โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

เดือน: เมษายน 2023

“ศ.ดร.นฤมล-สกลธี”นำ 33 ผู้สมัคร ส.ส.กทม.สักการะศาลหลักเมืองเอาฤกษ์เอาชัย ประกาศ ขอ ส.ส.กทม.มากกว่า 12 ที่นั่ง พร้อมเดินหน้ารณรงค์หาเสียงเต็มสูบ

,

“ศ.ดร.นฤมล-สกลธี”นำ 33 ผู้สมัคร ส.ส.กทม.สักการะศาลหลักเมืองเอาฤกษ์เอาชัย
ประกาศ ขอ ส.ส.กทม.มากกว่า 12 ที่นั่ง พร้อมเดินหน้ารณรงค์หาเสียงเต็มสูบ

3 เมษายน 2566 เวลา 12.00 น. ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.และนายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.นํากลุ่มผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรค พปชร. ทั้ง 33 เขต ได้แก่ เดินทางออกจากอาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง เพื่อมาสักการะศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองหลวง เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย ภายหลังไปสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.มาในช่วงเช้า

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐขอจำนวน ส.ส.ในพื้นที่ กทม.ให้ได้มากกว่า 12 เขต ซึ่งมองว่าทุกพรรคการเมืองก็คงมาขอพรที่นี่เช่นกัน แต่สำหรับพรรคพลังประชารัฐ เราจะเอาความตั้งใจที่จะทำงานให้พี่น้องประชาชนมาสู้ในการเลือกตั้งครั้งนี้

โดยนายสกลธี กล่าวว่า เหมือนเป็นธรรมเนียมว่าพอสมัครเสร็จก็จะพาผู้สมัครมาสักการะศาลหลักเมือง เพื่อให้มาเอาฤกษ์เอาชัย จริงๆก็มีหลายที่ แต่วันนี้ขอมาเป็นที่เดียวก่อน สำหรับบรรยากาศการจับเบอร์วันนี้ ภาพรวมก็พอใจ มีพรรคการเมืองค่อนข้างเยอะ อาจจะล่าช้าไปบ้าง เพราะมีพรรคการเมืองจำนวนมาก

สำหรับ เบอร์ของผู้สมัคร พปชร. ภายหลังจากเข้าสู่กระบวนการเข้ารับสมัครและจับหมายเลขผู้สมัครทั้ง 33 เขตเสร็จสิ้นแล้ว ผลปรากฎดังนี้

