โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: กิจกรรม ส.ส. และสมาชิก

“สกลธี” มั่นใจ พปชร.ไม่มีปัญหาหุ้นสื่อ

,

“สกลธี” มั่นใจ พปชร.ไม่มีปัญหาหุ้นสื่อ

​เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2566 นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหาร และหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่สวนเสรีไทย เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ร่วมกับ “อ้น” ณิรินทร์ เงินยวง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง เขต 15 (คันนายาว-บึงกุ่ม) หมายเลข 8 เพื่อพบปะประชาชน

​โดย น.ส.ณิรินทร์กล่าวว่า สวนเสรีไทยนี้เป็นหนึ่งในสวนตัวอย่างของ กทม.ที่ไม่ต้องมีขนาดใหญ่มาก แต่เข้าถึงง่าย ใกล้กับหมู่บ้านแหล่งชุมชน ผู้สูงอายุสามารถเดินออกกำลังรอบสวนได้ มีความปลอดภัยเพราะมี รปภ.ดูแลตลอด ตนจึงอยากให้มีการสร้างสวนแบบนี้เพิ่มขึ้นอีกหลายแห่งใน กทม.

​นายสกลธีกล่าวว่า เป็นนโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่ต้องเพิ่มพื้นที่สีเขียวใน กทม. โดยเฉพาะการสร้างสวนขนาดเล็กที่ประชาชนสามารถเดินถึงได้ภายใน 15 นาที แต่งบประมาณของท้องถิ่นอย่างเดียวไม่สามารถทำได้ พรรคพลังประชารัฐจึงจะตั้งกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาทขึ้นเพื่อมาช่วยท้องถิ่นพัฒนาพื้นที่ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของพรรค

​“ปัญหาด้านสาธารณสุขต้องแก้ที่ต้นเหตุ ไม่ต้องรอป่วยแล้วไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาโรค แต่เราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีตั้งแต่ต้น พรรคจึงมีนโยบายส่งเสริมให้ทุกคนออกกำลังกาย และเชื่อมข้อมูลกับสมาร์ทวอชหรือโทรศัพท์มือถือ นำข้อมูลการออกกำลังกายมาแลกของรางวัลจากรัฐบาล เช่น ส่วนลดค่าน้ำค่าไฟ หรือการลดภาษีได้”

​เมื่อถามถึงการตอบรับจากประชาชนในพื้นที่ นายสกลธีกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ นายทิวา เงินยวง เป็น ส.ส.น้ำดี มีผลงานมากมาย เมื่อมีทายาทอย่าง น.ส.ณิรินทร์มาอาสาดูแลพี่น้องประชาชนต่อ ทุกคนจึงให้การตอบรับเป็นอย่างดี
​“ส่วนกรณีที่ กกต.กำลังพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส.หลายคน เรื่องการถือครองหุ้นนั้น ยืนยันว่าทั้ง พล.อ.ประวิตรและพรรคพลังประชารัฐทำตามที่กฎหมายระบุอยู่แล้ว ส่วนการตีความก็ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 เมษายน 2566

“ชัยวุฒิ” ปราศรัยบ้านเกิดสิงห์บุรี ประกาศก้าวข้ามความขัดแย้ง ย้ำ ตั้งใจมาตอบแทนพระคุณแผ่นดิน เรียกใช้ได้ตลอดเวลา

,

“ชัยวุฒิ” ปราศรัยบ้านเกิดสิงห์บุรี ประกาศก้าวข้ามความขัดแย้ง ย้ำ ตั้งใจมาตอบแทนพระคุณแผ่นดิน เรียกใช้ได้ตลอดเวลา

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเวทีปราศรัยบริเวณวัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี นำโดย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยกล่าวบนเวทีตอนหนึ่งว่า บ้านเมืองแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ใส่เสื้อสีออกมาประท้วง ทำให้ประชาชนทำมาหากินไม่ได้ ในสภาผู้แทนราษฎรก็ยังทะเลาะเบาะแว้ง ส่งผลทำให้บ้านเมืองมีปัญหา คนไทยไม่มีความสุข

“วันนี้แค่จะเลือกตั้งก็ทะเลาะกันแล้ว ยิ่งมีสีส้มมาอีกหนักกว่าสีแดง สีเหลือง เพราะเขาจะมาแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนประเทศ จะเปลี่ยนไปทางไหน เขาบอกต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอ ซึ่งต้นตอของเราก็ไม่เหมือนกัน ส่วนตัวมองว่าต้นตอของปัญหาคือนักการเมืองที่ทุจริต นักการเมืองโกง นักการเมืองเห็นแก่ตัวทะเลาะกัน นั่นแหละคือต้นตอของปัญหา ไม่เกี่ยวกับ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยเราดีอยู่แล้ว แต่เราต้องเปลี่ยนที่นักการเมือง เลือกนักการเมืองที่ดีเข้าไปทำงานให้ประเทศชาติสงบสุข ประชาชนทำมาหากินได้ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้พูดเป็นคนแรก และคนเดียวมาตลอดว่า อยากให้ทุกคนก้าวข้ามความขัดแย้ง ถ้าทุกคนยังทะเลาะกันอยู่จะอยู่อย่างไร เราเลือกผู้แทนไปทำงาน เราต้องเลือกคนที่เรารัก เลือกพรรคที่เราชอบเข้าไปทำงาน การเมืองถึงจะเดินหน้าไปได้ บ้านเมืองก็สงบสุข แต่ช่วงหลังการเมืองแปลก ๆ เพระมีความขัดแย้ง ประชาชนมาทะเลาะกันเพราะการเมือง บางบ้านพ่อใส่เสื้อสีแดง แม่ใส่เสื้อสีเหลือง ลูกใส่เสื้อสีส้ม ก็ทะเลาะกันทั้งวันแบบนี้จะมีความสุขได้อย่างไร ครอบครัวก็แตกแยก ดังนั้นการเมืองต้องมาทำเพื่อประชาชน ไม่ใช่ทำเพื่อคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่ทำเพื่อครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง ไม่ใช่เลือกแล้วมาทำให้ประชาชนมาทะเลาะกัน มาปลุกปั่นให้แตกแยก

นอกจากนี้ นายชัยวุฒิ ยังชูนโยบายลดราคาแก๊ส ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน เพราะเห็นใจชาวบ้านที่ประสบปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยยืนยันว่า สิ่งแรกที่พรรคพลังประชารัฐจะทำทันทีที่เป็นรัฐบาล และ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็คือ การลดค่าครองชีพ ลดค่าไฟ ค่าแก๊ส ค่าน้ำมัน ให้ไฟฟ้าเหลือหน่วยละ 2.50 บาท เพื่อทำให้ประชาชนมีเงินเหลือเพื่อนำไปใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ

“ผมขอขอบคุณประชาชนที่มาฟังปราศรัย ผมตั้งใจมาตอบแทนพระคุณแผ่นดิน เพราะผมเป็นคนสิงห์บุรี ไม่มีวันลืมบ้านเกิดแน่นอน พี่น้องสามารถเรียกใช้ได้ตลอดเวลาแน่นอน”นายชัยวุฒิ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 เมษายน 2566

