โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: ข่าวประชาสัมพันธ์

แถลงข่าวพรรคพลังประชารัฐ ทีม ศก. พรรคพลังประชารัฐ ‘’มล.กรกสิวัฒน์-ธีระชัย“ วิพากษ์ผลงานของรัฐบาล กระทุ้งให้เงินบาทแข็งลดราคานํ้ามัน และระวังการเขมือบบริหารกองทุนวายุภักษ์

,

แถลงข่าวพรรคพลังประชารัฐ
ทีม ศก. พรรคพลังประชารัฐ ‘’มล.กรกสิวัฒน์-ธีระชัย“ วิพากษ์ผลงานของรัฐบาล กระทุ้งให้เงินบาทแข็งลดราคานํ้ามัน และระวังการเขมือบบริหารกองทุนวายุภักษ์

วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ ประกอบด้วย มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรคฯ นาย ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ร่วมกันแถลงข่าวตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลนายกฯ แพทองธาร โดยมุ่งตรงไปยัง เรื่องเงินบาทกระทบราคานํ้ามัน และกองทุนวายุภักษ์

ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรค กล่าวว่า เรื่องเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่น่าเห็นใจต่อผู้ส่งออก เพราะแม้ว่าขายสินค้าเป็นเงินดอลล่าร์เท่าเดิมก็จริง แต่เมื่อแปลงเป็นบาทก็จะได้จำนวนน้อยลงกว่าเดิมถึง 10%

แต่เงินบาทอยู่ในตลาดเสรี การจะกำหนดให้ค่าเงินบาทแข็งหรืออ่อนคงที่ เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เนื่องจากเงินบาทก็มันเหมือนสินค้าทั่วไปเมื่อมีคนต้องการมาก ราคาก็แพง หรือ เรียกว่า “บาทแข็ง” ตอนนี้ใช้เงินเพียง 33 บาท แลกเงินดอลล่าร์ได้ 1 เหรียญ ขณะที่ 3 เดือนก่อนต้องใช้เงินถึง 36 บาท จึงแลกเงินดอลล่าร์ได้ 1 เหรียญ

เงินบาทแข็งมีข้อเสีย ที่รู้กันดี คือ ส่งออกแล้วได้เงินบาทน้อยลง แต่การนำเข้าก็จ่ายเงินบาทน้อยลงเช่นกัน ข้อดีของบาทแข็ง คือ การนำเข้าสินค้าจำเป็นทั้ง นํ้ามันดิบ เพื่อกลั่นเป็นนํ้ามันเบนซินและดีเซล การนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจี เพื่อผลิตไฟฟ้าก็ต้องถูกลง ดังนั้น เมื่อบาทแข็งค่าครองชีพควรถูกลง เพราะต้นทุนการผลิตสินค้าและการขนส่งถูกลง

แต่ภายใต้การบริหารงานของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ราคานํ้ามันกลับมีราคาแพงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและการขนส่งยังคงสูง เงินเฟ้อจึงปรับตัวลงได้ยาก

เปรียบเทียบราคานํ้ามันในวันที่ 17 ธ.ค. 2564 ในช่วงที่เงินบาทและราคานํ้ามันดิบอยู่ในระดับเดียวกันกับปัจจุบัน (24 ก.ย. 2567) พบว่า ภายใต้การจัดการของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช) ราคานํ้ามันกลับแพงขึ้น 4.5-5.5 บาท (ดูตารางแนบ) ทั้งนํ้ามันเบนซิน แก๊ซโซฮอลและนํ้ามันดีเซล เพราะมีการเรียกเก็บเงินกองทุนสูงขึ้น เก็บค่าการตลาดสูงขึ้น เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น

ดังนั้น ท่านนายกฯ ต้องตระหนักว่า ท่านต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช) ซึ่งมีอำนาจในการกำหนดนโยบายยิ่งกว่ารัฐมนตรีพลังงาน จึงต้องจัดการปัญหาราคาพลังงานอย่างจริงจังและเร่งด่วน ก่อนที่ประชาชนจะตำหนิท่านว่า บริหารประเทศแบบ ปากว่าตาขยิบ

เพราะท่านเคยหาเสียงไว้ว่า ถ้าท่านเป็นรัฐบาลจะลดราคาพลังงานทันที แต่วันนี้ท่านเป็นนายกฯ แล้วกลับปล่อยปละละเลยให้ราคานํ้ามันสูงไม่สะท้อนค่าเงินบาทแข็ง ส่วนค่าไฟฟ้าก็ไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลง ทั้งที่การนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีมีราคาตํ่าลง และข่าวร้ายก็คือ ค่าไฟฟ้าอาจจะปรับขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย

ดังนั้น หากท่านแพทองธารเป็นนายกฯ ที่ดี ต้องไม่นิ่งเฉย เพราะการไม่แก้ไขปัญหาจะเหมือนการทำร้ายประเทศชาติ ประชาชน และผู้ประกอบการ

**********

นายธีระชัยเปิดเผย มีข่าวว่าอาจมี “กลุ่มทุนยักษ์ไทยดูไบ” สนใจเรื่องคาสิโน และเรื่องกองทุนวายุภักษ์

กรณีคาสิโน:- นายธีระชัยนำข่าวจากสื่อมวลชนมาถ่ายทอด เกี่ยวกับบริษัท VGI ซึ่งราคาหุ้นพุ่งขึ้นหวือหวา โดยนสพ.’ข่าวหุ้น’ ระบุสาเหตุเนื่องจาก มีข่าวว่าเป็นรายหนึ่งที่จะยื่นขอใบอนุญาตคาสิโน

สื่อรายงานว่า บริษัท VGI เดิมมีนายคีรี กาญจนพาสน์ถือหุ้นอยู่ 60% บัดนี้ยอมลดลงเหลือ 30% เพราะขายหุ้น 45% ให้แก่นักลงทุนใหม่ 4 ราย รายหนึ่งชื่อกองทุน Opus Chartered Issuance ซึ่งนสพ.’ข่าวหุ้น’ เรียกเป็น “กลุ่มทุนยักษ์ไทยดูไบ”

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกูเกิ้ลพบว่า Opus Chartered Issuance เป็นบริษัทโบรกเกอร์จดทะเบียนจัดตั้งในประเทศลักเซมเบิร์กในยุโรป ให้บริการเป็นหน้าฉากเพื่อปิดบังชื่อของผู้ถือหุ้นแท้จริง มีที่อยู่ติดต่อได้ในเมือง Umm Al Quwain ซึ่งอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ใกล้กับดูไบ ประชาชนจึงควรติดตามว่า โครงสร้างการถือหุ้นแบบนี้ ตั้งสมญานามเป็นไอ้โม่งดูไบ ได้หรือไม่? และเข้ามาลงทุนเพื่อวัตถุประสงค์ใด?

