โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: ข่าวประชาสัมพันธ์

‘พล.อ.ประวิตร’ สั่ง ปภ.เตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติทุกรูปแบบ เน้นให้ชุมชนมีส่วนร่วม สร้างสังคมปลอดภัย ยั่งยืน

,

‘พล.อ.ประวิตร’ สั่ง ปภ.เตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติทุกรูปแบบ เน้นให้ชุมชนมีส่วนร่วม สร้างสังคมปลอดภัย ยั่งยืน

09 ก.พ.2566 – ที่ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5จังหวัด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) ครั้งที่ 1/2566 โดยที่ประชุมรับทราบการเปิดตัวแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติปี 64-70 ภายใต้โครงการสัมมนาเชิงวิชาการลดความเสี่ยงเดิม ป้องกันความเสี่ยงใหม่ สู่สังคมเท่าทันภัย ด้วยแผน ปภ.ชาติแล้ว เมื่อวันที่ 9 ม.ค.2566 เพื่อสื่อสารให้หน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง มีความรู้และความเข้าใจในนโยบาย และยุทธศาสตร์ภายใต้แผน ปภ.ชาติ และรับทราบแนวความคิด การจัดตั้งกองทุนการจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน และลดภาระงบประมาณของภาครัฐ

จากนั้นที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบให้ปรับปรุงคณะอนุกรรมการภายใต้กรอบ กปภ.ช.จำนวน 5คณะ ประกอบด้วย คณะกรรมการจัดการความเสี่ยงจากอุทกภัย วาตภัย โคนถล่มและภัยแล้ง ,การจัดการความเสี่ยงภัยจากแผ่นดินไหวและสึนามิ ,การประชาสัมพันธ์ด้านการจัดการสาธารณภัย ,เทคโนโลยีสาระสนเทศและการสื่อสารเพื่อการป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย และการพัฒนาระบบการจัดการภาวะฉุกเฉินตามแผน ปภ.ปี58 ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านวิชาการ ปภ.และลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อประโยชน์สูงสุดในการจัดการความเสี่ยง จากสาธารณภัย โดยให้มีความรุนแรงและผลกระทบความเสียหายลดลง นอกจากนั้นยังได้พิจารณาเห็นชอบกำหนดสัปดาห์แห่งการฝึกซ้อม เพื่อรับมือภัยพิบัติในปลายเดือน พ.ค.ของทุกปี เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ในการเตรียมความพร้อม และมีกลไกในชุมชนเพื่อร่วมวางแผนรับมือด้วย และเห็นชอบ แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านอัคคีภัยแห่งชาติ ปี66-70 เพื่อเพิ่มมาตรการรับมือ อัคคีภัย ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ต่อไป

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับมหาดไทย โดย ปภ.เร่งรัด ขับเคลื่อนแผนงานที่ได้ผ่านความเห็นชอบแล้ว นำไปสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว คำนึงถึงการเตรียมความพร้อมในทุกๆด้าน ควบคู่การซักซ้อมอย่างเข้มข้น เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น ที่จะต้องปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนอย่างดีที่สุด จากภัยพิบัติต่างๆทุกรูปแบบ และจะต้องสร้างการรับรู้ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงรวดเร็ว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2566

พปชร.เปิดโฉมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ชุดใหญ่ 38 คน 5 ภาค คลอดนโยบายแก้จน 10 กพ. นี้พร้อมเปิดไทม์ไลน์เดินสายพบ ปชช.

,

พปชร.เปิดโฉมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ชุดใหญ่ 38 คน 5 ภาค
คลอดนโยบายแก้จน 10 กพ. นี้พร้อมเปิดไทม์ไลน์เดินสายพบ ปชช.

เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 เมื่อเวลา 16.00 น. นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค พร้อมด้วยนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ และนายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรค ร่วมกันเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. จำนวน 38 คน ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด ซึ่งจะเป็นตัวแทนของพรรคในการลงรับสมัครรับเลือกตั้งที่จะมาถึงในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งล้วนเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับของประชาชนในการเข้าไปช่วยเหลือและรับฟังปัญหาที่จะนำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบายของพรรค เนื่องจากพรรคให้ความสำคัญในทุกพื้นที่ในการดูแลและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

นายวิรัช กล่าวว่า เป็นที่น่ายินดีและขอต้อนรับว่าที่ผู้สมัครทุกคนเข้าสู่พรรคพลังประชารัฐ ที่พร้อมจะช่วยกันก้าวข้ามความขัดแย้ง ตนขอฝากทุกคนต้องเร่งทำงาน ลงพื้นที่เพื่อนำนโยบายของพรรคไปสู่พี่น้องประชาชน เพราะใกล้เวลาเลือกตั้งแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาพรรคได้อบรมว่าที่ผู้สมัครไปแล้วกว่า 300 คน และในวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ นี้ พรรคจะเปิดนโยบายเพิ่มเติม หลังจากครั้งแรกได้เปิดนโยบาย “เพิ่มเงินบัตรพลังประชารัฐ 700 บาท” ซึ่งหลังจากนี้ทุกคนจะขยายนโยบายและวิธีเพื่อนำเสนอให้ป้อม700 ไปอยู่ในใจประชาชนให้ได้

“วันนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งในการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร มีทั้งอดีต ส.ส. อดีตผู้นำท้องถิ่น ซึ่งมีความเข้าใจและเข้าถึงปัญหาของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ จึงเชื่อมั่นว่าจะได้รับความไว้วางใจในการเข้ามานั่งในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อผลักดันนโยบายสำคัญของพรรคมาสู่การพัฒนาประเทศให้ประชาชนมีความกินดี อยู่ดี ตามนโยบายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค ซึ่งขณะนี้มีนโยบายแรกที่สำคัญ คือ การเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการประชารัฐเป็น 700 บาท เป็นนโยบายที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากการลงพื้นที่ที่ผ่านมาและจะมีนโยบายอื่นๆ ออกมาเร็วๆนี้”นายวิรัช กล่าว

ทั้งนี้พรรคจะจัดเวทีปราศรัยใหญ่ที่ จ.กาญจนบุรี บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแคว ในวันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ นี้ และในวันอังคาร ที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเดินปราศรัยครั้งแรกในพื้นที่เขต “ป้อม” ปราบศัตรูพ่าย ทั้งนี้การลงพื้นที่ พล.อ.ประวิตร ไม่ได้ต้องการไปปราบใครที่เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แต่เป็นการปราบความเดือดร้อนของประชาชน อะไรที่เป็นปัญหาของประชาชน ก็คือศัตรูของพรรค

ด้านนางนฤมล กล่าวว่า ในวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ นี้ พรรคพลังประชารัฐเตรียมแถลงนโยบายแก้จนให้กับประชาชน ส่วนนโยบายด้านอื่นๆ พรรคมีการประชุมทุกวัน หลังจากนี้ก็จะค่อยๆทยอยเคาะออกมาทุกสัปดาห์ สำหรับในสัปดาห์หน้าก็จะมีการเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.กทม. เพิ่มเติมเกือบครบทุกเขต

