โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

เดือน: เมษายน 2023

พปชร.ปราศรัยโซนธนบุรีใต้ ชู บ้านประชารัฐ-เพิ่มเงินบัตรประชารัฐ-เติมทุนประกอบอาชีพ ร่วมดัน “พล.อ.ประวิตร”คือ soft power ประสานทุกฝ่าย คืนความสงบให้คนไทย

,

พปชร.ปราศรัยโซนธนบุรีใต้ ชู บ้านประชารัฐ-เพิ่มเงินบัตรประชารัฐ-เติมทุนประกอบอาชีพ ร่วมดัน “พล.อ.ประวิตร”คือ soft power ประสานทุกฝ่าย คืนความสงบให้คนไทย

21 เมษายน 2566 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดกิจกรรมปราศรัยย่อย โซนธนบุรีใต้ “พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ” ณ ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ (บางมด) นำโดย นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรค ดร.อุตตม สาวนายน ประธานคณะกรรมการจัดทำนโยบายพรรค พร้อมด้วยกรรมการบริหารพรรค และผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 5 เขต ประกอบด้วย นายระพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธา เขต 25 เขตทุ่งครุ ราษฎร์บูรณะ (ยกเว้นแขวงบางปะกอก) เบอร์ 2, นายสาโรจน์ ซึ้งไพศาลกุลเขต 27 เขตบางบอน (เฉพาะแขวงบางบอนใต้ )เขตบางขุนเทียน (ยกเว้นแขวงท่าข้าม)เบอร์ 12,นายมานพ มารุ่งเรือง เขต 28 เขตหนองแขม (เฉพาะแขวงหนองแขม)เขตบางบอน (ยกเว้นแขวงบางบอนใต้และแขวงคลองบางบอน)เขตจอมทอง (เฉพาะแขวงบางขุนเทียน) เบอร์ 1, นายเอกชัย ผ่องจิตร์ เขต 29 เขตบางแค (แขวงบางแคเหนือแขวงบางไผ่ ) เบอร์ 7 โดยร่วมกันนำเสนอนโยบายที่เป็นการช่วยเหลือพี่น้องชุมชนกทม. ให้มีความมั่นคงมากขึ้น ทั้งกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มเปราะบาง พร้อมเพิ่มเงินบัตรประชารัฐ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ศ.ดร.นฤมล กล่าวปราศรัยว่า เมื่อปี 62 พรรคพลังประชารัฐส่งผู้สมัครลงทั้งหมด 30 เขต เราได้รับชัยชนะมาทั้งหมด 12 คน แต่ฝั่งธนเราได้มาแค่ 1 คนเท่านั้น วันนี้พรรคพลังประชารัฐส่งผู้สมัครที่มีคุณภาพ มารับใช้พี่น้องประชาชนฝั่งธน และทั่ว กทม.ทั้ง 33 เขต เราก็หวังว่า ครั้งนี้เราจะได้รับโอกาสจากพี่น้องประชาชน ตอนนี้เหลือระยะเวลาอีกเพียงแค่ 22 วันเท่านั้นก็จะถึงวันที่ 14 พ.ค.ที่คนไทยทุกคนจะได้ออกไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งโดยครั้งนี้ จะใช้บัตร 2 ใบคือ เบอร์เขตใช้บัตรสีม่วง และเลือกพรรคใช้บัตรสีเขียว ขอให้ประชาชนศึกษาให้ดี เลือกเขตจากผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ และเลือกพรรคกาเบอร์ 37

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคแรกที่พูดถึงสิทธิขั้นพื้นฐานที่พี่น้องประชาชนควรจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็น รถสาธารณะ แก๊สหุงต้ม ค่าใช้จ่ายรายเดือน ค่ารักษาพยาบาลต่างๆ เราไม่ใช่เพียงแค่พูดแต่เราทำไปแล้วก็คือบัตรประชารัฐ เราต้องการจะเข้ามาดูแลพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศให้เข้าถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐาน ที่เป็นสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน เมื่อเด็กเกิดมาก็ต้องได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างประชาชนทั่วไปก็ต้องได้รับการส่งเสริมให้มีอาชีพ เพื่อที่เขาจะสามารถสร้างรายได้ด้วยตัวเองให้ได้ สิ่งนี้ภาครัฐก็จะต้องเข้าไปดูแลเช่นกัน นโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ในเรื่องของสวัสดิการประชารัฐไม่ใช่เพียงแค่บัตรประชารัฐเท่านั้น แต่หมายถึงคนไทยจะต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกด้าน

“เราไม่ใช่แค่คิดแต่ว่าจะแจกเงิน แต่เรายังคิดไปถึงการให้เบ็ดกับประชาชนด้วย ก็คือการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในชุมชน ด้วยการ “เติมทุน เติมทักษะ เติมรายได้” ต้องเติมทั้งสามอย่าง จึงจะเกิดผลสัมฤทธิ์ที่ยั่งยืน เติมทุนอย่างเดียวไม่ว่าจะดำเนินการผ่านธนาคารของรัฐหรือกองทุนหมู่บ้าน แต่ไม่เติมทักษะใหม่ ก็ไม่สามารถเติมรายได้ให้ผู้ประกอบการในเศรษฐกิจฐานรากได้ ขณะเดียวกัน ก็จะมีการสร้างงาน สร้างอาชีพควบคู่กันไปด้วย การสร้างบ้านต้องเริ่มที่ฐานราก เศรษฐกิจฐานราก ก็คือ ความมั่นคงของเศรษฐกิจไทย”

ศ.ดร.นฤมล ยังกล่าวถึง อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญก็คือ เรื่องที่อยู่อาศัย ซึ่งพรรคพลังประชารัฐมีโครงการบ้านประชารัฐ 360 องศา โดยพี่น้องประชาชนจะได้มีบ้านที่สวยงาม มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง และสามารถสร้างรายได้ให้คนในชุมชนได้ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมให้ได้ และเพื่อให้ชาว กทม.ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้ เพราะคน กทม.ยังมีอีกหลายชุมชนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง

ด้านนายชัยวุฒิ กล่าวปราศรัยว่า สถานการณ์ในขณะนี้ราคาพลังงานสูงมากซึ่งถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ของประชาชนคนไทย ซึ่งพรรคพลังประชารัฐเล็งเห็นว่า เราจะต้องเข้ามาช่วยเหลือประชาชน และแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยการลดค่าไฟฟ้าให้เหลือหน่วยละ 2.50 บาท เราปรึกษากันแล้วว่า เราทำได้ เพราะเรามีทีมเศรษฐกิจที่มีประสบการณ์หลายคนมานั่งถกปัญหานี้ร่วมกัน แต่นโยบายดี ๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐของเราไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐจะรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และทุกองค์กร เพื่อให้ประเทศชาติของเราเข้มแข็งและเดินหน้าต่อไปได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนมีความสุข และที่สำคัญพลเอกประวิตร จะเป็นเพราะซอฟพาวเวอร์ที่จะประสานให้ทุกฝ่าย สามารถเดินไปได้ด้วยกันได้ ด้วยความสามัคคี การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเรื่องสำคัญมากขอให้ทุกคนอย่าเลือกเพราะดูจากโซเชียลมีเดีย แต่ขอให้คิดถึงประเทศและลูกหลานของเราทุกคน โดยเราจะมาก้าวข้ามความขัดแย้งด้วยกันในวันที่ 14 พ.ค.นี้ ขอให้คนไทยทั้งประเทศเข้าคูหากาเบอร์ 37

“วันนี้ผมเห็นโพลหลายโพล โดยเฉพาะโพลออนไลน์ไม่มีชื่อคะแนนความนิยมให้กับพลเอกประวิตรเลย ผมก็เดินลงพื้นที่ต่างๆเพื่อไปคุยกับพี่น้องประชาชน แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับตรงกันข้าม เพราะเสียงตอบรับจากประชาชนต้องการให้พลเอกประวิตรเป็นนายกรัฐมนตรีในโลกความเป็นจริงไม่ใช่ในโลกออนไลน์ เพราะว่าพูดจริงทำจริงและพูดในสิ่งที่ทำได้”

จากนั้นนายสันติ กล่าวปราศรัยว่า พรรคพลังประชารัฐ มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือดูแลพี่น้องกลุ่มเปราะบาง จึงได้ออกนโยบายในเรื่องของบัตรประชารัฐ เพื่อพี่น้องที่ยังประสบปัญหาความยากจน และเพื่อให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติสุข บัตรประชารัฐอาจจะไม่ได้ช่วยให้ทุกคนมีความร่ำรวย แต่ก็สามารถทำให้คนไทยมีชีวิตตามอัตภาพที่ดี

“โดยเราจะจัดสรรเงินมาสนับสนุนบัตรประชารัฐกับกลุ่มเปราะบางทุกคน โดย พลเอกประวิตร เห็นว่าด้วยค่าครองชีพแพงขึ้น เงิน 200-300 บาท ก็คงไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ดังนั้นเงินที่น่าจะพอเหมาะสม ก็คือเดือนละ 700 บาท ซึ่งถ้าหากพ่อแม่พี่น้องให้โอกาสพรรคพลังประชารัฐ เลือกพรรคของเรา จนกระทั่งสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ พลเอกประวิตรได้เป็นนายกรัฐมนตรี บัตรประชารัฐจะปรับเงินสวัสดิการเป็น 700 บาททันที”นายสันติ กล่าว

นายสันติ กล่าวต่อว่า ไม่เพียงเท่านั้นบัตรประชารัฐยังมีเงินเติมทุนอีก 30,000 บาท ที่จะให้ผู้ที่ถือบัตรประชารัฐนำไปสร้างงาน สร้างอาชีพได้ และที่สำคัญที่สุดนโยบายของพรรคพลังประชารัฐยังมีโครงการประชารัฐแก้ไขปัญหาความยากจน มีการฝึกอาชีพให้พร้อมเติมทุนให้ เพื่อไปสร้างงาน สร้างอาชีพ พี่น้องจะได้พ้นจากความยากจน เพราะคนกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มเปราะบางของประเทศ ทั้งนี้ พลเอกประวิตร มีนโยบายอย่างแน่วแน่และมั่นคง เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะท่านมีความตั้งใจให้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศ มีความสมัครสมานสามัคคี เพื่อให้ประเทศเกิดความสงบ เมื่อประเทศเกิดความสงบ เศรษฐกิจต่างๆ ก็จะมีความแข็งแรงตามมา

