โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: ข่าวกิจกรรมพรรค

ศ.ดร.นฤมล”เตรียมผลักดันกรุงเทพฯเป็นศูนย์การกลุ่มสื่อสารและดิจิตอล เชื่อ การท่องเที่ยวยังไปได้อีกไกล ขอโอกาส”พลังใหม่”เข้าไปเพิ่มพลังเศรษฐกิจ เพิ่มพลังชีวิตให้กับทุกคน

,

ศ.ดร.นฤมล”เตรียมผลักดันกรุงเทพฯเป็นศูนย์การกลุ่มสื่อสารและดิจิตอล เชื่อ การท่องเที่ยวยังไปได้อีกไกล ขอโอกาส”พลังใหม่”เข้าไปเพิ่มพลังเศรษฐกิจ เพิ่มพลังชีวิตให้กับทุกคน

เมื่อเวลา 18.40 น.ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวปราศรัยบนเวที”พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ”ว่า ตนขอเป็นตัวแทนผู้สมัครทั้ง 33 คน มาบอกเล่าว่า เราได้ทำอะไรกันมาบ้าง ทุกคนมีพลังและอยากจะเปลี่ยนผ่าน นำพาสิ่งดีๆ มาสู่พี่น้องชาวกรุงเทพฯของเรา โดยผู้สมัครของเราอยากจะเพิ่มพลังให้คนกรุง โดยเรื่องที่พี่น้องประชาชนต้องการให้เราแก้คือ ปัญหาเศรษฐกิจ เราก็พร้อมที่จะตอบสนองต่อความต้องการของทุกคน

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า เราจะกระจายเพิ่มรายได้ให้กับคนทุกกลุ่ม และลดค่าของชีพ ลดค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นการเพิ่มเงินในกระเป๋า ทุกคนจะต้องมีเงินเหลือเพิ่มขึ้นกรุงเทพมหานครเป็นเมืองเศรษฐกิจหลักของประเทศ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ร้อยละ 25 มาจากกรุงเทพมหานคร ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมค่าปลีกและค้าส่ง อุตสาหกรรมท่องเที่ยว อุตสาหกรรมภัตตาคารอุตสาหกรรมโรงงาน อุตสาหกรรมขนส่งและอุตสาหกรรมสื่อสาร โดยเราจะผลักดันให้กรุงเทพฯเป็นศูนย์การของกลุ่มสื่อสารและดิจิตอล โดยการดึงกลุ่มดิจิตอล โนมาด( Nomad)เข้ามาอาศัย เพื่อขยายตัวอุตสาหกรรม โดยการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้อีกมาก เราจะต้องดันนักท่องเที่ยวให้เที่ยวทั่วกรุงเทพ และสนับสนุนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม เพื่อผลักดันและขยายเศรษฐกิจ

“กรุงเทพของเราได้รับการโหวตเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มของดิจิตอล โนมาด( Nomad) ว่าเป็นเมืองที่ดีที่สุด เมื่อดูจากคะแนนของผ่านชุมชนออนไลน์ โดยเฉพาะกลุ่มของดิจิตอลโนมาด( Nomad) นักท่องเที่ยวเหล่านี้ไม่ใช่มาอยู่เมืองไทยเพียงแค่วันหรือสองวัน แต่พวกเขามาอยู่นานเป็นเดือน เป็นปี โดยพวกเขาต้องการที่จะมาเที่ยวในเชิงวัฒนธรรม อยากจะรู้จักชีวิต ความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ และนำวัฒนธรรมเหล่านี้ไปสร้างแรงบันดาลใจในงานสร้างสรรค์ของเขา”

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า กรุงเทพมหานครมีย่านที่มีชื่อเสียงมากมาย ที่จะสามารถสร้างรายได้ให้กับพี่น้องในทุกชุมชน ในทุกเขต นอกจากการเพิ่มพลังเศรษฐกิจแล้วเราจะเพิ่มพลังชีวิต ซึ่ง กรุงเทพมหานครมีจำนวนประชากรกว่า 5.5 ล้านคน แต่หากกลุ่มประชากรที่เข้ามาอาศัยถึง 11 ล้านคน หากเพิ่มประชากรแฝง อาจมากถึง 15 ล้านคน สิ่งสำคัญคือเมืองใหญ่อย่างเดียวไม่พอแต่เมืองต้องมีสภาพแวดล้อมที่พร้อมรองรับการอยู่อาศัยของผู้คน พลังประชารัฐจะมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชากรที่อยู่และเข้ามาอาศัย โดยการพัฒนาแรงงานให้มีคุณภาพ เราจะมีกลุ่มพัฒนาทักษะ ทุกเขต มีการเรียนฟรี อบรมฟรี รวมถึงสนับสนุนการจ้างงาน และเป็นสื่อกลางระหว่างเอกชนและแรงงาน

ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล กล่าวทิ้งท้ายว่า พรรคพลังประชารัฐ ขอโอกาสให้พลังใหม่ ทั้ง 33 คนของเรา ได้เข้าไปช่วยเพิ่มพลังให้กับพี่น้อง กทม.เพิ่มพลังเศรษฐกิจ เพิ่มพลังชีวิตให้กับทุกคน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18 มีนาคม 2566

“สันติ”ชู นโยบาย วางผังเมืองใหม่ตอบโจทย์ปชช. แก้ปัญหาลดความแออัด ลดต้นทุนค่าขนส่งสร้างศก.ประเทศ

,

“สันติ”ชู นโยบาย วางผังเมืองใหม่ตอบโจทย์ปชช.
แก้ปัญหาลดความแออัด ลดต้นทุนค่าขนส่งสร้างศก.ประเทศ

เมื่อเวลา 17.50 น.นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวปราศรัยบนเวที”พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ”ว่า พรรคพลังประชารัฐจะก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อนำไปสู่ความสามัคคีของคนในชาติ ลดความเหลื่อมล้ำในทุกรูปแบบ วันนี้พลังประชารัฐมีความตั้งใจที่จะส่งตัวแทนของพรรคครบทุกเขตทั่ว กทม. เพื่อที่ผู้สมัครของเราจะได้ลงไปรับใช้ รับฟังปัญหา เพื่อนำมาแก้ไข และพัฒนาให้ทันกับยุคสมัย

“เรามีความตั้งใจที่จะพัฒนากรุงเทพมหานครให้ก้าวทันนวัตกรรมของโลก รูปแบบการบริหารจัดการ กทม.ที่มีพื้นที่แออัด จึงทำให้การพัฒนาของกรุงเทพมหานครเป็นไปอย่างคนละทิศละทาง ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐจึงได้ส่งผู้สมัครของเราลงไปทำงานในทุกเขต ว่าจะดำเนินการอย่างไรในเรื่องการวางผังเมือง พี่น้องประชาชนจะรู้ว่าการเดินทางในการใช้ชีวิตประจำวันเผชิญกับรถติดบนท้องถนน ก็เป็นเพราะการวางผังเมืองที่ไม่เคยวางให้สอดคล้องกับประชาชน แต่เป็นการวางโดยตอบสนองผู้มีอำนาจภายในประเทศเท่านั้น แต่หลังการเลือกตั้งครั้งนี้ หากผู้แทนฯของเราได้เข้าไปทำงานผังเมืองพวกนี้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง

นายสันติ ยังกล่าวต่อว่า พรรคของเราจะพัฒนารถไฟฟ้าให้ครอบคลุมทุกเส้นทาง ทุกพื้นที่ และที่สำคัญเราจะต้องมีบริการ Shuttle Bus เพื่อลดการใช้รถยนต์รถส่วนตัว เพื่อความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชน จากหมู่บ้านจะนำท่านมาส่งที่สถานีรถไฟฟ้าและจากสถานีไปถึงที่บ้าน ทำให้เกิดความอบอุ่นในครอบครัว

“เราจะแออัดการกระจายความเจริญจากกรุงเทพมหานคร สู่จังหวัดชานเมือง เพื่อประชาชนคนทำงานจะไม่ต้องเดินทางไกลในการมาทำงานอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีความจำเป็น ก็จะต้องขยายสถานที่ตั้งออกไป”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18 มีนาคม 2566

“อุตตม” ชูนโยบาย พปชร.เพิ่มประกันชีวิตบัตรประชารัฐ วงเงิน 200,000 บาทต่อราย เดินหน้าตั้งกองทุนประชารัฐ ปลดภาระ สร้างรายได้ แก้หนี้ ให้ทุกคน

,

“อุตตม” ชูนโยบาย พปชร.เพิ่มประกันชีวิตบัตรประชารัฐ วงเงิน 200,000 บาทต่อราย เดินหน้าตั้งกองทุนประชารัฐ ปลดภาระ สร้างรายได้ แก้หนี้ ให้ทุกคน

เมื่อเวลา 17.30 น.นายอุตตม สาวนายน ประธานจัดทำนโยบาย กล่าวว่า วันนี้มาเปิดเวที”พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ”ใหญ่นำโดยหัวหน้าพรรค พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ผู้ และ ว่าที่ผู้สมัครของพรรคมากันครบทุกเขต เพื่อแสดงเจตจำนงว่าจะมาทำงานด้วยความมุ่งมั่นเพื่อพี่น้องชาวกทม.และประเทศไทย โดยแสดงเจตจำนงว่า เราจะทำงานอย่างมุ่งมั่น เพื่อพี่น้องประชาชนชาวกรุงเทพและทุกจังหวัดของประเทศไทย กทม.ต้องเป็นหัวขบวน เพื่อเป็นศุนย์กลางของเกือบทุกกิจกรรม ถ้าให้นำไปเทียบกับนานาประเทศแล้ว ต้องบอกว่ากรุงเทพของเราไม่น้อยหน้าประเทศไหน

“ผมขอพูดถึงนโยบายเพื่อชาว กทม.อย่าง กรุงเทพ +5 คือพื้นที่ กทม.บวกกับ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานีสมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา และ กรุงเทพฯต้องเป็นศูนย์กลางพัฒนา 360 องศา รวมถึงการกระจายความแออัดจาก กทม.ไปยังจังหวัดปริมณฑลที่มีของดีไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงแหล่งอาหารขนาดใหญ่ ที่เตรียมรอให้เราไปพัฒนา ทั้งนี้ เราจะสร้างเศรษฐกิจย่าน กทม.10 ย่านนำร่องไม่ว่าจะเป็นเขตลาดพร้าว เขตประเวศ เพื่อยกระดับและพัฒนาศักยภาพของพื้นที่ โดยการดึงจุดเด่นของแต่ละพื้นที่ออกมา โดยมีการเชื่อมโยงการคมมนาคมที่สะดวกและรวดเร็ว เพื่อเป้าหมายในการเติมเต็มความสุขให้กับคนเมืองให้ได้”

นายอุตตม กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐจะตั้งกองทุนประชารัฐ เพื่อปลดภาระ เพิ่มรายได้ และสร้างโอกาส แก้หนีัให้เบ็ดเสร็จ เติมทุนใหม่ แล้วเสริมทักษะ ในกรอบวงเงิน 300,000 ล้านบาท เพื่อนำมาแก้หนี้ให้เบ็ดเสร็จ โดยกองทุนจะมีการให้กู้ยืมเพื่อประกอบอาชีพยกตัวอย่างเช่น การกู้เงินจำนวน 50,000 บาท จะใช้เวลาผ่อน 7 ปี ซึ่งจะตกวันละ 24 บาท โดยดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 5

นอกจากนี้ เราจะลงทุนพัฒนาในย่านเศรษฐกิจ และมีการจัดทุนตั้งต้นให้กับธุรกิจสตาร์ทอัพ รวมไปถึงการพัฒนาการค้าขายในรูปแบบแฟรนไชส์ พรรคพลังประชารัฐ ยังมีนโยบายดูแลค่าใช้จ่าย เช่นจะช่วยค่าใช้จ่ายตั้งแต่ตั้งครรภ์ถึงหกขวบ โดยกลุ่มคนนี้จะมีประมาณ 266,000 คน และยกเว้นภาษีบุคคลธรรมดาผู้มีรายได้ไม่เกิน 500,000 บาทต่อปีทุกอาชีพ รวมถึฝบ้านหลังแรกสามารถนำค่าผ่อนบ้านมาลดภาษีได้ 200,000 บาท ทั้งนี้ ในส่วนของบัตรประชารัฐ 700 บาทต่อเดือนที่ประชาชนคงจะทราบกันไปแล้ว แต่เราจะมีการเพิ่มการใช้บัตรให้ครอบคลุม เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าเดินทางสาธารณะ วินมอเตอร์ไซค์ แท็กซี่ และอื่นๆ เพื่อให้ความสะดวกสบายกับประชาชนมากขึ้น และเราจะมีการประกันชีวิตในวงเงิน 200,000 บาทต่อราย ฟรี

วันนี้ไทยอยู่ในจุดพลิกผัน เราต้องช่วยปรับเปลี่ยนประเทศ เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้พี่น้อง และเร่งวางรากฐานการพัฒนาสู่อนาคตที่ยั่งยืนให้ลูกหลาน แต่จะทำเช่นนี้พปชร. เชื่อว่ากทม.ต้องเป็นหัวขบวนนำการเปลี่ยนแปลง พลิกฟื้นประเทศไทย และ โฉมประเทศไทย โดยให้กรุงเทพเป็นหัวขบวน ทำไมต้องกรุงเทพฯ เพราะเราเป็นจุดศูนย์กลางของกิจกรรมทั้งหลาย โดยเฉพาะในเชิงเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและอื่นๆ มีการคมนาคมที่หลากหลาย เราเป็นเมืองที่เรียกว่ามหานคร มีประชากรรวมๆ 10 กว่าล้านคน เทียบกับทั่วโลกขนาดเราไม่น้อยหน้า แต่เรายังไม่ได้ใช้ของที่เรามีเต็มศักยภาพ