“ทีมเศรษฐกิจของพรรคพลังประชารัฐ ยังมีทั้งนักวิชาการ ผู้ประกอบการ และนักธุรกิจ โดยเราร่วมกันทำงาน ช่วยกันดูหลายมิติ ในส่วนของนโยบายด้านเศรษฐกิจนั้นทางท่านหัวหน้าพรรคก็ได้มอบหมายให้เน้นในเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ และการแก้ปัญหาความยากจนให้ประชาชนอยู่ดีกินดี เพื่อแก้จนอย่างยั่งยืน”นางนฤมล กล่าว

นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และทีมโฆษกพรรค พปชร. กล่าวว่า วันนี้พรรคได้เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครในทุกภาค จำนวน 38 คน ซึ่งทุกคนจะเป็นตัวแทนของหัวหน้าพรรคที่จะลงพื้นที่ไปสื่อสารให้กับประชาชนว่า หัวหน้าพรรคมีความห่วงใยประชาชนแค่ไหน ซึ่งวันนี้ทุกคนในพรรคพร้อมแล้วที่จะดูแลประชาชนและสื่อสารให้นโยบายของพรรคเข้าถึงใจประชาชน

สำหรับการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ในวันนี้ ประกอบด้วย พื้นที่ กรุงเทพฯ , ภาคกลาง , ภาคเหนือ , ภาคอีสาน ภาคตะวันออก และ ภาคใต้ รวมจำนวน 38 คน

กรุงเทพฯ จำนวน 5 คน ประกอบด้วย 1. ดร.ภญ.สุชาดา เวสารัชตระกูล 2. นาวาอากาศเอก บัญชาพล อรัณยะนาค 3. นายภูวกร ปรางภรพิทักษ์ 4. นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ (ฟิล์ม) 5. นายสาโรจน์ ซึ้งไพศาลกุล ภาคกลาง จำนวน 4 คน ประกอบด้วย สระบุรี 6. นายอรรถพล วงษ์ประยูร
7. ดร.เกณิกา อุ่นจิตร์ 8. นายองอาจ วงษ์ประยูร กาญจนบุรี 9. นางลำยอง ยิ้มใหญ่หลวง

ภาคตะวันออก จำนวน 2 คน ประกอบด้วย จ.ระยอง 10. นายกฤษฎา เอกกำลังกุล จ.จันทบุรี
11. นายชรัตน์ เนรัญชร

ภาคอีสาน จำนวน 20 คน ประกอบด้วย จ.บุรีรัมย์12. นายนภดล อังคสุภณ 13. นายสุเทพ ใสงาม14. นายปกรณ์ ทรงประโคม 15. นายวรณัฐ ศรีสุริยชัย 16. นายบำเหน็จ ทิพย์อักษร 17. นายสมคิด สินไธสง 18. นายบรรจง ศรีหาบุญทัน 19. นายอิทธิศักดิ์ ปาทาน 20. นายเจษฎากร เขียนนิลศิริ สุรินทร์ 21. นายเจ้าจอม เตียวเจริญโสภา จ.ยโสธร 22. นายธวัชชัย นิจพาณิชย์ จ.อุบลราชธานี 23. ดร.จำลอง พรมสวัสดิ์ จ.มุกดาหาร 24. นายวิริยะ ทองผา จ.สกลนคร
25. นายชัยมงคล ไชยรบ จ.เลย 26. นายจรูญ พาณิช 27. นายสันติภาพ เชื้อบุญมี
จ.ร้อยเอ็ด 28. นายเอกรัฐ พลซื่อ 29. นางรัชนี พลซื่อ จ.อุดรธานี 30. นายโกเมนทร์ ทีฆธนานนท์ 31. นายชัยฤทธิ์ เขาวงศ์ทอง

ภาคเหนือ จำนวน 2 คน ประกอบด้วย จ.เชียงใหม่ 32. นางรัตนประภา ดิศวัฒน์ จ.ลำพูน
33. พล.ต.ต.กริช กิติลือ

ภาคใต้ จำนวน จำนวน 5 คน ประกอบด้วย จ.ประจวบคีรีขันธ์ 34. นายสมพงษ์ ทั่งศรี
จ.สงขลา 35. นายญาณพง เพชรบูรณ์ 36. นายธีรพงษ์ ดนสวี 37. นายอดิสัณห์ ชัยวิวัฒน์พงศ์
จ.พัทลุง 38. ดร.พลกฤษณ์ คล้ายวิตภัทร

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2566

“พล.อ.ประวิตร” เกาะติดโครงการน้ำลดผลกระทบชาวปทุมระยะยาว เสียงเชียร์หนุนนั่งนายกคนที่30 ผู้สมัครผนึกทีมสู้เป็นปากเสียงปชช

,

“พล.อ.ประวิตร” เกาะติดโครงการน้ำลดผลกระทบชาวปทุมระยะยาว
เสียงเชียร์หนุนนั่งนายกคนที่30 ผู้สมัครผนึกทีมสู้เป็นปากเสียงปชช

วันที่8 กุมภาพันธ์ 2566 – พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) พร้อมคณะลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำทั้งระบบโดย มีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วยผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครบ ทั้ง7 เขต ประกอบด้วย นายเสวก ประเสริฐสุข เขต 1 นายนพดล ลัดดาแย้ม เขต2 นายปรีชา ชื่นชนกพิบูล เขต3นายยุทธวัตน์ หาญเกียรติกล้าเขต4 นายวิรัช พยุงวงศ์ เขต5 นายเกียรติศักดิ์ ส่องแสงเขต 6นางสาวกฤษณา วงศ์คำ เขต7 มารอต้อนรับ ทั้งนี้นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ได้บรรยายสรุปถึงสถานการณ์น้ำในภาพรวม และแผนงานด้านทรัพยากรน้ำใน จ.ปทุมธานี ณ ห้องประชุมบัวหลวงปทุมธานี ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดประปทุมธานี

พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า เป็นการเดินทางมา จ ปทุมธานี เป็นครั้งที่ 2หลังจากที่ เดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา ได้มาเร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ช่วยเหลือเยียวยา และแก้ไขปัญหาให้กับ ประชาชน จากการ เผชิญปัญหาอุทกภัย น้ำท่วม น้ำหลาก โดยดำเนินการโครงการป้องกันอุทกภัยและโครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่สำคัญอย่างเป็นรูปธรรม เพราะจ. ปทุมธานี เป็นพื้นที่สำคัญที่เป็นรอยต่อของกรุงเทพ การวางแผนแก้ไขต้องเร่งดำเนินอย่างบูรณาการ ทั้งการระบายน้ำ และการดำเนินโครงการด้านทรัพยากรน้ำ เพื่อแก้ปัญหาน้ำยั่งยืน