จากนั้น ด้านผู้สมัครต่างสลับกันขึ้นเวทีปราศรัย ซึ่งทุกคนการพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การลงพื้นที่ในขณะนี้ประชาชนต่างให้การตอบรับนโยบายของพรรคพลังประชารัฐเป็นอย่างดีเพราะเชื่อว่าจะสามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนได้ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายดูแลผู้สูงอายุ หรือนโยบายลดราคาพลังงาน แก๊ส ค่าไฟฟ้า หรือ นโยบายบ้านประชารัฐ 360 องศา โดยประชาชนส่วนใหญ่จะสอบถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการของนโยบายต่าง ๆ ซึ่งผู้สมัครก็ให้ความมั่นใจกับประชาชนไปว่า ทันทีที่พรรคพลังประชารัฐได้เข้าไปเป็นรัฐบาล นโยบายทุกเรื่องที่ได้ประกาศกับประชาชนออกไป จะสามารถเกิดขึ้นได้ทันทีอย่างแน่นอน

ด้านนายสกลธี กล่าวว่า เวลาเข้าคูหาขอให้ประชาชนจำเบอร์ของผู้สมัครให้ดี และขอโอกาสให้ชาวฝั่งธนกาทั้งคนทั้งพรรค ถ้าจะให้ความกรุณาผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ ก็ขอให้กรุณาพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 ด้วย พื้นที่โซนธนบุรีใต้ ยังมีอีกหลายอย่างที่รอการพัฒนาอย่างเช่นการท่องเที่ยวในทุ่งครุ ราษฏร์บูรณะทะเลบางขุนเทียน ก็ถือว่ามีจุดขาย แต่ต้องได้รับการพัฒนาในการส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยกองทุนประชารัฐ 300,000 ล้านบาท กองทุนนี้จะเป็นคำตอบ แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ พรรคพลังประชารัฐเข้าไปเป็นรัฐบาล ซึ่งจะมีการผลักดันกองทุนดังกล่าวให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน พลเอกประวิตร พูดกับตน ว่าเราจะต้องทำให้ชาว กทม.มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและสะดวกสบาย

“พรรคพลังประชารัฐ จึงจะตั้งกองทุนประชารัฐ 300,000 ล้านบาท โดยกรุงเทพฯ น่าจะได้เงินมาช่วยพัฒนาพื้นที่หลายหมื่นล้านบาท ดูแลและสร้างแหล่งท่องเที่ยวตามย่านต่าง ๆ หรือใช้ในการสร้างระบบขนส่งสาธารณะและสาธารณูปโภคที่จำเป็นเพิ่มเติมได้”

นายสกลธี กล่าวต่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้สั่งให้พรรคคิดนโยบายด้านปากท้อง ลดค่าครองชีพ ออกมาเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ทั้งการลดราคาน้ำมันเบนซิน 18 บาท ลดดีเซล 6 บาท หรือการลดราคาแก๊สเหลือถังละ 250 บาท ซึ่งสามารถทำทันทีที่เป็นรัฐบาล และล่าสุดพรรคได้ออกนโยบายลดค่าไฟฟ้า โดยจะปรับโครงสร้างราคาที่มีการคิดเงินซ้ำซ้อนอยู่มาก ซึ่งจะทำให้ลดค่าไฟฟ้าลงเกือบ 50% เหลือเพียงหน่วยละ 2.50 บาทเท่านั้น ทั้งหมดนี้ก็จะช่วยให้ทุกคนมีเงินเหลือไปใช้จ่ายอย่างอื่นเพิ่มขึ้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 เมษายน 2566

ปูพรมหาเสียง ! ‘ผู้กองธรรมนัส’ ระดมทีมบุกปราศรัย ขอคะแนนเสียงชาวพะเยา คึกคัก ! ชูผลงานเป็นที่ผ่านมาประจักษ์ชัดเจน อ้อน กาเบอร์ 6 ยกจังหวัด กาเบอร์37 เลือกพปชร.เป็นรัฐบาล

,

ปูพรมหาเสียง ! ‘ผู้กองธรรมนัส’ ระดมทีมบุกปราศรัย ขอคะแนนเสียงชาวพะเยา คึกคัก ! ชูผลงานเป็นที่ผ่านมาประจักษ์ชัดเจน อ้อน กาเบอร์ 6 ยกจังหวัด กาเบอร์37 เลือกพปชร.เป็นรัฐบาล

เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2566 เวลา 13.00 – 16.00 น.ณ หอประชุมเทศบาลปง ตำบลปง อำเภอปง จังหวัดพะเยา พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ได้จัดปราศรัยหาเสียงต่อเนื่องจากช่วงเช้า นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 6 จังหวัดพะเยา พปชร. และในฐานะประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ พร้อมด้วยนายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะกรรมการบริหารพรรค พปชร. นายจีรเดช ศรีวิราช ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 เบอร์ 6 พปชร.และนายอนุรัตน์ ตันบรรจง ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 เบอร์ 6 จังหวัดพะเยา ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักมีประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมรับฟังการปราศรัยเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน

โดย ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า มาฝากนโยบายของพรรคฯ ภายใต้การนำของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่มีจุดยืน “ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่” เพื่อความรักสามัคคี เพื่อความมั่นคงและความสงบสุขของประชาชนในบ้านเมือง ที่สำคัญคือการผลักดันแก้ปัญหาที่ดินทำกินซึ่งเป็นความเดือดร้อนของพ่อแม่พี่น้องเกษตรกรส่วนใหญ่เพื่อสานต่องานจากเมื่อครั้งตนเอง เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการเกษตรและสหกรณ์ นั่นคือ การแก้ปัญหาที่ดินทำกิน โดยผลักดันเปลี่ยน ส.ป.ก.เป็นโฉนด และ ค.ท.ช.เปลี่ยนเป็น ส.ป.ก. ตามเป้าหมาย “มีเรา ไม่มีแล้ง มีน้ำ ไม่มีจน” ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นประโยชน์และสำคัญต่อการดำรงชีวิตของพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกคน”

ร.อ.ธรรมนัส ยังกล่าวว่า ตลอด 4 ปีที่ได้เป็น ส.ส.และเมื่อครั้งทำหน้าที่รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ และป็นคณะทำงานต่างๆ ในรัฐบาล ได้ผลักดันพัฒนาโครสร้างพื้นฐาน ถนนหนทางของพะเยาให้สะดวกปลอดภัยมากขึ้น ผลักดันโครงการรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งโครงการรถไฟทางคู่ สายดังกล่าว ประกอบด้วยสถานี 26 สถานี และอุโมงค์รถไฟ 4 แห่ง เริ่มต้นจากเด่นชัย จ.แพร่ อำเภองาว จ.ลำปาง สู่พะเยา ของเราด้วย ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้าง นอกจากนี้ยังมีโครงการสร้างสนามบิน เพื่อบินตรงจากกรุงเทพ-พะเยา เป็นต้น

“พ่อแม่พี่น้องทุกท่านครับ วันที่ 14 พฤษภาฯ อย่าลืมไปกาบัตรสีม่วงเบอร์ 6 ยกจังหวัด และบัตรสีเขียวเบอร์ 37 เลือกพรรคพลังประชารัฐ เข้าไปเป็นรัฐบาล เพื่อทำงานสร้างบ้านแปงเมือง เป็นปากเป็นเสียงแทนทุกท่านครับ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเสร็จสิ้นการปราศรัยของ ร.อ.ธรรมนัสแล้ว ทางด้านผู้สมัครส.ส.ได้สลับกันปราศัยชี้แจงนโยบายของพรรคฯ ทั้งการสานต่อบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะเพิ่มเป็น 700 บาท ดูแลผู้สูงอายุซึ่งเป็นบุคคลที่มีคุณค่า และเป็นผู้ที่ทำประโยชน์ต่อบ้านเมืองมาอย่างยาวนาน โดยการเพิ่มเบี้ยยังชีพแบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็นจำนวน 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปี ขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน และยังจะดูแลประชาชนทุกช่วงวัยอีกด้วย

จากนั้นร.อ.ธรรมนัส ยังได้นำคณะขึ้นรถเเห่ปราศัย รอบหมู่บ้านต่างๆใน ต.จำป่าหวาย อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ก่อนลงจากรถและเดินเข้าไปพบปะทักทายประชาชนตามบ้านเรือนสองข้างทางอย่างเป็นกันเอง นอกจากนี้ยังเดินเข้าไปทักทายพ่อค้า แม่ค้าและประชาชนทั่วไปที่มาจับจ่ายซื้อสินค้าในตลาดสดจำป่าหวาย ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกันด้วย ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีเสียงเชียร์ให้กำลังใจ”ผู้กองธรรมนัส สู้สู้”อย่างต่อเนื่องคึกคัก

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 เมษายน 2566

‘พล.อ.ประวิตร ‘ ชูนโยบาย ‘อีสานประชารัฐ’ พัฒนาความเจริญเชื่อมโยงภูมิภาค สร้างเส้นทางรถไฟทางคู่บึงกาฬ-อู่ตะเภา 480 กม.พัฒนานิคมฯสร้างอาชีพมั่นคง

,

‘พล.อ.ประวิตร ‘ ชูนโยบาย ‘อีสานประชารัฐ’ พัฒนาความเจริญเชื่อมโยงภูมิภาค
สร้างเส้นทางรถไฟทางคู่บึงกาฬ-อู่ตะเภา 480 กม.พัฒนานิคมฯสร้างอาชีพมั่นคง

20 เม.ย.2566 – ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พร้อมด้วยนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค พล.อ.ธัญญา เกียรติสาร กรรมการบริหารพรรค ร่วมแถลงเปิดนโยบาย “อีสานประชารัฐ” พัฒนาภาคอีสานด้วยรถไฟทางคู่ บึงกาฬ-อู่ตะเภา

โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค กล่าวว่า เราจะพัฒนาภาคอีสานและภาคตะวันออกให้เป็นรถไฟทางคู่ จาก จ.บึงกาฬ – ท่าเรือแหลมฉบัง – ท่าเรือมาบตาพุด – สนามบินอู่ตะเภา จ.ระยอง โดยเป็นการพัฒนาพื้นที่ได้ 24 จังหวัด ในภาคอีสาน และภาคตะวันออก สอดรับกับการพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคตะวันออก(EEC) โดยโครงการพัฒนาเส้นทางทางรถไฟ จะผ่าน 13 จังหวัด ได้แก่ จังหวัด บึงกาฬ อุดรธานี สกลนคร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ บุรีรัมย์ นครราชสีมา สระแก้ว ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และยังเชื่อมต่อ 11 จังหวัดได้แก่ จังหวัดหนองคาย ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร ศรีษะเกษ มหาสารคาม และหนองบัวลำภู ระยะทางรวมประมาณ 480 กม. โดยเราจะดำเนินโครงการทันที เมื่อได้เป็นแกนนำร่วมจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเราสำรวจเส้นทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับการดำเนินโครงการใหญ่ในภาคอีสาน จะเป็นจุดแรกที่เราทำก่อน จากนั้นจะทำภาคเหนือและใต้ต่อไป ซึ่งเป็นแนวคิดที่คิดจะทำกันมาหลายปีแล้ว อย่าเพิ่งไปคิดว่าโครงการ จะทำแล้วเสร็จพรุ่งนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ชาวอีสาน มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ซึ่งการทำงบประมาณ ไม่ต้องห่วง ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง แต่ตนไม่ห่วง สามารถดำเนินการได้แน่นอน

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราทำเพื่อคนอีสานโดยเฉพาะ จะได้มีงาน สร้างงาน สร้างอาชีพให้คนอีสาน น้ำเขาก็น้อย การเกษตรก็มีข้อขัดข้องเยอะ คนอีสานออกมาทำงานต่างจังหวัดทั้งนั้น เราทำโครงการนี้เพื่อชาวอีสานโดยเฉพาะ อย่าเพิ่งถามถึงภาคอื่น เอาให้ภาคอีสานเจริญ โดยภาคอีสานมีทั้งหมด 133 เขต คิดเป็น 1 ใน 3 ของประเทศ

ด้านนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค กล่าวว่า เราจะพัฒนาอีสาน เปิดภาคอีสานของเราให้ทันต่อโลก เนื่องจากดูแต่ละพรรคการเมืองแล้ว มีแต่ที่จะขอให้ชาวภาคอีสานทั้ง 20 จังหวัด และภาคตะวันออก 5 จังหวัด ขอแต่แลนด์สไลด์ แต่ไม่เคยเห็นพรรคการเมืองใดเลยที่คิดว่าจะพัฒนาภาคอีสานให้พ้นความยากจน หรือนำเงินลงทุนมหาศาลไปพัฒนา ซึ่งไม่มีเลย มีแต่ พปชร. ที่ให้ความสำคัญกับชาวอีสาน ตลอดระยะเวลาเกิน 20 ปี ภาคอีสานไม่ได้รับการพัฒนาใดๆ เลย
“หลายสิบปีที่ผ่านมา ชาวอีสานได้รับการพัฒนาอย่างเชื่องช้า มีแต่คนไปขอให้แลนด์สไลด์ แต่ยังไม่เคยได้ยินพรรคใดที่ตั้งใจที่จะไปพัฒนาภาคอีสานเพื่อลูกหลานอยู่ดีกินดี เราจึงขอแรงใจทั้ง 133 เขตให้กับ พปชร. เพื่อพปชร.จะได้มีอำนาจในการมาพัฒนาภาคอีสาน และเรามั่นใจว่าชาวอีสานจะต้องเลือก พปชร.ทั้ง 133 เขต เพื่อให้ พปชร. เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และใน 133 เสียง ที่เลือกเราเข้าไปในสภาจะไปยกมือสนับสนุนให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี ผมยืนยันว่าโครงการเหล่านี้ทำจริง ทำทันที แต่เราจะต้องมีนายกฯเป็นคนที่จะใช้อำนาจผลักดันโครงการดีๆ เหล่านี้ได้”นายสันติ กล่าว

ดั้งนั้น พปชร.จึงมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะก่อสร้างโครงการทางรถไฟรางคู่ จาก จ.บึงกาฬ ที่อยู่บนสุด ของอีสานวิ่งตรงลงมาผ่านภาคอีสานทางตะวันออกทั้งภาค มาถึงท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือมาบตาพุด และสนามบินอู่ตะเภา เพื่อเปิดโลกให้ชาวอีสาน

นายสันติ กล่าวว่า สำหรับรถไฟรางคู่แบบใหม่ที่เราจะทำนั้น จะมีรางขนาด 1.435 ม. มาตรฐานเดียวกับรถไฟความเร็วสูง จะมีการสร้างทางหลวงพิเศษ 8 ช่องจราจร ตลอดแนวเส้นทางรถไฟ จะมีการสร้างนิคมอุตสาหกรรม ขนาด 20,000 ไร่ 6 แห่ง กว่า 6,000 โรงงาน โดยเป็นนิคมอุตสาหกรรมนำสมัย นอกจากนี้ จะมีการสร้างวิทยาลัยอาชีวะใกล้นิคมอุตสาหกรรม นิคมฯละ 2 แห่ง รวม 12 แห่ง เพื่อเตรียมแรงงานที่มีทักษะและคุณภาพรองรับอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาท่าเรือบก ซึ่งจะเป็นพื้นที่รองรับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากนิคมอุตสาหกรรมที่จัดตั้งขึ้นก่อนที่จะมีการขนส่งไปยังท่าเรือน้ำลึกที่ภาคตะวันออก

สำหรับงบประมาณที่จะใช้ในการพัฒนาโครงการนี้ โดยเฉพาะการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม ทางการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจะเป็นผู้ดำเนินการ โดยการดึงดูดนักลงทุนมาจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งเป้าหมายไว้ คาดว่าจะสามารถดึงดูดเงินลงทุนเข้าประเทศไทย 4.5 ล้านล้านบาท โดยรัฐจะเป็นผู้เวนคืนที่ดินที่ต้องใช้ในการพัฒนานิคมแต่ละนิคมประมาณ 2 หมื่นไร่ เพื่อรองรับโรงงานประมาณ 1 พันโรงงาน โดยแต่ละโรงงานจะใช้เงินลงทุนประมาณ 750 ล้านบาท ทั้งนี้ มีหลายประเทศสนใจที่จะมาตั้งนิคมอุตสาหกรรมและดึงโรงงานเข้ามาประมาณ 1 แห่ง อาทิ จีน และประเทศในยุโรปที่สนใจเข้ามาตั้งโรงงาน

อย่างไรก็ตาม นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค พปชร. ได้กล่าวย้ำว่า ขณะนี้ได้ยื่นนโยบายดังกล่าวต่อคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 เมษายน 2566

“สนธิรัตน์” ลุยเวทีดีเบตเมืองย่าโม โชว์แก้ปัญหาระบบสาธารณสุขไทยครบวงจร ใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลพี่น้องประชาชน

,

“สนธิรัตน์” ลุยเวทีดีเบตเมืองย่าโม โชว์แก้ปัญหาระบบสาธารณสุขไทยครบวงจร ใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลพี่น้องประชาชน

วันที่ 18 เม.ย. 2566 ที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี จ.นครราชสีมา นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ ร่วมเวทีดีเบต “เลือกตั้ง 66 #วาระคนไทย” ในหัวข้อเรื่องระบบสาธารณสุข ซึ่งจัดขึ้นโดยช่อง 7 HD ซึ่งคำถามแรกเป็นเรื่องของการรักษาในระบบโรงพยาบาลรัฐที่บางครั้งมีการวินิจฉัยโรคผิด มีการจองคิวยาว พรรคมีวิธีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไร โดยนายสนธิรัตน์ ได้ตอบคำถามว่า หากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล และได้ดูแลกระทรวงสาธารณสุข อย่างแรกคือต้องแก้ระบบสาธารณสุข โดยใช้เครื่องมือที่มีอยู่แล้ว เช่น ต้องผลักดันให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพ.สต.) เป็นโรงพยาบาลหน้าบ้านของประชาชน ให้มีคุณภาพที่สูงขึ้น พี่น้องไม่ต้องลำบากนั่งรถไปหาหมอไกลๆ และขอเงินค่ารถจากใคร ใช้ รพ.สต. รองรับเรื่องสุขภาพของประชาชน ผ่านเครื่องมือ Telemedicine และ Telepharmacy หมอและคนไข้อยู่ที่ไหนก็สามารถรักษาได้ ให้บริการทัดเทียมกัน

นอกจากนี้ที่พรรคพลังประชารัฐได้ทำสำเร็จมาแล้ว คือการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของประชาชนทั่วประเทศ หากประชาชนประสบอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วย สามารถให้หมอเข้าถึงข้อมูลแล้วรักษาพี่น้องได้ทันที ท้ายสุดต้องยกระดับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ด้วยการส่งเสริมความรู้ ทุนการศึกษาให้สามารถดูแลประชากรในพื้นที่ รวมทั้งเพิ่มจำนวนของอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่น เพื่อดูแลผู้สูงอายุติดเตียงและติดบ้าน ขอย้ำว่า พรรคพลังประชารัฐไม่ได้คิดจากความฝัน แต่คิดจากสิ่งที่มีอยู่ และคิดจากสิ่งที่ทำอยู่แล้ว และจะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น เมื่อได้รับโอกาสเป็นรัฐบาลในสมัยหน้า

จากนั้นนายสนธิรัตน์ ได้ตอบคำถามเรื่องกรณีที่มีคนดังจัดงานระดมทุนซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ จนสังคมตั้งคำถามว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลหรือไม่ หากพรรคของท่านเป็นรัฐบาลจะแก้ปัญหานี้อย่างไร นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เรื่องนี้แบ่งเป็น 2 มิติ มิติแรกคือคนไทยเป็นคนมีจิตใจกุศล มีใจช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เราเห็นด้วย อย่ามองเป็นเรื่องลบอย่างเดียว แต่อีกมิติคือการแก้ไขปัญหาของคนที่เข้ามาเป็นรัฐบาล สาเหตุหนึ่งเกิดจากการจัดการงบประมาณ ปัญหางบประมาณไม่เพียงพอเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งงบที่เสียไปกับบุคลากร งบค่าน้ำ ค่าไฟ และงบสร้างสิ่งปลูกสร้าง เป็นต้น ซึ่งต้องเร่งแก้ไข รวมถึงต้องขจัดเรื่องคอร์รัปชั่นในหน่วยงาน ทั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐสามารถจัดการได้ด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ยกตัวอย่างการจองคิวหาหมอ ให้จองคิวผ่านมือถือ ช่วยลดคนแจกบัตรคิว ลดคนจองคิว นอกจากนี้ ต้องปฏิรูปโดยใช้คนป่วยเป็นศูนย์กลางการรักษาพยาบาลโดยใช้เทคโนโลยี ใช้ รพ.สต. และอสม.เข้ามาช่วย สิ่งเหล่านี้จะช่วยกระจายปัญหาไปข้างนอก ลดความเหลื่อมล้ำในมิติสุขภาพ พร้อมทั้งต้องสร้างแรงจูงใจให้กับพี่น้องประชาชนในการดูแลตัวเอง มีการกระจายเครื่องมือดูแลสุขภาพ และเครื่องมือสาธารณสุขให้เข้าถึงประชาชน เพื่อป้องกันก่อนป่วย และลดภาระทางงบประมาณของรัฐบาลในระยะยาว

