศึกษ นักศึกษาสามารถเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยได้ ขณะที่แรงงานเดิมจะส่งเสริมให้เข้าสู่โปรแกรมยกระดับทักษะให้ตรงกับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ไปพร้อมกัน 6. ปฎิรูประบบราชการ และแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค เพื่อส่งเสริมให้เกิดเอสเอ็มอีที่มีความเข้มแข็ง 7. ปฏิรูประบบงบประมาณ และกระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น โดยการผลักดันงบประมาณในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เพื่อเข้าสู่งบประมาณสมดุลในระยะยาว ขณะที่การกระจายอำนาจท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมงบประมาณไปขับเคลื่อนให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง สามารถบริหารจัดการเพื่อตอบสนองความต้องการของพื้นที่ได้อย่างตรงจุด และ 8. ต่อต้านคอร์รัปชันเต็มรูปแบบ สร้างระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ มีการเพิ่มโทษนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชันเป็นสองเท่า รวมถึงมีเทคโนโลยีบล็อคเชนที่จะนำมาใช้ในโครงการประมูลภาครัฐขนาดใหญ่

นอกจากนี้ ดร.อุตตม ยังได้ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันว่า เรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน ถือเป็นอุปสรรคใหญ่ที่บั่นทอน และขัดขวางการพัฒนาประเทศมาโดยตลอด โดยทีดีอาไอ เคยประเมินไว้ว่าในแต่ละปีความสูญเสียจากการทุจริตคอร์รัปชันอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท ซึ่งการแก้ปัญหาดังกล่าว เกี่ยวข้องกับทุกฝ่าย ซึ่งจะต้องดำเนินการ 2 เรื่องสำคัญ คือ 1. ประชาชนมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์เปิดเผยเรื่องทุจริต 2. ภาครัฐ ต้องนำเรื่องเทคโนโลยีแพลทฟอร์มออนไลน์เข้ามาใช้ในการให้บริการ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และสามารถติดตามได้อย่างรวดเร็ว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร”นำ พปชร.ปราศรัยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครกำแพงเพชร ยกจังหวัด ลั่น ถึงจะพูดไม่เก่ง สามารถประสานประโยชน์เพื่อ ปชช.ส่งนั่งนายกฯคนที่ 30

,

“พล.อ.ประวิตร”นำ พปชร.ปราศรัยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครกำแพงเพชร ยกจังหวัด
ลั่น ถึงจะพูดไม่เก่ง สามารถประสานประโยชน์เพื่อ ปชช.ส่งนั่งนายกฯคนที่ 30

เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 26 มีนาคม ณ ลานตลาดนัดวันอาทิตย์ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดเวทีปราศรัย นําโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร.,นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ,นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค,นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค,ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรค พปชร.,นายวราเทพ รัตนากร กรรมการฝ่ายนโยบาย โดยมีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร จ.กำแพงเพชร ทั้ง 4 เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน ประกอบไปด้วย นายสุรสิทธิ์ วงศ์วิทยานันท์ ,นายไผ่ ลิกค์ เขต 1 ,นายเพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์ เขต 2 ,นายอนันต์ อำนวยผล เขต 3 ,นายปริญญา ฤกษ์หร่าย เขต 4 โดยบรรยากาศเวทีปราศรัยเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีประชาชนร่วมรับฟังการปราศรัยกว่า 10,000 คน มีการชูป้ายข้อความ นายกฯ คนที่ 30 มาแล้ว ,ประชารัฐ 700 และเรารักลุงป้อม รวมถึงมีการส่งเสียงเชียร์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ให้ได้

