โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: กิจกรรมพรรค

พปชร. เตรียมยื่นร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดเข้าสู่สภา พร้อมเปิดตัวผู้สมัคร ต้นปี’65

,

พปชร.”เตรียมยื่นร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดเข้าสู่สภา พร้อมเปิดตัวผู้สมัคร ส.ก.ครบ50เขตต้นปี’65

พปชร. ภาคกทม. ประชุมว่าที่ผู้สมัครสภากรุงเทพมหานคร(ส.ก.) วันนี้ เผยคืบหน้าคัดเลือกผู้สมัคร”ส.ก.”แล้ว 90% เตรียมเปิดตัวครบทั้ง 50 เขตต้นปี 2565 ด้านส.ส. กทม. เตรียมยื่นร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดเพื่อประชาชน พ.ศ……ยกระดับสิ่งแวดล้อมเพื่อคนกรุงฯและประชาชนทั้งประเทศ

20 ธ.ค.64 ที่ทำการใหญ่พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) นายจักรพันธ์ พรนิมิตร ส.ส.กทม.เขต30 ในฐานะหัวหน้าภาคกทม. พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า วันนี้ในการประชุมว่าที่ผู้สมัครสภากรุงเทพมหานคร(ส.ก.) จะแจ้งมติคณะกรรมการบริหารพรรคเมื่อ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมาในการที่พรรคจะส่งว่าที่ผู้สมัครส.ก. ในนามพรรคพลังประชารัฐทั้ง 50 เขต โดยขณะนี้การคัดเลือกบุคคลเพื่อลงสมัครได้ดำเนินการไปแล้วกว่า 90% คาดว่าจะมีรายชื่อครบทั้งหมดและสามารถแถลงเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ในช่วงต้นปี2565

นอกจากนี้ คณะทำงานภาค กทม.ยังได้ให้ส.ส.กทม.ของพรรคเตรียมยื่นร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดเพื่อประชาชนพ.ศ…… เข้าสู่การพิจารณาของสภา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานด้านนโยบายเพื่อคนกทม.และคนไทยทั้งประเทศ ในการดูแลด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอนหรือ PM 2.5 ซึ่งหัวใจของร่างกฎหมายดังกล่าวถือว่าอากาศสะอาดเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนต้องเข้าถึงได้ และจะให้อำนาจจังหวัดรวมถึง กทม.ในการแก้ปัญหาอากาศพิษที่เกิดจากแหล่งก่อมลพิษทั้งหลาย และมีบทลงโทษที่ชัดเจนกับผู้ที่เป็นสาเหตุของปัญหา

“ผมได้ย้ำกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.ทุกท่าน ว่าการทำงานของภาคกทม.จะเน้นการผลิตนโยบายสำคัญเพื่อคนกรุงเทพฯ และว่าที่ส.ก.ทุกคนต้องลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับประชาชนกทม.อย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าหากถึงเวลาคัดสรรผู้สมัครผู้ว่าราชการกทม. จะหาคนที่มีแนวคิดและนโยบายที่ใกล้เคียงกับนโบบายที่ภาคกทม.ได้จัดเตรียมไว้” นายจักรพันธ์กล่าว

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 20 ธันวาคม 2564

รมว.ตรีนุช ย้ำโรงเรียนคุณภาพสร้างเครือข่ายพัฒนานักเรียน สานต่อโรงเรียนคุณภาพ

,

รมว.ตรีนุช ย้ำโรงเรียนคุณภาพสร้างเครือข่ายพัฒนานักเรียน

“ตรีนุช”เดินหน้าสานต่อโรงเรียนคุณภาพ ย้ำการจัดการศึกษามีผู้เรียนเป็นเป้าหมายแห่งการพัฒนา ต้องสร้างเครือข่ายให้ทุกภาคส่วน ร่วมจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ภายใต้หลักความปลอดภัย

วันนี้(18 ธ.ค.) นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมาตนได้ไปเป็นประธานเปิดงาน “ TUB-UBON : มิติใหม่โรงเรียนคุณภาพมัธยมศึกษา ” ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ อุบลราชธานี ได้ชมการแสดงโปงลางของนักเรียน และ นิทรรศการหลักสูตรที่หลากหลาย อาทิ ห้องเรียนพิเศษ ห้องเรียน E-Sport, ห้องเรียนภาษาต่างประเทศ, ห้องเรียนฟุตบอล, ห้องเรียนศิลปะ ทำให้เห็นถึงความสามารถที่หลากหลายของนักเรียน รวมถึงห้องเรียนทวิศึกษา ที่จัดการเรียนการสอบหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) บวกกับ หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งทำให้นักเรียนสายสามัญศึกษา ได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสการเรียนในสายอาชีพ ซึ่งเป็นการช่วยเสริมจุดแข็งให้ผู้เรียน ได้มีทั้งองค์ความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานและการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21