พล.อ.ประวิตร ยังได้มอบหมายให้มีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่สทนช.จังหวัด ,กรมชลประทาน ,กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมทางหลวง ร่วมทำงานแก้ไขปัญหาร่วมกัน ทั้งการสูบน้ำ การระบายน้ำ การพัฒนาแหล่งน้ำ การเตรียมความพร้อมเครื่องมือ อุปกรณ์ระบบระบายน้ำ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตลอดเวลา และการแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ ให้สามารถระบายน้ำได้อย่างรวดเร็ว ควบคู่การเตรียมแผนเผชิญเหตุ รองรับภัยพิบัติในการช่วยเหลือประชาชนให้ได้ ทันท่วงที

ส่วนในพื้นที่พัฒนาคลองหมายเลข 3 ของ จ.ปทุมธานี บริเวณโรงเรียนวัดเวฬุวัน ต.บางพูด อ.เมือง จ.ปทุมธานี ได้ กำหนดแนวทางการพัฒนาเพิ่มศักยภาพ ของคลอง หมายเลข3 เป็นแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม สมัยอยุธยา ซึ่งประกอบด้วย 3คลองย่อย ได้แก่ คลองบ้านพร้าว คลองน้ำอ้อม และคลองบางหลวงเชียงราก จำเป็น ต้องวางแผนรองรับการระบายน้ำท่วมขัง ลดปัญหาน้ำเน่าเสีย พร้อมทั้งใช้เป็นเส้นทางคมนาคม พร้อมวางแผนการส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นระยะต่างๆ

ขณะเดียวกันยังได้ติดตามการก่อสร้างสถานีสูบน้ำ และอาคารประกอบโครงการสถานีสูบน้ำถาวร ปากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ ต.บ้านใหม่ อ.เมือง จ.ปทุมธานี โดยได้ให้กรมชลฯ ให้เร่งก่อสร้าง ให้แล้วเสร็จ ตามแผนงาน เพื่อรองรับการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ซึางจะสาทารถบรรเทาปัญหาน้ำท่วมได้มากถึง 62,300 ไร่

“ ในการพบปะประชาชน บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และมีชาวบ้านรอต้อนรับอย่างหนาแน่น และได้ขอให้สื่อมวลชนเปิดพื้นที่ทำข่าวให้ ประชาชนได้เห็นตนเองอย่างชัดเจน เพื่อขอพูดคุยกับประชาชน โดยขอขอบคุณที่ ประชาชนมารอต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมย้ำความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลมีความตั้งใจอย่างจริงจัง ที่จะบำรุงสุขให้ประชาชนอย่างเต็มที่ และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนทุกคน ให้อยู่ดีกินดีเป็นความมุ่งหมายของรัฐบาลโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” พล.อ.ประวิตร

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2566

“พล.อ.ประวิตร”เร่งรัด 10 มาตรการรับมือน้ำแล้ง จ.ชัยภูมิ จัดโซนพื้นที่เสี่ยงขาดน้ำ ปชช.รอรับเชียร์นั่งนายกคนต่อไป

,

“พล.อ.ประวิตร”เร่งรัด 10 มาตรการรับมือน้ำแล้ง จ.ชัยภูมิ
จัดโซนพื้นที่เสี่ยงขาดน้ำ ปชช.รอรับเชียร์นั่งนายกคนต่อไป

เมื่อ 6 ก.พ.66 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) พร้อมคณะ ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการต่อเนื่อง จาก จ.ขอนแก่น ช่วงเช้า โดยในช่วงบ่ายได้ลงพื้นที่ จ.ชัยภูมิ เพื่อติดตามขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำ เพื่อการอุปโภคบริโภค และการเกษตร ที่ศาลากลาง จ.ชัยภูมิ ได้ประชุมหารือร่วมกับ นายโสภณ สุวรรณรัตน์ ผวจ.,เลขาฯ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมพญาแล เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ

พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จังหวัด ชัยภูมิยังมีปัญหาน้ำท่วม ซึ่งเกิดจากน้ำหลากพื้นที่ลาดชัน ก่อให้เกิดสภาพน้ำล้นตลิ่ง ในพื้นที่หลายอำเภอ ซึ่งจังหวัดได้มีการถอดบทเรียน ร่วมฟังความคิดเห็นจากประชาชน แก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งอย่างยั่งยืน สำหรับภัยแล้ง เกิดจากปริมาณฝนเฉลี่ยน้อยขาดแหล่งเก็บกักน้ำ ประกอบกับดินส่วนใหญ่เป็นดินทรายไม่อุ้มน้ำ ทั้งนี้รัฐบาลได้สนับสนุนโครงการต่างๆในปี61-65 งบกลางกรณีฉุกเฉินปี65 และงบบูรณาการปี66 รวมทั้ง พล.อ.ประวิตร ได้สั่งการ สนับสนุนโครงการตามที่จังหวัดร้องขอเพิ่มเติมได้แก่ โครงการก่อสร้างวงแหวนน้ำรอบพื้นที่เมืองชัยภูมิ และก่อสร้างฝายแกนดินซีเมนต์เพื่อชะลอการไหลของน้ำในฤดูฝนและกักเก็บน้ำไว้ใช้ฤดูแล้ง จำนวน 1,000 ฝาย รองรับการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ

พล.อ.ประวิตร ได้มอบนโยบายที่สำคัญ โดยกำชับให้ สทนช. เร่งรัด 10 มาตรการรับมือฤดูแล้งอย่างเคร่งครัด พร้อมย้ำจังหวัดให้วางแผนพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำเพื่อลดผลกระทบประชาชน ให้มากที่สุด และได้กล่าวเน้น ว่า “น้ำคือชีวิต ของประชาชน”รัฐบาลมีความจริงใจที่จะ แก้ปัญหาทุกพื้นที่ อย่างเร่งด่วนสอดคล้องความต้องการประชาชน เพื่อให้ชาวบ้านมีน้ำใช้อย่างเพียงพอ รวมถึงขอบคุณหน่วยงาน และประชาชนที่ได้ช่วยกันแก้ปัญหาร่วมกัน กระทั่งสถานการณ์การขาดแคลนน้ำคลี่คลาย ทุกครัวเรือนมีน้ำใช้อย่างเพียงพอ

พล.อ.ประวิตร และคณะได้เดินทางต่อไปยังโครงการก่อสร้างบ่อกักเก็บน้ำ เพื่อการเกษตร ด้วยเทคโนโลยีวัสดุปูบ่อกักเก็บน้ำด้วยยางพารา ณ บ้านกุดโง้ง ต.บุ่งคล้า อ.เมือง จ.ชัยภูมิ โดยมี ผศ.ดร.อดิศัย รุ่งวิชานิวัฒน์ จาก ม.สงขลาฯ นำเสนอผลงานวิจัยโครงการฯ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการแก้ปัญหาภัยแล้งได้ อย่างยั่งยืน และส่งเสริมสินค้าช่วยเกษตรกรสวนยางพารา ได้อีกด้วย

จากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้เดินทางไปตรวจติดตามโครงการ เพิ่มประสิทธิภาพ อ่างเก็บน้ำ บ้านเพชร อ.ภูเขียว โดยทำการขุดลอกเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำให้มากขึ้น เพื่อรองรับการขาดแคลนน้ำ สำหรับอุปโภคบริโภคในฤดูแล้ง และได้พบปะกับพี่น้องประชาชนที่มาให้การต้อนรับ อย่างอบอุ่นเป็นจำนวนมาก และเป็นกันเอง ซึ่งชาวบ้านต่างมีความชื่นชม ดีใจ และได้ขอบคุณ พล.อ.ประวิตร ที่ช่วยแก้ปัญหาน้ำอย่างได้ผลและมีความยินดีที่จะสนับสนุนให้เป็นนายกฯ คนที่30 เพื่อสานต่องาน ช่วยคนอีสานต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2566

รมว. ดีอีเอส คาด 30 เมืองอัจฉริยะ สร้างโอกาสการลงทุน 6 หมื่นล้านบาท พร้อมลงพื้นที่ จ.ประจวบฯ ผลักดันหัวหินสู่เมืองอัจฉริยะ

,

รมว. ดีอีเอส คาด 30 เมืองอัจฉริยะ สร้างโอกาสการลงทุน 6 หมื่นล้านบาท
พร้อมลงพื้นที่ จ.ประจวบฯ ผลักดันหัวหินสู่เมืองอัจฉริยะ

ดีอีเอส เผยเมืองอัจฉริยะ สร้างโอกาสการลงทุนกว่า 60,000 ล้านบาท ลงพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชูหัวหินสู่เมืองอัจฉริยะ Smart City Hua Hin พร้อมติดตามผลการดำเนินงานโครงการศูนย์ดิจิทัลชุมชน กศน. อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อยกระดับศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนสู่ศูนย์ดิจิทัลชุมชน ระยะเวลาดำเนินการระหว่างปี พ.ศ. 2564 – 2567

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พร้อมด้วย ศ.พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงฯ และ ดร. เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงฯ นำคณะสื่อมวลชน ลงพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อร่วมทำข่าวความพร้อมโครงการ Smart city Hua Hin โดยมีประเด็นหารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด และนายกเทศมนตรีเทศบาลหัวหิน พร้อมทั้งติดตามความคืบหน้าโครงการศูนย์ดิจิทัลชุมชน โรงเรียน ตชด.บ้านย่านซื่อ อำเภอกุยบุรี และเป็นประธานเปิดโครงการ Digital infinity ดิจิทัลไม่มีที่สิ้นสุดจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ประเทศไทยมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในหน่วยงานและองค์กรภาครัฐและมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาเมืองและพื้นที่ต่างๆ สู่การเป็นเมืองอัจฉริยะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง ปัจจุบันมีเมืองที่ได้รับการประกาศเป็นเมืองอัจฉริยะแล้ว 30 เมืองทั่วประเทศโดยมีการประเมินว่าการพัฒนาเมืองอัจฉริยะจะช่วยให้เกิดโอกาสการลงทุนจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนรวมมูลค่ากว่า 60,000 ล้านบาท รวมถึงจะมีการสร้างมูลค่าการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในปัจจุบันและอนาคต

กระทรวงดิจิทัลฯ โดย ดีป้า ดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในระดับท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 หมุดหมายที่ 8 ไทยมีพื้นที่และเมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ ปลอดภัย เติบโตได้อย่างยั่งยืน ลงพื้นที่ครั้งนี้ ก็ได้หารือและประชุมกับผู้ว่าราชการจังหวัด และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อมการพัฒนาหัวหินสู่เมืองอัจฉริยะ Smart City Hua Hin
ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง เท่าเทียม พร้อมรองรับนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมศูนย์ CCTV และห้องควบคุม เพื่อติดตามการดำเนินงานด้านการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อบริหารจัดการพื้นที่ ตรวจสอบเมืองให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมต่อการอยู่อาศัย สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ปลอดภัย ไร้อาชญากรรม

ขณะเดียวกัน ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามผลการดำเนินงานโครงการศูนย์ดิจิทัลชุมชน โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านย่านซื่อ อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นตัวแทนสถานศึกษาที่สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้รับมอบหมาย จากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
ให้ดำเนินโครงการพัฒนาระบบนิเวศศูนย์ดิจิทัลชุมชนอย่างยั่งยืน ภายใต้แผนปฏิบัติการยุทธศาสตร์ที่ 5 ของแผนการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560 – 2564) (แผนปฏิบัติการฯ) จำนวน 2 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมที่ 1 จัดให้มีศูนย์บริการอินเทอร์เน็ตสาธารณะ (ศูนย์ดิจิทัลชุมชน) และ กิจกรรมที่ 2 การพัฒนาระบบจัดการศูนย์ดิจิทัลชุมชนและงานบำรุงรักษา ระยะเวลาดำเนินการทั้งโครงการอยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2566 – 2570 โดยมีพื้นที่ดำเนินการตามเป้าหมายเป็นสถานศึกษาจำนวน 1,722 ศูนย์ ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ

“การตรวจเยี่ยมและติดตามผลการดำเนินงานโครงการศูนย์ดิจิทัลชุมชน กศน. อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (ห้องสมุดประชาชนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์) เป็นศูนย์ดิจิทัลชุมชนที่ดำเนินการตามโครงการยกระดับศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน สู่ศูนย์ดิจิทัลชุมชน ระยะเวลาดำเนินการระหว่างปี พ.ศ. 2564 – 2567 ซึ่งได้จัดตั้งในพื้นที่ของโรงเรียน กศน. อบต. เทศบาล วัด มัสยิด และพื้นที่ชุมชน ที่มีความพร้อม จำนวน 500 แห่ง ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ” นายชัยวุฒิ กล่าว

ด้านนายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า ศูนย์ดิจิทัลชุมชน ได้จัดตั้งขึ้นตามนโยบายและแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีบทบาทในการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อุปกรณ์ดิจิทัล บุคลากรสนับสนุนและส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระดับท้องถิ่น เพื่อลดช่องว่างทางด้านดิจิทัลให้กับชุมชน ให้สามารถใช้ประโยชน์ในด้านการศึกษา และด้านอาชีพ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต ลดช่องว่างในการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล ลดความเหลื่อมล้ำในสังคมชนบท ในกลุ่มคนทุกกลุ่มที่อยู่ในท้องถิ่น เช่น ผู้ประกอบการชุมชน วิสาหกิจชุมชน เด็กและเยาวชน นักเรียน นักศึกษา ผู้สูงอายุ คนพิการ เป็นต้น นอกจากนี้ ศูนย์ดิจิทัลชุมชนยังทำหน้าที่ในการเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงข่าวสาร บริการดิจิทัล ให้กลุ่มเป้าหมายในระดับชุมชนได้รับการพัฒนาทักษะทางด้านดิจิทัล พร้อมที่จะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสนับสนุนคุณภาพชีวิต ต่อยอดสู่การสร้างโอกาสและรายได้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับฐานรากในอนาคต

ขณะที่ ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า กล่าวว่า การส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในระดับท้องถิ่นดำเนินการในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การสนับสนุนพื้นที่ให้พัฒนาแผนเมืองอัจฉริยะของตนเอง สามารถระบุพื้นที่พัฒนาเมืองโดยมีขอบเขตชัดเจน มองเห็นศักยภาพและปัญหา อีกทั้งสามารถเตรียมความพร้อมเรื่องระบบบริการทั้ง 7 Smarts ได้ตรงตามบริบทของพื้นที่ และวางโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางกายภาพและด้านดิจิทัล รองรับระบบบริการเมือง รวมถึงบริหารจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงความยั่งยืน และเกิดประโยชน์สูงสุดกับภาคประชาชน

นอกจากนี้ ดีป้า ยังมีการส่งเสริมคนรุ่นใหม่ที่มีใจต้องการพัฒนาภูมิลำเนามาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองน่าอยู่ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ผ่านโครงการนักดิจิทัลพัฒนาเมืองรุ่นใหม่ (The Smart City Ambassadors) ซึ่งจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เข้าร่วมโครงการ 2 พื้นที่ มีเจ้าหน้าที่ร่วมฝึกอบรม 2 ราย และมี Ambassadors ปฏิบัติหน้าที่สนับสนุนงานพัฒนาเมือง 2 ราย โดยปัจจุบัน เทศบาลเมืองหัวหิน เป็นหนึ่งในเขตส่งเสริมเมืองอัจฉริยะ

นายเสถียร เจริญเหรียญ ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ คือ “เมืองท่องเที่ยวทรงคุณค่าระดับนานาชาติ เกษตรปลอดภัย ด่านสิงขรระเบียงเศรษฐกิจแห่งอนาคต สังคมผาสุกภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งจังหวัดมีความโดดเด่นด้านการท่องเที่ยวและการเกษตรที่ถือเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัด โดยทางจังหวัดพร้อมสนับสนุนท้องถิ่นในการพัฒนาพื้นที่ตามศักยภาพ และส่งเสริมการบูรณาการการทำงาน รวมถึงการบูรณาการข้อมูลที่จะนำไปสู่การพัฒนาด้านต่าง ๆ เพื่อประโยชน์และคุณภาพชีวิตของประชาชน และเทศบาลหัวหินถือเป็นหนึ่งพื้นที่สำคัญของจังหวัดในการนำร่องการพัฒนา Smart City ของจังหวัด

ส่วนนายนพพร วุฒิกุล นายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน กล่าวว่า เทศบาลเมืองหัวหินตั้งเป้าหมายที่จะเป็นเมืองท่องเที่ยวปลอดภัย สะอาด น้ำใส ไร้ PM 2.5 โดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยบริหารจัดการ และตรวจสอบเมืองให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมต่อการอยู่อาศัย สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ปลอดภัย ไม่มีอาชญากรรม โดยมีแผนที่จะดำเนินการพัฒนาระบบ Smart ต่าง ๆ ส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น การติดตั้งระบบ CCTV สอดส่องความปลอดภัยสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่ ตั้งเป้าลดอาชญากรรม 50% ติดตั้ง Smart Pole ระบบติดตามคุณภาพอากาศเพื่อสุขภาพคนหัวหินและนักท่องเที่ยว Wired Network ที่ครอบคลุมอำนวยความสะดวกผู้มาเยือนส่งเสริมเศรษฐกิจในพื้นที่ พร้อมรับมือปัญหาขยะจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นด้วยระบบ GPS Tracking ช่วยบริหารจัดการขยะ ตั้งเป้าลดขยะตกค้างในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 80% รวมถึงระบบจัดเก็บและบริหารข้อมูลของเมือง (City Data Platform: CDP) รวมศูนย์ข้อมูลเพื่อการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานในพื้นที่และระหว่างท้องถิ่น เพื่อการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2566

พล.อ.ประวิตร’ น้อมนำ”หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” แก้ความยากจน อนุมัติแผน ปี66 ผ่านระบบTPMAP เน้นช่วยกลุ่มเป้าหมายเร่งด่วน -เปราะบาง ให้ได้สิทธิบัตรสวัสดิการฯ ครบถ้วน ทั่วถึง

,

พล.อ.ประวิตร’ น้อมนำ”หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” แก้ความยากจน
อนุมัติแผน ปี66 ผ่านระบบTPMAP เน้นช่วยกลุ่มเป้าหมายเร่งด่วน-เปราะบาง ให้ได้สิทธิบัตรสวัสดิการฯ ครบถ้วน ทั่วถึง

เมื่อ 3 ก.พ.66 ,10.00น. พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัย อย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ครั้งที่ 1/2566 ณ ห้องประชุม มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5จังหวัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

ที่ประชุมได้รับทราบ ผลการดำเนินงานในภาพรวม ทั้ง 76 จังหวัด จากเป้าหมายครัวเรือนยากจนในระบบ TPMAP (Thai People Map and Analytics Platform) ปี65 พบว่า ศูนย์อำนวยการฯจังหวัด และ ศูนย์อำนวยการฯอำเภอ พร้อมทีมปฏิบัติการฯ ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมบูรณาการ ให้ความช่วยเหลือ/แก้ไขปัญหาครัวเรือนเป้าหมายจำนวน 653,524 ครัวเรือน คิดเป็น 100% และพบปัญหาในแต่ละมิติ ดังนี้ 1) มิติสุขภาพ ส่วนใหญ่ประสบปัญหา คนอายุ 6ปีขึ้นไป ไม่ออกกำลังกายเนื่องจากไม่เห็นความสำคัญของการมีสุขภาพดี 2) มิติความเป็นอยู่ ส่วนใหญ่ประสบปัญหา ครัวเรือนไม่มีความมั่นคงในที่อยู่อาศัยและบ้านมีสภาพไม่คงทนถาวร 3) มิติการศึกษา ส่วนใหญ่ประสบปัญหาคนอายุ 15-59 ปี อ่าน เขียนภาษาไทยและคิดเลขอย่างง่ายไม่ได้ รวมทั้งเด็กอายุ 6-14 ปี ไม่ได้รับการศึกษาภาคบังคับหรือออกจากการเรียนกลางคัน เนื่องจากสถานะทางเศรษฐกิจ และ 4) มิติรายได้ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านการเกษตร ประสพปัญหาการปลูกพืชได้เพียงปีละครั้ง ไม่มีปัจจัยการผลิต ขาดเงินทุน และขาดความรู้ด้านทักษะอาชีพ 5) มิติการเข้าถึงบริการภาครัฐ ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และผู้พิการ ไม่ได้รับการบริการจากภาครัฐ เนื่องจากเข้าไม่ถึง หรือได้รับแต่ไม่เพียงพอ

