โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: ข่าวกิจกรรม ส.ส. และสมาชิกพรรค

“พล.อ.ประวิตร”เร่งปิดเวปพนัน ป้องกันปชช.เป็นเหยื่อ เพิ่มมาตรการเชิงรุกดึงทุกส่วนร่วมมือขจัดภัยไซเบอร์

,

“พล.อ.ประวิตร”เร่งปิดเวปพนัน ป้องกันปชช.เป็นเหยื่อ
เพิ่มมาตรการเชิงรุกดึงทุกส่วนร่วมมือขจัดภัยไซเบอร์

เมื่อ 14 มิ.ย.66 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ( กมช.) โดยมี รมว.ดีอีเอส และ รมช.กลาโหม เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

ที่ประชุมได้รับทราบ รายงานเหตุการณ์ภัยคุกคามและผลการดำเนินงาน ที่มีผลกระทบอย่างมีนัย สำคัญ ต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ห้วง ต.ค.65 – มี.ค.66 จำนวน 943 เหตุการณ์ แยกตามภารกิจ หรือบริการสูงที่สุดได้แก่ หน่วยงานของรัฐด้านการศึกษา ,ภาครัฐอื่นๆ และด้านสาธารณสุข ตามลำดับ ซึ่งการปฎิบัติที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่กระทบประชาชน มีจำนวน 113 เหตุการณ์ 24 หน่วยงาน และรับทราบผลการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังภัยคุกคามทางไซเบอร์ สำหรับระบบเลือกตั้ง (ศซล.) ห้วง 3-15 พ.ค.66 โดยมีการติดตามและรายงานสถานะความพร้อมที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง จำนวน 6 ระบบ ภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้ขอบคุณ สำนักงาน คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.)ที่เฝ้าระวังเหตุการณ์ห้วงดังกล่าว สามารถติดตามข่าวสาร ได้อย่างใกล้ชิด และยับยั้ง หรือแก้ไขปัญหาภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้ อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ รวมถึงที่ประชุม ได้รับทราบการลงนามบันทึกความเข้าใจ ร่วมกับหน่วยงานต่างๆมากขึ้น ทั้งกับหน่วยงาน ในประเทศ และต่างประเทศด้วย รองรับการพัฒนาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ต่อไป

จากนั้น ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบ (ร่าง)ข้อตกลง การเชื่อมต่อระบบแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูลภัยคุกคาม ภายใต้โครงการพัฒนาแพลตฟอร์ม สำหรับการรับและแบ่งปันเหตุการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ เพื่อเชื่อมต่อระบบให้สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ในการเฝ้าระวัง

และขยายเครือข่ายความร่วมมือ ระหว่าง สกมช.กับหน่วยงานอื่น ทั้งภายในและภายนอกประเทศ และเห็นชอบ(ร่าง)บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ระหว่าง สกมช.กับ สำนักงาน ปล.สธ.รวมทั้งเห็นชอบ(ร่าง)บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรและนำระบบคุณวุฒิวิชาชีพ ไปใช้ในสถานประกอบการ

พล.อ.ประวิตร ยังได้กำชับให้ สกมช. ให้เร่งขับเคลื่อนมาตรการเฝ้าระวังภัยคุกคามทางไซเบอร์ อย่างต่อเนื่อง เข้มข้นเชิงรุก เน้นป้องกันข้อมูลภาครัฐ และคุ้มครองส่วนบุคคล ต้องเพิ่มระดับความร่วมมือกับทุกหน่วยงานให้มากขึ้น ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อพัฒนาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ และคนไทยให้มีประสิทธิภาพ พร้อมย้ำให้ ก.ดีอีเอส กำกับและสนับสนุน การดำเนินงานของ สกมช. อย่างเต็มที่ด้ว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 14 มิถุนายน 2566

“จำลอง ว่าที่ ส.ส.กาฬสินธุ์”เตรียม ผลักดันระบบชลประทาน ช่วยเกษตรกรได้เพาะปลูก สร้างรายได้ พร้อมทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงอย่างเต็มที่

,

“จำลอง ว่าที่ ส.ส.กาฬสินธุ์”เตรียม ผลักดันระบบชลประทาน
ช่วยเกษตรกรได้เพาะปลูก สร้างรายได้ พร้อมทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงอย่างเต็มที่