“สกลธี” ควง “บุณณดา” เบอร์6 ลงพื้นที่ฝั่งธนขอเสียง ปชช. ชูกองทุนประชารัฐ3แสนล.-สร้างรายได้ให้ชุมชน

,

“สกลธี” ควง “บุณณดา” เบอร์6 ลงพื้นที่ฝั่งธนขอเสียง ปชช. ชูกองทุนประชารัฐ3แสนล.-สร้างรายได้ให้ชุมชน

นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร. ) ลงเรือที่ท่าวัดอรุณ เข้าคลองบางกอกใหญ่ เยี่ยมชมพระพุทธรูปองค์ใหญ่วัดปากน้ำภาษีเจริญ และขึ้นท่าตลาดน้ำคลองบางหลวงเดินหาเสียงชูนโยบายกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านพัฒนาย่านท่องเที่ยวฝั่งธน ร่วมกับ ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 32 หมายเลข 6 เป็นผู้สมัคร 5 เขต 11 แขวง ประกอบไปด้วย เขตบางกอกใหญ่ เขตธนบุรี (เฉพาะแขวงบางยี่เรือ วัดกัลยาณ์ หิรัญรูจี) เขตภาษีเจริญ (ยกเว้นแขวงบางหว้า บางด้วนและคลองขวาง) เขตตลิ่งชัน (เฉพาะแขวงบางเชือกหนัง) เขตบางกอกน้อย (เฉพาะแขวงศิริราช) เป็นการเพบปะประชาชน พร้อมชูนโยบายพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวริมคลอง เพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืน ให้ชุมชน

“โซนฝั่งธนนี้มีจุดท่องเที่ยว วัดวาอาราม คลองเล็กคลองน้อย วิถีชีวิตชุมชน ร้านอาหารอร่อยมากมายสามารถพัฒนาให้ดีกว่านี้ได้แน่นอน ถ้าเลือกทีม กทม.พลังประชารัฐเข้าไปทำงานพัฒนาด้วยกองทุนประชารัฐ 300,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถอุดช่องว่างเรื่องงบประมาณท้องถิ่นที่ไม่เพียงพอต่อการพัฒนาซึ่งกรุงเทพฯ มีวัตถุดิบที่ดีมากอยู่แล้ว แค่ขาดคนที่รู้จริง และขาดงบประมาณที่จะเข้าไปพัฒนา ผมขอฝาก ดร.เอ๋ เขตเลือกตั้งที่ 32 เบอร์ 6 ซึ่งเป็นคนฝั่งธน ตั้งใจเข้าไปพัฒนาฝั่งธนบุรีให้เป็นแหล่งเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 เมษายน 2566

สกลธี – ฟิล์ม รัฐภูมิ ลงพื้นที่วัดย่านาค – ชุมชนหลังสถานีรถไฟหัวหมาก ชู “ซอฟต์พาวเวอร์” แหล่งท่องเที่ยวชุมชน

,

สกลธี – ฟิล์ม รัฐภูมิ ลงพื้นที่วัดย่านาค – ชุมชนหลังสถานีรถไฟหัวหมาก ชู “ซอฟต์พาวเวอร์” แหล่งท่องเที่ยวชุมชน

วันที่ 9 เมษายน 2566 นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคพลังประชารัฐ ร่วมกับนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ “ฟิล์ม รัฐภูมิ” ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตเลือกตั้งที่ 22 (สวนหลวง-ประเวศ) หมายเลข 1 ลงพื้นที่วัดมหาบุศย์และชุมชนหลังสถานีรถไฟหัวหมาก พร้อมชูนโยบายพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน
นายสกลธี กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถใช้กองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาท ช่วยพัฒนากรุงเทพฯ ให้ดีขึ้นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะการสร้างแหล่งท่องเที่ยว จุดเช็คอินให้กระจายให้ทั่วทุกเขตใน กทม. ไม่ต้องไปกระจุกอยู่ในพื้นที่ชั้นในอย่างสุขุมวิท เยาวราช หรือถนนข้าวสาร ซึ่งในพื้นที่เขตสวนหลวง เขตประเวศ มีจุดที่ฟิล์ม-รัฐภูมินำเสนออยากทำเป็นจุดท่องเที่ยวท้องถิ่นที่ยั่งยืน แต่ใช้งบ กทม.ทำอย่างเดียวคงไม่ได้เพราะงบประมาณจำกัด รัฐบาลกลางต้องเข้าไปช่วย เช่น เพิ่มเส้นทางเดินเรือ เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวหรือการแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ ทั้งนี้จะทำให้การทำงานของรัฐบาลกลางและท้องถิ่นอย่าง กทม.แนบแน่นขึ้น ตรงกับที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ย้ำเสมอว่าเราจะมาทำงานให้คนไทยทุกคน

ขณะที่นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ “ฟิล์ม รัฐภูมิ” ” ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตเลือกตั้งที่ 22 (สวนหลวง-ประเวศ) หมายเลข 1 กล่าวเสริมว่า เราต้องใช้กองทุนประชารัฐ 3 แสนล้าน สร้าง Soft Power ให้เกิดขึ้น โดยในเขตสวนหลวง-ประเวศ มีทุนที่ดีอย่างย่านาค ซึ่งเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะชาวจีนที่เข้ามาไหว้ย่านาคปีละหลายแสนคน โดยตนจะไม่ทำเพียงจุดเดียว แต่จะใช้นโยบาย “สวนหลวง Number 1” โปรโมท “สถานที่ท่องเที่ยว 9 ที่ : 7 วัด 1 มัสยิด 1 ศาลเจ้า” ซึ่งสามารถเดินทางเข้าถึงได้ทั้งทางรถ-ทางเรือ ดึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าเขตสวนหลวง ซึ่งตนมั่นใจว่าจะทำสำเร็จได้ไม่เกิน 9 เดือน
“การพบพี่น้องประชาชนในฐานะผู้สมัคร ส.ส. ต่างจากตอนเป็นนักร้อง ตอนเป็นนักร้องคนจะเข้ามากรี๊ด มาถ่ายรูป แต่ตอนเป็นนักการเมืองจะมีคนมากอดร้องไห้ขอให้ช่วยเหลือ ตนดีใจที่คุณสกลธีและพรรคพลังประชารัฐให้โอกาส ตนมั่นใจว่าจะสามารถเข้ามาช่วยให้เขาหายทุกข์และทำให้เขามีความสุขได้ แต่จะได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเมตตาของพี่น้องประชาชนด้วย”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 เมษายน 2566

“สกลธี”นำทีมพลังใหม่พปชร. กทม.โซนใต้พบ ปชช.การันตีทุกคนพร้อมพัฒนา กทม. พร้อมตั้งกองทุนพัฒนาประเทศ ย้ำ “พล.อ.ประวิตร”เหมาะนั่งนายกฯ มีภาวะผู้นำที่ดี

,

“สกลธี”นำทีมพลังใหม่พปชร. กทม.โซนใต้พบ ปชช.การันตีทุกคนพร้อมพัฒนา กทม. พร้อมตั้งกองทุนพัฒนาประเทศ ย้ำ “พล.อ.ประวิตร”เหมาะนั่งนายกฯ มีภาวะผู้นำที่ดี

