โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: สื่อออนไลน์

“พล.อ.ประวิตร”เร่งแปรรูปน้ำมันปาล์มสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งเสริม 8 ผลิตภัณฑ์รักษาเสถียรภาพราคาเพิ่มรายได้ยั่งยืน

,

“พล.อ.ประวิตร”เร่งแปรรูปน้ำมันปาล์มสร้างมูลค่าเพิ่ม
ส่งเสริม 8 ผลิตภัณฑ์รักษาเสถียรภาพราคาเพิ่มรายได้ยั่งยืน

เร่งส่งเสริมแปรรูปน้ำมันปาล์มสู่ผลิตภัณฑ์สร้างมูลเพิ่ม รักษาเสถียรภาพด้านราคา สร้างรายได้เกษตรมั่นคง!!!พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ได้มอบหมายให้หน่วยงาน กนป. ดูแลราคาปาล์มน้ำมันให้มีเสถียรภาพ ไม่ให้เกิดความผันผวน และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จากการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบมาเลเซียและอินโดนีเซีย พร้อมกับเร่งหามาตรการส่งเสริมสร้างมูลค่าเพิ่ม 8 ผลิตภัณฑ์เพื่อทดแทนไบโอดีเซลที่ใช้ลดลงเหลือ B5 ในช่วงวิกฤตพลังงาน

คณะอนุกรรมการทำการวิเคราะห์จัดทำข้อเสนอมาตรการเร่งด่วน ขับเคลื่อนปาล์มน้ำมันสู่พืชเศรษฐกิจมูลค่าเพิ่มแห่งอนาคตของไทย และสร้างสมดุลโครงสร้างราคาตลอดห่วงโซ่อุปสงค์อุปทานที่เป็นธรรมทั้งระบบ และรายงานผลดำเนินการ กนป. ปี 2563 ได้มีการผลักดันให้เพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซล ให้ B10 เป็นดีเซลมาตรฐาน และส่งออกน้ำมันดิบส่วนเกินในปี 2564 สูงถึงปริมาณ 6 แสนตันเศษ
โดยคาดว่าในปี 2565 นี้ ยอดส่งออกแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นราว 7 แสนตันเศษ และผลักดันมาตรการเพิ่มมูลค่าน้ำมันปาล์มดิบแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (BCG) 8 ชนิด ได้แก่ น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพ น้ำมันจาระบีชีวภาพ น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้า สารซักล้างชีวภาพ พาราฟิน สารจำกัดศัตรูพืชชีวภาพ น้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ (กรีนดีเซล) และ นำมันเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ เป็นนโยบายรัฐบาลพืชเศรษฐกิจต้นแบบ โดยอยู่ระหว่างการส่งเสริมให้มีการลงทุนผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuels – SAF) ที่สามารถนำน้ำมันไบโอดีเซล เอทานอลจากมันสำปะหลังและกากอ้อย รวมทั้งน้ำมันพืชรีไซเคิล มาใช้เป็นวัตถุดิบในการทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล ที่สามารถลดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มากถึง 80 %และเดินหน้าไทยสู่การเป็นศูนย์กลาง SAF ของภูมิภาคในปี 2566

อย่างไรก็ตามจากผลงานการกำกับดูแลนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติภายใต้การกำกับอย่างต่อเนื่อง 8 ปีที่ผ่านมา ที่ชาวสวนปาล์มทั่วประเทศชื่นชมผลงานรัฐบาล รักษาระดับราคาปาล์มทะลายให้สูงขึ้นต่อเนื่อง โดยปี 2562 ราคาเฉลี่ยทั้งปีที่ 3.11 บาท/กก. ปี 2563 เพิ่มเป็น 4.80 บาท/กก. ปี 2564 เพิ่มเป็น 6.66 บาท/กก. และ ปี 2565 คาดว่าจะเพิ่มถึง 7.50 บาท/กก. และมีการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบที่คาดว่า มีปริมาณมากถึง 1.5 ล้านตัน ทำให้ในช่วง 4 ปี ระหว่างปี 2562 – 2565 นี้ สามารถนำเงินตราเข้าประเทศได้อีกประมาณ 6 – 7 หมื่นล้านบาท ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของรัฐบาลที่สามารถช่วยเกษตรกรชาวสวนปาล์มได้ในช่วงเศรษฐกิจผันผวนระยะนี้


ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 14 สิงหาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”ประธานฯมูลนิธิป่ารอยต่อถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม

,

“พล.อ.ประวิตร”ประธานฯมูลนิธิป่ารอยต่อถวายพระพร
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม

‘ พล,อ.ประวิตร’ ประธานฯมูลนิธิป่ารอยต่อ5 จังหวัดจัดพิธีเครื่องราชสักการะ ถวายราชสดุดี และพระพรชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2565

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะ กรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดเป็นประธานในพิธีถวายเครื่องราชสักการะถวายราชสดุดี และถวายพระพรชัยมงคลเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และเพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรรษา 12 สิงหา 2565 ณ มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เขตพญาไท โดยมีคณะกรรมการมูลนิธิรวมในพิธี

ในโอกาสนี้ ประธานคณะกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 ได้กล่าวถวายราชสดุดีถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้า
สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงและกล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตในทุกๆด้านอย่างเอนกอนันต์ ทรงส่งเสริมอาชีพ พร้อมยังอนุรักษ์ส่งเสริมงานศิลปะพื้นบ้านที่มีความงดงามหลายสาขา เช่นการปั้น การทอ การจักสาน

นอกจากนี้ ยังทรงปฎิบัติพระราชกรณียกิจ ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการอนุรักษ์คุ้มครอง และฟื้นฟูและความหลากหลายทางชีวภาพอันเป็นฐานการดำรงชีวิตของพสกนิกรชาวไทยเสมอมา

ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 14 สิงหาคม 2565

‘รมว.สุชาติ’ เตรียมเสนอ ครม. เคาะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เร็วๆนี้!!!

