โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: ข่าวประชาสัมพันธ์

“อดีต รมว.คลัง” หนุน “ปุ๋ยคนละครึ่ง” หวังลดต้นทุน เพิ่มรายได้เกษตรกร

,

“อดีต รมว.คลัง” หนุน “ปุ๋ยคนละครึ่ง” หวังลดต้นทุน เพิ่มรายได้เกษตรกร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ ( 11 ก.ค.67 ) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์กับ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์โครงการปุ๋ยคนละครึ่ง โดยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ดังกล่าว มาจาก เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ที่บอกว่านโยบายมีความไม่ชัดเจน และ เหมือนเป็นการโยนหินถามทาง

นอกจากนี้ นายธีระชัย ยังมองว่า โครงการดังกล่าว ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ไม่มีการล็อคสเป็กปุ๋ย เพื่อเอื้อให้กลุ่มนายทุน เพราะเปิดโอกาสให้ทุกบริษัทเข้าร่วมโครงการ โดยลงทะเบียนผ่านกรมวิชาการเกษตร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ตรวจสอบคุณภาพปุ๋ย เป็นเรื่องของการพัฒนาคุณภาพผลผลิตทางการเกษตรประเภทข้าว และ การคัดเลือกปุ๋ย อีกทางหนึ่ง จะดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ( ธ.ก.ส .)

ส่วนเมื่อเกษตรกรเข้าร่วมโครงการแล้ว จะได้รับการช่วยเหลือด้านใดบ้างนั้น นายธีระชัย กล่าวว่า  ตนในฐานะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เห็นว่านโยบายนี้ มาจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เท่าที่ตน ทราบข้อมูลมา อย่างแรก คือ ช่วยลดต้นทุนของเกษตร พอต้นทุนลดลง ขายได้ในราคาตลาด กำไรของเกษตรกร ก็จะเพิ่มขึ้น ส่วนผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าการเกษตร เราจะไม่ปรับราคาให้สูงขึ้น คงไว้ที่ตามราคาตลาด

นายธีระชัย กล่าวต่ออีกว่า นโยบายปุ๋ยคนละครึ่ง จะไม่ซ้ำรอยกับ โครงการรับจำนำข้าว เพราะ โครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ไม่มีการเวียนคืน ไม่มีการเก็บรักษา ไม่เหมือนกับโครงการจำนำข้าว ไม่มีความเสี่ยงในการทุจริต เพราะ ไม่เกิดการหมุนเวียนสินค้าเกษตร จึงไม่มีโอกาสเกิดการทุจริตในโครงการดังกล่าว

ตนไม่ขอพูดถึงโครงการอื่นของรัฐบาล ขอพูดแค่โครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ที่ตนประเมินแล้ว โครงการนี้ เป็นโครงการที่ดี โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกระทรวงที่เริ่มความคิด ซึ่งในวันที่ 15 ก.ค.นี้ จะเริ่มเปิดให้เกษตรกรลงทะเบียนผ่านทาง ธ.ก.ส. ส่วนในแง่ของการส่งออกสินค้าเกษตร ยอมรับว่า โครงการปุ๋ยคนละครึ่ง คงไม่ได้ช่วยกระตุ้นในเรื่องนี้ได้มากขนาดนั้น เพราะ ในแง่ของราคาตลาดโลก หรือ ตลาดภายในประเทศ เราไปแทรกแซงไม่ได้” นายธีระชัย ระบุ

นายธีระชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า เมื่อเกษตรกรเข้าร่วมโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ต้นทุนในการผลิตของเกษตรกรต่ำ ก็จะสามารถมีกำไรเพิ่มขึ้น สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ตนยืนยันได้ว่า จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ที่มา: https://www.kaohoon.com/news/685043

พัชรวาท สั่งการด่วน! วางกฎเหล็ก 3 ข้อ แก้ปมพิพาทเฉือนป่าทับลาน

,

พัชรวาท สั่งการด่วน! วางกฎเหล็ก 3 ข้อ แก้ปมพิพาทเฉือนป่าทับลาน… คือ

1. ให้พิจารณาสิทธิชาวบ้านในการถือครองที่ดินซับซ้อน ส.ป.ก.ที่ทำกิน ต้องไม่มีนายทุนนักการเมือง ถือครองเด็ดขาด พิสูจน์สิทธิให้ชัดเจน
2. ให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้าน ที่อยู่อาศัยมาดั้งเดิมกว่า 40 ปี เพื่อรับสิทธิที่ดินอย่างถูกต้องเป็นธรรม เพื่อจะกันพื้นที่ให้ชัดเจนลดความคัดแย้งที่มีมายาวนาน
3. พื้นที่ป่าอนุรักษ์ จะไม่อนุญาตให้แบ่งแยกออกไป เพราะต้องรักษาผืนป่าไว้ และความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ

บทสรุปคือ… พื้นที่ป่าอนุรักษ์ไม่เกี่ยวข้อง ยกเว้นที่เป็นชุมชนดั้งเดิม พื้นที่จะไม่ถึงกว่า 2.6 แสนไร่…. !!

