โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

เดือน: กุมภาพันธ์ 2023

“เลขาสันติ”เปิดนโยบาย “แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ” ดูแลสตรีตั้งครรภ์5เดือน-ช่วยเงินเลี้ยงบุตรถึง6ขวบ

,

“เลขาสันติ”เปิดนโยบาย “แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ”
ดูแลสตรีตั้งครรภ์5เดือน-ช่วยเงินเลี้ยงบุตรถึง6ขวบ

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า พปชร. ได้เปิดนโยบาย” ดูแลทุกช่วงวัย แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ”ซึ่งเป็นอีก 1 นโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่ต้องการดูแลสตรีทั้งประเทศ เป็นที่ทราบอยู่แล้วว่า เพศสตรีของประเทศไทยมีไม่น้อยกว่าบุรุษเลย ซึ่งปัจจุบันมีถึง 34 ล้านคน มีมากกว่าเพศชาย ทางพรรคพลังประชารัฐจึงเล็งเห็นว่าต้องดูแลผู้หญิง ที่เป็นเพศแม่ของเราทุกคน เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจที่ดี

“พรรคพลังประชารัฐได้วางนโยบายที่จะเข้าไปดูแลสตรีในขณะตั้งครรภ์ตั้งแต่เดือนที่ 4 เนื่องจากเห็นว่า จะแสดงว่าบุตรที่อยู่ในท้องจะมีโอกาสที่แข็งแรง จะเกิดมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป และในเดือนที่ 9ก็จะเป็นเดือนที่ต้องคลอดบุตรออกมา โดยพรรคพลังประชารัฐจะสนับสนุนเงินเดือนละ 10,000 บาทเป็นจำนวน 5 เดือน เริ่มตั้งแต่อายุครรภ์ 4 เดือน จนถึง 9 เดือน นอกจากนี้เรายังจะให้การช่วยเหลือเงินในการเลี้ยงบุตรจำนวนเงิน 3000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 6 ปี เพื่อให้กับผู้หญิงที่เป็นเพศแม่มีความมั่นใจแล้วก็สบายใจในการเลี้ยงดูบุตรและธิดา”

นายสันติ กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐมีความตั้งใจที่จะดูแลสตรีในการที่จะช่วยกันเพิ่มประชากรในประเทศ เนื่องจากอัตราการเกิดของลูกหลานในประเทศไทย ต่ำกว่าเป้าหมายถึง 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ โดยมีอัตราเกิดอยู่ที่ประมาณ 500,000 กว่าคนเท่านั้นทั้งที่จริงๆ แล้วต้องมีอัตราเกิดประมาณ 800,000 กว่าคน และด้วยเทคโนโลยีในการรักษาพยาบาลที่พัฒนาขึ้น ทำให้คนไทยมีอายุที่ยืนยาวมากขึ้นถ้าเทียบกับในอดีต ซึ่งถ้าหากอัตราการเกิดยังต่ำกว่าเป้าหมาย ในระยะยาวประเทศไทยก็จะเจอเกิดปัญหาขาดคนรุ่นใหม่ใหม่ ที่จะเข้ามาเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2566

“สันติ-วิรัช”เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครพปชร.15 คน 10 จังหวัด มั่นใจปั้นขุนศึกส่งถึงฝั่งนั่งเก้าอี้ ส.ส.ในสภา

,

“สันติ-วิรัช”เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครพปชร.15 คน 10 จังหวัด
มั่นใจปั้นขุนศึกส่งถึงฝั่งนั่งเก้าอี้ ส.ส.ในสภา

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 16.00 น. นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วย นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค ร่วมกันแถลงเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. 4 ภาค จำนวน 15 คน และกล่าวต้อนรับว่าที่ผู้สมัคร ณ ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ

นายสันติ กล่าวว่า เป็นอีกวันหนึ่งที่พรรคพลังประชารัฐได้เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครของพรรคทั้ง 15 คนจาก 10 จังหวัด ถือว่าเป็นข่าวดีที่พรรคมีบุคคลที่มีคุณภาพเข้ามาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ ก็ต้องขอโอกาสให้กับคนของพรรคเข้าไปเป็นตัวแทนประชาชนด้วย

นายวิรัช กล่าวว่า ต้องขอให้ว่าที่ผู้สมัครของพรรคทุกคนนำนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะเป็น”ป้อม 700″ ที่จะมีการเพิ่มเงินสวัสดิการในบัตรประชารัฐ เป็น 700 บาทต่อเดือน รวมถึงนโยบายสวัสดิการผู้สูงอายุ “3 4 5 และ 6 7 8” โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะได้รับ 3,000 บาท อายุ 70 ปีขึ้นไป จะได้รับ 4,000 บาท และอายุ 80 ปีขึ้นไปจะได้รับ 5,000 บาทนอกจากนี้ ยังมีอีกหลายนโยบาย เช่น แก้ปัญหาน้ำ และที่ดินทั่วประเทศ ในแคมเปญ“มีที่ทำกิน มีที่ดินไม่มีจน” การแก้ปัญหาน้ำ “มีเรา ไม่มีแล้ง มีน้ำ ไม่มีจน” ซึ่งขอให้ผู้สมัครของพรรคทุกคนเชื่อมโยงระหว่างประชาชนกับพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30

ด้านนายไพบูลย์ กล่าวว่า รู้สึกยินดีอย่างยิ่งในฐานะทีมบริหารพรรคพลังประชารัฐที่ได้มาร่วมการเปิดตัวผู้สมัครในวันนี้ เบื้องต้นดูแล้วก็จะต้องเรียกตัวแทนผู้สมัครว่า ว่าที่ ส.ส.เอาของพรรคพลังประชารัฐ เพราะตนมั่นใจว่า ทุกท่านมีคุณสมบัติ และความสามารถให้ประชาชนได้เลือกมาเป็นตัวแทน ถือว่าเป็นขุนศึกและกำลังของพรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ด้วยแนวคิดและหลักการของพลเอกประวิตร ในการก้าวข้ามความขัดแย้ง และขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะทำให้ว่าที่ผู้สมัครที่ยืนอยู่ตรงนี้ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

