โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: ข่าวประชาสัมพันธ์

” รองหน.พปชร.” ติดตามสถานการณ์ระดับน้ำอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกร’ จ.นครราชสีมา เตรียมแผนป้องกัน เร่งการระบายน้ำ ลดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน”

,

” รองหน.พปชร.” ติดตามสถานการณ์ระดับน้ำอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกร’ จ.นครราชสีมา
เตรียมแผนป้องกัน เร่งการระบายน้ำ ลดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน”

นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จ.นครราชสีมา ลงพื้นที่ อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา ติดตามสถานการณ์ระดับน้ำอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกร (ตอนล่าง) เนื่องจากอิทธิพลของพายุ “โนรู” ทำให้เกิดฝนตกสะสมเป็นปริมาณมาก และเต็มพื้นที่ลุ่มน้ำของลำเชียงไกร ทำให้มีปริมาณน้ำท่า ไหลลงลำห้วย ลำน้ำต่างๆ เป็นจำนวนมาก และจากการติดตามฯ พบว่า มีปริมาณน้ำในอ่างฯ 31.88 ล้านลบ.ม. เต็มความจุอ่างฯ มีน้ำไหลลงอ่างวันละ 2.83 ล้าน ลบ.ม. มีการระบายน้ำวันละ 3 ล้าน ลบ.ม. ระดับน้ำต่ำกว่าระดับสันเขื่อน 1.13 เมตร ซึ่งระดับน้ำอยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก แต่อยู่ในสภาวะที่สามารถควบคุมได้ ทั้งนี้ได้แนะนำให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกรอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมการป้องกัน พร้อมทั้งปรับการระบายน้ำให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ พิจารณาระบายน้ำ โดยไม่กระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายหรือกระทบน้อยที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์​ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 19 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”เร่งแผนดันราคาปาล์มช่วยเกษตรกร เดินหน้าโครงการประกันรายได้ต่อเนื่องปี’65-66

“พล.อ.ประวิตร”เร่งแผนดันราคาปาล์มช่วยเกษตรกร เดินหน้าโครงการประกันรายได้ต่อเนื่องปี’65-66

,

เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ 3/2565

โดยที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มในประเทศและตลาดโลก ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของอินโดนีเซียที่ได้มีการประกาศยกเลิกภาษีส่งออกสำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มทั้งหมด แต่จากสถานการณ์ภัยแล้งในทวีปอเมริกาทำให้ราคาน้ำมันพืชชนิดต่างๆ รวมถึงน้ำมันปาล์มยังทรงตัว ไม่ปรับลดลงมากนัก สำหรับสถานการณ์ความต้องการใช้น้ำมันดิบในประเทศ คาดว่า ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบในภาคบริโภคและอุตสาหกรรม จะปรับลดลงมาอยู่ที่ 0.09 ล้านตันต่อเดือน เนื่องจากภาวะการค้าและการบริโภคยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ในขณะที่ภาคพลังงานปรับเพิ่มขึ้นหลังจากมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2565 เห็นชอบ การกำหนดเพิ่มสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลจาก บี5 เป็น บี7 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565

ในคราวนี้ ที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบการเปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม คราวละ 3 ปี (ปี 2566 – 2568) และขอขยายระยะเวลาดำเนินการตามโครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี 2565 เป้าหมาย 150,000 ตัน โดยขยายระยะเวลาส่งออกเป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565 และขยายระยะเวลาโครงการให้สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2566 ยิ่งไปกว่านั้น ได้เห็นชอบให้ดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2565 – 2566 โดยให้เริ่มจ่ายเงินชดเชยประกันรายได้ งวดที่ 1 ให้แก่เกษตรกรตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 เพื่อให้มีความต่อเนื่องจากโครงการฯ ปี 2564 – 2565 นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้พิจารณาเลือกผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติแทนที่ชุดเดิมซึ่งหมดวาระในวันที่ 7 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิประกอบไปด้วยผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ จำนวน 7 ท่าน และผู้ประกอบการสวนปาล์มน้ำมันซึ่งเป็นตัวแทนเกษตรกร จำนวน 3 ท่าน

พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนกลไกบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร ได้เน้นย้ำทุกหน่วยงานให้คำนึงถึงเกษตรกร ผู้บริโภค และผู้ประกอบการ ไม่ไห้ได้ผลกระทบ หรือ ได้ผลกระทบน้อยที่สุด จากการดำเนินการของรัฐบาล โดยเน้นมาตรการระยะยาวแปรรูป และเพิ่มมูลค่าให้ปาล์มเป็นพืชเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ทั้งยังได้ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ 8 ชนิด ส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ (SAF) ซึ่งในปัจจุบัน ได้มีภาคเอกชนหลายรายเริ่มลงทุนแล้ว ต้องยอมรับว่า ผลงานการบริหารราคาน้ำมันปาล์มที่สูงขึ้นเป็นที่ประจักษ์ภายใต้การดูแลของพล.อ.ประวิตรทำให้ชาวเกษตรกรสวนปาล์มชื่นชมถึงความทุ่มเทในการยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างรายได้ให้ “กินดีอยู่ดี” อย่างยั่งยืน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์​ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 19 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”เร่งแผนดันราคาปาล์มช่วยเกษตรกร เดินหน้าโครงการประกันรายได้ต่อเนื่องปี’65-66 “พล.อ.ประวิตร”เร่งแผนดันราคาปาล์มช่วยเกษตรกร เดินหน้าโครงการประกันรายได้ต่อเนื่องปี’65-66 “พล.อ.ประวิตร”เร่งแผนดันราคาปาล์มช่วยเกษตรกร เดินหน้าโครงการประกันรายได้ต่อเนื่องปี’65-66

"พล.อ.ประวิตร"ปลื้มปชช.ตอบรับนโยบายสวัสดิการประชารัฐ ลุยขยายผลต่อเนื่อง ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างเศษฐกิจยั่งยืน