จากนั้น ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบ แนวทางการขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัย บนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ ในปีงบประมาณ 2566 ประกอบด้วย 4 แนวทางที่สำคัญ ได้แก่ แนวทางที่ 1 การเติมเต็ม ข้อมูลในระบบ TPMAP แนวทางที่ 2 ร่วมแก้ไขปัญหาในระดับบุคคล/ครอบครัว แนวทางที่ 3 ร่วมแก้ไขและพัฒนาเพื่อความยั่งยืน และแนวทางที่ 4 ร่วมติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้มอบหมายให้ สภาพัฒน์ฯการ ประกาศตัวเลขกลุ่มคนเป้าหมายเร่งด่วน และมอบให้ ศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนฯ ทุกระดับและทีมปฏิบัติการ ร่วมกับหน่วยงานของรัฐ ดำเนินการช่วยเหลือและพัฒนากลุ่มเป้าหมาย โดยใช้ข้อมูลจาก ระบบ TPMAP เป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินงาน เน้นการช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายเร่งด่วน กลุ่มเปราะบาง และกล่มที่ต้องดูแลใกล้ชิด เพื่อได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้ครบถ้วน ทั่วถึง ต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2566

“เกณิกา” ทีมโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ปลื้ม กระแสลุงป้อมฟีเวอร์ ดัน พปชร. มาแรง ประชาชนเชียร์เป็นนายกคนที่ 30// มั่นใจ ประชาชน ถูกใจ “ป้อม 700”- เปิดนโยบายที่เหลือ ทำคะแนนท่วมท้น

, ,

“เกณิกา” ทีมโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ปลื้ม กระแสลุงป้อมฟีเวอร์ ดัน พปชร. มาแรง ประชาชนเชียร์เป็นนายกคนที่ 30// มั่นใจ ประชาชน ถูกใจ “ป้อม 700”- เปิดนโยบายที่เหลือ ทำคะแนนท่วมท้น

3 กุมภาพันธ์ 66 – ดร.เกณิกา อุ่นจิตร์ ทีมโฆษกพรรคพลังประชารัฐและว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กล่าวถึงกระแสตอบรับ หลังจาก พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เดินสายลงพื้นที่ในทุกภูมิภาคของประเทศ และได้เปิดนโยบาย “บัตรประชารัฐ 700 บาท ต่อเดือน” หรือ “ป้อม 700” ทำให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่แสดงความชื่นชมและบางคนถึงกับไปถามว่าที่ผู้สมัครในเขตของตนเองว่าต้องทำอย่างไร อยากให้ลุงป้อมเป็นนายกให้ได้ เพื่อจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

“ขอเรียนว่า ที่ผ่านมาพรรคพลังประชารัฐในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ได้มีผลงานที่เป็นรูปธรรม ในเรื่องการสร้างสวัสดิการประชารัฐ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การบริหารจัดการน้ำ การจัดที่ดินทำกิน การปราบปรามการค้ามนุษย์ อุตสาหกรรมประมงและอื่นๆ อีกมากมาย และสำหรับนโยบาย “ป้อม 700” ที่เราพึ่งเปิดตัวไป ถือเป็นนโยบายแรกเท่านั้น โดยเป็นการอัพเกรดจากนโยบายเดิมที่เคยทำสำเร็จแล้วแต่จะทำให้ดีกว่าเดิม หลังจากนี้ยังมีนโยบายอื่นๆ อีกที่รอเปิดตัว ซึ่งทุกนโยบายของพรรคเกิดจากการลงพื้นที่ฟังเสียงประชาชน จึงมั่นใจว่าทุกนโยบายจะถูกใจประชาชนอย่างแน่นอน” ดร.เกณิกา อุ่นจิตร์ กล่าวย้ำ

ทีมโฆษกพรรค พปชร. ย้ำอีกว่า “ตนเองได้ติดตามลงพื้นที่ร่วมกับหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐอย่างต่อเนื่อง ทำให้เห็นถึงกระแสลุงป้อมฟีเวอร์ในช่วงนี้ ไปไหนมีแต่คนมาขอถ่ายรูป มากอด มาหอม ชวนไปฟ้อน ไปรำ มาส่งแรงเชียร์อยากให้เป็นนายกคนที่ 30 ของประเทศไทย ประชาชนบอกยิ่งได้เจอตัวจริงยิ่งรู้ว่าลุงป้อมเป็นคนใจดี เข้าถึงประชาชน และทำงานอย่างหนักเพื่อประชาชนจริงๆ โดยเฉพาะผลงานที่ผ่านมาที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ อีกทั้งยังเป็นผู้นำที่พร้อมสานสัมพันธ์กับทุกฝ่าย เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง เดินหน้าสร้างพลังแห่งความปรองดองและสามัคคีให้กับประเทศ”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2566

“ส.ส.เพชรบูรณ์” พปชร.วอน “กรมทางหลวง” เร่งติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างบนเกาะกลางถนนช่วงตำบลห้วยโป่งหวั่นเกิดอุบัติเหตุ

, ,

“ส.ส.เพชรบูรณ์” พปชร.วอน “กรมทางหลวง” เร่งติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างบนเกาะกลางถนนช่วงตำบลห้วยโป่งหวั่นเกิดอุบัติเหตุ

นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ ส.ส.จังหวัดเพชรบูรณ์ เขต 3 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวหารือในที่ประชุมสภาถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยขอให้กรมทางหลวงช่วยติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างบนเกาะกลางถนนสาย 21 ช่วงสระบุรี-หล่มสัก และช่วงตำบลห้วยโป่ง อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ เพราะช่วงเช้ามืดกับตอนหัวค่ำจะอันตรายมาก เพราะไม่มีกระแสไฟฟ้าส่องสว่างในช่วงตรงนั้น ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้โรงเรียน และชุมชนทั้ง 2 ฝั่ง ไปมาหาสู่กันหรือเดิน ข้ามทำธุระจะมีปัญหาเรื่องอันตรายจากอุบัติเหตุ

นอกจากนี้ขอให้กรมทางหลวงช่วยพิจารณาเพิ่มงบประมาณในการซ่อมปรับปรุงถนนสาย 2401 จากอำเภอหนองไผ่ ที่จะไปสู่อำเภอชนแดน ตนเดินทางผ่านเส้นทางนี้ตลอดทุกอาทิตย์ จึงขอเป็นตัวแทนประชาชนแจ้งความเดือดร้อนของผิวถนน ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิต ออกสู่ตลาด ถนนจะเสีย แล้วก็มีงบประมาณในการซ่อมแซมทุกปี งบประมาณที่มาในแต่ละปีไม่ค่อยจะทันกับการเสียหาของผิวถนน จึงอยากจะให้ทางกรมทางหลวงได้พิจารณาปรับปรุงตรงนั้นเพิ่มท่อ หรือทำบล็อก หรือว่าเสริมถนนขึ้นมาให้พ้นปัญหาในส่วนของน้ำหลากในช่วงฤดูน้ำฝน

#พรรคพลังประชารัฐ #พลังประชารัฐ #พปชร #PPRP #วันเพ็ญพร้อมพัฒน์
Twitter : https://twitter.com/PPRPofficial