สื่อรายงานอีกว่า ส่วนนักลงทุนใหม่ในบริษัท VGI อีก 2 รายคือ CAI Optimum Fund VCC และ ASEAN Bounty นั้น นสพ. ‘ข่าวหุ้น’ พบว่ามีความเชื่อมโยงไปที่ บล.ฟินันซ่า ซึ่งเป็นที่ปรึกษาให้แก่กองทุนวายุภักษ์ด้วย
กรณีกองทุนวายุภักษ์:- นายธีระชัยนำข่าวจากสื่อมวลชนมาถ่ายทอด เหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2567 กองทุน Opus เข้ามาซื้อหุ้นใน บลจ. MFC 24.96% ซึ่งทำให้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด (ธนาคารออมสิน 24.94% และกระทรวงการคลัง 15.92%) ทั้งนี้ เนื่องจาก บลจ. MFC เป็นหนึ่งในสองผู้บริหารกองทุนวายุภักษ์ ประชาชนจึงควรติดตามว่า อาจมีไอ้โม่งเบื้องหลัง ที่ต้องการควบคุมการบริหารกองทุน ใช่หรือไม่?

นายธีระชัยอธิบายว่ากองทุนวายุภักษ์เป็นเป้าหมายที่ล่อใจ เพราะเงินที่เพิ่งระดมจากเอกชน 1.5 แสนล้านบาทนั้น กระทรวงการคลังได้ขยายขอบเขตให้ลงทุนได้แบบซูเปอร์เสี่ยง ได้ทั้งในและนอกประเทศไทย ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ ทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์

“ผมตั้งคำถาม ทำไมรัฐมนตรีคลังอนุมัติให้เสนอขายกองทุนวายุภักษ์อย่างไม่โปร่งใส ผิดวิสัยกองทุนขายประชาชนทั่วไป เพราะไม่ระบุเป้าหมายประเภทธุรกิจที่จะลงทุน แบบนี้ผู้จองซื้อจะไม่สามารถวิเคราะห์อนาคตได้เลย เพียงแค่จูงใจด้วยการประกันผลตอบแทนขั้นตํ่า และคุ้มครองเงินต้น ..

ผมจึงขอเตือนรัฐมนตรีคลัง ท่านมีหน้าที่ต้องป้องกันมิให้โครงการซึ่งเป็นของรัฐบาลไทย ตกไปเป็นเครื่องมือในการสมคบกันหาประโยชน์ส่วนตนให้แก่กลุ่มพรรคพวก” นายธีระชัยยํ้า

พร้อมทั้งเปิดเผยด้วยว่า ตนเองได้ร้องเรียนขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบว่า อาจมีการปฏิบัติไม่สอดคล้องกฎหมายอาญา มาตรา 147, มาตรา 152, มาตรา 157 และมาตรา 358 หรือไม่ เพราะการเอาเงินแผ่นดิน 3.5 แสนล้านบาทไปประกันผลตอบแทนและคุ้มครองเงินต้นให้แก่ผู้ลงทุนเอกชนนั้น อาจเป็นการมิชอบ

นายธีระชัยเชิญชวน ผู้ใดที่สนใจจะปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และต้องการเจาะลึกในประเด็นเทคนิค ก็ติดต่อมาขอคำอธิบายได้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 ตุลาคม 2567

“พล.อ.ประวิตร”แสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสียในเหตุไฟไหม้รถบัสของครู นักเรียน จ.อุทัย ชี้ เยาวชนถือเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติ ต้องดูแลคุณภาพชีวิตให้ดี

,

“พล.อ.ประวิตร”แสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสียในเหตุไฟไหม้รถบัสของครู นักเรียน จ.อุทัย ชี้ เยาวชนถือเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติ ต้องดูแลคุณภาพชีวิตให้ดี

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 เวลา 16.00  น.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า ในนามของพรรคพลังประชารัฐ ตนและสมาชิกพรรคทุกคน ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษาของนักเรียนโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี บริเวณถนนวิภาวดีรังสิต หน้าอนุสรณ์สถาน จ.ปทุมธานี

“เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ควรที่จะเกิดขึ้น เพราะทำให้เยาวชนและบุคลากรครูสูญเสียจำนวนมาก และยังมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในโรงพยาบาลอีกส่วนหนึ่งด้วย โดยพรรคพลังประชารัฐขอเป็นกำลังใจกับผู้ประสบเหตุทุกคน และเราจะผลักดันให้เกิดมาตรการการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้อีก เพราะเยาวชนถือเป็นหัวใจสำคัญและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติ จึงต้องดูแลเรื่องคุณภาพชีวิตของพวกเขาด้วย”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 ตุลาคม 2567

‘เลขาฯไพบูลย์’ เผย ’พล.อ.ประวิตร‘ ทำหนังสือขอคืนเงินเดือน สส.ตั้งแต่รับตำแหน่งถึง 30 ก.ย.67 หวังเป็นตัวอย่างให้ สส.ติดภารกิจจำเป็นต้องลา ปฎิบัติตาม ยืนยัน ไม่กลัวการตรวจสอบ เตือนผู้ร้องใช้ความระมัดระวังด้วย

,

‘เลขาฯไพบูลย์’ เผย ’พล.อ.ประวิตร‘ ทำหนังสือขอคืนเงินเดือน สส.ตั้งแต่รับตำแหน่งถึง 30 ก.ย.67 หวังเป็นตัวอย่างให้ สส.ติดภารกิจจำเป็นต้องลา ปฎิบัติตาม ยืนยัน ไม่กลัวการตรวจสอบ เตือนผู้ร้องใช้ความระมัดระวังด้วย

วันนี้ (1 ต.ค. 67) นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค พร้อมด้วยนายภัครธรณ์ เทียนไชย และนางสาวกาญจนา จังหวะ รองเลขาธิการพรรค แถลงข่าวถึงกรณี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ  มีความประสงค์  ขอไม่รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.67 ไปจนถึงวันสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)

นอกจากนี้ยังส่งได้ส่งหนังสือแจ้งความประสงค์ ขอคืนเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของ สส.ทั้งหมดที่ได้รับ ตั้งแต่เป็นสมาชิกภาพจนถึงวันที่ 30 ก.ย.67 โดยให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แจ้งจำนวนเงินทั้งหมดให้ทราบโดยเร็วเพื่อนำส่งคืนให้ครบถ้วน

นายไพบูลย์ กล่าวว่า พลเอกประวิตรให้เหตุผลว่า การทำเช่นนี้เพื่อเป็นตัวอย่างให้ สส.ที่มีภารกิจมาก และอาจต้องลากิจกับสภาฯ บ่อย จึงอาจใช้วิธีเช่นเดียวกันนี้เพื่อประหยัดงบประมาณแผ่นดินก็จะเป็นการดี นอกจากนี้พลเอกประวิตร ยังระบุว่าภูมิใจมากในฐานะที่ได้ดำรงตำแหน่ง สส.และได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง จำนวน 537,625 เสียง และยืนยันว่าจะเดินทางไปสภาฯ ให้มากขึ้น และขอแจ้งให้ทราบว่าในวันที่ 3 ต.ค.นี้ พลเอกประวิตรได้ยื่นหนังสือลาล่วงหน้าไว้แล้ว เนื่องจากติดภารกิจสำคัญมาก

