โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: สื่อออนไลน์

“พล.อ.ประวิตร” เปิดตัว”อุตตม-สนธิรัตน์-พลเอกวิชญ์ “ร่วมงาน พปชร. ระดมขุนพลแก้ปัญหาดูแล ปชช.ทุกพื้นที่ ตั้งเป้า ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 150 ที่นั่ง

, ,

“พล.อ.ประวิตร” เปิดตัว”อุตตม-สนธิรัตน์-พลเอกวิชญ์ “ร่วมงาน พปชร.
ระดมขุนพลแก้ปัญหาดูแล ปชช.ทุกพื้นที่ ตั้งเป้า ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 150 ที่นั่ง

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2566 เวลา 15.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค พลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และเลขาธิการพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค ร่วมกันแถลงข่าวต้อนรับและเปิดตัว ดร.อุตตม สาวนายน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และพลเอกวิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ในโอกาสการเข้ามาร่วมงานกับพรรค พปชร.

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า วันนี้เป็นวันที่น่ายินดีที่พรรค พปชร. ได้ต้อนรับ 2 หัวหน้าพรรคการเมืองอย่าง พรรครวมแผ่นดิน และพรรคสร้างอนาคตไทย รวมถึงเลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย ถือเป็นเกียรติให้กับพรรค พปชร. เป็นอย่างยิ่ง ตนเป็นคนพูดไม่เก่ง แต่เป็นคนฟังเก่ง และฟังรู้เรื่องด้วย อยากจะฝากบอกกับทุกคนว่า ภาพลักษณ์ของเราวันนี้เป็นพรรคที่เราสามารถร่วมงานกันกับทุกฝ่ายก้าวข้ามความขัดแย้ง โดยทั้งสามท่านก็จะเข้ามาช่วยพรรคพลังประชารัฐในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ เพื่อจะให้พรรคมีความเข้มแข็ง เราต้องขอขอบคุณทุกคนที่มาให้กำลังใจในวันนี้ด้วย

“พลังประชารัฐได้บุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ และมีคุณภาพ โดยท่านอุตตมและท่านสนธิรัตน์ จะมาดูแลทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง ส่วนพลเอกวิชญ์ ก็จะช่วยงานทั้งพรรค โดยจะไม่มีการแต่งตั้งใครเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เพราะภายในพรรคพลังประชารัฐมีงานให้ทำเยอะ และเศรษฐกิจมีหลายด้าน หลายมิติ ที่จะทำให้ประชาชนผู้ยากไร้ ผู้มีรายได้น้อย และขจัดความเหลื่อมล้ำต่างๆ คุณภาพชีวิตคนไทยจะต้องดีขึ้น ถ้าพรรคพลังประชารัฐได้รับความไว้วางใจจากประชาชน” พล.อ.ประวิตร กล่าว

ด้านนายอุตตม กล่าวว่า ตนต้องขอขอบพระคุณ พล.อ.ประวิตร ที่ได้เชิญชวนพวกตนมาทำงานด้วยกันในเวลาที่ประเทศชาติต้องการการเดินหน้า ตนเคยทำงานการเมืองมาสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การสร้างความปองดอง โดยท่านพล.อ.ประวิตร ได้แสดงอุดมการณ์ที่ชัดเจนว่าต้องการรวบรวมทุกคนจากหลาย ๆ ฝ่ายมาทำงานด้วยกัน ตนและเพื่อนๆก็ถือว่าได้รับเกียรติอย่างยิ่งจากทุกคนในพรรค พปชร. ที่ได้เข้ามาร่วมงานกันเพื่อบ้านเมืองในขณะนี้

“ผมก็ถือว่าเป็นสมาชิกเก่าในบ้านพรรค พปชร. ที่เคยร่วมสร้างพรรคมา ซึ่งมีนโยบายที่สำคัญต่างๆเช่นบัตรประชารัฐ ที่เราเคยร่วมกันคิดและผลักดัน วันนี้ผมเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราได้เคยมาทำครั้งหนึ่ง และเราก็จะได้เข้ามาทำต่อ เพื่อที่จะทำให้งานสมบูรณ์ที่สุด พล.อ.ประวิตร ได้ประกาศชัดเจนแล้วว่า ท่านจะขับเคลื่อนนโยบายของประชารัฐ ซึ่งพวกผมก็ยินดีที่จะมาทำงานร่วมกับผู้ที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน เพราะวันนี้การเมืองก้าวข้ามความขัดแย้งได้แล้ว โดยผมขอยืนยันว่าการเข้าร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐในครั้งนี้ ไม่ได้มีการดิวในเรื่องของตำแหน่งภายหลังการเลือกตั้งอย่างแน่นอน”

ด้านนายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ขอขอบคุณพล.อ.ประวิตร วันนี้เหมือนได้กลับบ้านเก่า ทุกคนรู้จัก คุ้นเคยร่วมทำงานด้วยกันมา ตนยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้กลับมาร่วมงานกับพล.อ.ประวิตร และผู้บริหารพรรค รวมถึงสมาชิกพรรคอีกครั้งหนึ่ง ตนคิดว่าการกลับมาของพวกตน คือหนึ่งในสัญลักษณ์ที่ประเทศไทยต้องการ วันนี้การเมืองอ่อนแอ เราต้องกลับมาทำให้เกิดความเข้มแข็งในสถาบันทางการเมือง ที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาของประเทศให้ได้

“ช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยถือว่า อยู่ในช่วงวิกฤติจากปัจจัยรอบด้านทั้งเรื่องโควิด และปัญหาพลังงาน ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งนี้ ถือว่าสอดรับกับนโยบายของพล.อ.ประวิตร ที่จะระดมทุกคนเข้ามาช่วยระดมความคิด เพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชนและประเทศชาติ”

ด้านพลเอกวิชญ์ กล่าวว่า ตนอยู่กับพล.อ.ประวิตร มายาวนานกว่า 40 ปี พล.อ.ประวิตร ถือว่าเป็นผู้นำที่มีความเด่นชัดมากที่สุดในการเมืองวันนี้ การที่ พปชร.มี พล.อ.ประวิตร เป็นหัวหน้าพรรค จะนำพาเราไปสู่จุดมุ่งหมาย และความเป็นหนึ่งเดียวของประเทศไทยที่จะไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นอีก ตนขอขอบพระคุณพล.อ.ประวิตร ที่ได้เชิญชวนตนเข้ามาร่วมงาน และตนยินดีอย่างยิ่งที่จะทำให้พรรคเดินไปข้างหน้า และเราจะเป็นรัฐบาลด้วย