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 กรกฎาคม 2567

ไพบูลย์ ยันจุดยืน พปชร. ปกป้องสถาบัน บิ๊กป้อม ไม่เอาคดี 112 มารวมนิรโทษ

ไพบูลย์ ยันจุดยืน พปชร. ปกป้องสถาบัน บิ๊กป้อม ไม่เอาคดี 112 มารวมนิรโทษ

เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงจุดยืนของพรรค พปชร.ในการพิจารณาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จะรวมมาตรา 112 ด้วยหรือไม่ ว่า จุดยืนของพรรค พปชร.ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค คือไม่เห็นด้วยที่จะแก้ไขมาตรา 112 และไม่สนับสนุนให้มีการนำมาตรา 112 มาอยู่ในการนิรโทษกรรม เพราะหลักการที่สำคัญที่สุดของพรรคและ พล.อ.ประวิตร คือ การปกป้องสถาบัน เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ที่มา: https://liff.line.me/1454988218-NjbXbq18/v2/article/kEMLlYJ?utm_source=lineshare
วันที่: 31 พฤษภาคม 2567

“บุณณดา” โฆษกกระทรวงทรัพย์ฯ เผย “พัชรวาท” ห่วงใย ลูกจ้างพิทักษ์ป่า ชี้!เดือน ต.ค.นี้ ได้ปรับขึ้นเงินเดือน พร้อมกันทั่วประเทศ

,

“บุณณดา” โฆษกกระทรวงทรัพย์ฯ เผย “พัชรวาท” ห่วงใย ลูกจ้างพิทักษ์ป่า ชี้!เดือน ต.ค.นี้ ได้ปรับขึ้นเงินเดือน พร้อมกันทั่วประเทศ

น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์ โฆษกกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผยว่า สำนักงบประมาณ ได้จัดสรรงบประมาณเพื่อปรับขึ้นเงินเดือนของบุคคลภายนอกที่ปฏิบัติงานให้กับกรมอุทยานฯ ตำแหน่งพิทักษ์ป่า จำนวน 13,419 อัตรา จาก 9,000 บาท เป็น 11,000 บาท ทุกอัตราพร้อมกันทั่วประเทศ เนื่องจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ท่านมีความห่วงใยต่อเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า เพราะภารกิจในการลาดตระเวนคุ้มครองดูแลรักษาพื้นที่ป่า เป็นภารกิจที่ยากลำบากอีกทั้งยังเสี่ยงต่ออันตราย ดังนั้นการปรับขึ้นเงินเดือนถือว่าเป็นการสร้างขวัญกำลังใจทางหนึ่ง

น.ส.บุณณดา กล่าวต่อว่า การปรับขึ้นอัตราเงินเดือนครั้งนี้ได้สร้างความปิติยินดีให้กับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกคน และเป็นขวัญกำลังใจอย่างดียิ่ง ในการปกป้องทรัพยากรป่าไม้ของชาติ เพราะนอกเหนือจากการปรับขึ้นอัตราเงินเดือนในครั้งนี้แล้ว ที่ผ่านมากรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้มีการเพิ่มสวัสดิภาพสวัสดิการให้กับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า โดยการอนุมัติเงินอุทยานแห่งชาติ และเงินเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ในกรณีที่เจ้าหน้าที่บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เพื่อให้สามารถนำเงินในส่วนนี้มาใช้จ่ายให้กับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งได้มีการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ไปแล้วเป็นจำนวนมากด้วย

“พล.ต.อ.พัชรวาท ได้ติดตามและใส่ใจการทำหน้าที่
ในการป้องกันรักษาป่า โดยท่านมองว่า เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าคือ ผู้ที่ทำหน้าที่ทั้งอนุรักษ์ คุ้มครองดูแลรักษาทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าให้คงอยู่ โดยการสร้างความสมดุลตามธรรมชาติด้วยการฟื้นฟู หยุดความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ การสร้างระบบนิเวศในพื้นที่อนุรักษ์ให้ดีขึ้นตลอดเวลา เป็นภารกิจที่ยาก เพราะต้องปฏิบัติงานเชิงรับและเชิงรุก จึงขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนทำงานด้วยความถูกต้อง ลดข้อขัดแย้ง และความไม่สบายใจในการทำงาน“ น.ส.บุณณดา กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 พฤษภาคม 2567

“สันติ รมช.สธ.” เปิดประชุมเชิงปฏิบัติการ คสช.มุ่งยกระดับสุขภาพปชช. ระดมสมองแก้วิกฤตเด็กเกิดน้อย-ยาเสพติดระบาดในเยาวชนเสนอรัฐบาล

,

“สันติ รมช.สธ.” เปิดประชุมเชิงปฏิบัติการ คสช.มุ่งยกระดับสุขภาพปชช.
ระดมสมองแก้วิกฤตเด็กเกิดน้อย-ยาเสพติดระบาดในเยาวชนเสนอรัฐบาล

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เป้าหมาย ทิศทาง หน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) เพื่อระดมความเห็น ด้านส่งเสริมหน่วยงานหรือองค์กร ที่จะมุ่งขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะร่วมกัน นำไปสู่การสร้าง “สุขภาพ” หรือ “สุขภาวะ” ของประชาชน ที่ห้องประชุม Sapphire 2 – 3 โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ อ.เมือง จ.นนทบุรี