เขต 1 พระนคร สัมพันธวงศ์ ดุสิต บางรัก นายสฤษดิ์ ไพรทอง ได้หมายเลข 11
เขต 2 สาทร ราชเทวี ปทุมวัน นายพณิชย์ วิทยาภัทร์ ได้หมายเลข 11
เขต 3 บางคอแหลม ยานนาวา น.ส.ชญาภา ธารดำรงค์ ได้หมายเลข 15
เขต 4 คลองเตย วัฒนา นายภูวกร ปรางภรพิทักษ์ ได้หมายเลข 8
เขต 5 ห้วยขวาง วังทองหลาง นายกานต์ กิตติอำพน ได้หมายเลข 4
เขต 6 ดินแดง พญาไท ร.อ.รชฏ พิสิษฐบรรณกร ได้หมายเลข 10
เขต 7 บางซื่อ ดุสิต ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช ได้หมายเลข 12
• เขต 8 จตุจักร หลักสี่ นายรังสรรค์ กียปัจจ์ ได้หมายเลข 7
เขต 9 บางเขน จตุจักร หลักสี่ นายปราโมทย์ เพ็ชรฤทธิ์ ได้หมายเลข 8
เขต 10 ดอนเมือง ภญ.สุชาดา เวสารัชตระกูล ได้หมายเลข 3
เขต 11 สายไหม น.อ. บัญชาพล อรัณยะนาค ได้หมายเลข 7
เขต 12 บางเขน สายไหม ลาดพร้าว ภญ.นพวรรณ หัวใจมั่น ได้หมายเลข 12
เขต 13 ลาดพร้าว วังทองหลาง นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ ได้หมายเลข 8
เขต 14 บางกะปิ วังทองหลาง น.ส. นฤมล รัตนาภูบาล ได้หมายเลข 5
เขต 15 คันนายาว บึงกุ่ม น.ส.ณิรินทร์ เงินยวง ได้หมายเลข 8
เขต 16 คลองสามวา นายกิติภูมิ นีละไพจิตร์ ได้หมายเลข 12
เขต 17 หนองจอก คลองสามวา นายศิริพงษ์ รัสมี ได้หมายเลข 10
เขต 18 หนองจอก มีนบุรี ลาดกระบัง นายพีระพงษ์ รัสมี ได้หมายเลข 4
เขต 19 มีนบุรี สะพานสูง นางนาถยา แดงบุหงา ได้หมายเลข 10
เขต 20 ลาดกระบัง นายบุญรุ่ง เต๋งจงดี ได้หมายเลข 1
เขต 21 ประเวศ สะพานสูง น.ส.แพรว กิจสุวรรณ ได้หมายเลข 2
เขต 22 สวนหลวง ประเวศ นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ได้หมายเลข 1
เขต 23 พระโขนง บางนา นายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ ได้หมายเลข 5
เขต 24 คลองสาน ธนบุรี ราษฎรบูรณะ นายศันสนะ สุริยะโยธิน ได้หมายเลข 1
เขต 25 ทุ่งครุ ราษฎร์บูรณะ นายระพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธา ได้หมายเลข 2
เขต 26 จอมทอง บางขุนเทียน นายอนุชาญ กวางทอง ได้หมายเลข 3
เขต 27 บางบอน บางขุนเทียน นายสาโรจน์ ซึ้งไพศาลกุล ได้หมายเลข 12
เขต 28 หนองแขม บางบอน จอมทอง นายมานพ มารุ่งเรือง ได้หมายเลข 1
เขต 29 บางแค หนองแขม นายเอกชัย ผ่องจิตร์ ได้หมายเลข 7
เขต 30 บางแค ภาษีเจริญ นายสิทธิโชค คล้อยแสงอาทิตย์ ได้หมายเลข 11
เขต 31 ทวีวัฒนา ตลิ่งชัน น.ต.นิธิ บุญยรัตกลิน ได้หมายเลข 1
เขต 32 บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ ภาษีเจริญ ตลิ่งชัน ธนบุรี น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์ ได้หมายเลข 6
เขต 33 เขตบางพลัด บางกอกน้อย นายคมสัน พันธุ์วิชาติกุล ได้หมายเลข 15

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 3 เมษายน 2566

“พล.อ.ประวิตร” นำทัพผู้สมัคร ส.ส.กทม.พปชร.ยื่นใบสมัคร ส.ส.เขต ลั่นผลสรุปจำนวนที่นั่งอยู่ที่ ปชช.เลือก ย้ำ เยาวชนถามจุดยืน 112 เป็นเรื่องความคิดต่าง

,

“พล.อ.ประวิตร”นำทัพผู้สมัคร ส.ส.กทม.พปชร.ยื่นใบสมัคร ส.ส.เขต
ลั่นผลสรุปจำนวนที่นั่งอยู่ที่ ปชช.เลือก ย้ำ เยาวชนถามจุดยืน 112 เป็นเรื่องความคิดต่าง

วันที่ 3 เมษายน 2566 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชา,นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค,ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.และ นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.นํากลุ่มว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ของพรรค พปชร. ทั้ง 33 เขต เดินทางมาสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า บรรยากาศในวันนี้คึกคัก เพราะมีหลายพรรคมาสมัคร โดยพรรคพลังประชารัฐตั้งเป้าหมายเท่าเดิม 12 ที่นั่ง ส่วนการจับเบอร์พรรคในวันพรุ่งนี้ตนก็อยากจะได้เป็นเลขตัวเดียว โดยพรรคพลังประชารัฐเราตั้งใจทำเพื่อประชาชน ยังไม่ได้คิดเรื่องอื่น วันนี้ก็รู้สึกกระฉับกระเฉง มีใจบันดาลแรงไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะได้เท่าไหร่ แล้วแต่ประชาชนจะเลือก

ส่วนเรื่องการขึ้นเวทีดีเบต พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ตนเองก็ยังไม่ขึ้น เพราะไม่ใช่นักโต้วาที ส่วนในอนาคตจะเปลี่ยนใจหรือไม่ยังไม่ทราบ