“ดิฉันขอชื่นชมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ได้ผลักดันเรื่องการสร้างความเชื่อมั่น ไว้วางใจให้กับสังคม หรือ TRUST ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) คือ เรื่อง “โรงเรียนคุณภาพ” โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ อุบลราชธานี หรือ TUP-UBON เป็นตัวอย่างของโรงเรียนมัธยมคุณภาพประจำจังหวัดที่มีความน่าเชื่อถือ โดยเห็นได้จากการออกแบบหลักสูตรที่มีความหลากหลาย เพื่อรองรับศักยภาพและความต้องการของผู้เรียนที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามดิฉันฝากให้เน้นย้ำถึงหลักใหญ่ ของการพัฒนาโรงเรียนมัธยมคุณภาพประจำจังหวัด คือ ทำอย่างไรให้โรงเรียนมีคุณภาพ และได้มาตรฐานตามบริบทของตนเอง ลดความเหลื่อมล้ำให้เกิดความเท่าเทียม มีความพร้อมในการจัดการเรียนการสอน มีอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เน้นผู้บริหารและครูที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพให้แก่ผู้เรียน ซึ่งการสร้างเครือข่ายของโรงเรียนเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ ” รมว.ศธ.กล่าว

นางสาวตรีนุช กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ตนยังได้เป็นประธานเปิดงาน “การเปิดตลาดน้ำซับ@UBN4 เวทีคนอวดดี อวดเก่ง อวดรู้ สู่อาชีพ”ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) อุบลราชธานี เขต 4 ด้วย ซึ่งพบว่า สพป.4 ได้นำนโยบายของ ศธ. และที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มอบไว้มาปฏิบัติเป็นรูปธรรม ทั้งรูปแบบการทำงาน TRUST 12 นโยบายการจัดการศึกษา 7 วาระเร่งด่วน รวมถึง สพฐ.วิถีใหม่ วิถีคุณภาพ การใช้พื้นที่เป็นฐาน ใช้นวัตกรรมในการขับเคลื่อน โดยทาง สพป.เขต 4 ได้นำแนวนโยบายดังกล่าวมาพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ PARA MODEL หรือ การเรียนรู้แบบคู่ขนาน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษา ทั้ง 5 ON โดยเน้นความปลอดภัยของผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งช่วยพลิกวิกฤตในการจัดการศึกษา ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้ผู้เรียนไม่พลาดโอกาสที่จะเรียนรู้ และยังได้สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์

ทั้งนี้ การจัดการศึกษามีผู้เรียนเป็นเป้าหมายแห่งการพัฒนา เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และเป็นโจทย์สำหรับทุกเขตพื้นที่ฯ ที่จะต้องแสวงหาวิธีการ ที่จะทำให้ผู้เรียนของเรามีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ภายใต้หลักความปลอดภัย วันนี้นอกเหนือไปจากการเรียนรู้แล้วจะต้องคิดถึงการต่อยอดองค์ความรู้ ออกมาเป็นทักษะ ออกมาเป็นผลงาน ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ หรือสร้างรายได้ให้กับผู้เรียน เพื่อให้การพัฒนาทักษะอาชีพ เป็นการศึกษาเพื่อสร้างอาชีพอย่างแท้จริง

นางสาวตรีนุช กล่าวด้วยว่า วันนี้เรากำลังอยู่ระหว่างการจัดการเรียนการสอนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ซึ่งเป็นการจัดการเรียนการสอนท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ซึ่งตนได้ติดตามข้อมูลการแพร่ระบาดในสถานศึกษาของแต่ละจังหวัดมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นข้อมูลในการประเมินความพร้อม รวมถึงกำหนดมาตรการที่จำเป็น เพื่อช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ซึ่งทราบว่า จังหวัดอุบลราชธานี มีจำนวนโรงเรียนที่เปิดเรียนเแบบ On-site ถึง 238 โรงเรียน มากเป็นอันดับ 6 ของประเทศ แต่หากมองเป็นเปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับจำนวนโรงเรียนทั้งจังหวัดที่มีอยู่ทั้งหมด 1,268 โรงเรียนแล้ว ก็คิดเป็น 19% เท่านั้น ซึ่งนับว่ายังต้องช่วยกันสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ปกครอง และประชาชนให้มากขึ้น ซึ่งการเข้ารับวัคซีน ก็เป็นทางหนึ่งที่จะช่วยให้ทุกคนผ่านพ้นสถานการณ์ในครั้งนี้ไปด้วยกัน

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 18 ธันวาคม 2564

“พล.อ.ประวิตร”ลงพื้นที่จ.สุราษฎร์ธานี-ชุมพร เร่งเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม

,

“พล.อ.ประวิตร”ลงพื้นที่จ.สุราษฎร์ธานี-ชุมพร เร่งบูรณาการหน่วยงานเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม

เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ จ.สุราษฎร์ธานี และจ.ชุมพร ที่ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่ภาคใต้ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 11 สุราษฎร์ธานี โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีกล่าวต้อนรับ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรายงานสถานการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ ผู้แทนสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) รายงานการคาดการณ์สภาพอากาศในพื้นที่ภาคใต้ ผู้แทนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสรุปการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ก่อนเดินทางไปตรวจเยี่ยมพบปะให้กำลังใจประชาชนที่รับผลกระทบจากน้ำท่วมพร้อมมอบถุงยังชีพ ในพื้นที่ตลาดท่าชนะ ต.สมอทอง อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี จากนั้นรองนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้เดินทางต่อไปยังศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดชุมพร (ส่วนหน้า) ต.วังตะกอ อ.หลังสวน จ.ชุมพร โดย ผวจ.ชุมพร กล่าวต้อนรับและรายงานสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) รายงานการปฏิบัติหน้าที่เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของจังหวัดชุมพร พร้อมเยี่ยมประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมและมอบถุงยังชีพ ณ ที่ว่าการอำเภอทุ่งตะโก ต.ทุ่งตะไคร อ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร ตามลำดับ

พล.อ.ประวิตร กล่าวมอบนโยบายแก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและเน้นย้ำในโอกาสตรวจเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.ชุมพร ว่า ขณะนี้ภาคใต้ของประเทศไทยยังได้รับอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนืออย่างต่อเนื่อง ทำให้มีฝนตกหนัก ส่งผลให้เกิดอุทกภัยในพื้นที่หลายจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ซึ่งรัฐบาลมีความห่วงใยและตระหนักถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัย จึงได้ตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และที่ ศอ.บต. จังหวัดยะลา เพื่อคาดการณ์และแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำได้อย่างทันท่วงที และรัฐบาลจะเร่งขับเคลื่อนแผนแม่บทน้ำฯ 20 ปี เพื่อให้แก้ไขปัญหาน้ำในทุกพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน

จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องบูรณาการความร่วมมือดำเนินการ 3 ส่วนหลัก คือ 1.เร่งรัดบูรณาการให้ความช่วยเหลือ ซ่อมแซมบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของผู้ประสบภัย รวมทั้งเร่งสำรวจความเสียหาย ฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ 2.ให้ทุกหน่วยงานเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก ดำเนินการตามแผนเผชิญเหตุ วางแผนการระบายน้ำพื้นที่ชุมชน ควบคู่กับการวางแผนเก็บน้ำสำรองไว้รองรับในช่วงฤดูแล้งด้วย และ 3. เร่งรัดโครงการต่าง ๆ ที่ได้รับงบประมาณให้เสร็จโดยเร็ว โดยเฉพาะโครงการที่ได้รับงบกลางจากรัฐบาลไปให้สามารถช่วยเหลือ และลดผลกระทบให้กับประชาชนให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด

ทั้งนี้สถานการณ์น้ำท่วมและพื้นที่ประสบภัยพื้นที่ภาคใต้ ปัจจุบันพบว่า ยังคงมีสถานการณ์น้ำท่วมขังในพื้นที่ 1 จังหวัด ได้แก่ จ.สุราษฎร์ธานี รวม 2 อำเภอ ได้แก่ อ.พุนพิน และ อ.บ้านนาเดิม ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งให้การให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการเร่งระบายน้ำเพื่อลดผลกระทบโดยเร็ว รวมถึงการมอบถุงยังชีพ รถผลิตน้ำดื่มเพื่อบรรเทาสาธารณภัย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม กอนช.ยังคงติดตามสถานการณ์ คาดการณ์พื้นที่เสี่ยง เพื่อประสาน กำกับติดตาม หน่วยงานเกี่ยวข้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 14 ธันวาคม 2564

รมช. อธิรัฐ ร่วมเปิด ระบบ EMV Contactless แตะ-จ่ายค่าทางด่วน แบบ New Normal

,

“รมช. อธิรัฐ ร่วมเปิด ระบบ EMV Contactless แตะ-จ่ายค่าทางด่วน แบบ New Normal”

วันที่ 13 ธันวาคม 2564 เวลา 14.00 น. ณ ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษสะพานพระราม 7 ทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ดร. อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดโครงการระบบชำระค่าผ่านทางด้วยเทคโนโลยี EMV Contactless (Europay Mastercard and Visa) โดยมีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประธานฯ และผู้บริหารกระทรวงคมนาคมร่วมในพิธี

EMV ทำให้ผู้ใช้ทางด่วน ชำระค่าผ่านทางด้วยบัตรใบเดียว จ่ายได้ทั้งบัตรเดบิตและบัตรเครดิตทุกธนาคาร เลี่ยงการใช้เงินสดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ร่วมกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) ร่วมพัฒนาระบบฯ โดย ->ขับรถเข้าช่องเงินสด->ลดกระจก ->แตะบัตร ตรงสัญลักษณ์ “Contactless” ระบบได้ติดตั้งเครื่องอ่านข้อมูล EDC มีความแม่นยำสูง อนาคตจะพัฒนาเป็นระบบไม่มีไม้กั้น (M –Flow) และระบบตั๋วร่วม ต่อไป

