โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: ข่าวประชาสัมพันธ์

“รมช.อธิรัฐ”ลงพื้นที่เยี่ยมปชช.ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย มอบสิ่งของบรรเทาทุกข์เบื้องต้นในอ.ลำทะเมนชัย

, , ,

“รมช.อธิรัฐ”ลงพื้นที่เยี่ยมปชช.ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
มอบสิ่งของบรรเทาทุกข์เบื้องต้นในอ.ลำทะเมนชัย

“รมช.อธิรัฐ”เยี่ยมประชาชนมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่ได้รับผลกระทบอุทกภัย อ.ลำทะเมนชัย!!! ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ อ.ลำทะเมนชัย จ.นครราชสีมา เยี่ยมและให้กำลังใจ ผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม พร้อมมอบข้าวสารอาหารแห้ง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น ที่วัดบ้านหนองโปร่ง เทศบาลตำบลหนองบัววง ศาลาประชาคมบ้านหนองบัวใหญ่ เทศบาลตำบลหนองบัววง และศาลาวัดศิริชัย เทศบาลตำบลหนองบัววง

พรรคพลังประชารัฐ เดินหน้าในการเข้าถึงดูแลประชาชนเป็นไปตามนโยบาย ที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้กินดีอยู่ดี พร้อมการเข้าไปรับฟังปัญหา ความเดือดร้อนนำมาสู่การแก้ไขต่อไป โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและยั่งยืน


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 21 สิงหาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”พอใจผลการขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาที่ทำกิน กลุ่มเกษตรกรส่งคำขอบคุณช่วยพัฒนาอาชีพยกระดับรายได้

, , ,

“พล.อ.ประวิตร” พอใจผลการขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาที่ทำกิน
กลุ่มเกษตรกรส่งคำขอบคุณช่วยพัฒนาอาชีพยกระดับรายได้

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เปิดเผยว่าหลังจากที่ได้มอบหมาย ให้พล.ต.อ. เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน ประธานบอร์ด บจธ. (ธนาคารที่ดิน)ในการติดตาม โครงการบริหารจัดการที่ดิน อย่างยั่งยืน 12 พื้นที่ 8จังหวัด” เพื่อช่วยเหลือดูแล พี่น้องเกษตรกร ในการพัฒนาที่ดินทำกิน เพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้อย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามหลักศาสตร์พระราชาพร้อมมีการตรวจเยี่ยมเกษตรกร 8 จังหวัด 12 วิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศ ซึ่งเกษตรกรให้การตอบรับและ กล่าวขอบคุณ พลเอกประวิตร และหน่วยงาน บจธ. ที่ได้ให้ความช่วยเหลือ เพราะโครงการนี้ จะส่งผลให้พี่น้องเกษตรกรทุกครัวเรือนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถมีรายได้เลี้ยงตนเองอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้จากการตรวจเยี่ยมที่ผ่านมามีตัวแทนเกษตร พอใจกับการดำเนินโครงการดังกล่าว ส่วนใหญ่เน้นย้ำว่า โครงการต่างๆมีส่วนสำคัญ ต่อการสร้างความเป็นอยู่ทีดีขึ้น ในพื้นที่ ทั้งการพัฒนาอาชีพ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการสร้างรายได้ที่มั่นคง สะท้อนความเห็นได้จาก นางสุมิตรา จันทราพูน สมาชิกวิสาหกิจชุมชนศาสตร์พระราชาบ้านมั่นคงเมืองแม่สอด ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก ได้กล่าวว่า นับเป็นความช่วยเหลือของพล.อ. ประวิตร ที่ได้เร่งรัดให้หน่วยงานต่างๆ บูรณาการร่วมกันเพื่อพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานให้แก่ชุมชนของเรา อาทิ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอแม่สอด สำนักงานทรัพยากรน้ำบาดาล กำแพงเพชร การประปาส่วนภูมิภาคแม่สอด องค์การบริหารส่วนตำบลแม่ปะ หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 33

“โดยในวันที่ 23 สิงหาคม 2565 นายสมชัย เจริญกิจรุ่งโรจน์ ผวจ.ตาก นัดประชุมทุกภาคส่วนงานที่รับผิดชอบร่วมหารือแนวทางการบูรณาการพัฒนาพื้นที่ ในพื้นที่ พี่น้องเราต้องขอขอบคุณทาง บจธ. ที่ช่วยประสานงานในทุกๆเรื่องให้ จากเรื่องที่เราคิดว่ายากก็เป็นเรื่องง่าย ต่อไปเราก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากระบบโครงสร้างพื้นฐาน ถนนดี มีน้ำบริโภค มีน้ำใช้ในการเกษตร มีไฟฟ้าส่องสว่าง แค่นี้พวกเราก็พอใจแล้ว ขอบคุณ บจธ. และทุกๆ หน่วยงาน”

นอกจากนี้ยังมี ผู้แทนสมาชิกวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปฏิรูปที่ดินบ้านห้วยม่วงเพื่อการผลิตลำไยคุณภาพ โดยนายศักยะ ตั้งอยู่ ยังออกมาขอบคุณนโยบายรัฐบาล รองนายกรัฐมนตรีพลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณ บจธ. ช่วยเหลือให้พี่น้องกลุ่มวิสาหกิจชุมชนมีที่ดินที่มั่นคง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และตั้งใจที่จะรักษาที่ดินสืบทอดไว้ให้กับลูกหลาน ตามนโยบายของรัฐที่ต้องการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดิน และลดปัญหาความยากจนของประชาชน

อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินโครงการดังกล่าว สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน ได้ร่วมประสานงานกับทุกหน่วยงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคร่วมบูรณาการสนับสนุน และพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน ให้แก่กลุ่มเกษตรกรในพื้นที่โครงการฯ เพื่อเร่งสร้างความเข้มแข็งให้วิสาหกิจชุมชนเป็นต้นแบบให้แก่ชุมชนอื่นๆ ได้ในอนาคต โดยผลจากการที่ บจธ. ได้จัดให้ผู้บริหารส่วนราชการต่างๆ ได้ร่วมกันตรวจเยี่ยมผ่านระบบวิดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ เพื่อรับทราบปัญหาอุปสรรคในพื้นที่ พลเอกประวิตร ได้สั่งการทันที ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาในพื้นที่ของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนได้อย่างรวดเร็ว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 สิงหาคม 2565

