โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: สื่อออนไลน์

ยึดมั่นไม่เปลี่ยนแปลง “โฆษกพปชร.” ย้ำจุดยืนพลังประชารัฐ เทิดทูน 3 สถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ค้านแก้ม. 112 “บิ๊กป้อม” เดินหน้า 3 พันธกิจประชารัฐ

ยึดมั่นไม่เปลี่ยนแปลง “โฆษกพปชร.” ย้ำจุดยืนพลังประชารัฐ เทิดทูน 3 สถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ค้านแก้ม. 112 “บิ๊กป้อม” เดินหน้า 3 พันธกิจประชารัฐ

ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.เขต 2 ในฐานะโฆษกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยถึงจุดยืนของพรรค ต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการแก้ไข มาตรา 112 ที่เป็นบทบัญญัติ ในการคุ้มครองประมุขของรัฐ ซึ่งเราชัดเจนมาโดยตลอด ต่อการเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข โดยพรรคพลังประชารัฐ จะยึดมั่นแนวทางนี้ ไม่มีเปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยังมุ่งมั่นให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ขจัดความเหลื่อมล้ำ และสานต่อพันธกิจเพื่อประชาชน คือสวัสดิการประชารัฐ ดูแลประชาชนทุกคนให้เข้าถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐาน ด้วยแนวคิด “จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน” ซึ่งเป็นนโยบายหลักที่จะดูแลประชาชน ในทุกช่วงชีวิต รวมถึงเศรษฐกิจประชารัฐ ด้วยการสร้างความสามารถและโอกาสที่เท่าเทียม ตลอดจนสังคมประชารัฐ ที่มุ่งขับเคลื่อนสังคมให้สงบสุข เข้มแข็ง และแบ่งปัน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร” ถก กนช.ไฟเขียวร่างแผนแม่บทฯน้ำ 20 ปี เปิด10 มาตรการ รองรับสถานการณ์ภัยแล้ง ปี 2566

,

“พล.อ.ประวิตร” ถก กนช.ไฟเขียวร่างแผนแม่บทฯน้ำ 20 ปี
เปิด10 มาตรการ รองรับสถานการณ์ภัยแล้ง ปี 2566

เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2565 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะเลขานุการ กนช. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมพิจารณาให้ความเห็นชอบ (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (ปรับปรุงช่วงที่ 1 พ.ศ. 2566–2580) ที่ปรับปรุงกรอบแนวทางและค่าเป้าหมายตามกรอบวิสัยทัศน์ “ทุกหมู่บ้านมีน้ำสะอาดอุปโภค บริโภค น้ำเพื่อการผลิตมั่นคง ความเสียหายจากอุทกภัยลดลง คุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน บริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ภายใต้การพัฒนาอย่างสมดุล โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน” โดยได้บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวน 13 กระทรวง 51 หน่วยงาน เพื่อร่วมกันกำหนดกรอบแนวทางการพัฒนาด้านทรัพยากรน้ำ ค่าเป้าหมาย ตัวชี้วัด กลยุทธ์ แผนงานภายใต้แผนแม่บทฯน้ำ 20 ปี พร้อมทั้งได้มีการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจำนวน 7 พื้นที่ เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการลุ่มน้ำ องค์กรผู้ใช้น้ำ และภาคประชาชน เพื่อให้ร่างแผนแม่บทดังกล่าวมีความสมบูรณ์ สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง

สำหรับการปรับปรุงแผนแม่บทฯน้ำ 20 ปี ได้นำประเด็นสถานการณ์ปัจจุบันมาใช้วิเคราะห์สถานการณ์ด้านทรัพยากรน้ำ เช่น สถานการณ์ของโรคระบาด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน การปรับตัวโดยอาศัยระบบนิเวศ เศรษฐกิจหมุนเวียนและการฟื้นตัว การเชื่อมโยงตัวชี้วัดและเป้าหมายกับแผนระดับชาติและแผนระดับนานาชาติ การปรับปรุงกรอบแนวทางการพัฒนา จากเดิม 6 ด้าน เป็น 5 ด้าน ได้แก่ 1.การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค 2.การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต 3.การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย 4.การอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศทรัพยากรน้ำ ซึ่งมีการควบรวมแผนแม่บทฯ เดิมด้านจัดการคุณภาพน้ำและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ และการอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรมและป้องกันการพังทลายของดินเข้าด้วยกัน เพื่อให้ครอบคลุมระบบนิเวศของต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ และ 5.การบริหารจัดการ

