โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: สื่อออนไลน์

“พล.อ.ประวิตร”กดปุ่มพัฒนา2เส้นทางเพิ่มคุณภาพชีวิต ปชช. หนุนปลูกป่าชายเลนลดโลกร้อนสร้างความมั่นคงอาชีพ ประมง

“พล.อ.ประวิตร”กดปุ่มพัฒนา2เส้นทางเพิ่มคุณภาพชีวิต ปชช.หนุนปลูกป่าชายเลนลดโลกร้อนสร้างความมั่นคงอาชีพ ประมง

,

“พล.อ.ประวิตร” ลุยขับเคลื่อนโปรเจ็กต์เพิ่มคุณภาพชีวิตประชาชนให้เป็นรูปธรรม ผ่านการอนุมัติโครงสร้างพื้นฐาน 2 โครงการ ในพื้นที่กรุงเทพ และจ.สงขลา พร้อมยกระดับแผนปฏิบัติขยายพื้นที่ป่าชายเลน 3 แสนไร่ในระยะ 10 ปี แก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล เพิ่มความสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเล สร้างแหล่งเกษตรประมง เพื่อความกินดีอยู่ดี อย่างมั่นคง และยั่งยืน

(6 สิงหาคม 2565 )พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เปิดเผยว่า พรรคพลังประชารัฐ ได้ให้ความสำคัญในมิติการขับเคลื่อนนโยบายอย่างเร่งด่วนเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน ควบคู่ไปกับการดูแลด้านสิ่งแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้นในระยะยาว โดยได้มีการผลักดันให้เกิดการพัฒนาโครงการ ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ในฐานะคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ล่าสุดได้อนุมัติ 2 โครงการ โครงสร้างการเชื่อมต่อถนนพรานนก-พุทธมณฑลสาย 4 กับสะพานพระราม 8 ของสำนักการโยธา กทม. เพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัด รวมระยะทาง 3.5 ก.ม. และโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา ต.เกาะใหญ่ อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา-ต.จองถนน อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง ของกรมทางหลวงชนบท ที่ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ นำมาสู่การแก้ปัญหาจราจรให้กับประชาชนในพื้นที่ และยังเป็นขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจให้กับคนในท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นกลไกให้เกิดการขยายตัวด้านการท่องเที่ยว ที่มีส่วนสำคัญของการสร้างรายได้ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว

สำหรับการดูแลและฟื้นฟูในด้านสิ่งแวดล้อม โดยพปชร. ให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง และกระตุ้นให้ทุกฝ่าย เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง เพราะสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงที่มีแนวโน้มความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และสร้างผลกระทบต่อการดำรงชีวิต และยังรวมไปถึงการประกอบอาชีพของประชาชน ที่เป็นความเชื่อมโยงกันในเรื่องของฤดูกาล ก่อให้เกิดภัยพิบัติ ทั้งภัยแล้งและอุทกภัย ที่สร้างความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ดังนั้นได้ดำเนินนโยบายเพื่อการยกระดับการแก้ปัญหาป่าชายเลน ด้วยการรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนร่วมปลูกป่าชายเลน 3 แสนไร่ ในระยะเวลา 10 ปี ( ปี 66-74 ) เพื่อเพิ่มพื้นที่ ป่าอนุรักษ์ แก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ตามกฎกระทรวงที่กำหนด มุ่งเป้า 6 พื้นที่ ใน 23 จังหวัดชายฝั่ง มีเป้าหมายเพื่อลดการกัดเซาะชายฝั่งทะเล อีกทั้งยังสร้างแหล่งเพาะพันธ์สัตว์น้ำ เป็นการสร้างความมั่นคงอาชีพประมง และยกระดับให้เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของประเทศ

ขณะเดียวกันได้วางแผนเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพื่อประโยชน์การดูดซับคาร์บอน สู่ประเด็น การแบ่งปันผลประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต ระหว่าง ผู้พัฒนาโครงการ และ ทช. ในสัดส่วน 90 : 10 โดยเรื่องดังกล่าว ได้มอบหมายให้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ศึกษาแผนการแบ่ง ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครึ่งหนึ่ง เพื่อนำไปให้ชุมชนใช้ในกิจกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่ โดยมีระยะเวลา 10 ปี เป็นการสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรให้เกิดขึ้นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่มีการทำลายด้านสิ่งแวดล้อมเป็นการกระตุ้นให้เกิดการขยายผลให้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อการพัฒนาความเป็นอยู่ทั้งในด้านอาชีพ การสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 5 สิงหาคม 2565

“ดร.นฤมล”มองศก.ไทยไม่เสี่ยงเกิดต้มยำกุ้ง หนุนมาตการพลิกฟื้นเศรษฐกิจรับวิกฤติโลก

“ดร.นฤมล”มองศก.ไทยไม่เสี่ยงเกิดต้มยำกุ้ง หนุนมาตการพลิกฟื้นเศรษฐกิจรับวิกฤติโลก

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ได้โพสต์ Facebook ส่วนตัวแสดงความถึงกรณีเมื่อวาน(5ส.ค.) ธนาคารกลางอังกฤษ(BoE) ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ไปอยู่ที่ 1.75% เป็นการเพิ่มสูงสุดในรอบ 27 ปี เพื่อจัดการกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงถึง 9.4% และคาดว่าเดือนตุลาคมนี้ อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษจะไปแตะระดับสูงสุดที่ 13.3% แล้วจะค่อยๆลดลงสู่กรอบเงินเฟ้อ 2% ในเวลาอีก 3 ปีข้างหน้า

เมื่อหันกลับมาพิจารณาของไทยคงหนีไม่พ้นที่ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแน่ แต่จะขึ้นเท่าไร คงต้องรอผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการผลิต( กนง.) ในสัปดาห์หน้า เพราะล่าสุดวันนี้(5ส.ค.) กระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศอัตราเงินเฟ้อลดลงจากเดือนที่แล้วเล็กน้อยมาอยู่ที่ 7.61% ต่ำกว่าเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 8.0%