ด้านนายสันติ กล่าวว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคตั้งเป้าจะได้ ส.ส.เข้าไปเป็นตัวแทนประชาชนไม่น้อยกว่า 150 ที่นั่ง วันนี้พรรคมีทั้งผู้อาวุโสและคนรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจจะเข้ามาพัฒนาบ้านเมืองให้พี่น้องคนไทยกินดีอยู่ดี มีงานทำ โดยจะมีอีกหลายท่านที่จะเข้ามาร่วมอุดมการณ์กับเราด้วย โดยเราจะร่วมใจกันพัฒนาประเทศ เพื่อให้ประชาชนมีความสุข และเราจะก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหาและ เราจะพัฒนาทุกพื้นที่โดยไม่แบ่งแยก เราจะไม่มีทางทิ้งพี่น้องประชาชนในชนบททุกๆ พื้นที่ ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร มีความตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะดูแลพี่น้องประชาชน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 30 มกราคม 2566

“รมว.ชัยวุฒิ” นำทีมว่าทีผู้สมัครปทุมฯลงพื้นที่ชุมชนสมาร์ทฟาร์มิ่ง โชว์ความสำเร็จนโยบายส่งเสริมเทคโนโลยีภาคการเกษตรยุคใหม่

,

“รมว.ชัยวุฒิ” นำทีมว่าทีผู้สมัครปทุมฯลงพื้นที่ชุมชนสมาร์ทฟาร์มิ่ง
โชว์ความสำเร็จนโยบายส่งเสริมเทคโนโลยีภาคการเกษตรยุคใหม่

28 มกราคม 2566 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) ลงพื้นที่ปิ่นฟ้าฟาร์ม จังหวัดปทุมธานี ร่วมกับว่าที่ผู้สมัครส.ส.จังหวัดปทุมธานีพรรคพลังประชารัฐ ประกอบไปด้วย นายเสวก ประเสริฐสุข ว่าที่ผู้สมัคร เขต 1 นายนพดล ลัดดาแย้ม ว่าที่ผู้สมัคร เขต 2 นายยุทธวัฒน์ หาญเกียรติกล้า ว่าที่ผู้สมัคร เขต 3 นายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง ว่าที่ผู้สมัคร เขต 4 นายปรีชา ชื่นชนกพิบูล ว่าที่ผู้สมัคร เขต 5 นายวิรัช พยุงวงษ์ ว่าที่ผู้สมัคร เขต 6 และ นางสาวกฤษณา วงศ์คำ ว่าที่ผู้สมัคร เขต 7

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ปิ่นฟ้าฟาร์ม เป็นโครงการสมาร์ทฟาร์มที่สนับสนุนโดย สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลหรือดีป้าของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นโครงการที่ให้เงินสนับสนุนส่วนหนึ่งร่วมกับวิสาหกิจชุมชนหรือกลุ่มเกษตรกร เป็นเรื่องที่การทำสมาร์ทฟาร์ม นําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการทําการเกษตร ซึ่งที่นี้มีความพร้อมเรื่องโดรนถือว่าในพื้นที่เกษตร ทํานาจะต้องใช้การฉีดปุ๋ย ฉีดสารเคมีต่าง ๆ ซึ่งจะใช้โดรนบินฉีดพ่นยา พบว่ามีประสิทธิภาพ ประหยัดค่าใช้จ่าย ได้ดีมาก ซึ่งทางกระทรวงดีอีเอสก็ส่งเสริมโครงการโดรนที่จะให้เกษตรกรส่งเสริมให้ใช้ เรียกว่าโครงการคนละครึ่ง ก็คือเกษตรกรออกเงินมาครึ่งหนึ่ง ทางกระทรวงดีอีเอสก็จะมีเงินจากกองทุนดีอีให้มาอีกครึ่งหนึ่ง เพื่อให้ประชากรได้ซื้อในราคาที่ลดครึ่งหนึ่ง จะได้เอาไปใช้พัฒนาการทําการเกษตรให้ทันสมัยมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนปิ่นฟ้าฟาร์มนี้เป็นฟาร์มต้นแบบของจังหวัดปทุมธานี ก็อยากจะเชิญชวนทุกคนมาเที่ยว มาศึกษาดูงานที่ปิ่นฟ้าฟาร์ม ต้นแบบของสมาร์ทฟาร์ม เป็นการทําการเกษตรเชิงท่องเที่ยวด้วย ที่ผมว่าทุกคนมาก็จะประทับใจ

ส่วนวันนี้มาลงพื้นที่จังหวัดปทุมธานี เป็นพื้นที่ที่ทางพรรคพลังประชารัฐมุ่งหวังที่จะได้ ส.ส.ทุกเขต แล้วก็ส่งผู้สมัครส.ส.ครบทุกเขต เชื่อว่าทีมปทุมธานีที่เราลงเลือกตั้งส.ส.เป็นคนที่มีความพร้อม เป็นทั้งนักการเมืองท้องถิ่น นักวิชาการต้องผสมผสานกัน ซึ่งเราเชื่อว่า ผู้สมัครทุกคนของเราจะสามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งได้ โดยเฉพาะหัวหน้าทีมหรือพี่ใหญ่ก็เป็นอดีตรองนายก อบจ. ก็มีทีม ส.จ. มาช่วย ซึ่งผมคิดว่า ทีมนี้ก็จะทําให้การเมืองท้องถิ่นเข้มแข็งเข้ามาช่วยกัน แล้วก็มีกลุ่มคนต่างต่างทุกภาคส่วนทุกกลุ่ม แล้วก็ก้าวข้ามความขัดแย้งไม่มีว่า แบ่งสี แบ่งเสื้อ แบ่งฝ่ายนะ เราคนไทยด้วยกัน คนปทุมธานีด้วยกันมาช่วยกันพัฒนาจังหวัดปทุมธานีด้วยกัน

ด้าน นายเสวก ประเสริฐสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า การเข้าร่วมกับพปชร. ได้นับการต้อนรับที่ดีจากนายชัยวุฒิ รองหัวหน้าพรรค เพราะมีพรรคพลังประชารัฐ มีสิ่งดีๆ และมีความอบอุ่นเป็นกันเอง เลยอาสาดูแลพื้นที่ปทุมธานี เพราะมีประสบการทางการเมืองมากว่า 20 ปี และมีเพื่อนที่ร่วมทำงานการเมืองเป็นจำนวนมาก และหลายคนเป็นนายก ที่สนิทสนมและที่สำคัญนายกใหญ่คนนี้จะทําให้พี่น้องประชาชนจังหวัดปทุมธานีรักสามัคคีกันแล้วก็เจริญได้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 มกราคม 2566