“รมว.ตรีนุช” ดึงเทคโนโลยี-นวัตกรรมเสริมคุณภาพการศึกษา ปูทางเด็กไทยต่อยอดประกอบอาชีพเกษตรยุคใหม่

“รมว.ตรีนุช” ดึงเทคโนโลยี-นวัตกรรมเสริมคุณภาพการศึกษา ปูทางเด็กไทยต่อยอดประกอบอาชีพเกษตรยุคใหม่

, ,

(16 ส.ค.2565) นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ตนได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการจัดการเรียนการสอนของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี(วษท.)บุรีรัมย์ เพื่อให้กำลังใจนักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษาของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี(วษท.)บุรีรัมย์ ซึ่งพบว่า ที่ วษท.บุรีรัมย์ มีการอบรมเชิงปฏิบัติการ การจัดการเรียนการสอนแบบฐานอาชีพ มีระบบดูแลเด็กนักเรียนและระบบการจัดการเรียนการสอนที่ดี โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาหลักสูตรที่มีลักษณะเป็น block course ซึ่งสามารถเรียนและประกอบอาชีพได้ภายในหนึ่งภาคเรียน รวมถึงการอบรมครูและปรับทัศนคติของครู ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในการจัดการเรียนรู้ทางด้านเกษตร ซึ่งการทำการเกษตรในยุคใหม่จะนำนวัตกรรม smart farming มาใช้ในการลดต้นทุน ลดแรงงานในการจัดการ ผู้เรียนได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับเนื้อหาในการเรียนรู้สู่การเป็นผู้ประกอบการ มุ่งเน้นให้นักเรียน นักศึกษาอาชีวะได้เรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง เพื่อสามารถต่อยอดในการประกอบอาชีพได้ในอนาคตด้วย

รมว.ศธ. กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ตนยังได้ตรวจเยี่ยมโรงงานแปรรูปนม ของ วษท.บุรีรัมย์ ซึ่งมีการผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ที่มีคุณภาพให้ได้มาตรฐาน GMP ปลอดภัยต่อผู้บริโภคทุกคน ตามหลักการอาหารปลอดภัย (Food Safety) โดยเฉพาะผู้บริโภคที่เป็นเด็กนักเรียนในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนโดยทางวิทยาลัยฯ ได้ทำข้อตกลงซื้อขายน้ำนมดิบจากวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้เลี้ยงโคนมปากช่อง โดยได้รับสิทธิ์ในการจัดสรร ในปีการศึกษา 2564 จำนวน 39,970 ถุงต่อวัน ทั้งนี้ น้ำนมดิบในช่วงเปิดภาคเรียนจะนำมาแปรรูปเป็นนมพาสเจอร์ไรส์ และจำหน่ายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อให้นักเรียนในโรงเรียนจังหวัดบุรีรัมย์ได้ดื่มนมโคสดแท้ เป็นการปลูกจิตสำนึกให้นักเรียนรักบ้านเกิด และมีสุขภาพอนามัยแข็งแรง เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนตามที่รัฐบาลวางเป้าหมายไว้

นอกจากนี้โรงงานแปรรูปนม วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีบุรีรัมย์ยังเป็นแหล่งศึกษาดูงาน ของนักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไปที่สนใจ มีการรับนักเรียน นักศึกษาของวิทยาลัยฯ และสถาบันการศึกษาอื่นเข้าร่วมฝึกงาน อีกทั้งมีการต่อยอดนำรายได้จากการดำเนินงานเข้าเป็นรายได้สถานศึกษา เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนา สถานศึกษา และการจัดการเรียนการสอนของวิทยาลัยฯ อีกด้วย.

“รมว.ตรีนุช” ดึงเทคโนโลยี-นวัตกรรมเสริมคุณภาพการศึกษา ปูทางเด็กไทยต่อยอดประกอบอาชีพเกษตรยุคใหม่ “รมว.ตรีนุช” ดึงเทคโนโลยี-นวัตกรรมเสริมคุณภาพการศึกษา ปูทางเด็กไทยต่อยอดประกอบอาชีพเกษตรยุคใหม่ “รมว.ตรีนุช” ดึงเทคโนโลยี-นวัตกรรมเสริมคุณภาพการศึกษา ปูทางเด็กไทยต่อยอดประกอบอาชีพเกษตรยุคใหม่ “รมว.ตรีนุช” ดึงเทคโนโลยี-นวัตกรรมเสริมคุณภาพการศึกษา ปูทางเด็กไทยต่อยอดประกอบอาชีพเกษตรยุคใหม่

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 16 สิงหาคม 2565

“รมว. ตรีนุช”เปิดตัวคลังข้อมูลดิจิทัลครู-บุคลากรสพฐ. ยกระดับการสอนในระบบการศึกษาไทย

,

“รมว. ตรีนุช”เปิดตัวคลังข้อมูลดิจิทัลครู-บุคลากรสพฐ.
ยกระดับการสอนในระบบการศึกษาไทย

วันนี้ (11 ส.ค.2565) ที่ นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวตอนหนึ่งในการเป็นประธานเปิดระบบ HRMS.OBEC ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบราชการ และแนวทางการปฏิบัติงานในภาครัฐให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการ หรือที่เรียกว่ารัฐบาล 4.0 และตั้งแต่ตนเข้ามารับตำแหน่ง รมว.ศธ.ก็มีนโยบายให้พัฒนาประสิทธิภาพการบริหารและการจัดการศึกษาของประเทศ ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ รวมถึงการพัฒนาการจัดเก็บข้อมูล หรือ Big Data อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ข้อมูลภาพรวมการศึกษาของประเทศที่มีความครบถ้วน สมบูรณ์ ถูกต้องเป็นปัจจุบัน และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง โดยกำหนดเป็นหนึ่งใน 7 วาระเร่งด่วนของ ศธ.และวันนี้เป็นเรื่องน่ายินดี ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ยกระดับการบริหารจัดการระบบฐานข้อมูลของครูและบุคลากรในสังกัด สพฐ.ทั่วประเทศ โดยจัดทำระบบ HRMS.OBEC (เอช-อาร์-เอ็ม-เอส-ดอท-โอ-เบค) ได้สำเร็จ ตามที่ ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ได้นำเสนอไว้ และนำมาใช้งานอย่างเป็นรูปธรรมแล้วในปีการศึกษานี้