ปัจจุบันได้เปิดให้บริการ 5 สายทางพิเศษแล้ว ได้แก่ เฉลิมมหานคร(ด่วนขั้น 1) ศรีรัช(ด่วนขั้น 2) ศรีรัช-วงแหวนรอบนอกฯ อุดรรัถยา(บางปะอิน – ปากเกร็ด) และกาญจนาภิเษก (วงแหวนใต้) ได้รับผลตอบรับจากผู้ใช้บริการฯ เป็นอย่างดี

ความร่วมมือ 3 องค์กร ได้รองรับสถานการณ์แบบ New Normal ตามนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรี ให้มีความพร้อมทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่สำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ประชาชนมีการเดินทางที่สะดวกสบาย และปลอดภัยคมนาคมเชื่อมโยง ประชาชนเชื่อมใจ เชื่อมต่อทั่วไทย ใกล้ไกลถึงกัน

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 13 ธันวาคม 2564

รมช.อธิรัฐ ร่วมผลักดันประเทศไทยได้รับเลือกคณะมนตรี IMO สมัยที่ 9

,

“รมช.อธิรัฐ ร่วมผลักดันประเทศไทยได้รับเลือกคณะมนตรี IMO สมัยที่ 9”เดินหน้าปฎิบัติการความปลอดภัยการเดินเรือ คุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล

นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2564 ที่ประชุมสมัชชา สมัยสามัญ ครั้งที่ 32 ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization : IMO) ได้เลือกตั้งคณะมนตรี IMO วาระปี พ.ศ.2565-2566 ที่สำนักงานใหญ่ IMO ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ซึ่งประเทศไทยได้รับเลือกจากประเทศสมาชิกให้ดำรงตำแหน่งคณะมนตรี IMO กลุ่ม C ด้วยคะแนนเสียง 107 เสียง เป็นอันดับที่ 19 ของประเทศที่ได้รับเลือกตั้งทั้งหมด 20 ประเทศ จากรัฐสมาชิกที่มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงทั้งหมด 160 ประเทศ ส่งผลให้ไทยได้ดำรงตำแหน่งต่อเนื่องเป็นวาระที่ 9 สำหรับประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ นอกจากเข้าไปทำหน้าที่ตรวจสอบ กำกับดูแล และติดตามงานของ IMO แล้วยังมีส่วนในการกำหนดมาตรฐานและแนวปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยในการเดินเรือ คนประจำเรือ และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล รวมถึงการสร้างความร่วมมือทางวิชาการระหว่างประเทศสมาชิก และในโอกาสนี้ผมต้องขอขอบคุณทุกๆฝ่าย ได้ร่วมมือกันผลักดันจนประเทศสมาชิกให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจเลือกประเทศไทยเป็นสมาชิกคณะมนตรี IMO อีกสมัย

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 11 ธันวาคม 2564

ตัวแทนพรรคพลัง ประชารัฐร่วมพิธี “วันรัฐธรรมนูญ” ประจำปี 64

,

ตัวแทนพรรคพลัง ประชารัฐร่วมพิธี “วันรัฐธรรมนูญ” ประจำปี 64
วางพานพุ่มพระบรมรูป ร.7 น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทย

วันที่ 10 ธันวาคม 2564 ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส. กรุงเทพฯ เขต 2 และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วย ดร.จักรพันธ์ พรนิมิตร ส.ส. กรุงเทพฯ เขต 30 บางพลัด-บางกอกน้อย ในฐานะตัวแทนพรรคพลังประชารัฐ เข้าร่วมพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย วางพานประดับพุ่มดอกไม้ถวายบังคมฯ ในนามพรรคฯ เบื้องหน้าพระรูปต้นแบบพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย เนื่องในวันรัฐธรรมนูญ ซึ่งตรงกับวันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปี ณ อาคารรัฐสภา (เกียกกาย) กรุงเทพฯ

ทั้งนี้ ในช่วงเช้าได้เข้าร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุประทานถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยมีประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, ประธานวุฒิสภา, เลขาธิการผู้แทนราษฎร, เลขาธิการวุฒิสภา, ข้าราชการ และตัวแทนจากพรรคการเมืองต่างๆ ร่วมวางพานประดับพุ่มดอกไม้ถวายบังคมฯ เบื้องหน้าพระรูปต้นแบบฯ