นายจำลอง ภูนวนทา ว่าที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) จ. กาฬสินธุ์ เขต 3พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่สมัยที่เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาจังหวัดกาฬสินธุ์(สจ.) รวมถึงลงรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.มา 6 สมัย ใช้เวลากว่า 24 ปี ในอดีตแม้ยังไม่ได้เป็น ส.ส.แต่ตนก็ทำงานเพื่อประชาชนในพื้นที่มาโดยตลอด ซึ่งในครั้งนี้ ตนต้องขอขอบคุณชาวกาฬสินธุ์ที่ให้ความไว้วางใจและโอกาสได้มาทำหน้าที่เป็น ส.ส.โดยตนจะเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชน เป็นปาก เป็นเสียง ผลักดันแผนงานโครงการตลอดจนการนำเสนอนโยบายต่างๆ เพื่อมาพัฒนากาฬสินธุ์ให้ดีขึ้น ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้

นายจำลอง กล่าวต่อว่า ปัญหาในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ที่ยังขาดแคลนเรื่องน้ำในการเกษตรกรรม แม้ว่าในพื้นที่จะมีเขื่อนลำปาวซึ่งเป็นแหล่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ แต่ก็ยังไม่มีระบบชลประทานให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ตอนบนของเขื่อนเลย ทำให้ประชาชนเหล่านั้นไม่สามารถนำน้ำในเขื่อนมาใช้ทำการเกษตรได้มากเท่าที่ควร สิ่งจำเป็นที่สุดคือการผลักดันระบบชลประทานให้เกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนอาชีพมีรายได้มีอาชีพที่มั่นคงและมีรายได้ที่แน่นอนมากยิ่งขึ้น และลดปัญหาการอพยพแรงงานเข้าสู่ เมืองหลวงต่อไป

“แผนกรมชลประทานที่วางระบบชลประทานดำเนินการตามแผนในปี 67 ในฐานะที่ผมได้รับเลือกเป็น ส.ส.ในพื้นที่จะเข้ามาติดตาม และผลักดันเรื่องดังกล่าวให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพราะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เพราะประชาชนให้ความหวังและมีความต้องการสูง โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 3 ที่กระผมรับผิดชอบซึ่งประกอบด้วย อ.หนองกุงศรี อ.ห้วยเม็ก และ อ.ท่าคันโท ผมจะผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาจัดหาแหล่งน้ำ จัดหาที่ดินทำกิน ช่วยให้เกษตรกรได้เพาะปลูกพืชสร้างรายได้ให้กับครอบครัว รวมถึงการแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร เพื่อให้ประชาชนชาว จ.กาฬสินธุ์ มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน”นายจำลอง กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 14 มิถุนายน 2566

“พล.อ.ประวิตร” ลงพื้นที่เมืองมะขามหวาน มอบเอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน ช่วยเกษตรกร ยกระดับคุณภาพชีวิตยั่งยืน

,

“พล.อ.ประวิตร” ลงพื้นที่เมืองมะขามหวาน มอบเอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน ช่วยเกษตรกร ยกระดับคุณภาพชีวิตยั่งยืน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายรัฐมนตรี
พร้อมด้วย นายสินติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ลงพื้นที่เพื่อตรวจติดตามผลการดำเนินงานของ คณะอนุกรรมการนโยบายที่ดิน จ.เพชรบูรณ์ พร้อมทั้งให้เกียรติเป็นประธานมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรือ อยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และมอบสมุด
ประจำตัวผู้ได้รับ การคัดเลือกให้ทำกินในชุมชนตามนโยบายรัฐบาล หรือ
คทช. และหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01)
ให้ประชาชน ในพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารัฐบาลได้มุ่งมั่นในการแก้ปัญหา ความเดือดร้อน ด้านที่ดินปัญหาไม่มีที่ดินทำกิน และปัญหาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดิน โดยกำหนดนโยบาย ในการจัดทำที่ดินทำกิน หรือ คทช. มุ่งให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดิน โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ของที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน ทั้งเศรษฐกิจสังคม เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับการจัดสรรที่ดินสามารถ ใช้ประโยชน์จากที่ดินตามศักยภาพของพื้นที่ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปส่งเสริม พัฒนาอาชีพและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน บูรณาการในทุกมิติของทุกภาคส่วน เพื่อมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ยกระดับฐานะของประชาชน เสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน

รัฐบาลต้องการให้ประชาชนอยู่ดีกินดีเพิ่มมากขึ้น มีความสามารถในการบริหารจัดการที่ดินของตนเองได้อย่างยั่งยืน พร้อมเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป
ขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมกำกับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ขอให้ทุกหน่วยงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ให้เกิดเป็นผู้ประธรรมอย่างยั่งยืนหากมีปัญหาและอุปสรรค ขอให้ประสานอนุกรรมการนโยบายที่ดินจังหวัด สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาต่อไป