ส่วนกรณีที่มีกลุ่มเยาวชนเคลื่อนไหวทางการเมืองและปะทะกับกลุ่มการ์ดของพรรคพลังประชารัฐ ย้ำว่า เราไม่ให้มีความรุนแรงอยู่แล้ว ได้บอกกับทางพรรคแล้ว คนคิดต่างทางการเมืองคิดได้ แต่คนไทยจะต้องเป็นหนึ่งเดียว รักกันสามัคคีกัน มีความปรองดอง ซึ่งเป็นนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง เราไม่ได้โกรธกัน

ด้านนายสกลธี ให้สัมภาษณ์ว่า การตั้งเป้า ส.ส.กทม.ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ขอบวกลบให้ได้อย่างน้อยเท่าเดิม
ครั้งที่แล้วในสนาม กทม. ส.ส.ทั้ง 12 คนของ พปชร.เป็นคนใหม่ทั้งหมด ซึ่งในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง คน กทม.จะกาผู้สมัครหน้าใหม่เยอะ จึงไม่กังวลว่าจะเป็น ส.ส.เก่ากี่คน อยู่ที่ว่าพรรคเราจะทำตามแผนหาเสียงที่วางไว้ได้หรือไม่มากกว่า ซึ่งวันนี้เสียงตอบรับประชาชนที่มีต่อพรรคพลังประชารัฐถือว่าดี โดยเมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ตนไปลงพื้นที่บางคอแหลม กระแสดีมาก

ทั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐได้ส่งผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 33 เขต ประกอบด้วย เขต 1 พระนคร สัมพันธวงศ์ ดุสิต บางรัก นายสฤษดิ์ ไพรทอง เขต 2 สาทร ราชเทวี ปทุมวัน นายพณิชย์ วิทยาภัทร์ เขต 3 บางคอแหลม ยานนาวา น.ส.ชญาภา ธารดำรงค์ เขต 4 คลองเตย วัฒนา นายภูวกร ปรางภรพิทักษ์

เขต 5 ห้วยขวาง วังทองหลาง นายกานต์ กิตติอำพนเขต 6 ดินแดง พญาไท ร.อ.รชฏ พิสิษฐบรรณกร เขต 7 บางซื่อ ดุสิต ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช เขต 8 จตุจักร หลักสี่ นายรังสรรค์ กีบปัจจุบัน เขต 9 บางเขน จตุจักร หลักสี่ นายปราโมทย์ เพ็ชรฤทธิ์ เขต 10 ดอนเมือง ภญ.สุชาดา เวสารัชตระกูล

เขต 11 สายไหม น.อ. บัญชาพล อรัณยะนาค เขต 12 บางเขน สายไหม ลาดพร้าว ภญ.นพวรรณ หัวใจมั่นเขต 13 ลาดพร้าว วังทองหลาง นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำเขต 14 บางกะปิ วังทองหลาง น.ส. นฤมล รัตนาภูบาลเขต 15 คันนายาว บึงกุ่ม น.ส.ณิรินทร์ เงินยวง เขต 16 คลองสามวา นายกิติภูมิ นีละไพจิตร เขต 17 หนองจอก คลองสามวา นายศิริพงษ์ รัสมี

เขต 18 หนองจอก มีนบุรี ลาดกระบัง นายพีระพงษ์ รัสมีเขต 19 มีนบุรี สะพานสูง นางนาถยา แดงบุหงา เขต 20 ลาดกระบัง นายบุญรุ่ง เต๋งจงดี เขต 21 ประเวศ สะพานสูง น.ส.แพรว กิจสุวรรณ เขต 22 สวนหลวง ประเวศ นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ เขต 23 พระโขนง บางนา นายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ

เขต 24 คลองสาน ธนบุรี ราษฎรบูรณะ นายศันสนะ สุริยะโยธิน เขต 25 ทุ่งครุ ราษฎร์บูรณะ นายระพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธาเขต 26 จอมทอง บางขุนเทียน นายอนุชาญ กวางทอง เขต 27 บางบอน บางขุนเทียน นายสาโรจน์ ซึ้งไพศาลกุล เขต 28 หนองแขม บางบอน จอมทอง นายมานพ มารุ่งเรือง เขต 29 บางแค หนองแขม นายเอกชัย ผ่องจิตร์ เขต 30 บางแค ภาษีเจริญ นายสิทธิโชค คล้อยแสงอาทิตย์ เขต 31 ทวีวัฒนา ตลิ่งชัน น.ต.นิธิ บุญยรัตกลิน เขต 32 บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ ภาษีเจริญ ตลิ่งชัน ธนบุรี น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์ และเขต 33 เขตบางพลัด บางกอกน้อย นายคมสัน พันธุ์วิชาติกุล