ทั้งนี้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ได้มีส่วนทำให้ประชาชน เข้าใจและสามารถวางแผนด้านสุขภาพมากขึ้นและยังคงผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งทางด้านสุขภาพจิตของประชาชนที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย โดยเฉพาะครอบครัวใหม่ๆกังวลเรื่องการมีบุตร ทำให้ปัจจุบันอัตราการเกิดของประชาชนต่ำกว่าเป้าหมายหรืออยู่ในขั้นวิกฤต โดยประเทศไทยมีประชากร 66-67 ล้านคน ต้องมีอัตราการเกิดปีละกว่า 8 แสนคน แต่ที่ผ่านมา มีการเกิดกว่า 400,000 คน ซึ่งจะส่งผลต่ออนาคตด้านแรงงานที่จะหายไปกว่าครึ่ง และจากการลงพื้นที่พบประชาชนในชนบทและชุมชนเมืองพบว่า ครอบครัวใหม่ๆ มีความกังวลในการมีบุตร เนื่องจากขาดศักยภาพในการเลี้ยงดู และพร้อมมีบุตรเมื่อครอบครัวมีฐานะมั่นคงขึ้น ดังนั้นจึงอยากให้ร่วมกันระดมความคิดในการวางแนวทางการส่งเสริมการมีบุตรมากขึ้น เพื่อเสนอปัญหาดังกล่าวไปยังรัฐบาลต่อไป

“จากการลงไปเยี่ยมสถานประกอบการภาคอุตสาหกรรมแต่ละแห่งพบว่า มีแรงงานประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทำงานในทุกรูปแบบต่างๆเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงเด็ก และเป็นพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม ที่เข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมายมากกว่า 3 ล้านคน และส่วนที่เข้ามาไม่ถูกต้องตามกฎหมายมีอีกกว่า 2 ล้านคน โดยรวมแล้วมีถึง 6 ล้านคน แต่ละวันจ่ายค่าแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท ใน 1 ปี ต้องจ่ายเงินจ้างแรงงานประเทศเพื่อนบ้านเกินกว่า 7 แสนล้านบาท ดังนั้นเงินที่ใช้จะต้องมีประสิทธิภาพ หากนำมาใช้ในการเพิ่มจำนวนประชากรก็จะสามารถช่วยเหลือประเทศชาติได้ในอนาคต สิ่งเหล่านี้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ จะเข้ามามีบทบาทในการเสริมการทำงานของกระทรวงสาธารณสุขได้เป็นอย่างดี เพื่อกระตุ้นให้รัฐบาลสนใจเรื่องเหล่านี้” นายสันติ กล่าว

สำหรับประเด็นของปัญหาเรื่องยาเสพติด ที่มีผลต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน และกระทบเศรษฐกิจของประเทศด้วย เช่น ยาบ้า 1 เม็ด 5 เม็ด หรือ 10 เม็ด ในอดีตเป็นสิ่งที่ทำลายพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน ซึ่งจากการลงพื้นที่ไปยังชุมชนเมืองและชุมชนต่างจังหวัด บรรดาลูกหลานจำนวนมากเป็นทั้งผู้ค้าและผู้เสพ การปราบปรามของกระบวนการยุติธรรมยังไม่รัดกุม ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพของวัยที่ใช้แรงงาน ก่อให้เกิดวิกฤตด้านการเรียนรู้ เนื่องจากไปทำลายระบบประสาทไม่สามารถพัฒนาด้านการเรียนรู้ทั้งทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ได้ ส่งผลต่อสุขภาพครัวเรือน และสุขภาพจิตของพี่น้องประชาชนอีกด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 พฤษภาคม 2567

‘บิ๊กป้อม’ ส่งสัญญาณเดินหน้าต่อ ชูแนวทาง ‘อนุรักษนิยมทันสมัย’

“บิ๊กป้อม” ส่งสัญญาณเดินหน้าต่อ ชูแนวทาง “อนุรักษนิยมทันสมัย” ด้านลูกพรรคตอบรับ พร้อมเดินเคียงข้าง พปชร

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 19 มี.ค. ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มีการประชุมพรรคพลังประชารัฐ โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง
จากนั้นเวลา 16.30 น. นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะโฆษกพรรคพลังประชารัฐ และนายอัคร ทองใจสด สส.เพชรบูรณ์ แถลงข่าวถึงการประชุมพรรคพลังประชารัฐ ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เป็นประธานในที่ประชุมว่า บรรยากาศในที่ประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น โดย พล.อ.ประวิตร ได้มาก่อนเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง และมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มตลอดเวลาการประชุม พร้อมยืนยันกับสมาชิกพรรคว่า ร่างกายของท่านแข็งแรง เต็มที่พร้อมที่จะทำงานเพื่อบ้านเมืองของเราต่อไป

นายอรรถกร กล่าวต่อว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาถึงแนวทางของพรรคพลังประชารัฐ โดยในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการพูดถึงคำว่า “อนุรักษนิยมทันสมัย” ซึ่งมีประชาชนสนใจ และสอบถามมาทางพรรคจำนวนมากว่าคืออะไร โดยวันนี้ พล.อ.ประวิตร ได้บอกกับทุกคนในพรรคว่า ท่านมีจุดยืนในการที่จะอนุรักษ์ปกป้องสถาบันหลักของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นประเทศชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่พรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้ยึดติดอยู่กับอดีตเพียงแต่อย่างเดียว

