โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: สื่อออนไลน์

‘พล.อ.ประวิตร’สั่งเพิ่มประสิทธิภาพแผนจัดการน้ำลดผลกระทบปชช. เฝ้าระวังปริมาณน้ำในเขื่อน คาดหลัง 11 ต.ค.ฝนตอนบนเริ่มลด

,

‘พล.อ.ประวิตร’สั่งเพิ่มประสิทธิภาพแผนจัดการน้ำลดผลกระทบปชช.
เฝ้าระวังปริมาณน้ำในเขื่อน คาดหลัง 11 ต.ค.ฝนตอนบนเริ่มลด

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำครั้งที่ 3/2565 โดยมี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) เป็นต้น เข้าร่วมการประชุม และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า รัฐบาลห่วงใยต่อสถานการณ์น้ำในขณะนี้ เนื่องจากปริมาณฝนในปีนี้มากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ มีปริมาณฝนใกล้เคียงปี 54 ดังนั้นการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพและมีการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะส่งผลให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นในปัจจุบันน้อยกว่าในปี 54 จะมีเพียงพื้นที่เฉพาะจุดเท่านั้นที่อาจได้รับผลกระทบมากกว่า เนื่องจากสภาพการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจต่อผลกระทบและความเสียหายที่เกิดแก่ประชาชน โดยได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ที่ยังประสบปัญหาอุทกภัย โดยเฉพาะบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา
ชีและมูล

ทั้งนี้ยังได้เน้นย้ำให้เร่งดำเนินการบริหารจัดการน้ำให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด พร้อมกันนี้ ได้เน้นย้ำเรื่องการบริหารจัดการน้ำทุกแหล่งน้ำที่มีปริมาณน้ำในอ่างฯ มากกว่า 80% ของความจุ หรือมากกว่าระดับควบคุม ซึ่งมีความเสี่ยงต่อความมั่นคงแข็งแรงและอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนด้านท้ายน้ำของอ่างฯ โดยสั่งการให้บริหารจัดการให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม รวมถึงให้ตรวจสอบคัน ทำนบ และพนังกั้นน้ำบริเวณพื้นที่ท้ายอ่างฯ ให้มีความมั่นคงปลอดภัย สามารถใช้บริหารจัดการน้ำได้เต็มศักยภาพ รวมถึงกำชับให้มีการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ฝน ซึ่งขณะนี้ในพื้นที่ตอนบนปริมาณฝนเริ่มมีแนวโน้มลดลงแล้ว จึงให้ลดการระบายน้ำเพื่อไม่ให้ปริมาณน้ำกระทบในพื้นที่ด้านท้าย ขณะเดียวกันก็เป็นการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งที่จะถึงด้วย นอกจากนี้ ให้เร่งแก้ไขปัญหาอุปสรรคเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในจุดต่าง ๆ ที่มีน้ำท่วมขังออกโดยสู่ลำน้ำสายหลักเพื่อระบายออกสู่ทะเลโดยเร็ว

สำหรับการบริหารจัดการน้ำเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งยังคงมีปริมาณน้ำเหนือเขื่อนอยู่จำนวนมากในขณะนี้ ทำให้
กรมชลประทานจำเป็นต้องจะปรับเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันได ให้อยู่ในอัตรามากกว่า 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยให้กรมชลประทานได้บริหารจัดการน้ำและควบคุมปริมาณการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในเกณฑ์ดังกล่าวอย่างเต็มศักยภาพของพื้นที่เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชนและพื้นที่การเกษตร พร้อมดำเนินการแจ้งเตือนจังหวัดในพื้นที่ท้ายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเร่งประชาสัมพันธ์ข้อมูลและแจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย

ด้านดร.สุรสีห์ เลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า คาดการณ์ว่าในช่วงหลังวันที่ 11 ตุลาคม แนวโน้มปริมาณฝนจะเริ่มลดลง โดยขณะนี้ระดับน้ำในแม่น้ำต่าง ๆ เริ่มทรงตัว รวมถึงปริมาณน้ำไหลลงอ่างฯ ลดลง โดยปัจจุบันอ่างฯ ส่วนใหญ่เริ่มลดและงดระบายน้ำที่อาจจะส่งผลกระทบด้านท้ายน้ำ รวมถึงเพื่อเป็นการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในในฤดูแล้ง ทำให้ภาพรวมของฤดูแล้งในปีนี้ไม่น่าเป็นห่วงมากนัก โดยเฉพาะปริมาณน้ำใช้การใน 4 เขื่อนหลักเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ในพื้นที่บริเวณนอกเขตชลประทานและพื้นที่ที่ไม่มีแหล่งน้ำ โดยวันนี้ที่ประชุมมีมติเห็นชอบต่อ (ร่าง) มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 65/66 จำนวน 10 มาตรการ ตามที่ สทนช. เสนอ และให้เสนอ ครม.ให้ความเห็นชอบโดยเร็วก่อนเข้าสู่ฤดูแล้งในต้นเดือนหน้า พร้อมมอบหมายให้หน่วยงานนำมาตรการไปจัดทำแผนปฏิบัติการในส่วนที่เกี่ยวข้องและจัดส่งให้ สทนช. เพื่อติดตามประเมินผลต่อไป