วันรัฐธรรมนูญ ถือเป็นวันสำคัญที่รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชทานเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศไทย และเป็นเครื่องกำหนดระเบียบแบบแผนของสังคมไทยมาจนถึงปัจจุบัน โดยกฎหมายอื่นใดจะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้ โดยในปีนี้ครบรอบ 89 ปี ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2475

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 10 ธันวาคม 2564

‘พล.อ.ประวิตร’ สั่ง กนช. เดินหน้า 9 มาตรการแก้ภัยแล้ง เพิ่มแหล่งน้ำต้นทุนท้องถิ่น

,

‘พล.อ.ประวิตร’ สั่ง กนช. เดินหน้า 9 มาตรการแก้ภัยแล้ง เพิ่มแหล่งน้ำต้นทุนท้องถิ่น บริหารจัดการน้ำหนุนเกษตร

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ 4/2564 โดยมีดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมโดยผ่านระบบวีดิโอคอนเฟอเรนท์ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า การประชุมกนช. ในวันนี้ มีการพิจารณาให้ความเห็นชอบมาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำ ฤดูแล้ง ปี 2564/2565 จำนวน 9 มาตรการ ได้แก่ 1.เร่งกักเก็บน้ำ 2.จัดหาแหล่งน้ำสำรองในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ 3. ปฏิบัติการเติมน้ำ 4.กำหนดการจัดสรรน้ำฤดูแล้ง 5.วางแผนเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง 6.เตรียมน้ำสำรองสำหรับพื้นที่ลุ่มต่ำ 7.เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ 8.ติดตามและประเมินผล เพื่อให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผน และ 9.สร้างการรับรู้สถานการณ์และแผนบริหารจัดการน้ำ รวมทั้งโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2565 เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) และให้หน่วยงานดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวต่อไป

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า นอกจากนี้ ยังเห็นชอบให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เร่งพัฒนาโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรในพื้นที่ ส.ป.ก.จังหวัดกระบี่ เพื่อสนับสนุนพื้นที่เกษตรกรรม 3,321 ไร่ ให้มีน้ำใช้อย่างเพียงพอ โดยให้ ส.ป.ก. และกรมพัฒนาที่ดิน เร่งพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่ และเร่งวางแผนการดำเนินการได้ทันที เมื่อได้รับงบประมาณ เนื่องจากมีประชาชนเข้าใช้ประโยชน์แล้ว รวมทั้งยังเห็นชอบ

ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้ติดตามความก้าวหน้าการได้มาซึ่งคณะกรรมการลุ่มน้ำฯ จากผู้แทนภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้การคัดเลือกมีความโปร่งใสและเป็นธรรม โดยเริ่มดำเนินการคัดเลือกกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกลุ่มน้ำในเดือนมกราคม 65 และประกาศรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกในเดือนมีนาคม 65 ซึ่งเป็นระยะเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกันกับการประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิ ส่วนกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำได้ดำเนินการคัดเลือกครบถ้วนทุกลุ่มน้ำแล้ว นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาเห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) และร่างแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 โดยมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐและ อปท.พิจารณาจัดทำแผนปฏิบัติการฯ ให้สอดคล้องแผนแม่บทฯน้ำ 20 ปี ก่อนเสนอกนช. และครม. พิจารณาเห็นชอบต่อไป

การขับเคลื่อนการถ่ายโอนโครงการขนาดเล็กให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) โดยหน่วยงานราชการสามารถถ่ายโอนแหล่งน้ำขนาดเล็กที่ซ่อมแซมแซมแล้วให้แก่ อปท. นำไปบริหารจัดการเองได้ เพื่อให้ประชาชนสามารถนำน้ำจากแหล่งน้ำที่ซ่อมแซมแล้วไปใช้ประโยชน์ในการดำรงชีพและประกอบอาชีพต่อไป

ทั้งนี้ ยังได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานร่วมมือในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง และคุณภาพน้ำ โดยเฉพาะการดำเนินการตามมาตรการฤดูแล้งที่ต้องวางแผนบริหารจัดการน้ำไว้ล่วงหน้า ในส่วนแผนงาน/โครงการใดที่ยังติดขัดปัญหาและอุปสรรค ขอให้หน่วยงานเร่งดำเนินการตามระเบียบที่ถูกต้อง พร้อมจัดลำดับความสำคัญของแผนงานตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดเพื่อให้การแก้ไขปัญหาด้านน้ำบรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ประชาชนจะได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียม ที่สำคัญยังได้สั่งการหน่วยงานเกี่ยวข้องวางแผนเตรียมความพร้อมก่อนเข้าฤดูฝนปี 2565 ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์เพื่อเสนอ กนช. พิจารณาต่อไปด้วย

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 9 ธันวาคม 2564

พิธีวางพานพุ่มดอกไม้ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ร.9

,

“น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ในหลวง รัชกาลที่ 9 วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2564”