นายกฤษณ์ คงเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ในฐานะผู้แทนคณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวว่าปัจจุบัน จ.เพชรบูรณ์ มีพื้นที่เป้าหมายดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ตามนโยบายรัฐบาล หรือ คทช. จำนวน 17 พื้นที่ เนื้อที่รวม
219,578 ไร่ 1 งาน 49 ตารางวา อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ 16 พื้นที่และพื้นที่สาธารณประโยชน์ 1 พื้นที่ ปัจจุบันได้รับหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยและพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จำนวน 16 พื้นที่ เนื้อที่รวม 225,319 ไร่ 1 งาน 35 ตารางวา โดยคณะอนุกรรมการนโยบายที่ ดินจังหวัดจะได้ดำเนินการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาด รวมทั้งพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานให้กับประชาชนที่ได้รับการจัดที่ดินต่อไป

“สำหรับเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01)มีการอนุญาตให้ราษฎร์เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินแล้ว จำนวน 1,494 ราย 442 แปลงในพื้นที่ 5 อำเภอ เนื้อที่รวม 10,216 ไร่ 5 งาน 569 ตารางวา” นายกฤษณ์ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 12 มิถุนายน 2566

“กระแสร์ ว่าที่ ส.ส.หนองคาย”เผย เร่งประสานภาครัฐ หวังยกระดับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างรายได้ให้ชาวบ้าน ย้ำ ต้องเกิดรัฐสวัสดิการดูแลคนไทยให้ทั่วถึง

,

“กระแสร์ ว่าที่ ส.ส.หนองคาย”เผย เร่งประสานภาครัฐ หวังยกระดับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างรายได้ให้ชาวบ้าน ย้ำ ต้องเกิดรัฐสวัสดิการดูแลคนไทยให้ทั่วถึง

12 มิถุนาย 2566 นายกระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ ว่าที่ ส.ส.จังหวัดหนองคาย เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ ๆ ตนดูแลอยู่เป็นลักษณะเขตเมือง ได้รับประโยชน์จากโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ทำให้เกิดบรรยากาศความคึกคักของพื้นที่ มีประชาชนที่เดินทางท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก เพื่อเดินทางต่อไปยังสปป.ลาว ตนมองว่าต้องเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในจังหวัด ทั้งทางวัฒนธรรม ศาสนา ซึ่งมีวัดหลวงพ่อพระใส ที่เป็นนับถือของคนทั้งฝั่งไทยลาว ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้ให้กับประชาชนได้เพิ่มขึ้น จึงต้องเตรียมความพร้อม โดยการประสานหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวจังหวัดหนองคายมากขึ้น

“ในส่วนของการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนนั้น ส่วนใหญ่อยากให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ และยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวหนองคายให้ดีขึ้น ผมก็จะดำเนินการตามนโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่ได้หาเสียงไว้ ไม่ว่าพรรคเราจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ผมจะผลักดันเพื่อให้เกิดรัฐสวัสดิการที่ดูแลคนไทยทุกคนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรมให้ได้ และที่สำคัญ เราจะร่วมกันพัฒนาจังหวัดหนองคาย เพราะจังหวัดหนองคายคือบ้านของเรา”

นายกระแสร์ ยังกล่าวถึงเกษตรกร จ.หนองคายว่า ถือว่าเป็นโชคดี ที่พื้นที่เกษตรกรตั้งอยู่ติดกับลำน้ำโขง ทำให้ไม่ต้องเผชิญปัญหาภัยแล้ง สามารถทำนาปี และนาปรังได้ตลอดทั้งปี แต่ปัญหาเรื่องของน้ำฤดูมรสุมที่จะมีปริมาณน้ำมาก ทำให้บางพื้นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่ต้องรอการระบายน้ำ ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ เรื่องนี้คงต้องเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ และประสานเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือเป็นการเฉพาะหน้า

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 12 มิถุนายน 2566

“โชติวุฒิ ว่าที่ ส.ส.สิงห์บุรี”เร่งประสานช่วยชาวบ้านหลังได้รับเงินเยียวยาน้ำท่วมน้อยกว่าความเสียหาย เผย ถึงได้เป็น ส.ส.แต่ยังเป็นคนเดิม พบง่าย ใช่คล่อง