“เราทราบดีว่า ประเทศไทยของเรามีเอกลักษณ์ที่หาที่ไหนไม่ได้ในโลก เรามีวัฒนธรรมมีจารีตประเพณี ที่ส่งต่อกันมา ตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ส่งมายังรุ่นพ่อ รุ่นแม่ และพรรคพลังประชารัฐ จะนำสิ่งที่พวกเราคนไทยหวงแหนส่งต่อไปยังลูกหลานของพวกเรา และเราจะทำงานโดยยึดสิ่งดีๆ ที่บรรพบุรุษของพวกเราได้สร้างเอาไว้ และจะทำงานก้าวสู่อนาคตด้วยการเปลี่ยนแปลงในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีต่างๆ เพราะทุกวันนี้เรื่องเหล่านี้เปลี่ยนแปลงทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐ ตั้งใจที่จะสืบสานความตั้งใจหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐต่อไป” นายอรรถกร กล่าว

นายอรรถกร กล่าวย้ำว่า สมาชิกพรรคพลังประชารัฐทุกคน เห็นพ้องที่จะเดินไปกับ พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยใช้คำว่า “อนุรักษนิยมทันสมัย” ให้เป็นบทนำของพรรคต่อไป ในส่วนของรายละเอียดของคำว่า “อนุรักษนิยมทันสมัย” ขอให้รอสักพักหนึ่ง โดย พปชร. จะเปิดตัวของคำนี้อย่างเป็นทางการ ในการประชุมใหญ่สามัญพรรคที่จะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ โดย พล.อ.ประวิตร มีความตั้งใจที่จะเชิญบุคลากรที่มีความรู้ ความทันสมัย มาทำงานร่วมกับเรา เพื่อที่จะทำให้พรรค สามารถเป็นสถาบันที่ทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 21 มีนาคม 2567

“พล.อ.ประวิตร” เสนอกระทรวงทรัพยฯ ดันโครงการติดตั้งปล่องดูดมลพิษ แก้วิกฤตฝุ่น PM.2.5 ดึงกรุงเทพฯ นำร่อง 20 จุด ดูแลสุขภาพ ปชช.เร่งด่วน

เวลา 15.00 น. (20 กุมภาพันธ์ 2567) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นประธานการประชุมพรรคประจำสัปดาห์ โดยในที่ประชุมได้พิจารณาถึงปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ที่ผ่านมา ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นพร้อมเดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ผลักดันร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. ผ่านที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นที่เรียบร้อย ขณะนี้อยู่ในชั้นการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า ค่าฝุ่น PM 2.5 ยังอยู่ในภาวะวิกฤตที่กระทบกับประชาชนในกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว และผู้สูงอายุ

ทั้งนี้ ทางพรรคพลังประชารัฐ เห็นว่าควรมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที ซึ่งในต่างประเทศมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถแก้ไขปัญหามลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ดังนั้นจึงได้เสนอแนวคิดการติดตั้งปล่องดูดมลพิษในอากาศไปยังรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาต่อไป

“พรรคมีความห่วงใย พี่น้องประชาชนเรื่องของการดูแลสุขภาพและปัญหาฝุ่นที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อการแก้ไขปัญหาให้เกิดความยั่งยืน พรรคจึงเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาโดยการติดตั้งปล่องดูดมลพิษ โดยมองว่าพื้นที่ที่มีความเหมาะสมที่ในการเริ่มต้น คือ กรุงเทพมหานคร หากติดตั้งเครื่องดังกล่าวได้ครบ 20 จุด เชื่อว่ากรุงเทพฯ จะมีอากาศที่บริสุทธิ์ขึ้นได้อย่างแน่นอน” พล.อ.ประวิตร กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2567

“พปชร.”เปิดเวทีไทยรับมือ “ฟรีวีซ่า” อย่างไรให้ได้ประโยชน์ถึงมือปชช. รุกใช้ดิจิทัลหนุน-เข้มปลอดภัย

,

“พปชร.”เปิดเวทีไทยรับมือ “ฟรีวีซ่า” อย่างไรให้ได้ประโยชน์ถึงมือปชช. รุกใช้ดิจิทัลหนุน-เข้มปลอดภัยรับดีเดย์31มี.ค.ดึงจีนเที่ยวเพิ่มดันGDPโต

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้จัดกิจกรรม “เวทีวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ ในหัวข้อ ไทยจะรับมือ “ฟรีวีซ่า” อย่างไร ให้ได้ประโยชน์ถึงมือประชาชน ? โดย นายอัครแสนคีรี โล่วีระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ชัยภูมิ เขต 7 นายอัคร ทองใจสด สส.เพชรบูรณ์ เขต 6 และ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และอดีตโฆษกกองบังคับตำรวจนครบาล ดำเนินรายการโดย ดร.ชาญกฤช เดชวิทักษ์ กรรมการยุทธศาสตร์พรรค พปชร. ขึ้นที่ห้องประชุมใหญ่ พรรค พปชร. เพื่อนำเสนอมุมมองที่ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการใช้มาตรการฟรีวีซ่าไทย-จีน ในการกระตุ้นเศรษฐกิจอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศ ที่จะส่งผลต่อการเพิ่มโอกาสด้านการลงทุนให้กับผู้ประกอบการไทย-จีน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวชาวจีนมากยิ่งขึ้น