,

‘รมว.สุชาติ’ เตรียมเสนอ ครม. เคาะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เร็วๆนี้!!!

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและ และผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เเปิดเผยถึง ความคืบหน้าการพิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ว่าจะต้องมีการปรับตามสถานการณ์ของเงินเฟ้ออยู่แล้ว โดยดูว่าฐานเงินเฟ้อในประเทศไทยเท่าไหร่ แล้วเอามาเป็นตัวหลัก ซึ่งเรื่องนี้มีไตรภาคีจังหวัดที่จะพิจารณาก่อน มีทั้งลูกจ้างนายจ้างและฝ่ายรัฐบาลอยู่ใน ไตรภาคี ที่จะสุ่มตัวเลขมาว่า พอใจที่ตัวเลขเท่าไหร่ ส่วนกลางจะมาพิจารณาอีกทีว่า ที่ไตรภาคีเสนอมานั้นเหมาะสมหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ได้ให้นโยบายกระทรวงแรงงานไปว่า การปรับค่าแรงอยากให้กระชับ ให้ช่วงสั้น ยังมีหลายกลุ่ม ส่วนการประกาศใช้ปกติ หลายคนอยากให้พูดในวันที่ 1 มกราคม แต่ในความเป็นจริงเราต้องยอมรับว่าของสินค้าต่างๆขึ้นราคาไปแล้ว ถ้าเราไปประกาศก่อน แล้วไปมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม อาจจะทำให้มีการขึ้นราคาสินค้าอีกรอบหนึ่ง ซึ่งจะไม่มีผลอะไรในการที่เราได้ปรับค่าแรง

นายสุชาติ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เท่าที่ได้พูดคุยกับนายจ้างและผู้ประกอบการเขายอมรับในตัวเลขนี้ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการเหล่านี้ไปจำนวนมากหลายหมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันประกันสังคมรถหย่อนไปแล้วถึง 6 รอบ แต่ละรอบเป็นหมื่นล้านบาท ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เพื่อพยุงให้มีการจ้างงาน ลดค่าใช้จ่าย ลดค่าของชีพ ตามนโนบายของพรรค พปชร. ในการบรรเทาความเดือดร้อนของ ประชาชนในทุกกลุ่ม เพื่อให้ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตอย่างมั่นคง พปชร. พร้อม ให้ความร่วมมือเป็นกลไกผลักดันผ่าน กระทรวงแรงงานฯในการขับเคลื่อนการยกระดับีมือแรงงานให้สอดคล้องกับาภวะการผลิต และบริการที่เปลี่ยนไป วันนี้จึงต้องขอความร่วมมือนายจ้าง ซึ่งเขาให้ความร่วมมือ จะพยายามกลับให้เร็วกว่า 1มกราคม

ส่วนการปรับค่าจ้างนั้น จะดูพื้นที่โซนอุตสาหกรรมหลักๆ ก่อน เช่น จังหวัดภูเก็ต กรุงเทพมหานคร พื้นที่อีอีซี ซึ่งโซนเหล่านี้ถือเป็นหัวแถวอยู่แล้ว แต่จะปรับกี่เปอร์เซนต์ ต้องพิจารณาให้เหมาะสม เท่าที่ดูตัวเลขคร่าวๆ ประมาณ 5-8% ให้รับได้ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง

” เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งตอนนั้นยังใช้มาตรา 75 อยู่ หากปรับในตอนนั้นนายจ้างจะเอาเงินที่ไหนจ่าย และสุดท้ายอาจจะต้องตกงานกัน แต่เมื่อเราประคับประคอง นายจ้างและลูกจ้างจะอยู่ได้ โดยคาดว่าจะสามารถนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ในเดือนกันยายนนี้”นายสุชาติกล่าว

ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 12 สิงหาคม 2565

“รมช.สันติ”กดปุ่มลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ ทั่วประเทศเริ่ม 5 ก.ย.นี้

,

“รมช.สันติ”กดปุ่มลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ ทั่วประเทศเริ่ม 5 ก.ย.นี้

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และเลขาธิการ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร. )เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการกองทุนประชารัฐสวัสดิการ ว่าที่ประชุมได้ข้อสรุปในการเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ “บัตรคนจน” รอบใหม่ โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2565 -19 ตุลาคม 2565 โดยจะเปิดลงทะเบียนผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยเฉพาะสาขาของธนาคาร 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) การธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย รวมถึง อำเภอ หน่วยงานท้องถิ่น อาทิ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) สำนักงานเขต ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) และเปิดในลงทะเบียนผ่านช่องทางออนไลน์อีกด้วย

“วันที่ 19 ตุลาคม 2565 จะเป็นวันสุดท้ายของการลงทะเบียนบัตรคนจน จะเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติโดยระบบเอไอ ที่เชื่อมโยงกับหน่วยงาน กับ 38 หน่วยงาน ของภาครัฐ คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน ซึ่งรวมถึงขั้นตอนการอุทธรณ์สิทธิเร็วที่สุดสิ้นปี 2565 คาดว่าจะพร้อมใช้สิทธิได้เร็วที่สุดในเดือนมกราคม ปี 2566 โดยจะมีการจัดพิธีลงนาม MOU ความร่วมมือโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 และแถลงข่าว ในวันที่ 16 สิงหาคม นี้ ที่กระทรวงการคลัง ”

