โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: ข่าวประชาสัมพันธ์

สส.กทม.พปชร. วอนกรุงเทพจัดระเบียบแผงลอยบนทางเท้าถนนข้าวสาร เร่งออกมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวฟื้นฟูเศรษฐกิจสร้างรายได้เพิ่มให้ปชช.

, ,

สส.กทม.พปชร. วอนกรุงเทพจัดระเบียบแผงลอยบนทางเท้าถนนข้าวสาร
เร่งออกมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวฟื้นฟูเศรษฐกิจสร้างรายได้เพิ่มให้ปชช.

“ส.ส.กานต์กนิษฐ์” ขอกทม.จัดระเบียบรถเข็น-ร้านค้าแผงลอยริมฟุตบาทถนนข้างสารเป็นการด่วน เพื่อความสะอาด และป้องกันบางหน่วยงานเรียกเก็บส่วยค่าแผง พร้อมเสนอ ก.ท่องเที่ยวและกทม.กระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองกรุง หลังนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแห่เข้าไทยเพิ่มขึ้น

นางสาวกานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กทม.เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้หารือต่อที่ประชุมสภาฯ ว่า ได้เสนอให้ทางกรุงเทพมหานครและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ออกมาตรการกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยว ออกมาตรการกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นให้การท่องเที่ยวฟื้นฟูให้รวดเร็วยิ่งขึ้น หลังจากที่รัฐบาลเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบแล้ว โดยพื้นที่ กทม.เขต 1 เป็นเขตท่องเที่ยวที่สำคัญของกรุงเทพฯและของประเทศ เห็นได้ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มทยอยเข้ามาต่อเนื่อง ดั้งนั้นควรมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆเพื่อรองรับ เช่น ถนนคนเดิน งานแสงสีเสียง ในจุดท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น บางลำพู ตลาดน้อย ถนนข้าวสาร เป็นต้น

ขณะเดียวกัน มีผู้ประกอบการร้านค้าย่านถนนข้าวสาร ได้มีการร้องเรียน เพื่อขอความเป็นธรรมไปยังกรุงเทพมหานครและสำนักงานเขต เนื่องจากมีรถเข็นและร้านค้าแผงลอยจำนวนหนาแน่น ถือโอกาสมาตั้งวางขายของปิดบังหน้าร้าน จนลูกค้าไม่สามารถเดินหรือใช้ทางสัญจรเข้าออกร้านได้ ซึ่งผู้ประกอบการร้านค้าเหล่านี้ เพิ่งมีโอกาสได้ฟื้นฟูและเปิดกิจการจากช่วงสถานการณ์โควิดมาได้ไม่นาน แต่พบว่า มีรถเข็นและร้านแผงลอยมาตั้งปิดบัง ตลอดแนวหน้าร้านและเส้นทางสัญจรจนเกิดความแออัดแบบ ไร้ระเบียบ ลดคุณค่าความเป็นถนนข้าวสาร แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง สะอาด และน่าเดินเที่ยวชมเมืองเก่าของไทยไปโดยปริยาย

นางสาวกานต์กนิษฐ์ กล่าวว่า ได้เสนอแนวทางแก้ไข ให้เจ้าของอาคาร เป็นผู้ตัดสิน ใจว่าจะตกแต่งหน้าบ้านอย่างไร และให้การยอมรับให้ผู้ค้ารายย่อย สามารถตั้งขายของบริเวณหน้าร้านของตัวเองได้หรือไม่ เพื่อการจัดสรรพื้นที่ให้เกิดความเหมาะสม สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ให้มีการตั้งรถเข็นแผงลอยที่ผิดกฏหมาย รวมถึงเป็นการป้องปราม ป้องกันข้าราชการเทศกิจในแต่ละสำนักงานเขตอาจมีการเรียกรับเงินจากผู้ค้ารถเข็นแผงลอยเหล่านี้ไปอีกทางหนึ่งด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 15 กันยายน 2565

“พล.อ.ประวิตร” ชวนสร้างไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอด ชีวิต “ตรีนุช”เชิดชูเกียรติ “พระยาศรีสุนทรโวหาร”เป็นผู้ส่งเสริมการรู้หนังสือ

, ,

“พล.อ.ประวิตร”ชวนสร้างไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอด ชีวิต
“ตรีนุช”เชิดชูเกียรติ “พระยาศรีสุนทรโวหาร”เป็นผู้ส่งเสริมการรู้หนังสือ

วันนี้ ( 8 ก.ย. 2565) ที่ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพ็คฟอรั่ม เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานเฉลิมฉลองงาน “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ”ประจำปี 2565 หัวข้อ “การพลิกโฉมพื้นที่การเรียนรู้เพื่อการรู้หนังสือ” พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ กศน.ตำบล ให้แก่ผู้ได้รับการคัดเลือก จำนวน 169 รางวัล โดยมีนายชิเงรุ อาโอยากิ ผู้อำนวยการสำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เข้าร่วม

ทั้งนี้ได้อ่านสารของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือว่า “การรู้หนังสือเป็นพื้นฐานสำคัญในการศึกษาและแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาชีวิตและยกระดับความเป็นอยู่ของตนเองให้ดีขึ้น รวมทั้งช่วยขับเคลื่อนพัฒนาประเทศในมิติต่าง ๆ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ โดยมีเป้าหมายให้คนทุกช่วงวัยเป็นคนดี คนเก่ง มีคุณภาพ พร้อมสำหรับวิถีชีวิตในศตวรรษที่ 21 และมุ่งเน้นให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้แก่คนทุกช่วงวัย รวมทั้งผู้ที่ไม่รู้หนังสือ กลุ่มผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบางและชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้เป็นพลเมืองของชาติที่เข้มแข็งและเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศ แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะส่งผลทำให้รูปแบบการเรียนการสอนเปลี่ยนแปลงไป แต่ได้มีการนำนวัตกรรมด้านการจัดการเรียนการสอนมาใช้ในระบบการศึกษามากยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน ดังนั้น จึงเป็นการสร้างโอกาสในการขยายพื้นที่การเรียนรู้ให้เปิดกว้างและครอบคลุมทุกพื้นที่ให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม เพื่อขจัดความไม่รู้หนังสือและสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตต่อไป