“ส.ส.จองชัย” วอนรัฐเร่งแก้ไขปัญหาออกโฉนดที่ดินชาวชลบุรี เพื่อสร้างหลักประกันให้ปชช.หลังแจ้งดำเนินการหลายครั้ง

,

“ส.ส.จองชัย” วอนรัฐเร่งแก้ไขปัญหาออกโฉนดที่ดินชาวชลบุรี เพื่อสร้างหลักประกันให้ปชช.หลังแจ้งดำเนินการหลายครั้ง

ร้อยเอกจองชัย วงศ์ทรายทอง ส.ส. ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรถึงกระทรวงมหาดไทย และอธิบดีกรมที่ดิน ถึงปัญหาการออกโฉนดที่ดินน้ำ ในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเล อำเภอเมืองจังหวัดชลบุรี ซึ่งประชาชนอาศัยกันมาหลายช่วงอายุคน โดยช่วยเร่งพิจารณาหาข้อสรุปให้พี่น้องประชาชนด้วย เพราะโฉนดที่ดิน เพื่อเป็นหลักประกัน และความมั่นคงในชีวิต

นอกจากนี้ ยังขอให้กรมประมงได้ทำการเยียวยาพี่น้องประมงพื้นบ้าน ที่ได้รับผลกระทบจากการออกมาตรการ RUU ของรัฐ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะมากน้อยอย่างไร ก็ขอให้ดำเนินการให้เขาได้มีกำลังใจบ้าง ตนเคยพูดผ่านสภาไปหลายครั้งแล้ว ขอให้ทุกท่านเห็นใจพี่น้องประมงพื้นบ้าน เพราะตนเป็นลูกหลานชาวประมงเข้าใจความทุกข์ร้อนดี

ร้อยเอกจองชัย ยังขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมถึง อบจ.ชลบุรี และเทศบาลเมืองชลบุรีประสานงานทำงบประมาณร่วมกัน เพื่อปรับปรุงสนามฟุตบอลเทศบาลที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ให้กลับมายิ่งใหญ่สวยงาม สร้างรายได้กับจังหวัด เพราะจะเป็นทั้ง landmark แหล่งท่องเที่ยว สถานที่จัดการแข่งขัน และออกกำลังกาย ให้สมกับคำว่า เมืองชลคนกีฬา

ทั้งนี้ ยังขอให้รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม ช่วยอนุมัติโครงการดังต่อไปนี้อย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาจราจรปัญหาจุดกลับรถบ้านเก่าพานทอง โดยขอให้ทำสะพานต่างระดับข้ามทางรถไฟ และขยายผิวจราจรบริเวณทางรถไฟครับปัญหาจราจร 4 เลน รวมถึงขอให้สร้างสะพานต่างระดับ หรืออุโมงค์ลอดข้ามแยก และทำการขยายช่องทางการจราจรให้กว้างขึ้น

#พรรคพลังประชารัฐ #พลังประชารัฐ #พปชร #PPRP #จองชัยวงศ์ทรายทอง
Twitter : https://twitter.com/PPRPofficial

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 มกราคม 2566

“ส.ส.วลัยพร” แนะหน่วยงานรัฐเร่งวางแผนดูแลผู้สูงอายุทั่วหน้า บริหารกำลังคนเข้าดูแลคุณภาพชีวิตมากกว่าการแจกเงินสวัสดิการ

,

“ส.ส.วลัยพร” แนะหน่วยงานรัฐเร่งวางแผนดูแลผู้สูงอายุทั่วหน้า บริหารกำลังคนเข้าดูแลคุณภาพชีวิตมากกว่าการแจกเงินสวัสดิการ

นางวลัยพร รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้หารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ ว่าควรให้ความสำคัญมากขึ้น นอกเหนือจากการจัดสรรสวัสดิการรายเดือน เป็นตัวเงินเท่านั้น เนื่องจากเงินสามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ผู้สูงอายุยังมีปัญหาในเรื่องของการเข้าไม่ถึงความจำเป็นขั้นพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านที่อยู่อาศัย ด้านความปลอดภัย และด้านการดูแลด้านสุขภาพ

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการใช้ชีวิตในสังคมและความรู้สึกภูมิใจนั้น ตนเองได้มีส่วนร่วมและเป็นส่วนหนึ่งในการยกเข้าสนับสนุนเพื่อยกระดับคุณภาพ โดยร่วมพัฒนาสังคม ประเทศไปด้วยกันได้ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ ควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายเฉพาะอย่างชัดเจนในทุกพื้นที่ ทุกหมู่บ้าน จำนวนคนประเภทผู้สูงอายุ เพื่อการวางแผนกำลังคน และกำลังของประเทศ ซึ่งการเก็บข้อมูลจะมีความสำคัญ เพื่อนำมาออกแบบการบริหารจัดการกลุ่มผู้สูงอายุได้อย่างหลากหลายและครบถ้วนมากยิ่งขึ้น

“เรื่องของการหารายได้ให้กับผู้สูงอายุ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมผู้สูงอายุ ไม่ต้องรอให้มีการลงทะเบียน แต่สามารถใช้ช่องทางผ่าน อสม.หรือ อปพร.ได้เลย ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของมิติต่างๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลผู้สูงอายุ จะช่วยยกระดับ ทำให้ผู้สูงอายุมีความสุขมากยิ่งขึ้น เราอยากเห็นผู้สูงอายุยิ้มได้ และมีความสุขอย่างยั่งยืน อันนี้เป็นสิ่งที่จำเป็น

#พรรคพลังประชารัฐ #พลังประชารัฐ #พปชร #PPRP #วลัยพรรัตนเศรษฐ
Twitter : https://twitter.com/PPRPofficial

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 มกราคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” ชื่นชมผลงาน นักกีฬาไทยสร้างชื่อให้ประเทศ ผลักดันศักยภาพกีฬาไทยต่อเนื่อง พร้อมเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ – พาราเกมส์

,

“พล.อ.ประวิตร” ชื่นชมผลงาน นักกีฬาไทยสร้างชื่อให้ประเทศ ผลักดันศักยภาพกีฬาไทยต่อเนื่อง พร้อมเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ – พาราเกมส์