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเวทีปราศรัยย่อยโซนกรุงเทพฯ ใต้ “พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ” อุทยานเบญจสิริ เขตคลองเตย กรุงเทพฯนำโดย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค และนายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมกทม. ของพรรค พปชร.พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส. พปชร.กทม. ได้แก่ นายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ เขตพระโขนง บางนา เบอร์ 5, นายภูวกร ปรางภรพิทักษ์ เขตคลองเตย วัฒนา เบอร์ 8 , น.ส.แพรว กิจสุวรรณ เขตประเวศ สะพานสูง เบอร์ 2 , น.ส.ชญาภา ปรีดาพากย์ เขตบางคอแหลม ยานนาวา เบอร์ 15 และนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ เขตสวนหลวง ประเวศ เบอร์ 1 โดยมีประชาชนเข้าร่วมฟังกว่า 500 คน

นายสกลธี กล่าวว่า การเปิดเวทีวันนี้ อยู่ในเขตวัฒนาคลองเตย เป็นไข่แดงของกรุงเทพ ที่มีเส้นทางคมนาคมขนส่งที่สะดวก ด้วยระบบขนส่งรถไฟฟ้า หากทุกเขตในกรุงเทพของ 50 เขต มีระบบแบบนี้ ก็จะสะดวกต่อพี่น้องประชาชน ด้วยที่ผ่านมีข้อจำกัดในเรื่องงบประมาณ ของกทม. ที่ต้องแก้ไขปัญหาในหลายด้าน ล้วนใช้งบประมาณทั้งสิ้น โดยงบประมาณของกทม. ปีละ ประมาณ 70,000 ล้านบาท แต่เป็นเงินเดือนไปแล้ว 50%และยังมีหนี้ผูกพันอีกในโครงการต่างๆ ทำให้เงินเหลือเพื่อการพัฒนาเพียงแค่ 20,000 ล้านบาทซึ่งไม่เพียงพอที่จะดูแลประชาชนที่มีมากกว่า 10 ล้านคน ทั้งประชากรที่อยู่ในกรุงเทพ และประชากรแฝง ดังนั้น พล.อ.ประวิตรมองเห็นถึงปัญหาเหล่านี้ ได้สั่งให้ทีมเศรษฐกิจไปศึกษาเสนอให้มีการตั้งกองทุนประชารัฐ 300,000 ล้านบาท เป็นกองทุนระดับประเทศในสมัยหน้า ถ้า พปชร.ได้เป็นรัฐบาลจะมีกองทุนนี้ภายใน 4 ปี ทำให้กรุงเทพ มีงบประมาณในการพัฒนาได้สูงถึง 1 แสนล้านบาท ทำให้คนกทม. ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ในการพัฒนาเมืองกรุงเทพ ที่มีหลายเขตที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประชาชน ชุมชนต่างๆ ไม่เพียงโปรโมทสุขุมวิท เยาวราช ข้าวสาร ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ละเขตสามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวดึงดูดเม็ดเงินได้ ทั้ง ย่านฝั่งธน ย่านบางนา และทำให้ทุกเขต สร้างเสน่ห์ของตัวเองขึ้นมา ที่จะสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

นายสกลธี กล่าวอีกว่า หลายคนถามว่า พล.อ.ประวิตร ยังไหวหรือไม่ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ตนขอประกาศเลยว่า พล.อ.ประวิตร ยังไหวแน่นอน เพราะ พล.อ.ประวิตร มีภาวะผู้นำที่ดี สามารถเลือกคนให้เหมาะกับงาน ดังนั้น คนที่บริหารประเทศ เป็นเขาไม่ต้องลงไปกวาดขยะด้วยตัวเอง แต่สามารถเลือกคนที่่ให้ไปทำหน้าที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ได้

“พรรคพลังประชารัฐมี กองทุนประชารัฐพัฒนาประเทศ 3 แสนล้านบาท ที่จะพัฒนากรุงเทพฯ ขอเพียงแค่ประชาชนให้โอกาสผู้สมัครของเราเข้าไปลงมือทำ ซึ่งพรรคเรามี พล.อ.ประวิตร เป็นผู้จัดการตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังการทำงาน จนทำให้รัฐบาลอยู่มาได้ถึง4 ปี ผลงานที่ทุกคนรู้กันดีก็คือ แก้หนี้นอกระบบ และแก้ปัญหาน้ำ” นายสกลธี กล่าว

ทั้งนี้ผู้ 5 ผู้สมัคร กทม. พปชร. ขึ้นเวทีปราศรัย โดยเริ่มจาก นายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ ผู้สมัครเขตพระโขนง บางนา เบอร์ 5 กล่าวว่า ตนอยู่ที่พระโขนงมา 50 กว่าปี ทำงานภาคสนามและลงพื้นที่มาโดยตลอด มีความตั้งใจประสานและผลักดันแผนพัฒนาเขตพระโขนง โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย ด้านสิ่งแวดล้อม เพิ่มพื้นที่สีเขียว พื้นที่สวนสาธารณะ ด้านการป้องกันน้ำท่วม เรื่องเหล่านี้ ต้องมีการเชื่อมโยงการมีส่วนร่วมของประชาชนและการพัฒนาการศึกษา ตนมีประสบการณ์การทำงาน ไม่ใช่เพียงแค่ดูแลอย่างเดียว แต่ต้องมีกฎหมายให้สามารถดูแลชุมชนได้ เพราะเราจะมีกฎหมายดี ๆ ที่ดูแลประชาชนอยู่แล้วหลายฉบับ เพื่อคนไทยทั้งประเทศ ครั้งนี้ตนขอโอกาสจากคนไทย 14 พ.ค.เข้าคูหาอย่าลังเลใจ กาเบอร์ 37

ด้านนายภูวกร ปรางภรพิทักษ์ ผู้สมัครเขตคลองเตย วัฒนา เบอร์ 8 กล่าวว่า ตนเป็นคนพื้นที่โดยกำเนิด ช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา เราผ่านความทรงจำทั้งดีและร้ายมาด้วยกัน ซึ่งวันนี้ ตนมีความมุ่นมั่น ตั้งใจที่จะแก้ปัญหาจึงได้ข้อสรุปว่า การจะแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้ ต้องเข้ามาเป็น ส.ส.ท่ามกลางปัญหารุมล้อมในเขตคลองเตย เพราะเห็นโอกาส ด้วยพื้นที่มีจุดเด่นมากมาย และตนพร้อมที่จะเข้าไปทำทุกอย่างเพื่อให้บ้านเกิดของตนพัฒนาขึ้นในทุก ๆ ด้าน

ด้าน น.ส.แพรว กิจสุวรรณ ผู้สมัครเขตประเวศ สะพานสูง เบอร์ 2 กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐให้การดูแลพี่น้องประชาชนคนไทยมาตลอดและเราก็จะดูแลต่อไป นโยบายของพรรคในครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นบัตรประชารัฐที่จะมีการเพิ่มเงินเป็น 700 บาทต่อเดือนรวมไปถึงมีเงินประกันชีวิตให้รายละ 200,000 บาท การดูแลผู้สูงอายุ รวมไปถึงการดูแลสตรีที่ตั้งครรภ์ เราจะดูแลตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ไปจนถึงบุตรอายุ 6 ปี เราทำได้จริง ทำแน่นอน และพร้อมทำทันทีที่เป็นรัฐบาล เพราะฉะนั้นอย่าลังเลใจที่จะเลือกพรรคพลังประชารัฐ เพราะเราใส่ใจพี่น้องประชาชนทุกช่วงอายุ