ส่วนกรณีที่ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีต สส.เพื่อไทย ยื่นร้องจริยธรรมนั้น นายไพบูลย์ กล่าวว่า ส่วนตัวตนสงสัยว่า นายพร้อมพงศ์ จบการศึกษาจากไหน มีความรู้เรื่องกฎหมายอ่อนมาก นายพร้อมพงศ์ ควรจะตระหนักว่าไม่รู้กฎหมาย อย่าไปชวนคนอื่นทำผิดกฎหมายด้วย ตนให้ทนายไปแจ้งความและได้ดำเนินคดีแล้วว่าอาจจะกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย นี่คือกรรมที่หนึ่ง และยังเหลืออีกสองกรรม “นายพร้อมพงศ์ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองถึงปี 69 ระวังดีๆ ด้วยความเป็นห่วงทางกฎหมายอาจจะถูกตัดสิทธิ์ต่อก็ได้”

“กระบวนการตรวจสอบ พล.อ.ประวิตร ท่านไม่มีปัญหาอะไร สบายใจอยู่แล้ว ฝ่ายตรวจสอบก็ตรวจสอบไป พรรคได้ตรวจสอบแล้วว่าไม่มีการฝ่าฝืนกฎหมาย ข้อบังคับ หรือจริยธรรม เราไม่กลัวการตรวจสอบ แต่ถ้าเป็นเพียงแค่ผู้ร้องให้ตรวจสอบก็ขอให้ใช้ความระมัดระวัง”นายไพบูลย์ กล่าว

นายไพบูลย์ ยังเปิดเผยถึงการดำเนินคดี นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ รักษาการผู้อำนวยการบริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) ในคดีหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยเมื่อวานนี้ (30 ก.ย.) ทนายความได้ส่งคำฟ้องที่ศาลอาญาแล้ว  เป็นคดีดำอ.2871/2567  และศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องวันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน เวลา 9.00 น. ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกฟ้องคดีทั้งสามคน ตนได้ดำเนินการฟ้องที่ศาลแพ่ง ข้อหาความผิดละเมิดให้เสียหายต่อชื่อเสียงจำนวน 50 ล้านบาท ยื่นฟ้องไปที่ศาลแพ่ง ย้ำ ตนเป็นคนที่พูดอะไรต้องทำตามนั้น ทุกๆคำพูดของตน

นายไพบูลย์ ยังกล่าวถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองที่นายพร้อมพงศ์เป็นสมาชิกอยู่ ว่า ไม่รู้ได้รับคำสั่งจากแกนนำพรรค  ให้มาร้องเรียนหรือไม่  

“อย่าหยุด ทำอะไรก็ทำ เพราะแหล่งข่าวบอกว่าให้จับตาดูวันที่ 10 ตุลาคม จะเกิดจุดเริ่มต้นของปัญหาใหญ่ พรรคที่นายพร้อมพงศ์ สังกัดอยู่ อาจจะต้องกระทบรุนแรง แหล่งข่าวที่บอกมาน่าเชื่อถือ น่าจะเกิดขึ้นจริงได้ อยากให้แกนนำพรรค เตรียมรับแรงกระแทก รับมือไม่ดีอาจถึงขั้นล่มสลาย ส่วนปัญหารุนแรงคือไร ตนไม่ทราบ เขาบอกเพียงเท่านั้น ยืนยัน ไม่ใช่คำร้องเดิมๆ  ขอให้ติดตามว่าจะเกิดอะไรขึ้น“

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 ตุลาคม 2567

พรรคพลังประชารัฐ เปิดเวทีประชารัฐร่วมใจเพื่อสร้างชีวิตที่สดใสให้คนไทยทั้งประเทศ

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน 2567 ที่โรงแรม SD อเวนิว บางพลัด กรุงเทพฯ

พรรคพลังประชารัฐ เปิดเวทีประชารัฐร่วมใจเพื่อสร้างชีวิตที่สดใสให้คนไทยทั้งประเทศ โดยการเปิดรับฟังข้อเสนอแนะของประชาชน นำโดย ดร.ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานด้านวิชาการพรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายวัน อยู่บำรุง ประธานภาค กทม.พรรคพลังประชารัฐ พร้อมผู้สมัคร ส.ส.กทม. อาทิ ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ นายระพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธา นายกานต์ กิตติอำพน และว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. และ ส.ส. อีกหลายคนเข้าร่วมงาน ซึ่งภายในงานมีการจัดกิจกรรมการเปิดรับฟังเสียงสะท้อนปัญหาของประชาชน เพื่อติดตามและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล พร้อมทั้งนำไปจัดทำเป็นนโยบายของพรรคต่อไปในอนาคต ทั้งนี้มีตัวแทนประชาชนจากทั้ง 50 เขตในกรุงเทพมหานครเดินทางเข้าร่วมงาน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 กันยายน 2567

“พล.ต.ท.ปิยะ “เผย ที่ประชุม พปชร.มีมติค้าน นิรโทษกรรม และแก้ไข ม.112  ตลอดจนค้านการแก้ รธน. และชี้ มอง เป็นการลดมาตรฐานจริยธรรมนักการเมือง พร้อมกำหนดแนวทางจัดทำข้อมูลผ่านศูนย์นโยบายและวิชาการ เปิดรับข้อมูลจากพี่น้องประชาชนเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล

“พล.ต.ท.ปิยะ “เผย ที่ประชุม พปชร.มีมติค้าน นิรโทษกรรม และแก้ไข ม.112  ตลอดจนค้านการแก้ รธน. และชี้ มอง เป็นการลดมาตรฐานจริยธรรมนักการเมือง พร้อมกำหนดแนวทางจัดทำข้อมูลผ่านศูนย์นโยบายและวิชาการ เปิดรับข้อมูลจากพี่น้องประชาชนเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล

พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ แถลงภายหลังการประชุม คณะกรรมการบริหารพรรค และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) พปชร. โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นประธานว่า ในวันนี้ที่ประชุมได้มีการหารือ และมีมติคัดค้านการนิรโทษกรรมและการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดย พล.อ.ประวิตรฯ หน.พรรคฯ, กรรมการบริหารพรรค และ สส.พปชร.ที่แท้จริง ทุกท่าน ยืนยันชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 112 ไม่ว่าจะเกิดประโยชน์กับบุคคลหนึ่ง หรือบุคคลหนึ่งบุคคลใด พรรคพลังประชารัฐจะคัดค้านและไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมตามความผิดมาตรา 112 หรือ แก้ไข มาตรา 112 เพื่อประโยชน์ของคนบางคน และในทุกมิติ

สำหรับความคิดเห็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะเรื่องจริยธรรมนักการเมือง หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรคทุกคนไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็นรายมาตราหรือทั้งฉบับ โดยเฉพาะเรื่องการลดมาตรฐานจริยธรรม  

