โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

วัน: 9 เมษายน 2023

พปชร.เปิดศูนย์ประสานงานผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขตลาดกระบัง “บุญส่ง เต๋งจงดี” เบอร์1 พร้อมทำงานพื้นที่ทัดเทียมเขตอื่นในกทม.

,

พปชร.เปิดศูนย์ประสานงานผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขตลาดกระบัง
“บุญส่ง เต๋งจงดี” เบอร์1 พร้อมทำงานพื้นที่ทัดเทียมเขตอื่นในกทม.

วันที่ 9 เมษายน 2566 พรรคพลังประชารัฐเปิดศูนย์ประสานงานการเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 20 เขตลาดกระบัง (ยกเว้นแขวงลำปลาทิว) โดยนายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานเปิดศูนย์ให้ นายบุญส่ง เต๋งจงดี ผู้สมัครหมายเลข 1 เพื่อใช้ในกิจกรรมการหาเสียงเลือกตั้ง และรับข้อเสนอจากประชาชน ที่จะนำไปสู่การทำนโยบายเพื่อการพัฒนาพื้นที่

นายบุญส่ง เต๋งจงดี ผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 20 เขตลาดกระบัง (ยกเว้นแขวงลำปลาทิว) หมายเลข 1 กล่าวว่า ตนอยากให้เขตลาดกระบังเปลี่ยนแปลง ไปในทิศทางที่ดีขึ้น ด้วยนโยบายที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และคุณสกลธี ภัททิยกุล นำเสนอ เขตลาดกระบัง ซึ่งเป็นพื้นที่ชานเมือง มีปัญหาที่หลากหลาย แต่ตนได้ลงพื้นที่ จัดลำดับปัญหาทั้งหมดไว้แล้ว หากพี่น้องชาวลาดกระบังให้โอกาส ตนพร้อมทำงานได้ทันที

ด้าน นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหาร ในฐานะหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ตนพูดคุยกับนายบุญส่งมานาน มั่นใจว่าเลือกไม่ผิดคน 4 ปีที่แล้วพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ ส.ส.ในเขตลาดกระบัง ครั้งนี้ขอให้โอกาสนายบุญส่งได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงเขตลาดกระบังให้ดีขึ้น

นายสกลธีกล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐมีอดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจหลายคน นโยบายที่ออกมาจึงเน้นไปที่การดูแลปากท้องพี่น้องเป็นสำคัญ เช่น การเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 700 บาท พร้อมเพิ่มวงเงินประกันชีวิต 2 แสนบาท และมีเงินกู้ประกอบอาชีพอีก 5 หมื่นบาท นอกจากนี้ยังเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็น 3,000 – 5,000 บาท

“เราไม่ได้แจกเงินหว่านเหมือนบางนโยบาย การแจกเงินมันง่ายเหมือนไม่ได้คิดอะไร เราให้กลุ่มเปราะบางที่ต้องดูแล”

นายสกลธีกล่าวว่า เขตลาดกระบังจะพัฒนาขึ้นอย่างเห็นผลแน่นอน ตนเคยเป็นรองผู้ว่าฯ รู้ว่าหากให้ท้องถิ่นเป็นผู้พัฒนาฝ่ายเดียวไม่ไหว พรรคพลังประชารัฐจึงจะมีกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาท
มาแก้ไขปัญหาทั้งประเทศ เขตลาดกระบังจะได้มีเงินมาช่วยสร้างรถไฟฟ้า สร้างระบบขนส่งสาธารณะ หากพี่น้องชาวลาดกระบังเลือกนายบุญส่ง เบอร์ 1 เลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 ให้เป็นรัฐบาล สิ่งดีๆ เหล่านี้เกิดแน่นอน

“พื้นที่โซนกรุงเทพตะวันออกมีศักยภาพพัฒนาได้อีกมาก พรรคพลังประชารัฐตั้งเป้าหมายให้ทั้ง 50 เขตของกรุงเทพมีความเจริญทัดเทียมกัน ตอนนี้เขตพื้นที่ชั้นในหนาแน่นแล้ว แต่โซนกรุงเทพตะวันออกยัง สามารถรองรับการขยายตัวของเมืองได้ สามารถเป็นครัวของกรุงเทพได้ แต่ต้องได้คนมีความรู้มาช่วย ตนจึงขอโอกาสให้นายบุญส่ง เบอร์ 1 และพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 ด้วย”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 เมษายน 2566