วันนี้ไทยอยู่ในจุดพลิกผัน เราต้องช่วยปรับเปลี่ยนประเทศ เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้พี่น้อง และเร่งวางรากฐานการพัฒนาสู่อนาคตที่ยั่งยืนให้ลูกหลาน แต่จะทำเช่นนี้พปชร. เชื่อว่ากทม.ต้องเป็นหัวขบวนนำการเปลี่ยนแปลง พลิกฟื้นประเทศไทย และ โฉมประเทศไทย โดยให้กรุงเทพเป็นหัวขบวน ทำไมต้องกรุงเทพฯ เพราะเราเป็นจุดศูนย์กลางของกิจกรรมทั้งหลาย โดยเฉพาะในเชิงเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและอื่นๆ มีการคมนาคมที่หลากหลาย เราเป็นเมืองที่เรียกว่ามหานคร มีประชากรรวมๆ 10 กว่าล้านคน เทียบกับทั่วโลกขนาดเราไม่น้อยหน้า แต่เรายังไม่ได้ใช้ของที่เรามีเต็มศักยภาพ

วันนี้พรรคขอนำเสนอ เรื่องแรก คือ กรุงเทพ+5 (นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และ ฉะเชิงเทรา) สู่มหานครแห่งเอเชีย นั่นคือการพัฒนาอย่างยึดโยง มีศูนย์กลางที่กรุงเทพ แล้วบวกกับปริมณฑล นำศักยภาพแต่ละแห่งมาเสริมกันให้เต็ม เริ่มจากรุงเทพที่มีของดีล้นเหลือ เราจะพัฒนาพื้นที่แต่ละย่าน โดยยึดถืออัตลักษณ์ของแต่ละย่าน ส่งเสริมให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย และ ระดับเอเชีย เป็นมหานครที่คนต่างประเทศอยากเข้ามาค้าขายลงทุน

จากนั้นเรายึดโยงกับปริมณฑลรอบๆ เช่น นครปฐม มีจุดเด่นที่มหิดล ศาลายา ที่มีความก้าวหน้าระดับโลก เราทำให้พื้นที่ย่านนั้นให้เป็นเมืองแห่งนวัตกรรมด้านของเทคโนโลยีอาหาร ชีวภาพ แม้โรบอติก ที่มหิดลถนัด ขณะที่สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่ค้าขาย ลงทุน เราก็ต่อยอดอุตสาหกรรมใหม่ รถไฟฟ้า อีคอมเมิร์สเกิดได้เลย ส่วน ปทุมธานี นนทบุรี อากาศดี ทำเป็นเมืองที่อยู่อาศัยชั้นนำ นี่เป็นเพียงตัวอย่าง เราสามารถคิดพัฒนาเชื่อมโยง กระจายความแออัดจากรกรุงเทพออกไป สุดท้ายเติมความสุขให้คนเมือง ทำแล้วต้องมีความสุข เราจะทำยังไง พูดแล้วเหมือนฝัน ยืนยันว่าพปชร.ทำได้จริง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18 มีนาคม 2566

พปชร.ยกทัพใหญ่ ปราศรัยลานคนเมือง เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.33เขต “สนธิรัตน์”ประเดิมเปิดเวทีคนแรก ลั่น พร้อมแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เพื่อคนกรุง

,

พปชร.ยกทัพใหญ่ ปราศรัยลานคนเมือง เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.33เขต “สนธิรัตน์”ประเดิมเปิดเวทีคนแรก ลั่น พร้อมแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เพื่อคนกรุง

พรรคพลังประชารัฐ ได้เปิดเวทีปราศรัยที่ลานคนเมือง ศาลาว่าการ กทม.ภายใต้ชื่อ”พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ”นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง และเลขาธิการพรรค,นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ,ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิก,นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ.นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง,นายอุตตม สาวนายน ประธานจัดทำนโยบาย,นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์

โดย พรรคพลังประชารัฐได้เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 33 เขต ประกอบด้วย เขต 1 พระนคร สัมพันธวงศ์ ดุสิต บางรัก นายสฤษดิ์ ไพรทองิ, เขต 2 สาทร ราชเทวี ปทุมวัน นายพณิชย์ วิทยาภัทร์, เขต 3 บางคอแหลม ยานนาวา น.ส.ชญาภา ธารดำรงค์ , เขต 4 คลองเตย วัฒนา นายภูวกร ปรางภรพิทักษ์

เขต 5 ห้วยขวาง วังทองหลาง นายกานต์ กิตติอำพน ,เขต 6 ดินแดง พญาไท ร.อ.รชฏ พิสิษฐบรรณกร , เขต 7 บางซื่อ ดุสิต ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช, เขต 8 จตุจักร หลักสี่ นายรังสรรค์ กียปัจจ์ , เขต 9 บางเขน จตุจักร หลักสี่ นายปราโมทย์ เพ็ชรฤทธิ์ , เขต 10 ดอนเมือง ภญ.สุชาดา เวสารัชตระกูล

เขต 11 สายไหม น.อ. บัญชาพล อรัณยะนาค, เขต 12 บางเขน สายไหม ลาดพร้าว ภญ.นพวรรณ หัวใจมั่น , เขต 13 ลาดพร้าว วังทองหลาง นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ , เขต 14 บางกะปิ วังทองหลาง น.ส. นฤมล รัตนาภูบาล , เขต 15 คันนายาว บึงกุ่ม น.ส.ณิรินทร์ เงินยวง ,เขต 16 คลองสามวา นายกิติภูมิ นีละไพจิตร, เขต 17 หนองจอก คลองสามวา นายศิริพงษ์ รัสมี
เขต 18 หนองจอก มีนบุรี ลาดกระบัง นายพีระพงษ์ รัสมี , เขต 19 มีนบุรี สะพานสูง นางนาถยา แดงบุหงา ,เขต 20 ลาดกระบัง นายบุญรุ่ง เต๋งจงดี, เขต 21 ประเวศ สะพานสูง น.ส.แพรว กิจสุวรรณ, เขต 22 สวนหลวง ประเวศ นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ,เขต 23 พระโขนง บางนา นายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ

เขต 24 คลองสาน ธนบุรี ราษฎรบูรณะ นายศันสนะ สุริยะโยธิน , เขต 25 ทุ่งครุ ราษฎร์บูรณะ นายระพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธา , เขต 26 จอมทอง บางขุนเทียน นายสุวัฒน์ ม่วงศิริ , เขต 27 บางบอน บางขุนเทียน นายสาโรจน์ ซึ้งไพศาลกุล ,เขต 28 หนองแขม บางบอน จอมทอง นายมานพ มารุ่งเรือง , เขต 29 บางแค หนองแขม นายเอกชัย ผ่องจิตร์ , เขต 30 บางแค ภาษีเจริญ นายสิทธิโชค คล้อยแสงอาทิตย์, เขต 31 ทวีวัฒนา ตลิ่งชัน น.ต.นิธิ บุญยรัตกลิน ,เขต 32 บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ ภาษีเจริญ ตลิ่งชัน ธนบุรี น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์ และเขต 33 เขตบางพลัด บางกอกน้อย นายคมสัน พันธุ์วิชาติกุล

เมื่อเวลา 17.20 น.นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ ได้กล่าวปราศรัยว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคการเมืองที่ตนก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 61 และ คน กทม.ก็ให้ความไว้วางใจกับพรรคของเรา การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐได้คัดสรรผู้สมัครคุณภาพทั้ง 33 เขต มาผสมกับผู้สมัครรุ่นเก๋าที่จะมาร่วมใจกันเปลี่ยนแปลงกรุงเทพมหานครให้ดีขึ้น ครั้งนี้ถือเป็นเวทีเป็นไม้แรก ของขุนพลพลังประชารัฐกทม. ซึ่งในวันนี้เป็นวันที่ประกาศเปิดตัวทั้ง 33 เขต มั่นใจถึงความพร้อมทั้งตัวบุคคลและนโยบาย ตนขึ้นเวทีเป็นคนแรกเพื่อบอกว่า พปชร.ในอดีตที่พี่น้องกทม.ให้ความไว้วางใจ มีสส.กทม.12 คน ตนจึงเป็นสัญลักษณ์ว่าในอดีตที่พี่น้องให้กำลังใจนั้น วันนี้มาเชื่อมโยงให้การเลือกตั้งครั้งนี้สำเร็จ ซึ่งพรรคคัดผู้สมัครคุณภาพ 33 เขต ผสมผสานระหว่างผู้สมัครตัวเก๋า และ รุ่นใหม่ที่จะเป็นขวัญใจพี่น้องกทม.