,

“โชติวุฒิ ว่าที่ ส.ส.สิงห์บุรี”เร่งประสานช่วยชาวบ้านหลังได้รับเงินเยียวยาน้ำท่วมน้อยกว่าความเสียหาย เผย ถึงได้เป็น ส.ส.แต่ยังเป็นคนเดิม พบง่าย ใช่คล่อง

นายโชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.สิงห์บุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)กล่าวถึงการพัฒนาพื้นที่ จ.สิงห์บุรี ว่า หลักๆ เป็นเรื่องการส่งเสริมภาคเกษตร เพราะประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพเพาะปลูกข้าวเป็นหลัก น้ำจึงเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ต้องมีการบริหารให้เพียงพอในช่วงฤดูแล้ง รวมถึงการส่งเสริมการลดต้นทุนภาคเกษตรให้อยู่รอดต่อไปได้ หากน้ำสามารถบริหารจัดการได้มีประสิทธิภาพ ทำให้ชาวนาเพาะปลูกได้ต่อเนื่อง

“ปัญหาอุทกภัยคืออีกหนึ่งเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไข เพราะพื้นที่ จ.สิงห์บุรี เป็นพื้นที่รับน้ำ ต้องผลักดันให้มีการก่อสร้างเขื่อนริมสองฝั่ง แม่น้ำเจ้าพระยา ขณะนี้คืบหน้าไปแล้ว 50-60% อย่างล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ก็ได้มีประชาชนที่ประสบอุทกภัย ปี 2565 มาร้องเรียนเรื่องการได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาน้อยเกินกว่าความเสียหายที่ได้รับ ซึ่งผมก็ได้ประสานไปยัง จ.สิงห์บุรี และป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้นำปัญหาที่เกิดขึ้นไปตรวจสอบและเร่งหาทางการแก้ไขให้ชาวบ้านอย่างเร่งด่วน”

นายโชติวุฒิ กล่าวต่อว่า จ.สิงห์บุรี เป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่สำคัญของประเทศ เพราะเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ มีความอุดมสมบูรณ์และมีอาหารที่หลากหลาย แต่ด้วยปัจจัยระยะทาง กรุงเทพ ถึงสิงห์บุรี ระยะทางกว่า 100 กม.ทำให้นักท่องเที่ยวที่จะพักค้างคืนมีจำนวนน้อย จึงต้องเร่งส่งเสริมให้เข้าพักมากขึ้น โดยการร่วมมือกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด และผู้นำชุมชนสนับสนุนจัดกิจกรรม มากขึ้นทั้งในรูปแบบจัดกิจกรรมวิ่งมาราธอน หรือกิจกรรมอื่นๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีกิจกรรมเหล่านี้ ทำให้ประชาชนในพื้นที่มีการค้าขาย มีรายได้ เศรษฐกิจในท้องถิ่นก็จะดีขึ้น

“ตัวผมไม่เคยยึดติด วันนี้ผมได้เป็น ส.ส. แต่ผมก็ยังเป็นผมคนเดิมที่ทุกท่านคุ้นเคย และรู้จักกันดี ยังคงพบง่าย ใช้คล่อง และพร้อมทำหน้าที่รับใช้ประชาชนอย่างสุดความสามารถ เพื่อพัฒนาเมืองสิงห์บุรีของเราให้เจริญยิ่งขึ้น”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 มิถุนายน 2566

“พล.อ.ประวิตร” เร่งพัฒนาแรงงานป้อนอุตสาหกรรมแห่งอนาคต!!! เคาะแผนปี 66 เสริมทักษะแรงงาน 8 แสนคน ตอบโจทย์ความต้องการภาคอุตสาหกรรมในประเทศ

,

“พล.อ.ประวิตร” เร่งพัฒนาแรงงานป้อนอุตสาหกรรมแห่งอนาคต!!! เคาะแผนปี 66 เสริมทักษะแรงงาน 8 แสนคน ตอบโจทย์ความต้องการภาคอุตสาหกรรมในประเทศ

วันที่ 9 มิ.ย. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) ครั้งที่ 1/2566 กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนากำลังคนระดับจังหวัดปี 65 -70 มีเป้าหมายพัฒนากำลังคน รวมทั้งสิ้น 12.465 ล้านคน โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาแผนงานจังหวัด และเห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ( S-Curve 11 ) ปี 65 – 70 รวมถึงการจัดทำแผนพัฒนาแรงงานในอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ ปี 66-70 เพื่อแก้ปัญหาด้านสมรรถนะแรงงานให้สอดรับกับความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งปี 2565 มีเป้าหมายพัฒนากำลังคนระดับจังหวัด 870,073 คน ดำเนินการแล้ว857,762 คน และปี 2566 มีเป้าหมาย 847,372 คน ดำเนินการแล้ว 194,075 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 8 มิ.ย. 2566)