นางสาวตรีนุช กล่าวต่อไปว่า HRMS.OBEC เป็นระบบการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล ที่ สพฐ.นำมาใช้จัดเก็บฐานข้อมูลครูและบุคลากรทางการศึกษาของ สพฐ. โดยมีเจ้าหน้าที่สำนักเขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดเก็บรักษาข้อมูล ควบคุมการเข้าถึงข้อมูล สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการคาดการณ์และวิเคราะห์ที่แม่นยำมากขึ้น ทำให้ส่วนราชการมีข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหารงานบุคคลที่เป็นปัจจุบันแบบ Real Time ประหยัดเวลาในการรายงานและสืบค้นข้อมูล ลดกระบวนการที่ซ้ำซ้อน ช่วยลดภาระการทำงานของครูและบุคลากรทางการศึกษา ทำให้ครูได้มีเวลาในการจัดการเรียนการสอนอย่างเต็มประสิทธิภาพ

“ HRMS.OBEC เป็นผลงานของข้าราชการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ (สพร.) สพฐ. ที่ได้พัฒนาโปรแกรมขึ้นมาด้วยความรู้ความสามารถของข้าราชการในสังกัด สพฐ.เอง ดิฉันขอชื่นชมผลงานที่เป็นที่ประจักษ์อีกครั้ง ซึ่งระบบฐานข้อมูลนับเป็นหัวใจ และเป็นรากฐานที่สำคัญในการบริหารงานราชการ ไม่เพียงประโยชน์จะเกิดภายใน สพฐ. แต่สามารถนำมาขยายผล และต่อยอดกับหลายส่วนงานใน ศธ.เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดต่อระบบการบริหารการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมต่อข้อมูลกับระบบ DPA (Digital Performance Appraisal) ของทางสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ที่ใช้ในการประเมินวิทยฐานะของครูผ่านระบบดิจิทัล สร้างความโปร่งใส ความเป็นธรรมต่อระบบการประเมินวิทยฐานะ และเป็นการยกระดับวิชาชีพครูให้ได้รับการยอมรับมากขึ้น และจะมีส่วนสำคัญต่อการยกระดับการบริหารจัดการฐานข้อมูลของ ศธ.ให้เป็นหนึ่งเดียว” นางสาวตรีนุช กล่าว

รมว.ศธ. กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันฐานข้อมูลในระบบ HRMS.OBEC จะเป็นฐานข้อมูลที่สำคัญ ในการส่งต่อให้แก่สถาบันอุดมศึกษา เพื่อการวางแผน และเตรียมการในการผลิตบุคลากรด้านการศึกษาของประเทศ ได้ในปริมาณที่ตรงกับความต้องการ สอดรับกับการแผนอัตรากำลัง รวมถึงการวางแผนพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ทั้งในภาพของ ศธ. และการบริหารจัดการในระดับพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้สามารถได้ครู และบุคลากรทางการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ และส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพทางการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนในทุกพื้นที่ได้ดียิ่งขึ้น จากนี้ไปข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากระบบ HRMS.OBEC จะกลายเป็น big data ที่สำคัญของ ศธ.ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และสามารถบอกกล่าวได้ว่า การบริหารทรัพยากรบุคคลของ ศธ.เป็นการวางแผนเพื่อยกระดับคุณภาพทางการศึกษา และนำไปสู่การพัฒนาประเทศได้อย่างแท้จริง.

ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 11 สิงหาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร” บรรลุเป้าหมายเพิ่มพื้นป่าตามข้อตกลงเอเปก ร่วมฟื้นฟูป่าไม้ 27.9 ล้านเฮกตาร์ใช้หลัก BCG สร้างประโยชน์ ปชช.

, , ,

“พล.อ.ประวิตร” บรรลุเป้าหมายเพิ่มพื้นป่าตามข้อตกลงเอเปก
ร่วมฟื้นฟูป่าไม้ 27.9 ล้านเฮกตาร์ใช้หลัก BCG สร้างประโยชน์ ปชช.

พล.อ.ประวิตร ประชุม คกก.”ป่าไม้แห่งชาติ” เตรียมเสนอเป็นเจ้าภาพ IUFRO 2029 ภายใต้ แนวคิด “Open Connect Balance” มุ่งยกฐานะไทย ขึ้นเทียบเท่าเวทีโลก พอใจผลสำเร็จดูแลป่า ได้ตามเป้า APEC

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่2/2565 ณ ห้องประชุม มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านระบบ VDO CONFERENCE กล่าวถึงความสำเร็จของการดำเนินงานด้านป่าไม้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่สามารถเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ได้ 27.9 ล้านเฮกตาร์ เป็นการแสดงเจตจำนงที่จะดำเนินการตามพันธกิจของ APEC เกี่ยวกับการจัดการป่าไม้ นำไปสู่ความยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมการประยุกต์ใช้แนวทาง เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว(BCG) และได้กำชับหน่วยงน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม (ทส.) ในการขับเคลื่อนการฟื้นฟูผืนป่าอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรลุผลสำเร็จตามกรอบเป้าหมายของAPEC พร้อมให้เร่งดำเนินการต่อเนื่อง ตามที่คณะกรรมการฯ ได้ผ่านความเห็นชอบแล้ว เพื่อนำเสนอ ครม.ต่อไป โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดกับประชาชน และประเทศชาติ ตามนโยบายของรัฐบาล รวมถึงต้องสร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้รับทราบการดำเนินงานของภาครัฐ ควบคู่กันไปด้วย

พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกรองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ประชุม ได้รับทราบความคืบหน้าการเสนอตัว เป็นเจ้าภาพจัดประชุม The World Congress of the International Union of Forest Research Organization ครั้งที่ 27 (IUFRO 2029) เป็นการประชุมด้านการป่าไม้ที่ใหญ่ที่สุด ของโลก เป็นการรวมนักวิจัยจากทั่วทุกมุมโลก ประมาณ 5,000 คน และจัดขึ้นเป็นประจำทุก 5ปี โดยคณะวนศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ และ ทส.จะดำเนินการในนามประเทศไทย