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 3 เมษายน 2566

“ชัยวุติ”ย้ำ เศรษฐกิจไทยดีจริงภายใต้การบริหารพปชร.ชี้ ชู”พล.อ.ประวิตร” คือคนประสานก้าวข้ามความขัดแย้ง “สกลธี”ขอโอกาสจากชาวฝั่งธนฯ พัฒนาด้วยกองทุนพัฒนาประเทศ

“ชัยวุติ”ย้ำ เศรษฐกิจไทยดีจริงภายใต้การบริหารพปชร.ชี้ ชู”พล.อ.ประวิตร” คือคนประสานก้าวข้ามความขัดแย้ง “สกลธี”ขอโอกาสจากชาวฝั่งธนฯ พัฒนาด้วยกองทุนพัฒนาประเทศ

พรรคพลังประชารัฐ จัดเวทีปราศรัยย่อยโซนธนบุรีเหนือ”พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ”ที่ สวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 8 โดยมีแกนนำพรรคพลังประชารัฐ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ,ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.และนายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.

โดยนายชัยวุฒิ กล่าวปราศรัยว่า ตอนนี้เศรษฐกิจไทยไปได้ไกลกว่าที่เราคิดเยอะ จากข้อมูลของบริษัท SC Asset พบว่าในปี 63 มีกำไร 1,800 กว่าล้าน ,ปี 64 มีกำไร 2,000 กว่าล้าน และปี 65 มีกำไร 2,500 กว่าล้าน แล้วเศรษฐกิจไม่ดีจริงหรือ เมื่อมาดูจากบริษัทแสนสิริ ปี 63 กำไร 1,000 กว่าล้าน ,ปี 64 กำไร 2,000 กว่าล้าน ,ปี 65 กำไร 4,000 กว่าล้าน กำไรเพิ่มขึ้นเท่าตัว ซึ่งจะเห็นว่ายอดขายบ้านสัมพันธ์กับเศรษฐกิจ เพราะถ้าเศรษฐกิจดี คนถึงมีเงินไปซื้อบ้าน ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี คนก็ไม่มีเงินไปซื้อบ้าน ตนจึงขอยืนยันว่าเศรษฐกิจเข้มแข็งและเติบโตแน่นอน

“วันนี้เรามาถูกทางแล้ว รัฐบาลภายใต้การทำงานของพรรคพลังประชารัฐ 4 ปีที่ผ่านมา เราวางโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้บ้านเมืองมั่นคง ถ้าประเทศไม่มั่นคง ประเทศไม่สงบ เราก็ทำมาหากินไม่ได้ ผมยืนยันว่า ลุงป้อมเป็นผู้ประสานงาน 10 ทิศ ประสานงานกับทุกคน เปิดบ้านตั้งแต่ ตี 5 ถึง 5-6 โมงเย็น ใครมีปัญหา ใครเดือดร้อนก็ไปพูดคุยกับท่าน ท่านแก้ปัญหาให้กับทุกคน ประสานงานกับทุกคน ทำให้วันนี้รัฐบาลอยู่ครบ 4 ปี แล้วเราจะทำต่อไป จึงเป็นที่มาของนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง” นายชัยวุฒิ กล่าว

ทั้งนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้ คือการเลือกผู้แทนของพี่น้องประชาชนทุกคน ที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรคพลังประชารัฐ เป็นคนรุ่นใหม่ เป็นคนมีคุณภาพที่คัดสรรมาให้พี่น้องประชาชน เราจะมาทำงานให้รัฐบาลเข้มแข็ง ให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี มาทำให้ประเทศของเราเดินไปข้างหน้า ดังนั้นวันที่ 14 พฤษภาคม กาทั้งคนทั้งพรรคให้ พลเอกประวิตร ไปทำงานประสานงานก้าวข้ามความขัดแย้งพัฒนาทุกพื้นที่