พล.อ.ประวิตร กล่าวอีกว่า ขอให้คณะอนุกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพจังหวัด (กพร.ปจ.) ขับเคลื่อนงานตามแผนพัฒนากำลังคนระดับจังหวัดให้เดินหน้าต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผลักดันให้แผนพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกในรายอุตสาหกรรมเป้าหมายบรรลุเป้าหมายเช่นเดียวกัน เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของแรงงานทุกกลุ่ม ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 มิถุนายน 2566

“ภาคภูมิ”เตรียมติดตามเร่งรัดการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน วางระบบถนน ไฟฟ้าเข้าถึงชุมชน ที่อยู่ห่างไกล

,

“ภาคภูมิ”เตรียมติดตามเร่งรัดการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน วางระบบถนน ไฟฟ้าเข้าถึงชุมชน ที่อยู่ห่างไกล

นายภาคภูมิ บูลย์ประมุข ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จ.ตาก เปิดเผยว่า ในพื้นที่ จ.ตาก มีปัญหาเร่งด่วนที่ต้องช่วยเหลือประชาชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ในด้านการเข้าถึงระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า ถนน วางโครงข่ายโทรศัพท์ การพัฒนาสถานศึกษา ระบบสาธารณสุข และที่ทำกินของประชาชนบนพื้นที่สูง และชุมชนต่างๆ เนื่องจากพื้นที่จังหวัดเป็นพื้นที่ป่า ต้องประสานงานขออนุญาต เพื่อขอใช้พื้นที่ในการดำเนินการ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลผืนป่า เป็นผู้อนุญาต เร่งรัดขั้นตอน เพื่อช่วยเหลือประชาชนเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งนี้จากการที่ตนได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ให้เป็นตัวแทนทำหน้าที่ในสภาฯ พร้อมที่จะติดตามและเร่งรัดเรื่องนี้ต่อไป ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เนื่องจากที่ผ่านมาการขออนุญาตใช้พื้นที่มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก ใช้เวลานานมาก ทำให้ประชาชนขาดโอกาสเป็นจำนวนมาก

ในปัจจุบันจังหวัดตากมีการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจ จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ยังเป็นป่า และดอยสูง นอกจากนี้ประชาชนยังมีความหลากหลายทางชาติพันธ์ที่ต้องดูแล คุณภาพชีวิต ที่ผ่านมาการพัฒนาเป็นไปด้วยความยากลำบากในการเข้าถึงความเจริญ เพราะติดเงื่อนไขของกฎหมาย และระเบียบต่างๆ แต่หากสามารถลดหรือยกเว้นได้ ก็จะทำให้เกิดพัฒนาระบบเศรษฐกิจทั้งจังหวัด เป็นการลดความเหลื่อมล้ำในสิทธิ์ของประชาชนที่ควรจะได้รับอย่างเท่าเทียมกัน”นายภาคภูมิ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 มิถุนายน 2566

“องอาจ ว่าที่ ส.ส.สระบุรี”มั่นใจ จะทำหน้าที่ ส.ส.ให้ดีตอบแทนความไว้วางใจของ ปชช.เดินหน้า พัฒนาระบบน้ำ ไม่แล้ง ไม่ท่วม เพื่อเกษตรกร

,

“องอาจ ว่าที่ ส.ส.สระบุรี”มั่นใจ จะทำหน้าที่ ส.ส.ให้ดีตอบแทนความไว้วางใจของ ปชช.เดินหน้า พัฒนาระบบน้ำ ไม่แล้ง ไม่ท่วม เพื่อเกษตรกร

นายองอาจ วงษ์ประยูร ว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.สระบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)กล่าวว่า ภาย
หลังจากที่ได้รับชัยชนะในพื้นที่ เขต 4 จ. สระบุรี ตนได้ทำงานลงพื้นที่ต่อเนื่อง แต่ขณะนี้ยังรอการรับรองจากคณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.)อย่างเป็นทางการ ซึ่งได้มีการขอบคุณไปยังผู้นำชุมชน ต่างๆ ที่ให้การสนับสนุน การเข้ามาทำงานในครั้งนี้ ตนขออาสาดูแลทุกคน โดยการสานผลงานเก่า สร้างผลงานใหม่ ให้ชาวสระบุรี มีน้ำใช้ พัฒนาระบบน้ำ ชลประทานที่ดี ไม่แล้ง ไม่ท่วม เพื่อชุมชนและพี่น้องเกษตรกรชาวสระบุรีอย่างต่อเนื่องเพราะการบริหารจัดการน้ำเป็นเรื่องสำคัญ ต้องให้เพียงพอความต้องการใช้ของภาคเกษตร ซึ่งมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวถึง 70% ด้วยเกษตรกรมีความต้องการเพาะปลูกปีละ 2 ครั้งขึ้นไปทั้งนาปี และนาปรัง