นอกจากนี้ที่ประชุม ยังได้เห็นชอบ(ร่าง)ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องกำหนดให้ไม้ท่อนและไม้แปรรูปเป็นสินค้าที่ต้องห้าม หรือต้องมีหนังสือรับรองและให้สิ่งประดิษฐ์ของไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองใน”การนำเข้า”มาในราชอาณาจักร พ.ศ… และเห็นชอบ(ร่าง)ประกาศ พณ.เรื่องกำหนดให้ไม้พะยูงเป็นสินค้าที่ต้องห้าม ให้ไม้ท่อน ไม้แปรรูป และไม้ล้อมบางชนิดเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตและให้สิ่งประดิษฐ์ของไม้และถ่านไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองใน”การส่งออก”ไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ…โดยมอบให้กรมการค้าต่างประเทศ ดำเนินการเพื่อเสนอ ครม.ต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 สิงหาคม 2565

“รมช.สันติ”ร่วมแถลงข่าว เปิดปชช.จอง-จัดจำหน่ายเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก เฉลิมพระเกียรติราชินีพันปีหลวงฯ 12 สิงหาคม 2565

,

“รมช.สันติ”ร่วมแถลงข่าว เปิดปชช.จอง-จัดจำหน่ายเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก
 เฉลิมพระเกียรติราชินีพันปีหลวงฯ12 สิงหาคม 2565

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 ชั้น 4 กระทรวงการคลัง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง และนายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมธนารักษ์ แถลงข่าวเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก และเหรียญเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา ในวันที่ 12 สิงหาคม 2565

ทั้งนี้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ จัดทําเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกและเหรียญที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ ที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อประโยชน์สุขของราษฎรและความอุดมสมบูรณ์แก่แผ่นดินตลอดมา ตลอดจน การส่งเสริมศิลปาชีพในงานหัตถศิลป์หลากหลายแขนง ก่อให้เกิดการทํานุบํารุง สืบทอดงานศิลปะอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่องจนศิลปะไทย อันเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของไทย สร้างชื่อเสียงไปยังนานาประเทศทั่วโลก และเป็นการยกฐานะความเป็นอยู่ ของประชาชนชาวไทย สําหรับการจัดทําเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก และเหรียญเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 ในครั้งนี้ ประกอบด้วย
เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 4 ชนิด ได้แก่

  • ทองคำขัดเงา ชนิดราคา 20,000 บาท จำหน่ายราคา 40,000 บาท
  • เงินขัดเงา ชนิดราคา 1,000 บาท จําหน่ายราคา 3,000 บาท
  • โลหะสีขาวขัดเงา (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคา 20 บาท จําหน่ายราคา 200 บาท
  • โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคา 20 บาท จ่ายแลกราคา 20 บาท

เหรียญเฉลิมพระเกียรติ (เหรียญที่ระลึกประดับแพรแถบ) เหรียญเงิน ชนิดบุรุษและสตรี จําหน่ายราคาเหรียญละ 1,600 บาท

โดยเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกทั้ง 2 แบบ ด้านหน้า กลางเหรียญมีพระรูปสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และด้านหลัง กลางเหรียญมีอักษรพระนามาภิไธย “ส.ก.” โดยเปิดจําหน่าย จ่ายแลก ตั้งแต่ในวันที่ 11 สิงหาคม นี้ เป็นต้นไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 สิงหาคม 2565

ส..ส.พปชร. สุโขทัย วางพานพุ่ม-เปิดกรวยสักการะกิจกรรมชุมชนสตรี เนื่องในวันแม่แห่งชาติ

ส.ส.พปชร. สุโขทัย วางพานพุ่ม-เปิดกรวยสักการะกิจกรรมชุมชนสตรี เนื่องในวันแม่แห่งชาติ

, ,

พรรคพลังประชารัฐ โดย “ส.ส.พรรณสิริ กุลนาถศิริ ฟปชร.จ.สุโขทัย” เป็นประธานวางพานพุ่มและเปิดกรวยสักการะ เปิดกิจกรรมชุมนุมสตรี เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2565 โดยมีนางผ่องนภา เนียมน่วม ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีอำเภอเมืองสุโขทัย นางผ่องนภา เนียมน่วม ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีอำเภอ พร้อมด้วยส่วนราชการ ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนันผู้ใหญ่บ้าน พลังสตรีอำเภอเมืองสุโขทัย เข้าร่วมงานในครั้งนี้

ทั้งนี้ ภายในงานมีพิธีมอบประกาศเกียรติคุณสตรีดีเด่น มอบทุนการศึกษาเด็ก กิจกรรมประกวดเดินแบบแฟชั่น บูธแสดงสินค้าประจำตำบล และกิจกรรมการแสดงร้องเพลงลูกทุ่งของแต่ละตำบล โดยมีประชาชนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม 1,000 คน ณ โรงยิมโรงเรียนบ้านหรรษา (เจริญประชานุเคราะห์) หมู่ที่ 4 ตำบลยางซ้าย เมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย

พรรคพลังประชารัฐ เดินหน้าในการเข้าถึงดูแลประชาชนเป็นไปตามนโยบาย ที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้กินดีอยู่ดี พร้อมการเข้าไปรับฟังปัญหา ความเดือดร้อนนำมาสู่การแก้ไขต่อไป โดยเรามีเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และยั่งยืน

ส..ส.พปชร. สุโขทัย วางพานพุ่ม-เปิดกรวยสักการะกิจกรรมชุมชนสตรี เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ส..ส.พปชร. สุโขทัย วางพานพุ่ม-เปิดกรวยสักการะกิจกรรมชุมชนสตรี เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ส..ส.พปชร. สุโขทัย วางพานพุ่ม-เปิดกรวยสักการะกิจกรรมชุมชนสตรี เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ส..ส.พปชร. สุโขทัย วางพานพุ่ม-เปิดกรวยสักการะกิจกรรมชุมชนสตรี เนื่องในวันแม่แห่งชาติ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 สิงหาคม 2565

ส.ส.พปชร.เพชรบุรี มอบอุปกรณ์กีฬา ให้นักเรียน ร.ร.บ้านท่าตะคร้อ ส่งเสริมทักษะกีฬาสร้างเสริมสุขภาพ

ส.ส.พปชร.เพชรบุรี มอบอุปกรณ์กีฬา ให้นักเรียน ร.ร.บ้านท่าตะคร้อ ส่งเสริมทักษะกีฬาสร้างเสริมสุขภาพ