25 ม.ค.66, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1/2566 ณ ห้องประชุม มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5จังหวัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่ประชุมได้รับทราบ ผลการดำเนินงานที่สำคัญของ การกีฬาแห่งประเทศไทย(กกท.) ประจำปี66 ไตรมาสที่ 1 ตามตัวชี้วัด รายการบริหารจัดการกีฬาเพื่อความเป็นเลิศ โดยประเทศไทยประสบความสำเร็จในการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ มีเป้าหมายอันดับ1 (กีฬาสากล) จากการแข่งขันกีฬาซีเกมส์และอาเซียนพาราเกมส์ รายการบริหารจัดการกีฬาอาชีพและกีฬามวยนักกีฬาสามารถยึดเป็นอาชีพได้เพิ่มขึ้น มีเป้าหมายเพิ่มขึ้น ร้อยละ 5ต่อปี และการบริหารกีฬา เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจมีเป้าหมายเพิ่มขึ้น ร้อยละ 5ต่อปี

พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบ การจัดสรรเงินอุดหนุนให้กีฬาจังหวัด ประจำปี 66 เพื่อส่งเสริมการพัฒนากีฬาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมทั้งเห็นชอบให้เสนอแผนโครงการจำนวน 33 โครงการ เพื่อขอรับการสนับสนุนงบจากกองทุนพัฒนาการกีฬาฯ ปี66 รวมทั้งเห็นชอบ ตามที่ กกท.เสนอให้ กทม.,จ.ชลบุรี และ จ.สงขลา เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 (9-20 ธ.ค.68) และให้ จ.นครราชสีมา เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกม ครั้งที่ 13 (20-26 ม.ค.69) ก่อนเสนอ ครม.ทราบต่อไป

ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร ยังได้กล่าวชื่นชม กกท.และสมาคมกีฬาหลายประเภท ที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย และทำให้คนไทยมีความสุขในช่วงที่ผ่านมา จากผลการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ อาทิ สมาคมฟุตบอลฯ แบดมินตัน และอื่นๆ เป็นต้น และขอให้นักกีฬาทุกประเภท มีความมุ่งมั่น ตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อการแข่งขันในรายการระดับสากล ต่อไป พร้อมกำชับให้จังหวัดที่จะได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์และพาราเกมส์ ต้องเตรียมการให้มีความพร้อมอย่างดีที่สุด เพื่อให้มีมาตรฐาน และรักษาชื่อเสียงของประเทศไทย รวมถึงการจัดการแข่งขันอื่นๆ เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ด้วย


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 มกราคม 2566

“รมว. ตรีนุช” ยกเลิกระเบียบศธ.ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน

,

“รมว. ตรีนุช” ยกเลิกระเบียบศธ.ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน

นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่มีเสียงเรียกร้องให้มีการแก้ไขปรับปรุงระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 มาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญการลงโทษเรื่องทรงผมได้ส่งผลถึงร่างกายและจิตใจของนักเรียน ศธ.จึงได้มีหนังสือหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรณีแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียน ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8) ได้ให้ความเห็นว่า รมว.ศธ.ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดอาจอาศัยอำนาจตามมาตรา 12 ประกอบกับมาตรา 39 (1) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 กำหนดเป็นนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดนำไปปฏิบัติได้ ดังนั้น เมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมาตนจึงได้ลงนามในระเบียบศธ.ว่าด้วยการยกเลิกระเบียบ ศธ.ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 และเสนอสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วออกเป็นหนังสือสั่งการหรือหนังสือเวียน กำหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนหรือนักศึกษาไว้อย่างกว้างๆ เพื่อให้หน่วยงานในสังกัดที่เป็นผู้กำกับดูแลสถานศึกษา กำหนดให้สถานศึกษาแต่ละแห่งนำหลักเกณฑ์ในเรื่องดังกล่าวไปกำหนดเป็นระเบียบหรือข้อบังคับของสถานศึกษาแต่ละแห่งเอง

รมว.ศธ.กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ ศธ.ได้ยกร่างแนวนโยบายเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนของสถานศึกษา ไว้ดังนี้ 1.การไว้ทรงผมของนักเรียนของสถานศึกษาในสังกัด ศธ. และสถานศึกษาในกำกับดูแลของ ศธ. จะไว้ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้ โดยสถานศึกษาอาจกำหนดลักษณะทรงผมได้ตามพันธกิจ บริบท และความเหมาะสมของแต่ละสถานศึกษา และ 2. สถานศึกษาในสังกัด ศธ.และสถานศึกษาในกำกับดูแลของ ศธ.อาจดำเนินการกำหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับไว้ทรงผมของนักเรียนได้ โดยการวางระเบียบหรือข้อบังคับของสถานศึกษาและควรระบุบทอาศัยอำนาจของกฎหมายเฉพาะมาตรา 39 (1) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 , จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตามหลักการมีส่วนร่วม เช่น นักเรียน คณะกรรมการสภานักเรียน คณะกรรมการเครือข่ายผู้ปกครอง หรือ ผู้แทนผู้ปกครอง ชุมชนท้องถิ่น บุคคลหรือกลุ่มบุคคลอื่นใดที่หัวหน้าสถานศึกษาเห็นสมควร เป็นต้น และเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษา หรือ คณะกรรมการบริหารโรงเรียนแล้วแต่กรณี ก่อนการประกาศใช้ และควรเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนไว้ในระบบสารสนเทศ หรือบริเวณของสถานศึกษา และดำเนินการแจ้งให้นักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดสถานศึกษาทราบเป็นการทั่วไป เพื่อให้การปฏิบัติตนของนักเรียนมีความถูกต้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเกิดความชัดเจนในการดำเนินการของสถานศึกษา

“ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีข้อต้องปฏิบัติตนเกี่ยวกับการไว้ทรงผม ว่า นักเรียนชายจะไว้ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้ กรณีไว้ผมยาวด้านข้าง ด้านหลังต้องยาว ไม่เลยตีนผม ด้านหน้าและกลางศีรษะให้เป็นไปตามความเหมาะสมและมีความเรียบร้อย นักเรียนหญิงจะไว้ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้ กรณีไว้ผมยาวให้เป็นไปตามความเหมาะสมและรวบให้เรียบร้อย และมีข้อต้องห้ามปฏิบัติตน ดังนี้ ดัดผม ย้อมสีผมให้ผิดไปจากเดิม ไว้หนวดหรือเครา การกระทำอื่นใดซึ่งไม่เหมาะสมกับสภาพการเป็นนักเรียน เช่น การตัดแต่งทรงผมเป็นรูปทรงสัญลักษณ์หรือเป็นลวดลาย แต่ต่อไปหลังจากมีการประกาศยกเลิกในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เรื่องการไว้ทรงผมของนักเรียนทั้งหมดจะอยู่ที่สถานศึกษา ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่ได้มาจากการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย” นางสาวตรีนุช กล่าว.