นอกจากนี้จากการวิเคราะห์ของสื่อมวลชนหลายแขนง ก็ระบุว่า พรรคพลังประชารัฐจะเป็นพรรครัฐบาลอย่างแน่นอน โดยมีพลเอกประวิตร หรือลุงป้อม เป็นนายกรัฐมนตรี ท่านที่ 30 อย่างแน่นอน เรามั่นใจ

สำหรับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ในวันนี้ประกอบด้วย พื้นที่ ภาคอีสาน , ภาคเหนือ , ภาคกลาง และภาคใต้ รวมจำนวน 15 คน ประกอบด้วย ภาคอีสาน จำนวน 6 คน ประกอบด้วย อุบลราชธานี 1.นายเข็มทอง แก้วเนตร 2.นายนิวัฒน์ จำปาทอง 3.สจ.ศุภโชค ฐานเจริญ 4.นายยิ่ง ภูผา สุรินทร์ 5.นายมานพ แสงดำ หนองบัวลำภู 6.นางศรัณยา สุวรรณพรหม

ภาคเหนือ จำนวน 5 คน ประกอบด้วย เชียงราย 7.นายพิษณุ เขื่อนเพชร 8.นายวัชรพงศ์ ปิโย เชียงใหม่ 9.นายบดินทร์ กินาวงศ์ นครสวรรค์ 10.นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ เพชรบูรณ์ 11.นายวรโชติ สุคนธ์ขจร

ภาคกลาง จำนวน 3 คน ประกอบด้วย นครปฐม 12.นายจักรพงษ์ ทิมมณี เพชรบุรี 13.พล.อ.ท. ดร. ชนนนาถ เทพลิบ 14.นายทัตณัชพงษ์ เติมวรรธนภัทร์

ภาคใต้ จำนวน 1 คน ประกอบด้วย พังงา 15.นายกานต์ เพชรบูรณ์

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2566

“ร้อยเอกจองชัย” วอน รัฐจับตาเลือกตั้งให้ดีไร้การซื้อสิทธิ์ ขายเสียง วอน ปชช.เลือก ส.ส.คนทำงานจริง เข้าไปเป็นปากเป็นเสียง

,

“ร้อยเอกจองชัย” วอน รัฐจับตาเลือกตั้งให้ดีไร้การซื้อสิทธิ์ ขายเสียง วอน ปชช.เลือก ส.ส.คนทำงานจริง เข้าไปเป็นปากเป็นเสียง

ร้อยเอกจองชัย วงทรายทอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า ขอฝากให้เจ้าหน้าที่รัฐและหน่วยงานราชการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ได้สอดส่องดูแลการเลือกตั้งที่จะถึงนี้อย่างเข้มงวด ป้องกันการซื้อสิทธิ์ ขายเสียง และการโกงการเลือกตั้ง รวมถึงการเร่งรณรงค์ สร้างค่านิยมที่ดีให้กับประชาชน

“อีกไม่กี่เดือนจะเป็นโอกาสของประชาชนที่จะได้ใช้สิทธิ์ลงคะแนนเลือกผู้ที่จะทำหน้าที่บริหารประเทศแทนท่านเพื่อที่จะได้เปลี่ยนแปลงประเทศของเราไปในทางที่ดี ขอให้ประชาชนเลือกคนดีมีฝีมือ เลือกคนที่ทำงานจริงๆมาเป็นปากเป็นเสียงแทนท่าน รวมทั้งเลือกคนที่สามารถช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนของท่านและชุมชนได้ จงอย่าได้เลือกผู้แทนที่ใช้เงินซื้อเสียง”

ร้อยเอกจองชัย กล่าวต่อว่า เพราะเมื่อมีการลงทุนก็ย่อมมีการถอนทุนคืน แต่ขอให้ดูที่ผลงานของผู้ที่จะมาเป็นผู้แทนของท่านเป็นสำคัญ และอย่าให้ใครมาดูถูกว่าเงินไม่มา กาไม่เป็น ขอให้ทุกท่านจงลุกขึ้นมาใช้สิทธิ์ด้วยความภาคภูมิใจ เลือกคนดีเข้าสภา เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมไทย อนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือของพี่น้องประชาชน”

#พรรคพลังประชารัฐ #พลังประชารัฐ #พปชร #PPRP #จองชัยวงทรายทอง
Twitter : https://twitter.com/PPRPofficial

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2566

ส.ส.นครศรีธรรมราช พปชร.ขอบคุณสภา-กระทรวง รับฟังปัญหาประชาชน สู่การลดความเดือดร้อน เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี

,

ส.ส.นครศรีธรรมราช พปชร.ขอบคุณสภา-กระทรวง รับฟังปัญหาประชาชน สู่การลดความเดือดร้อน เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี

รศ.ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า ขอขอบคุณนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ที่ได้เปิดโอกาสให้นำข้อหารือจากประชาชนเข้ามาสู่สภาฯ เพื่อให้สภาฯ แจ้งไปยังหน่วยงานทางฝ่ายบริหารได้รับทราบและแก้ไข ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณหลาย ๆ กระทรวง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงคมนาคมที่ได้เอาข้อหารือต่างๆ ไปกำหนดเป็นนโยบาย

กระทรวงเกษตรกระทรวงเกษตร กรมชลประทาน ที่ดูแลโครงการคลองผันน้ำ เลี่ยงเมืองตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เพื่อแก้ปัญหาเมืองนคร ขุดลอกคลองคูพาย ทั้งด้านเหนือ ด้านใต้ บริหารจัดการน้ำเมืองนคร

ขอบคุณกระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้อนุมัติงบประมาณจากข้อหารือไปแก้ปัญหาให้กับโรงเรียน เพื่อทำให้โรงเรียนได้มีคุณภาพ ได้มีห้องน้ำ ได้มีอาคารทันสมัย

ขอบคุณกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้นำข้อหารือเหล่านี้ ไปกระจายเรื่องศูนย์ดิจิตอลชุมชน

ขอบคุณกรมโยธาธิการที่ทำเรื่องจัดรูปที่ดินตามข้อหารือและการจัดรูปที่ดินตลาดเสาร์-อาทิตย์

“วันนี้พี่น้องชาวนครศรีธรรมราช ขอบคุณกระทรวงสาธารณสุขที่เปลี่ยนจากโรงพยาบาล 800 เตียง เป็นโรงพยาบาล 1,000 เตียง และขอขอบคุณชุดดำรงธรรมที่จัดการเรื่องมลพิษทางอากาศ เรื่องขี้หมู ขอบคุณเทศบาลนคร ที่ทำทุกเรื่องที่หารือ และขอบคุณเมืองนครที่มอบข้อหารือดีๆ ข้อเท็จจริงมาบอกท่านประธานสภา เพื่อให้ไปบอกทางฝ่ายบริหารที่ทำให้เกิดคุณภาพชิวีตที่ดี”

#พรรคพลังประชารัฐ #พลังประชารัฐ #พปชร #PPRP #รงค์บุญสวยขวัญ
Twitter : https://twitter.com/PPRPofficial

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2566

“พปชร.” เตรียมคลอดนโยบายเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เริ่ม 60 ปี รับ 3 พันบาทต่อเดือน ลดค่าครองชีพตอบแทน ปชช.

,

“พปชร.” เตรียมคลอดนโยบายเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เริ่ม 60 ปี รับ 3 พันบาทต่อเดือน ลดค่าครองชีพตอบแทน ปชช.

เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ได้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายขับเคลื่อนพรรคพลังประชารัฐ โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานการประชุม โดยในที่ประชุมมีเห็นชอบนโยบายเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเพื่อสานต่อนโยบายสวัสดิการประชารัฐ โดยกำหนดเสนอแนวทางการเพิ่มเบี้ยยังชีพสำหรับผู้สูงอายุแบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็น จำนวน 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปี ขึ้นไปเพิ่มเป็น จำนวน 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปี ขึ้นไปเพิ่มเป็น จำนวน 5,000 บาท ต่อเดือน ซึ่งพรรคใช้แคมเปญ “เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ 3 4 5 และ 6 7 8”

“พรรคเห็นความสำคัญและมีความจำเป็นที่จะต้องผลักดันนโยบายเพิ่มเติมเพื่อดูแลสวัสดิการผู้สูงอายุ ที่เป็นบุคคลที่มีคุณค่าและเป็นผู้ที่ทำประโยชน์ต่อบ้านเมืองมาอย่างยาวนาน ซึ่งจะเป็นอีกนโยบายหลักที่ใช้ในการหาเสียงที่นอกเหนือจากพรรคได้ออกนโยบายการเพิ่มเงินสวัสดิการบัตรประชารัฐเป็น 700 บาท หรือ”ลุงป้อม 700” รวมทั้งนโยบายการแก้ปัญหาที่ทำกินในแคมเปญ “มีเรา มีที่ทำกิน มีที่ดินไม่มีจน” การแก้ปัญหาน้ำ “มีเรา ไม่มีแล้ง มีน้ำ ไม่มีจน”นายวิรัช กล่าว

นโยบายของพรรคที่ออกมาเชื่อว่าจะตรงใจกับประชาชน เพราะจะเข้าไปช่วยดูแลเรื่องค่าครองชีพให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2566

“พปชร.” เปิดซิงเกิ้ลใหม่ “ลุงป้อม 700” ลั่น แม้เหน็ดเหนื่อย แต่มุ่งมั่นพร้อมทำงานเพื่อคนไทย ดัน 3 นโยบายหลักให้ทุกคนอยู่ดีกินดี

“พปชร.” เปิดซิงเกิ้ลใหม่ “ลุงป้อม 700” ลั่น แม้เหน็ดเหนื่อย แต่มุ่งมั่นพร้อมทำงานเพื่อคนไทย ดัน 3 นโยบายหลักให้ทุกคนอยู่ดีกินดี

พรรคพลังประชารัฐ ได้ออกเพลงใหม่ ความยาว 3.58 นาที เพื่อประชาสัมพันธ์นโยบายต่าง ๆ ของพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มเงินสวัสดิการในบัตรประชารัฐ จำนวน 700 บาทต่อเดือน รวมถึงนโยบายการบริหารจัดการน้ำ เพื่อแก้ปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม และนโยบายการจัดที่ดิน เพื่อให้คนไทยมีที่อยู่อาศัย และที่ทำกิน ด้วยการ “ปฏิรูประบบที่ดิน คืนที่ทำกิน
ให้ประชาชน” โดย เร็วๆ นี้ จะมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอด้วย

เพลงดังกล่าวเนื้อหาเพลงมีใจความ ว่า

อยากได้อาไร มาหาลุงป้อมก่อน
หากว่าเดือดร้อน ลุงป้อมช่วยเหลือ
เหน็ดเหนื่อยสักเพียงใด ลุงป้อมไม่เคยเบื่อ
ไม่มีหวั่นไหว ลุงป้อมใจดี..ดี๊ดี

คอยดูแลทุกคน จะยากดีมีจนเท่าไร ลงมือทำด้วยใจ บอกไม่รู้แต่ต้องไม่แล้ง

นี่แหละลุงป้อม ลุงป้อมเจ็ดร้อย อย่างน้อยต้องมีกินทุกคน จะทำนาไร่ก็ได้ดอกผล รวยทั้งปี

