โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: ข่าวประชาสัมพันธ์

พล.อ.ประวิตร นำทีมคณะผู้บริหาร-ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ

,

พล.อ.ประวิตร นำทีมคณะผู้บริหาร-ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ
ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ

วันที่ 16 ธันวาคม 2565 ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ – เมื่อเวลา 14.30 น. พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชารัฐ เดินทางไปยังโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เพื่อร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภานเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ณ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ

พลเอกประวิตร กล่าวว่า ในวันนี้ได้ตนได้นำคณะผู้บริหาร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ร่วมถวายพระพร และถวายกำลังใจ แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา พร้อมขอให้ประชาชนคนไทย ร่วมกันสวดมนต์ เพื่อถวายพระพร แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ เพื่อให้พระองค์ทรงพระพลานามัยแข็งแรง และทรงหายจากพระอาการประชวรสมบูรณ์โดยเร็ววัน


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 16 ธันวาคม 2565

พล.อ.ประวิตร เคาะโครงการแก้ปัญหาน้ำตามแผนจัดการน้ำ 20ปี เตรียมชงคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พิจารณา 29 ธ.ค.นี้

,

พล.อ.ประวิตร เคาะโครงการแก้ปัญหาน้ำตามแผนจัดการน้ำ 20ปี
เตรียมชงคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พิจารณา 29 ธ.ค.นี้

วันนี้ (15 ธ.ค. 65) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรียกประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำ และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาทรัพยากรน้ำ ผ่านระบบ VTC ณ มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อห้าจังหวัด โดยที่ประชุมรับทราบผลการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาทรัพยากรน้ำที่สำคัญ ปี 65 และการติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ( 61-65 ) รวมถึงความก้าวหน้าโครงการแก้มลิงทุ่งหิน จ.สมุทรสงคราม

นอกจากนี้ที่ประชุมได้ความเห็นชอบ โครงการปรับปรุงระบบชลประทานเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง ตั้งแต่ จ.พระนครศรีอยุธยา – สมุทรปราการ และฝั่งตะวันตก ตั้งแต่ จ.พระนครศรีอยุธยา – สมุทรสาคร เพื่อระบายน้ำเหนือ – ใต้ ออกสู่ทะเลทั้งสองฝั่ง โดยปรับปรุงโครงข่ายชลประทาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ เพิ่มแหล่งเก็บกักน้ำนำไปใช้ประโยชน์ และสามารถช่วยบรรเทาอุทกภัยลดพื้นที่น้ำท่วม

รวมทั้งโครงการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของ กทม. ด้วยการปรับปรุงสถานนีสูบน้ำพระโขนง การก่อสร้างเขื่อนคลองหนองบอน เขื่อนคลองมะขามเทศ ลดผลกระทบน้ำท่วมในพื้นที่ กทม. พร้อมทั้งเห็นชอบการขยายระยะเวลาและกรอบวงเงิน โครงการคลองระบายน้ำหลาก บางบาล – บางไทร และโครงการปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค สาขาพังงา – ภูเก็ต เพื่อเพิ่มศักยภาพระบบประปา รองรับการขยายตัวของชุมชนเมือง

อย่างไรก็ตามที่ประชุมยังได้เห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำปี 67 จำนวน 63,589 รายการ วงเงิน 337,736 ล้านบาท โดยให้ความเร่งด่วน 26,421 โครงการ วงเงิน 184,530 ล้านบาท ในพื้นที่ทั่วประเทศ ในด้านต่างๆ ประกอบด้วย การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย การอนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศทรัพยากรน้ำ และด้านบริหารจัดการ ซึ่งผลสัมฤทธิ์ สามารถเพิ่มความจุเก็บกักน้ำกว่า 1,400 ล้าน ลบ.ม.พื้นที่รับประโยชน์ 6.23 ล้านไร่ ประชาชนได้ประโยชน์ 5.64 ล้านครอบครัว และพื้นที่ได้รับการป้องกัน 5.37 ล้านไร่ เตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ 29 ธ.ค. นี้ต่อไป

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่าได้มอบหมายให้กรมชลประทานและหน่วยเกี่ยวข้อง เพิ่มน้ำหนักการพิจารณาปัจจัยเสี่ยงของโครงการให้ละเอียดมากขึ้น เพื่อมิให้มีปัญหาการขยายระยะเวลาและกรอบวงเงิน พร้อมทั้งขอให้คณะกรรมการร่วมกันพิจารณากลั่นกรองโครงการอย่างรอบคอบ โดยหลายโครงการมีความสำคัญต่อการลดปัญหาการขาดแคลนน้ำและอุทกภัยอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์สูงสุด ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อประชาชนในหลายพื้นที่บ้าง จึงขอให้พิจารณาดำเนินการให้กระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 15 ธันวาคม 2565

“รองหน.วิรัช” ติวเข้มว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พปชร.แม่นกติกาเลือกตั้ง เสริมศักยภาพเลือดใหม่ลุยทำงานในพื้นที่ใกล้ชิดประชาชน

,

“รองหน.วิรัช” ติวเข้มว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พปชร.แม่นกติกาเลือกตั้ง เสริมศักยภาพเลือดใหม่ลุยทำงานในพื้นที่ใกล้ชิดประชาชน