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เน้นย้ำเรื่องการกำหนดเป้าหมายแต่ละระยะโดยนำงบประมาณมาพิจารณาประกอบ รวมถึงการปรับปรุงจำนวนกลยุทธ์ โดยเพิ่มกลยุทธ์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัยเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงการจัดกลุ่มกลยุทธ์แผนแม่บทด้านบริหารจัดการให้สอดคล้องกับตัวชี้วัดธรรมาภิบาลด้านน้ำ เช่น การส่งเสริมองค์กรและการมีส่วนร่วม การจัดทำเครื่องมือในการบริหารจัดการ การจัดทำงบประมาณและการเงิน ทั้งกลุ่มโครงการที่สามารถดำเนินการได้เลย ให้ขับเคลื่อนผ่านช่องทางปกติ และโครงการที่ดำเนินการจำเป็นต้องขับเคลื่อน แต่ต้องให้มีการศึกษาความเหมาะสม ผลกระทบ หรือแนวทางที่เหมาะสม เพื่อให้การขับเคลื่อนงานตามแผนแม่บทฯ เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติและติดตามประเมินผลได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ที่ประชุม กนช. ยังได้เห็นชอบ 10 มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2565/2566 ประกอบด้วย 1.เร่งเก็บกักน้ำในแหล่งน้ำทุกประเภท 2.เฝ้าระวังและเตรียมจัดหาแหล่งน้ำสำรอง พร้อมวางแผนเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือ ในพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำ 3.ปฏิบัติการเติมน้ำ 4.กำหนดแผนจัดสรรน้ำและพื้นที่เพาะปลูกพืชฤดูแล้ง 5.เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำภาคการเกษตร 6.เตรียมน้ำสำรองสำหรับพื้นที่ลุ่มต่ำ รับน้ำนอง 7.เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ 8.เสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการบริหารจัดการน้ำของชุมชน 9.สร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์ และ 10.ติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน รวมทั้งเห็นชอบโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2566 แนวคิดในการพัฒนาการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของกรุงเทพมหานครในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา และผลการศึกษาวิจัยนวัตกรรมเชิงระบบ โครงสร้างและกลไกการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ และข้อเสนอการยกระดับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในระดับลุ่มน้ำด้วย


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์​ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 19 ตุลาคม 2565

” รองหน.พปชร.” ติดตามสถานการณ์ระดับน้ำอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกร’ จ.นครราชสีมา เตรียมแผนป้องกัน เร่งการระบายน้ำ ลดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน”

,

” รองหน.พปชร.” ติดตามสถานการณ์ระดับน้ำอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกร’ จ.นครราชสีมา
เตรียมแผนป้องกัน เร่งการระบายน้ำ ลดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน”

นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จ.นครราชสีมา ลงพื้นที่ อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา ติดตามสถานการณ์ระดับน้ำอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกร (ตอนล่าง) เนื่องจากอิทธิพลของพายุ “โนรู” ทำให้เกิดฝนตกสะสมเป็นปริมาณมาก และเต็มพื้นที่ลุ่มน้ำของลำเชียงไกร ทำให้มีปริมาณน้ำท่า ไหลลงลำห้วย ลำน้ำต่างๆ เป็นจำนวนมาก และจากการติดตามฯ พบว่า มีปริมาณน้ำในอ่างฯ 31.88 ล้านลบ.ม. เต็มความจุอ่างฯ มีน้ำไหลลงอ่างวันละ 2.83 ล้าน ลบ.ม. มีการระบายน้ำวันละ 3 ล้าน ลบ.ม. ระดับน้ำต่ำกว่าระดับสันเขื่อน 1.13 เมตร ซึ่งระดับน้ำอยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก แต่อยู่ในสภาวะที่สามารถควบคุมได้ ทั้งนี้ได้แนะนำให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกรอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมการป้องกัน พร้อมทั้งปรับการระบายน้ำให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ พิจารณาระบายน้ำ โดยไม่กระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายหรือกระทบน้อยที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์​ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 19 ตุลาคม 2565

“รมว.สุชาติ” เตรียมจับมือ 15 สถานประกอบการ หนุนจ้างงานคนพิการ ปี’66 เพิ่ม 20%

,

“รมว.สุชาติ” เตรียมจับมือ 15 สถานประกอบการ หนุนจ้างงานคนพิการ ปี’66 เพิ่ม 20%

วันนี้ (18 ตุลาคม 2565) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญกับนโยบายของกระทรวงแรงงานด้านการมุ่งเน้นการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะกลุ่มคนพิการ เพื่อให้มีหลักประกันทางสังคม ยกระดับให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งกระทรวงฯ ได้มีการจัดทำโครงการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม โดยประชาสัมพันธ์ เพื่อเชิญชวนนายจ้าง สถานประกอบการที่เคยใช้สิทธิตามมาตรา 34 ในการส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้เปลี่ยนมาให้สิทธิตามมาตรา 35 ประเภทการจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการ โดยจ้างงานคนพิการเข้าไปปฏิบัติงานสนับสนุนหน่วยงานสาธารณะประโยชน์ในท้องถิ่น เช่น โรงเรียน/ศูนย์เด็กเล็ก โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ศูนย์ฟื้นฟูอาชีพคนพิการ เป็นต้น ซึ่งจะเกิดประโยชน์กับคนพิการโดยตรง ช่วยให้คนพิการในพื้นที่ห่างไกลได้รับโอกาสมีอาชีพ มีรายได้ สามารถพึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืน

“ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานได้รับความร่วมมือจากสถานประกอบการเอกชนที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นอย่างดี ขอบคุณที่มีส่วนร่วมในการสร้างโอกาส และขับเคลื่อนให้คนพิการมีงานทำ มีรายได้ นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งในปีงบประมาณ 2566 กระทรวงฯ มีการขยายเป้าหมายการมีงานทำให้คนพิการเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จำนวน 1,800 คน ซึ่งผมได้มอบหมายให้กรมการจัดหางานเชิญชวนนายจ้าง/สถานประกอบการ เข้าร่วมโครงการฯเพิ่ม” นายสุชาติ กล่าว

ทั้งนี้กระทรวงแรงงาน ได้ เชิญชวนสถานประกอบการเข้าร่วมโครงการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม สอดรับกับการเพิ่มเป้าหมายให้คนพิการมีงานทำ โดยได้เชิญเอกชนเข้าร่วมโครงการ อาทิ บริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด โรงงานสำโรง (สำนักงานใหญ่) พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางแนวทางร่วมกัน จากเดิมที่ส่งเงินเข้ากองทุนตามมาตรา 34 ให้เปลี่ยนมาใช้สิทธิมาตรา 35 ซึ่งทางบริษัทฯให้ความสนใจโครงการฯ ดังกล่าวอย่างมาก