นางสาวตรีนุช กล่าวเปิดงานว่า รัฐบาล ได้มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21 โดยหนึ่งในนโยบายหลักที่ใช้ขับเคลื่อน เพื่อการบรรลุเป้าหมาย คือ การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ และการพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย ซึ่งมีจุดเน้นสำคัญในการปฏิบัติ คือ การทำให้คนไทยทุกคนรู้หนังสือที่สอดคล้องกับยุคสมัยทั้งของสังคมไทยและสังคมโลก และ สามารถเข้าถึงโอกาสการเรียนรู้ที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตอย่างทั่วถึง ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDG) ที่องค์การสหประชาชาติกำหนดไว้ ซึ่งการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวได้ส่งผลให้ประเทศไทยมีอัตราการรู้หนังสือของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปอยู่ในเกณฑ์สูง คือกว่าร้อยละ 92 เป็นผู้ที่สามารถอ่านออก เขียนได้ความหมายของการรู้หนังสือ คือ เข้าใจภาษาในระดับที่เหมาะกับการติดต่อสื่อสาร ทำให้สามารถปฏิบัติงานตามหน้าที่ และความรับผิดชอบได้อย่างสมบูรณ์ตามระดับของสังคม

“ในโอกาสเดียวกันนี้ ดิฉันในฐานะประธานคณะกรรมการแห่งชาติ ว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ขอยกย่อง และเชิดชูเกียรติ “พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ในโอกาสที่องค์การยูเนสโกมีมติรับรองการร่วมเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญและเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของโลก ในวาระครอบรอบ 200 ปีชาตกาล ในปี 2565 ด้านการศึกษาและวัฒนธรรม พระยาศรีสุนทรโวหาร เป็นผู้ส่งเสริมการรู้หนังสือ โดยเป็นผู้นิพนธ์หนังสือแบบเรียนภาษาไทย ชุดแบบเรียนหลวง 6 เล่ม ซี่งเป็นแบบเรียนหลวงชุดแรกที่ใช้เป็นแบบหัดอ่านเบื้องต้นของนักเรียน และยังนิพนธ์หนังสือเสริมอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงประพันธ์คำนมัสการคุณานุคุณ และบทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ ผลงานของท่านมีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อการพัฒนาการศึกษา และการรู้หนังสือของไทย สอดคล้องกับแนวคิดขององค์การยูเนสโกในด้านการส่งเสริมการเข้าถึงการศึกษาให้แก่ทุกคน และการส่งเสริมการแสดงออกทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย การรู้หนังสือเป็นเครื่องมือในการเปิดโลกกว้างให้กับทุกๆ คน ซึ่งการมีความรู้ความเข้าใจผ่านการรู้หนังสือ จะเป็นเสริมสร้างความแข็งแกร่งทั้งพลังกาย พลังใจ และพลังสมอง ต่อการดำเนินชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมั่นคง และมีคุณค่า มีความสุข”นางสาวตรีนุช กล่าว.

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 กันยายน 2565

“รมช.คลัง” มั่นใจลงทะเบียนบัตรประชารัฐทั่วถึง พบวันเดียวปชช.ใช้สิทธิ์กว่า 2 ล้านราย

, ,

“รมช.คลัง” มั่นใจลงทะเบียนบัตรประชารัฐทั่วถึง พบวันเดียวปชช.ใช้สิทธิ์กว่า 2 ล้านราย

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หลังเปิดให้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐวันแรก ( 5 ก.ย. 65) ไปแล้ว และในวันนี้เป็นวันที่ 2 ของการเปิดลงทะเบียน มีประชาชนมาลงทะเบียนวันนี้วันเดียวเกือบ 2 ล้านคน และเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่แออัด เพราะกระทรวงการคลังได้วางระบบเป็นอย่างดี โดยคำนึงถึงภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนเพื่อให้เสียค่าเดินทางน้อยที่สุด โดยมีการตั้งจุดลงทะเบียนกระจายตามสถานต่างๆ อย่างทั่วถึง ทั้งที่อำเภอ คลังจังหวัด เทศบาล และที่ธนาคารของรัฐ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่และหน่วยรับลงทะเบียนจำนวนมาก สามารถอำนวยความสะดวกจนเป็นที่พอใจของประชาชน

ขณะนี้ยังไม่พบปัญหาเรื่องร้องเรียนใดๆ เพราะกระทรวงการคลังมีการประชุมและรับฟังปัญหาที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด และได้แก้ไขมาโดยตลอด โดยเฉพาะในเรื่องของการคัดกรองเรื่องคุณสมบัติของผู้สมัคร ซึ่งกระทรวงการคลังจะเร่งดูมาตรการต่างๆ เพื่อให้เกิดความสะดวกและแม่นยำมากขึ้น เพื่อให้พี่น้องประชาชนในระดับฐานรากได้รับการดูแลจากรัฐบาลอย่างทั่วถึง

“แม้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่ได้เป็นสิ่งที่จะทำให้พี่น้องประชาชนเกิดฐานะดีขึ้น แต่เป็นการช่วยพี่น้องประชาชนในช่วงวิกฤต ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถดำรงชีพได้ในระดับหนึ่ง และเกิดความเสมอภาค” นายสันติ กล่าว

ส่วนการตรวจสอบคุณสมบัตินั้น จะเริ่มตั้งแต่ ณ วันที่มีการกรอกเอกสาร หรือได้ลงทะเบียนทางออนไลน์ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งและจัดเก็บที่ศูนย์ข้อมูลของบัตรคนจน และมีระบบเอไอช่วยคัดกรองในแต่ละขั้นตอน อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังได้เตรียมความพร้อม หากพบว่าคุณสมบัติผู้สมัครไม่ผ่าน จะมีคณะกรรมการคอยรับเรื่องอุทธรณ์ต่างๆ เพื่อทำการตรวจสอบอีกครั้งอย่างเร็วที่สุด ซึ่งผู้อุทธรณ์สามารถอุทธรณ์ผ่านช่องทางออนไลน์หรือทางเว็บไซต์ หากสะดวกหรือใกล้ที่ไหนก็สามารถไปแจ้งที่จุดลงทะเบียนได้ ซึ่งจะได้รับการอำนวยความสะดวกเต็มที่