เมื่อดูตัวเลขแล้ว หลายคนถามมาว่า เศรษฐกิจโลกถดถอย เงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยขาขึ้น หลายประเทศสถานะทางการคลังย่ำแย่ ของไทยเราจะเกิดวิกฤติเหมือนปี 2540 อีกหรือไม่ ซึ่งในการบริหารความเสี่ยง เราต้องมองทั้งด้านบวกและด้านลบ

ด้านลบที่เป็นจุดเปราะบาง คือ หนี้ครัวเรือน ดอกเบี้ยขาขึ้น นำไปสู่ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นที่ฉุดรั้งกำลังซื้อในตลาด และเสี่ยงต่อการเกิดหนี้เสีย(NPL) ก็ได้เห็นความพยายามของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยเหลือให้ความรู้และแนะนำแนวทางป้องกันหนี้เสียให้ภาคครัวเรือนในระดับหนึ่งแล้ว
หันมาดูความแตกต่างที่เป็นด้านบวก ในสถานการณ์ปัจจุบันของไทยมีปัจจัยบวกสองจุดสำคัญ ที่จะไม่ทำให้ไทยเกิดวิกฤตแบบปี 2540 คือ

1. เงินบาทตอนช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งยังใช้ระบบ peg คือ ผูกกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแบบตายตัว แต่วันนี้ ค่าเงินบาทลอยตัวแบบมีการจัดการ (managed float) และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐตอนนั้นอ่อนค่ามาก แต่ปัจจุบันเงินดอลลาร์กลับแข็งค่า

2. สถาบันการเงินของไทยยังมีผลการดำเนินงานและสถานะการเงินที่เข้มแข็ง อัตราส่วนที่วัดค่าความเสี่ยงด้านต่างๆของธนาคารยังอยู่ในระดับที่ดีมาก ไม่ได้มีอาการที่จะเสี่ยงล้มเหมือนเช่นในอดีต

แต่ในครั้งนี้ สองจุดต่างที่ว่า หากรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าใจ และพิจารณา นำมากำหนดนโยบายการเงินการคลังที่เหมาะสม พร้อมกับวางนโยบายเศรษฐกิจเพื่อการฟื้นตัวในระยะยาวมากกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เราจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า เศรษฐกิจไทยคงไม่มีต้มยำกุ้ง แต่อาจจะเป็นต้มข่าไก่ ที่เศษฐกิจไทยอาจได้รับผลกระทบ

“ดร.นฤมล”มองศก.ไทยไม่เสี่ยงเกิดต้มยำกุ้ง หนุนมาตการพลิกฟื้นเศรษฐกิจรับวิกฤติโลก

ที่มา: ทีมข่าว พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 5 สิงหาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร” แจ้งข่าวดี!!! ชาวบ้านป่าแดด เดินหน้าสร้างอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้างเสร็จปี 69

,

“พล.อ.ประวิตร” แจ้งข่าวดี!!! ชาวบ้านป่าแดด เดินหน้าสร้างอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้างเสร็จปี 69

วันที่ 4 สิงหาคม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ถึงผู้นำชุมชนและประชาชนต.ป่าแดด จ.เชียงราย กว่า 300 คน ที่จะได้รับอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้าง เพื่อการอุปโภคบริโภค และประกอบอาชีพทางการเกษตร ซึ่งส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพชีวิต

ทั้งนี้รัฐบาลและพรรคพลังประชารัฐ ให้ความสําคัญในการพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ภัยน้ำท่วม และเพื่อสร้างอาชีพ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชนมาโดยตลอด และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อ่างเก็บน้ำแม่ตาช้างที่ประชาชนรอคอยมายาวนานถึง 30 ปีนั้น จึงได้มอบหมายให้คณะทำงานมีการติดตาม และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในรูปแบบบูรณาการเพื่อให้เกิดร่วมมือกันขับเคลื่อนโครงการให้เกิดผลสำเร็จโดยเร็ว

“วันนี้ ผมยินดีที่จะแจ้งให้ทุกคนได้ทราบว่า โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้างแห่งนี้ผ่านความเห็นชอบจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว ทั้งจากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม, กรมป่าไม้ และกรมอุทธยาน ขั้นตอนต่อไป ภายในปี 65 นี้ กรมชลประทานจะเร่งดำเนินการขออนุมัติเปิดโครงการ เร่งทำการสำรวจพื้นที่เพื่อจ่ายค่าชดเชย และในปี 66 จะสามารถเริ่มทำการก่อสร้างได้ โดยใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี ในปี 69 ประชาชน จะมี “อ่างเก็บน้ำแม่ตาช้าง” เป็นแหล่งน้ำต้นทุนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ที่ทุกคนจะได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน”

ทั้งนี้มั่นว่า อ่างเก็บน้ำแม่ตาช้าง จะช่วยให้คนตําบลป่าแดด และพื้นที่ใกล้เคียง มีน้ำเพียงพอเพื่อการอุปโภคบริโภค และเพื่อประกอบอาชีพ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ที่มั่นคงยั่งยืนให้กับคนลุ่มน้ำลาวตอนกลาง-ตอนล่าง และคนตำบลป่าแดดอย่างแน่นอน ผมขอยืนยันว่าหากพี่น้องประชาชนยังมีปัญหา อุปสรรคอื่นๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ ผมยินดีให้การช่วยเหลือและแก้ไขบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเต็มที่ รัฐบาลและต้วผมเอง มุ่งหวังให้ พี่น้องประชาชนอยู่ดีกินดี มีความสุข ดังนั้น หากทุกข์ร้อนอะไรขอให้บอกทีมงานของผมได้ทุกคนครับ” พล.อ.ประวิตร กล่าว

ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 5 สิงหาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร” เดินหน้าปลูกป่าชายเลน 3 แสนไร่ ดึงชุมชน 23 จังหวัด ขับเคลื่อนหนุนคาร์บอนเครดิต

,

“พล.อ.ประวิตร” เดินหน้าปลูกป่าชายเลน 3 แสนไร่ ดึงชุมชน 23 จังหวัด ขับเคลื่อนหนุนคาร์บอนเครดิต

วันที่ 4 กรกฎาคม 2565 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม คณะกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 2/65 ได้มีการเร่งรัดขับเคลื่อน ยกระดับการแก้ปัญหาการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยพิจารณาเห็นชอบการออกกฎกระทรวง กำหนดพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ในพื้นที่ จ. ตรัง และ จ.พังงา มีสาระสำคัญ เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์และกำหนดมาตรการคุ้มครอง พันธุ์ไม้ สัตว์ป่า พันธ์พืชหายาก โดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาการกัดเซาชายฝั่งทะเล รวมทั้งเห็นชอบการจัดทำแผนที่
ข้อมูลวิชาการของระบบกลุ่มหาดประเทศไทย ปี 65 – 67 นำร่องรวม 11 กลุ่มหาด เพื่อประกอบการตัดสินใจแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง

ทั้งนี้ได้ขอให้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้ความสำคัญ กับการสร้างความเข้าใจและดึงชุมชนชายฝั่งทะเล เข้ามามีส่วนร่วมปลูกป่าชายเลนร่วมกันในทุกขั้นตอน และต้องให้ชุมชนได้รับประโยชน์ไปพร้อมกันอย่างแท้จริง ทั้งการสร้างงาน สร้างรายได้และการจ้างงานในพื้นที่ โดยเฉพาะให้ดึงสถาบันการศึกษาในพื้นที่ ร่วมให้ความรู้กับเด็กและเยาวชน รวมท้ังชุมชนไปพร้อมกัน เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรในพื้นที่แบบมีส่วนร่วมที่มุ่งความยั่งยืน

พล.อ.ประวิตร’ ยังได้ย้ำถึงการใช้ประโยชน์ทางทะเล ก็ต้องมีการคืนประโยชน์ให้ทะเลไปพร้อมกัน ซึ่งต้องเร่งอนุรักษ์และฟื้นฟูคู่ขนานกัน โดยยังมีงานสำคัญ ที่ต้องช่วยกันเร่งรัดดำเนินการให้บรรลุผลสำเร็จในหลายเรื่อง โดยเฉพาะ การประกาศพื้นที่คุ้มครองทางทะเลและชายฝั่ง การแก้ปัญหาขยะทะเลในฐานะผู้นำกลุ่มอาเซียน และการขับเคลื่อนการดำเนินการภายใต้ทศวรรษแห่งมหาสมุทร ที่ประเทศไทยได้รับการคัดเลือกเป็นที่ตั้ง สำนักงานประสานทศวรรษแห่งมหาสมุทร ซึ่งขอให้ ทส.เร่งรัดผลักดันให้มีความชัดเจน และเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้รับทราบถึงความคืบหน้าในโครงการปลูกป่าชายเลน เพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต ในประเด็น การแบ่งปันผลประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต ระหว่าง ผู้พัฒนาโครงการ และ ทช. ในสัดส่วน 90 : 10 โดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) จะแบ่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครึ่งหนึ่ง เพื่อนำไปให้ชุมชนใช้ในกิจกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่ โดยมีระยะเวลา 10 ปี ( 66 – 74 ) ในพื้นที่ 23 จว. เนื้อที่ 300,000 ไร่ มุ่งเป้า 6 พื้นที่ โดยเป็นพื้นที่พร้อมปลูกที่ผ่าน การดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ทำนากุ้ง ทำสวนปาล์ม พื้นที่เลนงอก พื้นที่ปรับปรุงสภาพป่าชายเลน รวมท้ังพื้นที่ป่าที่ชุมชนร่วมดูแล

ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 4 สิงหาคม 2565

“รมว.ตรีนุช” ร่วมมือรัฐ-เอกชนหนุนเพิ่มศักยภาพอาชีวศึกษา ดันสู่ยุทธศาสตร์ประเทศเร่งพัฒนากำลังคนป้อนตลาดแรงงาน

,

“รมว.ตรีนุช” ร่วมมือรัฐ-เอกชนหนุนเพิ่มศักยภาพอาชีวศึกษา
ดันสู่ยุทธศาสตร์ประเทศเร่งพัฒนากำลังคนป้อนตลาดแรงงาน

วันนี้ (3 สิงหาคม 2565) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ กรุงเทพฯ นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานเปิดการประชุมคณะอนุกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (อ.กรอ.อศ.) เพื่อสนับสนุนการจัดการอาชีวศึกษา และขับเคลื่อนศูนย์บริหารเครือข่ายการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (CVM) พร้อมมอบโล่ขอบคุณการสนับสนุนการจัดการอาชีวศึกษาให้แก่ อ.กรอ.อศ. 39 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยมีผู้แทนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ, สภาหอการค้าไทย, ผู้บริหารสถานประกอบการ และผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน เข้าร่วมประชุม

ในฐานะประธาน อ.กรอ.อศ. ชื่นชมและขอบคุณผู้ประกอบการ ทั้ง 39 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ร่วมกันนำนโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญและกำหนดให้อาชีวศึกษาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของประเทศ เพื่อมุ่งพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะสูง ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน และภาคเอกชนถือเป็นพลังหลักสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาตนได้มอบนโยบายให้ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวะทั้งของรัฐและภาคเอกชนทุกแห่ง ขยายความร่วมมือในการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบทวิภาคี กับทางภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายให้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจใหม่ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัล โดยมีเป้าหมายต้องการให้นักเรียนเข้าสู่ระบบการเรียนการสอนในระบบทวิภาคีไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 จากปัจจุบันที่จัดอยู่ประมาณ 15 %