ด้านนายสกลธี กล่วว่า ตนอยู่การเมืองมา 16 ปี แต่เวลาขึ้นปราศรัยตนรู้สึกดีใจที่ประชาชนรักและสนับสนุนพวกเราทุกครั้ง เราจะทำทุกอย่าง นโยบายทุกข้อของพรรคพลังประชารัฐมาจากการลงพื้นที่ของพวกเราทุกคน เพราะเรารู้ว่าคนไทยอยากเห็นประเทศเดินทางไปในทิศทางไหน เราจะไม่ติดกับดักความขัดแย้งเดิม ๆ พอแล้วกับการหาเสียงแบบเดิมที่มาด่าทอ ป้ายสีกัน พรรคพลังประชารัฐจะสู้ด้วยตัวผู้สมัครและนโยบายของพรรคที่จะทำเพื่อประชาชนเท่านั้น

นายสกลธี กล่าวต่อว่า หลายคนถามว่าทำไมถึงเลือกมาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ก็เพราะพรรคนี้เปิดกว้าง รับฟังคนทุกกลุ่ม ทุกปัญหา พรรคให้โอกาสทุกคน อย่างตนก็ได้ใช้ประสบการณ์ของตัวเองเข้ามาทำงาน เช่นเดียวกับผู้สมัครของเราทุกคนที่สามารถนำเสนอความเดือดร้อนและปัญหาของประชาชนเพื่อนำมาผลักดันเป็นนโยบายดี ๆ เพื่อคนไทยทุกคน โดยการรวมตัว ของ“พลังกรุงเทพฯ ของพลังประชารัฐ” จะเข้ามาพัฒนากรุงเทพฯของเรา เพราะรู้ปัญหาของชาว กทม.เป็นอย่างดี ขอเพียงแค่ประชาชนให้โอกาสผู้สมัครของพรรคเราได้เข้าไปลงมือทำ โดยเรามั่นใจว่าจะทำกรุงเทพฯให้ดีกว่านี้ได้แน่นอน ขอเพียงแค่โอกาสจากชาวฝั่งธนที่จะเทคะแนนให้กับผู้สมัครของเรา

น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์ เขตบางกอกน้อย (เฉพาะแขวงศิริราช) เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ (ยกเว้นแขวงบางหว้า แขวงบางแขวงบางด้วนและแขวงคลองขวาง) เขตตลิ่งชัน (เฉพาะแขวงบางเชือกหนัง) เขตธนบุรี (เฉพาะแขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจีและแขวงบางยี่เรือ) กล่าวว่า จากการเข้าไปสัมผัสพื้นที่ในฝั่งธนอย่างต่อเนื่องและยาวนาน เราพยายามจะสร้างรายได้ให้กับชุมชนให้เพิ่มมากขึ้น แน่นอนว่ารายได้หลักของประเทศมาจากการท่องเที่ยว ดังนั้นการที่ฝั่งธนมีวิถีชีวิตชุมชน ที่สามารถส่งเสริมชุมชนอย่างครบวงจร โดยการชูความโดดเด่นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ในพื้นที่ให้เป็นมรดกของชาติ ซึ่งเห็นแนวทางในการเข้าไปต่อยอดชุมชน เพื่อความสวยงามและสะอาดมากยิ่งขึ้น และมีความปลอดภัย ซึ่งพรรคมีนโยบายที่จะทำให้เกิดกองทุนที่จะพัฒนาขึ้นมูลค่า 300,000 ล้านบาท สร้างเศรษฐกิจให้กับชุมชน เพื่อมาช่วยกันแก้หนี้และเติมทุนนำไปใช้ในการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างในมิติต่างๆให้ชุมชนเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ จากความที่เป็นพื้นที่วัฒนธรรมทรงคุณค่าอย่างมาก โดยเฉพาะวัดอรุณ ถือเป็นแลนด์มาร์คของเมืองไทย ซึ่งต่างชาติรู้จัก เพราะว่าพระปรางค์วัดอรุณ เราจะนำเอาสิ่งที่ดีของชาวฝั่งธนฯ พัฒนาพื้นที่ตลอดสายน้ำเพื่อสร้างซอฟพาวเวอร์ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ยกระดับชุมชนให้ความเข้มแข็ง