นายสันติ กล่าวว่า กระทรวงการคลังไม่ได้กำหนดจำนวนสิทธิ์ที่จะได้รับ ถ้ามีคุณสมบัตรผ่านก็จะได้รับสิทธิ์ทุกคน และเชื่อว่าจะมีผู้ที่ตกหล่นจากครั้งก่อนมาลงทะเบียนในรอบใหม่นี้ และจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน อย่างไรก็ดี หลังจากการเปิดประเทศไปแล้ว จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทย ทำให้นักธุรกิจและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่างๆ สามารถประกอบกิจการได้ จะเป็นส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐภายในประเทศ เชื่อว่าในปีถัดไปจำนวนผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐลดลงอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ รัฐบาลได้เตรียมงบประมาณจำนวนหนึ่ง รวมถึงกระทรวงการคลังได้เตรียมเงินในจุดต่างๆ หากขาดเหลืออะไรสามารถของบประมาณฉุกเฉินได้ เพราะมีเงินในกองทุนเกือบ 5 หมื่นล้านบาท เมื่อสิ้นงบประมาณ หากงบกลาง งบเหลือจ่าย และงบอื่นๆ ใช้ไม่หมด จะนำเงินเหล่านั้นมาอยู่ในกองทุนช่วยเหลือคนจน ฉะนั้นให้เชื่อว่าเรามีเงินเพียงพอแน่นอน ซึ่งจากการคาดการณ์และการรายงานของหน่วยจัดเก็บของกระทรวงการคลัง มีการเก็บเกินเป้าทุกหน่วยจัดเก็บ จึงสบายใจได้ว่าเรามีเงินที่เพียงพอในการดูแลพี่น้องประชาชนอย่างแน่นอน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 กันยายน 2565

“ชาวน่านได้รับการเยียวยา!!! ประชาชนส่งคำขอบคุณถึง“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ”

, ,

“ชาวน่านได้รับการเยียวยา!!! ประชาชนส่งคำขอบคุณถึง“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ”

ติดตามผลการแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน จ.น่าน และได้รับรายงานล่าสุดในพื้นที่การแก้ไขปัญหาเส้นทางสัญจร ซ่อมบำรุงสะพาน ที่ได้รับผลกระทบจากพายุมู่หลานเสร็จสิ้น ขณะนี้ประชาชาสามารถใช้สัญจรได้ตามปกติและปลอดภัยขึ้น หลังจากลงพื้นที่ตรวจราชการสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความช่วยเหลือและเยียวยาประชาชน ที่ได้ผลกระทบของพายุ”มู่หลาน” ในช่วงที่ผ่านมาภายหลังจากที่ พล.อ.ประวิตร ได้ลงพื้นที่ จ.น่าน เมื่อ 22 ส.ค.65 เพื่อตรวจเยี่ยมพร้อมให้กำลังใจชาวบ้านในพื้นที่ และแก้ปัญหาเร่งด่วนในการซ่อมบำรุงเส้นทางการสัญจรที่ชาวบ้านใช้เป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะมีสะพานข้ามลำน้ำที่ชำรุด และอาจเกิดอันตรายได้หากไม่รีบแก้ไข ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร จึงได้สั่งการ ปภ. กระทรวงมหาดไทย ให้เร่งแก้ปัญหาโดยด่วน และรับปากกับชาวบ้านว่าจะรีบดำเนินการโดยเร็ว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนชาวบ้าน ต่อไป

ล่าสุด พล.อ.ประวิตร ได้รับรายงานจากสำนักงานป้องกันบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จังหวัดน่าน ว่าได้ดำเนินการติดตั้งสะพานเหล็กชั่วคราว (Bailey Bridge) เรียบร้อยแล้ว โดยศูนย์ ปภ.เขต 15 จ.เชียงราย ได้นำสะพานเหล็กชั่วคราวดังกล่าว มาติดตั้งแล้วเสร็จ ตั้งแต่ 4 ก.ย.65 พร้อมใช้งาน ทำให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ สามารถใช้สัญจรไป-มาได้ตามปกติแล้ว ซึ่งเป็นไปตามสัญญาที่ให้ไว้กับชาวบ้าน


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 กันยายน 2565

‘อธิรัฐ’สั่งเจ้าท่าตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ พร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชม.

‘อธิรัฐ’สั่งเจ้าท่าตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ พร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชม.

,

นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศแจ้งเตือน ฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ ทั่วประเทศไทย และมีคลื่นลมแรงบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน ร่องมรสุมกำลังแรง พาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้นส่งผลให้ทั่วประเทศมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก

นายอธิรัฐ กล่าวว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยความห่วงใยจากนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ตนจึงได้สั่งการให้กรมเจ้าท่า โดยสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค ที่ 1-7 และ สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษา ทางน้ำ 1-8 ทั่วประเทศ เร่งตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กรมเจ้าท่า พร้อมเจ้าหน้าที่ รถ เรือ อุปกรณ์การช่วยเหลือผู้ประภัย โดยให้จัดเจ้าหน้าที่รับแจ้งเหตุประจำศูนย์และให้กำชับเจ้าหน้าที่เตรียมความพร้อมสนับสนุนให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง และออกประกาศให้ระมัดระวังการเดินเรือ ตรวจสอบความพร้อมของตัวเรือ เครื่องยนต์เรือ ตลอดจนเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ประจำเรือและอุปกรณ์ช่วยชีวิตต่าง ๆ ให้พร้อมใช้งานและให้ผู้โดยสารสวมเสื้อชูชีพตลอดเวลาขณะอยู่ในเรือ

นายอธิรัฐ กล่าวอีกว่า ตนได้กำชับให้หน่วยงานดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยทันทีในกรณีที่ได้รับการร้องขอ กรณีเกิดเหตุภัยพิบัติ ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบคมนาคมขนส่ง โดยให้ดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ในเบื้องต้นโดยเร็วที่สุด หากเกิดสถานการณ์รุนแรงเกินที่จะรับมือได้ให้เร่งประสานความร่วมมือจากจังหวัด สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที พร้อมรายงานให้ผู้บริหารระดับสูงทราบ เพื่อพิจารณาสั่งการและให้การสนับสนุนได้อย่างเป็นปัจจุบันต่อไป

‘อธิรัฐ’สั่งเจ้าท่าตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ พร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชม. ‘อธิรัฐ’สั่งเจ้าท่าตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ พร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชม. ‘อธิรัฐ’สั่งเจ้าท่าตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ พร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชม. ‘อธิรัฐ’สั่งเจ้าท่าตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ พร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชม.