“ การสนับสนุนจากภาคเอกชนที่ต่อเนื่องมาหลายปี ได้ปรากฎผลเกิดสิ่งดีๆ ที่เป็นความสำเร็จต่อระบบเศรษฐกิจไทยในหลายอุตสาหกรรม จึงขอความร่วมมือจากภาคเอกชนสนับสนุนด้านอาชีวศึกษาอย่างเข้มข้น และแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ดิฉันมารับฟังข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน เพื่อนำมาปรับปรุง พัฒนา และต่อยอดความร่วมมือการจัดการอาชีวศึกษาให้ก้าวล้ำทันสมัย ได้บุคลาการมืออาชีพที่ตรงกับความต้องการ ที่ปัจจุบันยังมีช่องว่างกฎ ระเบียบต่างๆอยู่ ซึ่งการหารือในวันนี้จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอุปสรรคได้ตรงตามเป้าหมาย และปลดล็อกในประเด็นต่างๆ ต่อไป ” นางสาวตรีนุช กล่าว

รมว.ศธ.กล่าวต่อไปว่า ข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน ในวันนี้ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และดิจิทัลคอนเทนต์ ได้เสนอให้มีการจัดการเรียนการสอนระบบทวิภาคีที่ยืดหยุ่น มีหลักสูตรที่ยืดหยุ่นให้ผู้เรียนอาชีวศึกษาสามารถเรียนจบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ภายใน 4 ปี โดยที่วิชาการและกิจกรรมไม่ลดลง ซึ่งเด็กจะมีอายุ 18 ปี สามารถทำงานในสถานประกอบการได้ ซึ่งขณะนี้เมื่อเด็กเรียนจบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) จะมีอายุ 17 ปี ซึ่งไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากอายุไม่ถึงติดกฎหมายแรงงาน เป็นต้น

ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 4 สิงหาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร” ไฟเขียวเห็นชอบ 2 โครงการแก้ปัญหาจราจร เดินหน้าพัฒนาพื้นที่สีเขียวเพิ่มคุณภาพชีวิตประชาชนทุกมิติ

,

“พล.อ.ประวิตร”ไฟเขียวเห็นชอบ2โครงการแก้ปัญหาจราจร
เดินหน้าพัฒนาพื้นที่สีเขียวเพิ่มคุณภาพชีวิตประชาชนทุกมิติ

“พล.อ.ประวิตร” ถกบอร์ดสิ่งแวดล้อม ไฟเขียวอีไอเอโครงการต่อเชื่อมถนนพรานนก-พุทธมณฑลสาย 4 กับสะพานพระราม 8 แก้ปัญหาจราจร-โครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา ส่งเสริมเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว

วันที่ 3 สิงหาคม 2565 ที่ พล.อ.ประวิตร เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ 3/2565 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อพิจารณา ด้านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) จำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วย
1. โครงการต่อเชื่อม ถนนพรานนก-พุทธมณฑลสาย 4 กับสะพานพระราม 8 ของสำนักการโยธา กทม. เพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัด รวมระยะทาง 3.5 ก.ม.
2. โครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา ต.เกาะใหญ่ อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา-ต.จองถนน อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง ของกรมทางหลวงชนบท เพื่อเพิ่มช่องทางความสะดวกในการสัญจร
ข้ามทะเลสาบสงขลา รวมระยะทาง 7 ก.ม. รองรับการส่งเสริมเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวในพื้นที่

นอกจากนั้นที่ประชุมยังได้เห็นชอบ นโยบายการบริหารงานที่สำคัญ คือ (ร่าง) แนวทางปฎิบัติงานเพื่อขับเคลื่อนการจัดการ “พื้นที่สีเขียว” อย่างยั่งยืน ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570)
ซึ่งประกอบด้วย 4 แนวทาง ได้แก่
1. ให้ทุกภาคส่วนมีจิตสำนึกและหน้าที่ในการจัดการพื้นที่สีเขียว
2. ให้เมืองมีความมั่นคงทางอาหาร สามารถรองรับภัยพิบัติและมีฐานทรัพยากร เพื่อเอื้อต่อการดำรงชีวิตของประชาชน
3. มีเครื่องมือ กลไกเพื่อเอื้อต่อการเพิ่มและการจัดการพื้นที่สีเขียว
4. ให้ตระหนักในภูมิปัญญาท้องถิ่นและส่งเสริมนวัตกรรม เพื่อสร้างพลังทางสังคม

รวมทั้งเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการจัดการ “ขยะ” ของประเทศ ฉบับที่ 2
(พ.ศ. 2565-2570) ประกอบด้วย 3มาตรการ ได้แก่
1. การจัดการขยะที่ต้นทาง
2. การเพิ่มประสิทธิภาพระบบกำจัดขยะ
และ 3. การพัฒนาเครื่องมือ การบริหารจัดการขยะ

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กำชับให้กระทรวงทรัพย์ฯ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เร่งติดตามโครงการที่ยังดำเนินการล่าช้าและกำกับขับเคลื่อนโครงการที่ผ่านความเห็นชอบแล้ว ให้เป็นไปตามมาตรการฯในรายงาน EIA อย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมของประเทศ และเพื่อส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิต และสุขอนามัยของประชาชนอย่างทั่วถึงและยั่งยืน พร้อมทั้งต้องสร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้ทราบเพื่อให้การดำเนินงานมีความเข้าใจและเกิดประโยชน์ร่วมกันต่อไป


ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 3 สิงหาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”ลงนครพนมสกัดเส้นทางค้ายาเสพติด มอบสิทธิ์ที่ดินทำกินสร้างรายได้ยั่งยืนให้ปชช.