สำหรับจุดรับลงทะเบียนได้มีการจ้างนักศึกษาที่จบใหม่ 2-3 ปี และยังไม่มีงานทำ ประจำหน่วยลงทะเบียน ตำบลละ 5 คน ทั่วประเทศ รวมทั้งหมดกว่า 30,000 คน โดยอัตราค่าจ้างในระดับปริญญาตรี จำนวน 15,000 บาทต่อเดือน ระดับปวส. จำนวน 11,500 บาทต่อเดือน และระดับ ปวช. 9,500 บาทต่อเดือน ใช้งบการจ้างงานรวมจำนวน 750 ล้านบาท ระยะเวลาการจ้างงาน 45 วัน และอบรมอีก 6 วัน

ทั้งนี้สิทธิประโยชน์ในบัตรคนจนรอบใหม่จะใช้บัตรประชาชนใบเดียวเพื่อให้เกิดความสะดวก โดยจะเพิ่มจำนวนหรือไม่นั้นต้องดูที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ที่จะส่งผลให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายต้องเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการเข้าไปดูแลปากท้องประชาชนในทุกกลุ่ม ให้มีความกินดีอยู่ดีในทุกมิติตามแนวทางของพปชร. ซึ่งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นนโยบายหลักของพรรคพลังประชารัฐ ในการเข้าไปช่วยประชาชนที่มีรายได้น้อย ให้เข้าถึงสวัสดิแห่งรัฐ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ในสังคมอย่างเป็นรูปธรรม นับเป็นการเข้าไปดูแลระบบเศรษฐกิจฐานากให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีประชาชนลงทะเบียนครั้งนี้ จะมี 15-16 ล้านคน จากเดิมที่มี 13 ล้านคน อย่างไรก็ตามตัวเลขของประชาชนที่เพิ่มหรือลด จะไม่ตายตัวเพราะทุกปีจะมีการตรวจคุณสมบัติ


ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 12 สิงหาคม 2565

“รมต.อนุชา”ลงพื้นที่ชลบุรีขับเคลื่อนกองทุนฯ สร้างเศรษฐกิจฐานรากพัฒนาอาชีพ-เพิ่มรายได้

,

“รมต.อนุชา”ลงพื้นที่ชลบุรีขับเคลื่อนกองทุนฯ
สร้างเศรษฐกิจฐานรากพัฒนาอาชีพ-เพิ่มรายได้

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดโครงการจัดกิจกรรมส่งเสริมและสร้างโอกาสในการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน ซึ่งจัดขึ้นโดยกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) โดยมี นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นายเบญจพล นาคประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เครือข่ายหมู่บ้าน องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมงาน

นายอนุชา กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้การสนับสนุนการขับเคลื่อนงานกองทุนหมู่บ้านฯ มาโดยตลอด เนื่องจากเป็นโครงการที่มีประโยชน์ต่อส่วนรวม พัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนในหมู่บ้านและชุมชน รวมถึงการสร้างกิจกรรมในชุมชน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาการประกอบอาชีพ ส่งเสริมการผลิตสินค้าและบริการในชุมชน ก่อให้เกิดการจ้างงาน การสร้างรายได้ การจัดสวัสดิการ และการแก้ไขปัญหาในหมู่บ้านและชุมชนในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ของประเทศให้เกิดความเข้มแข็งบนพื้นฐานของความพอประมาณ มีภูมิคุ้มกัน สามารถพึ่งพาตนเองได้ ภายใต้แนวคิด BCG Economy Model เพื่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน

โครงการจัดกิจกรรมส่งเสริมและสร้างโอกาสในการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “สร้างเสริม ส่งต่อ สู่อนาคต” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการรับรู้ผลการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านฯ รวมถึงการเปิดโอกาสให้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชน รวมถึงเครือข่ายได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ถ่ายทอดบทเรียนอย่างสร้างสรรค์ นำผลิตภัณฑ์ของกองทุนหมู่บ้านฯ มาต่อยอดทำการตลาดสู่ภาคประชาชนให้แพร่หลายมากขึ้น ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมุ่งเน้นการแสดงอัตลักษณ์ของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนแต่ละแห่ง สร้างความภาคภูมิใจจากการร่วมกันคิด ร่วมกันทำ และใช้ศักยภาพในการบริหารจัดการร่วมกัน เสริมสร้างความสามัคคีของชุมชน และทำให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนมีความเข้มแข็งและเติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน

กองทุนหมู่บ้านฯ ที่เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย 14 จังหวัดภาคกลางและภาคตะวันออก ได้แก่ ชลบุรี จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ตราด นครนายก ปราจีนบุรี ระยอง สมุทรปราการ สระแก้ว ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มอบรางวัลชนะเลิศแก่ผู้แทนกองทุนหมู่บ้านฯ ใน 3 สาขา ประกอบด้วย รางวัลกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองตัวอย่าง รางวัลโครงการตามแนวทางประชารัฐตัวอย่าง และรางวัลเครือข่ายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองตัวอย่าง พร้อมทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการ ‘กองทุนสร้างชุมชน’ สร้างเสริม ส่งต่อ สู่อนาคต ซึ่งเป็นการจัดแสดงผลงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนที่คัดเลือกมาจากแต่ละจังหวัด และการนำเสนอแนวทางการดำเนินงานของภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเผยแพร่ผลเป็นบทเรียนแห่งการเรียนรู้ เพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้กับสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ

สำหรับกองทุนหมู่บ้านฯ ที่มีการบริหารจัดการและการดำเนินงานที่โดดเด่นในพื้นที่ จ.ชลบุรี ประกอบด้วย กองทุนหมู่บ้านห้วยทวน หมู่ 3 อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี เป็นชุมชนในเมืองขนาดใหญ่ที่สามารถบริหารจัดการกองทุนซึ่งมีสมาชิกจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีผลลัพธ์การดำเนินงานเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนด้วยการเปิดโอกาสและสร้างอาชีพให้กับประชาชนในชุมชน ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขาย ประมง และรับจ้าง การสนับสนุนของกองทุนฯ เปิดโอกาสให้สมาชิกสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจ เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนรวมถึงฐานะทางการเงินของหมู่บ้านดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีกองทุนหมู่บ้านบางพลี หมู่ที่ 9 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ที่มีความโดดเด่นด้านการบริหารจัดการที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ และมีผู้สนใจเข้ามาศึกษาดูงานในแต่ละปีจำนวนมาก โดยกองทุนหมู่บ้านบางพลีได้ตั้งโรงผลิตน้ำดื่มประชารัฐ เพื่อผลิตน้ำดื่มที่สะอาดบริสุทธิ์ ได้มาตรฐานให้แก่ประชาชนและชุมชนใกล้เคียงในราคาถูก ทำให้เกิดรายได้หมุนเวียนในชุมชน สร้างงานสร้างอาชีพให้ประชาชน รวมทั้งเป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาดูงานด้านร้านค้าประชารัฐให้แก่ชุมชนอื่น รวมถึงการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการสงเคราะห์เพื่อสร้างแรงจูงใจในการออมเงินและดูแลระบบสวัสดิการชุมชนอีกด้วย


ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 11 สิงหาคม 2565

“รมว. ตรีนุช”เปิดตัวคลังข้อมูลดิจิทัลครู-บุคลากรสพฐ. ยกระดับการสอนในระบบการศึกษาไทย

,

“รมว. ตรีนุช”เปิดตัวคลังข้อมูลดิจิทัลครู-บุคลากรสพฐ.
ยกระดับการสอนในระบบการศึกษาไทย

วันนี้ (11 ส.ค.2565) ที่ นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวตอนหนึ่งในการเป็นประธานเปิดระบบ HRMS.OBEC ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบราชการ และแนวทางการปฏิบัติงานในภาครัฐให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการ หรือที่เรียกว่ารัฐบาล 4.0 และตั้งแต่ตนเข้ามารับตำแหน่ง รมว.ศธ.ก็มีนโยบายให้พัฒนาประสิทธิภาพการบริหารและการจัดการศึกษาของประเทศ ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ รวมถึงการพัฒนาการจัดเก็บข้อมูล หรือ Big Data อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ข้อมูลภาพรวมการศึกษาของประเทศที่มีความครบถ้วน สมบูรณ์ ถูกต้องเป็นปัจจุบัน และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง โดยกำหนดเป็นหนึ่งใน 7 วาระเร่งด่วนของ ศธ.และวันนี้เป็นเรื่องน่ายินดี ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ยกระดับการบริหารจัดการระบบฐานข้อมูลของครูและบุคลากรในสังกัด สพฐ.ทั่วประเทศ โดยจัดทำระบบ HRMS.OBEC (เอช-อาร์-เอ็ม-เอส-ดอท-โอ-เบค) ได้สำเร็จ ตามที่ ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ได้นำเสนอไว้ และนำมาใช้งานอย่างเป็นรูปธรรมแล้วในปีการศึกษานี้

นางสาวตรีนุช กล่าวต่อไปว่า HRMS.OBEC เป็นระบบการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล ที่ สพฐ.นำมาใช้จัดเก็บฐานข้อมูลครูและบุคลากรทางการศึกษาของ สพฐ. โดยมีเจ้าหน้าที่สำนักเขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดเก็บรักษาข้อมูล ควบคุมการเข้าถึงข้อมูล สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการคาดการณ์และวิเคราะห์ที่แม่นยำมากขึ้น ทำให้ส่วนราชการมีข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหารงานบุคคลที่เป็นปัจจุบันแบบ Real Time ประหยัดเวลาในการรายงานและสืบค้นข้อมูล ลดกระบวนการที่ซ้ำซ้อน ช่วยลดภาระการทำงานของครูและบุคลากรทางการศึกษา ทำให้ครูได้มีเวลาในการจัดการเรียนการสอนอย่างเต็มประสิทธิภาพ

“ HRMS.OBEC เป็นผลงานของข้าราชการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ (สพร.) สพฐ. ที่ได้พัฒนาโปรแกรมขึ้นมาด้วยความรู้ความสามารถของข้าราชการในสังกัด สพฐ.เอง ดิฉันขอชื่นชมผลงานที่เป็นที่ประจักษ์อีกครั้ง ซึ่งระบบฐานข้อมูลนับเป็นหัวใจ และเป็นรากฐานที่สำคัญในการบริหารงานราชการ ไม่เพียงประโยชน์จะเกิดภายใน สพฐ. แต่สามารถนำมาขยายผล และต่อยอดกับหลายส่วนงานใน ศธ.เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดต่อระบบการบริหารการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมต่อข้อมูลกับระบบ DPA (Digital Performance Appraisal) ของทางสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ที่ใช้ในการประเมินวิทยฐานะของครูผ่านระบบดิจิทัล สร้างความโปร่งใส ความเป็นธรรมต่อระบบการประเมินวิทยฐานะ และเป็นการยกระดับวิชาชีพครูให้ได้รับการยอมรับมากขึ้น และจะมีส่วนสำคัญต่อการยกระดับการบริหารจัดการฐานข้อมูลของ ศธ.ให้เป็นหนึ่งเดียว” นางสาวตรีนุช กล่าว