นอกจากนี้ ในเดือนตุลาคม กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน. มีเป้าหมายเข้าพบหารือสถานประกอบการเอกชน โดยมีผู้ตรวจราชการกรมลงพื้นที่ เพื่อแนะนำและเชิญชวนเข้าร่วมโครงการ 15 แห่ง เช่น ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคาร ทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเตม จำกัด เป็นต้น

“โครงการนี้ฯ ก่อให้เกิดรายได้กับผู้พิการโดยตรง นอกเหนือไปจากเบี้ยยังชีพคนพิการ โดยสามารถทำงานได้ที่หน่วยงานใกล้บ้าน เป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการและครอบครัวให้ดีขึ้น มีอาชีพ มีรายได้ โดยทางกรมฯ อำนวยความสะดวกสถานประกอบการให้สามารถลงทะเบียนใช้สิทธิผ่านระบบ E-service นอกจากนี้ยังมีทีมงานในการติดตามประเมินผลเพื่อดูแลคนพิการแทนสถานประกอบการด้วย”
สำหรับสถานประกอบการที่มีความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการฯ สามารถสอบถามติดต่อขอรับบริการได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 สามารถลงทะเบียนใช้สิทธิผ่านระบบ E-service กรมการจัดหางาน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”ผนึกหน่วยงานส่งเสริมองค์ความรู้จัดการน้ำอย่างยั่งยืน เสริมศักยภาพชุมชนร่วมคิด วางแผน พัฒนาใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด

,

“พล.อ.ประวิตร”ผนึกหน่วยงานส่งเสริมองค์ความรู้จัดการน้ำอย่างยั่งยืน
เสริมศักยภาพชุมชนร่วมคิด วางแผน พัฒนาใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด

“พลเอก ประวิตร” เป็นประธานลงนามบันทึกความเข้าใจ “พัฒนาองค์ความรู้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชุมชน”ยกระดับความเข้มแข็งของการดำเนินงานร่วมกัน จัดการทรัพยากรน้ำตั้งแต่ต้นทาง – ปลายทาง

วันนี้ (18 ตุลาคม 65) เวลา 14.00 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจการพัฒนาองค์ความรู้ด้านบริหารทรัพยากรน้ำ เพื่อบูรณาการสร้างการเรียนรู้ของชุมชน โดยมี นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวต้อนรับ พร้อมด้วย ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานโครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชนตามแนวพระราชดำริ กล่าวถึงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านบริหารทรัพยากรน้ำ เพื่อบูรณาการสร้างการเรียนรู้ของชุมชน และผู้บริหารจาก 3 หน่วยงาน ได้แก่ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และนายโชติ โสภณพนิช ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะไทย กล่าวถึงแผนการดำเนินงาน และลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน ณ ห้องราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยการพัฒนาองค์ความรู้ด้านบริหารทรัพยากรน้ำในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของทั้ง 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และมูลนิธินโยบายสาธารณะไทย ที่มุ่งมั่นในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้มีความมั่นคง และเกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน นับว่าเป็นการยกระดับความเข้มแข็งของการดำเนินงานร่วมกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเกิดผลสัมฤทธิ์ที่สนับสนุนแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนจากการร่วมลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังในครั้งนี้ และในโอกาสนี้ ขอเน้นย้ำถึงเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เนื่องจากน้ำเป็นทรัพยากรพื้นฐานที่สำคัญของชาติ โดยปัจจุบันมี “คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.)” ทำหน้าที่ในการบูรณาการและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีเอกภาพ อย่างไรก็ตาม จะต้องสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยจะต้องพัฒนาศักยภาพของชุมชนในการที่จะร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมพัฒนาและใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า เพื่อประโยชน์สูงสุดอย่างยั่งยืน

โดยที่ผ่านมาสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้ดำเนินงานตอบสนองนโยบายรัฐบาลที่ได้ให้ความสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ประกอบกับพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พุทธศักราช 2561 มีเจตนารมณ์ที่จะให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมบูรณาการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้มีความประสานสอดคล้องกันในทุกมิติอย่างสมดุลและยั่งยืน รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อร่วมกันบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล การลงนามบันทึกความเข้าใจของทั้ง 3 หน่วยงานในการที่จะร่วมกันบูรณาการความร่วมมือในครั้งนี้ จึงสอดคล้องกับแนวทางดังกล่าว โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ชุมชนและสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อให้การบริหารทรัพยากรน้ำมีความเหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ และคาดหวังว่าจะเกิดผลสัมฤทธิ์คือประโยชน์สุขของประชาชน อันเกิดจากการบริหารจัดการน้ำของชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร” ลงสุราษฎร์สั่งรับมือฤดูมรสุมเข้าภาคใต้ ติดตามแก้ปัญหาราคาปาล์มหนุนเพิ่มมูลค่าช่วยชาวสวน

,

“พล.อ.ประวิตร” ลงสุราษฎร์สั่งรับมือฤดูมรสุมเข้าภาคใต้
ติดตามแก้ปัญหาราคาปาล์มหนุนเพิ่มมูลค่าช่วยชาวสวน