วันที่ 15 ธันวาคม 3565 เวลา 10.30 น.นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า พรรคได้จัดอบรมว่าที่ผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐรุ่นที่ 1 ในด้านการเตรียมตัว การวางแผนการเลือกตั้ง กลยุทธ์การต่อสู้ การเลือกตั้ง และเน้นย้ำกฎหมายสำคัญ ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง โดยเป็นการอบรมภายในของพรรค ได้เชิญนายนิพิฎธิ์ อินทรสมบัติ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมบรรยาย ถ่ายทอดประสบการณ์การทำพื้นที่ เพื่อให้ว่าที่ผู้สมัครดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย และนำไปปรับใช้ในการลงพื้นที่ เพื่อการแข่งขันการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในปี 2566 โดยการอบรมรุ่นที่ 1 มีว่าที่ผู้สมัครกว่า 30 การอบรมจะแบ่งเป็นชุด โดยจะมีชุดละ 30 คน

สาระสำคัญของการอบรมครั้งนี้ เป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองของการทำพื้นที่ของว่าที่ผู้สมัคร ที่ต้องมีใจเกินร้อย เพื่อเป็นความหวังของของคนในพื้นที่ ที่จะนำนโยบายของพรรคไปนำเสนอ พร้อมสานต่อนโยบายให้สอดรับกับความต้องการของคนในพื้นที่ พร้อมเน้นย้ำเรื่องการหาเสียงต้องศึกษาข้อกฎหมายที่ชัดเจน ให้เป็นไปตามกติกา ไม่ให้ทำในสิ่งที่สุ่มเสี่ยงต่อการร้องเรียนของคู่แข่ง เพราะเป็นกลยุทธ์ของการแข่งขันในพื้นที่ ดังนั้นทุกคนต้องเตรียมความพร้อม และหลักฐานเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ โดยการทำตัวเองให้ปลอดจากเงื่อนไข ของกฎหมาย และสร้างความมั่นใจในการลงพื้นที่ เพื่อเสนอตัวเองเป็นตัวแทนของประชาชน อย่างไรก็ตามห้ามประมาท โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่อาจยังมีช่องว่าง ในเรื่องของความมั่นใจเกินไป อาจจะนำมาซึ่งความพ่ายแพ้

ในการอบรมครั้งนี้ ได้ให้ว่าที่ผู้สมัครทุกคน แนะนำตัว แลกเปลี่ยนประสบการณ์จากทำพื้นที่ ที่มีความแตกต่างของบริบททางสังคม ได้นำไปปรับใช้ในพื้นที่ของตนเองได้ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมประสบการณ์ให้ว่าที่ผู้สมัครมีมุมมองและวางกลยุทธ์ในการทำพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังเป็นการสานความสัมพันธ์ของผู้สมัครให้มีความรักและเป็นหนึ่งเดียว

ส่วนการแบ่งเขตพื้นที่การเลือกตั้ง ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน ในการแบ่งพื้นที่เขต แต่พรรคมีความพร้อม เรามีว่าที่ผู้สมัครแล้ว 75% และยังมีบางพื้นที่ที่ทับซ้อนกันพรรคก็ดำเนินการทำโพล ซึ่งขณะนี้ จากการติดตาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจราชการในพื้นที่ เช่นใน จ.ร้อยเอ็ด และกาฬสินธุ์ ใน 2 จังหวัด คะแนนเสียงพรรคยังไม่ดีพอ และอาจทำให้การทำพื้นที่ของว่าผู้ที่สมัครมีความยากลำบาก แต่เมื่อสัมผัสพื้นที่จริง กลับมองเห็นโอกาสที่พรรคจะได้รับชัยชนะ มั่นใจว่าพรรคมีหวังได้หลายเขตซึ่งหลักใหญ่ของพรรค ก็คือให้พื้นที่กับคนเก่า 95% ในส่วนที่เหลือต้องมีการพิจารณาต่อไป เพราะบางท่านเป็น ส.ส.เขต แต่วันนี้ขอขึ้นเป็นบัญชีรายชื่อ ก็ต้องดูแลและวางระบบการบริหารให้สอดคล้องในการส่งว่าที่ผู้สมัครลงสนามเลือกตั้ง ขณะนี้พรรค วางตัวผู้สมัครได้ แล้ว 75% แต่มีบางพื้นที่มีความทับซ้อนของตัวผู้สมัคร ต้องตัดสินด้วยทำโพล โดยเฟ้นหาส.ส.ใหม่ที่มีศักยภาพ เข้ามาทำหน้าที่ เพราะประสบการณ์การเลือกตั้งที่ผ่านมา ส.ส.เก่า จะเข้าสู่สภาได้ 65% อีก 35% เป็น ส.ส.ใหม่

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 15 ธันวาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”ลุยกาฬสินธุ์-ร้อยเอ็ด แก้ปัญหาน้ำ-มอบสิทธิ์ที่ดินทำกิน ป้องกันที่ดินหลุดจำนองมือิเกษตรกร ลดความเหลื่อมล้ำสร้างอาชีพมั่นคง

,

“พล.อ.ประวิตร”ลุยกาฬสินธุ์-ร้อยเอ็ด แก้ปัญหาน้ำ-มอบสิทธิ์ที่ดินทำกิน
ป้องกันที่ดินหลุดจำนองมือิเกษตรกร ลดความเหลื่อมล้ำสร้างอาชีพมั่นคง

เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2565 ที่ศ่ลากลางจ.กาฬสินธุ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คมนาคม และคณะ ลงพื้นที่จ.กาฬสินธุ์ และร้อยเอ็ด เพื่อตรวจติดตามการบริหารจัดการแก้ปัญหาที่ดินทำกินและการฟื้นฟูแหล่งน้ำ และรับฟังปัญหาจากประชาชนในพื้นที่ มีตัวแทนหน่วยงานเกี่ยวข้องรอต้อนรับ