นี่แหละลุงป้อม ลุงป้อมเจ็ดร้อย อย่างน้อยที่ทำกินต้องมีต้องทำให้ดี เพื่อประเทศไทย

อยากได้อาไร ให้เลือกลุงป้อมก่อน
เลือกพลังประชารัฐ ไม่มีขัดใจ ละกัน


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2566

ลุงป้อม’ ยืนยัน 2ปีไม่มีภัยแล้ง เดินหน้าช่วยชาวบ้านต่อเนื่อง สานต่อ”โครงการแก้มลิง” สร้างความมั่นคงน้ำ ประชาชนอยู่ดีกินดี

ลุงป้อม’ ยืนยัน 2ปีไม่มีภัยแล้ง เดินหน้าช่วยชาวบ้านต่อเนื่อง สานต่อ”โครงการแก้มลิง” สร้างความมั่นคงน้ำ ประชาชนอยู่ดีกินดี

พล.อ.ประวิตร ลงพื้นที่ จ.ตราด ติดตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ ช่วยเหลือ ปชช./รองรับ EEC ชาวบ้านดีใจ ได้ใกล้ชิด รับรู้ลุงทุ่มเท จริงใจ ไม่ท้อดทิ้งปชช. อยากให้เป็น นายกฯ

เมื่อ 20 ก.พ.66, 14.30น. พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ในฐานะ ผอ.กอนช. พร้อมด้วย รมว.ดีอีเอส ,รมว.ศธ. ,รมช.คลัง ,รมช.กห. และคณะ ได้เดินทางลงพื้นที่ต่อเนื่องจากช่วงเช้า (จ.จันทบุรี) เพื่อไปปฎิบัติราชการพื้นที่ จ.ตราดในช่วงบ่าย โดยเมื่อเดินทางถึง โครงการแก้มลิงหนองฉุงใหญ่ อ.เขาสมิง จ.ตราด มีนายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ ผวจ. ให้การต้อนรับจากนั้น ได้รับฟังการบรรยายสรุปภาพรวมสถานการณ์น้ำ จาก เลขาฯ สทนช. ต่อด้วยอธิบดีกรมชลประทาน เกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ และอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำได้รายงานผลการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำในพื้นที่ รวมทั้ง นายก อบต.ประณีต ได้รายงานผลการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ในระดับชุมชน ที่สำคัญโดยสรุป จ.ตราด พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก มีลำน้ำสำคัญ คือแม่น้ำตราด และมีฝนตกชุกเกือบตลอดปี มีโครงการสำคัญ ที่รัฐบาลสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำ เพื่อป้องกันน้ำท่วมและแก้ปัญหาภัยแล้ง ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ได้แก่โครงการแก้มลิงฉุงใหญ่ สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ 1,000 ไร่ 1,244 ครัวเรือนและยังช่วยชะลอการไหลของน้ำ บรรเทาการเกิดอุทกภัยพื้นที่ตอนล่าง ,โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูคลอง ทรายขาว-หนองหวีด- คุ้งกะปาง ช่วยพื้นที่เกษตรได้ 6,000 ไร่ รวมถึง โครงการ”เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคุณภาพน้ำบริโภค” และโครงการ”งานปิดกั้นคันดินกั้นน้ำเค็มชั่วคราว คลองเวฬุ-ท่าเสมอ” เป็นต้น

จากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้มอบนโยบายที่สำคัญให้ สทนช. ,กรมชลประทาน ,กรมทรัพยากรน้ำ ,จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งขับเคลื่อนโครงการน้ำ ให้แล้วเสร็จ ตามแผนงานโดยเร็ว รวมถึง เข้มงวด 10มาตรการ รองรับฤดูแล้ง เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำ อย่างยั่งยืน ตามแนวทางพระราชดำริ ร.9 และตรงกับความต้องการของประชาชน รวมทั้งเตรียมแหล่งน้ำสำรอง โดยเฉพาะให้เร่งรัดโครงการอ่างเก็บน้ำวังโตนด รองรับพื้นที่ EEC ซึ่งจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น และประเทศชาติ ต่อไป

พล.อ.ประวิตร ยังได้พบปะพี่น้องประชาชนที่มาให้การต้อนรับ อย่างอบอุ่น เป็นกันเอง สร้างความประทับใจให้กับประชาชน ข้าราชการ ท้องถิ่น แม้จะอยู่ห่างไกลก็เดินทางมาเยี่ยม โดยประชาชนรู้สึกดีใจที่ท่านไม่ถือตัว เข้าพบใกล้ชิดได้ง่าย ดูมีเมตตา จริงใจรักประชาชน แม้ชาวบ้านที่เดือดร้อนจะอยู่พื้นที่ห่างไกลก็ไม่เคยทอดทิ้ง จึงอยากให้ท่านเป็นนายกฯ คนต่อไป

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้มีโอกาสสร้างความเข้าใจ และยืนยันต่อพี่น้องประชาชน ถึงผลของการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ที่ผ่านมา ซึ่งตนได้ให้ความสำคัญเร่งด่วนต่อ การแก้ปัญหาเรื่องน้ำมาโดยตลอด ด้วยการมอบนโยบายกำหนดมาตรการรองรับฤดูแล้ง และเน้นปฏิบัติงานเชิงรุก มีการเตรียมความพร้อมก่อนถึงฤดูแล้ง เช่น การประเมินพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ ทั้งน้ำอุปโภค-บริโภคและการเกษตร การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ ซึ่งส่งผลทำให้ปี62-ปี65 มีพื้นที่ประกาศภัยแล้งลดลงตามลำดับ กระทั่งปี64-65 ไม่มีการประกาศจาก ปภ. ว่ามีพื้นที่ใดเลย ประสบภัยแล้งอีก