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวต่อว่า มาตรฐานทางจริยธรรมของพรรคการเมืองตามรัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นมาตรฐานที่ทำที่นักการเมืองพึงมี  ตามลำดับชั้นไม่ว่าจะเป็น สส. หรือรัฐมนตรีจะมีมาตรฐานทางจริยธรรมที่เข้มข้นแตกต่างกัน  ถ้าบุคคลหนึ่งบุคคลใดมีความบกพร่องทางจริยธรรมก็ไม่ควรจะมาเป็นรัฐมนตรี  ไม่ใช่อยากเอาคนที่มีความบกพร่องทางจริยธรรม มาเป็นตัวตั้งแล้วลดมาตรฐานลง  ทำอย่างนี้ประเทศก็อยู่ไม่ได้

พล.ต.ท.ปิยะ ฯ กล่าวว่า ที่ประชุมยังพูดคุยถึง
ถึงวางแนวทางในทำงานร่วมกันของศูนย์วิชาการและนโยบายพรรคพลังประชารัฐ เพื่อ รับข้อมูลจากพี่น้องประชาชน นำไปสู่การตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล โดยจะทำหน้าที่เป็นรัฐบาลเงา รวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ กฎหมายที่เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร การหาข้อมูลให้  สส. ที่จะนำไปสู่การอภิปราย โดยเฉพาะเรื่องความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ที่เป็นเรื่องเร่งด่วน และยังไม่ได้รับการดูแลรัฐบาลเท่าที่ควร อย่างเช่น  การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบ อุทกภัย เคยได้รับความเดือดร้อน 57 จังหวัด แต่ยังขาดการดูแล และเยียวยาจากรัฐบาล แม้ว่าจะมีการจัดสรรงบประมาณ​แล้วกว่า 3,000 ล้านบาท แต่ยังไม่มีเม็ดเงินลงไปถึงมือประชาชน และความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกันอย่างเร่งด่วนไม่ใช่รอไว้ก่อนหรือรอไปวันวัน

พล.ต.ท.ปิยะฯ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ต้องการให้การทำงานของศูนย์ดังกล่าง สามารถนำไปกำหนดแนวทางการทำงานของพรรค และยุทธศาสตร์ รวมทั้ง สส.ของพรรค จะได้นำข้อมูลต่าง ๆ ไปปรับใช้การทำงานให้มีประสิทธิภาพ และเป็นเสียงสะท้อนให้พี่น้องประชาชนได้อย่างเข้มแข็ง ทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในพรรค มีแนวทางการทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง โดยศูนย์ฯดังกล่าว ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่สำคัญเช่น นายอุตตม สาวนายน,นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์, นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล และบุคคลอื่นๆที่สำคัญ ของพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงนอกจากนี้ที่ประชุมยังมีการพูดคุยถึงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีของพรรค เพื่อรองรับการรับสมัครสมาชิกพรรคแบบออนไลน์ ที่กำลังพัฒนาผ่านกฎและกติกาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง อีกด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 กันยายน 2567

จัดหนักเพิ่ม! ทีม ศก. พรรคพลังประชารัฐ ‘’ชาญกฤช-ธีระชัย“ วิพากษ์ นโยบาย ศก. รัฐบาลใหม่  แนะให้เน้นทำงานเรื่องสถาบันการเงินแทน  กระทุ้งให้พูดความจริงเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต  เตือนเรื่องกองทุนวายุภักษ์  และอันดับเครดิต

จัดหนักเพิ่ม! ทีม ศก. พรรคพลังประชารัฐ ‘ชาญกฤช-ธีระชัย’ วิพากษ์ นโยบาย ศก. รัฐบาลใหม่  แนะให้เน้นทำงานเรื่องสถาบันการเงินแทน  กระทุ้งให้พูดความจริงเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต  เตือนเรื่องกองทุนวายุภักษ์  และอันดับเครดิต

วันที่  24 กันยายน 2567  ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ ประกอบด้วย  นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง  นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ  พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ  ร่วมกันแถลงข่าวตรวจสอบนโยบายรัฐบาลนายกฯ แพทองธารที่แถลงต่อรัฐสภา  โดยมุ่งตรงไปยังนโยบาย ศก.  เรื่องความสัมพันธ์กับแบงค์ชาติ   ดิจิทัลวอลเล็ต   กองทุนวายุภักษ์  และอันดับเครดิต

นายธีระชัย อดีตรัฐมนตรีคลัง  กล่าวว่ารัฐบาลควรเลิกทะเลาะกับแบงค์ชาติเรื่องนโยบายการเงิน  เพราะจะทำให้ทั่วโลกขาดความเชื่อมั่นในระบบการเงินของไทย

“การวิจารณ์ในลักษณะด้อยค่า  จะกระทบความน่าเชื่อถือของแบงค์ชาติ  แต่กลับทำให้ทั่วโลกรู้ว่า  รัฐมนตรีคลังขาดทักษะในการประสานงาน  ทั้งนี้  กลยุทธที่รัฐบาลจะบีบผู้ว่าแบงค์ชาติ  ด้วยการตั้งนักการเมืองฝ่ายตนเข้าไปเป็นประธาน ธปท.  เป็นครั้งแรก   รวมทั้งที่รัฐมนตรีคลังกำลังคิดจะบีบให้ลดดอกเบี้ย  ด้วยยกเป้าหมายเงินเฟ้อให้สูงขึ้นนั้น  นักวิเคราะห์ทั่วโลกก็มองออกว่าเป็นการแทรกแซงความเป็นอิสระ  ซึ่งตราบใดที่รัฐบาลไม่รักษาวินัยการคลังอย่างเคร่งครัด  ยังเน้นกู้หนี้มาอุดหนุนการบริโภค   ธปท. ก็ย่อมต้องตั้งการ์ดสูงเรื่องดอกเบี้ยเป็นธรรมดา” นายธีระชัยกล่าว

นายธีระชัยเสริมว่า  การที่รัฐบาลเรียกร้องให้ลดดอกเบี้ยหวังจะให้สินเชื่อขยายตัว นั้น  จะไม่ได้ผลจริงถ้าหากไม่กระตุ้นการแข่งขันในระบบแบงค์พาณิชย์เสียก่อน  จึงขอแนะนำให้มุ่งไปที่นโยบายด้านสถาบันการเงินก่อน  โดยหารือแบงค์ชาติ   3  เรื่อง

(1)   เร่งปรับโครงสร้างลูกหนี้ด้อยคุณภาพแบบจริงจัง  ไม่ใช่แค่เลื่อนกำหนดชำระ  แต่ให้ตัดลดหนี้ (haircut)  โดยรัฐกับแบงค์พาณิชย์รับภาระร่วมกัน (burden sharing) ผ่านกลไกกองทุนฟื้นฟูฯ  เหมือนดังที่ทีมของพรรคพลังประชารัฐเคยเสนอไว้  และท่านอดีตนายกทักษิณได้นำไปพูดในการแสดงวิสัยทัศน์   รัฐมนตรีคลังรับตำแหน่งมาตั้งแต่  27  เม.ย.  ผ่านมา  5  เดือนแล้ว   ไม่ได้ทำเรื่องนี้เพื่อช่วยคนจนเลย  กลับไปเร่งทำเรื่องกองทุนวายุภักษ์  ที่อุดหนุนคนรวย   และบูมราคาหุ้น