“พล.อ.ประวิตร”ปลื้มปชช.ตอบรับนโยบายสวัสดิการประชารัฐ ลุยขยายผลต่อเนื่อง ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างเศษฐกิจยั่งยืน

,

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร. ) เปิดเผยถึง นโยบาย 3 พันธกิจหลักของพรรคพลังประชารัฐ ที่ประกอบด้วย 1.สวัสดิการประชารัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ 2.เศรษฐกิจประชารัฐ สร้างความสามารถและโอกาสที่เท่าเทียม และ 3.สังคมประชารัฐ สงบสุข เข้มแข็ง แบ่งปัน โดยการดำเนินการในส่วนของ สวัสดิการประชารัฐ เป็นหนึ่งในเสาหลัก และนโยบายที่พรรคผลักดันให้เกิดขึ้นในรัฐบาลปัจจุบัน นับเป็นความสำเร็จ และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากประชาชนช่วงนี้ อยู่ระหว่างการเปิดให้ลงทะเบียนรอบใหม่ของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประชาชนให้ความสนใจ มีการลงทะเบียนจำนวนมาก เพราะเป็นแนวทางที่ประชาชนได้ประโยชน์ สามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ ได้รับการดูแล ทั้งในด้านคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การดูแลเบี้ยยังชีพของผู้สูงวัย ตลอดจนผู้มีรายได้น้อย หรือกลุ่มเปราะบาง

สำหรับการขับเคลื่อน และสานต่อ นโยบายสวัสดิการประชารัฐ พปชร. เล็งเห็นความสำคัญ ที่ต้องการให้ประชาชนได้รับสวัสดิการที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นหลักประกันในการดำเนินชีวิต สามารถเข้าถึงอย่างเท่าเทียม มองว่าเป็นนโยบายที่ตอบสนองคนไทยทุกคน นับแต่วันแรกที่มีลมหายใจ จนถึงวันสุดท้ายของลมหายใจ จึงเป็นที่มาของแนวคิด จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน สวัสดิการประชารัฐ

ทั้งนี้ได้แบ่งการดูแลสวัสดิประชารัฐตาม ช่วงวัย ดังนี้

  1. ช่วงอยู่ในครรภ์ จนถึง 6 ปี ต้องเติบโตอย่างมีคุณภาพ โภชนาการครบถ้วน พัฒนาการตามวัย
  2. อายุ 7-18 ปี : การศึกษามีคุณภาพอย่างเท่าเทียม เพิ่มทางเลือกทางการศึกษาให้เหมาะสมกับโลกที่เปลี่ยนไป
  3. อายุ 18-40 ปี : สวัสดิการคุ้มครองแรงงานในและ นอกระบบ ฝึกอบรมเพิ่มทักษะ รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
  4. อายุ 40-60 ปี : ดูแลสวัสดิการเสริมด้านสุขภาพ ครอบคลุมประชาชนทุกคน
  5. อายุ 60 ปีขึ้นไป : เบี้ยยังชีพ บ้านพัก และสวัสดิการผู้สูงอายุ

    อย่างไรก็ตามเป้าหมายต่อไปที่จะผลักดันการใช้ สวัสดิการประชารัฐ ให้เกิดประสิทธิภาพ พรรคพลังประชารัฐไม่ได้เน้นเพียงกลุ่มเปราะบางเท่านั้น แต่ต้องการให้ประชาชนทุกคนได้เข้าถึงสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐาน สนับสนุนให้เกิดฐานข้อมูลขนาดใหญ่หรือ บิ๊กดาต้าด้านสวัสดิการ เพื่อออกแบบสวัสดิการสำหรับคนต่างกลุ่ม ต่างวัย ได้อย่างครอบคลุม และถูกฝาถูกตัว ผ่านบัตรประชาชน

“เป้าหมายสำคัญ คือ ลดความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืน และสร้างความเท่าเทียมให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย เพราะพรรคพลังประชารัฐห่วงใยและพร้อมดูแลพี่น้องประชาชนอย่างครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกคน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”พล.อ.ประวิตรกล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ ​พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 19 ตุลาคม 2565

"พล.อ.ประวิตร"ปลื้มปชช.ตอบรับนโยบายสวัสดิการประชารัฐ ลุยขยายผลต่อเนื่อง ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างเศษฐกิจยั่งยืน

“พล.อ.ประวิตร” ลงสุราษฎร์สั่งรับมือฤดูมรสุมเข้าภาคใต้ ติดตามแก้ปัญหาราคาปาล์มหนุนเพิ่มมูลค่าช่วยชาวสวน

,

“พล.อ.ประวิตร” ลงสุราษฎร์สั่งรับมือฤดูมรสุมเข้าภาคใต้
ติดตามแก้ปัญหาราคาปาล์มหนุนเพิ่มมูลค่าช่วยชาวสวน

วันที่ 17 ต.ค. 2565 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทย นายสันติ พร้อมพร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นายวิรัช รัตนเศรษฐ สส.บัญชีรายชื่อ เดินทางลงจ. สุราษฎร์ธานี เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำและเตรียมการรับมือฤดูฝน รวมทั้งความคืบหน้าการแก้ปัญหาปาล์มน้ำมันในพื้นที่ภาคใต้ โดยมีสส.พปชร. อาทิ นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.จ.นครศรีธรรมราช เขต 2 นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ นครศรีธรรมราช เขต 3 นายสายัณห์ ยุติธรรม ส.ส. นครศรีธรรมราช เขต 7 ณ ศาลากลาง จ.สุราษฎร์ธานี และนายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัด และ หัวหน้าราชการให้การต้อนรับ ทั้งนี้พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก ประจำ รองนายกรัฐมนตรี ได้รายงานสถานการณ์ภาพรวมปริมาณฝนที่กำลังเข้าสู่ฤดูฝนในพื้นที่ภาคใต้ ปริมาณน้ำสะสมในพื้นที่มากขึ้น เสี่ยงต่อน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งเกิดจากร่องมรสุมพาดผ่านและพายุโซนร้อนจากทะเลจีนใต้ ส่งผลฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ในจ.ชุมพร ระนอง พังงาน กระบี่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และสตูล