วันที่ 5 ธันวาคม 2564 เวลา 07.30 น. ณ ท้องสนามหลวง ประธานองคมนตรี คณะองคมนตรี ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ รองนายกรัฐมนตรี หน่วยราชการในพระองค์ ผู้บัญชาการเหล่าทัพและตำรวจ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครพร้อมภริยา ร่วมในพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล

โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประธานในพิธีฯ คณะรัฐมนตรี พร้อมด้วย ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนร่วมพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์

จากนั้น เวลา 08.30 น. ร่วมพิธีวางพานพุ่มดอกไม้และพิธีถวายบังคม พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 5 ธันวาคม 2564

“พล.อ. ประวิตร” หนุนเพิ่มผืนป่าเศรษฐกิจสร้างประโยชน์ให้ปชช. อนุรักษ์พื้นที่สีเขียว

,

“พล.อ. ประวิตร” หนุนเพิ่มผืนป่าเศรษฐกิจสร้างประโยชน์ให้ปชช. อนุรักษ์พื้นที่สีเขียว ตั้งเป้า ลดก๊าซเรือนกระจกเป็นศนูย์ ปี 2065

เมื่อวันที่ 3 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาลพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2564 ตั้งเป้าขยายพื้นที่ป่าอนุรักษ์ป่าเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น เดินหน้าลดก๊าซเรือนกระจกตามนโยบายรัฐ เป็นศูนย์ปี 2065 เพิ่มปริมาณพื้นที่สีเขียว ประชาชนใช้ประโยชน์ เพื่อประกอบอาชีพ ควบคู่รักษาสิ่งแวดล้อม ลดโลกร้อน เพิ่มแหล่งต้นน้ำ

พลเอก ประวิตร กล่าวว่า ตามยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศไทย กำหนดเป้าหมายการดูดกลับก๊าซเรือนกระจก มีมาตรการสำคัญ ได้แก่ การปลูกและฟื้นฟูป่าอนุรักษ์ การปลูกป่าเศรษฐกิจ การเพิ่มพื้นที่พื้นที่สีเขียว และการป้องกันการบุกรุกป่าและเผาป่า ทั้งนี้ การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 มีมติเห็นชอบ (ร่าง) ยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศไทย ซึ่งกำหนดเป้าหมายการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ภายใต้ยุทธศาสตร์ระยะยาวฯ ที่ 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ณ ปี พ.ศ. 2580 โดยการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกมีบทบาทสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ในปี ค.ศ. 2065 ตามที่ประเทศไทยแถลงการณ์ไว้ที่การประชุม COP26 ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร

พล.อ. ประวิตรกล่าวว่า ทั้งนี้ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านการขับเคลื่อนและบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตจากมาตรการการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกของประเทศ โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานอนุกรรมการฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวม 30 คน ทำหน้าที่กำหนดแนวทาง หลักเกณฑ์กลไกหรือมาตรการส่งเสริมการปลูกป่าอนุรักษ์ ป่าเศรษฐกิจ และพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองและชนบท ในการจัดสรรพื้นที่ปลูก อนุรักษ์ และฟื้นฟู รวมทั้งการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน

พล.อ. ประวิตรกล่าวว่า นอกจากนี้ที่ประชุมเห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย มอบหมายผู้ว่าราชการจังหวัด และกลุ่มจังหวัดทั่วประเทศไทย ร่วมเตรียมการจัดประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย (Thailand Climate Action Conference : TCAC) ในเดือนมิถุนายน 2565 มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของพื้นที่ และร่วมกล่าวถ้อยแถลงคำมั่นสัญญาร่วมกันในลักษณะแถลงการณ์ร่วม/เป้าหมายการทำงานร่วมระหว่างภาครัฐ เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งนำเสนอผลงานหรือโครงการที่มีความโดดเด่นในระดับจังหวัดหรือกลุ่มจังหวัด ทั้งด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแนวคิดการดำเนินการเพื่อยกระดับการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศให้บรรลุเป้าหมายความเป็น
กลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้
ในปี ค.ศ. 2065

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 3 ธันวาคม 2564

“พล.อ. ประวิตร” ชู 5จี ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย มั่นใจดันเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่

,

“พล.อ. ประวิตร” ชู 5จี ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย มั่นใจดันเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่โตเพิ่ม 5.5 เท่า

พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนา “5G THAILAND BIG MOVE” โดยมีนาย ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมในพิธี

พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า ในนามของรัฐบาล มีความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มาเป็นประธานเปิดงานสัมมนา “5G THAILAND BIG MOVE” ในวันนี้ และได้เห็นภาพความร่วมมือร่วมใจแน่นแฟ้น เข้มแข็งของหน่วยงานของรัฐ ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) สำนักงาน กสทช. ร่วมด้วยภาคเอกชนในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม และภาคประชาชน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย รอบปีที่ผ่านมา วิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบไปทั่วโลก เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการใช้ชีวิต การทำธุรกิจแบบเดิมไม่สามารถคงอยู่ได้ ท่ามกลางความท้าทายและความผันผวนของโลกที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงทุกประเทศต้องปรับตัว เทคโนโลยีดิจิทัลได้เข้ามามีบทบาทสำคัญและกลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักเพื่อต่อสู้กับโลกที่ผันผวนอยู่ตลอดเวลาท้าทายยุทธศาสตร์ของชาติที่ต้องเปลี่ยนและปรับให้สอดรับกับโลกยุคใหม่ ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ปรับตัวรับความท้าทายของโลกได้ดี เป็นประเทศแรกในอาเซียนที่มีการใช้เทคโนโลยี 5จี ที่กำลังกลายเป็นกลไกหลักในการปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล พลิกโฉมประเทศ เสริมศักยภาพในกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ทั้งด้านการผลิต ด้านการเงิน ด้านการสาธารณสุข และด้านการเกษตร รัฐบาลมีนโยบายนำเทคโนโลยี 5จี ไปใช้ต่อยอดให้เกิดประโยชน์กับประชาชนคนไทยทั่วประเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย และรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ด้วยการเข้าถึงบริการสาธารณสุข เกษตรอัจฉริยะ ยกระดับการศึกษา คุณภาพชีวิต และการสร้างงานสร้างรายได้ รวมถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน โดยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี 5จี ได้ด้วยตนเอง จะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนจากระดับท้องถิ่นสู่ระดับชาติได้ต่อไปเทคโนโลยี 5จี จะมีความสำคัญมากต่อการการพัฒนาประเทศในโลกวิถีใหม่

พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า รัฐบาลมีความพยายามผลักดันให้เทคโนโลยี 5จี เกิดการใช้งานอย่างเป็นรูปธรรมในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักของประเทศ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดกับระบบเศรษฐกิจโดยภาพรวม และเป็นฐานรากที่มั่นคงของเศรษฐกิจไทยในอนาคต พยายามผลักดันให้เทคโนโลยี 5จี เป็นกลไกในการพลิกโฉมประเทศ ดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลกสนับสนุนโอกาสให้กับธุรกิจต่างๆ สร้างโอกาสการแข่งขัน ด้วยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่งของไทย วันนี้เริ่มมองเห็นศักยภาพของการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าเสริมประสิทธิภาพการทำงานในส่วนงานต่างๆ โดยดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่ตอบโจทย์การเติบโตในอนาคต คาดการณ์ว่าเทคโนโลยี 5จี จะสร้างเม็ดเงินได้มากกว่า 6.5 แสนล้านบาท และ 5จี จะช่วยเพิ่มมูลค่าจีดีพีให้กับประเทศไทย 5.5 เท่า ภายในปี 2578 แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยี 5จี มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาประเทศไทย ให้กลายเป็นศูนย์กลางของเมืองอัจฉริยะแห่งภูมิภาคอาเซียนได้อย่างแท้จริง ขอให้การจัดสัมมนาในวันนี้ บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ทุกประการ เป็นก้าวที่สำคัญของการพลิกโฉมเศรษฐกิจไทยรูปแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 2 ธันวาคม 2564

3 ส.ส. เพชรบุรี ต้อนรับพลเอกประวิตร ประธานเปิดสัมมนาเชิงปฏิบัติการฯ

, ,

3 ส.ส. เพชรบุรี ต้อนรับพลเอกประวิตร ประธานเปิดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพิ่มประสิทธิภาพ
หน่วยงานพิทักษ์เด็กและสตรี!!!

ส.ส.สุชาติ (เปี๊ยก) อุสาหะ จังหวัดเพชรบุรี เขต 3 ส.ส.กฤษณ์ แก้วอยู่ จังหวัด เพชรบุรี เขต 1 และ ส.ส.สาธิต อุ๋ยตระกูล จังหวัดเพชรบุรี เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ ร่วมงานพร้อมให้การต้อนรับ
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธาน เปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานของศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัวป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์และภาคประมง ของ ตำรวจประจำปีงบประมาณ 2565 ณ โรงแรมดุสิตธานี อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี

ทั้งนี้ พลเอกประวิตร ยังได้เน้นย้ำว่า โครงการดังกล่าว ถือเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งนับเป็นจุดยืนของรัฐบาลในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ที่ต้องร่วมกันทำงานหนัก จริงจัง และต่อเนื่องกว่าที่เป็นอยู่ โดยยึดผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง และเร่งค้นหาเพื่อช่วยเหลือเหยื่อที่ตกค้าง และคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะเด็กและสตรี ที่ถูกกักขัง หน่วงเหนี่ยวและถูกบังคับข่มขืนทรมานจิตใจ