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 ตุลาคม 2565

รมว.ชัยวุฒิ หวั่น คัน กั้นน้ำภาคกลางขาด เร่งระบายน้ำด่วน

,

รมว.ชัยวุฒิ หวั่น คัน กั้นน้ำภาคกลางขาด เร่งระบายน้ำด่วน

9 ตุลาคม 2565 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงพื้นที่ บริเวณ เเนวคันกั้นนำ้ขาด เเละเสียหาย ที่ บริเวณวัด ประสาท อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี พร้อมกับ นายสุพจน์ ยศสิงห์คำ ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี และหัวหน้าส่วนราชการ ที่เกี่ยวข้อง โดย นายชัยวุฒิ ได้ให้กำลังใจ พร้อมพูคคุยกับประชาชน ผู้ประสบภัย ขณะที่จังหวัดสิงห์บุรี ได้นำอาหารเเห้ง จากผู้มีจิต ศรัทธา มามอบให้ ผู้ประสบอุทกภัย จำนวน 2000 ครอบครัวด้วย ทั้งนี้ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า สิ่งสำคัญตอนนี้เราเน้น จะดูเรื่องอาหารการกินมีการตั้งโรงครัวพระราชทานให้ถุงยังชีพนำ้ดื่ม สะอาด แล้วก็ดูแลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ส่วนผู้สูงอายุ คนป่วยติดเตียงที่มีสุขภาพไม่ดี ก็จะนำมาพักอยู่ที่โรงพยาบาล อําเภอพรหมบุรี ซึ่งจะรองรับผู้ป่วยติดเตียง รวมถึงขณะนี้ เราเตรียมศูนย์พักพิงไว้ทุกๆอําเภอเพื่อ รองรับผู้ประสบภัย ที่น้ําท่วมหนัก นอกจากนี้ก็มีการจัดตั้ง สุขาชั่วคราวในทุกๆจุดที่ประชาชนบ้านถูกนำ้ท่วมด้วย
โดยในภาพรวมถือว่าสิงห์บุรี เเละจังหวัดในพื้นที่ ภาคกลาง ได้มีการวางแผนมาอย่างดี นายชัยวุฒิ ยังระบุด้วยว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงเเละเป็นปัญหาใหญ่ในขณะนี้คือเรื่องการระบายน้ํา เพราะว่าวันนี้ปริมาณน้ําที่มี ถ้าดูจากระดับความสูง ก็เท่าๆกับประมาณปี2554 ปริมาณฝนที่ตกจริงๆทั้งประเทศก็ใกล้เคียงกับปี54 สิ่งที่เรากลัวคือ ถ้าน้ํามันล้นจากระบบชลประทานป้องกันน้ําท่วมมันก็จะเกิดความเสียหาย ปริมาณนำ้ที่มากจะกระจาย ความเเรงของนำ้ จะทำให้เกิดความเสียหายในพื้นที่วงกว้างซึ่งรัฐบาลได้วางแผนไว้แล้ว มีนโยบายให้เราปล่อยน้ําลงทุ่ง เพื่อหน่วงน้ํา ลดปริมาณน้ําที่จะเข้าสู่เจ้าพระยา ซึ่งก็ดําเนินการไปบางส่วนแล้ว
ทั้งนี้ยอมรับว่า บางจุดที่สิงห์บุรีน้ําก็ยังไม่ได้ออกไปเป็นระบบมากเท่าที่ควร ทำให้คันกั้นน้ําต่างๆล้นไปท่วมบ้านเรือนประชาชน เเละคันกันนำ้ หลายจุด ก็กําลังจะพังแล้ว ดังนั้น ถ้าเราไม่มีการบริหารจัดการน้ํา ปล่อยน้ําออกไปบ้าง ผมเชื่อว่าเดี๋ยวคันกั้นน้ําจะขาด คลองชลประทานขาด ก็จะคุมมวลนำ้มหาศาลไม่ได้เลย จะเสียหายหนัก ทั่งพื้นที่เศรษฐกิจ เเละเกษตรกรรม อย่างไรก็ตามจะติดตามกับทางชลประทานว่าได้มีการะบายน้ําอย่างไรเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล ก็คือ การ เอาน้ําลงทุ่ง 11 ทุ่งตามมติ ครม. ที่กําหนดไปแล้ว


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 ตุลาคม 2565

‘อธิรัฐ’ เร่งรัด ติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3

,

‘อธิรัฐ’ เร่งรัด ติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3

วันที่ 7 ตุลาคม 2565 เวลา 10.00 น. นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 (ส่วนที่ 1) โดยมี เรือเอกกานต์ เมนะรุจิ รองผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง พร้อมผู้บริหารให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุม 1 อาคารบริหารท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี

นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ขณะนี้ความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนท่าเทียบเรือ F ซึ่ง กทท.เป็นผู้ดำเนินงานก่อสร้างงานทางทะเลเพื่อรองรับการก่อสร้างท่าเทียบเรือและโครงสร้างพื้นฐาน ท่าเรือชายฝั่ง ก่อสร้างระบบรถไฟ

ซึ่งปัจจุบัน กทท. ได้ส่งมอบงานก่อสร้างงานทางทะเลในส่วนของงานพื้นที่ถมทะเล 1 (Key Date 1) เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 31 ส.ค.65 การดำเนินงานพื้นที่ถมทะเล 2 (Key Date 2) ได้แก่ การขนย้ายดินเลน การถมทราย ฯลฯ กำหนดส่งมอบวันที่ 5 พ.ย.65 และตามแผนกิจการฯ ร่วมค้า จะส่งมอบพื้นที่ถมทะเล 2 ให้ กทท. วันที่ 31 ม.ค.66 ล่าช้ากว่าแผน 87 วัน เนื่องจากการขออนุมัติแก้ไขสัญญาการเปลี่ยนเรือขุดและกระบวนการในการขุดดินและขนย้ายดินเหนียว ซึ่งขณะนี้ได้เร่งก่อสร้างหลักผูกเรือ เพื่อนำดินเหนียวไปทิ้งและขนส่งหินให้ได้ 20,000 ลบ.ม./วัน