พล.อ.ประวิตร’ ได้ย้ำให้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช. จว.)และทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เตรียมการรับฤดูฝนภาคใต้ที่กำลังมาถึง พร้อมการบริหารจัดการลุ่มน้ำและโครงการแหล่งเก็บกักน้ำ พร้อมที่จะมุ่งแก้ปัญหาอุทกภัยเป็นหลักรวมถึงการแก้ปัญหาภัยแล้งไปพร้อมกัน โดยเน้น 13 มาตรการรับมือฤดูฝน และให้ความสำคัญ สำรวจพื้นที่เสี่ยงและความพร้อมของสถานีสูบน้ำ สิ่งกีดขวางทางน้ำ โดยให้บริหารจัดการน้ำ ผ่านคณะกรรมการลุ่มน้ำและคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด พร้อมทั้งขอให้มีการนำบทเรียน การป้องกันและแก้ปัญหา พื้นที่เสี่ยงปีที่ผ่านมา มาบริหารจัดการลดความเสี่ยงและผลความเสียหายที่เกิดจากอุทกภัย และต้องให้ความสำคัญ แจ้งเตือนและนำประชาชนออกจากพื้นที่ให้ทันเหตุการณ์ หากเกิดน้ำป่าไหลหลากดินโคลนถล่ม เพื่อความปลอดภัยของประชาชน พร้อมกันนี้ ขอให้ สทนช.เตรียมความพร้อมจัดตั้ง ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า ในพื้นที่ จว.สุราษฎร์ธานี โดยทันที

พล.อ.ประวิตรในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มแห่งชาติ (กปน.) ได้เดินเยี่ยมชมนิทรรศการการบริหารจัดการปาล์มน้ำมัน พร้อมพบปะประชาชนและพูดคุยกับเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาปาล์มน้ำมัน รัฐบาลปัจจุบันให้ความสำคัญและมีมาตรการต่างๆออกมาต่อเนื่อง ที่ส่งผลราคาปาล์มน้ำมันดีขึ้นต่อเนื่องกว่า ร้อยละ 150 และสามารถทำสถิติส่งออกสูงสุด 6.2 แสนตันในปี 64 และคาดว่าราคาปาล์มน้ำมันในปี 65 เฉลี่ยอยู่ที่ 7.5 บาท/กก.

โดยที่ผ่านมาได้แก้ไขปัญหาราคาปาล์ม ล้นตลาดและราคาปาล์มตกต่ำมาโดยตลอด จนสำเร็จเป็นรูปธรรมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สนับสนุนให้นำน้ำมันปาล์มดิบในสต๊อกส่วนเกินจำนวน 3.6 แสนตันไปผลิตไฟฟ้า เพื่อให้ราคาปาล์มมีเสถียรภาพ โดยตั้งแต่ปี 2562 ราคาปาล์มน้ำมันไม่เคยต่ำกว่า 4 บาทจนถึงขณะนี้ จากบาทกว่ามาถึง 8 บาทกว่า จนเห็นได้ชัดว่าชาวสวนปาล์มมีรายได้เพิ่มขึ้น ตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา ราคาปาล์มเฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.50 บาท คาดว่าทั้งปีน่าจะอยู่ที่ 7.50 บาทถึง 8 บาท

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า การแก้ปัญหากับเกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม รัฐบาลได้บริหารจัดการปาล์มน้ำมัน ผ่าน คณะกรรมการปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ที่มุ่งแก้ปริมาณปาล์มล้นตลาดและราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำมาตลอด โดยผลักดันการส่งออกและนำน้ำมันปาล์มส่วนเกินมาผลิตพลังงานผสมในน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน พร้อมทั้งติดมิเตอร์วัดน้ำมันปาล์มดิบป้องกันการลักลอบการนำเข้านำมันปาล์มเถื่อน ส่งผลให้ราคาปาล์มน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง

ทั้งนี้รัฐบาลยังได้เตรียมออกมาตรการระยะยาว โดยการนำน้ำมันปาล์มมาแปรรูป เพิ่มมูลค่าให้ปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจที่ยั่งยืน สำหรับ การบูรณาการพัฒนาปาล์มน้ำของ จว.สุราษฎร์ธานี ขอให้มุ่งเป้า Oil Palm City ที่ส่งเสริมการผลิตปาล์มน้ำมันเพื่อให้เกิดความอย่างยั่งยืน และราคามีเสถียรภาพ กำหนดราคาซื้อขายปาล์มน้ำมันที่เป็นธรรม เพื่อให้เกษตรกรได้รับประโยชน์ทั่วถึง ในทุกพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อนมาตรการปาล์ม้ำมันอย่างเป็นรูปธรรม

พล.อ.ประวิตร ได้เดินพบปะ จับมือทักทายเกษตรกรชาวสวนปาล์ม โดยมีกลุ่มเกษตรกรขอให้ช่วยเหลือแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ซึ่งระหว่างการเยี่ยมประชาชน มีเด็กผู้ชาย 2 คน อายุประมาณ 3-4 ขวบ เข้าสวมกอดพล.อ.ประวิตร ท่ามกลางเสียงตะโกนของชาวบ้าน ให้กำลังใจว่า “ลุงป้อมสู้ๆ” โดยตลอดการเดินพบปะชาวบ้าน พล.อ.ประวิตรมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และโบกมือทักทายชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 17 ตุลาคม 2565

รมช.อธิรัฐ ร่วมประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 28 อินโดนีเซีย มุ่งยกระดับคมนาคมในภูมิภาคก้างทันรับการเปลี่ยนแปลงของโลก