ด้านน.ส.ชญาภา ปรีดาพากย์ เขตบางคอแหลม – ยานนาวา เบอร์ 15 กล่าวว่า ตนทำงานจากจิตอาสา และก้าวเข้าสู่การเมืองมากว่า 10 ปี ขออาสาเข้ามาแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ตนขอให้ทุกคนเปิดใจให้กับผู้หญิงตัวเล็ก แต่ใจใหญ่ ได้เข้ามาผลักดันนโยบายของพรรคพลังประชารัฐให้เกิดขึ้นจริง

นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ผู้สมัครเขตสวนหลวง ประเวศ เบอร์ 1 ขึ้นปราศรัยว่า ตนอยากจะเข้ามาเป็น ส.ส.เพราะอยากนำความทุกข์ของประชาชนเข้าไปแก้ไขในสภา และจะผลักดันนโยบานทั้ง 5 ข้อ คือ เรื่องรายได้ ที่สามารถเปลี่ยนจากขยะมาเป็นเงิน โดยเราจะมี แอพพลิเคชั่นสวนหลวง นัมเบอร์วัน เข้ามาช่วยในการทำดำเนินการ เช่น ขยะอัจฉริยะ หรือการชักชวนประชาชนมาจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่ เราจะทำให้เกิดสินค้าโอทอปในชุมชน รวมถึงการกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่เพื่อสร้างเศรษฐกิจในพื้นที่ เพราะเขตสวนหลวงถือว่ามีภูมิทัศน์ที่มีจุดเด่นอย่างมาก ตนจะเข้าไปปรับเปลี่ยนเพื่อให้ชาวสวนหลวงกลับมามีปอดที่ใหญ่อีกครั้งหนึ่ง โดยโครงการที่ตนพูดมาทั้งหมด พรรคพลังประชารัฐเราสามารถดำเนินการได้ทันที เพราะเรามีกองทุนประชารัฐพัฒนาประเทศ 3 แสนล้านบาท ที่จะพัฒนากรุงเทพฯ ซึ่งมั่นใจว่าจะทำกรุงเทพฯให้ดีกว่านี้ได้แน่นอน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 เมษายน 2566

“ชัยวุฒิ” ชู”พล.อ.ประวิตร” พร้อมทำหน้าที่ผู้นำประเทศดูแลปชช. ชี้ ศก.ไทยดีกว่าหลายประเทศ วอนคนไทยหยุดขัดแย้งเชื่อมั่นกลับมา

,

“ชัยวุฒิ” ชู”พล.อ.ประวิตร” พร้อมทำหน้าที่ผู้นำประเทศดูแลปชช. ชี้ ศก.ไทยดีกว่าหลายประเทศ วอนคนไทยหยุดขัดแย้งเชื่อมั่นกลับมา

วันนี้ (7 เม.ย.) ที่อุทยานเบญจศิริ เขตคลองเตย พรรคพลังประชารัฐ จัดเวทีปราศรัยย่อยโซนกรุงเทพฯ ใต้ “พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ” นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค กล่าวบนเวทีปราศรัยว่า พปชร.พร้อมที่เข้าไปดูแลประชาชนในทุกกลุ่ม ภายใต้การนำของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค ถือเป็นเสาหลัก ในการจัดตั้งรัฐบาล ที่ทำงานหนักมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความกินดีอยู่ดี ให้กับประชาชน พร้อมประสานทุกหน่วยทั้ง 10 ทิศ แก้ปัญหาให้กับทุกคน ประสานงานกับทุกคน ทำให้วันนี้รัฐบาลอยู่ครบ 4 ปี แล้วเราจะทำต่อไป เด็กเยาวชนทุกวันนี้สามารถจับเงิน 1,000,000 ได้ ก็เกิดขึ้นในรัฐบาลนี้ที่ส่งเสริมให้เกิดการขายของออนไลน์ในระบบดิจิตอล

ประเทศไทยเป็นเมืองที่มีความสุขอันดับ 6 ของโลก มีแต่ชาวต่างชาติชื่นชมในการมาอยู่เมืองไทย แต่มีพรรคการเมืองไปสร้างเรื่องว่า ประเทศไทยมีปัญหา อยากไปอยู่เมืองนอก ประเทศในแถบยุโรป วันนี้ฝรั่งเศสประท้วงกันเป็นแสนเป็นล้านคน ประเทศเยอรมันที่เจริญที่สุดในยุโรปตอนนี้ก็ประท้วงกัน การขนส่งมวลชนหยุดหมด เดือดร้อนกันทั้งประเทศ ประเทศไทยเราสงบสุขดีที่สุดแล้ว เพียงแค่อย่าทะเลาะ อยากให้ทุกคน มาช่วยกันดูแลประเทศไทยให้สงบสุข

นายชัยวุฒิ ยังกล่าวต่อว่า จะเห็นว่ารัฐบาลภายใต้การบริหารของพรรคพลังประชารัฐ ประเทศมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ยอดขายรถยนต์ปี 65 849,000 คันเพิ่มขึ้น 12 % การส่งออกก็เพิ่มขึ้น 7.29% ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่า เศรษฐกิจของประเทศไปได้

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยเราดีที่สุดแล้ว เราเป็นพี่ใหญ่ ในเซาท์อีสต์เอเชีย ตนไปประชุมกับรัฐมนตรีที่สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ทุกคนเชื่อมั่นประเทศไทยว่า เป็นพี่ใหญ่ มีเศรษฐกิจเข้มแข็ง เรามีความมั่นคง และเรามีกองทัพ มีอํานาจและเข้มแข็ง วันนี้เราต้องจับมือกันเพื่อเดินหน้าพัฒนาประเทศภายใต้การบริหารประเทศของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ทำงานเพื่อประชาชนประชุมหนักเพื่อหาทางแก้ปัญหาบ้านเมือง ทำทุกอย่างพัฒนาทุกพื้นที่แก้ปัญหาให้กับประชาชน เราเป็นรัฐบาลมาได้4 ปี ถ้าไม่มีลุงป้อม รัฐบาลไม่มีทางอยู่ได้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 เมษายน 2566

“ร.อ.ธรรมนัส –บุญสิงห์” นำทีมลุยพื้นที่สุโขทัย ช่วย “อารยะ ชุมดวง” เบอร์ 4 หาเสียงพื้นที่เขต 3 อ้อนขอคะแนนเลือกพรรคพลังประชารัฐ กาเบอร์ 37 ชู“ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่ และสานต่อบัตรประชารัฐ 700 บาท ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก

,

“ร.อ.ธรรมนัส –บุญสิงห์” นำทีมลุยพื้นที่สุโขทัย ช่วย “อารยะ ชุมดวง” เบอร์ 4 หาเสียงพื้นที่เขต 3 อ้อนขอคะแนนเลือกพรรคพลังประชารัฐ กาเบอร์ 37 ชู“ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่ และสานต่อบัตรประชารัฐ 700 บาท ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก

เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2566 เวลา 17.00 ณ เวทีปราศัยโรงเรียนทุ่งเสลี่ยมชนูปถัมภ์ อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)เขต 1 เบอร์ 6 จังหวัดพะเยา พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธานภาคเหนือ ได้มาพบปะประชาชนและปราศรัยหาเสียง ช่วยนายอารยะ ชุมดวง ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 เบอร์ 4 จังหวัดสุโขทัย พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมีนายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ผู้สมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พปชร.ในฐานะกรรมการบริหารพรรคพปชร. และนายสุธี (หมู) พงษ์เพียรชอบ ผู้สมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพปชร.,นางสาวอาทิตยา อินนะไชย ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 6 จังหวัดแพร่ ร่วมลงพื้นที่ด้วย โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนให้ความสนใจมารับฟังนโยบายของพรรคฯเนืองแน่นมากกว่า 12,000 คน

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวทักทายประชาชนช่วงหนึ่งว่า วันนี้รู้สึกยินดีและดีใจเป็นอย่างมาก ที่พ่อแม่พี่น้องในพื้นที่เขต 3 ทั้งอำเภอทุ่งเสลี่ยม สวรรคโลก ศรีสำโรง และอำเภอเมืองบางส่วน มาให้การต้อนรับและรับฟัง นโยบายของพรรคฯเป็นจำนวนมาก ทำให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนได้มาเยี่ยมเยือนบ้าน ที่คุ้ยเคย เพราะตนเองก็เป็นลูกข้าวนึ่ง ลูกหลานคนล้านนาเช่นเดียวกัน

“พ่อแม่พี่น้องทุกท่านครับ พรรคฯของเราภายใต้การนำของท่านพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เรามีนโยบายและจุดยืนชัดเจนคือก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่ ผมมาวันนี้ก็มาขอเชิญชวนทุกท่านร่วมใจกัน ก้าวข้ามความขัดแย้งมีความรักความสามัคคีกัน ร่วมมือร่วมใจกับภาครัฐและองค์กรเอกชนในพื้นที่ท้องถิ่นพัฒนาบ้านเมืองของเราให้เจริญก้าวหน้า ที่สำคัญคือต้องมีส.ส.เข้าไปทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงแทนพ่อแม่พี่น้องประชาชน ในการติดต่อประสานงานและผลักดันโครงการพัฒนาและแก้ปัญหาต่างๆอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นก็ขอให้ไว้วางใจและไปลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครส.ส.เบอร์ 4 ของเรา คือ “อารยะ ชุมดวง” ซึ่งเป็นลูกหลานของพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน”

ร.อ ธรรมนัส กล่าวอีกว่า ยังมีนโยบายของพรรคฯที่เป็นเรื่องดีและมีประโยชน์ต่อพ่อแม่พี่น้องประชาชนอีกมากมาย อาทิเช่น การดูแลประชาชนฐานราก ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญในพื้นที่นี้ก็มีอาชีพด้านการเกษตร ซึ่งทางพรรคฯมีนโยบายที่จะผลักดันเรื่องการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน ให้มีกรรมสิทธิ์ถูกต้อง เปลี่ยนส.ป.ก.เป็นโฉนด และ คทช.เปลี่ยนเป็นส.ป.ก.ดังนั้นในวันที่ทุกท่านไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ นอกจากกาเบอร์ 4 เลือก“อารยะ ชุมดวง”แล้วขอให้กาเบอร์ 37 เลือกพรรคพลังประชารัฐ เพื่อช่วยแก้ปัญหาประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากให้อยู่ดีกินดี อย่างยั่งยืน

จากนั้น นายอารยะ ได้ลุกขึ้นปราศรัยกับพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่มาคอยรับฟังอย่างคับคั่ง โดยนำเสนอนโยบายของพรรคฯทั้งเรื่องการสานต่อบัตรประชารัฐ 700 บาท (ป้อม 700) เรื่องการดูแลผู้สูงอายุหรือเบี้ยยังชีพเดือนละ 3,000 บาท4,000บาท และ 5,000 บาท ตามช่วงอายุ 60,70และ 80 ปี รวมไปถึงการดูแลประชาชนทุกช่วงวัยทั้ง“แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ” รวมไปถึงแก้ปัญหาที่ดินทำกิน “มีเรา ไม่มีแล้ง มีน้ำ ไม่มีจน” เปลี่ยนส.ป.ก.เป็นโฉนด ,และ คทช.เปลี่ยนเป็นส.ป.ก. เป็นต้น ซึ่งหลังจากนายอารยะ กล่าวเสร็จสิ้นได้มีเสียงเชียร์ตอบรับให้กำลังจากพ่อแม่พี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับชูป้าย “อารยะ เบอร์ 4”และ พรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการปราศรัยได้มีประชาชนมาคอยมอบพวงมาลัยดาวเรืองและขอถ่ายภาพร่วมกับร.อ.ธรรมนัส และนายอารยะ เป็นจำนวนมาก ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักชื่นมื่น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 เมษายน 2566

“สันติ-ชัยวุฒิ”ควงแขนแสดงความยินดีครบรอบตั้งพรรคภท-.ปชป ความร่วมมือทำงานในอนาคตให้เป็นหน้าที่ประชาชนตัดสินใจ

,

“สันติ-ชัยวุฒิ” ควงแขนแสดงความยินดีครบรอบตั้งพรรคภท-.ปชป ความร่วมมือทำงานในอนาคตให้เป็นหน้าที่ประชาชนตัดสินใจ

เมื่อเวลา 8.05 น. วันที่ 6 เม.ย.2566 นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และรองหัวหน้าพรรคพปชร.เป็นตัวแทน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้เดินทางไปแสดงความยินดีและมอบช่อดอกไม้ ที่พรรคภูมิใจไทย ในโอกาสครบรอบการก่อตั้งพรรคก้าวเข้าสู่ปีที่15 ของพรรคภูมิใจไทย โดยมีนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองหัวหน้าพรรค และนายศุภชัย โพธิ์สุ อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นตัวแทนรับมอบ จากนั้นได้เดินทางร่วมแสดงความยินดี กับพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องในโอกาสวันครบรอบวันก่อตั้ง 77 ปี โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค นายนิพนธ์ บุญญามนี รองหัวหน้าพรรค รับมอบ โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น และชื่นมื่น

นายสันติกล่าวว่า วันนี้มาร่วมแสดงความยินดีกับทั้งสองพรรค ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่ร่วมกันทำงานมา ตลอด 4 ปี ในการดูแลความเป็นอยู่ให้ประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาของเลือกตั้ง เป็นวันที่เป็นมงคลในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ในเรื่องของนโยบายการทำงานเราก็ไปด้วยกันได้ เราไม่มีความขัดแย้ง ในครั้งหน้าเราก็พร้อมร่วมมือกับพรรคที่จะทำงานเพื่อประชาชน และที่ผ่านมาเราก็เป็นพรรคร่วมรัฐบาลกันมา ก็คงสามารถที่จะทำงานร่วมกันต่อไป

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า วันนี้ไม่มีอะไรมาก เป็นงานมงคล ซึ่งนายสันติ และตนมาเป็นตัวแทนของพรรคพลังประชารัฐ เพื่อมาแสดงความยินดี พร้อมอวยพรให้กับพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล อยู่ด้วยกันมา 4 ปี ทำงานราบรื่นประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ถือได้ว่าเป็นพรรคที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และยืนยันว่าใจเรารักกันอยู่แล้ว เพราะเราร่วมงานกันมาไม่ได้ขัดแย้งกับใคร ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน พร้อมยืนยัน ว่าพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ขัดแย้งกับใคร เราก้าวข้ามความขัดแย้ง เราทำงานร่วมกับบุคคล ที่ตั้งใจมาทำประโยชน์ให้กับประชาชน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 6 เมษายน 2566

“ศ.ดร.นฤมล”นำทัพว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.โซนธนบุรีเหนือ เปิดเวทีปราศรัย ขอโอกาสเลือก พปชร.ทั้งคนทั้งพรรค ลั่นส่งนโยบายสวัสดิการคนเมืองให้ชาว กทม.