สำหรับพื้นที่ถมทะเล 3 (Key Date 3) กำหนดแล้วเสร็จภายในเดือน พ.ค.66 คาดว่า จะส่งมอบพื้นที่ท่าเทียบเรือ F ขนาด 1,000 เมตร ให้บริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด (จีพีซี) เอกชนคู่สัญญาได้ภายใน พ.ค. – พ.ย.66 จากนั้นจะส่งมอบพื้นที่ครบ 2,000 เมตร ในเดือน พ.ค.68

ตนจึงได้สั่งการให้ กทท. สรุปปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานในแต่ละส่วนของงานพื้นที่ แนวทางแก้ไข เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาจัดทำแผนเร่งรัดการก่อสร้าง เพื่อที่จะสามารถส่งมอบพื้นที่ให้ บริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด เข้าดำเนินงานได้ภายในปี 2568 ตามสัญญา ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำ การดำเนินการเรื่องกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและการปฏิบัติงาน ให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง มุ่งเน้นการเปิดเผยข้อมูลให้โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้

นายอธิรัฐ กล่าวว่า โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F เมื่อพัฒนาแล้วจะเพิ่มขีดความสามารถท่าเรือแหลมฉบังจาก 11 ล้านตู้/ปี เป็น 18 ล้านตู้/ปี รองรับการขยายตัวของปริมาณเรือขนส่งสินค้าทางทะเลเพิ่มขึ้น เป็นการเตรียมความพร้อมรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะแล้วเสร็จในปี 68


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”ลงหนองบัวลำภูเยี่ยม-ดูแลผู้บาดเจ็บให้ดีที่สุด สั่งคุมเข้มขั้นเด็ดขาดใช้อาวุธ-ยาเสพติดในกลุ่มคนพฤติกรรมเสี่ยง

,

“พล.อ.ประวิตร”ลงหนองบัวลำภูเยี่ยม-ดูแลผู้บาดเจ็บให้ดีที่สุด
สั่งคุมเข้มขั้นเด็ดขาดใช้อาวุธ-ยาเสพติดในกลุ่มคนพฤติกรรมเสี่ยง

เมื่อ 7ต.ค.65, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางลงพื้นที่อบต.อุทัยสวรรค์ จ.หนองบัวลำภู เพื่อร่วมแสดงความอาลัย ผู้เสียชีวิตและให้กำลังใจครอบครัว พร้อมเข้าเยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บ จากเหตุการณ์ความรุนแรง โดยผู้ก่อเหตุ เป็นอดีตตำรวจ ซึ่งถูกดำเนินคดียาเสพติด กระทั่งมาก่อเหตุความรุนแรง ณ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ จ.หนองบัวลำภู ตามที่เป็นข่าวเมื่อวาน และส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของผู้คนในสังคม เป็นอย่างยิ่งโดย พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ได้ร่วมวางดอกไม้แสดงความอาลัย ผู้เสียชีวิต บริเวณด้านหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก พร้อมไปมอบกำลังใจ ให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต ซึ่งยังอยู่ในอาการเศร้าโศก เสียใจ หลังจากนั้น ได้เดินทางต่อไปยัง รพ.หนองบัวลำภู ได้รุดเยี่ยมเด็กนักเรียน และผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยกล่าวให้กำลังใจ อย่างสุดซึ้งใจ และขอให้ทุกคนมีความปลอดภัย พร้อมแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยืนยันจะไม่ให้มีเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกโดยเด็ดขาด และจะให้ความช่วยเหลือ เยียวยา ครอบครัวผู้ที่เสียชีวิต และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ครั้งนี้ทุกคน อย่างดีที่สุด

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ ฝ่ายความมั่นคง ไปแล้ว ทั้งตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง จะต้องเพิ่มมาตรการป้องกันและกำจัดภัยร้ายจากอาวุธทุกชนิด และยาเสพติดให้ได้ อย่างจริงจัง เด็ดขาดทุกพื้นที่ ทั่วประเทศ เน้นเฝ้าระวัง เพ่งเล็งบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยง โดยทำงานเชิงรุกป้องกันการก่อเหตุซ้ำ ซึ่งที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร ได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะปัญหายาเสพติด ทั้งการป้องกัน ปราบปรามและการบำบัดรักษา ช่วยเหลือผู้ติดยาเสพติด คืนกลับสู่สังคม อย่างต่อเนื่อง และหากมีจนท.รัฐ บกพร่องต่อการปฏิบัติหน้าที่ หรือมีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะต้องถูกดำเนินคดี และถูกลงโทษตามกฏหมาย ไม่มีละเว้น พร้อมขอความร่วมมือประชาชน แจ้งเบาะแสบุคคลมีพฤติกรรมเสี่ยงให้ จนท.ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 ตุลาคม 2565

“ตรีนุช” ปล่อยขบวนคาราวาน “อาชีวะ ช่วยประชาชน” เพื่อผู้ประสบภัยน้ำท่วม

,

“ตรีนุช” ปล่อยขบวนคาราวาน “อาชีวะ ช่วยประชาชน” เพื่อผู้ประสบภัยน้ำท่วม

วันนี้ (7 ต.ค. 2565) ที่บริเวณหน้าสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศฺ) นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานเปิดกิจกรรมปล่อยขบวนคาราวานช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม “อาชีวะ ช่วยประชาชน” โดยมีว่าที่ร้อยตรี ดร. ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมพิธี ทั้งนี้ ก่อนการเริ่มพิธีคณะผู้บริหาร ครู และนักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษาได้ร่วมกันยืนสงบนิ่งไว้อาลัยกับเหตุการณ์การสูญเสียที่จังหวัดหนองบัวลำภู