“ศ.ดร.นฤมล”ย้ำนโยบายต้องทำได้จริง ลดพึ่งงบประมาณ ดึงเอกชน-ปชช.มีส่วนร่วมพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคมสร้างศก.ไทยเข้มแข็ง

,

“ศ.ดร.นฤมล”ย้ำนโยบายต้องทำได้จริง ลดพึ่งงบประมาณ
ดึงเอกชน-ปชช.มีส่วนร่วมพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคมสร้างศก.ไทยเข้มแข็ง

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ กรรมการบริหารพรรค-เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เปิดเผยว่า นโยบายของพปชร.มุ่งเน้นการทำได้จริงไม่ใช่เป็นแค่การหาเสียงเพื่อให้ได้คะแนนและเมื่อทำแล้วจะมีคำตอบว่าใช้งบประมาณของประเทศหรือไม่ อย่างไร รวมไปถึงแหล่งรายได้ที่จะเกิดขึ้น และที่สำคัญนโยบายต่างๆ ของพปชร.จะมองแบบครบวงจรเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดทั้งการดำเนินงานและการใช้งบประมาณ

“ คำว่านโยบาย ถ้าแปลกันจริงๆ ต้องเป็นเรื่องที่มองระยะยาว ประเภททำเป็นปีแล้วเลิก หรือแค่มาเขียนบนป้ายหาเสียงไว้เฉยๆ เพื่อให้ได้คะแนน แบบนี้สำหรับพปชร.เราไม่เรียกว่านโยบาย เปรียบเสมือนองค์กรเราจะเลือกผู้นำหรือทีมบริหารเราก็ต้องดูทีมดังกล่าวมีศักยภาพ มีวิสัยทัศน์อย่างไร ไม่ใช่แข่งกันว่าใครใช้เงินเก่งกว่ากัน แต่ไม่พูดเลยว่าหาเงิน รายได้จากไหนพูดแต่จะจ่ายอย่างเดียว ”ศ.ดร.นฤมลกล่าวย้ำ

สำหรับนโยบายพปชร.จะมีการสื่อสาร 2 ระดับคือชุดนโยบายจริงๆ ที่จะมีเรื่องของการหารายได้และรายได้ที่จะได้มาในการนำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ ผู้มีรายได้น้อย ซึ่งในป้ายหาเสียงอาจเห็นเพียงบางส่วนต้องมองภาพรวมทั้งก้อน ต้องคิดครบวงจรและอยากให้ทุกพรรคการเมืองคิดแบบครบวงจรจริงๆ โดยแหล่งรายได้ที่จะนำมาทำนโยบายที่พรรคหาเสียงไว้ ซึ่งไทยมีรายได้แต่ละปีมาจากการจัดเก็บภาษีต่างๆอยู่ 2.4-2.5 ล้านล้านบาทที่ไม่เพียงพอรายจ่ายที่มีกันอยู่ราว 3.2-3.3 ล้านล้านบาทต่อปีจะสามารถเพิ่มส่วนนี้อย่างไร โดยปัจจุบันมีการกู้อยู่ประมาณ 7 แสนล้านบาทซึ่งเงินกู้นี้ทำได้อย่างเดียวตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ฯ บัญญัติไว้ว่า งบประมาณรายจ่ายเพื่อการลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศต้องมีไม่ต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ของวงเงินทั้งหมดในร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีในแต่ละปี

ด้วยข้อจำกัดในการเพิ่มรายได้จากการเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้นคงยากและการกู้คงมากไปกว่านี้ไม่ได้เพราะติดเพดานหนี้สาธารณะ จึงมองการหาแหล่งรายได้จากทางอื่นคือการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน หมายถึง การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public. Private Partnership หรือ PPP)เพื่อลดภาระรายได้ที่จะได้มาจากการเก็บภาษี และอีกส่วนหนึ่งคือการใช้ศักยภาพของตลาดทุนโดยการตั้งกองทุนเพื่อระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่จะเป็นเม็ดเงินลงทุนทั้งจากนักลงทุนในไทยและต่างประเทศ แล้วก็นำเม็ดเงินดังกล่าวมาสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ ฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ เช่นการสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพ หรือธุรกิจเพื่อสังคมหรือ Social Enterprise (SE) ก็จะทำให้เกิดธุรกิจเหล่านี้ขึ้นมากมายในประเทศ และจะทำให้ออกจากกลไกการใช้หน่วยงานราชการไปขับเคลื่อน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 เมษายน 2566