น.ต.นิธิ บุญยรัตกลิน เขตทวีวัฒนา เขตตลิ่งชัน (ยกเว้นแขวงบางเชือกหนัง) กล่าวว่า ผมมีความตั้งใจที่จะมาร่วมสร้างอนาคตที่ดี ไปพร้อม ๆ กับพี่น้องประชาชน และมั่นใจ ว่าผมทำได้จริง เรามาสร้างอนาคตที่ดีกว่าไปด้วยกัน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสุขภาพดี มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ที่สำคัญที่สุดคือล้วงกระเป๋าและเจอตังค์ วันนี้ 2 นโยบาย ที่จะมานำเสนอ เรื่องที่ 1. ปัจจุบันประเทศไทย ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ เขตทวีวัฒนาตลิ่งชันเป็นผู้สูงอายุส่วนใหญ่ โดย เราจะร่วมผลักดันให้เกิดศูนย์ดูแลผู้สูงวัยให้คนสูงวัยในพื้นที่ได้มีอาชีพ มีรายได้ เชื่อว่าสามารถทำได้จริง เป็นการส่งเสริมผู้สูงอายุอยู่อย่างมีสุขภาพที่ดี มีคนดูแลอยู่กับลูกหลานไปนานๆ
เรื่องที่ 2 ในพื้นที่ทวีวัฒนาและตลิ่งชัน เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงเกษตรกรรม โดยเฉพาะตลาดน้ำคลองลัดมะยม พรรคพลังประชารัฐ และเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งตลาดน้ำคลองลัดมะยม ผมจะพัฒนาตลาดน้ำคลองลัดมะยมเป็น Landmark แห่งใหม่ของตลิ่งชันและมีวัฒนธรรมเอานักท่องเที่ยวมาสร้างงานสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 เมษายน 2566

“ศ.ดร.นฤมล”นำทัพว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.โซนธนบุรีเหนือ เปิดเวทีปราศรัย ขอโอกาสเลือก พปชร.ทั้งคนทั้งพรรค ลั่นส่งนโยบายสวัสดิการคนเมืองให้ชาว กทม.

1 เม.ย. 2566 พรรคพลังประชารัฐ จัดเวทีปราศรัยย่อยโซนธนบุรีเหนือ”พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ”ที่ สวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 8 โดยมีแกนนำพรรคพลังประชารัฐ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ,ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.และนายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 5 เขต ประกอบด้วย นายอนุชาญ กวางทอง เขตบางขุนเทียน (เฉพาะแขวงท่าข้าม) เขตจอมทอง (ยกเว้นแขวงบางขุนเทียน),นายศันสนะ สุริยะโยธิน เขตธนบุรี (ยกเว้นแขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจีและแขวงบางยี่เรือ) เขตคลองสานเขตราษฎร์บูรณะ (เฉพาะแขวงบางปะกอก),น.ต.นิธิ บุญยรัตกลิน เขตทวีวัฒนา เขตตลิ่งชัน (ยกเว้นแขวงบางเชือกหนัง),น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์ เขตบางกอกน้อย (เฉพาะแขวงศิริราช) เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ (ยกเว้นแขวงบางหว้า แขวงบางแขวงบางด้วนและแขวงคลองขวาง) เขตตลิ่งชัน (เฉพาะแขวงบางเชือกหนัง) เขตธนบุรี (เฉพาะแขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจีและแขวงบางยี่เรือ) และ นายคมสัน พันธุ์วิชาติกุล เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย (ยกเว้นแขวงศิริราช)

ศ.ดร.นฤมล กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า วันนี้ดีใจที่ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรคพลังประชารัฐ ได้มาพบกับชาวฝั่งธน เมื่อปี 62 เราได้รับความเมตตาจากชาวฝั่งธนเลือกผู้สมัครจากพรรคของเรา ในปีนี้เราก็ขอความเมตตาอีกครั้ง แต่ขอเพิ่มเติมอีก 5 เขต นโยบายของพรรคเราครั้งนี้ เป็นพรรคการเมืองแรกที่พูดถึงการดูแลสวัสดิการของพี่น้องประชาชนชาวไทยไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อน ทุกพรรคการเมืองต่างนำถึงรัฐสวัสดิการทั้งหมด แต่เราคือภาพแรกที่เรียกว่า สวัสดิการประชารัฐและเราไม่ใช่แค่พูด แต่พรรคได้ดำเนินการมาต่อเนื่อง ในการทำบัตรประชารัฐขึ้นตั้งแต่ปี 61 โดยเริ่มต้นจากการดูแลกลุ่มเปราะบางก่อนก็คือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยไม่เกิน 100,000 บาทต่อปีก็จะได้รับการดูแลจากภาครัฐ และในอนาคตบัตรประชารัฐ จะดูแลครอบคลุมคนไทยทั้ง 67,000,000 คน ไม่จำเป็นจะต้องมีรายได้น้อยก็จะได้รับการดูแล