(2)   พิจารณาความเหมาะสมการอนุญาตตั้งธนาคารท้องถิ่น  (regional bank)  ใน 10 ภาค  เพราะจะเข้าใจประวัติเบื้องหลังของลูกหนี้ภูธรในพื้นที่ได้ดีกว่า  และควรเชิญธนาคารใหญ่  3  อันดับแรกจาก  อาเซียน+จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย และออสเตรเลียมาเปิดสาขา  เพื่อเร่งการแข่งขันทุกระดับลูกหนี้

(3)   พิจารณาความเหมาะสมการเพิ่มอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย  สำหรับดอกเบี้ยแบงค์พาณิชย์  ซึ่งปัจจุบัน 15% ให้สูงขึ้น  เช่นเป็น 20%  เพื่อกระตุ้นให้ผู้ออมนำเงินไปลงทุนหรือสนับสนุนธุรกิจแทนการฝากแบงค์

ด้านนายชาญกฤช เดชวิทักษ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง และกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ  กล่าวถึงประชาชนที่มาลงทะเบียนดิจิทัลวอลเล็ต จำนวน 36 ล้านคน  ขณะนี้สำหรับกลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคนชัดเจนแล้ว   แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ประชาชนที่เหลืออีกประมาณ 22 ล้านคน  ที่ยังไม่รู้อนาคต  จึงเรียกร้องให้รัฐบาลทำให้เกิดความชัดเจนเร็วที่สุด

นายชาญกฤช กล่าวอีกว่า  ไม่เชื่อว่าการตั้งคณะกรรมการนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหม่จะดำเนินการสำเร็จ  เพราะเคยมีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องนี้ยาวนานกว่าหนึ่งปีแล้ว  แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด  จึงขอเสนอแนะวิธีการที่จะทำให้การดำเนินการชัดเจนและรวดเร็วยิ่งขึ้นคือ  รัฐมนตรีคลังเร่งหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย  2  เรื่อง  คือ  (1)  การอนุญาตเงินดิจิทัลตามกฎหมายเงินตรา  ทำได้หรือไม่  สมควรหรือไม่  และ  (2)  เทคนิคที่จะเชื่อมระบบคอมพิวเตอร์เงินดิจิทัล  เข้ากับระบบบัญชีในธนาคารพาณิชย์นั้น  ทำได้ปลอดภัยจริงหรือไม่  ต้องใช้เวลานานเท่าใด  โดยเห็นว่าถ้าหากรัฐบาลมีความคืบหน้าใน  2  ประเด็นนี้  ประชาชน 22 ล้านคนก็จะอุ่นใจได้ว่าจะได้รับเงินดิจิทัล 10,000 บาทอย่างแน่นอน

“ผมเอาใจช่วยประชาชน  22  ล้านคนที่รัฐบาลไปเชิญชวนให้มาลงทะเบียน  และเตือนว่ารัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบ  ต้องไม่ปล่อยให้มีความหวังแบบเลื่อนลอย  เพราะเงิน 10,000 บาทถือเป็นเงินจำนวนมาก  สำหรับประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ  ที่ต้องการนำไปใช้จ่ายในครอบครัว  รัฐบาลต้องไม่ทำให้ประชาชน  22  ล้านคนต้องรู้สึกผิดหวังมากไปกว่านี้ที่ต้องได้รับเงินล่าช้า” นายชาญกฤชกล่าว

นายธีระชัยกล่าวถึง  เงินกำไรสะสมของกระทรวงการคลังในกองทุนวายุภักษ์ว่า  ตามแนววินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งผูกพันทุกองค์กร  เงินนี้ถือเป็น   “เงินแผ่นดิน”   ซึ่งจะจ่ายได้เฉพาะตามกฎหมายงบประมาณหรือกฎหมายวินัยการเงินฯ  ดังนั้น นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลังจึงควรปฏิบัติเป็นตัวอย่างด้านมาตรฐานจริยธรรมโดยเคารพคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ

“ผมตั้งสมญานามว่า  เป็น   ‘กองทุนเฉือนเนื้อคนจน  ไปแปะให้คนรวย’   เพราะในวงเงินจองซื้อหน่วย 1.5 แสนล้านบาทนั้น  จัดสรรให้ผู้ลงทุนสถาบันถึง  1.2  แสนล้านบาท  ซึ่งผู้ลงทุนสถาบันประกอบด้วยแบงค์พาณิชย์  บริษัทประกันชีวิต  บริษัทประกันภัย  กองทุนรวม  เป็นต้น   ทั้งที่เป็นกลุ่มคนรวยอยู่แล้ว  รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเอาเงินแผ่นดินของคนไทยทั้งชาติ  ไปอุดหนุนเพื่อประกันผลตอบแทนหรือคุ้มครองเงินต้นให้แก่กลุ่มนี้  

มาถึงวันนี้  ผมจึงหายสงสัยแล้ว  ทำไมไม่มีคนในตลาดเงินตลาดทุนร่วมคัดค้านโครงการนี้  น่าจะเป็นเพราะมีการแจกจ่ายผลประโยชน์กันอย่างทั่วถึงนี้เอง”  นายธีระชัยกล่าว

นายธีระชัยยกตัวอย่างผู้ที่ได้ประโยชน์ซึ่งรวยอยู่แล้ว  เช่น  แบงค์พาณิชย์ที่มีกำไรปีที่ผ่านมาสูงถึง 2.5 แสนล้านบาท  จึงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแถลงข่าวให้ชัดเจน  โครงการอุดหนุนคนรวย  ที่รัฐมนตรีคลังเสนอครม.ไว้ในช่วงรัฐบาลของนายเศรษฐา  “ขอถามว่า  รัฐบาลของนางสาวแพรทองธาร  ยังเห็นด้วยกับการเอาเงินหลวงไปอุดหนุนคนรวยหรือไม่?”

นอกจากนี้  นายธีระชัยได้วิจารณ์ที่รัฐมนตรีคลังแถลงข่าว  ตั้งความหวังว่าสถาบันจัดอันดับเครดิตจะเลื่อนอันดับเครดิตของไทยให้สูงขึ้น  โดยอ้างว่าสัดส่วนภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลเทียบกับรายได้ยังอยู่ในระดับต่ำ

นายธีระชัยกล่าวว่า  “ผมไม่แน่ใจว่าท่าน  ลับ-ลวง-พราง  สถาบันจัดอันดับเครดิตหรือไม่  แต่คงไม่ได้ผล  เพราะเขาย่อมเห็นได้เองว่า  รัฐบาลนี้กำลังจะแจกเงิน  1.4  แสนล้านบาท  โดยไม่ได้ตัดลดงบประมาณอื่น  ซึ่งต่อไปจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่ม   และรัฐบาลก็ยังผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ตต่อไปอีก  เพื่อจะแจกเงินแก่  22  ล้านคนที่เหลือจนครบ  ซึ่งจะเพิ่มหนี้สาธารณะขึ้นไปอีก  ดังนั้น  ในอนาคต  สัดส่วนดอกเบี้ยต่อรายได้ก็ยังจะเพิ่มขึ้นอีกมาก  ปัญหานี้  ท่านปิดไม่มิด”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 กันยายน 2567