1 เม.ย. 2566 พรรคพลังประชารัฐ จัดเวทีปราศรัยย่อยโซนธนบุรีเหนือ”พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ”ที่ สวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 8 โดยมีแกนนำพรรคพลังประชารัฐ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ,ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.และนายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 5 เขต ประกอบด้วย นายอนุชาญ กวางทอง เขตบางขุนเทียน (เฉพาะแขวงท่าข้าม) เขตจอมทอง (ยกเว้นแขวงบางขุนเทียน),นายศันสนะ สุริยะโยธิน เขตธนบุรี (ยกเว้นแขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจีและแขวงบางยี่เรือ) เขตคลองสานเขตราษฎร์บูรณะ (เฉพาะแขวงบางปะกอก),น.ต.นิธิ บุญยรัตกลิน เขตทวีวัฒนา เขตตลิ่งชัน (ยกเว้นแขวงบางเชือกหนัง),น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์ เขตบางกอกน้อย (เฉพาะแขวงศิริราช) เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ (ยกเว้นแขวงบางหว้า แขวงบางแขวงบางด้วนและแขวงคลองขวาง) เขตตลิ่งชัน (เฉพาะแขวงบางเชือกหนัง) เขตธนบุรี (เฉพาะแขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจีและแขวงบางยี่เรือ) และ นายคมสัน พันธุ์วิชาติกุล เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย (ยกเว้นแขวงศิริราช)

ศ.ดร.นฤมล กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า วันนี้ดีใจที่ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรคพลังประชารัฐ ได้มาพบกับชาวฝั่งธน เมื่อปี 62 เราได้รับความเมตตาจากชาวฝั่งธนเลือกผู้สมัครจากพรรคของเรา ในปีนี้เราก็ขอความเมตตาอีกครั้ง แต่ขอเพิ่มเติมอีก 5 เขต นโยบายของพรรคเราครั้งนี้ เป็นพรรคการเมืองแรกที่พูดถึงการดูแลสวัสดิการของพี่น้องประชาชนชาวไทยไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อน ทุกพรรคการเมืองต่างนำถึงรัฐสวัสดิการทั้งหมด แต่เราคือภาพแรกที่เรียกว่า สวัสดิการประชารัฐและเราไม่ใช่แค่พูด แต่พรรคได้ดำเนินการมาต่อเนื่อง ในการทำบัตรประชารัฐขึ้นตั้งแต่ปี 61 โดยเริ่มต้นจากการดูแลกลุ่มเปราะบางก่อนก็คือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยไม่เกิน 100,000 บาทต่อปีก็จะได้รับการดูแลจากภาครัฐ และในอนาคตบัตรประชารัฐ จะดูแลครอบคลุมคนไทยทั้ง 67,000,000 คน ไม่จำเป็นจะต้องมีรายได้น้อยก็จะได้รับการดูแล

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า ชาว กทม.ควรมีสวัสดิการคนเมือง ไม่ว่าจะเป็นการดูแลค่าน้ำ ค่าไฟ ดูแลเรื่องที่พักอาศัย เปลี่ยนจากค่าเช่าบ้านไปกลายเป็นเงินผ่อนบ้านในนโยบายบ้านประชารัฐ 360 องศา รวมไปถึงค่าเดินทาง ค่าไฟ ที่เป็นภาระในการใช้ชีวิตแต่ละวัน ซึ่งผู้สมัคร กทม.ของพรรคพลังประชารัฐ ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจปากท้องของชาวกทม.จึงได้มาพูดคุยกันว่า จะใช้วิธีการใดที่จะไม่เกิดเป็นภาระต่อภาษีของประชาชน และมุ่งเน้นให้ประชาชนกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืนมากขึ้น โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของเศรษฐกิจฐานราก เราต้องหาแหล่งเงินเพื่อพัฒนาประเทศ

“เราจึงได้ข้อสรุปว่าจะใช้ศักยภาพของตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศด้วยการส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุนที่จะมาพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise (SE) ที่มีพระราชบัญญัติรองรับอยู่แล้ว นำมาพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยกลไกของตลาดทุนจะเปิดให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนามากขึ้น แทนที่เราจะเก็บภาษีคนรวยมาช่วยคนจน เราก็ให้คนที่มีเงินเหลือใส่เงินผ่านกองทุนแล้วใช้กลไกกำกับดูแลให้ SE ลงไปทำงานในพื้นที่ก็จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า การดำเนินงานดังกล่าวเป็นแนวทางที่หลายประเทศได้นำไปใช้แล้วเปิดให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมการแก้ไขปัญหาก็จะยั่งยืน ดังนั้นกองทุนดังกล่าวก็จะทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มในท้องถิ่น เกิดขึ้นโดยเฉพาะเด็กจบใหม่ก็จะเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ หรือ ธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยใช้แหล่งเงินจากส่วนนี้ทำให้เกิดการพัฒนาในท้องถิ่น กระจายความเจริญสู่ต่างจังหวัด ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่ กทม.แต่พรรคพลังประชารัฐ จะใช้กลไกนี้ทั่วประเทศ

“การเลือกตั้งครั้งนี้มีการใช้บัตร 2 ใบ ผู้สมัครกับพรรคใช้คนละเบอร์กัน ต้องขอให้พี่น้องทุกคนจดจำหมายเลขของผู้สมัครให้ดี พรรคพลังประชารัฐ เรามองไปถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืน ไม่ได้ต้องมาแข่งเรื่องตัวเลขว่าพรรคการเมืองใด ใครให้มากน้อยกว่ากัน แต่เราต้องการสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนทุกคน เราจึงต้องขอโอกาสประชาชนให้เลือกทั้งคนทั้งพรรค เพื่อที่เราจะเข้าไปสานต่อนโยบายดี ๆ เพื่อคนไทยทุกคน”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ด้านนายศันสนะ ได้กล่าวกับประชาชนว่า จากอดีตตนเคยเป็นผู้สมัคร ส.ส.ในปี 62 มาวันนี้ ตนยังเป็นศันสนะ สุริยะโยธิน ศัน คนเดิม ของคนคลองสาน,ธนบุรี และราษฎร์บูรณะ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ตนทำงานโดยตลอด ไม่เคยทอดทิ้งกัน ซึ่งตนได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารพรรคให้ดูแลพื้นที่เรื่อยมา โดยเน้นไปที่พี่น้องกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ ก็ถือว่าได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันในช่วงวิกฤติการณ์โควิด 19