โดยนางสาวตรีนุช กล่าวว่า จากเหตุการณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ พายุดีเปรสชั่นโนรู ที่พัดเข้าประเทศไทย ส่งผลให้มีฝนตกหนักถึงหนักมาก และมีฝนตกสะสม ซึ่งทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก สร้างความเสียหายให้กับไร่นาและบ้านเรือนประชาชน เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนจากเหตุการณ์ดังกล่าว ตนจึงได้มอบหมายให้ สอศ.)ระดมสรรพกำลังผู้บริหาร ครู อาจารย์ นักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษาที่มีจิตอาสาจากสถานศึกษาในสังกัดอาชีวศึกษา จัดตั้งศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน Fix it Center เพื่อช่วยเหลือเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ภายใต้ชื่อ “อาชีวะ ช่วยประชาชน” เพื่อออกให้บริการซ่อมบำรุงรักษารถจักรยานยนต์ ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน และเครื่องมือประกอบอาชีพแก่ประชาชนในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม โดยกิจกรรมดังกล่าวนี้ถือได้ว่าเป็นการแสดงศักยภาพของนักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษาที่มีความคิดสร้างสรรค์ในการนำทักษะ ความรู้ความสามารถ สร้างประโยชน์แก่ชุมชน ปลูกจิตสำนึกให้มีจิตอาสา สร้างความเอื้ออาทร ความสามัคคี ความพร้อมของเครื่องมือ อุปกรณ์ ตลอดจนช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ประสบภัยให้ได้รับการบรรเทาความเดือดร้อนและเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่การอาชีวศึกษา

ด้าน ว่าที่ร้อยตรี ดร.ธนุ กล่าวว่า สำหรับพิธีปล่อยขบวนคาราวาน “อาชีวะ ช่วยประชาชน” เพื่อผู้ประสบภัยน้ำท่วมในวันนี้ มีสถานศึกษาที่เข้าร่วมงาน ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคนนทบุรี วิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา วิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี วิทยาลัยการอาชีพเสนา วิทยาลัยเทคนิคกาญจนบุรี วิทยาลัยเทคนิคราชบุรี วิทยาลัยเทคนิคนครปฐม วิทยาลัยเทคนิคปทุมธานี และวิทยาลัยสารพัดช่างพระนคร และตนได้มอบนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ “เครื่องตรวจวัดกระแสไฟฟ้ารั่วในน้ำ” ที่ทางอาชีวศึกษาจังหวัดอุบลราชธานีได้ช่วยกันประดิษฐ์คิดค้นขึ้น ให้กับผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคนนทบุรี และวิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง เพื่อนำไปส่งมอบต่อให้กับโรงเรียนรุ่งเรืองวิทยา และโรงเรียนวัดแจ้งศิริสัมพันธ์ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม เพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่สถานศึกษาในการตรวจวัดกระแสไฟฟ้ารั่วในน้ำต่อไป

สำหรับพื้นที่การให้บริการ “อาชีวะ ช่วยประชาชน” จะเป็นการบูรณาการร่วมกันของสถานศึกษาทุกพื้นที่ ในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ และจังหวัดใกล้เคียง ที่ช่วยบรรเทาความเสียหายในทรัพย์สิน และค่าใช้จ่ายของประชาชน โดยมีอาชีวศึกษาจังหวัดดูแล ทั้งนี้สามารถประสานได้ที่อาชีวศึกษาจังหวัดทุกแห่ง.


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”ถก“ชัชชาติ”แผนเร่งระบายน้ำฝั่งตะวันออก กทม. ลดผลกระทบน้ำท่วมขังให้ประชาชนกลับสู่ภาวะปกติ

,

“พล.อ.ประวิตร”ถก“ชัชชาติ”แผนเร่งระบายน้ำฝั่งตะวันออก กทม.
ลดผลกระทบน้ำท่วมขังให้ประชาชนกลับสู่ภาวะปกติ

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 2/2565 และประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 1/2565 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และนาย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่า กทม.หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม อาทิ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า โครงการพัฒนาทรัพยากรน้ำตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำ ลดความเสียหายจากปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง และยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญก้าวหน้า โดยการประชุมทั้ง 2 คณะในวันนี้ เป็นการประชุมครั้งแรก ภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ชุดใหม่ ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 เพื่อพิจารณาขับเคลื่อนแผนงาน/โครงการพัฒนาแหล่งน้ำต่างๆ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปีที่ได้วางไว้ โดยเฉพาะแนวคิดในการพัฒนาการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของ กทม. ในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้รอดพ้นจากปัญหาน้ำท่วม โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 การปรับปรุงระบบระบายน้ำในพื้นที่ กทม. แบ่งเป็น ระยะที่ 1 (เร่งด่วน) เช่น งานปรับปรุงระบบสูบน้ำ ระบบไฟฟ้า และระบบเก็บขยะ สถานีสูบน้ำพระโขนง โครงการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กจากคลองหนองบอน และคลองมะขามเทศ เชื่อมโยงกับคลองประเวศบุรีรมย์ ระยะที่ 2 เป็นการปรับปรุงเครื่องสูบน้ำของสถานีสูบน้ำพระโขนงให้มีประสิทธิภาพในการสูบระบายน้ำมากยิ่งขึ้น และการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กในพื้นที่คลองสายสำคัญที่เชื่อมต่อกับคลองประเวศบุรีรมย์ เช่น คลองจระเข้ขบ คลองสองต้นนุ่น คลองทับยาว เป็นต้น เพื่อให้สามารถระบายน้ำได้เพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการออกแบบรายละเอียดโครงการ และกลุ่มที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในพื้นที่รอยต่อ กทม. เช่น โครงการก่อสร้างอุโมงค์ส่วนต่อขยายจากบึงหนองบอนถึงคลองประเวศบุรีรมย์และประตูระบายน้ำลาดกระบัง โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพสถานีสูบน้ำสำโรง โครงการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กคลองลำปลาทิว เป็นต้น สามารถช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในพื้นที่ จ.ปทุมธานี กทม. และ จ.สมุทรปราการ ลดความเดือดร้อนของประชาชนและความเสียหายต่อทรัพย์สินจากปัญหาน้ำท่วม อีกทั้งยังเป็นการรองรับการขยายตัวของเมืองในพื้นที่นอกคันกั้นน้ำพระราชดำริได้อีกด้วย