พปชร.ลงมติเลือก “พล.อ.ประวิตร” นั่งหัวหน้าพรรคนำทัพต่อ ปรับแผนใหม่ มอบรองหัวหน้ายึดโยงพื้นที่ เลขาฯคนใหม่หนุนการทำงาน มั่นใจ พรรคจะไม่แตกแยกอีก ยึดมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ ชูทันสมัยเศรษฐกิจ เพื่อปชช.มีชีวิตทีดีขึ้น

,

พปชร.ลงมติเลือก “พล.อ.ประวิตร” นั่งหัวหน้าพรรคนำทัพต่อ ปรับแผนใหม่ มอบรองหัวหน้ายึดโยงพื้นที่ เลขาฯคนใหม่หนุนการทำงาน มั่นใจ พรรคจะไม่แตกแยกอีก ยึดมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ ชูทันสมัยเศรษฐกิจ เพื่อปชช.มีชีวิตทีดีขึ้น

เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 พรรคพลังประชารัฐ ได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 2/2567 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย คณะกรรมการบริหารพรรค สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ตัวแทนภาค และตัวแทนสาขา และสมาชิกพรรค เข้าร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง กว่า 800 คน เพื่อร่วมกันเดินหน้าขับเคลื่อนพรรคพลังประชารัฐมุ่งสู่การเป็นสถาบันการเมือง ด้วยอุดมการณ์ “ปกป้องสถาบัน ทันสมัยเศรษฐกิจ มีชีวิตที่สดใส ของคนไทยทั้งประเทศ”

จากนั้น เมื่อองค์ประชุมครบจำนวนตามข้อบังคับ พล.อ.ประวิตร ได้ทำหนังสือ ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้า เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับของพรรค เป็นผลให้คณะกรรมการบริหารทั้งชุดปัจจุบัน หมดวาระลงทันที จากนั้น จึงเข้าสู่กระบวนการเสนอชื่อ และ เลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ผลการลงคะแนนในที่ประชุม มีมติดังนี้

  • พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค
  • นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค
  • นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรคคนที่ 1
  • นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคคนที่ 2
  • นางสาวตรีนุช เทียนทอง รองหัวหน้าพรรคคนที่ 3
  • นายอุตตม สาวนายน รองหัวหน้าพรรคคนที่ 4
  • นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์  รองหัวหน้าพรรคคนที่ 5
  • นายฉกาจ พัฒนกิจวิบูลย์ รองหัวหน้าพรรคคนที่ 6
  • นายชัยมงคล ไชยรบ รองหัวหน้าพรรคคนที่ 7
  • นายอภิชัย เตชะอุบล รองหัวหน้าพรรคคนที่ 8
  • พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ เหรัญญิกพรรค
  • นายสมโภชน์ แพงแก้ว นายทะเบียนพรรค

ส่วนกรรมการจำนวน 12 คน ประกอบด้วย

  • นายอนันต์ ผลอำนวย  
  • นายทวี สุระบาล
  • นายสุธรรม จริตงาม
  • นายกระแสร์ ตระกูลพรพงศ์
  • นางสาวกาญจนา จังหวะ
  • นายคอซีย์ มามุ
  • นายอัครวัฒน์ อัศวเหม
  • นายยงยุทธ สุวรรณบุตร
  • พลตำรวจโทปิยะ ต๊ะวิชัย
  • นายชาญกฤช เดชวิทักษ์
  • หม่อมหลวง กรกสิวัฒน์ เกษมศรี และ
  • นายวัน อยู่บำรุง

คณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง  จำนวน 5 คน ประกอบด้วย

  • นายสันติ พร้อมพัฒน์
  • นายไพบูลย์ นิติตะวัน  
  • นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์
  • นางสาวตรีนุช เทียนทอง  
  • พลเอกกฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์

พล.อ.ประวิตร กล่าวในที่ประชุมว่า “ขอบคุณที่ทุกท่านที่มาร่วมประชุมในวันนี้ และเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่  จากวันนี้ไป พรรคพลังประชารัฐจะไม่มีวันแตกแยกอีกแล้ว พรรคจะดำเนินการในแนวทางใหม่โดยมอบหมายให้รองหัวหน้าพรรค ควบคุมพื้นที่ และดูแลสส. และมอบหมายให้เลขาธิการพรรคเป็นฝ่ายสนับสนุน พรรค จะยึดมั่นในสถาบัน และปกป้องไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เราจะทำเศรษฐกิจที่ทันสมัย ให้ประชาชนมีชีวิตที่ดี และความเป็นอยู่ที่สดใส เราจะร่วมกันทำให้พรรคเข้มแข็ง เพื่อให้ประเทศไทยอยู่ดีมีสุข”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 6 กันยายน 2567

โฆษก พปชร. ขอความเป็นธรรมให้ ‘บิ๊กป้อม’ มองข้อหาปฏิปักษ์ร่วมรัฐบาลแรงเกินไป

,

เมื่อวันที่ 28 ส.ค.67 น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์ ทีมโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า  การพาดพิง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐว่า ได้แสดงจุดยืนเป็นปฏิปักษ์ต่อการร่วมรัฐบาลนั้น ตนมองว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นเรื่องที่รุนแรงเกินไป เนื่องจากในวันที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีวาระลงมติเลือก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ตรงกับวันที่ พล.อ.ประวิตร มีภารกิจงานเลี้ยงต้อนรับนักกีฬาโอลิมปิก ซึ่งพล.อ.ประวิตร มีฐานะเป็นประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ และภารกิจดังกล่าวมีแผนดำเนินการมาล่วงหน้าก่อนวันลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว

น.ส.บุณณดา กล่าวต่อว่า ภายหลังจากที่ น.ส.แพทองธาร ได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมสภาฯให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร ก็ยังได้ส่งช่อดอกไม้ไปเพื่อแสดงความยินดีกับ น.ส.แพทองธาร อีกด้วย ดังนั้น การกล่าวหาว่า พล.อ.ประวิตร เป็นปฏิปักษ์ คือ การกล่าวหาที่เกินจริง จึงต้องขอความเป็นธรรมให้กับ พล.อ.ประวิตร ด้วย อย่างเช่นเรื่อง การใส่ร้ายว่า พล.อ.ประวิตร อยู่เบื้องหลังกลุ่ม 40 สว.ที่ยื่นศาลคดีของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ถือเป็นการใส่ร้ายแบบเลื่อนลอย ไม่มีหลักฐานเช่นกัน

“พล.อ.ประวิตร คือ ทหารของพระราชา ทำประโยชน์เพื่อชาติมาทั้งชีวิต จุดประสงค์ในการมาทำการเมืองก็คือ หวังจะทำประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชน ดังนั้น พล.อ.ประวิตร ไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่งใด เพราะการทำงานการเมืองจะอยู่ฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ก็สามารถช่วยพัฒนาประเทศและดูแลความเป็นอยู่ของพีน้องคนไทยได้ ดังนั้น พรรค พปชร.ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร จะทำหน้าที่ สส.ในสภา เป็นกระบอกเสียงและดูแลทุกข์สุขให้ประชาชนอย่างเต็มที่ เพื่อให้คุ้มค่ากับเงินภาษีของประชาชนทุกบาท“ น.ส.บุณณดา กล่าว.