โดยรับฟังการบรรยายสรุปภาพรวม พบปัญหาขาดแคลนแหล่งน้ำต้นทุนการเกษตร การบริโภคจากการขยายตัวของชุมชนเมือง โดยเฉพาะนอกเขตชลประทาน ซึ่งในปี 61-64 มีแผนงานพัฒนาพื้นที่แล้ว 1,152 โครงการ วงเงินกว่า 3,100 ล้านบาท พื้นที่รับประโยชน์ 107,582 ไร่ ประชาชนได้ประโยชน์กว่า 48,000 ครอบครัว และอยู่ระหว่างดำเนินการ 165 โครงการ โดยงบกลางกว่า 280 ล้าน ทั้งการพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำ ระบบกระจายน้ำและระบบป้องกันน้ำท่วม สำหรับปี 66-67 มี 3 โครงการ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 912 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้ประโยชน์อีก 3,100 ครอบครัว พื้นที่กว่า 5,800 ไร่

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขอย้ำให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง โดยเร่งพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนในพื้นที่ให้เสร็จทันตามกำหนด โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ และให้ลงไปดูแก้ปัญหาที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย ป้องกันการเสียสิทธิ์ในที่ดินทำกินจากการจำนองและขายฝากของเกษตรกร อย่าให้หลุดมือเกษตรกร และเร่งช่วยเหลือเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกิน การแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ โดยให้บูรณาการความร่วมมือภาคีการพัฒนาต่างๆ และบริหารจัดการข้อมูลแบบชี้เป้าให้เป็นผล ทั้งนี้ให้กระจายรับฟังปัญหาและความต้องการของประชาชน เพื่อบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมไปด้วยกัน

จากนั้นพล.อ.ประวิตร มอบหนังสืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกินของรัฐเป็นการชั่วคราว ตามนโยบายแก้ปัญหาความยากจนและพบปะประชาชน ในพื้นที่หนองผัวเมียสาธารณประโยชน์ ต.ดอนสมบูรณ์ และแปลงโสกหมูสาธารณประโยชน์ ต.เขาพระนอน อ.ยางตลาด โดยกล่าวขอบคุณทางจ.กาฬสินธุ์ ที่แก้ปัญหาการบริหารจัดการใช้ประโยชน์ที่ดินสาธารณประโยชน์อย่างถูกต้องใน 7 อำเภอ รวมทั้งสิ้น 2,938 แปลง เพื่อคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมกับพบปะเยี่ยมเยียนและรับทราบปัญหาจากประชาชนในพื้นที่

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน พล.อ.ประวิตร จะเดินทางพบปะประชาชน และติดตามการแก้ปัญหาการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด ต่อไป


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 14 ธันวาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”ขอความร่วมมือพรรคร่วมรัฐบาล ผ่านเข้าประชุมสภาฯ ทำหน้าที่ผู้แทนประชาชนพิจารณาเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชนมีความต่อเนื่อง

,

“พล.อ.ประวิตร”ขอความร่วมมือพรรคร่วมรัฐบาล ผ่านเข้าประชุมสภาฯ
ทำหน้าที่ผู้แทนประชาชนพิจารณาเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชนมีความต่อเนื่อง

เมื่อ13 ธ.ค.65 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม คณะรัฐมนตรี เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเดินทางไปปฏิบัติราชการประชุมสุดยอด อาเซี่ยน -สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม ระหว่าง 12-15 ธ.ค.65 โดยก่อนเริ่มวาระการประชุม

พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวแสดงความห่วงใย ต่อการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมักเกิดปัญหา สภาฯไม่ครบองค์ประชุม ทำให้ไม่สามารถดำเนินการพิจารณาเรื่องต่างๆได้ จึงขอความร่วมมือพรรคร่วมรัฐบาลที่เข้าร่วมประชุม ผ่านไปยัง สส.ของพรรคทุกท่าน ให้เข้าร่วมประชุมสภาฯ โดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อทำหน้าที่ผู้แทนประชาชน อย่างมีเกียรติในการร่วมกันพิจารณา หารือ และผ่าน ก.ม.ที่สำคัญ ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน และประเทศชาติโดยรวม ต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 13 ธันวาคม 2565

เลขาฯ สันติ พปชร. เปิดตัว 12 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. อีสาน- ใต้ มั่นใจคัดคนดี แก้ปัญหาปากท้องปชช.หนุน”นิพิฎฐ์”นำธงพัฒนาพื้นที่ใต้

,

เลขาฯ สันติ พปชร. เปิดตัว 12 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. อีสาน- ใต้ มั่นใจคัดคนดี แก้ปัญหาปากท้องปชช.หนุน”นิพิฎฐ์”นำธงพัฒนาพื้นที่ใต้

วันที่ 13 ธ.ค. 65 ที่พรรคพลังประชารัฐ นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร. )นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค ร่วมกันแถลงข่าวเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พื้นที่ภาคอีสานและภาคใต้ โดยมีแกนนำคนสำคัญอย่าง นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และ ส.ส.พัทลุง 8 สมัย ร่วมเปิดตัวกับพรรคพลังประชารัฐด้วย

โดยการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครฯ ในครั้งนี้ แบ่งเป็น แบบบัญชีรายชื่อ พื้นที่ภาคใต้ ประกอบด้วย จ.สงขลา ได้แก่ นายณรงค์พร ณ พัทลุง อดีตผู้สมัครนายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ ซึ่งได้ลำดับที่ 2 ในครั้งที่ผ่านมา จ.นครศรีธรรมราช ได้แก่ นางสุภาพ ขุนศรี และนายสุธรรม จริตงาม

พื้นที่ภาคอีสาน ประกอบด้วย จ.นครราชสีมา ได้แก่ ดร.ประพิศ นวมโคกสูง, นางอรทัย พลวิเศษ, นายตติรัฐ รัตนเศรษฐ, ดร.อรัชมน รัตนเศรษฐ, นายวิรัตน์ วาริชอลังการ, นายพจน์ เจริญสันเทียะ ในส่วน จ.ชัยภูมิ ได้แก่ นางสาวจิตราภรณ์ กล้าแท้, นางสาวกาญจนา จังหวะ, นายสนั่น พัชรเตชโสภณ
ด้านนายสันติ กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนของสมาชิกพรรคพลังประชารัฐทุกคน ขอขอบคุณท่านนิพิฎฐ์ ที่จะเข้ามาช่วยดูแลชาติบ้านเมือง โดยเฉพาะจังหวัดทำภาคใต้ ที่มีความสำคัญ เพราะถือเป็นด้ามขวานทองของประเทศไทย ที่จะต้องมีตัวแทนของประชาชนชาวใต้ในการดูแลพัฒนาจังหวัดที่มีทรัพยากรต่าง ๆ มากมาย และยังรอที่จะพัฒนาจากนโยบายของพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพัฒนาคุณภาพชีวิต หรือการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน หรือการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่จะไปดูแลพืชผลสินค้าทางการเกษตรเช่นยางพารา ปาล์ม ก็กำลังรอผู้ที่มีความรู้ความสามารถ

“ท่านนิพิฎฐ์เป็นผู้ที่มีความตั้งใจจริง ผมต้องขอขอบคุณท่านเป็นกรณีพิเศษ เพราะท่านห่วงใยพี่น้องชาวใต้ เฉกเช่นเดียวกันกับพรรคพลังประชารัฐ ที่เรามีความตั้งใจที่จะพัฒนาภาคใต้ของเราให้มีความเข้มแข็ง และเพิ่มศักยภาพให้กับเยาวชน และคนรุ่นใหม่ ๆ ที่จะขึ้นมาดูแลจังหวัดต่อไป”

ทั้งนี้ พรรคมั่นใจว่าว่าที่ผู้สมัครฯ ดังกล่าว ล้วนเป็นบุคลากรที่ได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดี และมีทีมงานที่มีฐานเสียงเข้มแข็ง และกว้างขวางในพื้นที่ภาคใต้ ที่จะเข้ามาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ เพื่อเป็นปากเสียงแทนในการเข้าไปเป็นตัวแทนให้กับพี่น้องประชาชนต่อไป

นายนิพิฎฐ์ กล่าวว่า การตัดสินใจร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ ขอให้อย่าคิดว่า ตนมาในฐานะขุนพล เพราะตนตั้งใจมาทำงานร่วมกันกับสมาชิกพรรคคนอื่น ๆ ไม่ได้มาเป็นผู้นำใดๆ ทั้งสิ้น ในส่วนของพื้นที่ภาคใต้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้รับมอบหมายจากท่านหัวหน้าพรรค ต้องการให้เข้ามาช่วยดูแลภาคใต้ โดยยังมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในพรรคอย่างเช่น นายอภิชัย เตชะอุบล มาช่วยงานด้วย รวมไปถึงนายอนุมัติ อาหมัด อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) แต่ยังปิดเงื่อนไขทางกฏหมายการเว้นวรรคทางการเมืองจาก ส.ว.อยู่ ก็จะมาให้คำปรึกษาในส่วนที่ไม่ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สิ่งใดที่ผมสามารถทำได้เพื่อชัยชนะของพรรคพลังประชารัฐ ผมพร้อมที่จะทำอย่างเต็มที่ เพื่อให้พื้นที่ภาคใต้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ ผมขอขอบคุณผู้ใหญ่ และกรรมการบริหารพรรคทุกท่านที่ให้เกียรติผมมาร่วมงานกันในวันนี้”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 13 ธันวาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร” เกาะติด “ปราบปรามค้ามนุษย์” ต่อเนื่อง สั่งเข้มประสานข้อมูลระดับชาติ ดูแลเหยื่อ สร้างความเชื่อมั่นให้ไทย

,

“พล.อ.ประวิตร” เกาะติด “ปราบปรามค้ามนุษย์” ต่อเนื่อง
สั่งเข้มประสานข้อมูลระดับชาติ ดูแลเหยื่อ สร้างความเชื่อมั่นให้ไทย

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธานการประชุมคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) ครั้งที่ 3/2565 และ คณะกรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปกค.) ครั้งที่ 5/2565 ณ ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยพล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่ ประชุม ปคม.ที่ประชุมได้รับทราบ รายงานความก้าวหน้า การจัดตั้งศูนย์คัดแยกผู้เสียหาย (ดอนเมือง) โดย สตช. ซึ่งประกอบด้วย การปรับปรุงอาคารศูนย์ฝึกอบรมฯ และการพัฒนาระบบศูนย์คัดแยกฯ ซึ่ง สหรัฐให้ความสนใจ และพล.อ.ประวิตร ได้กำชับให้เร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และรับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนกลไกการส่งต่อระดับชาติ (National Referral Mechanism :NRM) ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ย้ำให้ทุกหน่วยงานทำความเข้าใจและดำเนินการให้เป็นไปตาม NRM อย่างเคร่งครัด รวมทั้งรับทราบ FBI ได้สนับสนุนการฝึกอบรมให้เจ้าหน้าที่ของไทย หัวข้อ “การสืบสวนสอบสวนกรณีการค้ามนุษย์” ห้วง 10-21ต.ค.65 ในประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของเจ้าหน้าที่ไทย จำนวน 32 คน