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 กันยายน 2565

“รมว.สุชาติ”เปิดตลาดแรงงานไทยในฟินแลนด์ ตั้งคณะทำงานทวิภาคีผลักดันมาตรการคุ้มครองคนงาน

, ,

“รมว.สุชาติ”เปิดตลาดแรงงานไทยในฟินแลนด์
ตั้งคณะทำงานทวิภาคีผลักดันมาตรการคุ้มครองคนงาน

วันนี้ (6 กันยายน 2565) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงาน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ น.ส.ชวนาถ ทั่งสัมพันธ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ สาธารณรัฐฟินแลนด์ ในโอกาสเดินทางเยือนสาธารณรัฐฟินแลนด์เพื่อหารือข้อราชการด้านแรงงาน ณ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ ในประเด็นต่างๆ ที่สำคัญ โดยเฉพาะด้านการผลักดันให้แรงงานไทยที่เดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์ ได้มีสัญญาจ้างงานกับนายจ้าง และได้รับการคุ้มครอง สิทธิประโยชน์ และสวัสดิการตามกฎหมาย สนับสนุนด้านการประสานความร่วมมือระหว่างสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ และกระทรวงแรงงานไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการผ่านกลไกคณะทำงาน (Working Group) ร่วมกัน
ทั้งนี้เพื่อให้การผลักดันให้แรงงานไทยที่ไปทำงานในฟินแลนด์ ได้รับความคุ้มครองและสวัสดิการตามกฎหมาย ทั้งแรงงานมีทักษะและแรงงานเก็บผลไม้ป่าตามฤดูกาล และส่งเสริมให้แรงงานไทยไปทำงานในฟินแลนด์มากขึ้น ขยายตลาดแรงงานไทยในฟินแลนด์ และการมีคณะทำงานร่วมกันระหว่างสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮลซิงกิ กับกระทรวงแรงงานในการบริหารจัดการและประสานงานเรื่องแรงงานไทยในฟินแลนด์

นายสุชาติ กล่าวว่า การเดินทางมาดูงานในครั้งนี้ ยังได้พบปะภาคเอกชนทั้ง 3 ท่าน คือ คุณคาริเซ บาริกอร์ท ประธานกรรมการบริหาร คุณอิรมา อูริคังกาส ที่ปรึกษาอาวุโส การริเริ่มทางยุทธศาสตร์ และ คุณไอเซค กาฟุงเคล ผู้อำนวยการด้านการดึงดูดทรัพยากรมนุษย์ศักยภาพสูง ซึ่งเป็นผู้บริหารของเฮลซิงกิ พาร์ทเนอร์ส โดยได้หารือการนำแรงงานไทยเข้ามาทำงานในฟินแลนด์ในสาขาที่ขาดแคลน ที่สำคัญทางสถานทูตจะให้ความร่วมมือในการพาตัวแทนภาคเอกชนเหล่านี้ได้ไปศึกษาดูงานที่ประเทศไทยภายในเดือนตุลาคมนี้ด้วย เนื่องจากประเทศไทยมีความพร้อมและมีศักยภาพในการจัดส่งแรงงานที่มีทักษะฝีมือเข้ามาทำงานในฟินแลนด์อยู่แล้ว ในปี 2564 และ ปี 2565 กระทรวงแรงงานได้มีการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในฟินแลนด์จำนวน รวมทั้งสิ้น 7,902 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเกษตรกร คนเก็บผลไม้ป่า คนงานในฟาร์ม คนทำสวน รองลงมาเป็นกุ๊ก พ่อครัวอาหารไทย ซึ่งในแต่ละปีแรงงานเหล่านี้สามารถสร้างรายได้กลับเข้าสู่ประเทศปีละไม่ต่ำกว่า 700 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ฟินแลนด์ประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานเป็นจำนวนมาก เนื่องจากกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ ประกอบกับเมืองเฮลชิงกิ ได้เปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมในหลายภาคส่วนเข้ามาลงทุนเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางธุรกิจและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ทำให้มีความต้องการแรงงานที่มีทักษะในสาขาต่างๆ เป็นจำนวนมาก อาทิ สายงานด้านไอที โปรแกรมเมอร์ ผู้ดูแลผู้สูงอายุ เทคโนโลยีอัจฉริยะ เป็นต้น


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 6 กันยายน 2565

“พล.อ.ประวิตร” ลงพื้นที่จ.กระบี่พัฒนาแหล่งน้ำ หนุนภาคเกษตรยกระดับรักษาเสถียรราคาพืชเศรษฐกิจ

, ,

“พล.อ.ประวิตร” ลงพื้นที่จ.กระบี่พัฒนาแหล่งน้ำ
หนุนภาคเกษตรยกระดับรักษาเสถียรราคาพืชเศรษฐกิจ

วันที่ 5 ก.ย. 2565 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และคณะผู้บริหารได้เดินทางลงตรวจราชการพื้นที่ จ.กระบี่ ติดตามสถานการณ์และการคาดการณ์น้ำในพื้นที่ภาคใต้ การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร รวมทั้งติดตามสถานการณ์ปาล์มน้ำมันในพื้นที่ โดยมี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมคณะ โดยมีส.ส.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้การต้อนรับ พร้อมรับฟังการบรรยายสรุป จาก นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ นายสุรสีห์ กิตติมณฑลเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการ ส.ป.ก. นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ณ ศาลากลางจังหวัด เพื่อสรุปภาพรวม ปริมาณฝน จ.กระบี่ สูงกว่าปี 64 ร้อยละ 8 โดยรับทราบ ความคืบหน้าโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ การจัดสรรที่ดินทำกินของ ส.ป.ก. การรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันปาล์มและความสมดุล ซึ่งสร้างมูลค่าเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่มากกว่า 1 แสนล้านบาท ต่อปี