นายอัครแสนคีรี โล่วีระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ชัยภูมิ เขต 7 กล่าวว่า ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนมีการติดต่อค้าขายและมีสัมพันธไมตรีทางการทูตกันมาอย่างยาวนาน เกิดการพัฒนาที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้งสองประเทศเพื่อร่วมกันฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เติบโตผ่านความร่วมมือทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ฯลฯ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวก่อนหน้านี้ไทยประกาศให้ ‘ฟรีวีซ่าชั่วคราว’ แก่นักท่องเที่ยวจีนช่วงปลายเดือนกันยายน 2566 สิ้นสุดลงในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ต่อมารัฐบาลไทยและจีนได้ลงนามในข้อตกลงยกเว้นข้อกำหนดวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวของกันและกันแล้ว เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและการท่องเที่ยวระหว่างทั้งสองประเทศมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไปซึ่งสามารถเที่ยวได้นานถึง 30 วัน ดังนั้นนโยบายฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีนคาดว่าจะช่วยขับเคลื่อนให้ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP ของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น
“ เพียง 1 ชั่วโมงหลังมีรายงานข่าวฟรีวีซ่าออกไป ยอดการค้นหาคําว่า “ประเทศไทย” บนแพลตฟอร์มของ ซีทริป กรุ๊ป ผู้ให้บริการด้านการเดินทางท่องเที่ยว เพิ่มขึ้นมากกว่า 90% และล่าสุดข้อมูล ณ 5 ก.พ. 67 มีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 4 ก.พ. 67 ทั้งสิ้น 3,513,155 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 170,411 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนสูงสุด 617,578 คน รองลงมา มาเลเซีย 377,383 คน และ รัสเซีย 249,377 คน คาดว่าก่อนเทศกาลตรุษจีนจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติอื่นๆเข้ามาเพิ่ม โดยมีจำนวนเที่ยวบินขาออกที่เพิ่มขึ้นของจีน การยกเว้นวีซ่าระหว่างไทย-จีน และนักท่องเที่ยวคาซัคสถาน การขยายเวลาพำนักแก่นักท่องเที่ยวรัสเซีย ที่จะสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยรัฐบาลตั้งเป้าภายในปี 2567 จะทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาทะลุ 30 ล้านคน และนักท่องเที่ยวจีนทะลุ 5 ล้านคนซึ่งจะการท่องเที่ยวจะช่วยดันให้GDPปี 67 เติบโตขึ้นได้”นายอัครแสนคีรีกล่าว

อย่างไรก็ตามแม้ว่า “ฟรีวีซ่า” สําหรับนักท่องเที่ยวจีนจะเป็นยาแรงในการกระตุ้นการท่องเที่ยวของไทยแล้วแต่ก็อาจยังมี “ข้อควรระวัง” ที่รัฐบาลควรรับไว้พิจารณาโดยเมื่อไม่ต้องใช้วีซ่าอาจทำให้การคัดกรองคนที่เข้มงวด ผ่านวีซ่านั้นลดลง ทั้งนี้ วีซ่าเข้าไทยจะแบ่งประเภทนักท่องเที่ยวตามวัตถุประสงค์ เป็นวีซ่าท่องเที่ยว วีซ่าทํางาน วีซ่านักเรียน วีซ่าธุรกิจ วีซ่าคู่สมรส ฯลฯ โดยมีการกําหนดระยะเวลา และขอบเขตกิจกรรมที่สามารถทําได้สําหรับวีซ่าแต่ละประเภท อย่างในบางประเทศ การถือเพียงวีซ่านักเรียน สามารถเรียนหนังสือได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถทํางานในระหว่างเรียนได้ สำหรับปี 2566 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยในปีที่ผ่านมาถือว่าเกินเป้าเล็กน้อย ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนยังไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ราว 4 ล้านคน โดยมีชาวจีนที่เดินทางมาไทยอยู่ที่ 3.5 ล้านคน มากสุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากนักท่องเที่ยวมาเลเซียที่เดินทางมาไทยกว่า 4.5 ล้านคนแต่ช่วงหลังเกิดเหตุกราดยิงใจกลางกรุงเทพฯ และมีนักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิต โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนในปี 2566 ถือว่าน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทยช่วงก่อนโควิดในปี 2562 ซึ่งเคยพุ่งสูงเกือบ 11 ล้านคน ขณะที่ในปี 2565 มีคนจีนเดินทางมาไทยเพียงราว 270,000 คน ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจท่องเที่ยวไทย ปี 2565 รวมมูลค่า Tourism GDP ที่จำนวน 982,585 ล้านบาท คิดเป็น 5.66% ของ GDP สูงกว่าปี 2563 (ปีก่อนเริ่มโควิด)