วันที่ 17 ต.ค. 2565 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทย นายสันติ พร้อมพร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นายวิรัช รัตนเศรษฐ สส.บัญชีรายชื่อ เดินทางลงจ. สุราษฎร์ธานี เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำและเตรียมการรับมือฤดูฝน รวมทั้งความคืบหน้าการแก้ปัญหาปาล์มน้ำมันในพื้นที่ภาคใต้ โดยมีสส.พปชร. อาทิ นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.จ.นครศรีธรรมราช เขต 2 นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ นครศรีธรรมราช เขต 3 นายสายัณห์ ยุติธรรม ส.ส. นครศรีธรรมราช เขต 7 ณ ศาลากลาง จ.สุราษฎร์ธานี และนายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัด และ หัวหน้าราชการให้การต้อนรับ ทั้งนี้พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก ประจำ รองนายกรัฐมนตรี ได้รายงานสถานการณ์ภาพรวมปริมาณฝนที่กำลังเข้าสู่ฤดูฝนในพื้นที่ภาคใต้ ปริมาณน้ำสะสมในพื้นที่มากขึ้น เสี่ยงต่อน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งเกิดจากร่องมรสุมพาดผ่านและพายุโซนร้อนจากทะเลจีนใต้ ส่งผลฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ในจ.ชุมพร ระนอง พังงาน กระบี่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และสตูล

พล.อ.ประวิตร’ ได้ย้ำให้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช. จว.)และทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เตรียมการรับฤดูฝนภาคใต้ที่กำลังมาถึง พร้อมการบริหารจัดการลุ่มน้ำและโครงการแหล่งเก็บกักน้ำ พร้อมที่จะมุ่งแก้ปัญหาอุทกภัยเป็นหลักรวมถึงการแก้ปัญหาภัยแล้งไปพร้อมกัน โดยเน้น 13 มาตรการรับมือฤดูฝน และให้ความสำคัญ สำรวจพื้นที่เสี่ยงและความพร้อมของสถานีสูบน้ำ สิ่งกีดขวางทางน้ำ โดยให้บริหารจัดการน้ำ ผ่านคณะกรรมการลุ่มน้ำและคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด พร้อมทั้งขอให้มีการนำบทเรียน การป้องกันและแก้ปัญหา พื้นที่เสี่ยงปีที่ผ่านมา มาบริหารจัดการลดความเสี่ยงและผลความเสียหายที่เกิดจากอุทกภัย และต้องให้ความสำคัญ แจ้งเตือนและนำประชาชนออกจากพื้นที่ให้ทันเหตุการณ์ หากเกิดน้ำป่าไหลหลากดินโคลนถล่ม เพื่อความปลอดภัยของประชาชน พร้อมกันนี้ ขอให้ สทนช.เตรียมความพร้อมจัดตั้ง ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า ในพื้นที่ จว.สุราษฎร์ธานี โดยทันที

พล.อ.ประวิตรในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มแห่งชาติ (กปน.) ได้เดินเยี่ยมชมนิทรรศการการบริหารจัดการปาล์มน้ำมัน พร้อมพบปะประชาชนและพูดคุยกับเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาปาล์มน้ำมัน รัฐบาลปัจจุบันให้ความสำคัญและมีมาตรการต่างๆออกมาต่อเนื่อง ที่ส่งผลราคาปาล์มน้ำมันดีขึ้นต่อเนื่องกว่า ร้อยละ 150 และสามารถทำสถิติส่งออกสูงสุด 6.2 แสนตันในปี 64 และคาดว่าราคาปาล์มน้ำมันในปี 65 เฉลี่ยอยู่ที่ 7.5 บาท/กก.

โดยที่ผ่านมาได้แก้ไขปัญหาราคาปาล์ม ล้นตลาดและราคาปาล์มตกต่ำมาโดยตลอด จนสำเร็จเป็นรูปธรรมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สนับสนุนให้นำน้ำมันปาล์มดิบในสต๊อกส่วนเกินจำนวน 3.6 แสนตันไปผลิตไฟฟ้า เพื่อให้ราคาปาล์มมีเสถียรภาพ โดยตั้งแต่ปี 2562 ราคาปาล์มน้ำมันไม่เคยต่ำกว่า 4 บาทจนถึงขณะนี้ จากบาทกว่ามาถึง 8 บาทกว่า จนเห็นได้ชัดว่าชาวสวนปาล์มมีรายได้เพิ่มขึ้น ตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา ราคาปาล์มเฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.50 บาท คาดว่าทั้งปีน่าจะอยู่ที่ 7.50 บาทถึง 8 บาท

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า การแก้ปัญหากับเกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม รัฐบาลได้บริหารจัดการปาล์มน้ำมัน ผ่าน คณะกรรมการปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ที่มุ่งแก้ปริมาณปาล์มล้นตลาดและราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำมาตลอด โดยผลักดันการส่งออกและนำน้ำมันปาล์มส่วนเกินมาผลิตพลังงานผสมในน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน พร้อมทั้งติดมิเตอร์วัดน้ำมันปาล์มดิบป้องกันการลักลอบการนำเข้านำมันปาล์มเถื่อน ส่งผลให้ราคาปาล์มน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง

ทั้งนี้รัฐบาลยังได้เตรียมออกมาตรการระยะยาว โดยการนำน้ำมันปาล์มมาแปรรูป เพิ่มมูลค่าให้ปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจที่ยั่งยืน สำหรับ การบูรณาการพัฒนาปาล์มน้ำของ จว.สุราษฎร์ธานี ขอให้มุ่งเป้า Oil Palm City ที่ส่งเสริมการผลิตปาล์มน้ำมันเพื่อให้เกิดความอย่างยั่งยืน และราคามีเสถียรภาพ กำหนดราคาซื้อขายปาล์มน้ำมันที่เป็นธรรม เพื่อให้เกษตรกรได้รับประโยชน์ทั่วถึง ในทุกพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อนมาตรการปาล์ม้ำมันอย่างเป็นรูปธรรม