“วันนี้สิ่งที่ผมต้องการจะผลักดันให้กับชาว กทม.ก็คือการสร้างงาน สร้างอาชีพ หาเงินทุน แก้ปัญหาปากท้อง นโยบายกองทุน SE ไม่ใช่นโยบายขายฝัน เราทำได้จริง และเราพร้อมจะผลักดัน Soft Power ด้านการท่องเที่ยว ให้มีคนเข้ามาเที่ยวในชุมชน ในเขต รวมถึงผลิตสินค้า หรือบริการประจำถิ่นมาขาย โดยพรรคพลังประชารัฐ จะเพิ่มความเป็นได้ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนให้ง่ายขึ้นด้วยกองทุน SE เพื่อที่คนรุ่นใหม่หางานได้ คนรุ่นใหญ่มีงานทำ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 เมษายน 2566

เครือข่ายประชาชนอีสาน (สอส.) สภาประชาชน ๔ ภาค อ.สูงเนิน ต้อนรับ”พล.อ.ธรรมรักษ์”อบอุ่น พร้อมสนับสนุน พปชร.เผย ดีใจ ที่นายพลลูกอีสานกลับมาช่วยชาติ

,

เครือข่ายประชาชนอีสาน (สอส.) สภาประชาชน ๔ ภาค อ.สูงเนิน ต้อนรับ”พล.อ.ธรรมรักษ์”อบอุ่น พร้อมสนับสนุน พปชร.เผย ดีใจ ที่นายพลลูกอีสานกลับมาช่วยชาติ

พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งรับผิดชอบดูแลพื้นที่ภาคอีสาน เดินทางลงพื้นที่อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งทางสภาเครือข่ายประชาชนอีสาน (สอส.) สภาประชาชน 4 ภาค โดยมีนายประพาส โงกสูงเนิน ประธานสภาเครือข่ายประชาชนอีสาน พร้อมประชาชน มาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

นายประพาส กล่าวว่า เครือข่ายประชาชนอีสานขอสนันสนุน พล.อ.ธรรมรักษ์ ที่มาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ โดยวันนี้ พี่น้องชาวอีสานต้องการมาแสดงความยินดีและดีใจที่ พล.อ.ธรรมรักษ์ ได้กลับมาช่วยเหลือประเทศชาติอีกครั้ง รวมถึงต้องการให้กำลังใจนายพลลูกอีสานในการช่วยงาน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ สู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้

ทั้งนี้ ประชาชนที่มาต้อนรับได้สอบถาม พล.อ.ธรรมรักษ์ถึงปัญหาต่าง เช่น การระบาดของยาเสพติดจำนวนมากว่าจะมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างไร รวมไปถึงปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปากท้อง ที่ปัจจุบันค่าครองชีพสูงขึ้น และการปรองดองของคนไทยในสังคม

โดย พล.อ.ธรรมรักษ์ ได้กล่าวว่ากับประชาชนว่า ทุกปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น พล.อ.ประวิตร ได้ทราบและตระหนักดี จึงมีนโยบายในการแก้ปัญหาทุกเรื่องให้กับประชาชนแล้ว ซึ่งหากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล จะเกิดการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมทันที

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 31 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร”นำ พปชร.ปราศรัยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครกำแพงเพชร ยกจังหวัด ลั่น ถึงจะพูดไม่เก่ง สามารถประสานประโยชน์เพื่อ ปชช.ส่งนั่งนายกฯคนที่ 30

,

“พล.อ.ประวิตร”นำ พปชร.ปราศรัยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครกำแพงเพชร ยกจังหวัด
ลั่น ถึงจะพูดไม่เก่ง สามารถประสานประโยชน์เพื่อ ปชช.ส่งนั่งนายกฯคนที่ 30

เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 26 มีนาคม ณ ลานตลาดนัดวันอาทิตย์ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดเวทีปราศรัย นําโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร.,นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ,นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค,นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค,ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรค พปชร.,นายวราเทพ รัตนากร กรรมการฝ่ายนโยบาย โดยมีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร จ.กำแพงเพชร ทั้ง 4 เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน ประกอบไปด้วย นายสุรสิทธิ์ วงศ์วิทยานันท์ ,นายไผ่ ลิกค์ เขต 1 ,นายเพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์ เขต 2 ,นายอนันต์ อำนวยผล เขต 3 ,นายปริญญา ฤกษ์หร่าย เขต 4 โดยบรรยากาศเวทีปราศรัยเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีประชาชนร่วมรับฟังการปราศรัยกว่า 10,000 คน มีการชูป้ายข้อความ นายกฯ คนที่ 30 มาแล้ว ,ประชารัฐ 700 และเรารักลุงป้อม รวมถึงมีการส่งเสียงเชียร์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ให้ได้

พล.อ.ประวิตร กล่าวในเวทีปราศรัยกับประชาชนว่า ตนรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมากที่ได้มาอยู่ท่ามกลางชาวจังหวัดกำแพงเพชร เราจะทำทุกอย่างเพื่อจะก้าวข้ามยากจน ความเจริญรุ่งเรืองของจังหวัดกำแพงเพชรขึ้นอยู่กับความร่วมมือกับชาวกำแพงเพชรและ พปชร. ซึ่งพวกเราพร้อมแล้วที่จะมาทำงานให้กับชาวกำแพงเพชร เราจะร่วมมือกันที่จะพัฒนาจังหวัดกำแพงเพชรให้เจริญอย่างยั่งยืน พรรคพลังประชารัฐได้คัดสรรคนดี คนเก่งที่จะมาเป็นตัวแทนของประชาชน ขอให้เลือกผู้สมัครของเราทั้ง 4 คนด้วย

“พรรคพลังประชารัฐ คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะฉะนั้นนโยบายทุกข้อของเราทำเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่ว่าจะเป็นโครงการบัตรประชารัฐการดูแลผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ รวมถึงการลดราคาน้ำมัน แก๊ส ไฟฟ้า ให้กับทุกคน และเราก็จะดูแลผู้สูงอายุ รวมไปถึงแม่และเด็กในทุกช่วงวัย”
พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาตนได้แก้ปัญหาปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม จะเห็นได้ว่าไม่มีปัญหาภัยแล้งอีกเลยตลอด 4 ปีที่ผ่านมา มีเรา ไม่มีแล้ง อีกต่อไป และเมื่อมีเรา ต้องมีที่ทำกิน ให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน ในส่วนปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมออนไลน์ ที่เป็นอันตรายต่อประเทศ ต้องแก้ปัญหาได้ทันที

“ขอโอกาสจากทุกคน เราจะนำความรัก ความสามัคคีมาสู่ประเทศชาติหมดเวลาแล้วที่คนไทยจะมาทะเลาะกันเอง ต้องจับมือกัน นำประเทศไปสู่ก้าวหน้า เพื่อความสงบของคนไทยทุกคน ฝากกับทุกคนว่า ถ้าอยากให้ประเทศมีความรัก สงบสุข สันติภาพเกิดขึ้น และมีความเป็นหนึ่งเดียวต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น ผมพูดไม่เก่ง แต่ทำงานประสานเพื่อประโยชน์ของประชาชนได้ และนำพาคนเก่ง ๆ มาทำงานให้กับประชาชนได้”