นายองอาจ กล่าวต่อว่า ตนจะทำหน้าที่ ส.ส.อย่างเต็มที่ ทั้งในการประสาน และผลักดันในระดับกระทรวง โดยกรมชลประทาน และในสภาฯ ที่สามารถตั้งกระทู้ถามถึงความคืบหน้าในการจัดการน้ำให้เพียงพอ ซึ่งถือเป็นนโยบายของพรรค ที่ได้หาเสียงไว้ ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีนโยบาย “มีเรา ไม่มีแล้ง มีน้ำ ไม่มีจน ” ซึ่งเป็นนโยบายที่ประชาชน ชาวสระบุรี มีความประสงค์ และต้องการให้แก้ปัญหาเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งภัยแล้งและอุทุกภัย

“ผมขอขอบคุณทุกความเชื่อมั่น และความไว้วางใจที่มอบให้ผมและพรรคพลังประชารัฐ ผมจะนำประสบการณ์ทั้งในและนอกสภา มาทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ที่สุด”นายองอาจ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 มิถุนายน 2566

“วิริยะ ว่าที่ ส.ส.มุกดาหาร”เผย วางแผนงานพัฒนาโครงการฝ่ายชะลอน้ำ แก้ปัญหาภัยแล้งหลังฝนทิ้งช่วงยาว เตรียมทำงานทันทีหลัง กกต.ประกาศรับรอง ส.ส.

,

“วิริยะ ว่าที่ ส.ส.มุกดาหาร”เผย วางแผนงานพัฒนาโครงการฝ่ายชะลอน้ำ แก้ปัญหาภัยแล้งหลังฝนทิ้งช่วงยาว เตรียมทำงานทันทีหลัง กกต.ประกาศรับรอง ส.ส.

นายวิริยะ ทองผา ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จ.มุกดาหาร เขต 1 กล่าวถึงปัญหาของพื้นที่ภาคอีสานในปัจจุบันที่ประสบปัญหาภัยแล้ง เนื่องจากฝนทิ้งช่วง โดยสิ่งที่จะต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนเบื้องต้นเป็นเรื่องของการจัดหาแหล่งน้ำ โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงโครงการที่จะต้องเร่งส่งเสริมให้เกิดขึ้นในพื้นที่คือ การพัฒนาโครงการฝ่ายชะลอน้ำ และพัฒนาอ่างเก็บน้ำซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่สำคัญ

นายวิริยะ กล่าวต่อว่า ในส่วนปัญหาแรงงานในพื้นที่ตอนนี้ก็ประสบกับภาวะขาดแคลนจึงจำเป็นจะต้องมีแผนส่งเสริมอาชีพเพื่อให้คนอยู่ถิ่นฐานมากยิ่งขึ้น ซึ่งสอดรับกับแผนการจัดหาน้ำ ถ้ามีน้ำการย้ายถิ่นฐานก็จะลดลง ปัญหาขาดแคลนแรงงานก็จะน้อยลงไปด้วย เพราะพื้นที่ภาคอีสานยังสามารถที่จะทำกินได้เป็นอย่างดี

“ในขณะนี้ผมเพิ่งได้รับตำแหน่งเป็นว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็คงจะต้องรอผลการรับรองจากคณะกรรมการเลือกตั้งหรือ กกต.ให้เรียบร้อยก่อน ซึ่งหากรับรองแล้วก็จะมีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเร่งดำเนินการทันที โดยพบกับผู้ว่าฯรายการจังหวัดและหัวหน้าสำนักงานต่างๆ”นายวิริยะ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 มิถุนายน 2566

“ชัยมงคล ว่าที่ ส.ส.สกลนคร”เชื่อ ปักธงสำเร็จเพราะนโยบาย พปชร.-รถไฟความเร็วสูง เดินหน้าแก้หนี้สินให้เกษตรกร

,

“ชัยมงคล ว่าที่ ส.ส.สกลนคร”เชื่อ ปักธงสำเร็จเพราะนโยบาย พปชร.-รถไฟความเร็วสูง เดินหน้าแก้หนี้สินให้เกษตรกร