รมว.ศธ. กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันฐานข้อมูลในระบบ HRMS.OBEC จะเป็นฐานข้อมูลที่สำคัญ ในการส่งต่อให้แก่สถาบันอุดมศึกษา เพื่อการวางแผน และเตรียมการในการผลิตบุคลากรด้านการศึกษาของประเทศ ได้ในปริมาณที่ตรงกับความต้องการ สอดรับกับการแผนอัตรากำลัง รวมถึงการวางแผนพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ทั้งในภาพของ ศธ. และการบริหารจัดการในระดับพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้สามารถได้ครู และบุคลากรทางการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ และส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพทางการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนในทุกพื้นที่ได้ดียิ่งขึ้น จากนี้ไปข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากระบบ HRMS.OBEC จะกลายเป็น big data ที่สำคัญของ ศธ.ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และสามารถบอกกล่าวได้ว่า การบริหารทรัพยากรบุคคลของ ศธ.เป็นการวางแผนเพื่อยกระดับคุณภาพทางการศึกษา และนำไปสู่การพัฒนาประเทศได้อย่างแท้จริง.

ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 11 สิงหาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร” บรรลุเป้าหมายเพิ่มพื้นป่าตามข้อตกลงเอเปก ร่วมฟื้นฟูป่าไม้ 27.9 ล้านเฮกตาร์ใช้หลัก BCG สร้างประโยชน์ ปชช.

, , ,

“พล.อ.ประวิตร” บรรลุเป้าหมายเพิ่มพื้นป่าตามข้อตกลงเอเปก
ร่วมฟื้นฟูป่าไม้ 27.9 ล้านเฮกตาร์ใช้หลัก BCG สร้างประโยชน์ ปชช.

พล.อ.ประวิตร ประชุม คกก.”ป่าไม้แห่งชาติ” เตรียมเสนอเป็นเจ้าภาพ IUFRO 2029 ภายใต้ แนวคิด “Open Connect Balance” มุ่งยกฐานะไทย ขึ้นเทียบเท่าเวทีโลก พอใจผลสำเร็จดูแลป่า ได้ตามเป้า APEC

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่2/2565 ณ ห้องประชุม มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านระบบ VDO CONFERENCE กล่าวถึงความสำเร็จของการดำเนินงานด้านป่าไม้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่สามารถเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ได้ 27.9 ล้านเฮกตาร์ เป็นการแสดงเจตจำนงที่จะดำเนินการตามพันธกิจของ APEC เกี่ยวกับการจัดการป่าไม้ นำไปสู่ความยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมการประยุกต์ใช้แนวทาง เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว(BCG) และได้กำชับหน่วยงน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม (ทส.) ในการขับเคลื่อนการฟื้นฟูผืนป่าอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรลุผลสำเร็จตามกรอบเป้าหมายของAPEC พร้อมให้เร่งดำเนินการต่อเนื่อง ตามที่คณะกรรมการฯ ได้ผ่านความเห็นชอบแล้ว เพื่อนำเสนอ ครม.ต่อไป โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดกับประชาชน และประเทศชาติ ตามนโยบายของรัฐบาล รวมถึงต้องสร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้รับทราบการดำเนินงานของภาครัฐ ควบคู่กันไปด้วย

พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกรองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ประชุม ได้รับทราบความคืบหน้าการเสนอตัว เป็นเจ้าภาพจัดประชุม The World Congress of the International Union of Forest Research Organization ครั้งที่ 27 (IUFRO 2029) เป็นการประชุมด้านการป่าไม้ที่ใหญ่ที่สุด ของโลก เป็นการรวมนักวิจัยจากทั่วทุกมุมโลก ประมาณ 5,000 คน และจัดขึ้นเป็นประจำทุก 5ปี โดยคณะวนศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ และ ทส.จะดำเนินการในนามประเทศไทย

นอกจากนี้ที่ประชุม ยังได้เห็นชอบ(ร่าง)ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องกำหนดให้ไม้ท่อนและไม้แปรรูปเป็นสินค้าที่ต้องห้าม หรือต้องมีหนังสือรับรองและให้สิ่งประดิษฐ์ของไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองใน”การนำเข้า”มาในราชอาณาจักร พ.ศ… และเห็นชอบ(ร่าง)ประกาศ พณ.เรื่องกำหนดให้ไม้พะยูงเป็นสินค้าที่ต้องห้าม ให้ไม้ท่อน ไม้แปรรูป และไม้ล้อมบางชนิดเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตและให้สิ่งประดิษฐ์ของไม้และถ่านไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองใน”การส่งออก”ไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ…โดยมอบให้กรมการค้าต่างประเทศ ดำเนินการเพื่อเสนอ ครม.ต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 สิงหาคม 2565

“รมช.สันติ”ร่วมแถลงข่าว เปิดปชช.จอง-จัดจำหน่ายเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก เฉลิมพระเกียรติราชินีพันปีหลวงฯ 12 สิงหาคม 2565