นายสนธิรัตน์ ยังได้ตอบคำถามถึงการประเมินเก้าอี้ ส.ส. ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคพลังประชารัฐได้ที่นั่งจาก จ.นครราชสีมา 6 ที่นั่ง ถือเป็นความกรุณาของชาวโคราช ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐมุ่งหวังว่าขอรักษาอย่างน้อย 6 ที่นั่ง แต่จะได้มากหรือน้อยกว่านี้อยู่ที่พี่น้องชาวโคราช จึงขอฝากพี่น้องชาวโคราชได้เลือกพรรคพลังประชารัฐ ไปก้าวความขัดแย้ง ก้าวพ้นความยากจน และลดความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งเพื่อแก้ไขปัญหาสาธารณสุขไทย เพื่อให้สามารถดูแลพี่น้องได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียมและครบวงจร

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 เมษายน 2566

“พล.อ.ประวิตร”นำทัพ พปชร.ปราศรัย จ.ฉะเชิงเทรา ส่งผู้สมัคร 4 เขต คนดี คนเก่งรับใช้ปชช. ลั่นลดราคาพลังงานทุกชนิดทันทีที่เป็น รบ.ชวน คนไทยก้าวข้ามความยากจนและความขัดแย้ง

,

“พล.อ.ประวิตร”นำทัพ พปชร.ปราศรัย จ.ฉะเชิงเทรา ส่งผู้สมัคร 4 เขต คนดี คนเก่งรับใช้ปชช. ลั่นลดราคาพลังงานทุกชนิดทันทีที่เป็น รบ.ชวน คนไทยก้าวข้ามความยากจนและความขัดแย้ง

เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2566 เวลา 17.50 น. พรรคพลังประชารัฐ ได้เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ บริเวณลานจอดรถวัดสมานรัตนาราม ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา นำโดย พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง และนายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง และ ดร.รัฐสภา นพเกต ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 เบอร์ 3 ,นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ผู้สมัคร ส.ส. เขต 2 เบอร์ 4, นายสายัณห์ นิราชผู้สมัคร ส.ส. เขต 3 เบอร์ 4 และ พล.ต.ท พิทักษ์ จารุสมบัติ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 4 เบอร์ 7 โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักมีประชาชน จำนวน 12,000 คน รอเข้าร่วมรับฟังการปราศรัย

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า วันนี้รู้สึกอบอุ่นที่มาพบปะพี่น้องประชาชนในวันนี้ ผมและพรรคพลังประชารัฐพร้อมแล้วที่จะทำงานรับใช้พี่น้องชาว จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อให้ จ.ฉะเชิงเทรา ได้เจริญรุ่งเรือง ฝากพรรคพลังประชารัฐด้วย พรรคได้เลือกคนดี คนเก่งมาเป็นผู้แทนของพี่น้องชาว จ.ฉะเชิงเทรา ทั้ง 4 เขตโปรดเลือกผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐทั้ง 4 เขต ด้วย และการเลือกพรรคพลังประชารัฐขอให้เลือก 37 ด้วย ทั้งนี้ อยากจะสื่อสารให้พี่น้องทราบว่า พรรคพลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมาย ทำนโยบายบัตรประชารัฐเพิ่มเป็น 700 บาทต่อเดือน ลดราคาน้ำมัน แก๊สหุงต้ม และค่าไฟฟ้าลงในทันทีเมื่อได้เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยน้ำมันเบนซินลดลง 18 บาท ต่อลิตร ดีเซล ลดลง 6.30 บาทต่อลิตร ในทันทีที่พรรคได้มาเป็นรัฐบาล รวมทั้งมีมาตรการลดราคาแก๊สหุงต้มเหลือ 250 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ที่สำคัญคือ ลดราคาค่าไฟฟ้าสำหรับบ้านที่อยู่ที่อาศัย เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย ภาคอุตสาหกรรม เหลือ 2.70 บาทต่อหน่วย

อย่างไรก็ตาม พลังประชารัฐจะทำทุกอย่างให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังนั้นขอฝากพี่น้องประชาชนทุกคนช่วยเลือกพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 และเลือกผู้สมัครทั้ง 4 เขตของพรรคด้วย ทั้งนี้เพื่อมอบความสุขให้กับประชาชนด้วยความจริงใจ นอกจากจะดูแลคนไทยทุกช่วงวัยทั้งเบี้ยผู้สูงอายุ โดย อายุ 60 ปี ได้รับการดูแล เดือนละ 3,000 บาท อายุ 70 ปี ขึ้นไป ได้รับการดูแล 4,000 บาท อายุ 80 ปีขึ้นไปจะได้รับการดูแล 5,000 บาท ช่วยดูแลผู้สูงอายุให้สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข นอกจากนี้ยังมีนโยบายดูแลสุภาพสตรีตั้งครรภ์ ตั้งแต่ 5 เดือนเป็นต้นไป เดือนละ10,000 บาท จนถึงคลอด และเมื่อคลอดออกมาแล้วจะดูแลไปจนถึง 6 ขวบ เดือนละ 3,000 บาท

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายมีเราไม่มีแล้ง ได้ลงพื้นที่ดูแลเรื่องน้ำหลายครั้งเพื่อดูแลแก้ปัญหาเรื่องน้ำให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะเรื่องน้ำเค็ม น้ำอุปโภค บริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร และได้ทำโครงการต่าง ๆ ให้กับพี่น้องชาว จ.ฉะเชิงเทรา เป็นจำนวนมาก เรื่องที่ทำกินได้มอบหนังสืออนุญาตทำประโยชน์หลายครั้ง โดยเฉพาะพื้นที่เขาตะเกียบ

พรรคพลังประชารัฐจะแก้ปัญหาความยากจน และก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน ด้วยการลดความเหลื่อมล้ำ การสร้างงาน สร้างรายได้ ยกระดับการศึกษา ยกระดับภาคอุตสาหกรรม และจะพัฒนาเขตพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC โดยการขยายเส้นทางถนนหมายเลข 304 ให้สะดวกในการคมนาคม ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

“ผมพูดไม่เก่ง แต่ทำงานและประสานประโยชน์ได้ทุกฝ่าย จะนำคนเก่ง ๆ มาร่วมมือกันทำงาน ก้าวข้ามความขัดแย้ง สร้างความรุ่งเรืองให้ประเทศ เราจะก้าวข้ามความยากจนและความขัดแย้งไปด้วยกัน ทำให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศมีความเป็นหนึ่งเดียว รักใคร่สามัคคีกัน ขอให้เชื่อมั่นใน พปชร. ผมขอประกาศกับพี่น้องว่าเราทำได้ พร้อมจะรับใช้ประชาชนให้มีความสุขต่อไป โดยการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค.นี้ โปรดเลือก พปชร.เบอร์ 37 และเลือกผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ขอฝาก พปชร.ไว้กับชาวฉะเชิงเทราด้วย” พล.อ.ประวิตร กล่าว

ด้านนายสนธิรัตน์ กล่าวปราศรัยว่า ขอให้ประชาชนศึกษาวิธีของการกาบัตรให้ดี เพราะครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ หลังการเลือกตั้ง ไม่ว่าฝ่ายไหนชนะการเลือกครั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐยืนยันชัดเจนว่า ไม่เป็นศัตรูกับใคร แต่จะเป็นกาวใจเชื่อมประสานทุกพรรค เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี หลังการเลือกตั้งจะต้องไม่ตีกันและไม่ขัดแย้ง ความคิดแตกต่างกันได้ แต่คนไทยต้องรักกัน วันนี้เรามาขอคะแนน โดยจะเป็นกาวใจเชื่อมทุกฝ่ายเพื่อดูแลประชาชน

อีกทั้ง พล.อ.ประวิตร สามารถประสานงานได้ทุกฝ่ายเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด และบุคลากรในพรรคของเราก็มีความรู้ ความสามารถ และเรายังมีมือเศรษฐกิจที่ดีที่สุด ตนจึงขอให้ประชาชนพิจารณาเลือกพรรคพลังประชารัฐด้วย

นายสันติ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐ มีนโยบายเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรประชารัฐ เดือนละ 700 บาท เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางได้มีเงินยังชีพ ปัจจุบันที่ผ่านเกณฑ์ทั้งหมด 14.5 ล้านคน หรือประมาณ 25% ของคนไทยทั้งประเทศ โดยพรรคมีแนวคิดให้พี่น้องกลุ่มเปราะบางที่ถือบัตรสามารถขึ้นทะเบียนเพื่อ ฝึกอบรมอาชีพ จำนวน 15 วัน และเมื่อผ่านการอบรมจะได้รับทุน จำนวน 30,000 บาทต่อคน เพื่อนำไปเป็นทุนในการประกอบอาชีพ โดยผู้ที่ถูกคัดเลือกจะผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้กลุ่มเหล่านี้มีอาชีพที่มั่นคง ก้าวพ้นจากความยากจน และเป็นผู้ประกอบการรายใหม่

นอกจากนี้ทางพรรคพลังประชารัฐยังมีโครงการที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จะสร้างประโยชน์ให้กับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก โดยการสร้างทางรถไฟทางคู่เริ่มจาก จ.บึงกาฬ มายัง จ.มหาสารคาม จ.กาฬสินธุ์ จ.ร้อยเอ็ด และ จ.สุรินทร์ มา จ.ปราจีนบุรี มา จ.สระแก้ว มา จ.ฉะเชิงเทรา จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคตามนโยบายที่จะพัฒนา “อีสานประชารัฐ”