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 มกราคม 2566

“พล.อ.ประวิตร”นำทีมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครชุดใหญ่ 71 คนล็อคพื้นที่กทม.- ตจว. ประกาศใช้พื้นที่ป้อมปราบศัตรูพ่ายชื่อมงคลปักหมุดปราศรัยใหญ่ในกทม.

,

“พล.อ.ประวิตร”นำทีมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครชุดใหญ่ 71 คนล็อคพื้นที่กทม.- ตจว.
ประกาศใช้พื้นที่ป้อมปราบศัตรูพ่ายชื่อมงคลปักหมุดปราศรัยใหญ่ในกทม.

วันที่ 24 มกราคม 2566 เวลา 16.30 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำทีมคณะผู้บริหารพรรค ประกอบด้วย นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค และนายสกลธี ภัททิยกุล ในฐานะหัวหน้าทีมกทม. ที่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคอย่างเป็นทางการ พร้อมร่วมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครทั้งหมด 71 คน ทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ณ ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า จากช่วงที่ผ่านมาได้เปิดไปแล้ว 350 คน และจะทยอยเปิดให้ต่อเนื่องให้ครบทุกเขตเลือกตั้ง คาดว่าจะส่งให้ครบ 400 คน ทุกจังหวัด และย้ำให้ว่าที่ผู้สมัครทั้งหมดเร่งลงพื้นที่พบปะประชาชน ให้ได้มากที่สุด ทุกคนได้ผ่านการฝึกอบรมและรู้แล้วว่าจะดำเนินการอย่างไรในการลงพื้นที่ และนำนโยบายของพรรคไปหาเสียง โดยให้อยู่ภายใต้กฎหมายการเลือกตั้งอย่างเคร่งครัด ตามกรอบของคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.)

“ ทุกคนต้องทำงานอย่างหนักทาง ชนอกจากความหวังอยู่ที่ผู้สมัครทุกคนที่ต้องลงพื้นที่และเอานโยบายของพรรคไปหาเสียงตามที่ กกต. กำหนด และต้องระมัดระวังเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมาย ต้องยึดมั่นในกฎหมาย ฝากทุกคนเพื่อเป็นความหวัง และขอให้ทุกคนจะประสบความสำเร็จด้วยดี

พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวย้ำ ขอให้ผู้สมัครลงพื้นที่ให้ครบทุกหลังคาเรือน อย่าฝากความหวังไว้ที่หัวคะแนนเพียงอย่างเดียว โดยเน้นให้พบกับประชาชนด้วยตัวเอง เพื่อสร้างกำลังใจให้กับตัวผู้สมัคร ที่จะเดินหาเสียงเลือกตั้งที่จะมาถึง ด้วยความมุ่งมั่น และอดทน ซึ่งนโยบายของพรรค ฝากให้ว่าที่ผู้สมัครทุกคนดำเนินการตามที่ได้ประกาศไว้กับประชาชนโดย พปชร.จะก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่

ด้านนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค พปชร. กล่าวเสริมว่า พล.อ.ประวิตรพร้อมที่จะไปปราศรัยเป็นที่แรกในกทม. พื้นที่เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ในเร็วๆนี้ ซึ่งได้มีการหารือกับหัวหน้าทีมกทม. เพื่อประกาศว่า พปชร. พร้อมแล้วที่จะรับใช้คนกทม. เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สำหรับ การเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครในครั้งนี้ รวมทั้งสิ้น 71 คน พื้นที่กทม. จำนวน 28 คน 1. นายธิชดล สกุล 2. ดร.ภูมิพิชัย ธารดำรง 3.น.ส.ชญาภา ปรีดาพากย์ 4. ร.อ.รชฎ พิสิษฐบรรณกร 5.นายพณิชย์ วิทยาภัทร์ 6.นายสฤษดิ์ ไพรทอง7.นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ 8.นายปราโมทย์ เพ็ชรฤทธิ์ 9.น.ส.น้ำฝน ไพรทอง 10.ภ.ญ.นพวรรณ หัวใจมั่น 11.นางนฤมล รัตนาภิบาล 12.นายรังสรรค์ กียปัจจ์ 13.นายกานต์ กิตติอำพน 14.น.ส.ณิรินทร์ เงินยวง 15.นายกิตติภูมิ นีละไพจิตร์ 16. ดร.คมสัน พันธุ์วิชาติกุล 17.นายศิริพงษ์ รัสมี 18.นายพีระพงษ์ รัสมี 19.นางนาถยา แดงบุหงา 20.นายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ 21.นายศันสนะ สุริยะโยธิน 22.นายสุวัฒน์ ม่วงศิริ 23.นายรพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธา 24.นาวาตรีนิธิ บุญยรัตกลิน 25.พ.ต.ท.วันชัย ฟักเอี้ยง 26.ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช 27.ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ 28.นายเอกชัย ผ่องจิตร์

พื้นที่ภาคเหนือ รวม 7 คน จ.แพร่ 29.นางสาวอาทิตยา อินนะไชย 30.นายสุรสิทธิ์ เพชรปิตุพงษ์
31.นางปอรวัลย์ มุดเจริญ จ.ตาก 32.นายชิงชัย ก่อประภากิจ จ.พิษณุโลก 33. นายเอกพงษ์ กุลเจริญ จ.นครสวรรค์
34.นายธนรัชต์ วิเชียรรัตน์ 35.นายนัยศาลิน ถนอมมิตรวัฒนา

พื้นที่ภาคกลาง รวม 7 คน จ.นครปฐม 36. นายศิรวริศ สวนแก้ว 37. นายณัฐวัฒน์ ชั้นอินทร์งาม
38. นายมนตรี บุญประคอง จ. กาญจนบุรี 39.นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ 40.นายชูเกียรติ จีนาภักดิ์ 41.พล.ต.ต.กมลสันติ กลั่นบุศย์ 42.นางศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์

พื้นที่ภาคใต้ รวม 1 คน จ. นครศรีธรรมราช 43.ดร.นพ.พิชาญศักดิ์ บุญมาศ พื้นที่ภาคตะวันออก (รวม 5 คน)
ระยอง 44. นายพายัพ ผ่องใส จ. ฉะเชิงเทรา 45.ดร.รัฐสภา นพเกตุ 46.พล.ต.ท.พิทักษ์ จารุสมบัติ
จ. ชลบุรี 47.นายเพิ่มพงศ์ วงศ์ทรายทอง จ.ปราจีนบุรี 48. นายเกียรติกร พากเพียรศิลป์