พล.อ.ประวิตร กล่าวในเวทีปราศรัยกับประชาชนว่า ตนรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมากที่ได้มาอยู่ท่ามกลางชาวจังหวัดกำแพงเพชร เราจะทำทุกอย่างเพื่อจะก้าวข้ามยากจน ความเจริญรุ่งเรืองของจังหวัดกำแพงเพชรขึ้นอยู่กับความร่วมมือกับชาวกำแพงเพชรและ พปชร. ซึ่งพวกเราพร้อมแล้วที่จะมาทำงานให้กับชาวกำแพงเพชร เราจะร่วมมือกันที่จะพัฒนาจังหวัดกำแพงเพชรให้เจริญอย่างยั่งยืน พรรคพลังประชารัฐได้คัดสรรคนดี คนเก่งที่จะมาเป็นตัวแทนของประชาชน ขอให้เลือกผู้สมัครของเราทั้ง 4 คนด้วย

“พรรคพลังประชารัฐ คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะฉะนั้นนโยบายทุกข้อของเราทำเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่ว่าจะเป็นโครงการบัตรประชารัฐการดูแลผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ รวมถึงการลดราคาน้ำมัน แก๊ส ไฟฟ้า ให้กับทุกคน และเราก็จะดูแลผู้สูงอายุ รวมไปถึงแม่และเด็กในทุกช่วงวัย”
พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาตนได้แก้ปัญหาปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม จะเห็นได้ว่าไม่มีปัญหาภัยแล้งอีกเลยตลอด 4 ปีที่ผ่านมา มีเรา ไม่มีแล้ง อีกต่อไป และเมื่อมีเรา ต้องมีที่ทำกิน ให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน ในส่วนปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมออนไลน์ ที่เป็นอันตรายต่อประเทศ ต้องแก้ปัญหาได้ทันที

“ขอโอกาสจากทุกคน เราจะนำความรัก ความสามัคคีมาสู่ประเทศชาติหมดเวลาแล้วที่คนไทยจะมาทะเลาะกันเอง ต้องจับมือกัน นำประเทศไปสู่ก้าวหน้า เพื่อความสงบของคนไทยทุกคน ฝากกับทุกคนว่า ถ้าอยากให้ประเทศมีความรัก สงบสุข สันติภาพเกิดขึ้น และมีความเป็นหนึ่งเดียวต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น ผมพูดไม่เก่ง แต่ทำงานประสานเพื่อประโยชน์ของประชาชนได้ และนำพาคนเก่ง ๆ มาทำงานให้กับประชาชนได้”

ด้านนายวราเทพ กล่าวปราศรัยว่า ในตอนนี้จังหวัดกำแพงเพชร เป็นจังหวัดที่เนื้อหอมมากที่สุดเพราะทุกพรรคการเมืองอยากจะได้ทีม ส.ส.ชุดนี้ไปอยู่ด้วย เพราะเชื่อมั่นว่าเป็น ส.ส.ที่มีคุณภาพ เมื่อส่งลงสมัครรับเลือกตั้งแล้วประชาชนจะให้การสนับสนุน ตอนนี้ขอเพียงแค่ชาวกำแพงเพชรให้สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ เพื่อไปเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และสานต่อนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพราะเมื่อครั้งที่ผ่านมา หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี จึงไม่สามารถดำเนินการนโยบายต่างๆได้ทั้งหมด แต่ครั้งนี้ หาก พล.อ.ประวิตร ได้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี นโยบายทุกข้อที่พรรคพลังประชารัฐประกาศเอาไว้กับประชาชน จะถูกผลักดันและดำเนินการในทันที

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวปราศรัยว่า จังหวัดกำแพงเพชรเป็นจังหวัดที่มีโอกาสที่จะมีตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่แทนทุกคนถึงห้าท่าน ตนการันตีว่าทั้งห้าคนทำงาน ส.ส.อย่างมีประสิทธิภาพ ฝากไปบอกพรรคอื่นเลยว่าใครที่คิดจะเข้ามาตีกำแพงเพชรเป็นไปไม่ได้ เพราะเราจะตั้งป้อมไว้หน้ากำแพงเพชรใครเข้ามาเอาตีป้อมของเราได้

“พลังประชารัฐของเราจะก้าวข้ามความขัดแย้งสีเหลืองสีแดงจะไม่มีเกิดขึ้นในประเทศไทยอีก เรามีธงชาติคืนเดียวสามสีคือขาว แดง น้ำเงิน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทรงอยู่คู่กับคนไทยนำประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน ผมขอประกาศทำสงครามกับที่ดินเถื่อน ที่ทำกินของพี่น้องประชาชนจะต้องไม่มีที่ดินเถื่อน”