ด้านนายอรรถกร หนึ่งในผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ กล่าวปราศรัยว่า ตนต้องขอบคุณชาวฉะเชิงเทราที่ให้ความเอ็นดูมากกว่า 10 ปีตั้งแต่สมัยคุณพ่อและวันนี้ตนมาขอคะแนนและขอความเอ็นดูจากพี่น้องอีก 1 สมัย ตนขอโอกาสได้เข้าสภาไปผลักดันการแก้ปัญหาเรื่องน้ำให้พี่น้องชาวฉะเชิงเทราทุกคน ทั้งนี้ ขอให้วันที่ 14 พ.ค.พี่น้องเข้าคูหากาเบอร์ 37 หากจำไม่ได้ให้คิดถึงนโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่จะเพิ่มจำนวนเงินในบัตรประชารัฐ จาก 300 เป็น 700


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 เมษายน 2566

ขอบคุณโหวต “ลุงป้อม” นายกฯ สมานฉันท์

,

ขอบคุณโหวต “ลุงป้อม” นายกฯ สมานฉันท์

“ลุงป้อม” ขอบคุณ ปชช. โหวตเป็นนายกฯ โดดเด่น “ก้าวข้ามความขัดแย้ง – นำจัดตั้งรัฐบาลราบรื่น” ประเดิมภารกิจสมานฉันท์ ตั้ง กก.คัดเลือกนโยบายเด็ดแต่ละพรรค มาบริหารประเทศ ย้ำอายุไม่ใช่อุปสรรค เดินช้า แต่คิดเร็ว-ทำเร็ว

เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 66 นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่สวนดุสิตโพล สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ ในหัวข้อ “นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ในสายตาประชาชน” ที่ยกให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ เป็นอันดับ 1 ของนายกรัฐมนตรี ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง และเป็นอันดับ 1 ของนายกรัฐมนตรีที่สามารถประสานงานจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างราบรื่น ว่า พล.อ.ประวิตร กล่าวขอบคุณประชาชนที่ร่วมกันโหวตให้ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีความโดดเด่นในทั้งสองด้านดังกล่าว ซึ่งผลโพลที่ออกมาสอดคล้องกับแนวคิด “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ที่ตนเองและพรรคพลังประชารัฐชูธงนำมาโดยตลอด พร้อมให้ความมั่นใจว่า จะพาคนไทยออกจากวังวนความขัดแย้งได้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อเดินหน้าพลิกโฉมประเทศไทยต่อไป

นายชาญกฤช กล่าวต่อว่า แนวคิดการก้าวข้ามความขัดแย้งของหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นความมุ่งมั่นที่พยายามทำลายกำแพงความแตกแยก และเป็นการประกาศเริ่มต้นประเทศไทยใหม่ ซึ่งได้เสียงตอบรับที่ดีจากสังคม โดยเฉพาะใจความสำคัญในจดหมายเปิดใจของ พล.อ.ประวิตร ได้พูดถึงแนวทางสมานฉันท์ที่น่าสนใจ คือ ภายหลังการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาคัดเลือกนโยบายที่ทุกพรรคการเมืองใช้ในการรณรงค์หาเสียง เพื่อนำมาปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริง โดยไม่ได้เกี่ยงว่าเป็นพรรคใหญ่ พรรคเล็ก หรือเป็นพรรคการเมืองฝ่ายใด หากนโยบายเหล่านั้นเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เพราะเชื่อว่านโยบายของทุกพรรคการเมืองผ่านการกลั่นกรองมาในระดับหนึ่งแล้ว และมองว่า การเมืองไม่มีผู้ชนะเด็ดขาด และไม่มีฝ่ายใดต้องแพ้ราบคาบ ทุกคนทุกฝ่ายต้องตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องช่วยกัน ร่วมมือกันฟื้นฟูและพัฒนาประเทศให้เดินไปข้างหน้าอย่างเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลก จึงหมดเวลาที่คนไทยจะทะเลาะกันเอง

นายชาญกฤช ยังให้ความมั่นใจด้วยว่า พล.อ.ประวิตร มีความพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี แม้จะอยู่ในวัย 78 ปี ก็ไม่ถือเป็นอุปสรรค ดังคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.ประวิตร ที่เปิดเผยถึงกลยุทธ์ในการทำงานที่ประสบความสำเร็จ ผ่านเทคนิคการบริหาร คือ “ช้า เร็ว หนัก เบา” โดยยอมรับว่า ตัวเองเดินช้า แต่คิดเร็ว ทำเร็ว ตัดสินใจเร็ว เป็นคนหนักแน่น ไม่หูเบา ส่วนที่เบา คือ เป็นคนไม่มีภาระ ไม่มีครอบครัว ไม่มีห่วง จึงทำงานเพื่อประชาชนและส่วนรวมได้อย่างเต็มที่

“ถึงแม้ว่า พล.อ.ประวิตร จะเดินช้า ขาไม่ดี แต่ระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ขาทั้งสองข้างของ พล.อ.ประวิตร ได้ลงพื้นที่ไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชน ทั้งการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง ปัญหาความยากจน รวมถึงการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย จนประเทศไทยสามารถปลดใบเหลืองจากสหภาพยุโรปได้สำเร็จ คนไทยไม่ต้องเดือดร้อนจากการถูกกีดกันการส่งออกสินค้าประมง เหล่านี้เป็นผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ และเป็นที่ยอมร้บอย่างกว้างขวาง” นายชาญกฤช กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนหัวข้ออื่นๆ ที่ประชาชนยังไม่เทคะแนนให้กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ทางพรรคฯ ขอน้อมรับเพื่อนำไปปรับปรุง และเสริมให้เป็นจุดแข็งต่อไป พร้อมฝากประชาชนพิจารณาเลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 และเลือกผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคทุกเขตทั่วทั้งประเทศ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย เพื่อก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 19 เมษายน 2566

“พล.อ.ประวิตร ” ขอบคุณ เจ้าหน้าที่-พนง. ผู้ปิดทองหลังพระ ไม่หยุดฉลองสงกรานต์ อดรวมญาติวันครอบครัว หวังอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยชาวบ้าน พร้อมยกให้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสุขของคนไทยทั้งประเทศ

,

“พล.อ.ประวิตร ” ขอบคุณ เจ้าหน้าที่-พนง. ผู้ปิดทองหลังพระ ไม่หยุดฉลองสงกรานต์ อดรวมญาติวันครอบครัว หวังอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยชาวบ้าน พร้อมยกให้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสุขของคนไทยทั้งประเทศ

เมื่อวันที่ 14 เม.ย. นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคพลังประชารัฐ ขออนุญาตใช้พื้นที่สื่อมวลชนกล่าวขอบคุณไปยังเจ้าหน้าที่และพนักงานให้บริการประชาชน อาทิ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ทหาร พนักงานรักษาความปลอดภัย แพทย์-พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัคร หน่วยกู้ชีพ กู้ภัย พนักงานขับรถสาธารณะ และพนักงานให้บริการอื่นๆ ที่ยังคงต้องทำงานรับผิดชอบต่อภารกิจ คอยอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนทั่วไปในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ ปี 2566 โดยไม่ได้เดินทางกลับภูมิลำเนา หรือเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ เพื่อพักผ่อนและร่วมสังสรรค์กับครอบครัว พ่อแม่ ญาติสนิท มิตรสหาย ซึ่งเป็นโอกาสที่ทุกคนในครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน โดยเฉพาะในวันที่ 14 เมษายน ที่ตรงกับวันครอบครัว โดย พล.อ.ประวิตร มองว่ากลุ่มคนเหล่านี้ ถือเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสุขของผู้คนจำนวนมากในช่วงเทศกาลสงกรานต์

“ทุกเทศกาล ไม่ว่าจะปีใหม่หรือสงกรานต์ เจ้าหน้าที่และพนักงานเหล่านี้ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย บางคนทำงานเกือบ 24 ชั่วโมง โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้เดินทางกลับภูมิลำเนา กลับไปเยี่ยมญาติ และร่วมรื่นเริงกับเทศกาลสงกรานต์ด้วยความสะดวกและปลอดภัย รวมถึงการสอดส่องดูแลความมั่นคงและความสงบสุขภายในบ้านเมือง เช่น สกัดกั้นยาเสพติด การลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ที่ผู้ก่อเหตุมักจะอาศัยช่วงวันหยุดเทศกาลดำเนินการ ผมขอชื่นชมเจ้าหน้าที่และพนักงานเหล่านี้ ที่เปรียบเสมือนผู้ปิดทองหลังพระ” นายชาญกฤช กล่าว พร้อมชูนโยบายพรรคพลังประชารัฐ ที่จะเข้ามายกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่ม และทำให้สังคมไทยน่าอยู่ ผ่านนโยบายสังคมสีขาว โดยมีเป้าหมายในการปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด ผู้มีอิทธิพลอาชญากรรมข้ามชาติ แก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น หนี้นอกระบบ แชร์ลูกโซ่ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมฝากให้ประชาชนพิจารณาเลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 และเลือกผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคทุกเขตทั่วทั้งประเทศ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย เพื่อก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 14 เมษายน 2566

พล.อ. ประวิตร อวยพรสงกรานต์ 2566 ขอประชาชนมีความสุข พ้นทุกข์ รับปีใหม่ไทย ชูความสำคัญ “วันผู้สูงอายุ – วันครอบครัว” ผ่านนโยบาย พปชร. พร้อมร่วมส่งคนไทยกลับภูมิลำเนาโดยสวัสดิภาพ

,

พล.อ. ประวิตร อวยพรสงกรานต์ 2566 ขอประชาชนมีความสุข พ้นทุกข์ รับปีใหม่ไทย ชูความสำคัญ “วันผู้สูงอายุ – วันครอบครัว” ผ่านนโยบาย พปชร. พร้อมร่วมส่งคนไทยกลับภูมิลำเนาโดยสวัสดิภาพ

นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า เนื่องในเทศกาลวันสงกรานต์ ปี 2566 ซึ่งตรงกับช่วงวันที่ 13-15 เมษายน ของทุกปี ถือเป็นเทศกาลปีใหม่ไทย ที่หลายคนนิยมเดินทางกลับภูมิลำเนา เพื่อรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ตามประเพณีอันดีงามของไทย ที่สืบทอดมาแต่อดีตกาลจนเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของชาติที่ยังปฏิบัติสืบทอดมาอย่างมั่นคง

ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ไทย เทศกาลสงกรานต์ ปี 2566 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคพลังประชารัฐ ได้ส่งความปรารถนาดีไปยังพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน โดยขอให้ร่วมกันทำสิ่งดีๆ เพื่อเป็นมงคลต่อชีวิต และเป็นการเริ่มต้นสิ่งใหม่ ดูแลรักษาสุขภาพ และเดินทางกลับภูมิลำเนาโดยสวัสดิภาพ พร้อมอวยพรปีใหม่ไทย ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ดลบันดาลให้ประชาชนชาวไทยประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ มีกำลังใจและกำลังสติปัญญาที่เข้มแข็ง มีความเจริญรุ่งเรืองทั้งในชีวิต หน้าที่การงานและในครอบครัว ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ตลอดจนประสบความสำเร็จตามความปรารถนาทุกประการตลอดไป

นายชาญกฤช ยังเปิดเผยด้วยว่า นอกจากวันที่ 13 เมษายน จะเป็นวันมหาสงกรานต์ ที่ประชาชนได้ร่วมกันทำกิจกรรมทางศาสนาและขอพรญาติผู้ใหญ่แล้ว ยังเป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันที่ 14 เมษายน จะเป็นวันครอบครัว โอกาสนี้ พล.อ.ประวิตร ยังได้ส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีไปยังผู้สูงอายุทุกคน ตลอดจนประชาชนชาวไทยทุกครอบครัว ให้มีความอบอุ่น เข้มแข็ง รักใคร่กลมเกลียว แสดงความเคารพกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เพื่อส่งเสริมความรักความผูกพันในครอบครัวให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น อันเป็นจุดแข็งของสังคมไทย เพราะครอบครัวถือเป็นสถาบันแรกของทุกคน โดยที่พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงวัย ด้วยการเพิ่มเบี้ยยังชีพแบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี 3,000-5,000 บาทต่อเดือน รวมถึงนโยบายแม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ ดูแลแม่ตั้งครรภ์ เดือนที่ 5-9 เดือนละ 10,000 บาท และดูแลเด็กแรกเกิดถึง 6 ขวบ เดือนละ 3,000 บาท พร้อมฝากให้ประชาชนพิจารณาเลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 และเลือกผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคทุกเขตทั่วทั้งประเทศ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย เพื่อก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 เมษายน 2566

“ร.อ.ธรรมนัส-วิรัช”นำ ผู้สมัคร ส.ส.นครปฐม เปิดเวทีปราศรัย ชู นโยบายบัตรประชารัฐ-เบี้ยผู้สูงอายุ ลั่น พร้อมก้าวข้ามความขัดแย้ง มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มเปราะบาง

,

“ร.อ.ธรรมนัส-วิรัช”นำ ผู้สมัคร ส.ส.นครปฐม เปิดเวทีปราศรัย ชู นโยบายบัตรประชารัฐ-เบี้ยผู้สูงอายุ ลั่น พร้อมก้าวข้ามความขัดแย้ง มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มเปราะบาง

เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2566 เวลา 17.30 น.ณ ลานสนามหน้าอำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้จัดเวทีปราศรัย นำโดย นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค , ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคเหนือ ร่วมขึ้นปราศรัยนโยบายพรรค พร้อมผู้สมัคร ส.ส.นครปฐมประกอบด้วย เขต 1 นายมารุต บุญมี เบอร์ 8,เขต 2. นายรัฐกร เจนกิจณรงค์ เบอร์ 9,เขต 3. นายศิรวริศ สวนแก้ว เบอร์ 6,เขต 4. นายณัฐวัฒน์ ชั้นอินทร์งาม เบอร์ 8,เขต 5. นายจักรพงษ์ ทิมมณี เบอร์5 และเขต 6. นายมนตรี บุญประคอง เบอร์ 5

โดยนายวิรัช กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า พรรคพลังประชารัฐอยากได้ ส.ส.ของจังหวัดนครปฐมที่เราจะไปอยู่เป็นรัฐบาลด้วยกัน เมื่อการเลือกตั้งปี 62 ที่ผ่านมา ผู้แทนของชาวนครปฐมมีแต่ฝ่ายค้านมากกว่ารัฐบาล วันนี้ตนไม่โกรธเลยที่หลายคนย้ายไปอยู่พรรคการเมืองต่าง ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเป็นฝ่ายรัฐบาล เพราะฉะนั้นครั้งนี้ ขอให้ทุกคนเลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 ถ้าถามว่าทำไมต้องเลือก ก็เพราะว่านโยบายของเราในครั้งนี้ดีขึ้นกว่าเดิม อย่างเช่น บัตรประชารัฐครั้งที่แล้วให้ประชาชน 300 บาท แต่ครั้งนี้จะเพิ่มเป็น 700 บาท ซึ่งโครงการบัตรประชารัฐ ถูกตั้งคำถามอย่างมาก เมื่อตอนเปิดตัวออกมาว่าจะใช้ได้นานหรือไม่ แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่า เราสามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนมาได้ถึง 4 ปี

“ถ้าพี่น้องติดใจ ถูกใจบัตรประชารัฐ หลายคนบอกว่าขาดบัตรนี่ไม่ได้แล้ว ช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาได้อยู่ได้กินก็ขอบัตรนี้ โดยวันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ บอกว่า 300 บาทไม่พอ ขอเพิ่มให้เป็น 700 บาท ในพื้นที่จังหวัดนครปฐมมีผู้ได้รับสิทธิบัตรประชารัฐ 300,000 คน ถ้าพี่น้องช่วยกันเลือกภายใน 6 เขต พรรคพลังประชารัฐจะได้ ส.ส.ยกจังหวัด และจะเข้ามาสานต่อโครงการเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี”นายวิรัช กล่าว

นายวิรัช กล่าวต่อว่า นอกจากนั้น พรรคพลังประชารัฐยังมีนโยบายดูแลผู้สูงอายุ โดยการเพิ่มเบี้ยยังชีพแบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็นจำนวน 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปี ขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน หรือเรียกว่า‘เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ 3 4 5 และ 6 7 8’ ซึ่งเราเห็นความสำคัญ และมีความจำเป็นที่จะต้องผลักดันนโยบายเพิ่มเติมเพื่อดูแลสวัสดิการผู้สูงอายุ ที่เป็นบุคคลที่มีคุณค่า และเป็นผู้ที่ทำประโยชน์ต่อบ้านเมืองมาอย่างยาวนาน

ด้าน ร.อ.ธรรมนัส กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า ได้มาเยี่ยมเยียนพี่น้องชาวนครปฐมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายก สมาชิกต่าง ๆ เรามีความผูกพันมานาน ดังนั้น วันนี้ผู้ใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐติดภารกิจสำคัญ ติดประชุมยุทธศาสตร์ของพรรค ทำให้เหลือตนกับท่านวิรัชที่สามารถมาพบปะกับพี่น้อง จังหวัดนครปฐมเป็น 1 ใน 5 จังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกับกรุงเทพมหานคร ซึ่งนครปฐมถือว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ แต่ทำไมถึงยังน้อยหน้ากว่าอีก 4 จังหวัดรอบข้าง ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐจะพัฒนาจังหวัดนครปฐมให้มีความเจริญเทียบเท่า และไม่น้อยหน้าจังหวัดอื่น

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐ ยึดหลักสำคัญก็คือ เราจะก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะคนไทยเราพูดภาษาเดียวกัน มีศิลปะและวัฒนธรรมเหมือนกัน เรามีเสาหลักของบ้านของเมืองที่อยู่คู่กับประเทศไทยมานาน นั่นคือ สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เราจะเชิญชวนลูกลานของเรามาเดินด้วยกัน สิ่งไหนที่มันไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนเราจะนำไปพูดกันในสภาผู้แทนราษฎร กฎหมายที่ล้าหลัง ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เราก็จะไปแก้ไขให้ดีขึ้น

“พรรคพลังประชารัฐประกาศนโยบายชัดเจนว่าเราจะเยียวยากลุ่มเปราะบางให้มีความเข้มแข็ง ก่อนที่เราจะมอบเบ็ดให้เขาไปทำมาหากิน ถ้าคนยังป่วยอยู่ นอนอยู่บนเตียง ถึงเราจะมอบเบ็ดให้เขา เขาจะมีปัญญาไปตกปลาหรือไม่ เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นเราต้องรักษาให้เขาแข็งแรง เราจึงกำหนดนโยบายเหล่านี้ขึ้น เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐดูแลผู้มีรายได้น้อย ซึ่งในบัตรยังมีการบรรจุเรื่องการประกันชีวิต ทันทีที่ท่านหมดลมหายใจ รัฐจะมีเงินประกันให้ 200,000 บาท เพื่อไม่ให้เป็นภาระลูกหลานในการจัดงานขาวดำ ซึ่งสามารถไปเบิกออกมาใช้ได้ทันที รวมไปถึงนโยบายดูแลผู้สูงอายุ ที่เป็นเรื่องอนาคตของพวกเราทุกคน เราต้องใส่ใจในฐานะที่เราเป็นเจ้าของประเทศ”ร.อ.ธรรมนัส กล่าว

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวต่อว่า พล.อ.ประวิตร ได้ฝากตนมาบอกชาวนครปฐมว่า พี่น้องหลายอาชีพที่กำลังลำบากอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นชาวสวนกล้วยไม้ เลี้ยงกุ้ง ทำนา เลี้ยงสุกร หลายอย่างมีปัญหา ราคากุ้งถูก แต่อาหารที่เลี้ยงมีราคาแพง ข้าวถูกปุ๋ยแพง ค่าครองชีพแพง วันนี้อะไรที่เป็นของกลุ่มทุนแพงหมด แต่อะไรที่เป็นของพี่น้องประชาชนถูกหมด แล้วประชาชนจะอยู่ได้อย่างไร พรรคพลังประชารัฐจึงมีโจทย์ว่าเราจะบริหารบ้านเมืองโดยการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้พี่น้องประชาชน

“ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาการบริหารบ้านเมือง ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่อยู่มาได้ก็เพราะคนเดียว ที่ผมสามารถพูดได้อย่างเต็มปาก ก็คือ อยู่ได้เพราะ พล.อ.ประวิตร ท่านดูแลก็มาชิกสภาผู้แทนราษฎรถูกพรรค แม้แต่พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย ที่มีความเดือดร้อนในเรื่องของประชาชน ท่านสั่งการองค์กร กระทรวงต่าง ๆ ให้เข้าไปดูและแก้ปัญหาให้ประชาชน ในยามที่สถานการณ์เป็นแบบนี้ พล.อ.ประวิตร เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด”ร.อ.ธรรมนัส กล่าว