ที่มา: https://www.dailynews.co.th
วันที่: 28 สิงหาคม 2567

พปชร. เตือนเพื่อไทย เอาชื่อคนอื่นนั่ง รมต.โควตาพรรคไม่ได้ ย้ำส่ง 4 คนเดิม

พปชร. เตือนเพื่อไทย เอาชื่อคนอื่นนั่ง รมต.โควตาพรรคไม่ได้ ย้ำส่ง 4 คนเดิม

,

โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ย้ำ ส่ง 4 ชื่อ รมต.เดิม “พัชรวาท-ธรรมนัส-อรรถกร-สันติ” ตั้งแต่ 20 ส.ค. แล้ว เผย ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบคุณสมบัติ หากไม่ผ่าน “บิ๊กป้อม” เสนอชื่อเองได้เลย เตือนเพื่อไทย เอาคนอื่นเข้ามาเสียบแทนโควตาพรรคไม่ได้

วันที่ 23 สิงหาคม 2567 ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรค เปิดเผยภายหลังการประชุมกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ว่า ที่ประชุมเมื่อเวลา 11:30 น. ที่ผ่านมา มีกรรมการบริหารพรรคประชุมทั้งหมด 12 คน จากทั้งหมด 19 คน เป็นการประชุมเกินกึ่งหนึ่ง ถือว่าวันนี้ครบองค์ประชุม

พรรคพลังประชารัฐยืนยันเข้าร่วมรัฐบาล และมีการส่งรายชื่อรัฐมนตรีไปแล้วตั้งแต่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้เสนอบุคคลทั้งหมด 4 คน ผ่านไปยัง นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี

และวันนี้ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคมีมติยืนยันรายชื่อบุคคลทั้ง 4 คน ประกอบด้วย พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

พลตำรวจโทปิยะ ระบุว่า หากมีบุคคลตามรายชื่อดังกล่าวท่านหนึ่งท่านใดขาดคุณสมบัติ หรือมีความไม่เหมาะสม พรรคเพื่อไทยต้องแจ้งกลับมาทางพรรคพลังประชารัฐเพื่อทราบ โดยที่ประชุมกรรมการบริหารพรรควันนี้ ได้มอบอำนาจให้หัวหน้าพรรคเป็นผู้พิจารณาคนอื่นที่มีความเหมาะสมเพื่อเป็นรัฐมนตรีและเสนอรายชื่อต่อไปตามความเหมาะสม หรือหากจะนำมาเข้าที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคอีกครั้งก็ได้

เบื้องต้น มีการประสานงานกับพรรคเพื่อไทยเป็นระยะ ขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันว่าจะมีการปรับเปลี่ยนรายชื่อ และยังไม่มีการติดต่อกลับมาอย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ พลตำรวจโทปิยะ ย้ำว่า ในที่ประชุมวันนี้ พูดคุยกันถึงเรื่องหลักการและวิธีการ ไม่ได้พูดถึงประเด็นการครอบงำพรรคแต่อย่างใด

จากนั้น พล.ต.ท.ปิยะ ให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงรายชื่อรัฐมนตรีที่พรรคพลังประชารัฐเสนอไปว่า รายชื่อรัฐมนตรีแต่ละพรรคก็มีมติและความเห็นของแต่ละพรรค แต่หากพรรคใดมัวแต่ฟังเสียงเล็กเสียงน้อย เสียงทุ้มอะไรพวกนี้ ก็จะไขว้เขว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นหลักเกณฑ์มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ที่มีการเมืองมา ควรคุยกันและให้เกียรติการร่วมรัฐบาลซึ่งกันและกัน

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐยืนยันว่า รายชื่อรัฐมนตรีที่เราส่งไปได้ผ่านการพิจารณาของกรรมการบริหารพรรค แต่หากพรรคเพื่อไทยจะนำคนอื่นมาใช้ในโควตาของพรรคพลังประชารัฐ ถือว่าไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์

เมื่อถามว่า กังวลถึงคุณสมบัติของรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐที่อาจเข้าข่ายผิดมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า เรื่องนี้เราเข้าใจหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรี เพราะตามหลักการ หากเสนอบุคคลที่คุณสมบัติไม่ครบถ้วน หรือไม่เหมาะสม ก็อาจจะมีผลกระทบ ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยมีความไม่สบายใจตรงนี้ จึงแจ้งกลับมายังหัวหน้าพรรค ซึ่งทางพรรคยินดีที่จะเปลี่ยนเป็นคนที่เหมาะสม เพราะพรรคพลังประชารัฐมีบุคคลที่เหมาะสมและพร้อมเป็นรัฐมนตรีอยู่หลายคน ไม่ต้องห่วง

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า พล.อ.ประวิตร จะลาออกจากหัวหน้าพรรค พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ไม่มี หัวหน้าพรรคอยู่กับพวกเราตลอด หากเราไม่ทิ้งท่าน ท่านก็ไม่ทิ้งพวกเรา

ที่มา: เว็บไซต์ https://www.thairath.co.th/
วันที่: 24 สิงหาคม 2567

“ทีมโฆษกพปชร.“ แจงผลหารือกรณีการกระทำของ นายสามารถ สมาชิกพปชร. เผยแพร่ข่าว​ สร้างผลกระทบการร่วมรัฐบาล

,

“ทีมโฆษกพปชร.“ แจงผลหารือกรณีการกระทำของ นายสามารถ สมาชิกพปชร. เผยแพร่ข่าว​ สร้างผลกระทบการร่วมรัฐบาล ย้ำเป็นกระทำส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวข้องกับพรรค กำหนดแนวทางยุติ หวั่นสร้างความเสียหายต่อพรรค เสนอ พล.อ.ประวิตร รับทราบผลหารือ วางมาตรแก้ปมปัญหา