ร.อ.ธรรมนัส กล่าว พรรคพลังประชารัฐมีบุคลากรที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ อย่างเช่น ท่านวราเทพ ที่ถือเป็นเพชรเม็ดงามชาวกำแพงเพชร เพราะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังนโยบายดี ๆ เพื่อประชาชนอย่าง บัตรประชารัฐ และครั้งนี้ก็เช่นกัน เพราะเราจะดูแลกลุ่มเปราะบางอย่าง ผู้สูงอายุ

นายชัยวุฒิ ได้กล่าวว่า ขอขอบคุณชาวกำแพงเพชรที่เคยสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐเลือกผู้สมัครเรายกจังหวัด ครั้งนี้นโยบายของเราประชาชนได้ประโยชน์จริง เราทำจริง สิ่งใดที่เคยทำเอาไว้แล้วประโยชน์ตกอยู่ที่ประชาชนเราก็จะทำต่อไป

“บางพรรคการเมืองคิดไกลเกินไป ผมรู้ว่าคิดอะไร บอกไม่อยากเปลี่ยนรัฐบาล แล้วอยากเปลี่ยนอะไร ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ปลุกระดมประชาชน เนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ การก้าวข้ามความขัดแย้งจึงจำเป็นต้องเกิดขึ้น เรื่องไหนที่ประชาชนทะเลาะกัน เราจะไม่พูด เราจะไม่ทำ บ้านเมืองสงบสุข ประชาชนก็อยู่ดีมีสุข แต่ถ้าเราไม่ยอมก้าวข้าม แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งสีอยากจะเปลี่ยนสิ่งที่ทำไม่ได้ ที่คนไทยรับไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้น เราก็ต้องกลับมาทะเลาะกันอีก ผลสุดท้าย คนไทยทุกคนคือ คนที่เดือดร้อน”

นายชัยวุฒิ ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า วันนี้ติดตามจากสื่อเห็นว่าโพลต่าง ๆ ไม่มีชื่อของ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่รู้ว่าลืมใส่ หรือลุงป้อมไม่ได้จ่ายเงิน การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของพวกเรา เพราะเรามีนโยบาย มีความตั้งใจที่จะทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน และเขาก็จะผลักดันให้พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อนำนโยบายต่างๆ มาทำประโยชน์ให้กับประชาชน ไม่มีการสืบทอดอำนาจ ไม่มีการเอาเปรียบใคร ทุกอย่างเป็นไปตามประชาธิปไตย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 27 มีนาคม 2566

“ร.อ.ธรรมนัส” เชื่อชาวกำแพงเพชรเทคะแนนให้ผู้สมัครส.ส. พปชร.ทั้ง 4 เขต หลังโชว์ผลงานสร้างชื่อในสภาฯ มั่นใจเลือกตั้งครั้งนี้ภาคเหนือได้มากกว่าเดิม

,

“ร.อ.ธรรมนัส” เชื่อชาวกำแพงเพชรเทคะแนนให้ผู้สมัครส.ส. พปชร.ทั้ง 4 เขต
หลังโชว์ผลงานสร้างชื่อในสภาฯ มั่นใจเลือกตั้งครั้งนี้ภาคเหนือได้มากกว่าเดิม

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีต ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานภาคเหนือ กล่าวว่า ส.ส.หน้าเก่าของพรรคพลังประชารัฐทั้ง 4 คน ได้แก่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 ท่าน ได้แก่ ส.ส.สุรสิทธิ์ วงษ์วิทยานันท์ (บัญชีรายชื่อ) ส.ส.ไผ่ ลิกค์ เขต 1 ส.ส.เพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์ เขต 2 ส.ส.อนันต์ ผลอำนวย เขต 3 ส.ส.ปริญญา ฤกษ์หร่าย เขต 4รวมถึง ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นอดีต ส.ส.เกรดคุณภาพ และเป็นคนตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องชาวกำแพงเพชร อย่างเช่น นายอนันต์ อำนวยผล ก็เข้าสภาฯไปทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร ดูแลจัดการหลายๆ อย่าง และอีกหลายคนที่เข้าไปสร้างผลงานและชื่อเสียงให้กับชาวกำแพงเพชร ตนจึงเชื่อมั่นว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ชาวกำแพงเพชรจะเทคะแนนให้กับผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐอีกครั้งอย่างแน่นอน