,

รมช.อธิรัฐ ร่วมประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 28 อินโดนีเซีย
มุ่งยกระดับคมนาคมในภูมิภาคก้างทันรับการเปลี่ยนแปลงของโลก

นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 28และการประชุมอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 16-17 ตุลาคม 2565 ณ เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย โดยผู้ช่วยปลัดกระทรวงคมนาคม และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุมฯ โดยการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๘ และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง วันอาทิตย์ที่ 16 ต.ค.65 นั้นประกอบด้วย
การประชุมรัฐมนตรีขนส่งระหว่างอาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 13 การประชุมรัฐมนตรีขนส่งระหว่างอาเซียน – ญี่ปุ่น ครั้งที่ 20 และการประชุมรัฐมนตรีขนส่งระหว่างอาเซียน – จีน ครั้งที่ 21 โดยมี H.E. Mr. Budi Karya Sumadi รมว.คมนาคมของอินโดนีเซีย ทำหน้าที่ประธานการประชุม
โดยที่ประชุมได้ร่วมหารือความร่วมมือด้านการขนส่ง เพื่อพัฒนาการคมนาคมขนส่งในภูมิภาค ที่สำคัญ ประจำปี 2566 ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมท่าอากาศยาน และการจัดการบริการขนส่งโดยการใช้แอปพลิเคชันสำหรับการขนส่งผู้โดยสารในอาเซียน และเพื่อส่งเสริมการหมุนเวียนตู้คอนเทนเนอร์ในภูมิภาค ซึ่งสะท้อนให้เห็นความร่วมมือของอาเซียนในการมุ่งสู่การขนส่งอัจฉริยะ และการปรับตัวที่ยืดหยุ่นพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายหลังการระบาดของโรคโควิด-19

ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๘ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ ได้กล่าวถ้อยคำแถลงสนับสนุนการรับรองเอกสารต่าง ๆ
“โดยประเทศไทยพร้อมจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับประเทศสมาชิกอาเซียนในการดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และพร้อมสนับสนุนสาขาการขนส่งที่จะดำเนินการในปีถัดไป เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน หรือแผนยุทธศาสตร์กัวลาลัมเปอร์ เพื่อช่วยพัฒนาและส่งเสริมขีดความสามารถด้านการขนส่งของประเทศไทย ตลอดจนอำนวยความสะดวกการค้าและการลงทุนในประเทศไทยและอาเซียน”

ในโอกาสนี้ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ ยังได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับรัฐมนตรีขนส่งของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศสมาชิก และเน้นย้ำเจตนารมณ์ในการดำเนินงานร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนในการยกระดับมาตรฐานการขนส่งในสาขาต่าง ๆ ของไทยให้มีความยืดหยุ่น ยั่งยืน ครอบคลุม และมีความเป็นสากลทัดเทียมนานาประเทศอีกด้วย


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 16 ตุลาคม 2565

“ตรีนุช”ลงพื้นที่น้ำท่วมให้กำลังใจชาวอุบลฯ

,

“ตรีนุช”ลงพื้นที่น้ำท่วมให้กำลังใจชาวอุบลฯ

วันนี้ ( 16 ตุลาคม 2565)
ที่จังหวัดอุบลราชธานี นางสาวตรีนุช เทียนทองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.)
ลงพื้นที่ติดตามและให้ความช่วยเหลือสถานศึกษาที่ประสบอุทกภัย ณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.)อุบลราชธานี เขต 3 , โรงเรียนบ้านเดื่อสะพานโดม และ เทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร
โดยมีพระปัญญาวชิรโมลี เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม,นางสาวสมปรารถนา วิกรัยเจิดเจริญ
ที่ปรึกษา รมว.ศธ.,นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.), นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการร่วมลงพื้นที่

นางสาวตรีนุช กล่าวว่า ตนพร้อมด้วยผู้บริหาร ศธ.ตั้งใจมาเยี่ยมให้กำลังใจครู ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษาทุกคน ซึ่งปีนี้จังหวัดอุบลราชธานี ประสบกับอุทกภัยอย่างหนักและรุนแรง โดยตนได้รับรายงานว่า เฉพาะที่จังหวัดอุบลราชธานี มีสถานศึกษา ในสังกัด ศธ.มากกว่า 92 แห่งได้รับความเสียหาย ทั้งอาคารเรียน และอุปกรณ์การเรียนการสอน ซึ่งตนได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแล้ว ว่า หลังจากที่น้ำลดแล้วอาจจะต้องมีการซ่อมแซมโรงเรียน หรือวัสดุครุภัณฑ์ต่างๆที่ได้รับความเสียหาย ก็ขอให้หน่วยงานต้นสังกัดของสถานศึกษาได้จัดงบประมาณไปดูแลโดยเร่งด่วน เพื่อให้มีความพร้อมสามารถเปิดโรงเรียนจัดการเรียนการสอนได้ทัน การเปิดเทอมที่จะถึงนี้ หรือให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
และให้ดูแลครูผู้อยู่ในด่านหน้าได้รับขวัญกำลังใจ และได้รับการดูแลอย่างเต็มที่

“ ดิฉันพร้อมที่จะเป็นหลักในการช่วยเหลือสนับสนุนในทุกๆด้าน เพื่อทำให้โรงเรียน ทำให้เด็กๆของเรากลับมาสู่การเปิดภาคเรียนได้อีกครั้ง ซึ่งในการช่วยเหลือนั้น หน่วยงานของ ศธ. ทุกหน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่จะทำงานเชื่อมโยง บูรณาการร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น อาชีวะช่วยประชาชน , กศน. จิตอาสา ซ่อม สร้าง ล้างใหม่ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เป็นต้น และวันนี้ก็ได้รับการอนุเคราะห์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) และ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่ได้มอบถุงยังชีพมาร่วมช่วยเหลือผู้ประสบภัย ดิฉันขอขอบคุณผู้บริหารทุกท่านและเป็นกำลังใจให้ทุก ๆ คน ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปเร็ว ๆ ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพร่างกายจิตใจให้เข้มแข็งปลอดภัย เพื่อที่เราจะได้เป็นหลักในการทำงานให้กับลูกหลาน เยาวชน และครูของเราต่อไป” รมว.ศธ. กล่าว