, ,

พรรคพลังประชารัฐ โดย “ส.ส.สุชาติ อุสาหะ พปชร. จ.เพชรบุรี” นำชุดเสื้อกีฬาและลูกวอลเล่ย์บอล มอบให้แก่นักเรียนโรงเรียนบ้านท่าตะคร้อ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับนักเรียน และใช้ในการใช้สวมใส่เพื่อการฝึกซ้อมในการแข่งขันกีฬา ทั้งนี้ ส.ส.สุชาติ ยังได้ร่วมเปิดคลินิคฝึกสอนการเล่นฟุตบอลขั้นพื้นฐานให้แก่นักเรียนโรงเรียนบ้านท่าตะคร้อ ร่วมกับสโมสรกีฬาราชประชาซึ่งนำนักฟุตบอลในสังกัดมาเก็บตัวฝึกซ้อมในพื้นที่ ณ สนามโรงเรียนบ้านท่าตะคร้อ ตำบลท่าตะคร้อ อำเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี

พรรคพลังประชารัฐ เดินหน้าในการเข้าถึงดูแลประชาชนเป็นไปตามนโยบาย ที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้กินดีอยู่ดี พร้อมการเข้าไปรับฟังปัญหา ความเดือดร้อนนำมาสู่การแก้ไขต่อไป โดยเรามีเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และยั่งยืน

ส.ส.พปชร.เพชรบุรี มอบอุปกรณ์กีฬา ให้นักเรียน ร.ร.บ้านท่าตะคร้อ ส่งเสริมทักษะกีฬาสร้างเสริมสุขภาพ ส.ส.พปชร.เพชรบุรี มอบอุปกรณ์กีฬา ให้นักเรียน ร.ร.บ้านท่าตะคร้อ ส่งเสริมทักษะกีฬาสร้างเสริมสุขภาพ ส.ส.พปชร.เพชรบุรี มอบอุปกรณ์กีฬา ให้นักเรียน ร.ร.บ้านท่าตะคร้อ ส่งเสริมทักษะกีฬาสร้างเสริมสุขภาพ ส.ส.พปชร.เพชรบุรี มอบอุปกรณ์กีฬา ให้นักเรียน ร.ร.บ้านท่าตะคร้อ ส่งเสริมทักษะกีฬาสร้างเสริมสุขภาพ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 สิงหาคม 2565

รมว.ตรีนุช”เดินหน้านโยบายการศึกษาเสมอภาค ดึงเยาวชนไทยเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มทุกระบบ

รมว.ตรีนุช”เดินหน้านโยบายการศึกษาเสมอภาค ดึงเยาวชนไทยเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มทุกระบบ

,

วันนี้ ( 9 ส.ค. 2565 ) ที่โรงแรมปรินซ์พาเลซ กรุงเทพฯ มีการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับชาติเพื่อระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับการพลิกโฉมการศึกษา (National Consultation for Transforming Education Summit) ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมี นางคยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย นายชิเกรุ อาโอยางิ ผู้อำนวยการ องค์การยูเนสโก สำนักงานกรุงเทพฯ รศ.ดร. จีระเดช อู่สวัสดิ์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการพัฒนาการศึกษาหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ดร. สัมพันธ์ ศิลปะนาฏ รองประธานสายงาน FTI Academy สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ ดร. ไกรยศ ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และคณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วม

นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ.) กล่าวเปิดการประชุมตอนหนึ่งว่า วันนี้เป็นการหารือร่วมกันของทุกภาคส่วนเพื่อแลกเปลี่ยนและกำหนดวิสัยทัศน์อนาคตด้านการศึกษา ขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิบัติที่ทำให้บรรลุเป้าหมายวาระการพัฒนาสหประชาชาติ ค.ศ. 2030 หรือ พ.ศ. 2573 และเป็นการเตรียมความพร้อมในการพลิกโฉมการศึกษาของประเทศไทย ที่จะนำไปสู่ข้อเสนอแนะ และแสดงแนวทางการศึกษาของไทยต่อที่ประชุม Transforming Education Summit (TES) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 19 กันยายน 2565 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

รมว.ศธ.กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ได้กำหนดนโยบาย และยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาไว้อย่างชัดเจน ว่า การขับเคลื่อนด้านการศึกษาๆ ต้องมุ่งเน้นถึงการสร้างโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาอย่างเสมอภาค โดยไม่มีใครตกหล่นจากระบบการศึกษา เด็กไทยทุกคนต้องได้รับการศึกษาภาคบังคับ และเป็นการศึกษาอย่างมีคุณภาพ ได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง รวมถึงมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุนการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม

“การพลิกโฉมเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของไทย เป็นประเด็นที่ท้าทายมาก โดยเฉพาะการฟื้นฟูการศึกษาหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ซึ่งระบบการศึกษาจำเป็นต้องมีการปรับตัว ให้เข้ากับสถานการณ์และโลกในยุคหลังโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลและศธ. ได้รับมือโดยให้เด็กสามารถเรียนรู้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ตามบริบทและความเหมาะสมอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การจัดการศึกษาแบบ On-Air, Online, On-Demand, On-Hand และ On-Site ซึ่งการเรียนการสอนแบบ On-Site สำคัญมากที่สุด โดยมีเป้าหมายว่าท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ทำอย่างไรเราจะมีบริบทการเรียนการสอนที่เข้าถึงนักเรียน เพื่อให้เข้าถึงกระบวนการเรียนรู้ได้มากที่สุด อีกทั้งมีการบูรณาการ ICT ในการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล ผ่านแพลตฟอร์มการเรียนรู้ และการเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ อาทิ การเรียนรู้ทางไกลผ่านดาวเทียม หรือ DLTV การเรียนรู้แบบผสมผสานสำหรับผู้ที่อยู่ห่างไกลและยากต่อการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต มุ่งเน้นให้เด็กเข้าสู่ระบบการศึกษามากที่สุด ได้กลับสู่โรงเรียนอย่างรวดเร็วที่สุด เรียนด้วยความปลอดภัยและไม่เกิดภาวะถดถอยทางการเรียนรู้” รมว.ศธ.กล่าว