,

“รมช.สันติ”ร่วมแถลงข่าว เปิดปชช.จอง-จัดจำหน่ายเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก
 เฉลิมพระเกียรติราชินีพันปีหลวงฯ12 สิงหาคม 2565

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 ชั้น 4 กระทรวงการคลัง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง และนายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมธนารักษ์ แถลงข่าวเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก และเหรียญเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา ในวันที่ 12 สิงหาคม 2565

ทั้งนี้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ จัดทําเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกและเหรียญที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ ที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อประโยชน์สุขของราษฎรและความอุดมสมบูรณ์แก่แผ่นดินตลอดมา ตลอดจน การส่งเสริมศิลปาชีพในงานหัตถศิลป์หลากหลายแขนง ก่อให้เกิดการทํานุบํารุง สืบทอดงานศิลปะอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่องจนศิลปะไทย อันเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของไทย สร้างชื่อเสียงไปยังนานาประเทศทั่วโลก และเป็นการยกฐานะความเป็นอยู่ ของประชาชนชาวไทย สําหรับการจัดทําเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก และเหรียญเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 ในครั้งนี้ ประกอบด้วย
เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 4 ชนิด ได้แก่

  • ทองคำขัดเงา ชนิดราคา 20,000 บาท จำหน่ายราคา 40,000 บาท
  • เงินขัดเงา ชนิดราคา 1,000 บาท จําหน่ายราคา 3,000 บาท
  • โลหะสีขาวขัดเงา (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคา 20 บาท จําหน่ายราคา 200 บาท
  • โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคา 20 บาท จ่ายแลกราคา 20 บาท

เหรียญเฉลิมพระเกียรติ (เหรียญที่ระลึกประดับแพรแถบ) เหรียญเงิน ชนิดบุรุษและสตรี จําหน่ายราคาเหรียญละ 1,600 บาท

โดยเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกทั้ง 2 แบบ ด้านหน้า กลางเหรียญมีพระรูปสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และด้านหลัง กลางเหรียญมีอักษรพระนามาภิไธย “ส.ก.” โดยเปิดจําหน่าย จ่ายแลก ตั้งแต่ในวันที่ 11 สิงหาคม นี้ เป็นต้นไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 สิงหาคม 2565

ส.ส.พปชร.บัญชีรายชื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลสถาบันจัดการน้ำเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำ พร้อมเข้าถึงเมล็ดพันธุ์ข้าวช่วยเกษตรกร

,

ส.ส.พปชร.บัญชีรายชื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลสถาบันจัดการน้ำเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำ พร้อมเข้าถึงเมล็ดพันธุ์ข้าวช่วยเกษตรกร

พรรคพลังประชารัฐ โดย “ส.ส.ชวน ชูจันทร์ พปชร. บัญชีรายชื่อ” ร่วมหารือและรับฟังปัญหา เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะนำข้อมูลที่ได้มาจัดทำเป็นแนวทางและนโยบายในการบริหารจัดการน้ำไว้ใช้เป็นน้ำต้นทุนสำรองในการอุปโภค-บริโภค และภาคการเกษตร ณ สถาบันทรัพยากรน้ำ

พร้อมกันนี้ ส.ส.ชวน ยังได้ร่วมหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องข้าว เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเข้าถึงเมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์ดี ในการต่อยอดให้เกษตรกรได้ผลผลิตที่ดีและมีคุณภาพ เพื่อยกระดับการผลิตข้าวของประเทศไทย สอดคล้องกับนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องการให้คนไทยกินดีอยู่ดีอย่างมีความสุข ณ กรมการข้าว

พรรคพลังประชารัฐ เดินหน้าในการเข้าถึงดูแลประชาชนเป็นไปตามนโยบาย ที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้กินดีอยู่ดี พร้อมการเข้าไปรับฟังปัญหา ความเดือดร้อนนำมาสู่การแก้ไขต่อไป โดยเรามีเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และยั่งยืน
ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 สิงหาคม 2565

ส..ส.พปชร. สุโขทัย วางพานพุ่ม-เปิดกรวยสักการะกิจกรรมชุมชนสตรี เนื่องในวันแม่แห่งชาติ

ส.ส.พปชร. สุโขทัย วางพานพุ่ม-เปิดกรวยสักการะกิจกรรมชุมชนสตรี เนื่องในวันแม่แห่งชาติ

, ,

พรรคพลังประชารัฐ โดย “ส.ส.พรรณสิริ กุลนาถศิริ ฟปชร.จ.สุโขทัย” เป็นประธานวางพานพุ่มและเปิดกรวยสักการะ เปิดกิจกรรมชุมนุมสตรี เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2565 โดยมีนางผ่องนภา เนียมน่วม ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีอำเภอเมืองสุโขทัย นางผ่องนภา เนียมน่วม ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีอำเภอ พร้อมด้วยส่วนราชการ ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนันผู้ใหญ่บ้าน พลังสตรีอำเภอเมืองสุโขทัย เข้าร่วมงานในครั้งนี้

ทั้งนี้ ภายในงานมีพิธีมอบประกาศเกียรติคุณสตรีดีเด่น มอบทุนการศึกษาเด็ก กิจกรรมประกวดเดินแบบแฟชั่น บูธแสดงสินค้าประจำตำบล และกิจกรรมการแสดงร้องเพลงลูกทุ่งของแต่ละตำบล โดยมีประชาชนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม 1,000 คน ณ โรงยิมโรงเรียนบ้านหรรษา (เจริญประชานุเคราะห์) หมู่ที่ 4 ตำบลยางซ้าย เมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย

พรรคพลังประชารัฐ เดินหน้าในการเข้าถึงดูแลประชาชนเป็นไปตามนโยบาย ที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้กินดีอยู่ดี พร้อมการเข้าไปรับฟังปัญหา ความเดือดร้อนนำมาสู่การแก้ไขต่อไป โดยเรามีเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และยั่งยืน

ส..ส.พปชร. สุโขทัย วางพานพุ่ม-เปิดกรวยสักการะกิจกรรมชุมชนสตรี เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ส..ส.พปชร. สุโขทัย วางพานพุ่ม-เปิดกรวยสักการะกิจกรรมชุมชนสตรี เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ส..ส.พปชร. สุโขทัย วางพานพุ่ม-เปิดกรวยสักการะกิจกรรมชุมชนสตรี เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ส..ส.พปชร. สุโขทัย วางพานพุ่ม-เปิดกรวยสักการะกิจกรรมชุมชนสตรี เนื่องในวันแม่แห่งชาติ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 สิงหาคม 2565

ส.ส.พปชร.เพชรบุรี มอบอุปกรณ์กีฬา ให้นักเรียน ร.ร.บ้านท่าตะคร้อ ส่งเสริมทักษะกีฬาสร้างเสริมสุขภาพ

ส.ส.พปชร.เพชรบุรี มอบอุปกรณ์กีฬา ให้นักเรียน ร.ร.บ้านท่าตะคร้อ ส่งเสริมทักษะกีฬาสร้างเสริมสุขภาพ

, ,

พรรคพลังประชารัฐ โดย “ส.ส.สุชาติ อุสาหะ พปชร. จ.เพชรบุรี” นำชุดเสื้อกีฬาและลูกวอลเล่ย์บอล มอบให้แก่นักเรียนโรงเรียนบ้านท่าตะคร้อ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับนักเรียน และใช้ในการใช้สวมใส่เพื่อการฝึกซ้อมในการแข่งขันกีฬา ทั้งนี้ ส.ส.สุชาติ ยังได้ร่วมเปิดคลินิคฝึกสอนการเล่นฟุตบอลขั้นพื้นฐานให้แก่นักเรียนโรงเรียนบ้านท่าตะคร้อ ร่วมกับสโมสรกีฬาราชประชาซึ่งนำนักฟุตบอลในสังกัดมาเก็บตัวฝึกซ้อมในพื้นที่ ณ สนามโรงเรียนบ้านท่าตะคร้อ ตำบลท่าตะคร้อ อำเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี

พรรคพลังประชารัฐ เดินหน้าในการเข้าถึงดูแลประชาชนเป็นไปตามนโยบาย ที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้กินดีอยู่ดี พร้อมการเข้าไปรับฟังปัญหา ความเดือดร้อนนำมาสู่การแก้ไขต่อไป โดยเรามีเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และยั่งยืน

ส.ส.พปชร.เพชรบุรี มอบอุปกรณ์กีฬา ให้นักเรียน ร.ร.บ้านท่าตะคร้อ ส่งเสริมทักษะกีฬาสร้างเสริมสุขภาพ ส.ส.พปชร.เพชรบุรี มอบอุปกรณ์กีฬา ให้นักเรียน ร.ร.บ้านท่าตะคร้อ ส่งเสริมทักษะกีฬาสร้างเสริมสุขภาพ ส.ส.พปชร.เพชรบุรี มอบอุปกรณ์กีฬา ให้นักเรียน ร.ร.บ้านท่าตะคร้อ ส่งเสริมทักษะกีฬาสร้างเสริมสุขภาพ ส.ส.พปชร.เพชรบุรี มอบอุปกรณ์กีฬา ให้นักเรียน ร.ร.บ้านท่าตะคร้อ ส่งเสริมทักษะกีฬาสร้างเสริมสุขภาพ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 สิงหาคม 2565

รมว.ตรีนุช”เดินหน้านโยบายการศึกษาเสมอภาค ดึงเยาวชนไทยเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มทุกระบบ

รมว.ตรีนุช”เดินหน้านโยบายการศึกษาเสมอภาค ดึงเยาวชนไทยเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มทุกระบบ

,

วันนี้ ( 9 ส.ค. 2565 ) ที่โรงแรมปรินซ์พาเลซ กรุงเทพฯ มีการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับชาติเพื่อระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับการพลิกโฉมการศึกษา (National Consultation for Transforming Education Summit) ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมี นางคยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย นายชิเกรุ อาโอยางิ ผู้อำนวยการ องค์การยูเนสโก สำนักงานกรุงเทพฯ รศ.ดร. จีระเดช อู่สวัสดิ์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการพัฒนาการศึกษาหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ดร. สัมพันธ์ ศิลปะนาฏ รองประธานสายงาน FTI Academy สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ ดร. ไกรยศ ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และคณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วม

นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ.) กล่าวเปิดการประชุมตอนหนึ่งว่า วันนี้เป็นการหารือร่วมกันของทุกภาคส่วนเพื่อแลกเปลี่ยนและกำหนดวิสัยทัศน์อนาคตด้านการศึกษา ขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิบัติที่ทำให้บรรลุเป้าหมายวาระการพัฒนาสหประชาชาติ ค.ศ. 2030 หรือ พ.ศ. 2573 และเป็นการเตรียมความพร้อมในการพลิกโฉมการศึกษาของประเทศไทย ที่จะนำไปสู่ข้อเสนอแนะ และแสดงแนวทางการศึกษาของไทยต่อที่ประชุม Transforming Education Summit (TES) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 19 กันยายน 2565 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