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า ชาว กทม.ควรมีสวัสดิการคนเมือง ไม่ว่าจะเป็นการดูแลค่าน้ำ ค่าไฟ ดูแลเรื่องที่พักอาศัย เปลี่ยนจากค่าเช่าบ้านไปกลายเป็นเงินผ่อนบ้านในนโยบายบ้านประชารัฐ 360 องศา รวมไปถึงค่าเดินทาง ค่าไฟ ที่เป็นภาระในการใช้ชีวิตแต่ละวัน ซึ่งผู้สมัคร กทม.ของพรรคพลังประชารัฐ ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจปากท้องของชาวกทม.จึงได้มาพูดคุยกันว่า จะใช้วิธีการใดที่จะไม่เกิดเป็นภาระต่อภาษีของประชาชน และมุ่งเน้นให้ประชาชนกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืนมากขึ้น โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของเศรษฐกิจฐานราก เราต้องหาแหล่งเงินเพื่อพัฒนาประเทศ

“เราจึงได้ข้อสรุปว่าจะใช้ศักยภาพของตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศด้วยการส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุนที่จะมาพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise (SE) ที่มีพระราชบัญญัติรองรับอยู่แล้ว นำมาพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยกลไกของตลาดทุนจะเปิดให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนามากขึ้น แทนที่เราจะเก็บภาษีคนรวยมาช่วยคนจน เราก็ให้คนที่มีเงินเหลือใส่เงินผ่านกองทุนแล้วใช้กลไกกำกับดูแลให้ SE ลงไปทำงานในพื้นที่ก็จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า การดำเนินงานดังกล่าวเป็นแนวทางที่หลายประเทศได้นำไปใช้แล้วเปิดให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมการแก้ไขปัญหาก็จะยั่งยืน ดังนั้นกองทุนดังกล่าวก็จะทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มในท้องถิ่น เกิดขึ้นโดยเฉพาะเด็กจบใหม่ก็จะเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ หรือ ธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยใช้แหล่งเงินจากส่วนนี้ทำให้เกิดการพัฒนาในท้องถิ่น กระจายความเจริญสู่ต่างจังหวัด ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่ กทม.แต่พรรคพลังประชารัฐ จะใช้กลไกนี้ทั่วประเทศ

“การเลือกตั้งครั้งนี้มีการใช้บัตร 2 ใบ ผู้สมัครกับพรรคใช้คนละเบอร์กัน ต้องขอให้พี่น้องทุกคนจดจำหมายเลขของผู้สมัครให้ดี พรรคพลังประชารัฐ เรามองไปถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืน ไม่ได้ต้องมาแข่งเรื่องตัวเลขว่าพรรคการเมืองใด ใครให้มากน้อยกว่ากัน แต่เราต้องการสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนทุกคน เราจึงต้องขอโอกาสประชาชนให้เลือกทั้งคนทั้งพรรค เพื่อที่เราจะเข้าไปสานต่อนโยบายดี ๆ เพื่อคนไทยทุกคน”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ด้านนายศันสนะ ได้กล่าวกับประชาชนว่า จากอดีตตนเคยเป็นผู้สมัคร ส.ส.ในปี 62 มาวันนี้ ตนยังเป็นศันสนะ สุริยะโยธิน ศัน คนเดิม ของคนคลองสาน,ธนบุรี และราษฎร์บูรณะ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ตนทำงานโดยตลอด ไม่เคยทอดทิ้งกัน ซึ่งตนได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารพรรคให้ดูแลพื้นที่เรื่อยมา โดยเน้นไปที่พี่น้องกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ ก็ถือว่าได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันในช่วงวิกฤติการณ์โควิด 19