พล.อ.ประวิตร’ กล่าวแสดงความเป็นห่วง สถานการณ์ฝนตกหนักสะสมต่อเนื่องในหลายพื้นที่ภาคใต้ และปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกร โดยย้ำสั่งการ สทนช. กำกับงานเชิงรุก 13 มาตรการรับมือฤดูฝน และแผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำท่วมปี 65 และให้กรมชลประทาน วางแผนจัดการน้ำร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ และติดตามเฝ้าระวังและให้การช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับการดูแลพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่ ขอให้เร่งโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนด เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้ ประกอบกิจการเกษตรหาเลี้ยงครอบครัวได้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะปัญหาเกษตรกรชาวสวนปาล์ม ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งขับเคลื่อนตามมาตรการที่ กนป.กำหนด พร้อมย้ำ ต้องสร้างการรับรู้ให้ชาวสวน ตัดผลปาล์มที่สุกเต็มที่ กวดขันลานเทและโรงสกัดมิให้ฉวยโอกาสกดราคารับซื้อ การตรวจสอบติดตั้งมิเตอร์และระบบรายงานข้อมูล ช่วยพัฒนาพันธุ์ปาล์มน้ำมันที่มีคุณภาพ กวดขันจับกุมเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าปลอม รวมทั้งน้ำมันเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน และการแก้ปัญหาปุ๋ยราคาแพง การสนับสนุนการใช้น้ำมัน B 100 ทดแทนน้ำมันดีเซลในภาคการเกษตร รวมทั้งส่งเสริมมาตรการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์แปรรูป 8 ชนิด “สู่พืชเศรษฐกิจแห่งอนาคต ที่ยั่งยืนระดับระดับโลก”

พล.อ.ประวิตร ได้พบปะกับ พี่น้องเกษตรกรชาวสวนปาล์ม และย้ำถึง การเดินทางมาวันนี้ ตั้งใจมารับฟังปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรด้วยตัวเอง ยืนยันรัฐบาล ติดตามและให้ความสำคัญ แก้ปัญหาสถานการณ์น้ำมันปาล์มและปาล์มน้ำมันมาต่อเนื่อง ซึ่งตนในฐานะประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ได้ผลักดันแก้ปัญหามาต่อเนื่อง โดยพยายามลดต้นทุนด้านราคาให้ดีขึ้น ออกมาตรการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ทั้งผลักดันนำไปผลิตกระแสไฟฟ้า ไบโอดีเซล รวมทั้งการส่งออกและเร่งมาตรการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์แปรรูป 8 ชนิด โดยราคาดีขึ้น สูงกว่าราคาประกันรายได้จากราคาเฉลี่ย ปี 62 กิโลกรัมละ 3 บาท เป็น 6 บาทในปี 64 และ คาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ 7.50 บาท

อย่างไรก็ตาม ได้ย้ำ การแก้ปัญหาต้องไม่ให้ผู้บริโภคเดือดร้อน โดยเฉพาะในปีหน้า 66 ประเทศไทย เราจะก้าวไปด้วยกัน “สู่การเป็นศูนย์กลางผลิตน้ำมันอากาศยานชีวภาพให้กับอากาศยาน” เพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศในภูมิภาคนี้ พร้อมย้ำ รัฐบาลจะดูแลพี่น้องเกษตรกรให้ดีที่สุด ด้วยรอยยิ้มถ้วนหน้า

พล.อ.ประวิตร’ ได้เดินทางไป ตรวจเยี่ยมโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร พื้นที่ดำเนินการ ส.ป.ก.กระบี่ พร้อมมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ ส.ป.ก.4-01 แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยย้ำรัฐบาล ตั้งใจขับเคลื่อนแก้ปัญหาเรื่อง ที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน พร้อมกำชับ ขอให้ ส.ป.ก.กระบี่ ต้องเร่งจัดสรรที่ดินทำกินให้ประชาชนตามแผนงานที่กำหนด และเร่งโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ไปพร้อมๆกัน โดยเฉพาะการสร้างสระขนาดใหญ่ในพื้นที่ เชื่อมต่อกับระบบชลประทานกระจายนำ้ออกไปให้ทั่วถึง เพื่อแก้ปัญหาที่ดินทำกิน เสริมความเข้มแข็ง ให้ประชาชนเข้มแข็งสามารถดูแลตนเองได้


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 3 กันยายน 2565

ชัยวุฒิ เผย “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่

ชัยวุฒิ เผย “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่

,

วันนี้ (4 ก.ย.65) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวระหว่างลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนและติดตามการดำเนินงานของกรมอุตุนิยมวิทยา ที่จ.สงขลา โดยเปิดเผยว่าในวันพรุ่งนี้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี จะลงพื้นที่ตรวจราชการ และติดตามสถานการณ์น้ำที่ จ.กระบี่ และตรวจเยี่ยมโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร และปัญหาที่ดินทำกิน ซึ่งเป็นภารกิจหลักที่ พลเอกประวิตร ให้ความสำคัญรวมทั้งการพัฒนาเมือง และการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ในทุกจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ มี ส.ส.ของรัฐบาลอยู่จำนวนมาก ทำให้มีส่วนช่วยทำงานในการนำข้อเสนอแนะของประชาชน มาช่วยพัฒนา แก้ไขปัญหาต่างๆให้ตรงตามความต้องการของพีน้องประชาชนในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามว่าช่วงนี้พลเอกประวิตร ลงพื้นที่มากเป็นพิเศษและมีกระแสฟีเวอร์อย่างมาก เป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองหรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่าพลเอกประวิตรเป็นคนแข็งแรงอยู่แล้ว และเป็นคนที่มุ่งมั่นตั้งใจทำงานมาอยู่โดยตลอด แต่ที่ผ่านมาโดยบทบาทการเป็นรองนายกฯอาจจะไม่ได้ลงพื้นที่เยอะ ก็ต้องสลับกันลงพื้นที่กับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้เมื่อพลเอกประยุทธ์ หยุดปฏิบัติหน้าที่ ทำให้พลเอกประวิตร ต้องลงพื้นที่เยอะกว่าปกติเพื่อชดเชย ระหว่างที่ พลเอกประยุทธ์ หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพื่อร่วมกันทำงานดูแลพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่และมีความต่อเนื่อง และเชื่อว่าการลงพื้นที่ พรุ่งนี้ของพลเอกประวิตร จะได้รับแรงเชียร์ที่ดีอย่างแน่นอนเพราะแฟนคลับ พลเอกประวิตร และพลเอกประยุทธ์ มีเยอะอยู่แล้ว