จากนั้นที่ประชุม ได้พิจารณาเห็นชอบ (ร่าง) รายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของไทย ประจำปี2565 และกรอบเวลาการจัดทำรายงาน ซึ่งมีผลการดำเนินงานคืบหน้าที่สำคัญ ทั้งด้านการดำเนินคดีและการบังคับใช้กฎหมาย ด้านช่วยเหลือคุ้มครอง และด้านการป้องกัน รวมทั้งได้เห็นชอบแต่งตั้ง พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชารยะ ให้เป็นประธานอนุกรรมการร่วม ว่าด้วยการขับเคลื่อนศูนย์ความเป็นเลิศเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ระหว่างไทย-ออสเตรเลีย (ฝ่ายไทย) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมาย ตามข้อตกลงร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่าย

ต่อจากนั้น ได้มีการประชุม ปกค.โดยมีการพิจารณาเห็นชอบ ให้ปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญระดับชาติ และคณะกรรมการผู้ชำนาญการระดับภาคหรือระดับหน่วยงาน และการขยายระยะเวลาการดำเนินงานจาก60วัน เป็น90วัน รวมทั้งเห็นชอบให้ปรับปรุงองค์ประกอบคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจกำกับและติดตามการดำเนินงานช่วยเหลือและเยียวยาผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ตามหลักมนุษยธรรม

พล.อ.ประวิตร ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ อย่างเข้มข้น ต่อเนื่อง ควบคู่การให้ความช่วยเหลือ เยียวยาผู้เสียหาย เพื่อแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ ให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย และให้สหรัฐฯ เห็นถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจของไทยต่อการแก้ไขปัญหา อย่างจริงจัง และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อชาวโลก รวมถึงการที่ไทยมีความพยายาม ยกระดับขึ้นเป็น เทียร์1 ในปี66 ต่อไปด้วย


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 ธันวาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร” พลิกโฉมปาล์ม ชูพืชเศรษฐกิจยั่งยืน ดันรายได้ทะลุ 1.5 แสนล. 2 ปีซ้อน ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร

,

“พล.อ.ประวิตร” พลิกโฉมปาล์ม ชูพืชเศรษฐกิจยั่งยืน
ดันรายได้ทะลุ 1.5 แสนล. 2 ปีซ้อน ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม2565 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ในฐานะประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ห่วงใยเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ส่วนใหญ่มีพื้นที่เพาะปลูกอยู่ใน 5 จังหวัดภาคใต้ โดยมีข้อวิตกกังวลว่า การนำน้ำมันปาล์มผ่านแดนจากประเทศมาเลเซียไปยัง สปป. ลาว ซึ่งรัฐบาลต้องดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ อาจจะเกิดการตกหล่น รั่วไหล รวมทั้ง หวั่นเกรงว่า อาจมีผู้ฉวยโอกาสลักลอบนำเอาน้ำมันปาล์มเถื่อน และส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มในประเทศตกต่ำนั้น จึงได้แต่งตั้ง คณะอนุกรรมการกำกับ ดูแล และตรวจสอบการนำน้ำมันปาล์มผ่านแดนจากมาเลเซียไปยัง สปป.ลาว โดยมี พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ เป็นประธานอนุกรรมการ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้แทนเกษตรกร ตามมติ กนป. ที่เห็นชอบให้ รัฐบาล สปป.ลาว นำน้ำมันปาล์มดิบจากมาเลเซียผ่านประเทศไทยปีละไม่เกิน 5,000 ตัน โดยใช้เส้นทางทางบกผ่านทางด่านสะเดา จ.สงขลา ไปจนถึงสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 1 จ.หนองคาย

พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง กล่าวว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2565 มีมติเห็นชอบมาตรการการนำน้ำมันปาล์มผ่านแดน โดยกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กำหนดให้ผู้ขอนำผ่านต้องแจ้งกระทรวงพาณิชย์ทราบก่อนการนำผ่านอย่างน้อย 1 เดือน และสำหรับรถขนน้ำมัน ต้องจัดให้มีการแสดงข้อความ “นำผ่านน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ไปยัง สปป.ลาว (ด่านสะเดา – ด่านหนองคาย)” วันที่เริ่มต้นและสิ้นสุดการนำผ่าน เลขที่หนังสือรับรอง พร้อมหมายเลขโทรศัพท์หน่วยงานที่ออกหนังสือรับรอง

ทั้งนี้ ที่ประชุมยังมอบหมายให้ กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกรมศุลกากร เป็นหน่วยงานปฏิบัติหลักทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคในภารกิจนี้ ร่วมกันจัดทำ คู่มือมาตรฐานการปฏิบัติงาน (Standard Operation Procedure : SOP) พร้อมด้วย Work Flow ขั้นตอนปฏิบัติของผู้ปฏิบัติงานผู้รับผิดชอบแต่ละหน่วยงานในการนำผ่านแดน โดยมีแผนที่จะลงพื้นที่ซักซ้อมการปฏิบัติจริง