” แน่นอนว่า ปัญหาของ กทม. ที่นับวันจะรุนแรงขึ้น คือเรื่องมลภาวะทางอากาศ หรือฝุ่น PM 2.5 ที่กำลังสร้างปัญหาให้กับผู้สูงอายุรวมไปถึงเด็ก ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยทางระบบหายใจมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นพรรคประชารัฐจะนำอากาศบริสุทธิ์ กลับคืนมาให้กับคนไทยทุกคน เรื่องการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 คือปัญหาเร่งด่วน เพราะถือเป็นปัจจัยสำคัญของคนทุกชนชั้น ขอให้ทุกคนไว้วางใจผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ เลือกพวกเขาเข้ามาเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนทุกคนทั้ง 33 เขต เพราะพลเอกประวิตรหัวหน้าพรรคของเรา ได้ประกาศเอาไว้แล้วว่า หากได้เข้ามาเป็นรัฐบาลปัญหาฝุ่น PM 2.5 จะต้องได้รับการแก้ไขทั้งพื้นที่ กทม.และทั่วประเทศ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18 มีนาคม 2566

พล.อ.ประวิตร’นำทีม พปชร.เปิดเวทีใหญ่ปราศรัยนราธิวาส นำคืนความสงบหนุนพัฒนาเศรษฐกิจใน 3 จ.ชายแดนใต้

,

พล.อ.ประวิตร’นำทีม พปชร.เปิดเวทีใหญ่ปราศรัยนราธิวาส นำคืนความสงบหนุนพัฒนาเศรษฐกิจใน 3 จ.ชายแดนใต้

เมื่อเวลา 17.15 น. พรรคพลังประชารัฐได้เปิดเวทีปราศรัย ที่สวนมิ่งขวัญประชา อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส นำโดยพล.อประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส. บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ,ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า โดยมี นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 จ.นราธิวาส,นายแพทย์แวมาฮาดี แวดาโอะ หรือ หมอแว ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พปชร.เขต 1 จ.นราธิวาส,นายฮามีร ซารีคาน ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พปชร.เขต 4 และ นายอามินทร์ มะยูโซะ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พปชร.เขต 2 จ.นราธิวาส ให้การต้อนรับ

พล.อ.ประวิตร กล่าวปราศรัยว่า พรรคพลังประชารัฐของเรา ใจถึงพึ่งได้ ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง แต่สามารถทำงานทุกอย่างได้รวดเร็วตามความต้องการของพี่น้องประชาชนได้อย่างแน่นอน ผมมาที่นี่ในวันนี้เพราะต้องการสร้างความมั่นใจให้กับทุกคนว่า ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐทุกคนพร้อมแล้วทั้ง 400 เขต โดยเราได้พิจารณาคัดสรรคนดี มีความตั้งใจจริงที่จะเข้ามาทำงานให้กับพี่น้องทุกคน

“พรรคพลังประชารัฐให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาโดยตลอด ซึ่งระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ผมได้ทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) ก็ได้พยายามทำทุกอย่างเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนภาคใต้ทุกคน ซึ่งจะเห็นได้ว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้มีการพัฒนา ก้าวหน้าในหลายเรื่อง เช่น เรื่องน้ำ ผมได้พยายามทำทุกอย่างให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีน้ำกินน้ำใช้ และเพื่อการเกษตร นำมาซึ่งเศรษฐกิจที่ดีขึ้น”

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ในส่วนปัญหาความสงบที่เคยขึ้นรัฐบาลก็ได้แก้ไขจนปัญหาลดลงไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นว่ารัฐบาลสามารถดำเนินการจัดการให้เกิดความสงบขึ้นภายในประเทศไทยได้ อย่างไรก็ตาม พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายที่จะกำหนดพื้นที่ลดความรุนแรง และยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ได้ภายในปี 2570 เราจะทำให้พี่น้องอยู่ได้อย่างสงบสุขด้วยความเข้าใจร่วมกัน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ทุกคนก็คือคนไทย

“ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต้องมีงาน มีเงิน มีรายได้ มีความหวัง มีโอกาส ทุกคนต้องเท่าเทียมกันโดย โดยที่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม พรรคพลังประชารัฐ จะผลักดันธุรกิจส่งออกอาหารฮาลาลไปทั่วโลก รวมถึงส่งเสริมการปลูกพืชพลังงาน อาหารสัตว์ และจะผลักดันให้เขตเศรษฐกิจใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คู่ขนานไปกับ 3 รัฐของประเทศมาเลเซีย เราจะต้องเท่าเทียมกับเขา ถ้าพรรคพลังประชารัฐได้เข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้งเราจะทำทุกอย่างเพื่อประชาชนใน3 จังหวัดชายแดนภาคใต้”

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวแนะนำ และฝากว่าที่ผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ พร้อมระบุว่าขอให้เลือกพรรคพลังประชารัฐ เพื่อเข้าไปเป็นตัวแทนของพวกท่าน เพราะบุคคลเหล่านี้จะเข้าไปทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น ถึงแม้ผมพูดไม่เก่ง แต่ผมทำงานได้เพื่อประชาชน อนาคตรอเราอยู่ข้างหน้า ผมถือโอกาสวันนี้มอบความรักและความปรารถนาดีให้กับทุกคน ขอให้เชื่อมั่นในความรักความสามัคคีเชื่อมั่นในความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคพลังประชารัฐมีความปรารถนาดีต่อพ่อแม่พี่น้อง ต่อประเทศชาติ เพื่อให้ประเทศของเราเกิดความสงบสุข มีความมั่นงคง และประชาชนมีความสุข

สำหรับบรรยากาศเวทีปราศรัยเป็นไปอย่างคึกคัก โดยพล.อ.ประวิตรได้เดินพบปะ ทักทายประชาชน พร้อมถ่ายรูป อย่างเป็นกันเอง โดยประชาชนที่มารอรับต่างถือป้ายข้อความ นายกฯ คนที่ 30 มาแล้ว, ประชารัฐ 700 และเรารักลุงป้อม รวมถึงมีการส่งเสียงเชียร์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ให้ได้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18 มีนาคม 2566