“การลงพื้นที่ มีข้อดี คือจะได้ไปพบพี่น้องประชาชน ได้พบกับตัวแทนชาวบ้าน มีปัญหามีอะไรก็มาร้องเรียนได้ หรือมีข้อเสนอแนะอย่างจะพัฒนาอะไรรัฐบาลจะได้รับฟังและรีบดำเนินการให้เพื่อให้ตรงกับความต้องการกับประชาชน ” รัฐมนตรีชัยวุฒิกล่าว

นายชัยวุฒิ ยังกล่าวถึงการเตรียมพร้อมเลือกตั้ง ในพื้นที่ภาคใต้ของพรรคพลังประชารัฐโดยเฉพาะที่ จ.สงขลาว่า ขณะนี้พรรคพลังประชารัฐ มี ส.ส. ที่ จ.สงขลา ถึง 4 คน เชื่อว่า สิ่งที่รัฐบาล และพลเอกประวิตร ทำมา จะทำให้พรรคพลังประชารัฐ ยังคงได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน ส่วนที่พรรคร่วมรัฐบาล อื่นๆจะประกาศมาปักธง แย่งพื้นที่ จ.สงขลา ด้วยนั้น ก็เป็นสิทธิของแต่ละพรรคแต่ช่วงนี้ พรรคพลังประชารัฐอย่างเน้นที่การทำงานไม่ได้ต้องการสร้างประเด็นทางการเมืองหรือมาหาเสียงกัน เพราะถึงเวลาเลือกตั้งเชื่อว่าคนใต้ ยังรักลุงตู่ และรักลุงป้อม อยู่เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยน และคิดว่าจะรักมากกว่าเดิมด้วย เพราะเรามีผลงานในพื้นที่จำนวนมากที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งพี่น้องคนใต้รู้ดีกันอยู่แล้ว มองหน้าก็รู้ใจ

ชัยวุฒิ เผย “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ ชัยวุฒิ เผย  “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม  โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ ชัยวุฒิ เผย  “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม  โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ ชัยวุฒิ เผย  “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม  โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ ชัยวุฒิ เผย  “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม  โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ ชัยวุฒิ เผย  “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม  โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ ชัยวุฒิ เผย  “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม  โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ ชัยวุฒิ เผย  “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม  โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ ชัยวุฒิ เผย  “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม  โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์​พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 กันยายน 2565

“พล.อ.ประวิตร”สายตรง”ชัชชาติ” ตามผลป้องกันน้ำเข้ากรุง ผู้ว่าขอประสานร่วมกำจัดผักตบเพื่อเร่งระบายน้ำ

, ,

“พล.อ.ประวิตร”สายตรง”ชัชชาติ” ตามผลป้องกันน้ำเข้ากรุง
ผู้ว่าขอประสานร่วมกำจัดผักตบเพื่อเร่งระบายน้ำ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์ถึงนาย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อติดตามผลการทำงานในการป้องกันน้ำท่วม ในพื้นที่ กทม. ที่ได้มีการจัดส่งกำลังทหารเข้าร่วมขนกระสอบกระทรายเพื่อวางแนวป้องกันน้ำท่วม ตามจุดต่างๆ

นอกจากนี้ในการหารือทาง กทม.ได้ขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลในการเพิ่มเติมในการประสานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อการกำจัดผักตบชวา ซึ่งกีดขวางทางระบายน้ำในช่วงฤดูฝน ที่อาจส่งกระทบต่อความรวดเร็วในการระบายน้ำและอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมขังได้

ทั้งนี้ พลเอกประวิตร ได้สั่งการและมอบหมายให้กรมโยธาธิการและผังเมือง ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมชลประทาน กรมเจ้าท่า และกรุงเทพมหานคร เร่งกำจัดผักตบชวาทั้งแม่น้ำสายหลักและสายรอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำช่วงน้ำหลากทำได้เร็วที่สุด

อย่างไรก็ตามยังได้มอบหมายให้ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กระทรวงกลาโหม (ศบภ.กห.) จัดกำลังพลปฏิบัติการร่วมกับกรุงเทพมหานคร ซึ่งขอรับการสนับสนุนกำลังพลและอุปกรณ์ในการกำจัดผักตบชวาในแม่น้ำเจ้าพระยา คลองเส้นทางระบายน้ำหลัก และคลองสาขาในพื้นที่เขต กทม. รวม 13 เขต ประกอบด้วย เขตประเวศ คลองภาษีเจริญ คลองสนามชัย เขตหนองจอก เขตลาดกระบัง เขตคลองสามวา เขตประเวศ เขตมีนบุรี เขตสะพานสูง เขตสายไหม เขตบางเขน เขตหนองแขม และเขตบางขุนเทียน
ขณะนี้ทาง ศบภ.กห.ได้จัดมอบหน่วยทหารประจำทุกเขตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยในวันที่ 5-6 ก.ย.นี้จะเริ่มดำเนินการในพื้นที่เขตบางเขน คลองหนองบัว และวางแผนดำเนินการให้ครอบคลุมทุกเขตให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุดต่อไป