ร.อ.ธรรมนัส ยังกล่าวถึง ภาพรวมในพื้นที่ภาคเหนือที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลว่า เมื่อการเลือกตั้งปี 62 ภาคเหนือทั้ง 17 จังหวัด เราได้ ส.ส.มาทั้งหมด 25 ที่นั่งครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เราก็จะทำให้ดีที่สุด เพื่อรักษาฐานที่มั่นเอาไว้ให้ได้ อย่างเช่นภาคเหนือตอนบนก็มีอยู่หลายจังหวัดเช่น ลำปาง,แพร่,น่าน และเชียงราย เราก็พยายามจะผลักดันผู้สมัครให้เข้าวินให้ได้ ตนมั่นใจว่าจะทำให้มากที่สุด และจะต้องมากกว่าเดิม เพราะเรา มีเวลาทำงานเตรียมพร้อมมาแล้วถึง 4 ปี


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 มีนาคม 2566

วราเทพ”มั่นใจ ชาวกำแพงเพชรยังสนับสนุน พปชร. ปักธงยกจังหวัด เชื่อนโยบายของพรรคมีดีไม่แพ้ใคร

,

“วราเทพ” มั่นใจ ชาวกำแพงเพชรยังสนับสนุน พปชร.
ปักธงยกจังหวัด เชื่อนโยบายของพรรคมีดีไม่แพ้ใคร

นายวราเทพ รัตนากร กรรมการฝ่ายนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่จังหวัดกำแพงเพชร ณ ตลาดนัดวันอาทิตย์ตำบลนครชุม ว่า ตนในฐานะที่เคยเป็นของตัวแทนของคนกำแพงเพชรเข้าไปทำหน้าที่รัฐมนตรี ถึงครั้งนี้จะไม่ได้ลงรัสมัครเลือกตั้ง แต่ขอเป็นกำลังใจสนับสนุนผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐทั้ง 4 เขต ซึ่งเป็นคนเดิมที่เคยได้รับความไว้วางใจจากชาวกำแพงเพชรเมื่อปี 62 ทั้งหมด เชื่อว่าการการเลือกตั้งปี 66 นี้ พรรคพลังประชารัฐจะปักธงได้ทั้งจังหวัด

นายวราเทพ กล่าวต่อว่า คำถามว่าทำไมผู้สมัครหน้าเก่าของพรรคพลังประชารัฐ ถึงอยู่กันอย่างเหนี่ยวแน่นอน นั่นก็เพราะตั้งแต่ยุคก่อนหน้านี้ คุณพ่อของผู้สมัครเราหลาย ๆ คนได้สร้างผลงานและดูแลชาวกำแพงเพชรอย่างยาวนาน ซึ่งครั้งนี้ ผู้สมัครทุกคนจึงมั่นใจว่า พรรคพลังประชารัฐจะสามารถทำประโยชน์ให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริง

“วันนี้ เราไม่ต้องไปสนใจนโยบายของพรรคอื่น ๆ เพราะนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ก็ไม่แพ้พรรคใด เราๆ ซึ่งอาจจะทำได้มากกว่าด้วย เพราะ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีประสบการณ์และความสามารถที่จะประสานงานได้กับทุกฝ่าย เหมือนนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้งของพรรค และที่สำคัญคือ ประเทศของเราตอนนี้ต้องการความร่วมมือกันในการบริหารประเทศ ดังนั้นไม่ว่านโยบายขอพรรคการเมืองอื่นที่ประกาศออกมาแล้วมีประโยชน์กับประชาชน ถ้าพรรคพลังประชารัฐได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เราพร้อมจะผลักดันทุก ๆ นโยบายของ ทุกพรรคการเมือง ที่เป็นประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นที่ตั้ง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 มีนาคม 2566