นอกจากนี้ ในวันที่มีการนำน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ผ่านแดนคณะอนุกรรมการฯ คณะอนุกรรมการจะจัดให้มีประชาสัมพันธ์ข้อมูลการนำผ่านให้สาธารณชนรับทราบ ผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อสร้างการรับรู้และพร้อมรับการตรวจสอบตลอดระยะเวลาที่นำผ่าน ยิ่งไปกว่านั้น ยังเปิดโอกาสให้เกษตรกรและผู้ที่ประสงค์เข้าสังเกตการณ์สามารถติดตามคณะเดินทางเพื่อร่วมตรวจสอบการปฏิบัติงานได้ตลอดเส้นทาง “ขอให้เกษตรกรมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน โดยยึดหลักความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมทุกขั้นตอน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ลดความหวาดระแวงของทุกฝ่าย ป้องกันมิให้มีการฉวยโอกาสลักลอบค้าน้ำมันปาล์มเถื่อนอย่างเข้มงวดตลอดเส้นทางขนส่งผ่านแดน” ถือเป็นนโยบายสำคัญภายใต้กำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ยึดมั่นประโยชน์ของเกษตรกรชาวสวนปาล์มเป็นสำคัญลำดับแรก

“ช่วง 3 ปีเศษที่ผ่านมา ได้จัดระบบการบริหารจัดการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จนประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ ทำให้เศรษฐกิจปาล์มน้ำมันทะยานขึ้นนับแสนล้านบาทต่อปีเป็นปีที่ 2 เป็น พืชเศรษฐกิจแห่งอนาคตที่ยั่งยืน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้ากับต่างประเทศ ส่งเสริมการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 ธันวาคม 2565

“รมว.ตรีนุช” ย้ำ ศธ.ต้องเป็นแบบอย่างการสร้างวัฒนธรรมสุจริต ละอายต่อการกระทำผิด ไม่ทำ ไม่ทน ไม่เพิกเฉยต่อการทุจริต

,

“รมว.ตรีนุช” ย้ำ ศธ.ต้องเป็นแบบอย่างการสร้างวัฒนธรรมสุจริต ละอายต่อการกระทำผิด ไม่ทำ ไม่ทน ไม่เพิกเฉยต่อการทุจริต

ศธ. จัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน 2566 “ตรีนุช” ย้ำ ศธ. ต้องเป็นกระทรวงแบบอย่างการสร้างวัฒนธรรมสุจริต มีความละอายต่อการกระทำผิด ไม่ทำ ไม่ทน ไม่เพิกเฉย ให้บุคลากรทุกระดับ หลีกเลี่ยงความเสี่ยงและข้อครหาจากการทุจริตที่อาจเกิดขึ้น ทุกเทศกาลหรือวันสำคัญ สามารถแสดงความปรารถนาดีต่อกันด้วยคำอวยพร การทำจิตอาสา แทนการให้ของขวัญ โดยไม่ขัดต่อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2565 ณ หอประชุมคุรุสภา / นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน และพิธีประกาศเจตนารมณ์การต่อต้านการทุจริต และมอบนโยบาย No Gift Policy ของกระทรวงศึกษาธิการ เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชั่นสากล (ประเทศไทย) ภายใต้แนวคิด “กระทรวงศึกษาธิการโปร่งใส ไม่ทำ ไม่ทน ไม่เฉย ต่อการทุจริต (MOE TRUST & Zero Tolerance)” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566

รมว.ศธ. กล่าวว่า ด้วยองค์การสหประชาชาติ ได้กำหนดให้วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี เป็น “วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล” ซึ่งนานาประเทศ รวมถึงประเทศไทย ได้มีการรณรงค์ผ่านการจัดงาน เนื่องในวันดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับกระทรวงศึกษาธิการได้จัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน กระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ภายใต้แนวคิด “กระทรวงศึกษาธิการโปร่งใส ไม่ทำ ไม่ทน ไม่เฉย ต่อการทุจริต (MOE TRUST & Zero Tolerance)” เพื่อแสดงให้ประชาคมโลกได้เห็นถึงพลังความร่วมมือและเจตนารมณ์ร่วมกันของคนไทยในการรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชันอย่างจริงจัง

ที่ผ่านมา การอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อการเอื้อประโยชน์และการขาดจิตสำนึกในการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวมนั้น เป็นเงื่อนไขสำคัญที่สร้างความยุ่งยากและซับซ้อนในการพิจารณา ตรวจสอบ และตัดสินว่าการกระทำใดเป็นการทุจริต ซึ่งส่งผลต่อเนื่องที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศต้องสูญเสียงบประมาณแผ่นดินไปเป็นจำนวนมาก

เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว รัฐบาลจึงได้กำหนดให้ “การแก้ไขปัญหาการทุจริต” เป็น “วาระแห่งชาติ” โดยดำเนินการปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ ให้มีความรัดกุม ครอบคลุมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตอย่างเป็นระบบ ก้าวข้ามค่านิยมอุปถัมภ์ ผลประโยชน์ทับซ้อน รวมถึงเร่งรัดให้มีการดำเนินคดีต่อผู้กระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบ ทั้งในด้านวินัยและอาญาอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนผ่านระบบการทำงานภาครัฐที่มีคุณธรรม และความโปร่งใส อันเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