นางสาวตรีนุช กล่าวด้วยว่า การศึกษาในอนาคตควรคำนึงถึงการตอบสนองต่อการพัฒนาในทุกมิติ ทั้งการยกระดับคุณภาพการศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับการประกอบอาชีพในอนาคต โดยเฉพาะเด็กอาชีวะ เรารู้ว่ากลไกที่ดีที่สุดคือการที่เด็กได้ทำงานจริงกับสถานประกอบการ หรือ ภาคเอกชน เพื่อจัดการเรียนการสอนให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสาขาอาชีพที่รวดเร็ว ตลอดจน มีทักษะในการดำรงชีพ ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะของการเป็นผู้ประกอบการ สำหรับในประเด็นการสร้างโอกาสทางการศึกษา นอกจากป้องกันเด็กตกหล่นจากระบบการศึกษาแล้ว ควรให้ความสำคัญต่อพัฒนาคนทุกช่วงวัย และการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ทั้งนี้ จากการที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ระดับรัฐมนตรีด้านการศึกษาแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 4 (การศึกษา 2030) ครั้งที่ 2 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้มีการรับรองถ้อยแถลงกรุงเทพฯ 2565 สู่การฟื้นฟูการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพเพื่อปวงชนและการเปลี่ยนแปลงการศึกษาในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ Bangkok Statement 2022 Towards an effective learning recovery for all and transforming education in Asia-Pacific จึงเป็นการเน้นย้ำว่า ประเทศไทยและภาคส่วนต่าง ๆ มีความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนด้านการศึกษา ไม่เพียงแต่ในระดับประเทศเท่านั้น แต่เป็นการฟื้นฟูและพัฒนาการศึกษาทุกมิติตามเจตนารมณ์ของภูมิภาคและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 4 อย่างเข้มแข็ง และในการประชุม Transforming Education Summit เดือนกันยายนนี้ ประเทศไทยจะได้แสดงวิสัยทัศน์ นำเสนอถ้อยแถลง รวมถึงรายงานผลการหารือระดับชาติที่ครอบคลุมแนวทางปฏิบัติการทั้ง 5 หัวข้อ ได้แก่ การศึกษาที่ครอบคลุม การเรียนรู้ ทักษะชีวิตและงาน การเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล การพัฒนาครู และงบประมาณด้านการศึกษา เพื่อนำไปสู่การพลิกโฉมการศึกษาให้สอดรับกับบริบทโลกยุคปัจจุบัน รวมถึงการนำข้อเสนอไปพัฒนาในการบรรลุตามวัตถุประสงค์ในเรื่องของการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป.

รมว.ตรีนุช”เดินหน้านโยบายการศึกษาเสมอภาค ดึงเยาวชนไทยเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มทุกระบบ รมว.ตรีนุช”เดินหน้านโยบายการศึกษาเสมอภาค ดึงเยาวชนไทยเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มทุกระบบ รมว.ตรีนุช”เดินหน้านโยบายการศึกษาเสมอภาค ดึงเยาวชนไทยเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มทุกระบบ รมว.ตรีนุช”เดินหน้านโยบายการศึกษาเสมอภาค ดึงเยาวชนไทยเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มทุกระบบ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 สิงหาคม 2565

'รมช.อธิรัฐ' เร่งมาตรการจัดการความปลอดภัยการปฏิบัติงานบนเรือ" หลังเหตุคนงานเรือถ่านหินตกกระแทกเรือ

‘รมช.อธิรัฐ’ เร่งมาตรการจัดการความปลอดภัยการปฏิบัติงานบนเรือ” หลังเหตุคนงานเรือถ่านหินตกกระแทกเรือ

, ,

นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า

ได้สั่งการให้กรมเจ้าท่า เร่งแก้ไขปัญหาคุมเข้มด้านความปลอดภัยในการปฎิบัติหน้าบนเรือ เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียขึ้นอีก การแก้ไขต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น ผู้ประกอบการท่าเรือ นายเรือ ผู้ควบคุมเรือ คนประจำเรือ ตัวแทนของบริษัทเจ้าของเรือ ตัวแทนของบริษัทเจ้าของสินค้า ผู้ปฏิบัติงาน(คนงาน) โดยให้ปฏิบัติดังนี้

  1. กำกับดูแลการปฏิบัติงานของคนงานให้ปฏิบัติตามข้อบังคับและคู่มือความปลอดภัย อบรม ฝึกซ้อม ให้เกิดความพร้อมในการปฏิบัติงานที่ปลอดภัยตลอดเวลา
  2. ตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ภายในเรือ การประเมินความเสี่ยงของเส้นทางและสภาพภูมิอากาศ
  3. การกำกับดูแลให้ผู้ปฏิบัติงานต้องใช้อุปกรณ์ความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา
  4. การฝึกเจ้าหน้าที่เรือให้มีความรู้อย่างเพียงพอในการจัดการในสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างถูกต้อง
  5. บริษัทที่จ้างคนงาน บริษัทเรือลำเลียงต้องแจ้งข้อมูลคนงาน ได้แก่ บัญชีรายชื่อ จำนวน ให้แก่นายเรือทราบ โดยนายเรือมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและความปลอดภัยในขณะที่มีการปฏิบัติงานบนเรือปฏิบัติตามปฏิบัติตามมาตรการด้านความปลอดภัยในการขนถ่ายสินค้า การบริหารจัดการความปลอดภัย และมาตรการด้านความปลอดภัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้จากกรณีเกิดอุบัติเหตุคนงานเรือถ่านหินกลางทะเล เกาะเชือกขนของลงระหว่างเรือ ร่วงตกกระแทกเรือทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยเหตุเกิดกลางทะเล ช่วงระหว่างทางเดินเรือ เกาะสีชัง เกาะลอยศรีราชา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี สาเหตุเบื้องต้นเกิดจากการลำเลียงคนงานที่ขึ้นไปทำงานสินค้าบนเรือสินค้า ชื่อ AGRI WARRIOR สัญชาติ ปานามา หลังจากคนงานปฏิบัติงานสินค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีการลำเลียงคนงานที่อยู่บนเรือสินค้ากลับลงมายังเรือเล็กเพื่อกลับขึ้นสู่ฝั่ง โดยลงมากับตาข่ายที่ใช้ขนอุปกรณ์ลงจากเรือสินค้าขณะหย่อนลงมายังเรือเล็กเชือกตาข่ายเกิดขาดทำให้คนงานตกลงมายังเรือเล็กที่รอรับอยู่ เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 5 ราย และเสียชีวิตจำนวน 1 ราย