รมว.ศธ. กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยัง ได้รับเมตตาจากพระปัญญาวชิรโมลี เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม ซึ่งเป็นพระนักพัฒนาได้จัดสรรพื้นที่ของวัด จัดเป็นโรงเรียนเอกชนขึ้น เพื่อดูแลเยาวชนของเราส่วนหนึ่งให้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษา มีการพัฒนานวัตกรรมในเรื่องการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้เพื่อลดค่าไฟฟ้า , ช่วยระดมความช่วยเหลือจากชุมชนทุกด้านทำให้พวกเราบรรเทาทุกข์จากอุทกภัยในครั้งนี้ด้วย.


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 16 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร” ชูนโยบาย 3 แกนหลัก พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งสานต่อช่วยประชาชน

,

“พล.อ.ประวิตร” ชูนโยบาย 3 แกนหลัก
พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งสานต่อช่วยประชาชน

“พล.อ.ประวิตร”ประกาศเดินหน้า ขับเคลื่อนนโยบาย พปชร. สานต่อ 3 เสาหลัก พันธกิจ สวัสดิการประชารัฐ เศรษฐกิจประชารัฐ และสังคมประชารัฐ กลไกลดความเหลื่อมล้ำ สร้างเศรษฐกิจ สังคมเท่าเทียม ประชาชนทุกคนได้ประโยชน์ถ้วนหน้า พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า ต่อยอดนโยบายส่งมอบสิ่งที่ดีให้ประชาชน ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ที่จะนำเสนอให้กับพี่น้องประชาชน สำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึงในอนาคตอันใกล้ว พปชร. ยังเดินหน้าสานต่อนโยบาย 3 พันธกิจหลัก ที่ประกอบด้วย 1.สวัสดิการประชารัฐขจัดความเหลื่อมล้ำ 2.เศรษฐกิจประชารัฐ สร้างความสามารถและโอกาสที่เท่าเทียม และ 3.สังคมประชารัฐ สงบสุข เข้มแข็ง แบ่งปัน โดยเป็นกรอบนโยบายที่จะมาช่วยเหลือประชาชน และตอบโจทย์ประเทศไทยภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมนำพาประเทศไทยรวมถึงประชาชนให้มีความกินดีอยู่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และช่วยเหลือชุมชนให้เกิดความเข้มแข็ง ครอบคลุมประชาชนทุกคนให้ได้รับสิทธิสวัสดิการของรัฐอย่างถ้วนหน้า

พล.อ. ประวิตร กล่าวต่อว่า นโยบายของพรรคพลังประชารัฐในครั้งนี้ เป็นการดำเนินนโยบาย เพื่อเป็นการต่อยอดจากการทำงาน และร่วมขับเคลื่อนนโยบายของพรรคในการบริหารราชการของรัฐบาลชุดนี้ เพราะเราต้องการต่อยอดนโยบายที่ดีและเป็นประโยชน์กับประชาชน พร้อมกับนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ที่ตรงกับความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ดังนั้น ประชาชนจะเป็นศูนย์กลางของการขับเคลื่อนนโยบาย โดยทุกนโยบายจะมีการพิจารณาถึงงบประมาณ สามารถชี้แจงแหล่งที่มาของงบประมาณได้แน่นอน เราเน้นทำได้จริง ไม่ขายฝัน เราฟังเสียงประชาชนว่ามีความเดือดร้อนอย่างไร จึงมาสู่การกำหนดเป็นนโยบาย

“พรรคพลังประชารัฐให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนทุกช่วงวัย ต้องทำให้ทุกคน มีโอกาส มีอนาคต ตั้งแต่วัยเด็ก จนถึงการดูแลคนวัยทำงาน เพราะถือเป็นการสร้างอนาคตของประเทศ ถือเป็นการลงทุนทางสังคม เด็กทุกคนควรจะมีสิทธิเลือกว่าอยากมีอนาคตอย่างไร เด็กต้องได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพที่ดี จึงเกิดเป็นนโยบายสวัสดิการประชารัฐ จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน”ที่ดูแลตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ด้วยมารดาประชารัฐ ฝากครรภ์ จนคลอด นอกจากนี้สำหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เราก็ไม่ทอดทิ้ง ต้องมีการดูแลสวัสดิภาพผู้สูงอายุ ยังสานต่อในเรื่องเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ บ้านพัก และสวัสดิการรักษาพยาบาล ไปจนถึงแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง และผู้ที่เสียชีวิต “พลเอกประวิตร กล่าว

พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า นโยบายของพรรค ต้องคิดให้ละเอียดในการที่จะนำนโยบายไปใช้แต่ละพื้นที่ เพราะทุกพื้นที่มีความแตกต่างตามบริบทของท้องถิ่น แต่ยังคงยึด 3 เสาหลัก พรรคพลังประชารัฐ คือ สถาบันของการเมืองไทย เราคิดนโยบายเพื่อตอบโจทย์ความเหลื่อมล้ำ ความยากจน และตอบโจทย์ประชาชน เราจะเป็นพรรคที่ทำให้สังคมสงบสุข โดยจะก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆกัน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยที่นโยบายของเราที่จะขับเคลื่อน เกิดขึ้นบนพื้นฐานการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ที่ประชาชนเห็นด้วย และให้การตอบรับในการทำงานที่ผ่านมา และพร้อมที่จะทำต่อเนื่องเพื่อให้เกิดผลกับประชาชนอย่างแท้จริง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 15 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร” โทรชื่นชมครอบครัววอลเลย์หญิงไทย นำความสุขสร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติในเวทีโลก

,

“พล.อ.ประวิตร” โทรชื่นชมครอบครัววอลเลย์หญิงไทย นำความสุขสร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติในเวทีโลก

วันที่ 14 ต.ค.65 เวลา 12.00 น. พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้วิดีโอคอลไปยัง “โค้ชด่วน” นายดนัย ศรีวัชรเมธากุล หัวหน้าผู้ฝึกสอนและนักกีฬาวอลเลย์หญิงทีมชาติไทย เพื่อขอบคุณที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศ ในงาน “ครอบครัววอลเลย์บอล สร้างสุขทั่วไทย ได้ใจทั่วโลก” ของสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 14 ต.ค.65 ณ โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอรีน พระรามเก้า กรุงเทพฯ

โดยพลเอกประวิตร ได้กล่าวขอบคุณสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ผู้ฝึกสอน นักกีฬา ที่เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติรายการต่าง ๆ ตลอดปี 2022 รวมทั้งบุคลากรด้านอื่นๆ ที่มุ่งมั่น ทุ่มเท ด้วยความเสียสละ อดทน ทําให้ทีมวอลเลย์บอลของไทยประสบผลสําเร็จเป็นอย่างดียิ่ง และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ

สำหรับผลงานวอลเลย์บอลหญิงไทย 2022 โชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการคว้าแชมป์ซีเกมส์ (13 สมัยติด /นับเป็นสมัยที่ 15), เนชันส์ลีก 2022 อันดับ 8 (สร้างประวัติศาสตร์เข้ารอบไฟนอลเป็นครั้งแรก), อันดับ 3 เอวีซี คัพ 2022 (AVC CUP 2022), แชมป์วัน อาเซียน กรังด์ปรีซ์ 2022 ก่อนส่งท้ายปี 2022 ด้วยการจบอันดับ 15ในศึกวอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2022 จากการชนะ ตุรกี, โครเอเชีย, เกาหลีใต้ และโดมินิกัน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 14 ตุลาคม 2565

“ตรีนุช” ถกประชุม รมต.ศึกษาอาเซียน พร้อมรับไม้ต่อปี67 ไทยเจ้าภาพชู “พลิกโฉมการศึกษาสู่ยุคดิจิทัล”

,

“ตรีนุช” ถกประชุม รมต.ศึกษาอาเซียน พร้อมรับไม้ต่อปี67 ไทยเจ้าภาพชู “พลิกโฉมการศึกษาสู่ยุคดิจิทัล”

เมื่อวานนี้ (13 ตุลาคม 2565) ที่โรงแรม MELIA Hanoi กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยว่า ตน พร้อมด้วย นายอรรถพล สังขวาสี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีศึกษาของอาเซียน ครั้งที่ 12 (The 12th ASEAN Education Ministers Meeting: 12th ASED) ร่วมกับรัฐมนตรีศึกษาของ 9 ประเทศสมาชิกอาเซียนและเลขาธิการอาเซียน เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางของแต่ละประเทศในการจัดการศึกษาในยุคหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และหารือถึงแนวทางการพัฒนาการศึกษาในอนาคตร่วมกัน

“การประชุม 12th ASED นี้ จัดขึ้นในหัวข้อ ‘Joint efforts to recover learning and building resilience of education systems in ASEAN and beyond in the new context’ หรือ ‘ความพยายามร่วมกันในการพลิกโฉมการเรียนรู้และการสร้างความยืดหยุ่นของระบบการศึกษาในอาเซียนและในบริบทใหม่’ ซึ่งรัฐมนตรีศึกษาประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมแลกเปลี่ยนถึงแนวทางการจัดการศึกษาที่ได้รับผลกระทบมาจากโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยประเทศไทย และประเทศสมาชิกส่วนใหญ่มีการปรับการเรียนการสอนเป็นแบบออนไลน์ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงและเน้นการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้ครูเพื่อสามารถรองรับรูปแบบการสอนที่เปลี่ยนไปได้ รวมถึงพัฒนาแพลตฟอร์มกลางให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ” นางสาวตรีนุช กล่าว

รมว.ศธ. กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยเฉพาะการพาเด็กตกหล่นและหลุดออกกลางคันให้ได้กลับมาเรียนอีกครั้ง ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยไทยได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการพาเด็กที่หลุดออกจากระบบกลับมาให้มากที่สุด รวมถึงฟื้นฟูความรู้ในช่วงที่หายไป โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้สนับสนุน ดังนั้น การเรียนรู้แบบผสมผสานที่เกิดขึ้นทำให้ผู้เรียนและครูต้องได้รับการพัฒนาให้มีความรู้ใหม่ด้านดิจิทัล เพราะตอนนี้การศึกษาได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนมากขึ้น ซึ่งตนได้ขอบคุณประเทศสมาชิกอาเซียนในการร่วมมือระหว่างกัน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาในการพัฒนาทักษะผู้เรียนให้มีทักษะด้านดิจิทัลพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ในปี 2567 ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ASED ครั้งที่ 13 โดยกำหนดเป้าหมายการพัฒนาการศึกษาในเรื่อง “พลิกโฉมการศึกษาสู่ยุคดิจิทัล” (Transforming Education to Fit in the Digital Era)

“ขอชื่นชมประเทศเวียดนามที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในครั้งนี้และยินดีที่ทุกประเทศสมาชิกอาเซียนมาร่วมกันขับเคลื่อนการศึกษาไปด้วยกัน เพราะงานด้านการศึกษาไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง เราในฐานะเจ้าภาพการประชุมในครั้งต่อไป จะสานต่อความร่วมมือที่เข้มแข็ง เพื่อสร้างหลักประกันว่าทุกคนจะต้องมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม” นางสาวตรีนุช กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 14 ตุลาคม 2565

รมต.อนุชา เยือนเกาหลีใต้ ร่วมเวทีบริหารจัดการน้ำ MKWF ครั้งแรก สานความร่วมมือน้ำโขง-น้ำฮันเร่งฟื้นฟูความสมบูรณ์ลุ่มน้ำในภูมิภาค