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2566

กระแสดีไม่หยุด !!! พล.อ.ประวิตร สานต่องานสำคัญเพื่อคนอีสาน ชาวมุกดาหารตอบรับ เชียร์เป็นนายก คนที่30 แก้ภัยแล้ง มีน้ำใช้ให้อยู่ดีกินดี

, ,

กระแสดีไม่หยุด !!! พล.อ.ประวิตร สานต่องานสำคัญเพื่อคนอีสาน
ชาวมุกดาหารตอบรับ เชียร์เป็นนายก คนที่30 แก้ภัยแล้ง มีน้ำใช้ให้อยู่ดีกินดี

เมื่อ 2 ก.พ.66 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. พร้อมคณะ ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการต่อเนื่อง จาก จ.ยโสธร ในช่วงเช้า โดยในช่วงบ่ายได้ลงพื้นที่ จ.มุกดาหาร บริเวณตลาดอินโดจีนมุกดาหาร ต.ศรีบุญเรือง อ.เมือง จ.มุกดาหาร เพื่อติดตามโครงการก่อสร้าง ปรับปรุงพื้นที่ ตลาดอินโดจีน งบประมาณ 94 ล้านบาทเศษ ซึ่งงบประมาณดังกล่าวได้ถูกพับตก ทำให้ผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่ ได้รับความเดือดร้อน จึงต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน หากดำเนินการแล้วเสร็จ จะช่วยยกระดับรายได้ และคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึง จะสามารถช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวชายโขง และการค้าชายแดน และยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การก่อสร้างถนนสาย “มุกดาสนุก สุขชายโขง” งบประมาณ 1,500 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวริมแม่น้ำโขง และรองรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ได้อีกด้วย

พล.อ.ประวิตร และคณะ ได้เดินทางไปเป็นประธานพิธีเปิด โครงการ”แล้งนี้ต้องมีน้ำ” ด้วยพลังงานแสงอาทิตย์จากแม่น้ำโขง ณ จวน ผวจ.มุกดาหาร งบประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อให้เกษตรกรที่อยู่อาศัยริมฝั่งแม่น้ำโขง สามารถสูบน้ำในแม่น้ำ เพื่อทำการเกษตร ช่วยลดปัญหาการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง และภาวะฝนทิ้งช่วง

ทั้งนี้ยังได้เป็นประธานพิธีเปิดโครงการ “เติมน้ำ เติมบุญ เติมทุน” พัฒนาอาชีพให้เกษตรกรสวนยาง ในพื้นที่ จ.มุกดาหาร ณ ศาลากลาง จ.มุกดาหาร เพื่อจัดการระบบน้ำในสวนยาง ให้มีประสิทธิภาพ โดยการส่งเสริมการขุดเจาะน้ำบาดาล และติดตั้งระบบสูบน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่เกษตรกร ชาวสวนยาง

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้มีโอกาสพบปะข้าราชการ และพี่น้องประชาชน ที่มาให้การต้อนรับ โดยได้นำความปรารถนาดีจากรัฐบาล ที่มีความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนทุกครัวเรือน และยืนยันจะให้ความช่วยเหลือ ทุกความเดือดร้อน ของประชาชนอย่างเต็มที่ และรวดเร็ว พร้อมทั้งขอบคุณข้าราชการและเป็นกำลังใจ ให้ทุกคนที่ได้เสียสละ ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้การบริการและให้ความช่วยเหลือพี่น้อง ประชาชนในพื้นที่ด้วยดี ที่ผ่านมา


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2566

“ส.ส.สงขลา” พปชร. ขอนายกฯ อนุมัติงบกลางฉุกเฉิน เร่งทำหินเรียงป้องกันคลื่น แก้ปัญหากัดเซาะชายฝั่งอย่างถาวร

, ,

“ส.ส.สงขลา” พปชร. ขอนายกฯ อนุมัติงบกลางฉุกเฉิน เร่งทำหินเรียงป้องกันคลื่น แก้ปัญหากัดเซาะชายฝั่งอย่างถาวร

ร้อยตำรวจเอกอรุณ สวัสดี สมาชิกสภาผู้แทนเขต 4 จังหวัดสงขลา พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวหารือในที่ประชุมสภาถึงปัญหาที่ชาวบ้านได้รับผลกระทบจากการกัดเซาะชายฝั่ง ในตำบลท่าบอน ระยะทางกว่า 12 กิโลเมตร โดยช่วงมรสุมทุกปีระหว่าง เดือนพฤศจิกายน ธันวาคม และมกราคม คลื่นลมแรงจากทางฝั่งตะวันออกทำให้เกิดมีมรสุม และการกัดเซาะชายฝั่ง ทำให้ต้องซ่อมแซมบ้าน, ถนน ปีละไม่ต่ำกว่า 10 ถึง 20 ล้านบาททุกปี แต่พอซ่อมเสร็จ แล้วปีหน้าก็ซ่อมอีก ซ่อมอยู่อย่างนี้ งบประมาณน่าจะเป็นหลายร้อยล้านบาทแล้ว

“วันนี้ชาวบ้านเขาไม่อยากได้เงินชดเชย ไม่อยากได้ค่าซ่อมแซม แต่อยากให้ป้องกันแบบถาวร ผมจึงขอฝากไปยังนายกรัฐมนตรี ของบกลางฉุกเฉินเร่งด่วน โดยทำหินเรียงป้องกันคลื่น เพราะได้พิสูจน์แล้วว่า ใช้ได้จริง ชาวบ้านก็เห็นด้วย ยอมรับกับแนวทางนี้”

#พรรคพลังประชารัฐ #พลังประชารัฐ #พปชร #PPRP #อรุณสวัสดี
Twitter : https://twitter.com/PPRPofficial

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2566

‘พล.อ.ประวิตร’ตามติดแก้ปัญหาน้ำ ลุ่มท่าจีนแม่กลอง จ.นครปฐม-ราชบุรี ปลื้มปชช.แห่ต้อนรับ รุกแก้ปัญหาอุทุกภัยแบบยั่งยืน เสียงหนุนนายกฯคนที่ 30

, ,

‘พล.อ.ประวิตร’ตามติดแก้ปัญหาน้ำ ลุ่มท่าจีนแม่กลอง จ.นครปฐม-ราชบุรี ปลื้มปชช.แห่ต้อนรับ รุกแก้ปัญหาอุทุกภัยแบบยั่งยืน เสียงหนุนนายกฯคนที่ 30

เมื่อเวลา 10.00 น.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และเลขาธิการพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค ลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.นครปฐม และราชบุรี เพื่อติดตามการดำเนินการโครงการด้านทรัพยากรน้ำ ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ภาคกลางเขต 3 ต.ไทยาวาส อ.นครชัยศรี ติดตามการดำเนินงานแก้ไขปัญหาอุทกภัยในลุ่มน้ำท่าจีน จากนั้นจะไปติดตามโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำคลองบางแก้ว ที่วัดกลางบางแก้ว ต.นครชัยศรี อ.นครชัยศรี และสะพานคลองบางแก้ว