พปชร. เปิดเวทีสะท้อนปัญหาถกสุขภาพประชาชน ร่วมค้นหาทางออก เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิต

,

พปชร. เปิดเวทีสะท้อนปัญหาถกสุขภาพประชาชน ร่วมค้นหาทางออก เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิต

วันที่ 15 มีนาคม 2566 นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ทีมโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร. ) และภญ.นพวรรณ หัวใจมั่น ว่าที่ผู้สมัครส.ส.กทม.เขตบางเขน ร่วมการเสวนาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อ “สานพลัง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต” โดยหน่วยงานสาธารณสุข ประกอบด้วย นายแพทย์จิรวัฒน์ เชี่ยวเฉลิมศรี อาจารย์อายุรแพทย์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันทางคลินิก ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรนีนครินทร์วิโรฒ และศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม ร่วมถ่ายทอดความรู้การดูแลสุขภาพให้กับประชาชน ซึ่งในครั้งนี้มีประชาชนเข้ามาร่วมรับฟังแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันอย่างถูกวิธี

โดยนายรัฐภูมิ เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้รับการร้องเรียนถึงปัญหาจากผลกระทบการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ที่ผ่าน มีผลต่อการดำรงชีวิตที่ต้องเผชิญต่อปัจจัยเสี่ยงในโรคภัยต่างๆ เช่น ภูมิแพ้ ซึ่งมาจากเรื่องสุขภาพและสภาวะอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลง

เวทีครั้งนี้เป็นการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในเรื่องปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นและมีผลต่อการดำเนินชีวิตและปากท้องในการประกอบอาชีพ จึงเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เฉพาะทางมาให้ความรู้และแนวทางการปฏิบัติตัว ทั้งด้านการป้องกันส่วนบุคคล และระดับชุมชนที่จะหาเครื่องมือในการป้องกันหรือบรรเทาปัญหาสุขภาพ ที่จะนำไปสู่แนวทางการช่วยเหลือให้ตรงจุด สอดรับกับแนวทางของพรรคในการดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนทุกกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นนโยบายของพรรคในการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และก้าวข้ามความขัดแย้ง พัฒนาทุกพื้นที่

“เราจะรวบรวมข้อมูล และข้อเสนอแนะ ปัญหาของประชาชนในทุกด้าน เพื่อนำเสนอต่อพรรค เพื่อให้เป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการวิเคราะห์ปัญหาเพื่อช่วยเหลือประชาชนในเชิงพื้นที่ให้สอดรับกับบริบทและวิถีชีวิตของประชาชน” นายรัฐภูมิ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 15 มีนาคม 2566

“ตรีนุช” เดินหน้าแก้หนี้ครูภาคตะวันออก ตั้งเป้า 4,252 ล้านบาท มั่นใจลดหนี้ครูไทยได้จริง

,

“ตรีนุช” เดินหน้าแก้หนี้ครูภาคตะวันออก ตั้งเป้า 4,252 ล้านบาท มั่นใจลดหนี้ครูไทยได้จริง

กระทรวงศึกษาธิการ จัดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย “Unlock a Better Life” สร้างโอกาสใหม่เพื่อชีวิตครูไทยที่ดีกว่า ครั้งที่ 2 ในภาคตะวันออก ระหว่างวันที่ 11-12 มีนาคม พ.ศ.2566 ณ มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว สำหรับครูในภาคตะวันออก 8 จังหวัด ได้แก่ สระแก้ว ปราจีนบุรี นครนายก จันทบุรี ตราด ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง โดยตั้งเป้าหมายแก้ไขปัญหาหนี้สินครูในภูมิภาคนี้กว่า 4,252 ล้านบาท เพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายแก้ไขหนี้ภาคครัวเรือนนั้น กระทรวงศึกษาธิการที่มีบทบาทในการดูแลสวัสดิการและสวัสดิภาพแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้เร่งรัดการขับเคลื่อนตามนโยบายแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างเต็มที่ ด้วยกลไกเจรจาลดดอกเบี้ยกับสหกรณ์ออมทรัพย์ครู การปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงิน การจัดตั้งสถานีแก้หนี้ร่วมช่วยแก้ปัญหาลดหนี้สิน และการให้ความรู้ทางด้านวินัยการเงินและการลงทุน เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับครูไทยได้มีสุขภาพทางการเงินที่ดี โดยได้ดำเนินการจัดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทยในส่วนกลาง เมื่อช่วงสิ้นปี 2565 และขยายผลสู่ทั่วประเทศด้วยงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 4 ภูมิภาค ซึ่งได้จัดขึ้นครั้งแรกที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับกลุ่ม 4 จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม และขอนแก่น ซึ่งสามารถช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครูแบบพุ่งเป้าที่กลุ่มลูกหนี้วิกฤติได้กว่า 784,661,570.43 บาท

นางสาวตรีนุช เทียนทอง กล่าวต่อว่า สำหรับการจัดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย สำหรับครูไทยภาคตะวันออกในครั้งนี้ ตั้งเป้าหมายช่วยเหลือครูที่มีปัญหาหนี้สินกว่า 2,000 ราย จำนวนมูลหนี้ประมาณ 4,252 ล้านบาท โดยเป็นกลุ่มลูกหนี้วิกฤติ 205 ราย จำนวนมูลหนี้ประมาณ 173.4 ล้านบาท ซึ่งจะพุ่งเป้าหมายให้ความช่วยเหลือกลุ่มลูกหนี้วิกฤติเป็นสำคัญ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนที่สุด โดยที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการมีการจัดการแก้ไขปัญหาหนี้ครูอย่างเต็มที่ เช่น การเจรจาขอลดดอกเบี้ยจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูที่เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของครูทั้งประเทศ การตั้งสถานีแก้หนี้ครูที่เข้ามาเป็นกลไกช่วยเหลือครูในระดับเขตพื้นที่ ฯลฯ ซึ่งได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้เป้าหมายการแก้ไขปัญหาหนี้ครูในภูมิภาคนี้โดยเฉพาะกลุ่มลูกหนี้วิกฤติมีจำนวนไม่มาก การจัดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทยในครั้งนี้ จึงเป็นการจัดการปัญหาหนี้ในเชิงรุก ที่จะช่วยให้ครูในกลุ่มที่ยังต้องการความช่วยเหลือสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ทางการเงินสำหรับครูมากยิ่งขึ้น ซึ่งเชื่อมั่นว่า การดำเนินการนี้จะช่วยลดหนี้ให้ครูไทยที่มีปัญหามานานได้จริง เพื่อให้ครูไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีความรู้ทางการเงินที่ดี และสามารถปฏิบัติหน้าที่ในการถ่ายทอดองค์ความรู้และจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเป็นการเสริมสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน และเป็นการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพครู

​สำหรับกิจกรรมภายในงาน จะมีการให้บริการเจรจาไกล่เกลี่ยหนี้ที่อยู่ระหว่างขั้นตอนของการฟ้องร้องดำเนินคดีและการปรับโครงสร้างหนี้กับสหกรณ์ออมทรัพย์ครูและสถาบันการเงิน สำหรับลูกหนี้ครูกลุ่มวิกฤติและกลุ่มทั่วไป เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาหนี้สินครูให้มีเงินเดือนเหลือสุทธิหลังหักชำระหนี้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 และควบคุมยอดหนี้ใหม่ไม่ให้เกินความสามารถในการชำระหนี้ โดยพันธมิตรสถาบันการเงินได้มอบสิทธิพิเศษช่วยเหลือลูกหนี้ครูกลุ่มวิกฤติ ทั้งผู้กู้และผู้ค้ำประกัน ที่เข้าร่วมงานมากมาย เช่น กรณีปิดบัญชี พิจารณายกเว้นดอกเบี้ยผิดนัดและดอกเบี้ยค้างชำระเป็นพิเศษ กรณีผ่อนชำระ พิจารณาขยายเวลาไม่เกิน 10 ปี ตั้งพักดอกเบี้ยค้างชำระ, ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นพิเศษ 3 ปีแรก, ผ่อนชำระได้ตามเงื่อนไข ยกเว้นดอกเบี้ยผิดนัดทั้งจำนวนดอกเบี้ยค้างชำระเป็นพิเศษ กรณีปลดภาระหนี้ค้ำประกัน เงินต้นคงเหลือแบ่งชำระตามจำนวนผู้ค้ำประกัน, ยกเว้นดอกเบี้ยค้างชำระให้เป็นพิเศษ, ยกเว้นค่าใช้จ่ายอื่น เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการให้บริการวางแผนและให้คำปรึกษาการออม การกู้ยืม และการลงทุน รวมถึงการอบรมให้ความรู้ด้านการเงินและการบริหารจัดการหนี้สิน สำหรับกลุ่มลูกหนี้ครูทั่วไปและครูที่ยังไม่มีหนี้ เพื่อป้องกันการเกิดหนี้เสียใหม่ในอนาคตและเป็นการจัดการแก้ไขปัญหาหนี้สินให้แก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาแบบครบวงจร.

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 มีนาคม 2566

“รองวิรัช” ขออภัยชาว จ.เชียงราย จำเป็นต้องเลื่อนปราศรัย เลี่ยง ‘พายุฤดูร้อน’ ถล่ม สัญญา เราได้พบกันแน่นอน

,

“รองวิรัช”ขออภัยชาว จ.เชียงราย จำเป็นต้องเลื่อนปราศรัย เลี่ยง ‘พายุฤดูร้อน’ ถล่ม สัญญา เราได้พบกันแน่นอน

10 มีนาคม 2566 นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)เปิดเผยว่า จากการที่พรรคได้หนดแผนการเปิดเวทีปราศรัยที่จังหวัดเชียงรายของพรรคพลังประชารัฐ นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐในวันที่ 12 มี.ค.นี้นั้น ล่าสุดจากการติดตามสภาพภูมิอากาศในพื้นที่ในขณะนี้ การปราศรัยดังกล่าวจำเป็นต้องเลื่อนออกไปก่อน เนื่องจากประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา มีพายุฤดูร้อนบริเวณภาคเหนือของประเทศไทย กินพื้นที่ตั้งแต่ จังหวัดเชียงราย ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ และเพชรบูรณ์ ซึ่งส่งผลให้การทำกิจกรรมปราศรัย ไม่สามารถดำเนินการได้ ในช่วงระหว่างวันที่ 12 – 14 มีนาคม 2566 ทำให้ทางพรรคต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการเดินทางของพี่น้องประชาชน เป็นไปด้วยความเหมาะสม

“ ทางพรรคกราบขออภัยพี่น้องชาวเชียงรายทุกท่านที่ไม่สามาถไปพบปะกับพี่น้องได้ ด้วยสภาวะอากาศไม่เอื้ออำนวย ในการจัดเวทีกลางแจ้ง ทำให้พรรคจำเป็นต้องเลื่อนออกไปก่อน แต่ขอให้มั่นใจว่า ในเร็ว ๆ นี้เราจะลงไปพบกับทุกคนอย่างแน่นอน ทั้งนี้ขอให้ประชาชนในจังหวัดเชียงราย รวมไปถึงภาคเหนือทุกท่านระมัดระวังพายุฤดูร้อนดังกล่าว และขอให้ติดตามข่าวสารจากทางภาครัฐอย่างใกล้ชิดด้วย”

ทั้งนี้ในส่วนเวทีปราศรัยทั้ง 4 ภาคในจังหวัด “ จ.นราธิวาส กรุงเทพมหานคร และที่จ.เชียงใหม่ ยังเป็นไปตามกำหนดการเดิมอยู่

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร”ลุยตรวจโครงการน้ำเจ้าพระยาตอนล่างอยุธยา-สระบุรี การันตีปีนี้ทำนาได้ ลั่นลุยแก้ไขปัญหาให้ปชช.ปลื้มกองเชียร์ยกเป็นนายกคนที่30

,

“พล.อ.ประวิตร”ลุยตรวจโครงการน้ำเจ้าพระยาตอนล่างอยุธยา-สระบุรี
การันตีปีนี้ทำนาได้ ลั่นลุยแก้ไขปัญหาให้ปชช.ปลื้มกองเชียร์ยกเป็นนายกคนที่30

วันที่ 8 มีนาคม 2566 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะประกอบด้วย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประธานที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยม และติดตามความคืบหน้า แผนบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง และแผนงานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่สำคัญในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ณ วัดสะตือพุทธไสยาสน์ ค.ท่าหลวง อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา

โดย พล.อ.ประวิตร ได้ตรวจแผนบรรเทาอุทกภัยพื้นที่เจ้าพระยาตอนล่าง และแผนงานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่สำคัญในพื้นที่ รวมถึงการบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ฝั่งตะวันออก และการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในเขตอำเภอท่าเรือ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำของเขื่อนพระราม 6 ด้วย พร้อมมอบนโยบาย และพูดคุยกับประชาชนที่มาให้การต้อนรับว่า ขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มาให้การต้อนรับ และได้นำเสนอแผนงานภาพรวมของลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ตนเดินทางมาเพื่อเร่งรัด และติดตามการดำเนินการด้านน้ำที่อยุธยาอยู่หลายครั้ง เนื่องจากสภาพพื้นที่จังหวัดเป็นที่ราบลุ่มและอยู่ติดฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา จึงประสบปัญหาน้ำหลากน้ำท่วม บ้านเรือนประชาชน รวมไปถึงพืชผลทางการเกษตรด้วย