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2566

“รมช.อธิรัฐ” ร่วมพิธีเปิดการตรวจสอบประเทศสมาชิก (IMO Member State Audit Scheme, IMSAS) ยกระดับมาตรฐานทางทะเลของไทย

“รมช.อธิรัฐ” ร่วมพิธีเปิดการตรวจสอบประเทศสมาชิก (IMO Member State Audit Scheme, IMSAS) ยกระดับมาตรฐานทางทะเลของไทย

วันจันทร์ที่ 20 ก.พ.66 ณ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิด”การตรวจสอบประเทศสมาชิก (IMO Member State Audit Scheme, IMSAS)” โดยมีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประธานฯ และผู้บริหารกระทรวงคมนาคม ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมในพิธี

นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก IMO ตั้งแต่ปี 2516 และเข้าเป็นภาคีอนุสัญญากว่า 15 ฉบับ ประเทศไทยเคยเข้าตรวจประเมินภาคสมัครใจ เมื่อปี 2550 พบข้อบกพร่องของการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนด 6 รายการ และข้อสังเกตเพื่อการปรับปรุง 20 รายการ ต่อมา IMO ได้จัดทำโครงการตรวจประเมินประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลภาคบังคับ (IMSAS) เพื่อประเมินประเทศสมาชิกเกี่ยวกับการบริหารจัดการและการอนุวัติการตราสารขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศที่เป็นภาคบังคับต่าง ๆ โดย IMO จะเข้าตรวจประเมินภาคบังคับของประเทศไทย ระหว่างวันที่ 20-27 ก.พ.66

นายอธิรัฐ กล่าวว่า ตนในฐานะที่กำกับดูแลกรมเจ้าท่า ได้มีการติดตามความก้าวหน้าและขับเคลื่อนการดำเนินการเตรียมความพร้อมรับการตรวจอย่างต่อเนื่อง โดยกรมเจ้าท่าได้ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการปรับปรุงการปฏิบัติ และแก้ไขข้อบกพร่องและข้อสังเกตุที่พบจากการจำลองการตรวจสอบแบบเสมือนจริง เพื่อให้เป็นไปตามแผนและเป้าหมายที่กำหนด สอดคล้องกับพันธกรณีของอนุสัญญาระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ นายอธิรัฐ ได้แสดงความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีความพร้อมในรับการตรวจประเมินจาก IMO โดยมีเป้าหมายผลการตรวจในระดับดีเยี่ยม (Perfect) ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีมาตรฐานทางทะเลที่เป็นสากล สร้างความเชื่อมั่นเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ส่งเสริมและพัฒนาให้กิจการพาณิชยนาวีของไทยมีความเข้มแข็ง ขับเคลื่อนสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของไทยอย่างมั่นคงต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2566

“พล.อ.ประวิตร” ลุยแก้ปัญหาน้ำที่ดินทำกินภาคตะวันออก ขยายผลความสำเร็จเกษตรกรรุ่นใหม่ทั่วประเทศ

,

“พล.อ.ประวิตร” ลุยแก้ปัญหาน้ำที่ดินทำกินภาคตะวันออก
ขยายผลความสำเร็จเกษตรกรรุ่นใหม่ทั่วประเทศ

20 กุมภาพันธ์ 2566 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เดินทางลงพื้นที่ จ.จันทบุรี และ จ.ตราด ติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน และการบริหารจัดการน้ำพื้นที่ภาคตะวันออก โดยได้รับทราบความคืบหน้า การแก้ปัญหาที่ดินทำกิน ตามนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการแก้ปัญหาความยากจนลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยเฉพาะการกระจายการถือครองที่ดินทำกินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจนให้มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองและมีที่อยู่อาศัย พร้อมทั้งได้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี และตัวแทนเกษตรกร พร้อมทั้งเยี่ยมชมแปลงเกษตรวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรรุ่นใหม่พัฒนาและพบปะรับทราบปัญหาจากประชาชนในพื้นที่ อ.โป่งน้ำร้อน

พล.อ.ประวิตร ได้แสดงความขอบคุณ สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) หรือ บจธ. ที่ขับเคลื่อนแก้ปัญหาที่ดินทำกินอย่างมีพัฒนาการและก้าวหน้าในทุกด้าน โดยได้มอบสิทธิที่ดินทำกินแล้วในหลายพื้นที่ เช่น เชียงใหม่ นครราชสีมา และตาก โดยย้ำ ส่วนราชการในพื้นที่ และ บธจ. ขอให้ความสำคัญ ในการป้องกันการสูญเสียสิทธิที่ดินทำกินให้เกษตรกรจากการจำนองและการขายฝาก เพื่อให้เกษตรกรยังคงสิทธิในที่ดินทำกินของตนเอง ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนการใข้ประโยชน์ที่ดินให้เต็มศักยภาพ รวมทั้งการแก้ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนไปพร้อมกัน พร้อมทั้งชื่นชมและขอบคุณ สมาชิกวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรรุ่นใหม่ ต.ทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน ที่ประสบความสำเร็จเป็นต้นแบบในการพัฒนาศักยภาพ เป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ ( Young Smart Farmer ) ที่ทำเกษตรอินทรีย์ปลอดภัยแบบครบวงจร ตั้งแต่การผลิต แปรรูป การตลาดและจำหน่าย โดยร่วมกับสถาบันการศึกษา ภาครัฐและเอกชน ชุมชน มีส่วนร่วมพัฒนาการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเต็มศักยภาพและยั่งยืนร่วมกัน