ทั้งนี้ จ.นครปฐม มีพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตลุ่มน้ำท่าจีน ปัญหาน้ำท่วมยังเป็นปัญหาหลัก เนื่องจากมีระบบระบายน้ำในชุมชน ไม่เพียงพอ รวมทั้งมีสิ่งกีดขวางทางน้ำ การบุกรุกลำน้ำ ในพื้นที่หลายอำเภอ ซึ่งรัฐบาลได้มีการสนับสนุน โครงการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาตั้งแต่ปี61-65 โดยมีพื้นที่ได้รับการป้องกัน 14,732 ไร่ พื้นที่ได้รับประโยชน์ 29,679 ไร่ รวม 80,192 ครอบครัว และแผนงานโครงการสำคัญ ซึ่งจะได้รับประโยชน์อีก 922,206 ไร่

พล.อ.ประวิตร ได้มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบ ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการต่างๆเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การระบายน้ำท่าจีน และการบริหารจัดการน้ำในภาวะเสี่ยง ที่จะเกิดอุทกภัยให้มีผลกระทบต่อประชาชน น้อยที่สุด พร้อมทั้งเร่งรัดฟื้นฟู ชาวบ้าน สวนผลไม้ อาทิ ส้มโอ เป็นต้น ที่ได้รับความเสียหายที่ผ่านมา เพื่อให้เกษตรกรมี รายได้เพิ่มขึ้น และมีความเป็นอยู่ ที่ดีขึ้นโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ภายในวัดตุ๊กตา ตำบางบางกระเบา อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ได้มีการพบปะพี่น้องประชาชน ซึ่ง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ในวันนี้ ได้มาเยี่ยมชาวนครชัยศรี เนื่องจากได้รับรายงานจากหน่วยงานราชการ และในพื้นที่ว่า ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วมแม่น้ำท่าจีน ได้มีการสั่งให้ไปแก้ไขในเบื้องต้นที่จะต้องบริหารจัดการน้ำ ที่ทำให้เกิดความยั่งยืน โดยจะมีการสร้างประตูระบายน้ำ เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมอีกในอนาคต รัฐบาลได้พยายามดูแลประชาชนทุกคน เพื่อให้ได้รับผลกระทบจากปัญหาต่างๆให้น้อยที่สุด

“ในส่วนโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำคลองบางแก้ว ผมรู้ว่าทุกคนก็อยากจะให้มีการก่อสร้างโดยเร็วที่สุด ผมก็ได้พยายามเร่งรัดไปแล้ว เพื่อให้เกิดการดำเนินการและเป็นไปตามแผนงานที่เราได้วางไว้ โดยจะต้องแก้ปัญหาให้กับชาวอำเภอนครชัยศรีที่ได้รับความเดือดร้อนให้ได้”พล.อ.ประวิตร กล่าว

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ตนได้สั่งการให้หน่วยงานต่างๆแก้ไขปัญหาอุทกภัยในแม่น้ำท่าจีนในฤดูกาลต่างๆ เช่น ในฤดูแล้งในแม่น้ำท่าจีนก็จะมีน้ำเค็มรุกเข้ามาท่วมที่อยู่อาศัยของประชาชน ก็จะต้องมีการสร้างประตูระบายน้ำเพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ทัังนี้ตนขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคนที่มาต้อนรับ รัฐบาลมีเป้าหมายในการทำงานที่จะยึดถือความผาสุกของประชาชนเป็นสำคัญ และจะมีการแก้ไขปัญหาน้ำให้สำเร็จตามเป้าหมาย ขอยืนยันว่า รัฐบาลทำเพื่อประชาชนและประเทศชาติ เพื่อให้มีการพัฒนาอย่างถาวรต่อไป สุดท้าย ตนขออวยพรให้ข้าราชการและประชาชนชาวจังหวัดนครปฐม มีสุขภาพที่แข็งแรงปราศจากโรคภัย มีความสุขความเจริญ คิดประสงค์สิ่งใดก็ให้สมความปรารถนาทุกประการ

ทั้งนี้ การลงพื้นที่จังหวัดนครปฐมของ พล.อ.ประวิตร ในวันนี้มีข้าราชการและประชาชนมาต้อนรับ และให้กำลังใจ พร้อมขอถ่ายรูป เข้าสวมกอด หอมแก้ม จำนวนมาก โดยประชาชนต่างอวยพรให้เป็นพล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยด้วย มีความเชื่อมั่นในภาวะผู้นำที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆได้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2566

“รองวิรัช” เผยกรรมการบริหารพปชร.พร้อมรับกม.ลูกสู้ศึกเลือกตั้ง ย้ำสมาชิกเก่าทยอยกลับบ้านรวมพลังหนุน พล.อ.ประวิตร ขึ้นนายกฯคนที่30

, ,

“รองวิรัช” เผยกรรมการบริหารพปชร.พร้อมรับกม.ลูกสู้ศึกเลือกตั้ง
ย้ำสมาชิกเก่าทยอยกลับบ้านรวมพลังหนุน พล.อ.ประวิตร ขึ้นนายกฯคนที่30

วันที่ 31 ม.ค. ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า กรรมการบริหารพรรคจะมีพิจารณา เตรียมการเลือกตั้งหลังกฎหมายลูก 2 ฉบับ หลังมีผลบังคับใช้แล้วและคัดเลือกบุคคลเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคหลังจากที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 มีมติเห็นชอบพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพียงผู้เดียว ส่วนจะเปิดโอกาสคนอื่นๆที่จะเป็นแคนดิเดตหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับหัวหน้าพรรค

“จากการที่มีสมาชิกเก่ากลับเข้ามาร่วมงานของพรรค พล.อ.ประวิตร ได้แสดงออกถึงความสุขที่ ลูกๆ กลับมาอยู่บ้าน เห็นได้จากการเปิดตัวนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย และพล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หัวหน้าพรรครวมแผ่นดิน ที่พร้อมกลับมาช่วยกันทำงานให้พรรค และนำพาหัวหน้าพรรคสู่ทำเนียบรัฐบาลในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่30 … ส่วนเรื่องการบริหารจัดการน้ำ คนรู้ทั้งประเทศ รู้ว่า คำที่ว่า “มีเราไม่มีแล้ง” เป็นสโลแกนประจำตัว พล.อ.ประวิตร และไม่อยากให้มองว่าเป็นการเคลมผลงาน เพราะ พรรคพลังประชารัฐก้าวข้ามความขัดแย้ง ไม่ทะเลาะกับใคร “ นายวิรัช กล่าว

นายวิรัช กล่าวว่า ในส่วนการกลับมาร่วมงานของพรรคของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ได้เปิดตัวไปแล้วที่ จ.พะเยา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินในขบวนการทางกฎหมาย และยืนยันว่าพรรคเศรษฐกิจไทยกลับมาพรรคพลังประชารัฐมาครบหมด


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 31 มกราคม 2566