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า รัฐบาลมีความห่วงใย ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเร่งรัดให้เกิดการดำเนินการพร้อมวางแผนให้เกิดการแก้ไขอย่างเร่งด่วน และยั่งยืนที่สำคัญต้องเกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลโดยเร็วที่สุด จึงขอมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ปฎิบัติดังนี้
1.ให้ สำนักงาน ทรัพยากรน้ำ แห่งชาติ เร่งรัด การดำเนินการตามแผนการ บรรเทาอุทกภัยพื้นที่เจ้าพระยา ตอนล่าง 9 แผน โดยเฉพาะ โครงการ คลองระบายน้ำชัยนาท – ป่าสัก, ป่าสัก – อ่าวไทย และ บูรณาการ หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องร่วมกัน แก้ไข ปัญหาอุทกภัยพื้นที่ อำเภอท่าเรือ ซึ่งได้รับผลกระทบ จากการระบายน้ำ จากเขื่อนพระราม 6
2.ให้ กรมชลประทาน เร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการ ระบายน้ำหลาก บางบาล – บางไทร ให้แล้วเสร็จ ตามแผนที่วางไว้ รวมถึง ซ่อมแซม อาคารชลประทาน
ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ พร้อมใช้งาน เพื่อเตรียมรับฤดูน้ำหลาก ที่จะมาถึง
3.ให้กรมโยธาธิการ และ ผังเมือง เร่งก่อสร้าง กำแพง ป้องกันน้ำท่วมบริเวณเขตโบราณสถานเพื่อป้องกัน ความเสียหาย ที่จะเกิดขึ้น
4.หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตาม 10 มาตรการ รองรับฤดูแล้ง เพื่อลดผลกระทบต่อ พี่น้อง ประชาชน
ให้ได้มากที่สุด และสุดท้ายของให้ทางจังหวัดสร้างการรับรู้ และ ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน ทราบถึง สถานการณ์ต่างๆ และ แผนการดำเนินการ ด้านทรัพยากรน้ำของหน่วยงานรัฐ

“ผมขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้งที่มาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และ ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลมีความจริงใจ และมีเป้าหมายในการทำงาน เพื่อความผาสุกของประชาชนและแน่นอน โครงการขนาดใหญ่ที่รัฐดำเนินการ ต้องใช้ระยะเวลาและงบประมาณ ที่สำคัญ ต้องได้รับ การสนับสนุนความร่วมมือจาก พี่น้อง ประชาชน ในพื้นที่เป็นอย่างมาก ที่จะทำให้โครงการต่างๆ สำเร็จได้ ตามเป้าหมาย ซึ่งในปีนี้น้ำมีเพียงพแปละสามารถที่จะทำนาปีได้ ในโอกาสนี้ผมขออวยพร ให้ข้าราชการและ พี่น้องชาวพระนครศรีอยุธยาทุกท่าน มีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยต่างๆ มีความสุข ความเจริญ คิดประสงค์สิ่งใด ขอให้สมความปรารถนา ทุกประการ”

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตรได้ถามกรมทรัพยากรน้ำในพื้นที่ถึงการทำนาของประชาชนในปีนี้ ซึ่งได้คำตอบว่า สามารถทำได้ พล.อ.ประวิตร จึงได้กล่าวกับชาวอยุธยาว่า “ปีนี้ทุกคนสามารถทำนาได้นะครับ ไม่มีน้ำท่วมมาทำลายนาของทุกคนอย่างแน่นอนครับ”

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการลงพื้นที่ตรวจราชการในวันนี้ มีประชาชนมาให้การต้อนรับ และมอบดอกกุหลาบเพื่อให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งกล่าวว่า เรารักลุงป้อม ลุงป้อมสู้ ๆ และลุงป้อมน่ารัก อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง พลเอกประวิตร ก็ได้ทักทายกับประชาชนอย่างเป็นกันเอง

พล.อ.ประวิตร พร้อมคณะได้เดินทางไปยัง รร.วัดขอนชะโงก (เขียววิมลราษฎร์อุปถัมภ์) อ.หนองแค จ.สระบุรี เพื่อตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำของ จ.สระบุรี ณ ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการสระบุรี อ.หนองแค จ.สระบุรี โดยมี นางสาวกัลยา รุ่งวิจิตรชัย ส.ส.สระบุรี ,นายองอาจ และนายอรรถพล วงษ์ประยูร อดีต ส.ส.สระบุรีและว่าที่ผู้สมัคร รวมถึง ผึ้ง น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ ว่าที่ผู้สมัคร สส. สระบุรี เขต 3 และทีมโฆษกพรรค พปชร.ให้การต้อนรับ

พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวมอบนโยบาย และพูดคุยกับประชาชนที่มาให้การต้อนรับว่า ผมมีความยินดี เป็นอย่างยิ่งที่ได้ลงพื้นที่จังหวัดสระบุรี อีกครั้งหนึ่ง จากที่เคยมาตรวจเยี่ยม และมอบหมายหน่วยงานไปดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วม เมื่อกลางปี 65 ซึ่งวันนี้ตนได้มาติดตาม และ รับทราบความก้าวหน้า แผนการบริหารจัดการน้ำ ในพื้นที่พร้อมพบปะพี่น้อง และประชาชนเพื่อรับทราบปัญหา และความเดือดร้อนจากการรายงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเห็นว่า ได้มีการดำเนินการตามแผนงานโครงการเร่งด่วน ไปแล้วหลายโครงการ ทั้งงานปรับปรุง ซ่อมแซม งานเพิ่มประสิทธิภาพ การระบายน้ำ และยังคงมีแผนงานที่ต้องขับเคลื่อนเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหา ด้านทรัพยากรน้ำ ได้อย่างครอบคลุมทั้งระบบ จึงขอมอบหมาย ให้หน่วยงานได้เร่งรัด ดำเนินการ

“รัฐบาลมีความมุ่งมั่น และมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา ให้กับพี่น้องประชาชน และปรารถนาให้ทุกคนดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุข ภายใต้การดูแลเอาใจใส่ จากรัฐบาลที่จะช่วยเหลือ ขับเคลื่อน การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในทุกมิติ ผมขอให้ทุกคนเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะดูแลทุกข์ สุข ของทุกท่านอย่างเต็มที่ เราจะสร้างรากฐาน ที่แข็งแรง ให้กับสังคม เพื่อความมั่นคง ของประเทศ”

ทั้งนี้ พลเอกประวิตรได้ร่วมผัดไส้และชิมขนมกะหรี่ปั๊บ ซึ่งเป็นของฝากชื่อดังชาวสระบุรี นอกจากนี้ยังมีนักเรียนชายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 2 คน ของโรงเรียนสระบุรีวิทยาคม มอบภาพวาดเหมือนด้วยฝีมือตัวเองให้กับพลเอกประวิตร พร้อมกับอวยพรขอให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เพราะพวกตนเป็นเอฟซีติดตามผลงานของท่าน ซึ่งพลเอกประวิตร กล่าวว่า วาดดีมาก สวยเหมือนเปี๊ยบเลย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 มีนาคม 2566

พปชร.เปิดตารางเวทีปราศรัยใหญ่ 4 ภาค พบกันเชียงใหม่ 12 มี.ค.นี้ พร้อมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครภาคเหนือทุกเขต

,

พปชร.เปิดตารางเวทีปราศรัยใหญ่ 4 ภาค พบกันเชียงใหม่ 12 มี.ค.นี้ พร้อมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครภาคเหนือทุกเขต

นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า พรรคพลังประชารัฐได้เตรียมเดินสายจัดเวทีปราศรัยก่อนการยุบสภา ในพื้นที่ 4 ภาค โดยเริ่มที่ จ.เชียงใหม่ วันที่ 12 มี.ค.นี้

โดยจะมีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครภาคเหนือทั้งหมด รับผิดชอบโดย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่าและนายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ , กทม. 18 มี.ค. 66 , จากนั้นจะเป็นเวที จ.สงขลา ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาจจะเป็นที่ จ.อุดรธานี หรือขอนแก่น