พล.อ.ประวิตร ยังได้กล่าวถึงปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกินและน้ำ ที่จะรุนแรงมากขึ้น หากไม่ร่วมมือกันปกป้องรักษาไว้ โดยขอให้หน่วยงานในพื้นที่เข้าไปช่วยเหลือสนับสนุนส่งเสริมพี่น้องเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง ด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ เพื่อรักษาที่ดินให้สามารถส่งต่อลูกหลาน โดยเฉพาะพื้นที่ที่ประชาชนขอความช่วยเหลือ และขอให้ขยายผลความสำเร็จของต้นแบบ เกษตรกรรุ่นใหม่ ( Young Smart Farmer ) อ.โป่งน้ำร้อน ไปยังพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ เพื่อการพัฒนาที่เข้มแข็งยั่งยืนไปด้วยกัน พร้อมยืนยันว่า เราจะมุ่งมั่นเดินหน้าแก้ปัญหาที่ดินทำกินและน้ำ โดยกระจายการใช้ประโยชน์ให้ทั่วถึงเป็นธรรมกับทุกกลุ่ม ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน เพื่อให้เราสามารถหลุดพ้นกับดักความยากจนให้ได้ในที่สุด

จากนั้น บ่ายวันเดียวกัน พล.อ.ประวิตร ได้เดินทางต่อไปจ.ตราด เพื่อติดตามการบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออกในภาพรวม โดยเฉพาะการเตรียมการรับภัยแล้ง


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2566

“รมว.ชัยวุฒิ”ดันปรับกม.เปลี่ยนส่วยเป็นภาษีแก้ทุนสีเทา หนุนธุรกิจผับ บาร์เปิดหลังเที่ยงคืนเพิ่มรายได้เข้าประเทศ

,

“รมว.ชัยวุฒิ”ดันปรับกม.เปลี่ยนส่วยเป็นภาษีแก้ทุนสีเทา
หนุนธุรกิจผับ บาร์เปิดหลังเที่ยงคืนเพิ่มรายได้เข้าประเทศ

19 กุมภาพันธ์ 2566 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยถึง ปัญหาทุนสีเทา ที่มีการอภิปรายไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เป็นเรื่องสําคัญที่รัฐบาลเอาจริงเอาจังและจะดําเนินการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด ซึ่งควรเร่งดําเนินการ เพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน โดย จะมีการนำมาสู่การทำนโยบายพรรคพลังประชารัฐ ที่จะเสนอเข้าที่ประชุมพรรค เรื่องการแก้กฎหมายที่ล้าสมัย หรือที่ขัดกับวิถีชีวิตของประชาชน ต้องปรับให้ทันสมัย ให้ตรงกับหลักสากล เพื่อให้ธุรกิจไปได้ เปลี่ยนส่วยเป็นภาษี ซึ่งจะทำให้ได้เงินเข้ามาพัฒนาประเทศ ธุรกิจไม่ต้องมีการจ่ายส่วย ไม่มีการคอรัปชั่น
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องทุนสีเทาเป็นปัญหาที่มีมานานแล้วหลายสิบปีและเป็นที่รู้ผิดกฎหมาย และกลุ่มนี้มันจะเข้าหาผู้มีอำนาจเพื่อติดสินบน เพื่อให้มีการคุ้มครอง ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน ซึ่งพปชร.มองว่าแนวทางการแก้ไขปัญหานอกจากการปราบปรามอย่างจริงจังแล้ว บางเรื่องอาจจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อเปลี่ยนส่วยให้เป็นภาษีเพื่อสกัดกั้นช่องทางเรียกรับส่วยจากผู้มีอำนาจและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่นธุรกิจบริการบางประเภท ไม่ว่าจะเป็น ผับ บาร์ เป็นต้น ซึ่งควรเปิดขายได้มากกว่าเที่ยงคืน เช่นเดียวกับต่างประเทศ เพราะไทยไม่สามารถเปิดให้บริการได้ ทำให้เกิดการลักลอบจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยการจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะผิดกฎหมาย ทำให้ผู้ประกอบการต้องไปจ่ายส่วย เพื่อจะได้เปิดบริการเกินเวลาได้ เพื่อรองรับท่องเที่ยวต่างชาติ จึงเกิดทุนสีเทา เกิดธุรกิจผิดกฎหมายขึ้นมา

ดังนั้นบางเรื่องจึงจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายเปลี่ยนทุนสีเทาเป็นภาษี โดยต้องพิจารณาเปิดให้เฉพาะเรื่องที่ประชาชนรับได้ เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาทุนสีเทาแล้ว ยังสามารถนำเงินที่ได้จากธุรกิจมาใช้เพื่อพัฒนาประเทศ และการดูแลสวัสดิการของประชาชน ส่วนบางเรื่องเช่นยาเสพติด การค้ามนุษย์ ยังต้องจริงจังในการปราบปราม อาจต้องแก้ไขกฎหมายให้มีโทษที่หนักขึ้นอีกด้วย ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นได้อีกทางหนึ่ง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2566

“สันติ”ควง”ชัยวุฒิ”นำทัพเรียกคะแนนชาวกรุงเก่าเลือกผู้สมัคร 3 เขต พปชร ชูพัฒนาเศรษฐกิจ เพิ่มสวัสดิการยกระดับการศึกษาเท่าเทียมแก้ปัญหาน้ำยั่งยืน

,

“สันติ”ควง”ชัยวุฒิ”นำทัพเรียกคะแนนชาวกรุงเก่าเลือกผู้สมัคร 3 เขต พปชร
ชูพัฒนาเศรษฐกิจ เพิ่มสวัสดิการยกระดับการศึกษาเท่าเทียมแก้ปัญหาน้ำยั่งยืน