“ชัยวุฒิ”ผนึกกำลัง”ธรรมนัส”พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งเมืองตาก มั่นใจ พปชร.กวาดเก้าอี้ยกจังหวัด ด้านผู้สมัคร เชื่อ ผลงาน”พล.อ.ประวิตร”เป็นที่ประจักษ์ ช่วยให้ได้ชัยชนะ

,

“ชัยวุฒิ”ผนึกกำลัง”ธรรมนัส”พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งเมืองตาก มั่นใจ พปชร.กวาดเก้าอี้ยกจังหวัด ด้านผู้สมัคร เชื่อ ผลงาน”พล.อ.ประวิตร”เป็นที่ประจักษ์ ช่วยให้ได้ชัยชนะ

วันนี้(26 มี.ค.) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดตาก ช่วย นายประสงค์ นามเสถียร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ ปราศรัยหาเสียง พบปะพี่น้องประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อของที่บริเวณตลาดวังหิน เทศบาลเมืองตาก เเละเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน

ทั้งนี้ บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก โดยนายชัยวุฒิ เปิดเผยว่า วันนี้พรรคพลังประชารัฐ พร้อมที่จะปักธง จังหวัดตากทั้ง 3 เขตยกจังหวัด โดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีต ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานภาคเหนือ ก็จะเข้ามาช่วยประสานงานและดูแลด้วย เพราะว่ามีความคุ้นเคยกับพื้นที่เป็นอย่างดี

“ผมเเละ ร.อ.ธรรมนัส ตั้งมั่นที่จะสู้การเลือกตั้งในพื้นที่จังหวัดตาก เพื่อให้ได้ ส.ส.ของพรรคครบทุกเขต โดยเมื่อปี 62 พรรคพลังประชารัฐก็ได้ 2 เขตจากทั้งหมด 3 เขต ซึ่งครั้งนี้เราเชื่อมั่นว่า จะทําให้ได้ครบทั้งจังหวัด ผมขอการสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนทุกคนด้วย”

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ท่านมีความผูกพันกับชาวตาก เพราะตลอดเวลาที่ได้เข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการเรื่องน้ำไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาแหล่งน้ํา การส่งเสริม อาชีพต่างๆ ของพี่น้องเกษตรกร รวมถึงเรื่องที่ดินทํากิน ที่ถือว่าเป็นปัญหาสําคัญของชาวจังหวัดตาก โดยเราก็มีโครงการธนาคารที่ดิน มาแก้ปัญหาที่ดินให้พี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ถ้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ ส.ส.ทั้ง 3 คน ก็จะเข้ามาช่วยกันผลักดันโครงการต่างๆ แก้ปัญหาชาวจังหวัดตากให้สําเร็จให้ได้

ด้านนายประสงค์ นามเสถียร ผู้สมัคร สส.เขต1 พรรคพลังประชารัฐ จังหวัดตาก กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากชาวจังหวัดตาก เพราะผลงานของ พล.อ.ประวิตร แก้ปัญหาให้กับชาวบ้านได้อย่างตรงจุด จึงเป็นที่รักของชาวตาก รวมถึงสมัยที่ท่านเป็นผู้บังคับบัญชาทหารบก ก็ได้ดูเเลพื้นที่เเนวชายแดน จ.ตาก โดยให้ความสำคัญเรื่องปัญหายาเสพติด จึงเชื่อมั่นว่า พรรคพลังประชารัฐ จะทำให้ตนมีโอกาสที่จะได้รับการเลือกตั้งในเขตนี้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” นำทีม พปชร.ภาคเหนือปราศรัยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครพิจิตรครบทั้ง 3 เขต ท่ามกลางอากาศร้อนระอุ แต่ ปชช.แห่เข้าฟังเนืองแน่น หนุนนโยบายไร้ภัยแล้งตลอดทั้งปี