โดยที่ผ่านมาการปราบปรามและจับกุมในคดีค้ามนุษย์ ลดลงอย่างชัดเจนต่อเนื่อง แต่พบว่ารายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบออนไลน์มากขึ้น การคัดแยกเพื่อค้นหาผู้เสียหายบังคับใช้แรงงานหรือการบริการ ยังไม่ได้มาตรฐานและยังพบปัญหาทุจริตของเจ้าหน้าที่ซึ่งปล่อยปละละเลยทั้งพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ชั้นใน ที่ทุกหน่วยงานต้องเข้มรับผิดชอบกำกับดูแลมากขึ้น

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 2 ธันวาคม 2564

“บิ๊กป้อม” มอบ “ธรรมนัส-ประสาน” แก้ปัญหาชาวบ้านห้วยน้ำหิน อ.นาน้อย จ.น่าน

, ,

“บิ๊กป้อม” มอบ “ธรรมนัส-ประสาน” แก้ปัญหาชาวบ้านห้วยน้ำหิน อ.นาน้อย จ.น่าน ที่ถูกจับกุมและถูกดำเนินคดี และไร้ที่ทำกินจากผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่าเมื่อปี 2558 ย้ำเร่งรัดช่วยเหลือโดยเร็ว

วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 เวลาประมาณ 13.00 น. ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดน่าน
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. ได้พบปะกับตัวแทนสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) จ.น่าน และชาวบ้านห้วยน้ำหิน อ.นาน้อย จ.น่าน ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่าเมื่อปี 2558 มีผู้ถูกจับกุมและถูกดำเนินคดีได้รับความเดือดร้อนไม่มีที่ทำกิน โดยพลเอก ประวิตร ได้มอบหมายให้ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และในฐานะประธานกรรมการยุทธศาสตร์ภาคเหนือพปชร.เป็นตัวแทนรับหนังสือร้องทุกข์เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือตามขั้นตอน

จากนั้น ร้อยเอกธรรมนัส และ นายประสาน หวังรัตนปราณี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ พล.อ. ประวิตร
วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมประชุมกับตัวแทนตัวแทนสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ และ
ชาวบ้านห้วยน้ำหิน อ.นาน้อย พร้อมข้าราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อรับฟังปัญหา ซึ่งทราบว่า จนถึงขณะนี้ผู้ถูกจับกุมและถูกดำเนินคดีดังกล่าวนั้น คดียังไม่มีความคืบหน้า แม้พนักงานสอบสวนพื้นที่จังหวัดน่าน ได้ทำสำนวนและมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องไปยังพนักงานอัยการ จ.น่านแล้ว แต่ชาวบ้านได้รับการประสานว่า อัยการส่งหนังสือกลับให้ตำรวจมีการสอบคดีเพิ่ม ทำให้ชาวบ้านกังวลในกระบวนการแก้ไขปัญหาล่าช้า สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนที่ไม่มีที่ดินทำกินดังกล่าว

ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวว่า เบื้องต้นพลเอกประวิตร ได้มอบหมายให้ตนเอง ในฐานะที่ดูแลพื้นที่ภาคเหนือ 8 จังหวัด ให้ประสานงานร่วมกับนายประสาน หวังรัตนปราณี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ พล.อ. ประวิตร
วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อเร่งหาแนวทางประสานงานกับหน่วยงานราชการในพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านห้วยน้ำหิน อ.นาน้อย โดยเร็ว

“เรื่องนี้ผมได้ติดตามมาตลอด ตั้งแต่ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดน่านท่านเก่า ซึ่งดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการสั่งไม่ฟ้องและส่งสำนวนให้อัยการ แต่เนื่องจากตามกฎหมายต้องดำเนินการอย่างรัดกุมรอบคอบ ทางอัยการจังหวัดจึงได้ให้ทางตำรวจสอบสวนให้รัดกุม ซึ่งท่านรองนายกฯ ประวิตร ได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมาย คือท่านประสาน กำกับดูแลอย่างใกล้ชิดแล้ว ดังนั้นผมเอง ในฐานะที่ดูแลภาคเหนือ 8 จังหวัด และได้รับมอบหมายให้ช่วยดูแลกับท่านประสาน เพื่อเร่งดำเนินการแก้ปัญหา เพราะทราบดีว่าเรื่องนี้ล่าช้ามานานพอสมควร ทำให้พี่น้องที่ถูกดำเนินคดีได้รับความเดือดร้อน ซึ่งผมได้พูดคุยกันกับประธานพีมูฟและกรรมการมาตลอด จึงขอให้สบายใจ จึงขอฝากทางรองผู้ว่าฯ, นายอำเภอนาน้อย และตำรวจภูธรจังหวัดน่าน และตำรวจท้องที่ เพื่อการขับเคลื่อน ซึ่งจะไม่ปล่อยให้ล่าช้า เราจะเร่งช่วยเหลือให้อย่างจริงจัง โดยเร็วที่สุด” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 29 พฤศจิกายน 2564