นายชัยมงคล ไชยรบ ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จ.สกลนคร เขต 5 กล่าวว่า ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ขอขอบพระคุณทุกคะแนนเสียงที่มอบให้ตน ซึ่งเป็นคนสว่างแดนดินให้ได้เป็นผู้แทน การได้รับเลือกครั้งนี้เป็นตนตั้งใจจะเปลี่ยนเพื่อพัฒนาสว่างแดนดินให้ดีขึ้น จะถือโอกาสทำงานพัฒนาเมืองสว่างฯ ให้เจริญก้าวหน้า เรามีเป้าหมายชัดเจนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยต้องแก้ไขปัญหาหนี้สิน ควบคู่กับการสร้างรายได้ เนื่องจากปัจจุบันประชาชนประสบกับหนี้สินทั้งในและนอกระบบจำนวนมาก

นายชัยมงคล กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตนได้บอกกับประชาชนในพื้นที่ก็คือ ตนจะผลักดันให้จังหวัดสกลนครมีการพัฒนาด้านคมนาคมด้วยรถไฟความเร็วสูงเพื่อการขนส่ง และสกลนครจะต้องอยู่ในแผนของการวางระบบโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะนำรถไฟความเร็วสูง จากอุดรธานี ผ่านสกลนคร ไปนครพนม แม้ว่าจะได้เป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็ตาม เรื่องนี้คือยุทธศาสตร์ในการพัฒนาที่ตนตั้งใจว่าจะทำให้ได้ และประชาชนก็ขานรับเป็นอย่างดี เพราะสาเหตุที่ทำให้ประชาชนตัดสินใจให้ตนมาเป็นผู้แทนฯนอกเหนือจากนโยบายของพรรคพลังประชารัฐแล้ว ก็มาจากนโยบายรถไฟความเร็วสูงด้วย

“รถไฟความเร็วสูงที่จะเกิดขึ้น จะทำให้เกิดการสร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน เพราะจะสามารถส่งออกผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ไม่ใช่การที่ต้องนำเอางบประมาณจากภาครัฐลงไปสนับสนุนอยู่ตลอดเวลา และก็แก้ปัญหาได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น”นายชัยมงคล กล่าว

นายชัยมงคล กล่าวต่อว่า ตนยังมีโครงการระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการเกษตรด้วยที่ตั้งใจจะผลักดันให้สำเร็จเพราะเป็นบริหารการจัดการน้ำและส่งเสริมวิถีชุมชนการเกษตรที่ยั่งยืน โดยจะสูบน้ำจากบ่อบาดาลด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซล่าเซลล์ ถือเป็นการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน และยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการลดต้นทุนทางการเกษตรโดยที่ไม่ต้องใช้น้ำมันอีกด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 3 มิถุนายน 2566

“รัชนี ว่าที่ ส.ส.ร้อยเอ็ด”ประกาศ พร้อมดูแล ปชช.แก้ปัญหาทุกเรื่องตามที่หาเสียงไว้ เชื่อ ทำงานไม่เคยหยุด จนได้ใจชาวร้อยเอ็ด ส่งเข้าสภาฯอีกสมัย

,

“รัชนี ว่าที่ ส.ส.ร้อยเอ็ด”ประกาศ พร้อมดูแล ปชช.แก้ปัญหาทุกเรื่องตามที่หาเสียงไว้ เชื่อ ทำงานไม่เคยหยุด จนได้ใจชาวร้อยเอ็ด ส่งเข้าสภาฯอีกสมัย

นางรัชนี พลซื่อ ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จ.ร้อยเอ็ด เขต 3 กล่าวถึงการทำหน้าที่ ส.ส.ในสภาภายหลังได้รับการรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ว่า สิ่งแรกจะต้องเน้นการนำนโยบายของพรรคที่เราได้หาเสียงไว้เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ทั้งเรื่องที่ทำกินและแก้ปัญหาภัยแล้ง รวมถึงการประสานงานเพื่อให้ได้เอกสารสิทธิ์ สปก.เพื่อการทำอาชีพเกษตรที่มั่นคงสร้างรายได้ให้กับครอบครัวตามแนวทางของพรรคพลังประชารัฐ

นางรัชนี กล่าวต่อถึงเรื่องของพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นถนนที่ได้ผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นผลงานในช่วงที่ผ่านมาของตนเอง และจำเป็นที่ต้องทำต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับปรุงเส้นทางที่ชำรุดให้คงสภาพใช้งานเพื่อการสัญจรที่สะดวกของประชาชน ซึ่งส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนจนได้รับคะแนนเสียง และชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้