นายอธิรัฐ กล่าวว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เกิดจากการขาดความระมัดระวังและไม่ปฎิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงาน การขนถ่ายสินค้าระหว่างเรือกับเรือ โดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการขนถ่ายสินค้า ขาดการกำกับดูแลตามมาตรการด้านความปลอดภัยในการขนถ่ายสินค้า การบริหารจัดการความปลอดภัย และจากการประเมินความเสี่ยง พบปัญหาเกิดจากบริษัทผู้ประกอบการไม่ได้ให้ความสนใจด้านความปลอดภัย ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย การตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ภายในเรือให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน และความประมาทของผู้ปฏิบัติงาน

ทั้งนี้ ได้มอบให้กรมเจ้าท่าโดย นายปรีชา เพชรเลิศ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาชลบุรี ร่วมกับ ผู้แทนสำนักงานการจราจรและความปลอดภัยทางทะเล, กองบังคับการตำรวจน้ำศรีราชา และศรชลจังหวัดชลบุรี เข้าเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเข้ารับการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลต่างๆ ดังนี้:

  • โรงพยาบาลวิภาราม จำนวน 1 ราย
  • โรงพยาบาลสมเด็จฯ จำนวน 2 ราย
  • โรงพยาบาลชลบุรี จำนวน 1 ราย
  • รักษาตัวหายกลับบ้าน จำนวน 1 ราย
  • ผู้เสียชีวิต ญาติได้นำศพไปบำเพ็ญกุศลยังวัดบางนา

'รมช.อธิรัฐ' เร่งมาตรการจัดการความปลอดภัยการปฏิบัติงานบนเรือ" หลังเหตุคนงานเรือถ่านหินตกกระแทกเรือ 'รมช.อธิรัฐ' เร่งมาตรการจัดการความปลอดภัยการปฏิบัติงานบนเรือ" หลังเหตุคนงานเรือถ่านหินตกกระแทกเรือ 'รมช.อธิรัฐ' เร่งมาตรการจัดการความปลอดภัยการปฏิบัติงานบนเรือ" หลังเหตุคนงานเรือถ่านหินตกกระแทกเรือ 'รมช.อธิรัฐ' เร่งมาตรการจัดการความปลอดภัยการปฏิบัติงานบนเรือ" หลังเหตุคนงานเรือถ่านหินตกกระแทกเรือ 'รมช.อธิรัฐ' เร่งมาตรการจัดการความปลอดภัยการปฏิบัติงานบนเรือ" หลังเหตุคนงานเรือถ่านหินตกกระแทกเรือ 'รมช.อธิรัฐ' เร่งมาตรการจัดการความปลอดภัยการปฏิบัติงานบนเรือ" หลังเหตุคนงานเรือถ่านหินตกกระแทกเรือ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 สิงหาคม2565

‘รมว.สมศักดิ์’โชว์ความสำเร็จไกล่เกลี่ยหนี้ 5.6 หมื่นราย ปลดล็อคลดภาระประชาชนทั่วประเทศกว่า 5 พันลบ.

‘รมว.สมศักดิ์’โชว์ความสำเร็จไกล่เกลี่ยหนี้ 5.6 หมื่นราย ปลดล็อคลดภาระประชาชนทั่วประเทศกว่า 5 พันลบ.

,

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า ได้ดำเนินนโยบายในการจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือนทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันดำเนินจัดงานมาแล้ว 70 ครั้ง โดยข้อมูลปัจจุบัน (ณ วันที่ 6 ส.ค. 2565 ) มีลูกหนี้ขอไกล่เกลี่ยแล้ว 59,436 ราย ไกล่เกลี่ยสำเร็จ จำนวน 56,674 ราย คิดเป็น 95.35% รวมทุนทรัพย์ 11,995 ล้านบาท ลดค่าใช้จ่ายประชาชน 5,114 ล้านบาท และเหลือการจัดงานอีก 7 ครั้ง ได้แก่ จังหวัดสระแก้ว นครนายก สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ตราด จันทบุรี และชลบุรี และจะเสร็จสิ้นภายในเดือนสิงหาคม 2556

การจัดงานที่จังหวัดนนทบุรีเป็นครั้งที่ 70 นนทบุรีถือจังหวัดเล็กอันดับ 3 ของประเทศ แต่กลับมีความหนาแน่นเป็นรองแค่กรุงเทพฯ มีหมู่บ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม กว่า 2,000 โครงการ ทั้งนี้ ภายในงานได้จัดนิทรรศการและบริการให้คำปรึกษาทางกฎหมายเกี่ยวกับการบังคับคดีให้แก่ประชาชนที่มาร่วมงาน ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก โดยมีเป้าหมายผู้ร่วมงาน จำนวน 17,479 ราย ทุนทรัพย์ทั้งสิ้น 3,431 ล้านบาท

“การจัดงานมีวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการแก้ปัญหาหนี้สิน ยุติหรือระงับข้อพิพาทแทนการถูกฟ้องบังคับคดี ตลอดจนประชาชนจะได้รับบริการที่สะดวก เป็นธรรม และเป็นการลดค่าใช้จ่าย” นายสมศักดิ์ กล่าว

นายสมศักดิ์ ยังได้มอบป้ายและเงินเยียวยาผู้เสียหายจากคดีอาญา 13 ราย เป็นเงิน 842,079 บาท มอบป้ายศูนย์ไกล่เกลี่ย 11 ศูนย์ และร่วมการไกล่เกลี่ยด้วยตนเอง โดยรายแรกเป็นหญิงสาว มีหนี้ กยศ. หลังผ่อนมา 16 ปี โดยกู้มา 179,555 บาท ชำระไป 111,370 บาท แต่ส่งไม่ตามกำหนดมีดอกเบี้ยและเบี้ยปรับทำให้ยังมียอดค้างอยู่ 68,185 บาท ผลการเจรจาได้รับส่วนลดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ 32,039 บาท คงเหลือที่จะต้องชำระ 36,145 บาท โดย กยศ.ให้ผ่อนอีก 96 เดือน งวดละ 400 บาท รายต่อมา เป็นผู้ชาย มีหนี้ กยศ. หลังศาลสั่งฟ้อง โดยกู้เงินมา 244,096 บาท มีดอกเบี้ย 26,817 บาท เบี้ยปรับ 100,584 บาท รวม 371,497 บาท และถูกศาลสั่งยึดห้องชุด คอนโดสุขุมวิทที่ใช้ค้ำประกัน โดยผลการเจรจา ได้ลดเบี้ยปรับ 100% เหลือยอดปิดหนี้ 270,913 บาท และจะได้คอนโดคืน

สำหรับงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “มีหนี้ต้องแก้ไข รุกก้าวไปอย่างยั่งยืน” มุ่งแก้ปัญหาหนี้สินในชั้นก่อนฟ้องคดี และลูกหนี้ที่อยู่ในชั้นภายหลังศาลมีคำพิพากษา อาทิ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล และหนี้เช่าซื้อรถยนต์ โดยภายในงานลูกหนี้จะได้รับข้อเสนอพิเศษจากสถาบันการเงินต่างๆ เช่น ส่วนลดดอกเบี้ย ลดค่าปรับ และขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระ เป็นต้นเพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากการลดภาระในการชำระหนี้ ทำให้มีสภาพคล่องในการประกอบอาชีพ มีความมั่นคงในการดำรงชีวิตเพิ่มขึ้น เป็นไปตามนโยบายขอพรรคพลังประชารัฐ ในการที่จะเข้าไปดูแลประชาชน ให้ทุกมิติ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง

สำหรับผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนยุติธรรม 1111 กด77 / กรมบังคับคดี 0-2881-4999 หรือสายด่วนกรมบังคับคดี 1111 กด 79 หรือ ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท 0-2881-4840 และ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ 0-2141-2768-73

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 สิงหาคม 2565

“รมช.สันติ”เร่งเยียวยาผู้ปลูกยาสูบและผู้บ่มอิสระ จ.เพชรบูรณ์ หนุนระบบเศรษฐกิจฐานรากเร่งช่วยเกษตรกรถูกลดโควต้ารับซื้อ

,

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผย ในการเป็นประธาน เปิดโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้เพาะปลูกต้นยาสูบและผู้บ่มอิสระที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบของการยาสูบแห่งประเทศไทย ฤดูกาลผลิต 2562/2563 โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ (ส.ส.) จังหวัดเพชรบูรณ์ พรรคพลังประชารัฐ ประกอบด้วย นายจักรัตน์ พั้วช่วย ส.ส. เขต 2 นางสาวพิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ ส.ส. เขต 1 นายเอี่ยม ทองใจสด ส.ส. เขต 5 นายสุรศักดิ์ ส.ส.เขต 4 ให้การต้อนรับ มีเกษตรกรปลูกยาสูบเพชรบูรณ์และตัวแทนเกษตรกรจากจังหวัดข้างเคียงเข้าร่วม ที่หอประชุมโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ (วังชมภูวิทยาคม) อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์

“ได้รับทราบสถานการณ์ความเดือดร้อนของชาวไร่ยาสูบ พร้อมหาแนวทางจัดการปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่ยาสูบจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกยาสูบพันธุ์เบอร์เลย์ อันดับสองของประเทศ หลังจาก ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2565 อนุมัติงบ 159.69 ล้านบาท เพื่อมอบเงินช่วยเหลือเกษตรกรฯ 8 จังหวัดภาคเหนือและภาคอีสาน จำนวน 14,292 ราย แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใบยา ได้แก่ 1.) ใบยาเวอร์ยิเนีย (ชาวไร่ในสังกัด 2,378 ราย ผู้บ่มอิสระ 54 ราย และชาวไร่ใบสด 1,807 ราย) 2.)ใบยาเบอร์เลย์ (ชาวไร่ในสังกัด 6,562 ราย) และ 3.)ใบยาเตอร์กิ (ชาวไร่ในสังกัด 3,491 ราย) โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินช่วยเหลือให้เกษตรกรผู้เพาะปลูกต้นยาสูบและผู้บ่มอิสระในอัตราร้อยละ 70 ของรายได้ที่หายไป โดยคำนวณเงินช่วยเหลือจากปริมาณโควต้าการผลิตใบยาที่ลดลงในฤดูกาลผลิต 2562/2563 เปรียบเทียบกับปริมาณโควตาที่ได้รับในฤดูกาลผลิต 2560/2561 คูณด้วยร้อยละ 70 ของรายได้ที่หายไป”

ความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรเพาะปลูกยาสูบ มีเกษตรกรที่อยู่ในระบบการเพาะปลูกจำนวนมาก แต่ด้วนสถานการณ์ความจำเป็นในเรื่องการดูแลสุขภาพ ทำให้รัฐบาลต้องลดปริมาณการรับซื้อ ซึ่งเป็นเงื่อนไขของกติกาการค้าโลก ดังนั้นต้องเข้าไปช่วยเหลือเกษตรในด้านต่างๆทั้งการส่งเสริมปลูกพืชทดแทน โดยการให้องค์ความรู้ รวมถึงการเข้าไปเยียวเพื่อให้เกิดการปรับตัวของเกษตรกร ซึ่งถือเป็นกลุ่มเศรษฐกิจฐานราก ที่พรรคพลังประชารัฐ มีนโยบายดูแลประชาในกลุ่มนี้ ให้สามารถมีการสร้างรายได้ และมีอาชีพที่มั่นคง

ทั้งนี้จังหวัดเพชรบูรณ์นับเป็นพื้นที่มีการเพาะปลูกไร่ยาสูบ ในฤดูกาลผลิต 2562 /2563 ที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ ยสท.และกรมสรรพสามิต ที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณรับซื้อใบยาสูบของ ยสท.จำนวน 2,337 ราย โดยอยู่ในข่ายที่ได้รับการเงินช่วยเหลือรวมวงเงิน 19.5 ล้านบาทเศษ ปัจจุบันรัฐบาลมีแนวทางสนับสนุนให้มีการเพาะปลูกพืชทดแทนการปลูกพืชยาสูบ ซึ่งเป็นผลมาจากการรับซื้อใบยาสูบลดลง จากการยาสูบแห่งประเทศไทย ในฤดูการผลิต 2562/2563 ส่งผลให้เกษตรกรผู้เพาะปลูกต้นยาสูบและผู้บ่มอิสระ จำนวนมากกว่า 50,000 ครอบครัวทั่วประเทศ ถูกลดโควตาการรับซื้อใบยาสูบลงร้อยละ 50

ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 9 สิงหาคม 2565