“พล.อ.ประวิตร”ลงนครพนม สกัดเส้นทางค้ายาเสพติด มอบสิทธิ์ที่ดินทำกิน

,

เมื่อ 1 ส.ค.65 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ได้ลงพื้นที่ไปปฏิบัติราชการในพื้นที่ จ.นครพนม พร้อมด้วยพล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี และคณะผู้บริหารเพื่อติดตามการป้องกันและปราบปรามการแก้ปัญหายาเสพติดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเป็นประธานมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชน ตามนโยบายรัฐบาล(คทช.) โดยมีนาย ชาญชัย คงทัน รอง ผวจ.นครพนม ได้บรรยายสรุปสถานการณ์ด้านการป้องกันและแนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพติด จ.นครพนม ร่วมกับจังหวัดอื่นๆรวม 7จังหวัด ตามแนวชายแดนในพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งจากนโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กำหนดให้การแก้ปัญหายาเสพติด เป็นวาระแห่งชาติ

ที่ผ่านมาจากการจับกุม และกดดันผู้ค้ายาเสพติด จากเจ้าหน้าที่ พื้นที่ภาคเหนือมีมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา การลำเลียงลักลอบยาเสพติด มีแนวโน้มมาทางภาคอีสานในเส้นทางต่างๆ มากขึ้น ดังนั้น จ.นครพนมจึงได้กำหนดแผนปฎิบัติการ ชื่อว่า”ยุทธการฟ้าสางที่ฝั่งโขง” เพื่อบูรณาการหน่วยงานด้านความมั่นคง ทั้งทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองให้มีแนวทางไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ แม้ในห้วงที่ผ่านมา จะมีการจับกุมยาเสพติดได้มากขึ้น แต่ก็ยังมีช่องทางการลักลอบ จากประเทศเพื่อนบ้าน เข้ามาในประเทศไทย หลากหลายวิธี เช่นกัน

พล.อ.ประวิตร ได้มอบนโยบาย โดยกำหนดมาตรการรับมือป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยอาศัยความร่วมมือร่วมใจ จากทุกภาคส่วน ของจังหวัด ซึ่งจ.นครพนมเป็นพื้นที่ที่ประสบผลสำเร็จ อย่างน่าพอใจในการปราบปราม และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่จังหวัดอื่นๆได้ด้วย โดยได้มอบนโยบายให้กับ จังหวัด ,อำเภอ ,ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่ติดชายแดนภาคอีสาน โดยเน้นย้ำ และกำชับให้ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ทุกระดับ ทำความเข้าใจประมวลกฎหมายยาเสพติด อย่างจริงจัง และเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้อง ทุ่มเท เสียสละ และซื่อสัตย์สุจริต ไม่รับผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น หากฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษ อย่างเด็ดขาด พร้อมยินดีรับฟังหากมีข้อมูลหรือเบาะแส ยาเสพติดจากแหล่งต่างๆรวมทั้งฝ่ายการเมืองในพื้นที่ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาต่อไป

สำหรับมาตรการป้องกันจะต้องสร้างการตระหนักรู้ให้คนไทย ประชาคมโลกเห็นถึงผลร้าย และโทษของยาเสพติด ส่วนมาตรการบำบัดรักษาจะต้องนำผู้เสพ และผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา ฟื้นฟู ตามประมวลกฏหมายยาเสพติด พร้อมทั้งให้ผู้ผ่านการบำบัด ฟื้นฟู มีการอบรม ทักษะ ความรู้ในอาชีพโดยกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตรฯ กล่าวย้ำว่า ผู้ติดยาเสพติด คือ ผู้ป่วย ที่ต้องได้รับการดูแล บำบัดรักษา และฟื้นฟู ให้กลับคืนสู่สังคม อย่างดีที่สุด

นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร ได้เป็นประธานมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ให้กับ รอง ผวจ. นครพนม จำนวน 3แห่ง และมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชน ให้กับผู้แทนประชาชน จำนวน 5คน โดยมีตัวแทนกลุ่มประชาชนได้กล่าวขอบคุณ พล.อ.ประวิตร และรัฐบาลที่ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของประชาชน ซึ่งตนและชาวบ้านเคยได้รับความเดือดร้อนในการดำรงชีพ ที่มีความเหลื่อมล้ำ และเพิ่งจะได้รับสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย จากรัฐบาลปัจจุบันในวันนี้ ซึ่งในภาพรวม จ.นครพนม มีเนื้อที่เป้าหมายจัดที่ทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 6พื้นที่ เนื้อที่รวม 106,907-2-33 ไร่ ดำเนินการอนุมัติแล้ว 4พื้นที่ เนื้อที่ 55,185-3-31ไร่ มีจำนวนผู้ได้รับสิทธิ์แล้ว 4,684 ราย

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้ที่ทำกินในชุมชน พร้อมกำชับ คณะอนุกรรมการนโยบายที่ดิน จ.นครพนม ,องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ไฟฟ้า ประปา และเส้นทางคมนาคม พร้อมเร่งดำเนินการส่งเสริมอาชีพ รวมถึงการเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ โดยใช้แนวทางสหกรณ์ จากนั้นได้พบปะพี่น้องประชาชนที่มาให้การต้อนรับเป็นจำนวนมาก พร้อมอวยพรขอให้ประชาชนปลอดภัยจากโควิด-19 และมีความอยู่ดีกินดี มีความสุขกันทุกคน“พล.อ.ประวิตร”ลงนครพนมสกัดเส้นทางค้ายาเสพติด มอบสิทธิ์ที่ดินทำกินสร้างรายได้ยั่งยืนให้ปชช. “พล.อ.ประวิตร”ลงนครพนมสกัดเส้นทางค้ายาเสพติด มอบสิทธิ์ที่ดินทำกินสร้างรายได้ยั่งยืนให้ปชช. “พล.อ.ประวิตร”ลงนครพนมสกัดเส้นทางค้ายาเสพติด มอบสิทธิ์ที่ดินทำกินสร้างรายได้ยั่งยืนให้ปชช. “พล.อ.ประวิตร”ลงนครพนมสกัดเส้นทางค้ายาเสพติด มอบสิทธิ์ที่ดินทำกินสร้างรายได้ยั่งยืนให้ปชช. “พล.อ.ประวิตร”ลงนครพนมสกัดเส้นทางค้ายาเสพติด มอบสิทธิ์ที่ดินทำกินสร้างรายได้ยั่งยืนให้ปชช.