,

รมต.อนุชา เยือนเกาหลีใต้ ร่วมเวทีบริหารจัดการน้ำ MKWF ครั้งแรก สานความร่วมมือน้ำโขง-น้ำฮันเร่งฟื้นฟูความสมบูรณ์ลุ่มน้ำในภูมิภาค

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายจาก พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นำคณะ ประกอบด้วย ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายธัชชญาณ์ณัช เจียรธนัทกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะทำงาน เข้าร่วมการประชุม Mekong-Korea Water Forum (MKWF) ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 5-6 ตุลาคม 2565 ณ สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้)

การประชุมครั้งนี้เป็นผลจากการที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมการประชุมกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี (Mekong-ROK Summit) ที่สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งเป็นการประชุมคู่ขนานกับการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ในระดับ ระดับผู้นําของอาเซียนกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ในโอกาสครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งประเทศไทยและเกาหลีใต้ได้พัฒนาความร่วมมือความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์หลายด้าน โดยเฉพาะด้านทรัพยากรน้ำ มีการรับรองปฏิญญาแม่น้ำโขง–แม่น้ำฮัน เป็นเอกสารผลลัพธ์สำคัญของการประชุม ซึ่งได้กำหนดทิศทางความร่วมมือลุ่มน้ำโขง–สาธารณรัฐเกาหลี ในอนาคต

ทั้งนี้ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ไทยและเกาหลีใต้ได้กำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินการด้านทรัพยากรน้ำร่วมกัน 3 ด้าน (3 Partnerships หรือ 3Ps) ได้แก่ หุ้นส่วนด้านเศรษฐกิจสีเขียว หุ้นส่วนด้านอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และหุ้นส่วนด้านสาธารณสุข รวมถึงความร่วมมือที่ใกล้ชิดในกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ทั้งในระดับอนุภูมิภาคและภูมิภาค

โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความยินดีที่ประเทศสมาชิกลุ่มน้ำโขง-สาธารณรัฐเกาหลี ได้ประสานความร่วมมือในการบริหารจัดการน้ำเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ซึ่งการประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นครั้งนี้จะมีส่วนช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกและความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน

“สำหรับประเทศไทย แม่น้ำโขงเป็นเส้นเลือดใหญ่สำคัญที่หล่อเลี้ยงประชากรที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ใน 8 จังหวัด ครอบคลุมพื้นที่ 28 อำเภอ 100 ตำบล ตั้งแต่ปี 2562 ที่ผ่านมา ประชาชนริมน้ำโขงได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทั้งปัจจัยทางธรรมชาติและการกระทำของมนุษย์ ส่งผลต่อความแปรปรวนของปริมาณน้ำ คุณภาพน้ำและระบบทางนิเวศ ซึ่งสิ่งนี้เป็นความท้าทายประเทศที่อาศัยแม่น้ำโขงในการดำรงชีวิต โดยต้องร่วมมือกันฟื้นฟูและรักษาคุณภาพทรัพยากรน้ำให้กลับมาสมบูรณ์ มีความมั่นคงทางทรัพยากรน้ำ อาหาร พลังงาน เพื่อช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจระดับภูมิภาค” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว

ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและคณะได้เข้าร่วมการประชุมระดับสูง(High Level Dialogue) โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ร่วมอภิปรายเรื่องความร่วมมือด้านน้ำในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และธรรมาภิบาลด้านการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำโขงภายใต้ความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งพบปะหารือกับผู้บริหาร K-Water เพื่อแลกเปลี่ยนทัศนะและส่งเสริมความร่วมมือด้านน้ำระหว่างไทยกับ K-Water และเยี่ยมชมโครงการบริหารจัดการน้ำของเกาหลีใต้ อาทิ สถานีโรงงานไฟฟ้าพลังงานน้ำขึ้นน้ำลงซีฮวา และสถานีผลิตน้ำสะอาดฮวาซอง เป็นต้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 5 ตุลาคม 2565

“ส.ส. จักรพันธ์” พปชร.รุดตรวจความแข็งแรงเขื่อนเขตบางพลัด-บางกอกน้อย เร่งรับมือมวลน้ำทุกทิศทาง มั่นใจเข้าดูแล ปชช.ทันสถานการณ์

,

“ส.ส. จักรพันธ์” พปชร.รุดตรวจความแข็งแรงเขื่อนเขตบางพลัด-บางกอกน้อย
เร่งรับมือมวลน้ำทุกทิศทาง มั่นใจเข้าดูแล ปชช.ทันสถานการณ์

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2565 นายจักรพันธ์ พรนิมิตร ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขตบางพลัด บางกอกน้อย และหัวหน้าภาค พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) พร้อมด้วย ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ ที่ปรึกษา ส.ส. ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ำ และสนับสนุนการปฏิบัติการป้องกันน้ำท่วมริมเขื่อนแม่น้ำเจ้าพระยา และรับฟังข้อมูลสถานการณ์น้ำ จากสำนักการระบายน้ำ กทม. (สนน.) เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมวลน้ำที่เกิดขึ้น ทั้งมาจากภาคเหนือ,ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมามากในพื้นที่ กทม.วานนี้ และน้ำทะเลหนุนสูงสุดที่ต้องเฝ้าระวังในวันที่ 10 ตุลาคม และวันที่ 27 และ 28 ตุลาคม2565 นี้ เพื่อไม่ให้ชุมชน และพื้นที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบ

นายจักรพันธ์ กล่าวว่า การดำเนินการเป็นไปตามแนวทางการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา จากการที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ลงพื้นที่ จ.ชัยนาท จ.สิงห์บุรี จ.อ่างทอง และ จ.อยุธยา เพื่อติดตามการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา พร้อมกำชับให้ ส.ส.ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาประสานหน่วยงานรัฐ เพื่อขอความช่วยเหลือ และแจ้งเตือนประชาชนอย่างทันท่วงที