พล.อ.ประวิตร ได้เดินพบปะ จับมือทักทายเกษตรกรชาวสวนปาล์ม โดยมีกลุ่มเกษตรกรขอให้ช่วยเหลือแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ซึ่งระหว่างการเยี่ยมประชาชน มีเด็กผู้ชาย 2 คน อายุประมาณ 3-4 ขวบ เข้าสวมกอดพล.อ.ประวิตร ท่ามกลางเสียงตะโกนของชาวบ้าน ให้กำลังใจว่า “ลุงป้อมสู้ๆ” โดยตลอดการเดินพบปะชาวบ้าน พล.อ.ประวิตรมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และโบกมือทักทายชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 17 ตุลาคม 2565

รมช.อธิรัฐ ร่วมประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 28 อินโดนีเซีย มุ่งยกระดับคมนาคมในภูมิภาคก้างทันรับการเปลี่ยนแปลงของโลก

,

รมช.อธิรัฐ ร่วมประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 28 อินโดนีเซีย
มุ่งยกระดับคมนาคมในภูมิภาคก้างทันรับการเปลี่ยนแปลงของโลก

นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 28และการประชุมอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 16-17 ตุลาคม 2565 ณ เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย โดยผู้ช่วยปลัดกระทรวงคมนาคม และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุมฯ โดยการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๘ และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง วันอาทิตย์ที่ 16 ต.ค.65 นั้นประกอบด้วย
การประชุมรัฐมนตรีขนส่งระหว่างอาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 13 การประชุมรัฐมนตรีขนส่งระหว่างอาเซียน – ญี่ปุ่น ครั้งที่ 20 และการประชุมรัฐมนตรีขนส่งระหว่างอาเซียน – จีน ครั้งที่ 21 โดยมี H.E. Mr. Budi Karya Sumadi รมว.คมนาคมของอินโดนีเซีย ทำหน้าที่ประธานการประชุม
โดยที่ประชุมได้ร่วมหารือความร่วมมือด้านการขนส่ง เพื่อพัฒนาการคมนาคมขนส่งในภูมิภาค ที่สำคัญ ประจำปี 2566 ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมท่าอากาศยาน และการจัดการบริการขนส่งโดยการใช้แอปพลิเคชันสำหรับการขนส่งผู้โดยสารในอาเซียน และเพื่อส่งเสริมการหมุนเวียนตู้คอนเทนเนอร์ในภูมิภาค ซึ่งสะท้อนให้เห็นความร่วมมือของอาเซียนในการมุ่งสู่การขนส่งอัจฉริยะ และการปรับตัวที่ยืดหยุ่นพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายหลังการระบาดของโรคโควิด-19

ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๘ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ ได้กล่าวถ้อยคำแถลงสนับสนุนการรับรองเอกสารต่าง ๆ
“โดยประเทศไทยพร้อมจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับประเทศสมาชิกอาเซียนในการดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และพร้อมสนับสนุนสาขาการขนส่งที่จะดำเนินการในปีถัดไป เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน หรือแผนยุทธศาสตร์กัวลาลัมเปอร์ เพื่อช่วยพัฒนาและส่งเสริมขีดความสามารถด้านการขนส่งของประเทศไทย ตลอดจนอำนวยความสะดวกการค้าและการลงทุนในประเทศไทยและอาเซียน”

ในโอกาสนี้ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ ยังได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับรัฐมนตรีขนส่งของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศสมาชิก และเน้นย้ำเจตนารมณ์ในการดำเนินงานร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนในการยกระดับมาตรฐานการขนส่งในสาขาต่าง ๆ ของไทยให้มีความยืดหยุ่น ยั่งยืน ครอบคลุม และมีความเป็นสากลทัดเทียมนานาประเทศอีกด้วย


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 16 ตุลาคม 2565

“ตรีนุช”ลงพื้นที่น้ำท่วมให้กำลังใจชาวอุบลฯ

,

“ตรีนุช”ลงพื้นที่น้ำท่วมให้กำลังใจชาวอุบลฯ

วันนี้ ( 16 ตุลาคม 2565)
ที่จังหวัดอุบลราชธานี นางสาวตรีนุช เทียนทองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.)
ลงพื้นที่ติดตามและให้ความช่วยเหลือสถานศึกษาที่ประสบอุทกภัย ณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.)อุบลราชธานี เขต 3 , โรงเรียนบ้านเดื่อสะพานโดม และ เทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร
โดยมีพระปัญญาวชิรโมลี เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม,นางสาวสมปรารถนา วิกรัยเจิดเจริญ
ที่ปรึกษา รมว.ศธ.,นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.), นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการร่วมลงพื้นที่

นางสาวตรีนุช กล่าวว่า ตนพร้อมด้วยผู้บริหาร ศธ.ตั้งใจมาเยี่ยมให้กำลังใจครู ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษาทุกคน ซึ่งปีนี้จังหวัดอุบลราชธานี ประสบกับอุทกภัยอย่างหนักและรุนแรง โดยตนได้รับรายงานว่า เฉพาะที่จังหวัดอุบลราชธานี มีสถานศึกษา ในสังกัด ศธ.มากกว่า 92 แห่งได้รับความเสียหาย ทั้งอาคารเรียน และอุปกรณ์การเรียนการสอน ซึ่งตนได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแล้ว ว่า หลังจากที่น้ำลดแล้วอาจจะต้องมีการซ่อมแซมโรงเรียน หรือวัสดุครุภัณฑ์ต่างๆที่ได้รับความเสียหาย ก็ขอให้หน่วยงานต้นสังกัดของสถานศึกษาได้จัดงบประมาณไปดูแลโดยเร่งด่วน เพื่อให้มีความพร้อมสามารถเปิดโรงเรียนจัดการเรียนการสอนได้ทัน การเปิดเทอมที่จะถึงนี้ หรือให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
และให้ดูแลครูผู้อยู่ในด่านหน้าได้รับขวัญกำลังใจ และได้รับการดูแลอย่างเต็มที่