สำหรับการดำเนินงานของ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ที่มีการปฎิบัติงานตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ฤดูฝนและได้รายงานผลความก้าวหน้าตามมาตรการที่ 6 ขุดลอกคูคลองและกำจัดผักตบชวา เพื่อไม่ให้กีดขวางการระบายน้ำ ป้องกันการเกิดอุทกภัย และน้ำท่วมขัง ซึ่งเป็นไปตาม 13 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 256 พบว่า ในภาพรวมหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมโยธาธิการและผังมือง กรมเจ้าท่า กรมชลประทาน กรุงเทพมหานคร องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ได้เร่งรัดดำเนินการกำจัดผักตบชวาทั้งแม่น้ำสายหลัก สายรอง คลองสาขาต่าง ๆ มีการดำเนินการไปแล้วประมาณ 7 ล้านตัน ซึ่ง สทนช. จะมีการติดตาม เร่งรัด ประสานอำนวยการจุดที่เป็นปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการตาม 13 หลักมาตรการอย่างใกล้ชิดต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 3 กันยายน 2565

“พล.อ.ประวิตร” บูรณาการบริหารจัดการที่ทำกินเพื่อ ปชช. ผนึกหน่วยงานร่วมแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ทำกินสู่ความยั่งยืน

, ,

“พล.อ.ประวิตร” บูรณาการบริหารจัดการที่ทำกินเพื่อ ปชช.
ผนึกหน่วยงานร่วมแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ทำกินสู่ความยั่งยืน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานคณะอนุกรรมการนโยบาย แนวทาง มาตรการการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน โดย พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบ (ร่าง)หลักเกณฑ์การมอบหมายหน่วยงานตามผลการจำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดิน ซึ่งแบ่งเป็น 4ประเภท ประกอบไปด้วย 1)ประเภทพื้นที่ป่าไม้ ให้กรมป่าไม้ เป็นผู้ดำเนินการ 2)ประเภทพื้นที่ป่าชายเลน ให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นผู้ดำเนินการ 3)ประเภทพื้นที่เกษตรกรรม ให้ ส.ป.ก.เป็นผู้ดำเนินการและ 4)ประเภทพื้นที่ชุมชนและ/หรือพื้นที่ที่ถูกใช้ประโยชน์โดยกิจกรรมนอกเหนือหน้าที่รับผิดชอบของ ส.ป.ก.ให้กรมธนารักษ์ เป็นผู้ดำเนินการ

นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เห็นชอบการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ตามนโยบารัฐบาลในพื้นที่ป่าไม้ถาวร โดยแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยทำกินในพื้นที่ป่าไม้ถาวร รวมถึงการเสนอขอยกเลิกมติ ครม.เมื่อ 22 เม.ย.40 เรื่อง มาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับพื้นที่ป่าไม้ ในภาพรวมทั้งประเทศ ของกรมป่าไม้

อย่างไรก็ตามที่ประชุมยังได้เห็นชอบ ในการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศ ปีพ.ศ. 2566-2570 ซึ่งประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่
1) การส่งเสริมความยั่งยืนของการจัดการที่ดินและระบบนิเวศ
2) การสร้างดุลยภาพของการใช้ประโยชน์ที่ดินฯตามศักยภาพ
3) การพัฒนาขีดความสามารถในการใช้ประโยชน์ที่ดินฯ
4) การกระจายการถือครองที่ดิน อย่างเป็นธรรม และ
5) การบูรณาการและการสร้างการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการที่ดินฯ ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เร่งดำเนินแผนงานต่างๆ ที่ผ่านความเห็นชอบแล้ว ให้บรรลุวัตถุประสงค์ เพื่อแก้ปัญหาที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย ผู้ยากไร้/เกษตรกร

หลังจากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ภายใต้โครงการบูรณาการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน ที่จำเป็นในพื้นที่ คทช. ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล ที่ต้องการแก้ไขปัญหาความยากจน และความเหลื่อมล้ำ ปัญหาการขาดที่ดินทำกินให้พี่น้องประชาชนผู้ยากไร้ ได้มีสิทธิ์ทำกินและอยู่อาศัยในที่ดินของรัฐ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และถูกต้อง ตามกฏหมาย โดยจัดเป็นลักษณะแปลงรวม มิให้เป็นกรรมสิทธิ์ แต่อนุญาตให้ทำประโยชน์เป็นกลุ่มหรือชุมชน รวมทั้งเป็นการป้องกันปัญหาการบุกรุก ที่ดินของรัฐด้วย ซึ่งมีพี่นัองประชาชนที่ได้รับการช่วยเหลือแล้ว กว่า 73,000 คน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 กันยายน 2565

“อรรถกร” แจงหลังสภาผ่าน พ.ร.บ. กยศ. ชี้ ส.ส.พปชร. โหวตให้ความเห็น ม.17 ในร่าง พ.ร.บ.กยศ. ชี้เป็นเรื่องน่ายินดี ขณะสมาชิกถกประเด็นดอกเบี้ยอย่างกว้างขวาง ย้ำความจำเป็นต้องมี เพื่อรักษาสภาพคล่อง ให้กองทุนเดินต่อไปได้

, ,

“อรรถกร” แจงหลังสภาผ่าน พ.ร.บ. กยศ. ชี้ ส.ส.พปชร. โหวตให้ความเห็น ม.17 ในร่าง พ.ร.บ.กยศ. ชี้เป็นเรื่องน่ายินดี ขณะสมาชิกถกประเด็นดอกเบี้ยอย่างกว้างขวาง ย้ำความจำเป็นต้องมี เพื่อรักษาสภาพคล่อง ให้กองทุนเดินต่อไปได้

นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) และทีมโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ชี้แจงภายหลัง สภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) (ฉบับที่ …) พ.ศ. … ว่าวันนี้ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ทำหน้าที่ในการเสนอความเห็นอย่างกว้างขวาง