กระทรวงศึกษาธิการในฐานะที่เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่หลักในการผลิตต้นทุนมนุษย์ที่สมบูรณ์ ต้องเป็นแบบอย่างของการสร้างวัฒนธรรมสุจริตที่จะหล่อหลอมให้เด็ก เยาวชน ประชาชน มีความละอายต่อการกระทำผิด ไม่ทน และเพิกเฉย และไม่ยอมให้ผู้อื่นกระทำการทุจริต อันส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อสังคมโดยรวม

เพื่อเป็นการส่งเสริมมาตรการป้องกันการทุจริต และประพฤติมิชอบในวงราชการ โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง และข้อครหาที่อาจเกิดขึ้น ในเทศกาล หรือวันสำคัญต่าง ๆ บุคลากรทุกระดับในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ สามารถแสดงความปรารถนาดีต่อกันได้ด้วยการอวยพรผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมถึงการทำจิตอาสาแทนการให้ของขวัญ เพื่อรักษาไมตรีและมิตรภาพความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคลโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้อง มติคณะรัฐมนตรี รวมถึงความมุ่งมั่นตามนโยบายของรัฐบาลในการบริหารประเทศ

“ดิฉันขอเชิญชวนพี่น้องชาวกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมแสดงเจตนารมณ์ ที่จะมุ่งมั่นประพฤติปฏิบัติตนด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ยึดถือประโยชน์ของส่วนรวม เพื่อสร้างสังคมไทยให้ปลอดจากการทุจริตคอร์รัปชันตลอดไป”

นายอรรถพล สังขวาสี ปลัด ศธ. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้มีส่วนราชการในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐด้านการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (Open Data Integtity and Transparency Assessment : OIT) ประจำปีงบประมาณ 2565 ในระดับ AA จำนวน 30 หน่วยงาน และระดับ A จำนวน 31 หน่วยงาน เข้ารับโล่รางวัลพร้อมเกียรติบัตร

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 ธันวาคม 2565

“ดร. พัชรินทร์” วอน กทม.เร่งแก้ปัญหาแสงสว่าง-ต้นไม้ในชุมชนสาทร -บางรัก เพิ่มความปลอภัยในชีวิต ทรัพย์สินของปชช. จี้ติดตามงานพื้นที่ที่ยังไม่คืบหน้า

“ดร. พัชรินทร์” วอน กทม.เร่งแก้ปัญหาแสงสว่าง-ต้นไม้ในชุมชนสาทร -บางรัก
เพิ่มความปลอภัยในชีวิต ทรัพย์สินของปชช. จี้ติดตามงานพื้นที่ที่ยังไม่คืบหน้า

ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.เขต 2 ปทุมวัน บางรัก สาทร โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า ได้หารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในเรื่องการดูแลชุมชนในพื้นที่ในเขตที่รับผิดชอบ โดยขอให้กรุงเทพมหานคร ช่วยดำเนินการตัดต้นไม้ในบริเวณ พื้นที่ต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคและอันตรายต่อชาวบ้าน เช่นในบริเวณรอบแฟลตชุมชนหลังวัดวนาราม เขตปทุมวัน ที่พบว่ามีต้นไม้ใหญ่และต้นไม้เล็กขึ้นตัวตึก จำเป็นต้องป้องกันอันตราย จากสัตว์ร้าย เช่น งู ที่จะเลื้อยเข้าไปในห้องพัก รวมถึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดระเบียบ ต้นไม้และสายสื่อสาร ในชุมชนที่แออัด เพราะหากเกิดอัคคีภัย จะทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนที่อยู่อาศัยได้

นอกจากนี้ได้ขอให้การไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)และการทางพิเศษ (กทพ.) ซ่อมแซมไฟฟ้าสองสว่างเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชนยัง ในพื้นที่บริเวณใต้ทางด่วนมหานคร ซึ่งเป็น ลานอเนกประสงค์ เขตบางรัก ที่ประชาชนมาใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแสงสว่างไม่เพียงพอ อาจก่อให้เกิดอาชญากรรมได้

อย่างไรก็ตามขอติดตามเรื่องที่เคยหารือไปแล้วถึงความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะเรื่อง ติดตั้งไฟส่องสว่างบริเวณทางเดินริมคลอง ชุมชนวัดบรมนิวาส เขตปทุมวัน ที่แสงสว่างไม่พอ และเป็นจุดเสี่ยง โดยขอให้การไฟฟ้าเข้ามาสำรวจ และช่วยติดตั้งไฟฟ้าสองสว่าง ได้ส่งหนังสือผ่านไปยังทางสำนักงานเขตปทุมวันแล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการดำเนินการใด ๆ จึงขอให้กรุงเทพมหานครช่วยเร่งรัด เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ก่อนที่จะเกิดเหตุร้ายแล้วค่อยมาแก้ไขสิ่งเหล่านี้ภายหลัง

#พรรคพลังประชารัฐ #พลังประชารัฐ #พปชร #PPRP #พัชรินทร์ซำศิริพงษ์
Twitter : https://twitter.com/PPRPofficial

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 ธันวาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร “ พร้อมขับเคลื่อนมาตรการลดปัญหาโลกร้อน เตรียมทำรายงานความก้าวหน้าไทยร่วมแก้ไขเสนอUN