“วันนี้สิ่งที่ผมต้องการจะผลักดันให้กับชาว กทม.ก็คือการสร้างงาน สร้างอาชีพ หาเงินทุน แก้ปัญหาปากท้อง นโยบายกองทุน SE ไม่ใช่นโยบายขายฝัน เราทำได้จริง และเราพร้อมจะผลักดัน Soft Power ด้านการท่องเที่ยว ให้มีคนเข้ามาเที่ยวในชุมชน ในเขต รวมถึงผลิตสินค้า หรือบริการประจำถิ่นมาขาย โดยพรรคพลังประชารัฐ จะเพิ่มความเป็นได้ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนให้ง่ายขึ้นด้วยกองทุน SE เพื่อที่คนรุ่นใหม่หางานได้ คนรุ่นใหญ่มีงานทำ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 เมษายน 2566

“ศ.ดร.นฤมล”เปิดติวเข้มผู้สมัครทุกเขตเข้าใจค่าใช้จ่ายในการหาเสียง ลงบันทึกแม่นยำอย่างถูกต้องตามประกาศกกต.ลดช่องว่างถูกร้องเรียน

,

“ศ.ดร.นฤมล”เปิดติวเข้มผู้สมัครทุกเขตเข้าใจค่าใช้จ่ายในการหาเสียง ลงบันทึกแม่นยำอย่างถูกต้องตามประกาศกกต.ลดช่องว่างถูกร้องเรียน

1 เมษายน 2566 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นประธานในการเปิดกิจกรรมฝึกอบรม ว่าที่ผู้สมัครและตัวแทนว่าที่ผู้สมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566 ที่พรรคพลังประชารัฐ เพื่อให้ดำเนินการจัดทำบัญชีรายรับและรายจ่ายในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประจำปี 2566 ให้เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.) ในเรื่อง กำหนดจำนวนเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง โดยมีนายวรวงศ์ ระฆังทอง นายกสมาคมผู้สอบบัญชีภาษีอากรแห่งประเทศไทย เป็นวิทยากรให้ความรู้ ความเข้าใจในกิจกรรมอบรมครั้งนี้

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า พรรคมีความเป็นห่วงใยในว่าที่ผู้สมัครของพรรคทุกคน ในเรื่องข้อปฎิบัติ และระเบียบกกต. เนื่องจาก การจัดการเลือกตั้งแต่ละปีมีความแตกต่างกันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2554 ปี2562 และปี 2566 แต่ละปีมีระเบียบ การแสดงบัญชีรายจ่าย ในการหาเสียงเลือกตั้งที่เปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึงกฎระเบียบ ไม่เฉพาะเรื่องการเงิน รวมถึงวิธีการรณรงค์หาเสียงที่เปลี่ยนไป ดังนั้นสำคัญอย่างยิ่ง ว่าที่ผู้สมัคร 400 เขต ต้องมีความเข้าใจในระเบียบ และวิธีปฏิบัติและการลงบัญชีให้ถูกต้อง เพื่อลดช่องว่างการถูกร้องเรียนจากการเลือกตั้ง เพราะว่าที่ผู้สมัครส่วนใหญ่กว่า300 คนเป็นว่าที่ผู้สมัครหน้าใหม่ ไม่เคยลงรับเลือกตั้งในสนามใหญ่ จำเป็นต้องให้ความรู้และความช่วยเหลือ เพื่อการเตรียมความพร้อมการเข้าไปทำหน้าที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ในสภาฯได้อย่างสมบูรณ์

“ พรรค พร้อมให้การสนับสนุนทุกเรื่องอย่างเต็มที่ หากมีข้อข้องใจ พร้อมให้คำปรึกษาในการจัดทำบัญชี และการแสดงหลักฐานค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้เป็นไปตามระเบียบทุกประการ ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องการให้สมาชิกของพรรค ทุกคนมีแผน และความพร้อมทุกด้านในการลงพื้นที่ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ไม่มีปัญหา อุปสรรคใดๆในระหว่างการหาเสียง เพื่อให้ทุกคนสามารถมีโอกาสเป็นตัวแทนของพรรค โดยไม่ถูกโต้แย้งหรือร้องเรียน จากทุกฝ่าย”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 เมษายน 2566