โดยเฉพาะต่อมาตรา 17 ที่สาระสำคัญ อยู่ที่เรื่องของดอกเบี้ย ซึ่งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และมีกรรมาธิการหลายท่าน ให้ความเห็นที่แตกต่างกันซึ่งมีทั้งไม่คิดดอกเบี้ยเลย หรือ 0% หรือสงวนอยู่ที่ 1% หรือแม้กระทั่งจากตัวแทนของ กยศ. ก็ให้คงดอกเบี้ยไว้ที่ 2% และกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ที่เสนอร่างต่อสภา ก็เสนอที่ 0.25 % เช่นเดียวกับวิปรัฐบาลส่วนใหญ่ ซึ่งขอยืนยันว่าเป็นการหารือบนหลักเหตุและผล ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด ดังนั้นการลงมติของสภาฯ วันนี้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ทุกฝ่ายเสนอความต้องการ และจุดยืนของตัวเอง ไม่ได้มองว่า ร่างที่กมธ เสียงข้างมากเสนอในมาตรา 17 ไม่ได้รับความเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ในสภา จะเป็นปัญหา แต่นี่คือความต้องการของเสียงส่วนใหญ่ ว่าดอกเบี้ยเท่าไหร่ จะเป็นจุดที่ดีที่สุด ซึ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด

นายอรรถกร ระบุว่า ในการประชุมพรรคพลังประชารัฐ
ประเด็นที่เราเป็นห่วง คือการปล่อยกู้กองทุน นั้น ควรมีดอกเบี้ยแม้จะเล็กน้อย เพื่อที่จะให้นักเรียน ลูกหลานคนรุ่นหลัง สามารถได้ใช้สิทธิ์ต่อไปด้วย และไม่อยากให้กองทุนนี้ หมดสภาพคล่องไป จึงเป็นเหตุผลหลัก ที่เรายืนยันที่ควรจะมีดอกเบี้ย ไม่ว่าจะมีมาก หรือน้อย และเชื่อว่าดอกเบี้ยที่ 0.25% ไม่ได้เป็นภาระมากเกินไป สำหรับผู้ที่กู้ยืม

รวมทั้งเราต้องพิจารณาให้รอบด้าน คำนึงถึงคนทุกกลุ่ม รวมทั้งคนที่เคยกู้ยืม ที่มีวินัยในการจ่ายหนี้ และเคยเสียดอกเบี้ยมา เพราะหากไม่คิดดอกเบี้ยหลังจากนี้ เขาจะรู้สึกอย่างไร ดังนั้นจุดยืนที่เราเลือกลงมติในวันนี้ ก็เพราะเป็นกองทุนที่มีประโยชน์สำหรับลูกหลาน จึงไม่อยากให้กองทุนนี้มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องในอนาคต

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 31 สิงหาคม 2565

รมว.สมศักดิ์โชว์ปราบปรามค้ามนุษย์ปิด 60 คดีสอบสวน 20 คดี ตั้งศูนย์ติดตามตรวจสอบจนท.พัวพัน สร้างความโปร่งใสให้ปชช.

รมว.สมศักดิ์โชว์ปราบปรามค้ามนุษย์ปิด 60 คดีสอบสวน 20 คดี ตั้งศูนย์ติดตามตรวจสอบจนท.พัวพัน สร้างความโปร่งใสให้ปชช.

,

“รมว.สมศักดิ์” สั่งดีเอสไอตั้งศูนย์ตรวจสอบ จนท.รัฐมีเอี่ยวค้ามนุษย์ จี้สืบสวนสะสางคดี-บูรณาการร่วมหน่วยงานต่างๆ หวังเป็นหนึ่งในกลไกพาเลื่อนชั้นสู่เทียร์ 1
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร. )เปิดเผยว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้รายงานสรุปผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี 2564-2565 โดยกองคดีการค้ามนุษย์ มีทั้งคดีการค้าประเวณี แรงงาน เจ้าหน้าที่รัฐไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และการฟอกเงิน ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาทำเสร็จไปแล้ว 60 คดี และอยู่ระหว่างสอบสวนอีก 20 คดี โดยคดีสำคัญ อาทิ การช่วยเหลือชาวเมียนมาออกจากโรงงานขนมเยลลี่ ที่กักขังบังคับใช้แรงงาน การบังคับทำงาน ทำร้ายร่างกาย ลักษณะเป็นการค้ามนุษย์ที่โรงงานขนมจีน จ.นครปฐม การค้ามนุษย์ด้านแรงงานในสวนปาล์มภาคใต้ และการร่วมมือกับกัมพูชาจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นต้น

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ดีเอสไอยังได้มีคำสั่งให้จัดตั้งศูนย์ติดตาม และตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ เพื่อตรวจสอบ สืบสวน และสอบสวน เพื่อป้องกันปราบปราม สืบสวน สอบสวนคดีพิเศษ เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด โดยมีคดีที่ดำเนินการไปแล้ว เช่น กรณีร้านชมดาวคาราโอเกะ จ.กาญจนบุรี ร้านสาวพานคาราโอเกะ จ.เชียงราย ร้านบีเฮฟเว่น พัทยา ที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับผลประโยชน์และรับส่วย ซึ่งได้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ไปแล้วหลายราย และอยู่ระหว่างสอบสวนอีกจำนวนมาก และได้มีการจัดตั้งศูนย์คัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ โดยมีที่พักและเจ้าหน้าที่ในการช่วยเหลือบำบัดและฟื้นฟูจิตใจ รวมถึงการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศอีกด้วย นับเป็นมาตรการดูแลชีวิตและทรัพย์สิน ให้กับประชาชน ให้อยู่ดี มีความสุข เกิดความปลอดภัย

“รัฐบาลได้ตั้งเป้าที่จะเลื่อนระดับขึ้นสู่เทียร์ 1 ให้ได้ภายในปี 2570 ที่ผ่านมาประเทศไทยสามารถเลื่อนระดับจากเทียร์ 2 ที่ต้องจับตามอง สู่เทียร์ 2 ได้ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษมีกองคดีการค้ามนุษย์ ที่จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับประเทศของเราได้ จึงขอให้เร่งทำงานสืบสวนสะสางคดี บูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ และเร่งช่วยเหลือผู้เดือดร้อนให้มากที่สุด เพื่อยกระดับสถานการณ์ด้านการค้ามนุษย์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน ซึ่งจะทำให้เราได้รับความช่วยเหลือและความร่วมมือในหลายๆ ด้านจากต่างประเทศ” นายสมศักดิ์ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 สิงหาคม 2565