พื้นที่ ภาคอีสาน รวม 23 คน จ. ศรีสะเกษ 49. นายสุรณัฐ แนบเนียม 50. ดร.อภิชา ระยับศรี
จ . อุดรธานี 51. นายวิฑูรย์ นามคุณ จ. สุรินทร์ 52. ว่าที่ร้อยตรีศักดินันท์ ศุภนิมิตรมนตรี 53. นายพิเชษฐ์ สุทธิศิริวัฒนะ
54. นางสาวณชณฆ์ ตรงใจ จ. ชัยภูมิ 55. นายพีระพล ติ้วสุวรรณ จ. นครราชสีมา 56. ดร.กาญจนา เปรมภิรักษา
57. นายสุกฤษณ์ วัชรมาลีกุล 58. พ.ต.อ.ปริวัฒน์ นาคำ เขตสูงเนิน จ. เลย 59. นายชูศักดิ์ บัวระภาสิริ จ. สกลนคร
60. นายอภิวัฒน์ มีชัย จ. กาฬสินธุ์ 61. น.ส.พาวิไล พิมพะสาลี 62. นายสิทธิศักดิ์ พัฒนชัย จ. ร้อยเอ็ด
63. นายพงศกรณ์ ตั้งกิตติ์ตระกูล จ. ขอนแก่น 64. นายอัษฎางค์ แสวงการ 65. นายพัฒนา นุศรีอัน
66. นายปัญญา ศรีปัญญา 67. นายณรงค์เลิศ สุรพล 68. นายสมใจ ชาญจระเข้ 69. นายเลอพงศ์ ลิ้มรัตน์,
70.นายไพฑูรย์ ผิวผาง 71. นพ.กันณพงศ์ อัครไชยพงศ์


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 มกราคม 2566

“รองวิรัช”ปลุกกระแสบัตรสวัสดิการประชารัฐ 700 บาท ระดมว่าที่ผู้สมัครชูแคมเปญหาเสียงพร้อมรับศึกเลือกตั้ง

,

“รองวิรัช”ปลุกกระแสบัตรสวัสดิการประชารัฐ 700 บาท ระดมว่าที่ผู้สมัครชูแคมเปญหาเสียงพร้อมรับศึกเลือกตั้ง

วันที่ 24 มกราคม 2566 นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า ได้เปิดการฝึกอบรม ว่าที่ผู้สมัครรุ่นที่ 5 ซึ่งมีผู้สมัครกว่า 90 คน ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เพื่อดำเนินการให้ว่าที่ผู้สมัครทั่วประเทศเตรียมความพร้อม ในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ โดยเน้นให้ว่าที่ผู้สมัครนำนโยบายที่ได้เปิดไปแล้ว นำไปใช้ในการรณรงค์หาเสียง ในพื้นที่ โดยเฉพาะการเพิ่มบัตรสวัสดิการประชารัฐ เป็น 700 บาท ซึ่งเป็นนโยบายที่เข้าถึงประชาชน เชื่อว่าจะเป็นแรงผลักดันและมีส่วนสำคัญให้ว่าที่ผู้สมัครของพปชร. ได้รับชัยชนะเสียงจากประชาชน เข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)

“ทั้งนี้พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพปชร. ได้ประกาศเพิ่มสวัสดิการในบัตรประชารัฐ ที่ 700 บาทต่อเดือน นับเป็นนโยบายที่จะช่วยดูแลประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งยอมรับว่าในช่วงเวลานี้ทุกอย่างต้องตื่นตัว เพราะใกล้เวลาเลือกตั้งเข้ามาทุกที่ แม้ว่าขณะนี้มีนโยบายเดียวที่ออกมาก็ไม่เป็นปัญหา แต่ไม่เกินสัปดาห์หน้าคาดว่าจะมีการประกาศนโยบายใหม่ เพื่อช่วยเหลือประชาชนตามเป้าหมายของพรรค ที่ผ่านมาเราก็ใช้แคมเปญ 700 บาททั่วไทย ขณะที่สื่อเอง ก็มีการนำไปสื่อสารขยายผล ในข้อความใหม่ ที่ว่า “ป้อม 700 ” เป็นสโลแกนที่เข้าใจง่ายดี เชื่อว่าจะส่งผลให้ประชาชนเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ในนโยบายแรกของพรรค” นายวิรัชกล่าว

อย่างไรก็ตาม การอบรม ว่าที่ผู้สมัคร ในข้อกฎหมายเพื่อการเลือกตั้ง เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพราะจะมีส่วนให้การลงพื้นที่หาเสียง ไม่มีปัญหาในการถูกข้อร้องเรียน และการดำเนินกิจกรรมรณรงค์หาเสียงเป็นไปอย่างราบรื่น นอกจากนี้ ยังเป็นการสานสัมพันธ์ของว่าที่ผู้สมัครให้มีความเป็นหนึ่งเดียว ในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการหาเสียงและแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อตัวผู้สมัคร โดยนโยบายการเพิ่มบัตรสวัสดิการ700 บาท ได้เริ่มให้ว่าที่ผู้สมัคร มีการออกแบบป้าย เพื่อใช้ประกอบในการรณรงค์หาเสียงอย่างเป็นทางการในพื้นที่ต่างๆ แล้วทั่วประเทศ


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 มกราคม 2566

“รมช.สันติ”ลงพื้นที่ตรวจระบบส่งน้ำสนับสนุนภาคตะวันออก เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำรับการเติบโตภาคผลิต-บริโภค

,

“รมช.สันติ”ลงพื้นที่ตรวจระบบส่งน้ำสนับสนุนภาคตะวันออก
เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำรับการเติบโตภาคผลิต-บริโภค

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า วันนี้ ( 23 มกราคม 2566) ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการท่อส่งน้ำภาคตะวันออก หรือท่อส่งน้ำอีอีซี จ.ระยอง และ จ.ชลบุรี ที่อยู่ในความรับผิดชอบ ของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง โดยเฉพาะความพร้อม ของระบบจ่ายน้ำโครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล หนองค้อ และโครงการท่อส่งน้ำ หนองค้อ – แหลมฉบัง ระยะที่ 2 ที่จะต้องมีการส่งมอบทรัพย์สินของกระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ในฐานะคู่สัญญาฝ่ายรัฐ เพื่อให้ผู้รับสัมปทานรายใหม่ เข้ามาดำเนินการ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีผลกระทบต่อการจ่ายน้ำให้กับประชาชน และผู้ประกอบการในภาคตะวันออก