ด้านนายวราเทพ กล่าวปราศรัยว่า ในตอนนี้จังหวัดกำแพงเพชร เป็นจังหวัดที่เนื้อหอมมากที่สุดเพราะทุกพรรคการเมืองอยากจะได้ทีม ส.ส.ชุดนี้ไปอยู่ด้วย เพราะเชื่อมั่นว่าเป็น ส.ส.ที่มีคุณภาพ เมื่อส่งลงสมัครรับเลือกตั้งแล้วประชาชนจะให้การสนับสนุน ตอนนี้ขอเพียงแค่ชาวกำแพงเพชรให้สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ เพื่อไปเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และสานต่อนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพราะเมื่อครั้งที่ผ่านมา หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี จึงไม่สามารถดำเนินการนโยบายต่างๆได้ทั้งหมด แต่ครั้งนี้ หาก พล.อ.ประวิตร ได้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี นโยบายทุกข้อที่พรรคพลังประชารัฐประกาศเอาไว้กับประชาชน จะถูกผลักดันและดำเนินการในทันที

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวปราศรัยว่า จังหวัดกำแพงเพชรเป็นจังหวัดที่มีโอกาสที่จะมีตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่แทนทุกคนถึงห้าท่าน ตนการันตีว่าทั้งห้าคนทำงาน ส.ส.อย่างมีประสิทธิภาพ ฝากไปบอกพรรคอื่นเลยว่าใครที่คิดจะเข้ามาตีกำแพงเพชรเป็นไปไม่ได้ เพราะเราจะตั้งป้อมไว้หน้ากำแพงเพชรใครเข้ามาเอาตีป้อมของเราได้

“พลังประชารัฐของเราจะก้าวข้ามความขัดแย้งสีเหลืองสีแดงจะไม่มีเกิดขึ้นในประเทศไทยอีก เรามีธงชาติคืนเดียวสามสีคือขาว แดง น้ำเงิน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทรงอยู่คู่กับคนไทยนำประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน ผมขอประกาศทำสงครามกับที่ดินเถื่อน ที่ทำกินของพี่น้องประชาชนจะต้องไม่มีที่ดินเถื่อน”

ร.อ.ธรรมนัส กล่าว พรรคพลังประชารัฐมีบุคลากรที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ อย่างเช่น ท่านวราเทพ ที่ถือเป็นเพชรเม็ดงามชาวกำแพงเพชร เพราะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังนโยบายดี ๆ เพื่อประชาชนอย่าง บัตรประชารัฐ และครั้งนี้ก็เช่นกัน เพราะเราจะดูแลกลุ่มเปราะบางอย่าง ผู้สูงอายุ

นายชัยวุฒิ ได้กล่าวว่า ขอขอบคุณชาวกำแพงเพชรที่เคยสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐเลือกผู้สมัครเรายกจังหวัด ครั้งนี้นโยบายของเราประชาชนได้ประโยชน์จริง เราทำจริง สิ่งใดที่เคยทำเอาไว้แล้วประโยชน์ตกอยู่ที่ประชาชนเราก็จะทำต่อไป

“บางพรรคการเมืองคิดไกลเกินไป ผมรู้ว่าคิดอะไร บอกไม่อยากเปลี่ยนรัฐบาล แล้วอยากเปลี่ยนอะไร ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ปลุกระดมประชาชน เนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ การก้าวข้ามความขัดแย้งจึงจำเป็นต้องเกิดขึ้น เรื่องไหนที่ประชาชนทะเลาะกัน เราจะไม่พูด เราจะไม่ทำ บ้านเมืองสงบสุข ประชาชนก็อยู่ดีมีสุข แต่ถ้าเราไม่ยอมก้าวข้าม แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งสีอยากจะเปลี่ยนสิ่งที่ทำไม่ได้ ที่คนไทยรับไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้น เราก็ต้องกลับมาทะเลาะกันอีก ผลสุดท้าย คนไทยทุกคนคือ คนที่เดือดร้อน”

นายชัยวุฒิ ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า วันนี้ติดตามจากสื่อเห็นว่าโพลต่าง ๆ ไม่มีชื่อของ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่รู้ว่าลืมใส่ หรือลุงป้อมไม่ได้จ่ายเงิน การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของพวกเรา เพราะเรามีนโยบาย มีความตั้งใจที่จะทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน และเขาก็จะผลักดันให้พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อนำนโยบายต่างๆ มาทำประโยชน์ให้กับประชาชน ไม่มีการสืบทอดอำนาจ ไม่มีการเอาเปรียบใคร ทุกอย่างเป็นไปตามประชาธิปไตย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 27 มีนาคม 2566

“ร.อ.ธรรมนัส” เชื่อชาวกำแพงเพชรเทคะแนนให้ผู้สมัครส.ส. พปชร.ทั้ง 4 เขต หลังโชว์ผลงานสร้างชื่อในสภาฯ มั่นใจเลือกตั้งครั้งนี้ภาคเหนือได้มากกว่าเดิม

,

“ร.อ.ธรรมนัส” เชื่อชาวกำแพงเพชรเทคะแนนให้ผู้สมัครส.ส. พปชร.ทั้ง 4 เขต
หลังโชว์ผลงานสร้างชื่อในสภาฯ มั่นใจเลือกตั้งครั้งนี้ภาคเหนือได้มากกว่าเดิม

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีต ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานภาคเหนือ กล่าวว่า ส.ส.หน้าเก่าของพรรคพลังประชารัฐทั้ง 4 คน ได้แก่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 ท่าน ได้แก่ ส.ส.สุรสิทธิ์ วงษ์วิทยานันท์ (บัญชีรายชื่อ) ส.ส.ไผ่ ลิกค์ เขต 1 ส.ส.เพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์ เขต 2 ส.ส.อนันต์ ผลอำนวย เขต 3 ส.ส.ปริญญา ฤกษ์หร่าย เขต 4รวมถึง ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นอดีต ส.ส.เกรดคุณภาพ และเป็นคนตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องชาวกำแพงเพชร อย่างเช่น นายอนันต์ อำนวยผล ก็เข้าสภาฯไปทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร ดูแลจัดการหลายๆ อย่าง และอีกหลายคนที่เข้าไปสร้างผลงานและชื่อเสียงให้กับชาวกำแพงเพชร ตนจึงเชื่อมั่นว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ชาวกำแพงเพชรจะเทคะแนนให้กับผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐอีกครั้งอย่างแน่นอน

ร.อ.ธรรมนัส ยังกล่าวถึง ภาพรวมในพื้นที่ภาคเหนือที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลว่า เมื่อการเลือกตั้งปี 62 ภาคเหนือทั้ง 17 จังหวัด เราได้ ส.ส.มาทั้งหมด 25 ที่นั่งครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เราก็จะทำให้ดีที่สุด เพื่อรักษาฐานที่มั่นเอาไว้ให้ได้ อย่างเช่นภาคเหนือตอนบนก็มีอยู่หลายจังหวัดเช่น ลำปาง,แพร่,น่าน และเชียงราย เราก็พยายามจะผลักดันผู้สมัครให้เข้าวินให้ได้ ตนมั่นใจว่าจะทำให้มากที่สุด และจะต้องมากกว่าเดิม เพราะเรา มีเวลาทำงานเตรียมพร้อมมาแล้วถึง 4 ปี


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 มีนาคม 2566