นายอัคร ทองใจสด สส.เพชรบูรณ์ เขต 6 กล่าวว่า ปี 2566 ไทยติดอันดับ 1 ใน 10 จุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและ กรุงเทพมหานคร ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 4 รองจาก ลอนดอน ปารีส และ นิวยอร์ค และจากฟรีวีซ่าทำให้ล่าสุดนักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับมาเที่ยวไทยเป็นอันดับ 1 อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รัฐบาลและผู้ประกอบการการท่องเที่ยวไทยควรจะปรับตัวเพื่อดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวชาวจีน ในการท่องเที่ยวที่ใช้เทคโนโลยีในภูมิทัศน์ การเดินทางที่เป็นนวัตกรรมของจีนบริการไร้สัมผัสและการชำระเงินดิจิทัลกลายเป็นส่วนสำคัญของการท่องเที่ยวที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงของจีนนักท่องเที่ยวสามารถทางไปยังจุดสัมผัสต่างๆ เช่น การเช็คอิน การรักษาความปลอดภัย การรับประทานอาหาร และ การช้อปปิ้ง โดยมีการโต้ตอบทางกายภาพน้อยที่สุด รหัส QR ได้ทำการปฏิวัติวิธีการชำระเงินการทำธุรกรรมผ่านสมาร์ทโฟน และลดความจำเป็นในการใช้สกุลเงินหรือบัตร สอดคล้องกับการขับเคลื่อนสังคมไร้เงินสด ของประเทศ

“ เทรนด์การท่องเที่ยวจีนปี 2566 พบว่า 4 อันดับแรก ได้แก่ 1.ให้ความสนใจด้านสินค้าและบริการที่มีเอกลักษณ์และไม่เหมือนใคร 2.ให้ความสนใจด้านความสบายและการผ่อนคลาย 3.เรื่องความท้าทายและการค้นพบสิ่งใหม่ 4.ประสบการณ์ท้องถิ่นเชิงลึก นอกจากนี้นักท่องเที่ยวชาวจีนเริ่มมีความเชียวชาญด้านเทคโนโลยีมากขึ้นโดยมองหาประสบการณ์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ทัวร์เสมือนจริงการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมรดก และสุขภาพโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะแพลตฟอร์มอย่าง TikTok และ WeChat มีความสำคัญต่อการมีส่วนร่วมกับนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งไทยจะต้องปรับให้สอดรับกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจีนให้มากขึ้น”นายอัครกล่าว

พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และอดีตโฆษกกองบังคับตำรวจนครบาล กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยลดน้อยลงในช่วงที่ผ่านมาอาจมาจากสภาพเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว จำนวนไฟลต์บินราคาประหยัดในยุคหลังโควิดที่ลดน้อยลง ประกอบกับเหตุผลด้านความปลอดภัย จึงข้อเสนอแนะให้รัฐบาลเพิ่มมาตราการในการรักษาความปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในภูมิภาคต่างของประเทศ ทั้งที่โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้า สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ รวมทั้งอุบัติเหตุในการเดินทางสัญจร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาประเทศไทย

“ไทยต้องยกระดับมาตรความปลอดภัยภายในศูนย์การค้าและสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญทั่วประเทศ ตั้งกล้องวรจรปิด CCTV ให้ครอบคลุมทั่วพื้นที่และตรวจเช็คระบบให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพื่อติดและตรวจสอบการเข้าออกของบุคคลและยานพาหนะอย่างเข้มงวด รวมทั้งเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยด้วยการเพิ่มการฝึกอบรมในการระงับเหตุร้ายทุกรูปแบบอยู่เป็นประจำ เพื่อให้มีความพร้อมในการรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉินและสามารถเข้าช่วยเหลือลูกค้าและบุคลากรได้ทันเหตุการณ์ ติดตั้งแอปพลิเคชันที่รองรับได้หลายภาษาเพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถขอความช่วยเหลือจากตำรวจเวลา และระบบข้อความเตือนภัยเร่งด่วนไปยังโทรศัพท์มือถือเวลาเกิดเหตุการณ์ในพื้นที่ต่างๆในประเทศไทย” พล.ต.ท.ปิยะกล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2567

“พล.อ.ประวิตร” รับบุญใหญ่พิธีผูกพัทธสีมา ปิดทองฝังลูกนิมิต วัดประชานิมิต จ.บุรีรัมย์ ชาวบ้าน รอต้อนรับอบอุ่น เต็มวัด

,

“พล.อ.ประวิตร” รับบุญใหญ่พิธีผูกพัทธสีมา ปิดทองฝังลูกนิมิต วัดประชานิมิต จ.บุรีรัมย์ ชาวบ้าน รอต้อนรับอบอุ่น เต็มวัด

14 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 09.30 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินทางไปยังวัดประชานิมิต ต.ตาเป๊ก อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ เพื่อเป็นประธานพิธีผูกพัทธสีมา ปิดทองฝังลูกนิมิต โดยมีสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และชาวบ้านในพื้นที่ให้การต้อนรับ อย่างอบอุ่น คับคั่งเต็มพื้นที่บริเวณวัด