“ ดิฉันพร้อมที่จะเป็นหลักในการช่วยเหลือสนับสนุนในทุกๆด้าน เพื่อทำให้โรงเรียน ทำให้เด็กๆของเรากลับมาสู่การเปิดภาคเรียนได้อีกครั้ง ซึ่งในการช่วยเหลือนั้น หน่วยงานของ ศธ. ทุกหน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่จะทำงานเชื่อมโยง บูรณาการร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น อาชีวะช่วยประชาชน , กศน. จิตอาสา ซ่อม สร้าง ล้างใหม่ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เป็นต้น และวันนี้ก็ได้รับการอนุเคราะห์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) และ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่ได้มอบถุงยังชีพมาร่วมช่วยเหลือผู้ประสบภัย ดิฉันขอขอบคุณผู้บริหารทุกท่านและเป็นกำลังใจให้ทุก ๆ คน ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปเร็ว ๆ ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพร่างกายจิตใจให้เข้มแข็งปลอดภัย เพื่อที่เราจะได้เป็นหลักในการทำงานให้กับลูกหลาน เยาวชน และครูของเราต่อไป” รมว.ศธ. กล่าว

รมว.ศธ. กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยัง ได้รับเมตตาจากพระปัญญาวชิรโมลี เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม ซึ่งเป็นพระนักพัฒนาได้จัดสรรพื้นที่ของวัด จัดเป็นโรงเรียนเอกชนขึ้น เพื่อดูแลเยาวชนของเราส่วนหนึ่งให้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษา มีการพัฒนานวัตกรรมในเรื่องการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้เพื่อลดค่าไฟฟ้า , ช่วยระดมความช่วยเหลือจากชุมชนทุกด้านทำให้พวกเราบรรเทาทุกข์จากอุทกภัยในครั้งนี้ด้วย.


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 16 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร” ชูนโยบาย 3 แกนหลัก พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งสานต่อช่วยประชาชน

,

“พล.อ.ประวิตร” ชูนโยบาย 3 แกนหลัก
พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งสานต่อช่วยประชาชน

“พล.อ.ประวิตร”ประกาศเดินหน้า ขับเคลื่อนนโยบาย พปชร. สานต่อ 3 เสาหลัก พันธกิจ สวัสดิการประชารัฐ เศรษฐกิจประชารัฐ และสังคมประชารัฐ กลไกลดความเหลื่อมล้ำ สร้างเศรษฐกิจ สังคมเท่าเทียม ประชาชนทุกคนได้ประโยชน์ถ้วนหน้า พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า ต่อยอดนโยบายส่งมอบสิ่งที่ดีให้ประชาชน ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ที่จะนำเสนอให้กับพี่น้องประชาชน สำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึงในอนาคตอันใกล้ว พปชร. ยังเดินหน้าสานต่อนโยบาย 3 พันธกิจหลัก ที่ประกอบด้วย 1.สวัสดิการประชารัฐขจัดความเหลื่อมล้ำ 2.เศรษฐกิจประชารัฐ สร้างความสามารถและโอกาสที่เท่าเทียม และ 3.สังคมประชารัฐ สงบสุข เข้มแข็ง แบ่งปัน โดยเป็นกรอบนโยบายที่จะมาช่วยเหลือประชาชน และตอบโจทย์ประเทศไทยภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมนำพาประเทศไทยรวมถึงประชาชนให้มีความกินดีอยู่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และช่วยเหลือชุมชนให้เกิดความเข้มแข็ง ครอบคลุมประชาชนทุกคนให้ได้รับสิทธิสวัสดิการของรัฐอย่างถ้วนหน้า

พล.อ. ประวิตร กล่าวต่อว่า นโยบายของพรรคพลังประชารัฐในครั้งนี้ เป็นการดำเนินนโยบาย เพื่อเป็นการต่อยอดจากการทำงาน และร่วมขับเคลื่อนนโยบายของพรรคในการบริหารราชการของรัฐบาลชุดนี้ เพราะเราต้องการต่อยอดนโยบายที่ดีและเป็นประโยชน์กับประชาชน พร้อมกับนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ที่ตรงกับความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ดังนั้น ประชาชนจะเป็นศูนย์กลางของการขับเคลื่อนนโยบาย โดยทุกนโยบายจะมีการพิจารณาถึงงบประมาณ สามารถชี้แจงแหล่งที่มาของงบประมาณได้แน่นอน เราเน้นทำได้จริง ไม่ขายฝัน เราฟังเสียงประชาชนว่ามีความเดือดร้อนอย่างไร จึงมาสู่การกำหนดเป็นนโยบาย

“พรรคพลังประชารัฐให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนทุกช่วงวัย ต้องทำให้ทุกคน มีโอกาส มีอนาคต ตั้งแต่วัยเด็ก จนถึงการดูแลคนวัยทำงาน เพราะถือเป็นการสร้างอนาคตของประเทศ ถือเป็นการลงทุนทางสังคม เด็กทุกคนควรจะมีสิทธิเลือกว่าอยากมีอนาคตอย่างไร เด็กต้องได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพที่ดี จึงเกิดเป็นนโยบายสวัสดิการประชารัฐ จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน”ที่ดูแลตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ด้วยมารดาประชารัฐ ฝากครรภ์ จนคลอด นอกจากนี้สำหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เราก็ไม่ทอดทิ้ง ต้องมีการดูแลสวัสดิภาพผู้สูงอายุ ยังสานต่อในเรื่องเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ บ้านพัก และสวัสดิการรักษาพยาบาล ไปจนถึงแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง และผู้ที่เสียชีวิต “พลเอกประวิตร กล่าว

พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า นโยบายของพรรค ต้องคิดให้ละเอียดในการที่จะนำนโยบายไปใช้แต่ละพื้นที่ เพราะทุกพื้นที่มีความแตกต่างตามบริบทของท้องถิ่น แต่ยังคงยึด 3 เสาหลัก พรรคพลังประชารัฐ คือ สถาบันของการเมืองไทย เราคิดนโยบายเพื่อตอบโจทย์ความเหลื่อมล้ำ ความยากจน และตอบโจทย์ประชาชน เราจะเป็นพรรคที่ทำให้สังคมสงบสุข โดยจะก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆกัน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยที่นโยบายของเราที่จะขับเคลื่อน เกิดขึ้นบนพื้นฐานการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ที่ประชาชนเห็นด้วย และให้การตอบรับในการทำงานที่ผ่านมา และพร้อมที่จะทำต่อเนื่องเพื่อให้เกิดผลกับประชาชนอย่างแท้จริง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 15 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร” โทรชื่นชมครอบครัววอลเลย์หญิงไทย นำความสุขสร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติในเวทีโลก

,

“พล.อ.ประวิตร” โทรชื่นชมครอบครัววอลเลย์หญิงไทย นำความสุขสร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติในเวทีโลก

วันที่ 14 ต.ค.65 เวลา 12.00 น. พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้วิดีโอคอลไปยัง “โค้ชด่วน” นายดนัย ศรีวัชรเมธากุล หัวหน้าผู้ฝึกสอนและนักกีฬาวอลเลย์หญิงทีมชาติไทย เพื่อขอบคุณที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศ ในงาน “ครอบครัววอลเลย์บอล สร้างสุขทั่วไทย ได้ใจทั่วโลก” ของสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 14 ต.ค.65 ณ โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอรีน พระรามเก้า กรุงเทพฯ

โดยพลเอกประวิตร ได้กล่าวขอบคุณสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ผู้ฝึกสอน นักกีฬา ที่เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติรายการต่าง ๆ ตลอดปี 2022 รวมทั้งบุคลากรด้านอื่นๆ ที่มุ่งมั่น ทุ่มเท ด้วยความเสียสละ อดทน ทําให้ทีมวอลเลย์บอลของไทยประสบผลสําเร็จเป็นอย่างดียิ่ง และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ

สำหรับผลงานวอลเลย์บอลหญิงไทย 2022 โชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการคว้าแชมป์ซีเกมส์ (13 สมัยติด /นับเป็นสมัยที่ 15), เนชันส์ลีก 2022 อันดับ 8 (สร้างประวัติศาสตร์เข้ารอบไฟนอลเป็นครั้งแรก), อันดับ 3 เอวีซี คัพ 2022 (AVC CUP 2022), แชมป์วัน อาเซียน กรังด์ปรีซ์ 2022 ก่อนส่งท้ายปี 2022 ด้วยการจบอันดับ 15ในศึกวอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2022 จากการชนะ ตุรกี, โครเอเชีย, เกาหลีใต้ และโดมินิกัน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 14 ตุลาคม 2565

“ตรีนุช” ถกประชุม รมต.ศึกษาอาเซียน พร้อมรับไม้ต่อปี67 ไทยเจ้าภาพชู “พลิกโฉมการศึกษาสู่ยุคดิจิทัล”

,

“ตรีนุช” ถกประชุม รมต.ศึกษาอาเซียน พร้อมรับไม้ต่อปี67 ไทยเจ้าภาพชู “พลิกโฉมการศึกษาสู่ยุคดิจิทัล”

เมื่อวานนี้ (13 ตุลาคม 2565) ที่โรงแรม MELIA Hanoi กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยว่า ตน พร้อมด้วย นายอรรถพล สังขวาสี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีศึกษาของอาเซียน ครั้งที่ 12 (The 12th ASEAN Education Ministers Meeting: 12th ASED) ร่วมกับรัฐมนตรีศึกษาของ 9 ประเทศสมาชิกอาเซียนและเลขาธิการอาเซียน เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางของแต่ละประเทศในการจัดการศึกษาในยุคหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และหารือถึงแนวทางการพัฒนาการศึกษาในอนาคตร่วมกัน

“การประชุม 12th ASED นี้ จัดขึ้นในหัวข้อ ‘Joint efforts to recover learning and building resilience of education systems in ASEAN and beyond in the new context’ หรือ ‘ความพยายามร่วมกันในการพลิกโฉมการเรียนรู้และการสร้างความยืดหยุ่นของระบบการศึกษาในอาเซียนและในบริบทใหม่’ ซึ่งรัฐมนตรีศึกษาประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมแลกเปลี่ยนถึงแนวทางการจัดการศึกษาที่ได้รับผลกระทบมาจากโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยประเทศไทย และประเทศสมาชิกส่วนใหญ่มีการปรับการเรียนการสอนเป็นแบบออนไลน์ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงและเน้นการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้ครูเพื่อสามารถรองรับรูปแบบการสอนที่เปลี่ยนไปได้ รวมถึงพัฒนาแพลตฟอร์มกลางให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ” นางสาวตรีนุช กล่าว