นายจักรพันธ์ กล่าวต่อว่า เมื่อวานถือเป็นปรากฎการณ์ 3 น้ำคือ น้ำเหนือ น้ำหนุน และน้ำฝน ถ้ามี 3 น้ำนี้ประกอบกันขึ้น บริเวณชุมชน กทม.ที่อยู่ริมเจ้าพระยา และคลองหลัก ๆ ก็จะได้รับผลกระทบ แต่จากการประเมินสถานการณ์แล้ว ขณะนี้เข้าสู่ภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 10 ต.ค.จะเป็นช่วงที่ทะเลหนุนสูง เพราะฉะนั้นในวันนี้ ได้พาคณะลงพื้นที่เพื่อติดามว่าเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตลอดแนวในพื้นที่บางพลัด มีความแข็งแรงที่จะรับกับสถานการณ์น้ำได้ โดยเฉพาะน้ำเหนือ กับน้ำหนุน ซึ่งเท่าที่สำรวจดูก็อยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ

“ในบางจุดที่เป็นจุดเสี่ยงอยู่แล้ว ประชาชนในพื้นที่ก็รับทราบแล้ว เช่น จุดที่เป็นฟันหลอ ไม่มีเขื่อนถาวรของ กทม.จุดที่เป็นคันกั้นน้ำของเอกชน จุดเหล่านี้ ทาง กทม.ก็ได้มาเตรียมการไว้แล้ว หรืออย่างจุดท่าเรือวัดเทพากร หรือ ซอยจรัญสนิทวงศ์ 68 เขตบางพลัด ก็จะเป็นจุดที่มีเขื่อนถาวรที่สร้างมาเกือบ 30 ปีแล้ว ทางสำนักการระบายน้ำ กทม. ก็ได้มาดำเนินการเสริมความแข็งแรงของเขื่อน คืออัดฉีดน้ำปูนเข้าไปในเขื่อนเดิม เพื่อเสริมรอยรั่ว เสริมความแข็งแกร่งของเขื่อน ซึ่งประธานชุมชนบอกว่าถือว่าช่วยบรรเทาปัญหาไปได้มาก แต่ระยะยาวก็ต้องเร่งดำเนินการของบประมาณเพื่อสร้างเขื่อนถาวรซ้อนเข้าไปอีกชั้น “นายจักรพันธ์ กล่าว

นายจักรพันธ์ กล่าวด้วยว่า ในฐานะ ส.ส.ของพื้นที่ก็ได้มีการแจ้งกับชุมชนตลอด ซึ่งชาวบ้านก็เข้าใจ เพราะปกติหน้าน้ำชาวบ้านจะรับรู้ และเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ แต่จะน้อยจะมากก็แล้วแต่ปริมาณน้ำในช่วงนั้นตามภาวะน้ำแต่ละช่วงเวลา เพียงแต่ในขณะนี้ปริมาณน้ำเมื่อมารวมกันมีมากกว่าปกติ แต่เชื่อว่าจะไม่เกิดสถานการณ์น้ำท่วมเหมือนในปี 2554


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”เร่งยุทธศาสตร์แก้ปัญหาภัยพิบัติ จากโลกร้อน ร่วมศึกษาเปลี่ยนรถบัสขสมก.เป็นไฟฟ้าลดการก่อมลพิษในกทม.

,

“พล.อ.ประวิตร”เร่งยุทธศาสตร์แก้ปัญหาภัยพิบัติ จากโลกร้อน
ร่วมศึกษาเปลี่ยนรถบัสขสมก.เป็นไฟฟ้าลดการก่อมลพิษในกทม.

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมตรี เปิดเผยว่า ได้เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ครั้งที่ 3 เพื่อเร่งขับเคลื่อนความร่วมมือการปฏิบัติงานรองรับ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ผ่าน ระบบ VTC ณ มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมประชุมด้วย ที่ประชุมรับทราบ รายงานความก้าวหน้าโครงการเปลี่ยนรถประจำทางสาธารณะของภาคเอกชน เป็นรถโดยสารประจำทางไฟฟ้า (รถร่วมบริการ) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้ที่ประชุม ได้ร่วมพิจารณาและเห็นชอบเรื่องสำคัญ ประกอบด้วย (ร่าง) การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 2 (ร่าง) ยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก็าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ ฉบับปรับปรุง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว จะช่วยลดก็าซเรือนกระจกและเป็นศูนย์ในปี พ.ศ. 2608 และช่วยสร้างโอกาสและมูลค่าเพิ่ม สำหรับการลงทุนที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ เช่น พลังงานหมุนเวียน ยานยนต์ไฟฟ้า การเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน นอกจากนั้นยังช่วยให้สุขสภาวะของประชาชนดีขึ้น ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆและการจ้างงานสีเขียว รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจไทย สอดคล้องกับนโยบาย BCG

พล.อ.ประวิตร’ ได้แสดงความขอบคุณ ทส.และคณะกรรมการฯ ที่ร่วมกันเร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ระยะยาว และมาตรการต่างๆ รองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์’ นรม.และรมว.กห. ได้ไปลงนามความร่วมมือของไทยกับสหประชาชาติ ( COP 26 ) ทั้งนี้เพื่อการแก้ปัญหาและลดผลกระทบจากภัยพิบัติภายในประเทศที่ต้นทาง โดยขอให้นำเสนอ ครม.ให้ความเห็นชอบโดยเร็ว เพื่อเป็นกรอบการปฏิบัติงานร่วมกันและท่าทีเจรจาไทยกับต่างประเทศ พร้อมทั้ง ขอให้ ทส. ประสานความร่วมมือ เร่งศึกษาพิจารณาเปลี่ยนรถประจำทาง ขสมก.ให้เป็นรถโดยสารประจำทางไฟฟ้าให้เป็นรูปธรรมไปพร้อมกัน


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 ตุลาคม 2565