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566เวลา18.30น. นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ) ขึ้นเวทีปราศรัยเวทีย่อย พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ณ อำเภอท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ทีมโฆษกพรรค
,ภญ.นพวรรณ หัวใจมั่น พร้อมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทั้ง 3 เขตประกอบด้วย นายบุญเชิด ศิริยศ ว่าที่ผู้สมัคร เขต 1 จ.พระนครศรีอยุธยา,นายชณทัต ปัทะมะภูวดล ว่าที่ผู้สมัคร เขต 3 จ.พระนครศรีอยุธยา และ นายธนพล บุญเจริญกิจ ว่าที่ผู้สมัคร ว่าที่ผู้สมัครเขต2 จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นการนำเสนอนโยบายหลักสู่ พี่น้องประชาชนชาวอยุธยา ทั้งในเรื่อง การแก้ปัญหาที่ทำกิน ในแคมเปญ“มีเรา มีที่ทำกิน มีที่ดินไม่มีจน” การแก้ปัญหาน้ำ “มีเรา ไม่มีแล้ง มีน้ำ ไม่มีจน และ เพิ่มเงินสวัสดิการเป็น 700 บาท หรือ”ลุงป้อม 700” ซึ่งเป็นแคมเปญหลักในการหาเสียงเบื้องต้นในขณะนี้

โดยก่อนถึงกำหนดการปราศรัย คณะผู้บริหารจากพรรคพลังประชารัฐ พร้อมผู้สมัคร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทั้ง 3 เขต ได้ลงพื้นที่ขึ้นรถแห่รอบเมืองท่าเรือ ตั้งแต่บริเวณวัดสะตือ จนถึงตลาดท่าเรือ ตลอดระยะทาง 5.2 กิโลเมตร โดยมีประชาชนในพื้นที่ต่างยิ้มแย้ม โบกมือ ตะโกน พร้อมให้กำลังใจ มอบดอกกุหลาบแก่ว่าที่ผู้สมัคร พรรคพลังประชารัฐตลอดทั้งสองข้างทาง

นายสันติ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐได้ส่งว่าที่ผู้สมัครมารับใช้ชาวพระนครศรีอยุธยา 3 คน ก็ต้องของฝากให้พิจารณาผู้สมัครของเราด้วย เพื่อที่จะไปยกมือผลักดันให้มีการแต่งตั้ง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30

นายสันติ กล่าวต่อถึงนโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่จะมีการประกาศต่อไปก็คือ การเพิ่มศักยภาพความสามารถ ให้กับลูกหลานคนไทย เพราะขณะนี้นวัตกรรมโลกมันไปไกลมากแล้ว ถ้าเราจะทำการศึกษาเดิม ๆ เหมือน 200 ปีที่ผ่านมา เราก็จะตามไม่ทันโลก ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเยาวชนของเราที่เพิ่งจะจบการศึกษามา แทบจะไม่มีงานทำ หรือไม่สามารถที่จะทำเงินได้ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวด และน่าเป็นห่วงของประเทศชาติ ดังนั้น พรรคพลังประชารัญจึงมีนโยบายให้ทุกโรงเรียนสอนภาษาที่สอง ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ จีน หรือญี่ปุ่น ตั้งแต่ชั้นอนุบาล เพื่อที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของเยาวชน

“พล.อ.ประวิตรได้เน้นย้ำถึงเรื่องการดูแลพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง และผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่ากระทรวงการคลังได้เป็นผู้ดำเนินการโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรประชารัฐ ซึ่งพรรคพลังประชารัฐก็เป็นพรรคที่ได้คิด ดำริ ในเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งหัวหน้าพรรคของเราก็ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของเงินในบัตรที่จะช่วยเหลือประชาชนได้ จึงได้ออกมาเป็นนโยบาย 700 บาท สำหรับบัตรสวัสดิการประชารัฐ มุ่งทำมาเพื่อดูแล ผู้มีรายได้น้อย คนชรา กลุ่มเปราะบาง โดยนโยบายทั้งหมด พล.อ.ประวิตร ยืนยันว่าจะทำทันที แต่ก็ขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชนที่จะต้องเลือกว่าที่ผู้สมัครของเราเข้าไปนั่งสภาฯ เพื่อสนับสนุนให้ ให้เป็นนายกฯคนที่ 30 และ หากได้จัดตั้งรัฐบาล พร้อมผลักดันนโยบายตามที่ประกาศไว้ในทุกด้าน ทั้งดูแลสุขอนามัย การศึกษา โดยเน้นดูแลสตรีที่มีครรภ์ ให้มีเงินสวัสดิการดูแลตั้งแต่เดือนที่ 5 และดูแลเด็กแรกเกิดไปจนถึง 6. ขวบ รวมถึง ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.)ส่งเสริมให้มีแพทย์ 2 คน เพื่อดูแลสุขภาพของชุมชน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายเดินทางไปโรงพยาบาล เป็นต้น ”

ด้านนายชัยวุฒิ กล่าวว่า วันนี้พรรคพลังประชารัฐมาขอแนะนำว่าที่ตัวผู้สมัครจังหวัดอยุธยา ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่มีความรู้ ความสามารถ เป็นคนพื้นที่ พร้อมทํางานแก้ปัญหาที่คั่งค้างให้กับพี่น้องประชาชน ในพื้นที่จังหวัดอยุธยา มีทั้งพื้นที่เกษตรกรรม และพื้นที่อุตสาหกรรม มีความหลากหลายทางเศรษฐกิจ เป็นสังคมที่มีหลายกลุ่มอาชีพ ซึ่งพรรคพร้อมเข้ามาดูแลทุกกลุ่ม และที่สำคัญต้องกำจัดการคอรัปชั่น ขจัดวงจรการทุจริต อะไรที่อยู่ใต้ดินก็ให้ขึ้นมาอยู่บนดินทำให้ถูกกฎหมาย เพื่อดูแลพี่น้องประชาชน