รมว.ศธ.กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ได้กำหนดนโยบาย และยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาไว้อย่างชัดเจน ว่า การขับเคลื่อนด้านการศึกษาๆ ต้องมุ่งเน้นถึงการสร้างโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาอย่างเสมอภาค โดยไม่มีใครตกหล่นจากระบบการศึกษา เด็กไทยทุกคนต้องได้รับการศึกษาภาคบังคับ และเป็นการศึกษาอย่างมีคุณภาพ ได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง รวมถึงมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุนการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม

“การพลิกโฉมเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของไทย เป็นประเด็นที่ท้าทายมาก โดยเฉพาะการฟื้นฟูการศึกษาหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ซึ่งระบบการศึกษาจำเป็นต้องมีการปรับตัว ให้เข้ากับสถานการณ์และโลกในยุคหลังโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลและศธ. ได้รับมือโดยให้เด็กสามารถเรียนรู้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ตามบริบทและความเหมาะสมอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การจัดการศึกษาแบบ On-Air, Online, On-Demand, On-Hand และ On-Site ซึ่งการเรียนการสอนแบบ On-Site สำคัญมากที่สุด โดยมีเป้าหมายว่าท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ทำอย่างไรเราจะมีบริบทการเรียนการสอนที่เข้าถึงนักเรียน เพื่อให้เข้าถึงกระบวนการเรียนรู้ได้มากที่สุด อีกทั้งมีการบูรณาการ ICT ในการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล ผ่านแพลตฟอร์มการเรียนรู้ และการเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ อาทิ การเรียนรู้ทางไกลผ่านดาวเทียม หรือ DLTV การเรียนรู้แบบผสมผสานสำหรับผู้ที่อยู่ห่างไกลและยากต่อการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต มุ่งเน้นให้เด็กเข้าสู่ระบบการศึกษามากที่สุด ได้กลับสู่โรงเรียนอย่างรวดเร็วที่สุด เรียนด้วยความปลอดภัยและไม่เกิดภาวะถดถอยทางการเรียนรู้” รมว.ศธ.กล่าว

นางสาวตรีนุช กล่าวด้วยว่า การศึกษาในอนาคตควรคำนึงถึงการตอบสนองต่อการพัฒนาในทุกมิติ ทั้งการยกระดับคุณภาพการศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับการประกอบอาชีพในอนาคต โดยเฉพาะเด็กอาชีวะ เรารู้ว่ากลไกที่ดีที่สุดคือการที่เด็กได้ทำงานจริงกับสถานประกอบการ หรือ ภาคเอกชน เพื่อจัดการเรียนการสอนให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสาขาอาชีพที่รวดเร็ว ตลอดจน มีทักษะในการดำรงชีพ ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะของการเป็นผู้ประกอบการ สำหรับในประเด็นการสร้างโอกาสทางการศึกษา นอกจากป้องกันเด็กตกหล่นจากระบบการศึกษาแล้ว ควรให้ความสำคัญต่อพัฒนาคนทุกช่วงวัย และการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ทั้งนี้ จากการที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ระดับรัฐมนตรีด้านการศึกษาแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 4 (การศึกษา 2030) ครั้งที่ 2 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้มีการรับรองถ้อยแถลงกรุงเทพฯ 2565 สู่การฟื้นฟูการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพเพื่อปวงชนและการเปลี่ยนแปลงการศึกษาในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ Bangkok Statement 2022 Towards an effective learning recovery for all and transforming education in Asia-Pacific จึงเป็นการเน้นย้ำว่า ประเทศไทยและภาคส่วนต่าง ๆ มีความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนด้านการศึกษา ไม่เพียงแต่ในระดับประเทศเท่านั้น แต่เป็นการฟื้นฟูและพัฒนาการศึกษาทุกมิติตามเจตนารมณ์ของภูมิภาคและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 4 อย่างเข้มแข็ง และในการประชุม Transforming Education Summit เดือนกันยายนนี้ ประเทศไทยจะได้แสดงวิสัยทัศน์ นำเสนอถ้อยแถลง รวมถึงรายงานผลการหารือระดับชาติที่ครอบคลุมแนวทางปฏิบัติการทั้ง 5 หัวข้อ ได้แก่ การศึกษาที่ครอบคลุม การเรียนรู้ ทักษะชีวิตและงาน การเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล การพัฒนาครู และงบประมาณด้านการศึกษา เพื่อนำไปสู่การพลิกโฉมการศึกษาให้สอดรับกับบริบทโลกยุคปัจจุบัน รวมถึงการนำข้อเสนอไปพัฒนาในการบรรลุตามวัตถุประสงค์ในเรื่องของการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป.

รมว.ตรีนุช”เดินหน้านโยบายการศึกษาเสมอภาค ดึงเยาวชนไทยเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มทุกระบบ รมว.ตรีนุช”เดินหน้านโยบายการศึกษาเสมอภาค ดึงเยาวชนไทยเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มทุกระบบ รมว.ตรีนุช”เดินหน้านโยบายการศึกษาเสมอภาค ดึงเยาวชนไทยเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มทุกระบบ รมว.ตรีนุช”เดินหน้านโยบายการศึกษาเสมอภาค ดึงเยาวชนไทยเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มทุกระบบ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 สิงหาคม 2565