,

“พล.อ.ประวิตร” นำทีม พปชร.ภาคเหนือปราศรัยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครพิจิตรครบทั้ง 3 เขต
ท่ามกลางอากาศร้อนระอุ แต่ ปชช.แห่เข้าฟังเนืองแน่น หนุนนโยบายไร้ภัยแล้งตลอดทั้งปี

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 25 มีนาคม ที่วิทยาลัยเทคนิคพิจิตร จ.พิจิตร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดเวทีปราศรัย นําโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร.,นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค ,นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค,นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค,ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรค พปชร.,นายวราเทพ รัตนากร กรรมการฝ่ายนโยบาย นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร. และนาย ไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร โดยพรรคพลังประชารัฐ ได้มีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร จ.พิจิตร ประกอบไปด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์พรชัย อินทร์สุข ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิจิตรเขต 1 นางณริยา บุญเสรฐ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิจิตร เขต 2 และนายเอกวิชญ์ เรืองมาลัย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิจิตรเขต 3 ทั้งนี้ ท่ามกลางสภาพอากาศบริเวณเวทีปราศรัยมีอุณหภูมิร้อนกว่า 38 องศา แต่บรรยากาศก็เป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนมาฟังการปราศรัยอย่างเนืองแน่นกว่า 10,000 คน

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐส่งคนมีคุณภาพครบทั้ง 3 เขต ไว้ในอ้อมอก อ้อมใจของทุกคนและขอฝากนโยบายที่พรรคทำเพื่อประชาชนชาวพิจิตร ตนรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมากที่ได้มาอยู่ท่ามกลางชาวจังหวัดพิจิตร ด้วย พวกเราพร้อมแล้วที่จะมาทำงานให้กับชาวพิจิตร โดยได้คัดสรรคนดี คนเก่งที่จะมาเป็นตัวแทนของประชาชน เพื่อมาพัฒนาแก้ไขปัญหาให้กับชาวพิจิตรทุกคน ตนเชื่อว่าทุกคนย่อมอยากเห็นจังหวัดพิจิตรเจริญขึ้น ดังนั้น จึงต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐ และผู้สมัครทั้ง 3 คนให้มาทำงานเพื่อทุกคนที่นี่

“พรรคพลังประชารัฐ คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะฉะนั้นนโยบายทุกข้อของเราทำเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่ว่าจะเป็นโครงการบัตรประชารัฐการดูแลผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจรากหญ้า ให้มีความเท่าเทียม เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม”

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาตนได้แก้ปัญหาปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม จะเห็นได้ว่าไม่มีปัญหาภัยแล้งอีกเลยตลอด 4 ปีที่ผ่านมา มีเรา ไม่มีแล้ง อีกต่อไป และเมื่อมีเรา ต้องมีที่ทำกิน ให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน เราจะดูแลทุกคนอย่างต่อเนื่อง 4 ปีที่ผ่านมา เราก็ดูแลมาแล้ว แต่ยังไม่ครบทั้ง 77 จังหวัด เราจึงกลับเข้ามาสานต่อให้ครบทั่วประเทศให้ได้ ในส่วนปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมออนไลน์ ที่เป็นอันตรายต่อประเทศ ต้องแก้ปัญหาได้ทันที

“เราขออาสานำความรัก ความสามัคคีมาสู่ประเทศชาติหมดเวลาแล้วที่คนไทยจะมาทะเลาะกันเอง ต้องจับมือกัน นำประเทศไปสู่ก้าวหน้า เพื่อความสงบของคนไทยทุกคน ฝากกับทุกคนว่า ถ้าอยากให้ประเทศมีความรัก สงบสุข สันติภาพเกิดขึ้น และมีความเป็นหนึ่งเดียวต้องเลือกพรรคพลังประขารัฐเท่านั้น”