ทั้งนี้ ร.อ.ธรรมนัส ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ในวันที่ 14 พ.ค.ตั้งแต่ 08.00 – 17.00 น.ขอชาวนครปฐมเข้าคูหากาผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐทั้ง 6 เขต และขอให้กาเบอร์ 37 ให้กับพรรคพลังประชารัฐ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 เมษายน 2566

สกลธี – ฟิล์ม รัฐภูมิ ลงพื้นที่วัดย่านาค – ชุมชนหลังสถานีรถไฟหัวหมาก ชู “ซอฟต์พาวเวอร์” แหล่งท่องเที่ยวชุมชน

,

สกลธี – ฟิล์ม รัฐภูมิ ลงพื้นที่วัดย่านาค – ชุมชนหลังสถานีรถไฟหัวหมาก ชู “ซอฟต์พาวเวอร์” แหล่งท่องเที่ยวชุมชน

วันที่ 9 เมษายน 2566 นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคพลังประชารัฐ ร่วมกับนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ “ฟิล์ม รัฐภูมิ” ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตเลือกตั้งที่ 22 (สวนหลวง-ประเวศ) หมายเลข 1 ลงพื้นที่วัดมหาบุศย์และชุมชนหลังสถานีรถไฟหัวหมาก พร้อมชูนโยบายพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน
นายสกลธี กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถใช้กองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาท ช่วยพัฒนากรุงเทพฯ ให้ดีขึ้นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะการสร้างแหล่งท่องเที่ยว จุดเช็คอินให้กระจายให้ทั่วทุกเขตใน กทม. ไม่ต้องไปกระจุกอยู่ในพื้นที่ชั้นในอย่างสุขุมวิท เยาวราช หรือถนนข้าวสาร ซึ่งในพื้นที่เขตสวนหลวง เขตประเวศ มีจุดที่ฟิล์ม-รัฐภูมินำเสนออยากทำเป็นจุดท่องเที่ยวท้องถิ่นที่ยั่งยืน แต่ใช้งบ กทม.ทำอย่างเดียวคงไม่ได้เพราะงบประมาณจำกัด รัฐบาลกลางต้องเข้าไปช่วย เช่น เพิ่มเส้นทางเดินเรือ เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวหรือการแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ ทั้งนี้จะทำให้การทำงานของรัฐบาลกลางและท้องถิ่นอย่าง กทม.แนบแน่นขึ้น ตรงกับที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ย้ำเสมอว่าเราจะมาทำงานให้คนไทยทุกคน

ขณะที่นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ “ฟิล์ม รัฐภูมิ” ” ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตเลือกตั้งที่ 22 (สวนหลวง-ประเวศ) หมายเลข 1 กล่าวเสริมว่า เราต้องใช้กองทุนประชารัฐ 3 แสนล้าน สร้าง Soft Power ให้เกิดขึ้น โดยในเขตสวนหลวง-ประเวศ มีทุนที่ดีอย่างย่านาค ซึ่งเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะชาวจีนที่เข้ามาไหว้ย่านาคปีละหลายแสนคน โดยตนจะไม่ทำเพียงจุดเดียว แต่จะใช้นโยบาย “สวนหลวง Number 1” โปรโมท “สถานที่ท่องเที่ยว 9 ที่ : 7 วัด 1 มัสยิด 1 ศาลเจ้า” ซึ่งสามารถเดินทางเข้าถึงได้ทั้งทางรถ-ทางเรือ ดึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าเขตสวนหลวง ซึ่งตนมั่นใจว่าจะทำสำเร็จได้ไม่เกิน 9 เดือน
“การพบพี่น้องประชาชนในฐานะผู้สมัคร ส.ส. ต่างจากตอนเป็นนักร้อง ตอนเป็นนักร้องคนจะเข้ามากรี๊ด มาถ่ายรูป แต่ตอนเป็นนักการเมืองจะมีคนมากอดร้องไห้ขอให้ช่วยเหลือ ตนดีใจที่คุณสกลธีและพรรคพลังประชารัฐให้โอกาส ตนมั่นใจว่าจะสามารถเข้ามาช่วยให้เขาหายทุกข์และทำให้เขามีความสุขได้ แต่จะได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเมตตาของพี่น้องประชาชนด้วย”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 เมษายน 2566

“ผู้กองธรรมนัส – ชัยวุฒิ”ย้ำก้าวข้ามความขัดแย้ง เปลี่ยนปทุมธานีไร้สีเสื้อ ไร้ขั้วอำนาจ เพิ่มเสียงตอบรับร่วมหนุนนโยบายพปชร.ดูแลทุกคนไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

,

“ผู้กองธรรมนัส – ชัยวุฒิ”ย้ำก้าวข้ามความขัดแย้ง เปลี่ยนปทุมธานีไร้สีเสื้อ ไร้ขั้วอำนาจ เพิ่มเสียงตอบรับร่วมหนุนนโยบายพปชร.ดูแลทุกคนไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดเวทีปราศรัย ณ ลานกลางแจ้งใกล้ตลาดกลางลาดสวาย และสามแยกสวนเกษตร คลอง 3 จังหวัดปทุมธานี นำโดย นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคเหนือ ร่วมขึ้นปราศรัยนโยบายพรรค ร่วมด้วยผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดปทุมธานีทั้ง 7 เขต ประกอบด้วย นายเสวก ประเสริฐสุข ผู้สมัคร เขต 1 เบอร์ 2 นายปรีชา ชื่นชนกพิบูล ผู้สมัคร เขต 3 เบอร์ 4 นายนพดล ลัดดาแย้ม ผู้สมัคร เขต 2 เบอร์ 3 นายยุทธวัฒน์ หาญเกียรติกล้า ผู้สมัคร เขต 4 เบอร์ 7 นายวิรัช พยุงวงษ์ ผู้สมัคร เขต 5 เบอร์ 7 ดร.เกียรติศักดิ์ ส่องแสง ผู้สมัคร เขต 6 เบอร์ 5 น.ส.กฤษณา วงศ์คำ ผู้สมัคร เขต 7 เบอร์ 8 โดยมีประชาชน ขึ้นแนะนำตัว โดยมีประชาชนกว่า 10,000 ร่วมรับฟังอย่างเนืองแน่น

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ตนขอยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่า พปชร.จะปักธง ส.สที่ จ.ปทุมธานีได้อย่างแน่นอน ซึ่งนโยบายการเมืองต้องนิ่ง ให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ ให้ประเทศชาติมั่นคง พรรคเรามีนโยบายให้ประชาชนอยู่ดีกินดี เสนอนโยบายที่ประชาชนชอบ บางนโยบายถูกใจคน แต่อาจไม่ถูกต้องเราก็ไม่ทำ ตนเสียใจที่การเมืองวันนี้ มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร บางพรรคไม่คิดถึงความมั่นคงของชาติ ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ซึ่งประเทศชาติ จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ในการดูแลพื้นที่ชายแดน ไม่ให้มีการลักลอบขนยาเสพติด แรงงานผิดกฎหมาย โดย พปชร. ยังยืนยันว่ายึดอุดมการณ์ในสถาบันหลัก

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า ตนขอยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่า ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ ทั้ง 7 เขต เป็นคนดีมีคุณภาพที่สุด และพร้อมรับใช้พี่น้องประชาชน วันนี้การเลือกตั้งแต่ละเขต ก็คนละเบอร์ ขออย่าสับสน จำเบอร์ผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐให้ดีแต่ถ้าบัตรสีฟ้า กาได้เบอร์เดียวคือเบอร์ 37 เลือกพรรคพลังประชารัฐ มีนโยบายที่ชัดเจนและทำมาแล้วหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เบี้ยผู้สูงอายุก็ทำมาแล้วและจะทำให้ดีขึ้น นโยบายเบี้ยผู้สูงอายุ60 ปี 3000 บาท 70 ปี 4000 บาท 80 ปี 5000 บาท ดังนั้น เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง วันนี้เรามีรัฐบาลมั่นคงอยู่มาสี่ปี ที่มีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ ที่ผ่านมาท่านได้ทำหน้าที่ในฐานะรัฐบาล แก้ปัญหาทุกอย่าง ทั้งระบบขนส่งมวลชน แก้ปัญหาน้ำท่วมปทุมธานี ซึ่งได้ลงพื้นที่มาดูด้วยตัวเอง แต่ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร เพราะไม่มีส.ส. ของพรรค พปชร. อยู่ในพื้นที่เพื่อนำปัญหาไปประสานงานกับหัวหน้าพรรค ดังนั้นวันนี้เราจึงต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐยกทีม7 คนเพื่อทำงานให้กับพี่น้องประชาชน พรรคพลังประชารัฐจะทำให้ชาวปทุมธานีมีความสุขทุกคน

“พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคที่ดำเนินงานตามระบบประชาธิปไตย ลุงป้อม ไม่ใช่คนปฏิวัติลุงป้อมไม่ได้สืบทอดอำนาจลุงป้อมไม่ใช่เผด็จการลุงป้อมตั้งไจทำงานเพื่อประชาชน เพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชนเป็นหัวหน้าพรรค มาทำหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชน ขอโอกาสให้พวกเรา ประสานงาน เราจะทำงานกับทุกคนและทุกฝ่ายจะต้องไม่มีความขัดแย้งอีก”14 พฤษภาคม เข้าคูหากา พรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37