โดยที่ประชุมได้เห็นชอบและให้นำเสนอแนวคิดต่อ กนช. และให้ กทม.เร่งรัดดำเนินการแผนงานในกลุ่มที่ 1 ระยะที่ 1 (เร่งด่วน) เพื่อเสนอขอรับงบประมาณในปี 2567 รวมทั้งให้เร่งศึกษาภาพรวมการระบายน้ำพื้นที่ กทม. ฝั่งตะวันออกให้เชื่อมโยงสอดคล้องกับแผนงาน/โครงการของหน่วยงานอื่น เช่น โครงการปรับปรุงระบบชลประทานเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่างของกรมชลประทาน และแผนงานระบบระบายน้ำของเทศบาลตำบลสำโรงเหนือ จ.สมุทรปราการ เพื่อให้การระบบระบายน้ำมีความเชื่อมโยงและสอดคล้องกัน เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้อย่างทันท่วงที และให้เร่งรัดการเตรียมความพร้อมเพื่อให้ดำเนินการได้โดยเร็ว

ด้านดร.สุรสีห์ เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการขับเคลื่อนโครงการอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด จ.จันทบุรี โดยให้กรมชลประทานเร่งประสานกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้เห็นชอบในการขอใช้พื้นที่โดยเร็ว นอกจากนี้ยังได้เห็นชอบร่างแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (ปรับปรุงช่วงที่ 1 พ.ศ. 2566 – 2580) ตามที่ สทนช. เสนอ โดยได้ปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์และบริบทปัจจุบัน รวมทั้งได้มีการวิเคราะห์ให้รองรับสถานการณ์ในอนาคต พร้อมทั้งได้รับฟังความคิดเห็นจากคณะกรรมการลุ่มน้ำ องค์กรผู้ใช้น้ำ ประชาชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอ กนช. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”เสียใจเหตุการณ์สะเทือนขวัญหนองบัวลำภู เร่งถอดบทเรียนหามาตรการป้องกันตัดต้นตอปัญหายาเสพติด

,

“พล.อ.ประวิตร”เสียใจเหตุการณ์สะเทือนขวัญหนองบัวลำภู
เร่งถอดบทเรียนหามาตรการป้องกันตัดต้นตอปัญหายาเสพติด

วันที่7 ตุลาคม 2565 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เปิดเผยว่า ตนและพรรคพลังประชารัฐขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์อดีตนายตำรวจก่อเหตุภายในศูนย์เด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู ซึ่งถือเป็นเหตุารณ์ไม่คาดฝัน ที่กระทบกระเทือนขวัญกำลังใจของคนทั้งประเทศ โดยรัฐบาลจะนำมาถอดบทเรียน และหามาตรการไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นอีก แต่ เรื่องเร่งด่วนขณะนี้คือการเยียวยาและช่วยเหลือครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบและขอยืนยันว่าจะดูแลช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างดีที่สุด

“ รัฐบาลจะดูแลครอบครัวของผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เพราะทุกคนต่างเสียใจกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ จะนำมาสู่แนวทาง และวางมาตรการร่วมกันแก้ไขปัญหาต้นเหตุให้มีความเข้มข้นมากขึ้น ทั้งในเรื่องการปราบปรามยาเสพติด และการรักษาผู้ติดยาเสพติด ตัดวงจรไม่ให้เสพซ้ำ ที่ผ่านมาได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการปราบปรามและเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลจับกุมผู้ค้ามาอย่างต่อเนื่อง” พล.อ.ประวิตรกล่าว

สำหรับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดรัฐบาลได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมีโครงการแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นจะต้องบูรณาการในการแก้ไขปัญหาทุกภาคส่วนเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนให้มากยิ่งขึ้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 ตุลาคม 2565

พปชร.เสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์กราดยิงศูนย์เด็กเล็ก เผย “พล.อ.ประวิตร”ห่วงใยผลกระทบที่เกิดขึ้น มอบว่าที่ผู้สมัครส.ส. หนองบัวลำภู ติดตามใกล้ชิด

,

พปชร.เสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์กราดยิงศูนย์เด็กเล็ก เผย “พล.อ.ประวิตร”ห่วงใยผลกระทบที่เกิดขึ้น มอบว่าที่ผู้สมัครส.ส. หนองบัวลำภู ติดตามใกล้ชิด

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับครอบครัวผู้สูญเสียและผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์คนร้ายกราดยิงภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งหนึ่ง ในจ.หนองบัวลำภู โดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ห่วงใยสถานการณ์และผลกระทบที่เกิดขึ้น พร้อมมอบหมายให้สมาชิกพรรคและว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐในพื้นที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมประสานข้อมูลในทุกมิติ

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้เบื้องต้นสาเหตุมาจากยาเสพติด ซึ่งรัฐบาลได้พยายามแก้ไขปัญหาและให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด ทั้งการป้องกันและปราบปราม โดยมีโครงการแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นจะต้องบูรณาการณ์ในการแก้ไขปัญหาทุกภาคส่วนเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม พรรคพลังประชารัฐ พร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่น้องประชาชนในทุกวิกฤติ โดยเฉพาะพี่น้องชาวหนองบัวลำภู ที่พรรคพลังประชารัฐ เพิ่งจัดกิจกรรม ไปเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา โดยพรรคพลังประชารัฐจะเร่งผลักดันแนวทางในการป้องกันปัญหาในเชิงรุก เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์สลดซ้ำขึ้นอีก