ทั้งนี้ ว่าที่ผู้สมัครได้สลับกันขึ้นปราศรัย โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์พรชัย อินทร์สุข ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิจิตรเขต 1 กล่าวปราศรัยว่า วันนี้ได้รับเกียรติจากพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ขวัญใจชาวพิจิตร เดินทางมาร่วมพูดคุยกับพวกเรา จากนโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่จะทำให้คนไทยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะปัญหาเรื่องภัยแล้งหรือน้ำท่วม จะไม่เกิดขึ้นอีกถ้าเรามีนายกรัฐมนตรีชื่อ พลเอกประวิตร เราจะมีน้ำใช้เพื่อการเกษตรกรรมตลอดทั้งปี ตนเชื่อเลยว่า จากนี้ไปคนพิจิตรจะมีน้ำเพื่อทำนา สร้างรายได้ตลอดทั้งปี

ด้านนางณริยา บุญเสรฐ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิจิตร เขต 2 กล่าวปราศรัยว่า ชาวพิจิตรอาจจะเคยเห็นตนมีการเปิดตัวกับอีกพรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งทุกคนคงสงสัยว่าทำไมตนถึงย้ายมาลงรับสมัครเลือกตั้งกับพรรคพลังประชารัฐ ก็เพราะพรรคพลังประชารัฐจะก้าวข้ามความขัดแย้ง รวมถึงพรรคยังมีนโยบายดี ๆ เพื่อคนไทยทั้งประเทศไม่ว่าจะเป็นบัตรประชารัฐ 700 บาท รวมถึงนโยบายดูแลผู้สูงอายุ 345 678 ที่จะมีสวัสดิการดูแลผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ตามลำดับขั้นบันได ทั้งนี้ ตนขอโอกาสจากชาวพิจิตร ขอให้ ส.ส.พิจิตรทั้ง 3 เขตเป็นผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ

ด้านนายเอกวิชญ์ เรืองมาลัย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิจิตร เขต 3 กล่าวปราศรัยว่า ขอขอบคุณพี่น้องชาวพิจิตรที่มาต้อนรับผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐรวมถึงคู่กันหมักทุกคนอย่างอบอุ่น วันนี้ถ้าตนได้รับโอกาสจากชาวพิจิตรเขตสาม ตนสัญญาว่าจะทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถให้คุ้มค่ากับภาษีของประชาชนทุกคนและตอบแทนความไว้วางใจด้วยการทำงานเต็ม 100% เพื่อประชาชน

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวปราศรัย ว่า ตนอยู่พรรคการเมืองมาหลายพรรค แต่พรรคที่มีหัวหน้าอย่าง พล.อ.ประวิตร ทำให้ตนสามารถพูดได้เต็มปากว่า ท่านคือผู้นำเป็นผู้ใหญ่ใจดี วันนี้เป็นโอกาสดีของพี่น้องชาวพิจิตรที่ท่านตั้งใจมาพบทุกคนที่นี่ทั้ง 3 เขต 12 อำเภอ เมื่อการเลือกตั้งปี 62 ผู้สมัครของพลังประชารัฐทั้ง 3 เขตได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องที่นี่ วันนี้ ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐที่สร้างมากับมือได้ย้ายบ้านออกไป เราก็ไม่ว่ากันแซึ่งเรามั่นใจว่าในการเลือกตั้งปีนี้เราได้ว่าที่ผู้สมัครที่มีคุณภาพมาเป็นตัวแทนชาวพิจิตรอีกครั้ง ซึ่งเราหวังว่า ทุกคนจะกาให้เราทั้งผู้สมัครและพรรคพลังประชารัฐ

“พรรคพลังประชารัฐประกาศชัดเจนว่า เราจะก้าวข้ามความขัดแย้ง บรรยากาศที่แตกแยก ไม่ใช่เรื่องสนุก หมดเวลาแล้วที่คนไทยจะทะเลาะกัน เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากได้ประเทศที่สงบสุขขอให้เลือกพรรคพลังประชารัฐ”
ร.อ.ธรรมนัส ยังกล่าวต่อถึง นโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ที่จะมีการช่วยเหลือชาวนาที่ถือเป็นกระดูกสันหลังของประเทศ ทำนามาด้วยความเหนื่อยล้า แต่พอถึงเวลาฤดูขายข้าวข้าว ราคากลับตกต่ำทุกปี

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 มีนาคม 2566