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 สิงหาคม 2565

“รมว.สุชาติ” ขับเคลื่อนส่งออกซอฟต์พาวเวอร์มวยไทย ยกระดับมาตรฐานครูผู้สอนสร้างรายได้เข้าประเทศ

,

“รมว.สุชาติ” ขับเคลื่อนส่งออกซอฟต์พาวเวอร์มวยไทย ยกระดับมาตรฐานครูผู้สอนสร้างรายได้เข้าประเทศ

เร่งเดินมาตรฐานผู้สอนมวยไทย สร้าง ซอฟต์ พาวเวอร์ป้อนตลาดโลก !!! นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้มอบหมายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) เดินหน้าทำมาตรฐานฝีมือแรงงานสาขาผู้ฝึกสอนมวยไทย เพื่อใช้เป็นหลักฐานการันตี ในการประกอบอาชีพ และผลักดันให้เกิดการยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ

“หลังจากที่ได้เดินทางไปที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้พบปะเจ้าของค่ายมวย ที่เปิดสอนทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่สนใจฝึกศิลปะมวยไทย ซึ่งผู้ครูผู้สอนจะต้องมีทั้งความรู้และทักษะฝีมือ และเป็นอาชีพที่น่าสนใจ เพราะรายได้สูง ขณะที่ประเทศไทยมีสมาคมที่เกี่ยวข้องด้านมวยไทย ให้ความสำคัญและต้องการรักษามาตรฐานมวยไทยด้วย

ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาเอกลักษณ์มวยไทยให้มีมาตรฐาน จึงจำเป็นต้องกำหนดคุณสมบัติที่จำเป็นของผู้ฝึกสอนมวยไทย โดยมีผู้ประกอบอาชีพ และผู้เกี่ยวข้องกับมวยไทย มาร่วมเป็นคณะทำงานเพื่อกำหนดมาตรฐาน เพื่อให้มวยไทย เป็นซอฟต์ พาวเวอร์ (Soft Power) สู่เวทีโลก และพัฒนามวยไทยให้สามารถสร้างรายได้ให้กับคนไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อไป”

ศิลปะมวยไทยนับเป็นอัตลักษณ์ ที่ต่างชาติให้การยอมรับทั่วโลกที่สามารถสร้างรายได้ สร้างความกินดีอยู่ดีให้กับคนไทย มุ่งไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ภายใต้การขับเคลื่อนมวยไทยสู่เวทีแข่งขันระดับโลกของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพปชร.

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 สิงหาคม 2565

“ตรีนุช”กำชับผอ.วิทยาลัยอาชีวะรัฐ-เอกชน สอนเด็กทำอาชีพได้จริง ยิงให้ถูกเป้า

,

“ตรีนุช”กำชับผอ.วิทยาลัยอาชีวะรัฐ-เอกชน สอนเด็กทำอาชีพได้จริง ยิงให้ถูกเป้า

วันนี้ ( 1 สิงหาคม 2565 )ที่วิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวตอนหนึ่งในการประชุมสัมมนาผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ทั้งรัฐและเอกชน จำนวน 1,300 คนเพื่อติดตามผลการดำเนินงานและยกระดับคุณภาพการจัดการอาชีวศึกษาทุกมิติโดยใช้พื้นที่เป็นฐาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการอาชีวศึกษา เพราะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จึงขอให้สอศ. เน้นการพัฒนาให้เด็กสามารถประกอบอาชีพได้จริง และตอบโจทย์ภาคธุรกิจได้ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโลกในศตวรรษที่ 21 ประกอบกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่ามา ส่งผลกระทบต่อผู้เรียน หลักสูตร และแนวทางการเรียนการสอน ซึ่งทุกท่านในฐานะผู้บริหารจะต้องมีการปรับตัว และปรับรูปแบบการวิธีการบริหารจัดการ ให้มีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และวันนี้เรื่องหลักสูตร อาชีพ ระบบการเรียนรู้ ก็ต้องปรับให้สอดคล้องกับผู้เรียนและเศรษฐกิจ ซึ่งวิธีการที่จะขับเคลื่อนให้เร็วที่สุดคือการจัดการศึกษระบบทวิภาคี ที่สถานศึกษาร่วมกับสถานประกอบการ ในการให้เด็กและครูได้ฝึกปฏิบัติในสถานประกอบการซึ่งมีเครื่อมือและอุปกรณ์ที่พร้อมกว่าสถานศึกษา

“วันนี้ขอให้ผู้บริหารโฟกัสเรื่องระบบทวิภาคีให้มากขึ้น จากที่มีการดำเนินการอยู่แล้ว โดยให้แต่ละสถานศึกษากำหนดตัวชี้วัดหรือ KPI ให้ชัดเจน และสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ และมีเครือข่ายการทำงานร่วมกับภาคเอกชน และสถานประกอบ รวมถึงต้องพัฒนาครูให้สามารถเข้าไปเรียนรู้ในสถานประกอบการ และเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นตัวสนับสนุนเรื่องการเรียนแบบทวิภาคีเพิ่มมากขึ้นได้” รมว.ศึกษาธิการกล่าวและว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณการปรับอัตราเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัวสำหรับผู้เรียนการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในลักษณะงบฯผูกพันต่อเนื่อง 4 ปี ตั้งแต่ปี 2566-2569 ให้แก่นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.)ทั้งรัฐและเอกชน ซึ่งตนขอให้ผู้บริหารสถานศึกษาพิจารณาการใช้จ่ายเงินในหมวดค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และค่าจัดการเรียนการสอนให้คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลโดยตรงกับผู้เรียนให้มากที่สุด