ด้าน ส.จ.ประภาลักษณ์ สิทธิ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. หนองบัวลำภู เขต3 กล่าวว่า เมื่อตนทราบเรื่องตนรู้สึกเสียใจและขอเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวของผู้สูญเสีย ในเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้โดยตนพร้อมที่จะเดินหน้าโครงการแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชนแบบครบวงจรโดยเฉพาะการบำบัดผู้ติดยาเสพติด และมาตรการในการเฝ้าระวังของชุมชน


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 6 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”ลงพื้นที่ดูแลชาวปทุมรับผลกระทบอุทุกภัย เดินหน้าผลักดันโครงการบริหารจัดการน้ำป้องกันระยะยาว

,

“พล.อ.ประวิตร”ลงพื้นที่ดูแลชาวปทุมรับผลกระทบอุทุกภัย
เดินหน้าผลักดันโครงการบริหารจัดการน้ำป้องกันระยะยาว

เมื่อวันที่ 6 ต.ค.65 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงการคลัง ได้เดินทางพื้นที่ศาลากลาง จ.ปทุมธานี เพื่อติดตามสถานการณ์ของปริมาณน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา จาก”พายุโนรู” โดยมี ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ เขต 2 กทม. รวมถึงว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ทั้ง 7 เขตปทุมธานี อาทิ นายเศวก ประเสริฐสุข , นายปรีชา ชื่นชนกพิบูล , นายเกียติศักด์ ส่องแสง , นายคิว อรุโณรส , นายสุรศักดิ สุรทัตโชค, นายประเสริฐศรี ฮ้อแสงชัย และนางฐิตินันท์ เจริญอาจ นายชณทัต ปัทะมะภูวดล ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.อยุธยา เขต 3 ให้การต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง โดย นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ได้บรรยายสรุปสถานการณ์น้ำภาพรวม จ.ปทุมธานี นายบุญสม ชลพิทักษ์วงศ์ รักษาการที่ปรึกษาด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) นำเสนอแผนงานด้านทรัพยากรน้ำใน จ.ปทุมธานี และภาพรวมสถานการณ์น้ำปัจจุบัน นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน นำเสนอแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ โดยสรุป

ทั้งนี้ภาพรวมจ.ปทุมธานี อยู่ในพื้นที่ 2ลุ่มน้ำ คือลุ่มน้ำเจ้าพระยา (77%) และลุ่มน้ำบางปะกง (23%)มีปริมาณน้ำปัจจุบัน 26 ล้าน ลบ.ม.( 39%) ซึ่งปัญหาอุทกภัยในปีนี้ มีสาเหตุ จากน้ำหลาก จากต้นน้ำตอนบน ไหลลงสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ทำให้เกิดการเอ่อล้นตลิ่ง เข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรกรรม รวม 7อำเภอ อยู่ในขณะนี้ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาล ได้มี 13มาตรการรองรับฤดูฝน ควบคู่กับโครงการ 349 โครงการในปี61-65 แล้ว และอีก 4 โครงการสำคัญ ในปี66-67

ขณะเดียวกันยังได้ติดตามการบริหารจัดการน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณท่าน้ำวัดโบสถ์ อ.สามโคก การก่อกระสอบทรายกั้นน้ำ อบต.กระแชง อ.สามโคก และประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ที่ใช้บริหารจัดการน้ำคลองรังสิตประยูรศักดิ์และการระบายน้ำในพื้นที่ จ.ปทุมธานี และกรุงเทพฯ และการปฎิบัติงานของศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center) วิทยาลัยเทคนิคปทุมธานี พร้อมทั้งได้พบปะ เยี่ยมเยียนพี่น้องประชาชน เพื่อให้กำลังใจผู้ที่ประสบอุทกภัยต่อด้วยการเดินทางไปตรวจสภาพ ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ อ.ธัญบุรี เพื่อเร่งระบายน้ำ ลดความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ตามแผนงานอย่างเร่งด่วน ต่อไป

พล.อ.ประวิตร กล่าวขอบคุณประชาชนที่มาต้อนรับ ซึ่งรัฐบาลเห็นใจเรื่องของปริมาณน้ำที่สร้างผลกระทบมาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยพบว่าพื้นที่ริมน้ำได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำในเจ้าพระยาในขณะนี้มีปริมาณที่สูงกว่าเขื่อน ส่งผลให้น้ำท่วมเข้าสู่บ้านเรือนที่ส่งผลให้ท่วมถึงกว่า 6,000 ครัวเรือน ซึ่งรัฐบาลกำลังวางแผนเพื่อลดผลกระทบเกิดขึ้นกับประชาชนให้น้อยที่สุด โดยได้หน่วยงานต่างๆได้ร่วมวางแผนไม่ว่าจะเป็นสนทช. กรมชลประทาน เพื่อกำหนดแผนป้องกันไม่ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน และแก้ไขปัญหาโดยเร็ว

นอกจากนี้ ยังได้เตรียมแผนให้หน่วยงานท้องถิ่นขยายถนน ทางเข้าวัดสามโคกเพิ่มขึ้น โดยให้อบจ.ไปดำเนินการออกแบบ ซึ่งจะมีการเร่งรัด เพื่อแก้ไขปัญหาตามข้อแนะนำจากท่านเจ้าอาวาสวัดสามโคกต่อไป

พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อติดตามความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี นนทบุรี และ กทม. โดยเฉพาะการรับมือกับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน บ้านเรือน และพื้นที่ทำกินของประชาชน และได้สั่งการให้ สทนช. กรมชลประทาน และจังหวัด ร่วมบูรณาการแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรน้ำในพื้นที่ และเร่งแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่ยังมีจุดท่วมขังให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว โดยการเร่งดำเนินการซ่อมแซม บำรุงรักษาระบบระบายน้ำ อาคารบังคับน้ำและสถานีสูบน้ำที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทานให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน

นายบุญสม ชลพิทักษ์วงศ์ รักษาการที่ปรึกษาด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สทนช. ได้รายงานผลการดำเนินงานพัฒนาทรัพยากรน้ำในพื้นที่ จ.ปทุมธานีในปี 61 – 64 พบว่า มีโครงการด้านแหล่งน้ำทั้งสิ้น 337 แห่ง พื้นที่รับประโยชน์ประมาณ2 หมื่นไร่ พื้นที่เก็บกักน้ำเพิ่มขึ้น 3.45 ล้านลูกบาศก์เมตร เช่น การปรับปรุงอาคารบังคับน้ำปลายคลองลาดหลุมแก้วประปาหมู่บ้านแบบบาดาลขนาดใหญ่ ประตูระบายน้ำกลางคลอง 13 ก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งระยะทาง ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นต้น ซึ่งโครงการสำคัญที่จะเกิดขึ้นในช่วงปี 66 – 67 ได้แก่ ประตูระบายน้ำกลางคลองรังสิต (8-9) ประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า ปากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ ปรับปรุงคันคลองเชียงรากน้อย ด้านทิศเหนือ ระยะที่ 1 ซึ่งเมื่อโครงการแล้วเสร็จจะสามารถป้องกันน้ำท่วมได้ถึง 53,000 ไร่


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 6 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร” พอใจแผนงานกำกับภูมิภาค ย้ำเร่งแก้ไขปัญหาอุทกภัยดูแล ปชช.ต่อเนื่อง

,

“พล.อ.ประวิตร” พอใจแผนงานกำกับภูมิภาค ย้ำเร่งแก้ไขปัญหาอุทกภัยดูแล ปชช.ต่อเนื่อง

พล.อ.ประวิตร ประชุม ติดตามแผนงาน “กำกับฯภูมิภาค” เน้นช่วยเหลือเร่งด่วน ปชช.ทั่วประเทศ พอใจผลงานปี65ได้ตามเป้า อนุมัติงบฯกรณีฉุกเฉิน ปี66 แก้ปัญหาต่อเนื่อง 18 เขตพื้นที่ ตามนโยบายรัฐบาล ย้ำห้ามซ้ำซ้อน งานปกติ

เมื่อ 6 ต.ค.65 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ครั้งที่ 1/2565 ณ ห้องประชุม มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด โดยพล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้รับทราบ ผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคของรองนายกรัฐมสตรี ประจำปี 2565 โดย รองนายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่เพื่อมอบนโยบายและตรวจเยี่ยม พร้อมประชุม/หารือ เพื่อรับฟังปัญหา รวมถึงแก้ไขปัญหาในการดำเนินงานต่างๆ จำนวน 23 ครั้ง และรับทราบความก้าวหน้า ของโครงการที่ผ่านความเห็นชอบไปแล้ว จำนวน 1,513 โครงการ วงเงิน 1,800 ล้านบาทเศษ ซึ่งเป็นไปตามแผนงาน อย่างน่าพอใจ ภายใต้นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล

จากนั้นที่ประชุม ได้ร่วมกันพิจารณาเห็นชอบ นโยบาย มาตรการ และแนวทาง การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ของรอง นรม.ประจำปี 66 โดยเน้นย้ำ การลงพื้นที่ติดตาม แก้ปัญหาให้สอดคล้องและตรงตามความต้องการ ของพี่น้องประชาชน อย่างแท้จริง และเห็นชอบ แนวทางและกรอบวงเงินงบประมาณ งบกลางของรอง นรม.เพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ประจำปี66 จำนวน 18 เขตตรวจราชการ วงเงิน 900 ล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนโครงการส่งเสริม การพัฒนาที่มีการบูรณาการ โดยยึดพื้นที่และประชาชนเป็นหลัก น้อมนำหลักปัญาเศรษฐกิจพอเพียง มาปรับใช้อย่างเหมาะสมกับพื้นที่ภูมิสังคม เพื่อให้เกิดความยั่งยืน ต่อไป

พล.อ.ประวิตร ยังได้กำชับคณะทำงาน ทุกเขตตรวจราชการ ให้เร่งติดตามความก้าวหน้าของผลงาน อย่างรีบด่วน โดยเฉพาะปัญหาอุทกภัย ที่ประชาชนกำลังประสพอยู่ในขณะนี้ รวมถึงปัญหาภัยแล้ง และปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วน ของประชาชนทั่วประเทศ โดยจะต้องไม่ซ้ำซ้อนงานปกติ โดยเด็ดขาด พร้อมทั้ง เน้นการพัฒนาระบบฐานข้อมูล ให้รอบด้าน ควบคู่ การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ประชาชน ให้รับทราบประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลดำเนินการให้ อย่างต่อเนื่อง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 6 ตุลาคม 2565

“อธิรัฐ” สั่งการกรมเจ้าท่าเตรียมรับมือพายุไต้ฝุ่น “โนรู” เข้าไทย 28 ก.ย. – 1 ต.ค. นี้

, ,

“อธิรัฐ” สั่งการกรมเจ้าท่าเตรียมรับมือพายุไต้ฝุ่น “โนรู” เข้าไทย 28 ก.ย. – 1 ต.ค. นี้

นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา พายุ “โนรู” ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 26 ก.ย.65 พายุไต้ฝุ่น “โนรู” บริเวณด้านตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลางในวันที่ 28 ก.ย.65 ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย จะมีกำลังแรงขึ้น โดยจะส่งผลกระทบทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้ง กทม.และปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ มี “ฝนตกหนัก” หลายพื้นที่ และมีฝนตกหนักมากบางแห่งกับมีลมแรง ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มในช่วงวันที่ 28 ก.ย. – 1 ต.ค.65