ด้าน ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า วันนี้ได้รับหนังสือจากแกนนำเสื้อแดง เพื่อประกาศเจตนารมณ์เห็นด้วยกับ นโยบายสำคัญของพปชร.ในเรื่องการก้าวข้ามความขัดแย้งและเห็นว่าการทำงานของ พล.อ.ประวิตร ในการทำงานร่วมกับรัฐบาล สามารถทำงานได้ด้วยดี เพราะหัวหน้าเป็นผู้เปิดกว้างรับฟังทุกคน ไม่ว่าจะเป็นส.ส.พรรคใด ก็พร้อมช่วยเหลือ เห็นด้วยร่วมเป็นหนึ่งเดียวไม่มีการแบ่งแยกสี เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน พูดภาษาเดียวกัน แม้จะนับถือศาสนาที่แตกต่างกันแต่เราจะเลิกทะเลาะ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง หลังเลือกตั้งแล้ว ได้เป็นรัฐบาล เชื่อว่าหัวหน้าพรรค จะนำเรื่องก้าวข้ามความขัดแย้งมานำเป็น วาระแห่งชาติ เพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว โดยพปชร. เป็นพรรคขับเคลื่อนในเรื่องดังกล่าว เพื่อรวมพลังของคนไทยทั้งแผ่นดิน และต้องนำองค์กรประชารัฐ ที่มีประชาชน เป็นเจ้าของประเทศ จากความหลากหลายของอาชีพ ผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร ผู้สูงอายุ กลุ่มเปราะบางต้องรวมเป็นหนึ่งเดียว

นายวิรัช กล่าวว่า ขอฝากพี่น้องประชาชนชาวปทุมเลือกผู้แทนทุกเขตทำหน้าที่ แต่ที่สำคัญเลือกเบอร์ ลุงป้อม เบอร์ 37 เพราะ นโยบายบัตรประชารัฐ ที่ประชาชนชอบ และลุงป้อม พร้อมทำทันทีในเดือนมิถุนายนนี้ ถ้าได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาล เรามาแล้ว ที่ 300 บาท ต่อไปเราจะได้ใช้ 700 บาท ช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา ไม่มี ส.ส.ของพรรค เลยตลอด 4 ปีเต็ม แต่ลุงป้อม ไม่เคยทิ้งชาวปทุม เดินทางมาดูน้ำด้วยตัวเอง น้ำไม่ท่วมเลย แม้ท่วมก็น้อย แต่แน่นอน เมื่อมีลุงป้อมน้ำไม่แล้งแน่นอน ที่สำคัญพปชร.ไม่ทิ้งผู้สูงอายุ เพราะเราจะเพิ่มเบี้ยสวัสดิการผู้สูงอายุ 3 4 5 และ 6 7 8 3000 4000 5000 ครั้งนี้เป็นการประกาศศักดิ์ศรีของคนปทุมที่จะเข้ามาทำหน้าที่ ให้กับพี่น้องประชาชนภายใต้การขับเคลื่อนของพปชร.

สำหรับ ความพร้อมในการเลือกตั้งในพื้นที่ปทุม มีความมั่นใจว่าจะปักธงได้ แม้ว่าการเลือกตั้งปี 62 ผู้สมัครส่วนใหญ่อยู่อันดับสอง แต่การเลือกตั้งปีนี้ ตนเชื่อมั่นว่าจะสามารถคว้าโอกาสได้ไม่ยาก พร้อมยืนยันว่า จ.ปทุมธานี เราจะประสบความสำเร็จ ส่วนที่หลายพรรคการเมืองตั้งเป้า จ.ปทุมธานี นั้น เราเองก็มั่นใจในผู้สมัครของเราทุกคน เช่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็มั่นใจว่าจะสามารถปักหมุดพื้นที่นี้ได้ เพราะเป็นพื้นที่ 1 ใน 5 จังหวัดรอบกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ในส่วนของโพลต่างๆ ที่ไม่มีชื่อของ พล.อ.ประวิตร อยู่ในลำดับต้นๆ จะมีผลต่อการเรียกคะแนนนิยม หรือไม่นั้น เชื่อว่าระยะเวลา ที่เหลืออีก 30 กว่าวันในการเลือกตั้ง ตนในฐานะผู้สมัครดูแลพื้นที่ มีความมั่นใจว่าพรรคพลังประชารัฐจะชนะ ยังไงก็ต้องเกิน 50 ที่นั่ง

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวต่อว่า องค์กรต่อไปที่จะเข้ามาดูแลประชาชน คือองค์กรพลังแห่งรัฐ รัฐจะต้องดูแลประชาชนให้อยู่ดีกินดี เวลาหาเสียงทุกพรรคนโยบายดีหมด จะทำทุกอย่างให้กับประชาชน แต่พอจัดตั้งรัฐบาลลืมหมด คนแบบนี้ประชาชนจะเลือกหรือไม่ ประชาชนจะเป็นพลังกดดันให้รัฐเข้ามาดูแลประชาชนทั้ง 70 ล้านชีวิต จะต้องดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ เด็กเล็ก ส่วนประชาชนที่มาฟังการปราศรัยวันนี้ ใช้น้ำมันและใช้ไฟฟ้า ทุกวันนี้น้ำมันราคาแพง ค่าไฟแพง มีอย่างเดียวที่ถูกคือรายได้ พรรคพลังประชารัฐ เล็งเห็นความสำคัญของ โครงสร้างราคาน้ำมัน ต้องทำทันที

ผู้สมัครพปชร.ได้สลับขึ้นปราศรัย โดยเริ่มจาก นายวิรัช พยุงวงษ์ กล่าวว่า ขอให้พี่น้องร่วมเปลี่ยนแปลงจังหวัด ให้โอกาสคนปทุมฯ ร่วมเป็นปากเสียง เป็นตัวแทนเพื่อไปบอกกล่าวความทุกข์ร้อนของ ชาวปทุม ในสภาฯ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยเห็นตัวแทนของเราไปทำหน้าที่เป็นปากเสียงให้ชาวปทุมฯ ในสภา เชื่อว่าพี่น้องยังไม่พอใจกับนักการเมืองที่ได้เลือกมา จึงเชื่อว่าครั้งนี้พี่น้องตัดสินใจเพื่อที่จะเลือกตัวแทนที่เข้าไปทำหน้าที่แทนอย่างแท้จริง

ด้านนายนพดล กล่าวว่า ส่วนตัวมาดูแลด้านท่องเที่ยวและการเกษตร ที่ผ่านมามีส.ส. ไม่ยกมือเสนอความเดือดร้อนของจ. ไปแก้ไขในสภา 7 เขต เพื่อขับเคลื่อนจ. เรื่องต้นไฟฟ้าส่องสว่าง ความสะอาด อยากทำตลาดชุมชนเพื่อสร้างรายได้ให้พี่น้องประชาชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 เมษายน 2566

พปชร.เปิดศูนย์ประสานงานผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขตลาดกระบัง “บุญส่ง เต๋งจงดี” เบอร์1 พร้อมทำงานพื้นที่ทัดเทียมเขตอื่นในกทม.

,

พปชร.เปิดศูนย์ประสานงานผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขตลาดกระบัง
“บุญส่ง เต๋งจงดี” เบอร์1 พร้อมทำงานพื้นที่ทัดเทียมเขตอื่นในกทม.

วันที่ 9 เมษายน 2566 พรรคพลังประชารัฐเปิดศูนย์ประสานงานการเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 20 เขตลาดกระบัง (ยกเว้นแขวงลำปลาทิว) โดยนายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานเปิดศูนย์ให้ นายบุญส่ง เต๋งจงดี ผู้สมัครหมายเลข 1 เพื่อใช้ในกิจกรรมการหาเสียงเลือกตั้ง และรับข้อเสนอจากประชาชน ที่จะนำไปสู่การทำนโยบายเพื่อการพัฒนาพื้นที่

นายบุญส่ง เต๋งจงดี ผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 20 เขตลาดกระบัง (ยกเว้นแขวงลำปลาทิว) หมายเลข 1 กล่าวว่า ตนอยากให้เขตลาดกระบังเปลี่ยนแปลง ไปในทิศทางที่ดีขึ้น ด้วยนโยบายที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และคุณสกลธี ภัททิยกุล นำเสนอ เขตลาดกระบัง ซึ่งเป็นพื้นที่ชานเมือง มีปัญหาที่หลากหลาย แต่ตนได้ลงพื้นที่ จัดลำดับปัญหาทั้งหมดไว้แล้ว หากพี่น้องชาวลาดกระบังให้โอกาส ตนพร้อมทำงานได้ทันที

ด้าน นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหาร ในฐานะหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ตนพูดคุยกับนายบุญส่งมานาน มั่นใจว่าเลือกไม่ผิดคน 4 ปีที่แล้วพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ ส.ส.ในเขตลาดกระบัง ครั้งนี้ขอให้โอกาสนายบุญส่งได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงเขตลาดกระบังให้ดีขึ้น

นายสกลธีกล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐมีอดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจหลายคน นโยบายที่ออกมาจึงเน้นไปที่การดูแลปากท้องพี่น้องเป็นสำคัญ เช่น การเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 700 บาท พร้อมเพิ่มวงเงินประกันชีวิต 2 แสนบาท และมีเงินกู้ประกอบอาชีพอีก 5 หมื่นบาท นอกจากนี้ยังเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็น 3,000 – 5,000 บาท

“เราไม่ได้แจกเงินหว่านเหมือนบางนโยบาย การแจกเงินมันง่ายเหมือนไม่ได้คิดอะไร เราให้กลุ่มเปราะบางที่ต้องดูแล”

นายสกลธีกล่าวว่า เขตลาดกระบังจะพัฒนาขึ้นอย่างเห็นผลแน่นอน ตนเคยเป็นรองผู้ว่าฯ รู้ว่าหากให้ท้องถิ่นเป็นผู้พัฒนาฝ่ายเดียวไม่ไหว พรรคพลังประชารัฐจึงจะมีกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาท
มาแก้ไขปัญหาทั้งประเทศ เขตลาดกระบังจะได้มีเงินมาช่วยสร้างรถไฟฟ้า สร้างระบบขนส่งสาธารณะ หากพี่น้องชาวลาดกระบังเลือกนายบุญส่ง เบอร์ 1 เลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 ให้เป็นรัฐบาล สิ่งดีๆ เหล่านี้เกิดแน่นอน

“พื้นที่โซนกรุงเทพตะวันออกมีศักยภาพพัฒนาได้อีกมาก พรรคพลังประชารัฐตั้งเป้าหมายให้ทั้ง 50 เขตของกรุงเทพมีความเจริญทัดเทียมกัน ตอนนี้เขตพื้นที่ชั้นในหนาแน่นแล้ว แต่โซนกรุงเทพตะวันออกยัง สามารถรองรับการขยายตัวของเมืองได้ สามารถเป็นครัวของกรุงเทพได้ แต่ต้องได้คนมีความรู้มาช่วย ตนจึงขอโอกาสให้นายบุญส่ง เบอร์ 1 และพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 ด้วย”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 เมษายน 2566