“พรรคพลังประชารัฐจะเข้ามาดูแลเพื่อให้จังหวัดอยุธยา พัฒนา และที่สําคัญคือ พรรคของเราจะเน้นสร้างการลงทุนในจังหวัดอยุธยามากขึ้น ควบคู่กับการบริหารจัดการน้ำ ส่งเสริมการท่องเที่ยวมากขึ้น ก็จะทำให้การค้าขายรวมถึงเศรษฐกิจต่าง ๆ ดีขึ้น ผมเชื่อว่า คนรุ่นใหม่ที่เราคัดสรรมามีความมุ่งมั่นที่จะมาช่วยกันทํางานให้ชาวพระนครศรีอยุธยาอยู่ดีกินดีขึ้นอย่างแน่นอน”

ทั้งนี้บรรยากาศเวทีปราศรัยเพื่อแนะนำตัวว่าที่ผู้สมัคร ณ ตลาดสุวรรณเกลียวทอง เป็นไปด้วยบรรยากาศผู้สนับสนุนและกองเชียร์ ที่รอต้อนรับ เพื่อฟังการปราศรัย ในนโยบาย ของ พปชร. ที่จะเข้ามาดูแลทุกข์สุข ของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเรื่องน้ำ ที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค ให้ความสำคัญการแก้ปัญหาเรื่องน้ำในพื้นที่อยุธยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประชาชนชาวอยุธยา ต้องเสียสละ ให้เป็นพื้นที่รับน้ำมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น พปชร. ขออาสาเข้ามาเพื่อสานต่อการช่วยเหลือและ ผลักดันโครงการต่างๆ เพื่อบริการจัดการน้ำแบบยั่งยืน เพื่อให้พี่น้องมีน้ำกิน น้ำใจ ป้องกันน้ำท่วมอย่างเป็นรูปธรรม

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2566

“รอง หน.พปชร.” นำทีมเปิดรับสมาชิก “สร้างอนาคตไทย” อบอุ่น ผนึกความแข็งแกร่งร่วมหนุน พล.อ.ประวิตร นายกฯคนที่ 30

,

“รอง หน.พปชร.” นำทีมเปิดรับสมาชิก “สร้างอนาคตไทย” อบอุ่น ผนึกความแข็งแกร่งร่วมหนุน พล.อ.ประวิตร นายกฯคนที่ 30

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ร่วมกันแถลงข่าว “พรรคสร้างอนาคตไทย กลับบ้านพลังประชารัฐ” โดยมี ดร.อุตตม สาวนายน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คณะกรรมการบริหารพรรค และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงงาน โดยนายวิรัช กล่าวว่า เป็นการร่วมงานแถลงข่าวการคืนสู่เหย้า พรรคพลังประชารัฐ ของพรรคสร้างอนาคตไทย พร้อมเปิดตัวสมาชิกพรรค จำนวน 8 คน ที่จะเข้ามาร่วมกันทำงานของพรรค เพื่อเสริมสร้างให้พรรคมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และเมื่ออยู่บ้านหลังเดียวก็จะทำให้บ้านเข้มแข็งพร้อมเป็นแกนหลักในการจัดตั้งรัฐบาลที่จะส่งให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ต่อไป

สำหรับรายชื่อสมาชิกที่กลับเข้ามาร่วมงานกับพรรค จำนวน 8 คน ประกอบด้วย
1. นายประจวบเหมาะ ภักดีชน จ.นครศรีธรรมราช
2. พ.ต.อ.ภคพล ทวิชศรี จ.ชุมพร
3. นายกานต์ เพชรบูรณ์ จ.พังงา
4. นางปวีณา นิลแย้ม จ.ลพบุรี
5. นางศรัณยา สุวรรณพรหม จ.หนองบัวลำภู
6. นายมนตรี พึ่มชัย จ.อุดรธานี
7. นายประวัติ กองเมืองปัก จ.มหาสารคราม และ
8. นายทวีศักดิ์ ประทุมลี จ.มุกดาหาร

นายไพบูลย์ กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีในการต้อนรับอดีตสมาชิกพรรค ที่เคยอยู่ร่วมกับพลังประชารัฐมาก่อน และออกไปหาประสบการณ์ข้างนอก และทุกคนได้ระลึกถึงความอบอุ่นที่ทางหัวหน้าพรรคเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่เป็นเสาหลักและเป็นที่ศรัทธาของทุกคนในพรรค และมีความแน่วแน่ที่จะกลับมาร่วมงานกับพรรคอีกคครั้งภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร นับเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับพรรค และที่มาในวันนี้ทุกคนล้วนมีความสำคัญและมีความสามารถ

ดร.อุตตม กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เราอยู่กันมาสองพรรคการเมือง แต่วันนี้กลับมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว คือพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้เจตนารมณ์เดียวกันที่อยากเห็นบ้านเมืองมีความก้าวหน้าและเดินหน้าไปได้อีกครั้ง ซึ่งทุกคนจะเข้ามาช่วยกันใช้ทั้งกำลังสมอง กำลังกาย และใจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่จะทำงานเพื่อประเทศและเพื่อคนไทยต่อไป

ด้านนายสนธิรัตน์ กล่าวว่า การกลับมาในวันนี้ เป็นบรรยากาศเก่าๆ ที่คุ้นเคย และขอขอบคุณหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคทุกท่านที่ให้การต้องรับสมาชิกพรรคสร้างอนาคตไทยที่มาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ และในวันนี้เรามีบุคลากรที่มีคุณภาพของพรรค ที่ทำงานร่วมกันและในอนาคตจะมีสมาชิกทยอยเข้ามาร่วมทำงานอีกหลายท่าน ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ต่างๆ ของพรรค ทั้งทีมเศรษฐกิจ ทีมนโยบาย และงานด้านอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์กับพรรคเพื่อสร้างความเข้มแข็งในทุกนโยบายที่จะเกิดขึ้นของพรรค

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2566