นายสันติ กล่าวว่า กรมธนารักษ์ ให้ความสำคัญเรื่องการจ่ายน้ำไปให้กับผู้ใช้น้ำ ทั้งโรงงานอุตสาหกรรม และประชาชนในพื้นที่ภาคตะวันออก ที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจ ละที่ผ่านมากรมธนารักษ์ได้ดำเนินการเกี่ยวกับผู้ที่จะมาบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ธนารักษ์ จึงได้ตรวจในพื้นที่อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล จ.ระยอง เพื่อตรวจสอบรายการทรัพย์สินของกระทรวงการคลัง และดูความมั่นคงหลายๆ ด้าน

“จากการตรวจสอบพบว่า อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล จ.ระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำในการสูบจ่ายน้ำให้โรงงานอุตสาหกรรมทั้งหมดของภาคตะวันออกและให้ประชาชนในพื้นที่ พบว่าอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลมีความจุในการ เก็บกักน้ำได้เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ พร้อมทั้งมีโรงสูบน้ำหลายโรง โรงหลักจำนวน 3 โรง และโรงที่เป็นแพ จำนวน 2-3 โรง ถือว่ามีความมั่นคง และมีความพร้อมเรียบร้อยดี” นายสันติ กล่าว

โดยตลอดอายุสัมปทาน 30 ปี ผู้ใช้น้ำจะต้องใช้น้ำในอัตราที่ไม่เกิน 10.98 บาท/ลบ.ม. และภาครัฐจะได้ผลประโยชน์ที่เอกชนเสนอไม่น้อยกว่าร้อยละ 27 ต่อปี คาดการณ์รายได้เข้ารัฐ 25,900 ล้านบาท ขณะที่ 30 ปี ที่แล้วรัฐได้รับ 600 ล้านบาท

นอกจากนี้ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการสถานีอาคารพักน้ำหุบบอน จ.ชลบุรี โดยอาคารพักน้ำหุบบอนเป็นจุดรับน้ำของท่อหนองปลาไหล-หนองค้อ ซึ่งต้องจ่าย ผลประโยชน์ให้แก่รัฐ 7% และจะส่งไปยังท่อหนองค้อ-แหลมฉบัง (ระยะที่ 1) ค่าเช่า 1% และท่อหนองค้อ-แหลมฉบัง (ระยะที่ 2) ค่าเช่า 7% แต่เนื่องจากน้ำที่ส่งไปมาจากท่อ 7% เมื่อจ่ายผลประโยชน์ให้แก่รัฐ 7%

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 23 มกราคม 2566

“พล.อ.ประวิตร”เดินสายทำบุญรับตรุษจีนที่เยาวราช ควงว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขตป้อมปราบร่วมทักทายปชช.

,

“พล.อ.ประวิตร”เดินสายทำบุญรับตรุษจีนที่เยาวราช
ควงว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขตป้อมปราบร่วมทักทายปชช.

วันนี้ 22 มกราคม 66
พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร)ลงพื้นที่เดินถนนเยาวราช พร้อมด้วยนายธิชดล สกุลนำ หรือ นุ๊ก ว่าที่ผู้สมัครเขต ป้อมปราบ เนื่องในวันเทศกาลตรุษจีน ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของคนไทยเชื้อสายจีน ที่จะเดินทางไปร่วมทำบุญ และขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งวันนี้พลเอกประวิตร ได้ไปร่วมทำบุญ และขอพร ไหว้เจ้าแม่กวนอิม ทำบุญไหว้พระ ร่วมบริจาค ณ มูลนิธิเทียนฟ้า

ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร ได้เดินทักทายประชาชนที่บริเวณถนนเยาวราช ด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส โดยมีประชาขนมาขอถ่ายรูปและทักทาย ซึ่งพลเอกประวิตรได้ถ่ายรูปด้วย และเปิดให้ประชาชนเข้ามาทักทาย พูดคุยได้ ซึ่งการลงพื้นที่ครั้งนี้ เป็นการลงพื้นที่ที่ไม่ได้มีการแจ้งวาระใดๆ เพราะต้องการพบปะประชาชนอย่างเป็นกันเอง ในช่วงวันหยุด ที่คนไทยเชื้อสายจีนจะท่องเที่ยวกับครอบครัวตามประเพณี


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 มกราคม 2566

“ศ.ดร.นฤมล”ลั่นพปชร.รุกจัดทัพส.ส.พร้อมรับศึกเลือกตั้ง ชู“พล.อ.ประวิตร”แคนดิเดตนายกฯก้าวข้ามความขัดแย้ง

,

“ศ.ดร.นฤมล”ลั่นพปชร.รุกจัดทัพส.ส.พร้อมรับศึกเลือกตั้ง
ชู“พล.อ.ประวิตร”แคนดิเดตนายกฯก้าวข้ามความขัดแย้ง

“ศ.ดร.นฤมล” ลั่น”พปชร.”พร้อมลุยศึกเลือกตั้งปี 2566 เร่งจัดและเสริมทัพส.ส.เข้มแข็งลงพื้นที่ ไร้ข้อกังวลใดๆ ชู “พล.อ.ประวิตร ”แคนดิเดตนายกฯคนที่ 30 ด้วยลักษณะที่เป็นผู้นำพิเศษ ไม่ข้ดแย้งใครสามารถนำพาประเทศก้าวข้ามความขัดแย้งทั้งหมดได้จริง!!! ผนวกกับนโยบายพปชร.ครอบคลุมทุกมิติมุ่งกระจายรายได้ให้กับประชาชนทั่วถึงทุกพื้นที่

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมของพรรคพลังประชารัฐ ในการสู้ศึกเลือกตั้งปี 2566 ว่า พปชร. อยู่ระหว่างการจัดทัพและเสริมทัพของว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)ในเขตที่ไม่เคยมี ส.ส. และเขตที่ ส.ส. มีแนวโน้มย้ายไปสังกัดพรรคใหม่และพรรคอื่นๆ และได้ทยอยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครมาตลอด โดยยืนยันว่าไม่ได้มีข้อกังวลใดๆ เพราะเชื่อว่าทุกพรรคก็ดำเนินการในลักษณะเช่นเดียวกัน