น.ส.ตรีนุช กล่าวด้วยว่า สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้เด็กจำนวนหนึ่งหลุดออกจากระบบการศึกษา ศธ.จึงได้มีโครงการตามน้องกลับมาเรียน โดยในส่วนของ สอศ. ก็มีโครงการอาชีวะอยู่ประจำ เรียนฟรี มีอาชีพ ซึ่งในปีการศึกษา 2565 ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมีเด็กเข้าโครงการ 5,000 คน ทราบว่าขณะนี้มีเด็กกลับมาเรียน 4,000 กว่าคนแล้ว ต้องขอขอบคุณผู้บริหารที่ช่วยเหลือกัน และให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม จากการลงพื้นที่ตนเป็นห่วงจำนวนผู้เรียนให้หลายวิทยาลัยลดลง โดยเฉพาะในภาคการเกษตร ที่เด็กของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีในหลายพื้นที่น้อยลง ซึ่งตนได้หารือกับผู้บริหารส่วนกลางว่าในภาคการเกษตรขอให้เน้นเรื่อง Smart Farming มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อให้เด็กเห็นว่าการเกษตรสมัยใหม่ไม่ได้ไปตรากตรำเหมือนในอดีต ให้ผลผลิตมากใช้เงินน้อย ต้นทุนต่ำ และยังได้สร้างเครือข่ายวิทยาลัยเกษตรฯอื่น ที่มีการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ด้วย

นอกจากนี้ขอให้ผู้บริหารสถานศึกษาทุกท่านปักหมุดเรื่องสถานศึกษาปลอดภัย ซึ่งถึงเป็นไฮไลท์สำคัญที่ตนตั้งใจตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่ง เพราะต้องการดูแลนักเรียน นักศึกษาที่เสมือนลูกหลานของเรา ในการดูแลด้านความปลอดภัย และร่วมมือกันลดความเสี่ยงของการเกิดเหตุทะเลาะวิวาทของนักเรียน ต้องมีมาตรการให้ผู้ปกครองมั่นใจว่าสามารถดูแลลูกหลานของเค้าได้ เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของนักเรียนอาชีวะ.

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 สิงหาคม 2565

สร้างแหล่งน้ำตามความต้องการประชาชนทั่วประเทศ แก้ปัญหาภัยแล้ง

,

สร้างแหล่งน้ำตามความต้องการประชาชนทั่วประเทศ แก้ปัญหาภัยแล้งบรรเทาผลกระทบจากอุทกภัย ตลอด 2 ปี!!!

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี สร้างความมั่นคงทรัพยากรน้ำ ตามแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี รวม 26,902 แห่ง พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ยกระดับคุณภาพชีวิตเพื่อกินดีอยู่ดีที่ยั่งยืน

#พรรคพลังประชารัฐ
#พลังประชารัฐ
#พปชร
#pprp
#แผนบริหารจัดการน้ำ
#พลเอกประวิตร

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 30 กรกฎาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”โชว์แผนงานบริหารจัดการน้ำปี’63-64 เพิ่มแหล่งน้ำกว่า2.6หมื่นแห่ง

,

“พล.อ.ประวิตร”โชว์แผนงานบริหารจัดการน้ำปี’63-64 เพิ่มแหล่งน้ำกว่า2.6หมื่นแห่งดูแลปชช3.4ล้านครัวเรือน

พล.อ.ประวิตร โชว์ผลงานจัดการน้ำ 2 ปี เพิ่มแหล่งน้ำ 26,902 แห่ง ปชช.ได้ประโยชน์ 3.4 ล้านครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่ 7.5 ล้านไร่ มุ่งแก้ปัญหาภัยแล้ง ป้องกันอุทกภัย ส่งเสริมอาชีพเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มความกินดีอยู่ดีให้กับประชาชน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ได้ขับเคลื่อนการดำเนินภารกิจด้านทรัพยากรน้ำ ภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ที่เชื่อมโยงกับแผนแม่บทลุ่มน้ำ แผนจังหวัดและแผนชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มาอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งการบริหารจัดการน้ำของชุมชน ซึ่งพบว่าตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบัน สามารถเพิ่มประสิทธิภาพประปาหมู่บ้านได้ถึง 4,973 แห่ง พัฒนาแหล่งน้ำผิวดินสามารถเก็บกักน้ำได้เพิ่มขึ้น 1,189 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) พัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรได้ปริมาณน้ำ 149 ล้าน ลบ.ม. ดำเนินการก่อสร้างระบบป้องกันอุทกภัย มีพื้นที่ที่ได้รับการป้องกัน 32,005 ไร่ ประชาชนได้รับการป้องกัน 27,364 ครัวเรือน สร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชน 14 แห่ง และอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าต้นน้ำได้ถึง 156,070 ไร่ ขณะที่การปฏิบัติการฝนหลวงเติมน้ำให้แหล่งน้ำได้ 314 ล้าน ลบ.ม. (ปี 64 – ปัจจุบัน)