รมว.ศธ. กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยเฉพาะการพาเด็กตกหล่นและหลุดออกกลางคันให้ได้กลับมาเรียนอีกครั้ง ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยไทยได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการพาเด็กที่หลุดออกจากระบบกลับมาให้มากที่สุด รวมถึงฟื้นฟูความรู้ในช่วงที่หายไป โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้สนับสนุน ดังนั้น การเรียนรู้แบบผสมผสานที่เกิดขึ้นทำให้ผู้เรียนและครูต้องได้รับการพัฒนาให้มีความรู้ใหม่ด้านดิจิทัล เพราะตอนนี้การศึกษาได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนมากขึ้น ซึ่งตนได้ขอบคุณประเทศสมาชิกอาเซียนในการร่วมมือระหว่างกัน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาในการพัฒนาทักษะผู้เรียนให้มีทักษะด้านดิจิทัลพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ในปี 2567 ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ASED ครั้งที่ 13 โดยกำหนดเป้าหมายการพัฒนาการศึกษาในเรื่อง “พลิกโฉมการศึกษาสู่ยุคดิจิทัล” (Transforming Education to Fit in the Digital Era)

“ขอชื่นชมประเทศเวียดนามที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในครั้งนี้และยินดีที่ทุกประเทศสมาชิกอาเซียนมาร่วมกันขับเคลื่อนการศึกษาไปด้วยกัน เพราะงานด้านการศึกษาไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง เราในฐานะเจ้าภาพการประชุมในครั้งต่อไป จะสานต่อความร่วมมือที่เข้มแข็ง เพื่อสร้างหลักประกันว่าทุกคนจะต้องมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม” นางสาวตรีนุช กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 14 ตุลาคม 2565

“รมต.อนุชา” ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำ จ.ชัยนาท ซ่อมแซมคันกั้นน้ำ-ลดผลกระทบพื้นที่การเกษตรเสียหาย

,

“สัณหพจน์” ชื่นชม ครม.อนุมัติ ปรับปรุงขยายประปา “ลุ่มน้ำปากพนัง” สืบสานพระราชปณิธาน ในหลวง ร.9 การบริหารจัดการน้ำ

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2565 – นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายนที มนตริวัต รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท นายอนุสรณ์ นาคาศัย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท และหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดชัยนาท เดินทางลงพื้นที่ อ.เมือง จ.ชัยนาท เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำหลังได้รับรายงานน้ำในพื้นที่เพิ่มสูงจากปริมาณฝนตกหนักและน้ำเหนือไหลเข้าพื้นที่ ประกอบกับคันกั้นน้ำที่วัดลัดเสนาบดี (วัดเกาะ) ชำรุด ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนและพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย

ทั้งนี้ นายอนุชายังได้เดินทางไปยังวัดลัดเสนาบดี หมู่ที่ 1 ต.เขาท่าพระ อ.เมือง และบ้านดักคะนน ต.ธรรมามูล อ.เมือง เพื่อสำรวจความเสียหายจากผลกระทบคันกั้นน้ำชำรุด พบว่ามีปริมาณน้ำไหลแรงเข้าสู่พื้นที่อยู่อาศัยของประชาชนและพื้นที่การเกษตรอย่างรวดเร็ว ถนนหนทางบางส่วนได้รับความเสียหายจากน้ำกัดเซาะ สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้ทุกภาคส่วนให้ความช่วยเหลือและดูแลประชาชนอย่างเต็มกำลัง และฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ สำหรับ จ.ชัยนาท พื้นที่ ต.ธรรมามูล และ ต.เขาท่าพระ เป็นพื้นที่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา และเป็นพื้นที่สำคัญที่ต้องรักษาไม่ให้เกิดน้ำท่วมสูง เมื่อคันกั้นน้ำพังจะทำให้น้ำท่วมไปหลายตำบลและอาจส่งผลถึงจังหวัดใกล้เคียง ขณะนี้ตนได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เร่งระดมสรรพกำลังทุกภาคส่วนให้ความช่วยเหลือ โดยเร่งดำเนินการซ่อมแซมคันกั้นน้ำ เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่พี่น้องประชาชน คาดว่าหากไม่มีปริมาณน้ำฝนและปริมาณน้ำจากแหล่งอื่นมาเพิ่มเติม สถานการณ์จะกลับสู่สภาวะปกติ

“ตอนนี้เราอยู่ในช่วงของการเฝ้าระวังและเสริมกำลังไปยังพื้นที่เปราะบาง เพื่อให้มีความมั่นคงในการป้องกันคันน้ำไม่ให้พังทลาย ในระยะยาวจะดำเนินการประสานไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดและทางหลวงชนบทที่ดูแลถนนเส้นนี้ ให้ทำการยกระดับถนนให้ปลอดภัยจากน้ำท่วม และได้กำชับทางจังหวัดให้ดูแลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบทุกด้าน ทั้งชีวิตความเป็นอยู่และสุขอนามัย หากมีความเดือดร้อนเรื่องใดจะจัดชุดเคลื่อนที่เร็วให้ความช่วยเหลือประชาชนทันที” นายอนุชา กล่าว

ทั้งนี้ จ.ชัยนาท ประสบสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 6 อำเภอ 30 ตำบล 145 หมู่บ้าน 10 ชุมชน ประชาชนได้รับความเสียหาย 8,250 ครัวเรือน มีพื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ 86,994 ไร่ โดยพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยรุนแรงมากที่สุดคือ อ.สรรพยา เบื้องต้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือและอยู่ระหว่างการสำรวจความเสียหาย

#พรรคพลังประชารัฐ #พลังประชารัฐ #พปชร #PPRP #อนุชานาคาศัย
Twitter : https://twitter.com/PPRPofficial


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 13 ตุลาคม 2565