“ เราพอจะรับทราบถึงทิศทางของส.ส.มาได้สักพักแล้วท่านหัวหน้าและเลขาธิการพรรคก็ได้เตรียมผู้สมัครทั้งที่ในเขตที่มีส.ส.อยู่แล้วและเขตที่ไม่เคยมีส.ส. รวมถึงส.ส.ที่มีแนวโน้มจะย้ายออกไปอยู่พรรคใหม่และพรรคอื่นๆ เราก็ได้เริ่มหาตัวผู้สมัครสำรองสำหรับเขตนั้นๆ ล่วงหน้ามาหลายเดือนแล้ว ซึ่งน้ำคงจะค่อยๆ นิ่งและตกผลึกในที่สุด เพราะมีส่วนหนึ่งขยับออก ก็จะมีส่วนหนึ่งขยับเข้ามาก็จะมาเติมเต็มกัน”ศ.ดร.นฤมลกล่าว

ทั้งนี้ที่ผ่านมาพปชร.ได้ขับเคลื่อนนโยบายที่วางไว้มาต่อเนื่อง เพื่อสร้างประเทศไทยให้มั่นคง ยั่งยืน ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาความยากจน ประชาชนอยู่ดีกินดีทุกพื้นที่ ไม่ใช่กระจุกตัวเฉพาะหัวเมือง ต้องกระจายความเจริญออกไป อาทิ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรประชารัฐเป็นนโยบายหลักที่ต้องต่อยอด การพลิกฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19 กลายเป็นโจทย์ใหญ่ก็มีนโยบายที่ตอบโจทย์ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี ) ภาคการเกษตร นโยบายเหล่านี้จะค่อยๆ ทยอยเปิดให้ประชาชนเห็น

ดังนั้นนโยบายของพรรค และผู้สมัคร ส.ส.ที่มีความเข้มแข็ง รวมถึงภาวะผู้นำของพรรค จะสามารถทำให้ประชาชนเชื่อมั่นจนสามารถผลักดันให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 สอดรับกับภาพที่ประชาชนได้เห็นว่าพล.อ.ประวิตร เป็นผู้มีภาวะการเป็นผู้นำที่กล้าตัดสินใจในสถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบัน อีกทั้งไม่เคยขัดแย้งกับใคร และสามารถทำงานได้กับทุกพรรคการเมือง

“พล.อ.ประวิตร ท่านเป็นผู้นำที่มีลักษณะพิเศษ ไม่ขัดแย้ง ไม่โกรธ ให้อภัยทุกคนตลอด กวาดสายตามองออกไปคนที่เป็นเช่นนี้มีไม่เยอะในประเทศไทยซึ่งจะมาเป็นผู้นำที่ทำให้ประชาชนเห็นว่า ประเทศไทยมีผู้นำที่นำพาประเทศ ก้าวข้ามความขัดแย้งทั้งหมดได้จริงๆ หากไม่ได้ผู้นำเช่นนี้ ประชาชนยังตีกันอยู่”ศ.ดร.นฤมลกล่าว

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐมีฐานเสียงเดิม 8.4 ล้านเสียง ในการเลือกตั้ง ปี 54 และ ปี 62 เท่ากับฐานเสียงของทั้ง 2 ขั้วการเมืองยังคงสูสีกัน ดังนั้นการเลือกตั้งปี 66 ก็อาจจะต้องยังแบ่งครึ่งๆ เหมือนเดิม โดยคราวนี้ขั้วการเมืองตรงข้ามมีพรรคเพื่อไทยพรรคก้าวไกล พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย และพรรคอื่นๆ เล็กน้อย อีกฝั่งมี พปชร. พรรคประชาธิปัตย์ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคสร้างอนาคตไทย พรรคชาติพัฒนากล้า พรรคไทยภักดี ที่ต้องแชร์คะแนนกัน ดังนั้นจึงตอบยากมาก ส.ส.เขตได้เท่าไหร่และคงตอบล่วงหน้าไม่ได้ต้องดูตัวเลขคณิตศาสตร์หลังเลือกตั้งว่ามีเสียงเพียงพอจัดตั้งรัฐบาลไหม และต้องรอฟังมติคณะกรรมการบริหารพรรค แต่ที่แน่นอนและชัดเจนคือปพชร.มีอุดมการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งพรรค ปี 61 ที่พร้อมร่วมมือกับทุกคนเพื่อพาประเทศก้าวข้ามความขัดแย้งและวันนี้ยังเดินตามอุดมการณ์เดิมอย่างมั่นคง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 มกราคม 2566

“พล.อ.ประวิตร”ร่วมฉลองงานตรุษจีนปากน้ำโพ อวยพรให้มีความสุข ร่ำรวยเงินทอง ลั่น พร้อมจะดูแลคนไทยให้อยู่ดีกินดี

,

“พล.อ.ประวิตร”ร่วมฉลองงานตรุษจีนปากน้ำโพ อวยพรให้มีความสุข ร่ำรวยเงินทอง ลั่น พร้อมจะดูแลคนไทยให้อยู่ดีกินดี

เมื่อเวลา 19.00 น.ที่หาดทรายต้นแม่น้ำเจ้าพระยา พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ร่วมงานประเพณีแห่เจ้าพ่อ- เจ้าแม่ ปากน้ำโพ ประจำปะ 2565-2566 ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ของชาวไทยเชื้อสายจีน และเพื่อความเป็นศิริมงคล ภายใต้ชื่องาน”สืบสานพลังแห่งศรัทธา รักษาประเพณี 107 ปี ตรุษจีนปากน้ำโพ” ในธีมงานมังกรเบิกฟ้า บุปผาเบ่งบาน โดย พลเอกประวิตร ได้ขึ้นกล่าวอวยพรว่า เนื่องในเทศกาลตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน ตนขออวยพรชาวไทยเชื้อสายจีนที่มีให้ทุกท่านมีแต่ความสุข ความเจริญ คิดอะไรให้สมความปรารถนา สมหวัง ร่ำรวยเงินทองตลอดปี 2565 และตลอดไป”ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้”

“พรรคพลังประชารัฐพร้อมดูแลพี่น้องทุกท่านให้อยู่ดีกินดี ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่ผมพร้อมจะดูแลคนไทยให้อยู่ดีกินดีถ้วนหน้าครับ”พลเอกประวิตร กล่าว

ทั้งนี้พลเอกประวิตรได้ร่วมรับชมการแสดง”สิงโตโหงวชก 5 ชาติพันธุ์ และได้ร่วมถ่ายรูปกับนักแสดง พร้อมโชว์ป้ายข้อความ 700 ทั่วไทย ซึ่งเป็น 1 ในนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ที่ประกาศจะเพิ่มเงินบัตรประชารัฐเป็น 700 บาทต่อเดือน


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 มกราคม 2566