ทั้งนี้ การขับเคลื่อนของรัฐบาล และนโยบายของ พปชร. ได้ร่วมผลักดันการดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ และพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก เพราะสามารถบรรเทาผลกระทบจากภัยแล้งและน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง โดยในช่วงปี 2563-2564 ได้ดำเนินการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก ระบบกระจายน้ำเพื่อสนับสนุนน้ำอุปโภค-บริโภค รวมถึงการเกษตร ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศรวมทั้งสิ้น 26,902 แห่ง เป็นการขับเคลื่อนนโยบายการแก้ปัญหาผลกระทบที่เกิดจากการขาดแคลนแหล่งน้ำที่เพียงพอการส่งเสริมอาชีพการเกษตร ซึ่งเป็นเศรษฐกิจฐานรากของคนส่วนใหญ่ ให้สามารถเพิ่มรายได้ที่ยั่งยืน ผ่านกลไกการบริหารราชการรวมถึง การบูรณาการหน่วยงานเกี่ยวข้อง ทั้งส.ส. พรรคพลังประชารัฐ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ. ) และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ผู้นำท้องถิ่น ร่วมกันแก้ไขปัญหาให้ตรงกับความต้องการของภาคประชาชนได้อย่างแท้จริง

ปัจจุบันโครงการ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จทั้งหมด สามารถเก็บกักน้ำฝนใช้ประโยชน์ช่วงฤดูแล้งได้ 738.3 ล้าน ลบ.ม. ครอบคลุมพื้นที่ 7.5 ล้านไร่ ประชาชนได้รับประโยชน์กว่า 3.4 ล้านครัวเรือน แบ่งเป็น ภาคเหนือ 6,120 แห่ง ภาคกลาง 4,694 แห่ง ภาคตะวันออก 1,469 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 11,978 แห่ง และภาคใต้ 2,641 แห่ง ขณะเดียวกันยังเกิดการจ้างแรงงานถึง 184,000 ราย ซึ่งเป็นการพัฒนาแหล่งน้ำที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนสร้างอาชีพได้อย่างมั่นคง ขณะเดียวกันยังได้ให้ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐลงพื้นที่สำรวจปัญหา และความเดือดร้อนของประชาชนอย่างต่อเนื่อง

พล.อ.ประวิตรพัฒนาด้านน้ำ

ที่มา: สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
วันที่: 29 กรกฎาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”เดินหน้าผลักดัน “มวยไทยสู่เวทีโอลิปิกส์”ส่งเสริมเอกลักษณ์ไทยสู่สากล

พล.อ.ประวิตร ผลักดัน “มวยไทยสู่เวทีโอลิมปิก” ส่งเสริมเอกลักษณ์ไทยสู่สากล !!!

,

พล.อ.ประวิตร ผลักดัน “มวยไทยสู่เวทีโอลิมปิก” ส่งเสริมเอกลักษณ์ไทยสู่สากล !!!

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนกีฬามวยไทยสู่โอลิมปิก เห็นชอบการขับเคลื่อนกีฬามวยไทยสู่โอลิมปิกในราชอาณาจักร โดยการนำกีฬามวยไทยเข้าสู่การสอนในสถานศึกษาของรัฐ ทั้งในระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา ภายใต้ชื่อโครงการ”มวยไทยในสถานศึกษาพัฒนาเยาวชนไทย”

ทั้งนี้จะดำเนินการเป็น 3 ขั้นตอนที่ประกอบด้วย

  • ขั้นที่ 1 โครงการนำร่อง
  • ขั้นที่ 2 การเข้าสู่สถานศึกษาเต็มรูปแบบ
  • ขั้นที่ 3 การต่อยอดสู่ความเป็นเลิศด้านกีฬา

นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการยังมีการขอใช้ชื่อกีฬา “มวยไทย”ในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ โดยการผลักดันกีฬามวยไทยเข้าสู่การแข่งขันเอเชียนเกมส์ และการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ ต่อไป โดยในช่วงที่ผ่านมา คณะอนุกรรมการได้มีการดำเนินการขับเคลื่อนกีฬามวยไทยสู่โอลิมปิกมาอย่างต่อเนื่อง ใน 5 กิจกรรมที่สำคัญ ประกอบด้วย

  1. รายการแข่งขันชิงแชมป์เปี้ยนโลกมวยไทย รายการ IFMA World Championships & Festival 2021
  2. การเข้าร่วมสังเกตการณ์ในการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 47 “ศรีสะเกษเกมส์”
  3. การเยี่ยมชมสถานที่เก็บตัวฝึกซ้อม นักกีฬามวยไทย และติดตามการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ณ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
  4. การเข้าร่วมสังเกตการณ์การแข่งขันกีฬามวยไทย รายการ IFMA MUAYTHAI WORLD CHAMPIONSHIP, ABU DHABI, UAE ณ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรต
  5. การเสริมสร้างความเข้าใจในการขับเคลื่อนกีฬามวยไทยสู่โอลิมปิกกับองค์กรที่เกี่ยวข้อง

“ได้มีการกำชับ ขอให้ผู้เกี่ยวข้องช่วยกันผลักดันให้กีฬามวยไทยมีความก้าวหน้า ย้ำ กกท.และสมาคมฯใช้วิทยาศาสตร์การกีฬา เพิ่มศักยภาพนักกีฬา อย่างจริงจัง และให้สามารถบรรจุเข้าแข่งขันในระดับนานาชาติและระดับโอลิมปิกให้ได้ตามเป้าหมาย พร้อมทั้งให้”มวยไทย”เป็นกีฬาของชาติไทย และของคนไทย ตลอดไป”

“พล.อ.ประวิตร”เดินหน้าผลักดัน “มวยไทยสู่เวทีโอลิปิกส์”ส่งเสริมเอกลักษณ์ไทยสู่สากล“พล.อ.ประวิตร”เดินหน้าผลักดัน “มวยไทยสู่เวทีโอลิปิกส์”ส่งเสริมเอกลักษณ์ไทยสู่สากล“พล.อ.ประวิตร”เดินหน้าผลักดัน “มวยไทยสู่เวทีโอลิปิกส์”ส่งเสริมเอกลักษณ์ไทยสู่สากล

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 กรกฎาคม 2565