ส่วนที่ จ.นครราชสีมา ได้วางกำหนดการไว้ 26 มี.ค. 66 ซึ่ง นายวิรัช ระบุว่า ทุกเวทีจะมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไปร่วมปราศรัยทุกเวทีด้วย


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 มีนาคม 2566

“รัฐภูมิ”แท็กทีม”บูรฮันธ์”ว่าที่ผู้สมัครพปชร.จ.ปัตตานี รับฟังปัญหาปชช.ดันลดเหลื่อมล้ำการศึกษาในพื้นที่

,

“รัฐภูมิ”แท็กทีม”บูรฮันธ์”ว่าที่ผู้สมัครพปชร.จ.ปัตตานี รับฟังปัญหาปชช.ดันลดเหลื่อมล้ำการศึกษาในพื้นที่

นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ทีมโฆษก พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เปิดเผยว่า ตนได้ลงพื้นที่ปราศรัย กับประชาชนในพื้นที่ อ.ยะรัง อ.มายอ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี ร่วมกับ นาย บูรฮันธ์ สะเม๊าะ ว่าที่ผู้สมัคร สส พลังประชารัฐ เขต4 เพื่อรับฟังปัญหาของพื้นที่ ซึ่งมีหลากหลายปัญหา โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้การบรรจุครูเข้าสอนในพื้นที่ขาดแคลน มีโรงเรียนที่เปิดทำการเรียนการสอนได้เพียง 1-2 โรงเรียนต่อจังหวัด ประชาชนแก้ไขเบื้องต้นด้วยการตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยผู้ใหญ่เป็นผู้เข้าทำการเรียนการสอน ให้เด็กมีพัฒนาการด้านการเรียน การอ่าน และเขียน ซึ่งจะเห็นว่าเยาวชนเสียโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ ทั้งที่เยาวชนในพื้นที่ มีศักยภาพด้านภาษา ที่สามารถพูดได้ถึง 3 ภาษา ทั้งไทย มาลายูและอาราบิค จำเป็นต้องเข้าไปส่งเสริมด้านการศึกษาเพิ่มขึ้น ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการโดย นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมให้การสนับสนุน และส่งเสริมการศึกษาอย่างเต็มที่

นายรัฐภูมิ กล่าวต่อว่า ตนกับท่านบูรฮันธ์จะนำประเด็นปัญหาดังกล่าวเข้าสู่คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพรรค เพื่อเป็นหนึ่งในนโยบายการทำงานของพรรค ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งการเปิดปราศรัยครั้งนี้ มีประชาชนที่ศรัทธาในตัวนายบูรฮันธ์ เข้ามาร่วมฟังนโยบายของพรรค ที่จะช่วยเหลือ พี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนใต้ กว่า 5,000 คน ซึ่งยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมา ประชาชนในพื้นที่ได้รับการช่วยเหลือจากนายบูรฮันธ์ มาอย่างต่อเนื่อง ในการประสานงานช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือคนไทยที่ติดค้างในต่างประเทศในช่วงการแพร่ระบาดโควิด 19 สามารถช่วยเหลือได้ประมาณ 40,000 คน ทำให้เป็นที่รัก และเข้าใจปัญหาของคนในพื้นที่เป็นอย่างดี

“ยังมีปัญหาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทุกระบบ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการยกระดับคุณภาพชีวิต ของคนในพื้นที่ในการประกอบอาชีพ ความปลอดภัยในพื้นที่ เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ต้องเสนอต่อพรรค ที่จะนำไปพัฒนาเป็นนโยบาย เพื่อช่วยเหลือ ลดความเหลื่อมล้ำของคนในพื้นที่ได้”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” เกาะติดแก้ปัญหาน้ำเพื่อปชช. ตามติดโครงการสำคัญ เดินหน้า โครงการฯ รองรับแผนฟื้นฟู”คลองแสนแสบ” บรรเทาน้ำท่วม กทม.ฝั่งตะวันออก

,

“พล.อ.ประวิตร” เกาะติดแก้ปัญหาน้ำเพื่อปชช. ตามติดโครงการสำคัญ เดินหน้า โครงการฯ รองรับแผนฟื้นฟู”คลองแสนแสบ” บรรเทาน้ำท่วม กทม.ฝั่งตะวันออก

เมื่อ 8 มี.ค.66 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 1/2566 ณ ห้องประชุม มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด โดย พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รอง นรม. กล่าวว่าที่ประชุมได้รับทราบ ความก้าวหน้าการดำเนินโครงการ อ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด จ.จันทบุรี ซึ่งมีวัตถุประสงค์ใช้เป็นแหล่งเก็บกักน้ำของลุ่มน้ำคลองวังโตนด เพื่อบรรเทาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณพื้นที่ตอนล่าง และเพื่อพัฒนาส่งเสริมเกษตรกรรม ด้านผลไม้ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของ จ.จันทบุรี มีระยะเวลาโครงการ 6 ปี (ปี68-73) งบประมาณ 6,400 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ในกระบวนการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าไม้ จากกรมป่าไม้และกรมอุทยานฯ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ กรมชลประทาน ให้เร่งรัดดำเนินโครงการตามมติทึ่ประชุมโดยเร็ว เพื่อเตรียมรองรับความต้องการใช้น้ำของประชาชน ,เกษตรกร และพื้นที่EEC ให้เพียงพอในอนาคต ต่อไป

จากนั้น คณะอนุกรรมการฯได้เห็นชอบ การปรับปรุงเป้าหมายโครงการสำคัญด้านทรัพยากรน้ำปี66-70 โดยกำหนดนิยาม”โครงการสำคัญ” คือโครงการที่แก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรน้ำ ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำ 20 ปี ที่มีผลสัมฤทธิ์ อย่างมีนัยยะสำคัญ หรือเกิดผลประโยชน์ในวงกว้าง และผ่านการเห็นชอบของ กนช. โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนงานโครงการตามนิยามและประเภทโครงการสำคัญที่กำหนดเพื่อเสนอเป็นโครงการสำคัญ ผ่านระบบ Thai Water Plan ตามขั้นตอน จากนั้นที่ประชุมยังได้อนุมัติหลักการ และทบทวนให้มีความเหมาะสม ในโครงการปรับปรุงคลองบางขนาก จ.ฉะเชิงเทรา ภายใต้แผนหลักการพัฒนาฟื้นฟูสภาพแวดล้อม คลองแสนแสบ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ กทม.ฝั่งตะวันออก เพื่อช่วยระบายน้ำเสีย รักษาคุณภาพน้ำ และให้คลองแสนแสบกลับมามีระบบนิเวศ อยู่ในเกณฑ์ดี อีกครั้งหนึ่ง

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ สทนช. ,กรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องให้ความสำคัญเร่งด่วนต่อการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเรื่องน้ำ ของประชาชนทั้งระยะเร่งด่วน และระยะยาว อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งมีการจัดลำดับความเร่งด่วนของโครงการอย่างเหมาะสม สอดรับตามแผนแม่บท 20 ปี ที่มีการปรับปรุงเป้าหมายใหม่แล้วด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 มีนาคม 2566