,

“พล.อ.ประวิตร “ พร้อมขับเคลื่อนมาตรการลดปัญหาโลกร้อน

เตรียมทำรายงานความก้าวหน้าไทยร่วมแก้ไขเสนอUN

เมื่อ 7 ธ.ค.65 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) ครั้งที่4/2565 ณ ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รอง นายกรีฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้รับทราบ ผลการประชุม รัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 27 (COP 27) จัดขึ้นระหว่าง วันที่ 3-18 พ.ย.65 ณ เมืองชาร์ม เอล เชค อียิปต์ โดยมีประมุขของรัฐและหัวหน้ารัฐบาล รวม 102 ประเทศ ซึ่งประเทศไทย มีนาย วราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. เข้าร่วมกล่าวถ้อยแถลงในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และได้ยืนยันความพยายามของไทยที่ดำเนินการอย่างเต็มที่ร่วมกับประเทศต่างๆ ตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ เพื่อลดก๊าซเรือนกระจก หรือลดภาวะโลกร้อน และรับทราบการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการภายใน ก.ทรัพย์ โดยขอเปลี่ยนชื่อ จาก”กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม” เป็น”กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพพูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” และปรับปรุงโครงสร้างภายในให้มีความเหมาะสม ต่อไป

นอกจากจากนี้ที่ประชุม ได้มีการพิจารณาเห็นชอบ (ร่าง)รายงานความก้าวหน้าราย 2 ปี ฉบับที่ 4 เพื่อเสนอกับสำนักงานกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจก ,การดำเนินงานด้านการลดก๊าซเรือนกระจก และข้อจำกัดเกี่ยวกับการเสริมสร้าง ศักยภาพ เทคโนโลยี เป็นต้น และเห็นชอบ(ร่าง)บันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการเสริมสร้างความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในลุ่มน้ำของประเทศไทย ด้วยการบริหารจัดการน้ำ ที่มีประสิทธิภาพและการเกษตรแบบยั่งยืน เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ เสริมสร้างความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงฯ จากกองทุนภูมิอากาศสีเขียว (GCF) ต่อไป

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับให้ คณะกรรมการฯ และก.ทรัพย์ฯ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงาน และรายงานให้ทราบอย่างต่อเนื่อง พร้อมขอบคุณ รมว.ทส.ในการขับเคลื่อนมาตรการภายใต้กรอบของ UN ที่ผ่านมาด้วยดี โดยเฉพาะการนำเสนอถ้อยแถลงที่ได้สร้างภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่นของไทยอย่างโดดเด่น ต่อนานาประเทศ บนเวทีโลกได้อย่างน่าภาคภูมิใจ


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่​: 7 ธันวาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร” เคาะตั้งศูนย์การเรียนรู้กทม.2 แห่งแหล่งค้นคว้าคนกรุง พร้อมอนุมัติปรับปรุงสะพานพุทธ เสริมความแข็งแรงควบคู่อนุรักษ์

,

“พล.อ.ประวิตร” เคาะตั้งศูนย์การเรียนรู้กทม.2 แห่งแหล่งค้นคว้าคนกรุง

พร้อมอนุมัติปรับปรุงสะพานพุทธ เสริมความแข็งแรงควบคู่อนุรักษ์

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า ครั้งที่2/2565 ณ ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่ประชุมได้รับทราบ ความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการจัดทำแผนปฏิบัติการ ด้านการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่า 12 เมือง โดยมีการจัดทำร่างขอบเขตงาน (TOR) โครงการจัดทำแผนปฏิบัติการฯ ให้ทั้ง 12 จังหวัดแล้ว

พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบ โครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงรัตนโกสินธ์ชั้นนอกประกอบด้วยโครงการ Ratchadamnoen Center 1 (ห้องสมุดมีชีวิต,พื้นที่เรียนรู้และพัฒนาทักษะ,พื้นที่แสดงออก เป็นต้น) และโครงการ Ratchadamnoen Center 2 (พื้นที่อเนกประสงค์เพื่อการเรียนรู้,พื้นที่บริการลูกค้า เป็นต้น)

ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้เห็นชอบในหลักการให้บูรณะสะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งใช้เวลา 2ปี เพื่อเสริมความแข็งแรงความปลอดภัย สะดวกสัญจร และคงรูปแบบทางสถาปัตยกรรม รักษาสมบัติของชาติไว้ให้ ลูกหลาน อย่างยั่งยืน โดยจะมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจถึงความจำเป็น อย่างน้อย 3 เดือนก่อนดำเนินการเพราะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการจราจรทั้งทางน้ำ และทางบกเป็นวงกว้าง และเห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการ อาคารรักษาพยาบาลและสถานีศิริราช คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ซึ่งมีรูปแบบอาคารและสิ่งก่อสร้าง ที่เชื่อมต่อของระบบรถไฟฟ้ากับอาคารของโรงพยาบาล โดยอยู่ภายใต้การบริหารและกำกับดูแลของคณะแพทย์ศาสตร์ ,รฟท.และรฟม. รวมทั้งเห็นชอบโครงการปรับปรุงอาคารศาลากลางจังหวัดน่าน (หลังเก่า) ให้เป็นหอศิลปวัฒนธรรมเมืองน่าน เพื่อใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ ศิลปวัฒนธรรมล้านนาตะวันออก และศูนย์การศึกษาความเป็นน่าน ให้กับประชาชน ต่อไป

พล.อ.ประวิตร ได้เน้นย้ำ คณะกรรมการฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งรัดดำเนินการตามมติที่ประชุม และขับเคลื่อนโครงการให้บรรลุผลเป็นรูปธรรม ตามกรอบเวลา อย่างเคร่งครัด โดยคำนึงถึงการอนุรักษ์เอกลักษณ์วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมของท้องถิ่น และประเทศชาติ เพื่อเก็บรักษาไว้ให้ลูกหลานคนไทย สืบไป


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่​: 7 ธันวาคม 2565