“เราไม่เคยหยุดที่จะทำงาน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะมีตำแหน่งหรือไม่มีตำแหน่งก็ตาม ครอบครัวพลซื่อ พร้อมแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน และประชาชนสามารถเข้าถึงในทุกรูปแบบ แจ้งปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งพบปะ โทรศัพท์ ทั้งงานบุญ งานลงพื้นที่ ไม่เคยขาด”นางรัชนี กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 3 มิถุนายน 2566

“ปกรณ์ จีนาคำ” เดินสายขอบคุณ ปชช. พร้อมทำงานพัฒนา จ.แม่ฮ่องสอน เล็งผลักดันเสนอยกจังหวัดแม่ฮ่องสอนให้เป็น “จังหวัดพิเศษ” เพื่อลดปัญหารายได้ต่อหัวต่ำ และแรงงานฝีมือ รวมถึงข้าราชการขาดแคลน

,

“ปกรณ์ จีนาคำ” เดินสายขอบคุณ ปชช. พร้อมทำงานพัฒนา จ.แม่ฮ่องสอน เล็งผลักดันเสนอยกจังหวัดแม่ฮ่องสอนให้เป็น “จังหวัดพิเศษ” เพื่อลดปัญหารายได้ต่อหัวต่ำ และแรงงานฝีมือ รวมถึงข้าราชการขาดแคลน

นายปกรณ์ จีนาคำ ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.แม่ฮ่องสอน เขต 1 เปิดเผยว่า ตนได้ลงพื้นที่ขอบคุณประชาชนในทุกอำเภอที่ให้ความไว้วางใจตนเอง ซึ่งขณะนี้กำลังรอการรับรองผลอย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต. ) เมื่อรับรองแล้ว ตนจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะการขาดแคลนบุคลากรของหน่วยราชการ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของการขับเคลื่อนจังหวัด ด้วยข้อจำกัดของภูมิศาสตร์ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นพื้นที่ห่างไกล ทำให้บุคลากรที่จะมาบรรจุทำงานในพื้นที่มีไม่มาก และไม่เพียงพอต่อการบริหารงานด้านต่างๆให้มีประสิทธิภาพ ตนจึงตั้งใจว่า ทันทีที่เปิดสภาฯ จะเร่งเสนอให้มีการยกฐานะของจังหวัด เป็นเมืองพิเศษ เช่นเดียวกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้มีการกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่นมากขึ้น

“จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากร ของหน่วยราชการ ที่จะเข้ามาให้บริการประชาชน ผมต้องการให้จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีข้าราชการเพียงพอต่อการพัฒนาพื้นที่ ทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม และสุขอนามัย เพื่อให้ทัดเทียมกับพื้นที่อื่นๆ ผมเห็นว่า ควรมีการผ่อนผันข้อบังคับระบบราชการ โดยการสร้างแรงจูงใจ การปฎิบัติหน้าที่ของบุคลากร ที่จะเข้ามาบรรจุในพื้นที่ และควรมีระยะเวลาทำงานในพื้นที่ได้นานขึ้น การพิจารณาความเหมาะสม ของค่าตอบแทน ค่าเดินทาง พร้อมทั้งเพิ่มอำนาจการอนุมัติให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด การใช้พื้นที่ป่า เพื่อการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ทั้งไฟฟ้า ถนน เป็นไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น”นายปกรณ์ กล่าว

นายปกรณ์ กล่าวต่อว่า ส่วนปัญหาในเรื่องของที่ทำกิน จะต้องเร่งผลักดันให้มีการออกใบอนุญาตโดยเร็ว เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว เพราะปัจจุบันมีประชาชน กว่า 2 หมื่นครัวเรือนที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตในการเข้าทำกินในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ตามนโยบายคณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) เพื่อเป็นการลดปัญหาการบุกรุกป่า เพราะพื้นที่แม่ฮ่องสอนมีประชาชนที่เป็นกลุ่มชาติพันธ์หลากหลาย เน้นทำการเพาะปลูกอยู่ในพื้นที่สูงซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่า ดังนั้นควรส่งเสริมให้เกิดอาชีพที่มั่นคง และลดกระทำผิดทางกฎหมาย พร้อมให้เป็นแนวร่วมในการดูแลฟื้นฟูป่าให้อุดมสมบูรณ์มากขึ้นไปพร้อมกัน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 มิถุนายน 2566