โดย พล.อ.ประวิตร ในฐานะประธานฝ่ายฆราวาส ได้จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย เพื่อร่วมพิธีทอดผ้าป่าลอยฟ้ามหากุศลสู่ดาวดึงส์ โดยประจำบนแท่นศิลาอาสน์ เพื่อยกฉัตรยอดบัวแก้วแปดกลีบ ประดิษฐานยอดโรงอุโบสถ มีพระสงฆ์ทรงสมณะศักดิ์เจริญชัยมงคลคาถา ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ยังได้ร่วมถวายผ้าป่าและเครื่องไทยทานแด่พระสงฆ์ โดยมีพระธรรมวชิรสุตาภรณ์ (สุพจน์ โชติญาโณ) เจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ ประธานสงฆ์ให้ศีลแก่ผู้ร่วมพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคล

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้ร่วมพิธีปิดทองและตัดหวายลูกนิมิต พร้อมถวายเครื่องไทยธรรม นอกจากนี้ ภายในพิธียังได้จัดให้มีพิธีอุปสมบทนาคเอกหมู่ ณ พระอุโบสถหลังใหม่ โดยมีพระสงฆ์นั่งหัตถบาล 20 รูป และอนุโมทนาคาถาด้วยพล.อ.ประวิตร ยังได้ทักทาย และกล่าวขอบคุณพี่น้องประชาชนและข้าราชการในพื้นที่ ที่มาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมอวยพรขอให้มีความสุข ในวันแห่งความรัก ในโอกาสนี้ด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2567

“พล.อ.ประวิตร” นำทีม พปชร.พร้อมใจใส่สีม่วงเทิดทูนสถาบัน สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์วัดเล่งเน่ยยี่ ขอพรตรุษจีนรับปีมังกรทอง

,

“พล.อ.ประวิตร” นำทีม พปชร.พร้อมใจใส่สีม่วงเทิดทูนสถาบัน สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์วัดเล่งเน่ยยี่ ขอพรตรุษจีนรับปีมังกรทอง

เมื่อเวลา 08.30น. วันที่ 15 ก.พ.67 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)พร้อมด้วย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค นางสาวตรีนุช เทียนทอง รองหัวหน้าพรรค พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ นายทะเบียนพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรค รวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พร้อมใจสวมเสื้อสีม่วง เพื่อแสดงจุดยืนในการปกป้องและถวายกำลังใจ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ลงพื้นที่เยาวราช โดยได้ร่วมกันสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ วัดมังกรกมลาวาศ (วัดเล่งเน่ยยี่) เนื่องในวันตรุษจีน รับปีมังกรทอง

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้ขอพรเทพเจ้าในจุดสำคัญตามประเพณี และเข้าพิธีถวายโคมประทีปแดง พร้อมจุดเทียนชัย ณ อุโบสถโดยมีพระครูมงคลรัตน์ (เสี่ยมุ่ย) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเล่งเน่ยยี่ และพระสงฆ์จีน 5 รูป ร่วมสวดมนต์เพื่อความเป็นศิริมงคลของทุกคนในพรรคให้สามารถทำงานรับใช้ประชาชนได้อย่างสัมฤทธิ์ผล ราบรื่นและให้มีความเจริญรุ่งเรือง

จากนั้นได้เดินทักทายประชาชน และพ่อค้าแม่ค้าอย่างเป็นกันเอง ตลอดสองข้างทาง บริเวณถนนเยาวราช ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส มีประชาชนเข้ามาขอถ่ายรูป และเซลฟี่เป็นระยะ โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น พร้อมกล่าวทักทายให้ประชาชนมีความสุข ทำมาค้าขึ้น ร่ำรวยกันทุกคน

“พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวว่า วันนี้มาขอพรเนื่องใน เทศกาลวันตรุษจีนและเป็นปีมังกรทอง ซึ่งได้ขอพรให้กับประชาชนและครอบครัวมีความสุข สุขภาพแข็งแรงสมปรารถนา กิจการรุ่งเรือง ขอให้เศรษฐกิจไทยเจริญเติบโตไปในทางที่ดีขึ้น ทุกคนมีความรักใคร่กลมเกลียว ก้าวข้ามความขัดแย้ง และขอให้สถาบันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของพี่น้องคนไทยตลอดไป“ซึ่งตนและพรรคพลังประชารัฐจะขอเทิดทูน พร้อมปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยความจงรักภักดี ให้อยู่คู่ประเทศไทยจนถึงที่สุด

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2567

“พัชรวาท” ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ค้นหาผู้สูญหายจากเรือล่ม พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ อำนวยความสะดวก – ดูแลความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยว

,

“พัชรวาท” ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ค้นหาผู้สูญหายจากเรือล่ม พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ อำนวยความสะดวก – ดูแลความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยว

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงกรณีที่เกิดอุบัติเรือท่องเที่ยวจมเนื่องจากคลื่นลมแรงในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ และอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา ว่า ได้กำชับเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้ร่วมบูรณาการการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวกับหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขอให้ช่วยอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ ให้กับนักท่องเที่ยวที่ประสบภัย ตลอดจนนักท่องเที่ยวเดินทางไปท่องเที่ยวตามจุดต่างๆ ให้ได้รับความสะดวกปลอดภัย รวมทั้งขอให้รับฟังข่าวสารการประกาศแจ้งเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยาเพื่อจะได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด จะได้ไม่เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน

“สำหรับการค้นหานักท่องเที่ยว 2 รายที่ยังสูญหายนั้น ก็ขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานและขอให้ปฏิบัติการสำเร็จพบตัวผู้สูญหายโดยเร็วและปลอดภัยทุกคน”

อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้พื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสานยอดดอย ถือเป็นช่วงไฮซีซั่นที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปสัมผัสอากาศหนาวกันเป็นจำนวนมาก ก็อยากขอให้เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ช่วยดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว ให้ได้ท่องเที่ยวกันอย่างมีความสุข รวมถึงเฝ้าระวังป้องกันไฟป่าในช่วงอากาศแห้งแล้งนี้ด้วย ทั้งนี้มีรายงานว่า เกิดปรากฎการณ์น้ำค้างแข็งหรือ “เหมยขาบ” บริเวณลานจอดรถหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ที่ อน.5 (ยอดดอย) ซึ่งนับเป็นการเกิดเหมยขาบครั้งที่ 6 ของฤดูกาลนี้ ขณะเดียวกันสภาพอากาศบริเวณยอด “ดอยอินทนนท์” มีอุณหภูมิต่ำสุด 6 องศาเซลเซียส ที่จุดชมวิว “กิ่วแม่ปาน” อุณหภูมิที่วัดต่ำสุด อยู่ที่ 5 องศาเซลเซียส ที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อุณภูมิต่ำสุดอยู่ที่ 7 องศาเซลเซียส ก็ขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยไปท่องเที่ยวสัมผัสอากาศหนาวเย็นในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในประเทศเราด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 ธันวาคม 2566

“พล.ต.อ.พัชรวาท”ลงพื้นที่สำรวจสัตว์ป่าอ.จอมบึง จ.ราชบุรี สส.พปชร ร่วมดึงปชช.อนุรักษ์ธรรมชาติ ไม่ซื้อ ไม่ล่า ไม่ค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย

,

“พล.ต.อ.พัชรวาท”ลงพื้นที่สำรวจสัตว์ป่าอ.จอมบึง จ.ราชบุรี
สส.พปชร ร่วมดึงปชช.อนุรักษ์ธรรมชาติ ไม่ซื้อ ไม่ล่า ไม่ค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย

24 ธค 2566 นายอรรถกร ศิริลัทยากร สส.ฉะเชิงเทรา เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) และผู้บริหารระกับสูงของกระทรวง ได้ร่วมเปิดงานงานวันคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ ประจำปี 2566ด้วยแนวคิด “Save wildlife for your life : รักษาธรรมชาติ ไม่ซื้อ ไม่ล่า ไม่ค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย” พื้นที่ ศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ 3 เขาประทับช้าง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี โดยมี นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา เขต2 นายจตุพร กมลพันธ์ทิพย์ เขต 3 นายชัยทิพย์ กมลพันธ์ทิพย์ เขต 5 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จ.ราชบุรี ทั้ง3 เขต ให้การต้อนรับ ทั้งนี้เพื่อร่วมกันทำงานกับหน่วยงานภาครัฐ ในการรณรงค์ให้ประชาชน ร่วมดูแลรักษาทรัพยากรทางธรรมชาติ ในพื้นที่ จ.ราชบุรี ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว เพราะนอกจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศ ยังเป็นพื้นที่มีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ จำเป็นอย่างยิ่งต่อการอนุรักษ์ พร้อมกับการรณรงค์และป้องปราบ ปราบปราม ผู้กระทำผิด เพื่อรักษาความสมดุลทางธรรมชาติไว้ เนื่องพันธ์สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ และ ความเป็นอยู่ของประชาชน

“ความสำเร็จในการอนุรักษ์สัตว์ป่า จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการดูแลและคุ้มครองถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า การป้องกันสัตว์ป่ามิให้ถูกล่าและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรณรงค์ให้หยุดการซื้อ-ขายสัตว์ป่าผิดกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้ พปชร.โดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เห็นความสำคัญมาโดยตลอด ต่อการสร้างระบบนิเวศที่ต้องให้เกิดความสมบูรณ์ เพื่อต่อยอดพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และแหล่งเศรษฐกิจสำคัญ“

นอกจากนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท ได้ขับเคลื่อนให้เป็นนโยบายเร่งด่วน ที่กระทรวงทรัพย์จะดำเนินการปราบปรามทั่วประเทศ โดยเฉพาะการลักลอบฆ่าสัตว์ป่า หรือสัตว์สงวนที่มีคุณค่าทางธรรมชาติ ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันดำเนินในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อร่วมการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติของไทยให้คงอยู่ และมีความยั่งยืน ขณะเดียวกันการที่ผืนป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ จะมีส่วนสำคัญต่อการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ที่จะมีส่วนช่วยลดโลกร้อน และจะเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของประเทศ มุ่งเป้าหมายไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธ์เป็นศูนย์ ตามเป้าหมายของไทย ที่กำหนดไว้ใน ปี 2593

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 ธันวาคม 2566