เวลาประมาณ 13.30น. พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่มีการนำเสนอข่าวไลน์หลุดของกลุ่ม สส.พปชร. กล่าวตำหนิ อดีตผู้สมัครทำพรรคป่วน และแสดงความเห็นขัดแย้งต่อการทำงานรัฐบาลในทางลบ ที่ประชุม กรรมการบริหารพรรคและ สส. พรรคพลังประชารัฐได้มีการหารืออย่างไม่เป็นทางการกัน ในวันนี้(30ก.ค.2567) โดยมีผู้บริหารของพรรคได้แก่นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค นายอุตตม สาวนายน และ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคพลังประชารัฐรัฐรวม 30 คนได้หารือกันอย่างไม่เป็นทางการ ต่อกรณีกระแสข่าวที่ปรากฎ ขึ้นผ่านสื่อต่างๆ นั้น เห็นว่าการให้สัมภาษณ์ของ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ซึ่งเป็นสมาชิกพรรค ในช่วงที่ผ่านมา ที่ประชุมมีความรู้สึกกังวลต่อความเข้าใจในบทบาทของพรรคพลังประชารัฐ จึงอยากให้ท่านหัวหน้าพรรคและท่านกรรมการพรรคได้รับทราบ ทางพรรคพลังประชารัฐ ยืนยันว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำส่วนตัวไม่ใช่การกระทำของพรรคหรือมติพรรคแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรรคพลังประชารัฐ เป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล โดยมารยาททางการเมืองจะต้องเดินหน้าสนับสนุนรัฐบาลในทุกเรื่องที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว ในการหารือดังกล่าวจะได้มีการกำหนดแนวทางเพื่อให้ยุติการกระทำ ที่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อพรรคอีก

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ในการหารือเห็นว่า เรื่องนี้ค่อนข้างที่จะเห็นตรงกันว่าที่ผ่านมา มีการพยายามทำให้เข้าใจผิดแล้ว ทำให้เกิดผลกระทบกับพรรคเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ได้หารือว่า จะได้นำเรียนท่านหัวหน้าพรรค เพื่อหาแนวทางและมาตรการในการแก้ปัญหานี้ต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 31 กรกฎาคม 2567

พล.อ.ประวิตร คุมทัพโอลิมปิค ถวายพระพรในหลวง ครบ 72 พรรษา น้อมนำพรพระราชทาน สร้างขวัญกำลังใจ สู้ศึกปารีสเกมส์

,

พล.อ.ประวิตร คุมทัพโอลิมปิค ถวายพระพรในหลวง ครบ 72 พรรษา น้อมนำพรพระราชทาน สร้างขวัญกำลังใจ สู้ศึกปารีสเกมส์

เมื่อเวลา 09.30 น. 28 ก.ค.67 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้เป็นประธานพิธีถวายราชสักการะ เฉลิมพระเกียรติ และถวายพระพรชัยมงคล แด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในโอกาส วันเฉลิมพระชนมพรรษา ทรงเจริญพระชนม์มายุครบ 6 รอบ 72 พรรษา พร้อมด้วยกรรมการบริหารและเจ้าหน้าที่ ตลอดจนผู้แทนจากทุกสมาคมกีฬา ณ บริเวณสำนักงานคณะกรรมการโอลิมปิคฯ ถนนศรีอยุธยา กรุงเทพฯ

สำหรับนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ที่ได้เดินทางไป กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสแล้ว เพื่อเตรียมเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 พล.อ.ประวิตร ได้มอบหมายให้ รองประธานคณะกรรมการฯ และเลขาธิการฯ ดำเนินการจัดพิธีถวายราชสักการะฯ ในห้วงเวลาและสถานที่ ให้เหมาะสม เช่นเดียวกัน เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี และสร้างขวัญกำลังใจ มีความมุ่งมั่น ทุ่มเท การแข่งขันให้กับทัพนักกีฬาทีมชาติไทย พร้อมขอให้น้อมนำพระราชดำรัสของพระองค์ท่านในวันที่เข้าเฝ้ารับพระราชทานพร เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.67 มาปฏิบัติ เพื่อความเป็นสิริมงคล และประสบความสำเร็จ ในการเข้าร่วมชิงชัยการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในครั้งนี้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 กรกฎาคม 2567

“อดีต รมว.คลัง” หนุน “ปุ๋ยคนละครึ่ง” หวังลดต้นทุน เพิ่มรายได้เกษตรกร

,

“อดีต รมว.คลัง” หนุน “ปุ๋ยคนละครึ่ง” หวังลดต้นทุน เพิ่มรายได้เกษตรกร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ ( 11 ก.ค.67 ) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์กับ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์โครงการปุ๋ยคนละครึ่ง โดยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ดังกล่าว มาจาก เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ที่บอกว่านโยบายมีความไม่ชัดเจน และ เหมือนเป็นการโยนหินถามทาง

นอกจากนี้ นายธีระชัย ยังมองว่า โครงการดังกล่าว ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ไม่มีการล็อคสเป็กปุ๋ย เพื่อเอื้อให้กลุ่มนายทุน เพราะเปิดโอกาสให้ทุกบริษัทเข้าร่วมโครงการ โดยลงทะเบียนผ่านกรมวิชาการเกษตร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ตรวจสอบคุณภาพปุ๋ย เป็นเรื่องของการพัฒนาคุณภาพผลผลิตทางการเกษตรประเภทข้าว และ การคัดเลือกปุ๋ย อีกทางหนึ่ง จะดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ( ธ.ก.ส .)

ส่วนเมื่อเกษตรกรเข้าร่วมโครงการแล้ว จะได้รับการช่วยเหลือด้านใดบ้างนั้น นายธีระชัย กล่าวว่า  ตนในฐานะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เห็นว่านโยบายนี้ มาจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เท่าที่ตน ทราบข้อมูลมา อย่างแรก คือ ช่วยลดต้นทุนของเกษตร พอต้นทุนลดลง ขายได้ในราคาตลาด กำไรของเกษตรกร ก็จะเพิ่มขึ้น ส่วนผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าการเกษตร เราจะไม่ปรับราคาให้สูงขึ้น คงไว้ที่ตามราคาตลาด

นายธีระชัย กล่าวต่ออีกว่า นโยบายปุ๋ยคนละครึ่ง จะไม่ซ้ำรอยกับ โครงการรับจำนำข้าว เพราะ โครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ไม่มีการเวียนคืน ไม่มีการเก็บรักษา ไม่เหมือนกับโครงการจำนำข้าว ไม่มีความเสี่ยงในการทุจริต เพราะ ไม่เกิดการหมุนเวียนสินค้าเกษตร จึงไม่มีโอกาสเกิดการทุจริตในโครงการดังกล่าว

ตนไม่ขอพูดถึงโครงการอื่นของรัฐบาล ขอพูดแค่โครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ที่ตนประเมินแล้ว โครงการนี้ เป็นโครงการที่ดี โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกระทรวงที่เริ่มความคิด ซึ่งในวันที่ 15 ก.ค.นี้ จะเริ่มเปิดให้เกษตรกรลงทะเบียนผ่านทาง ธ.ก.ส. ส่วนในแง่ของการส่งออกสินค้าเกษตร ยอมรับว่า โครงการปุ๋ยคนละครึ่ง คงไม่ได้ช่วยกระตุ้นในเรื่องนี้ได้มากขนาดนั้น เพราะ ในแง่ของราคาตลาดโลก หรือ ตลาดภายในประเทศ เราไปแทรกแซงไม่ได้” นายธีระชัย ระบุ

นายธีระชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า เมื่อเกษตรกรเข้าร่วมโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ต้นทุนในการผลิตของเกษตรกรต่ำ ก็จะสามารถมีกำไรเพิ่มขึ้น สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ตนยืนยันได้ว่า จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ที่มา: https://www.kaohoon.com/news/685043