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

นายอธิรัฐ กล่าวว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว ตนจึงได้สั่งการให้กรมเจ้าท่า โดยสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค ที่ 1-7 และ สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษา ทางน้ำ 1-8 ทั่วประเทศ เตรียมการรับมือพายุไต้ฝุ่นโนรู ดังนี้
1. จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กรมเจ้าท่า
2. เตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่ รถ เรือ อุปกรณ์การช่วยเหลือผู้ประภัย
3.จัดเจ้าหน้าที่รับแจ้งเหตุประจำศูนย์และให้กำชับเจ้าหน้าที่เตรียมความพร้อมสนับสนุนให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง
4. ออกประกาศให้ระมัดระวังการเดินเรือ ช่วงวันที่ 27 ก.ย. – 1 ต.ค.65 โดย
– เรือที่มีความยาวต่ำกว่า 12 เมตร ไม่ควรออกจากฝั่งหรืองดการเดินเรือ
– เรือที่มีความยาวมากกว่า 12 เมตร ให้ใช้ความระมัดระวังการเดินเรือในระยะนี้
และให้ตรวจสอบความพร้อมของตัวเรือ เครื่องยนต์เรือ ตลอดจนเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ประจำเรือและอุปกรณ์ช่วยชีวิตต่าง ๆ ให้พร้อมใช้งานและให้ผู้โดยสารสวมเสื้อชูชีพตลอดเวลาขณะอยู่ในเรือ

นายอธิรัฐ กล่าวอีกว่า ตนได้กำชับให้หน่วยงานเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำและสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา รวมถึงบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 กันยายน 2565

‘พล.อ.ประวิตร ’ เร่งช่วยคน”หล่มสัก” ติดตามแก้ปัญหาน้ำ ชาวบ้านต้อนรับคับคั่ง ขอบคุณรัฐบาล จริงใจ พร้อมร่วมมือพัฒนาท้องถิ่น ต่อเนื่อง

, ,

‘พล.อ.ประวิตร ’ เร่งช่วยคน”หล่มสัก” ติดตามแก้ปัญหาน้ำ ชาวบ้านต้อนรับคับคั่ง ขอบคุณรัฐบาล จริงใจ พร้อมร่วมมือพัฒนาท้องถิ่น ต่อเนื่อง

เมื่อ 25 ก.ย.65 พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รอง นรม. เปิดเผยว่าเวลา 14.30 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ในฐานะ ผอ.กอนช. พร้อมคณะได้เดินทางไปปฏิบัติราชการ ต่อเนื่องจากช่วงเช้า ในพื้นที่ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วม ณ เทศบาลเมืองหล่มสัก และเทศบาล ต.ตาลเดี่ยว อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ โดยได้รับฟังรายงานสถานการณ์น้ำ และปัญหาอุทกภัยพร้อมแนวทางการแก้ไขจาก สทนช. ณ บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำป่าสัก โดยสรุปภาพรวม พื้นที่อ.หล่มสัก มีแม่น้ำสายหลักคือแม่น้ำป่าสัก มีอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง 3แห่ง ฝาย 2แห่ง มีปริมาณน้ำกักเก็บ จำนวน 61,320 ล้าน ลบ.ม.มีพื้นที่ชลประทาน ได้รับประโยชน์ 37,359 ไร่ สถานการณ์อุทกภัยที่ผ่านมาตั้งแต่ ก.ค.65 ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุ 3ครั้ง และส่งผลกระทบต่อการดำรงค์ชีวิตประชาชน ทั้งทางด้านการเกษตร พืชผล ด้านปศุสัตว์ และประมง ซึ่งรัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณเพื่อช่วยเหลือเยียวยาแล้ว สำหรับอุทกภัยและภัยแล้งที่ยังคงเป็นปัญหา ซึ่งจะต้องเร่งดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติม โดยจังหวัดและผู้เกี่ยวข้องได้เสนอให้ สทนช.ศึกษาความเป็นไปได้ในภาพรวมของจังหวัด อย่างเป็นระบบ ให้กรมชลประทาน จัดทำโครงการระบบผันน้ำพื้นที่ต้นน้ำ และโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อการกักเก็บน้ำ และชะลอน้ำไม่ให้ไหลเข้าชุมชน อย่างรวดเร็ว รวมถึงให้กรมโยธาธิการและผังเมือง สนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมในการทำเขื่อนป้องกันตลิ่ง และป้องกันน้ำท่วมพื้นที่วิกฤติในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองหล่มสัก เป็นต้น

พล.อ.ประวิตร ได้พบปะกับพี่น้องประชาชน และข้าราชการในพื้นที่ที่มาให้การต้อนรับ จำนวนมากโดยแสดงความห่วงใยชาวบ้านและเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง ที่ยังประสบอยู่ทุกปีในบางพื้นที่ รวมทั้ง การเตรียมรับมือกับพายุ “โนรู” ที่กำลังจะเข้าประเทศไทย บริเวณภาคเหนือ เร็วๆนี้ด้วย ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์หล่มสัก และยังได้กล่าวชื่นชมวิถีชีวิตดังเดิมสู่ปัจจุบัน ที่น่าภาคภูมิใจ พร้อมขอบคุณ ชาวหล่มสัก และชาว จ.เพชรบูรณ์ ที่ให้ความร่วมมือกับภาครัฐด้วยดีในการพัฒนาพื้นที่ กล่าวยืนยัน ว่ารัฐบาลพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ เยียวยา ทุกความเดือดร้อนของประชาชน อย่างเต็มที่ ซึ่งตนจะนำข้อเสนอแนะจากพื้นที่ในวันนี้ ไปให้รัฐบาล เร่งหาวิธีแก้ไข เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน และพัฒนาความเป็นอยู่ ของพี่น้องประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ต่อไป


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 กันยายน 2565