โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: พรรคพลังประชารัฐ

“ศ.ดร.นฤมล “ประกาศปักหมุดเขตราชเทวี ทุกคนต้องมีบ้านอาศัยที่มั่นงคง ตาม โครงการบ้านประชารัฐ 360 องศา เผย ไม่หวั่นผลโพล พปชร.กระแสไม่ดี เหตุเน้นตัวผู้สมัครแต่ละเขตเข้าถึง ปชช.ในพื้นที่ ไม่เน้นกระแสโซเชียล

,

“ศ.ดร.นฤมล “ประกาศปักหมุดเขตราชเทวี ทุกคนต้องมีบ้านอาศัยที่มั่นงคง ตาม โครงการบ้านประชารัฐ 360 องศา เผย ไม่หวั่นผลโพล พปชร.กระแสไม่ดี เหตุเน้นตัวผู้สมัครแต่ละเขตเข้าถึง ปชช.ในพื้นที่ ไม่เน้นกระแสโซเชียล

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิณโญสินวัฒน์ เหรัญญิก พรรค และหัวหน้าทีมผู้สมัคร กทม. ลงพื้นที่ชุมชนนิคมมักกะสัน แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ร่วมกับ นายพณิชย์ วิทยาภัทร์ ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขต 2 (เบอร์ 11)พรรคพลังประชารัฐ เพื่อพบปะกับประชาชน และรับฟังข้อเสนอแนะต่างๆ

โดย ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า นายพณิชย์ผู้สมัครของพรรคเราได้นำปัญหาต่าง ๆ ในชุมชนมักกะสันที่พี่น้องประชาชนประสบอยู่ก็คือ เรื่องที่อยู่อาศัย ซึ่งก็สอดคล้องกับนโยบายบ้านประชารัฐ ที่เราจะดำเนินการต่อยอดจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร.ที่ได้ทำเอาไว้ ที่คลองเปรมประชากร และคลองลาดพร้าว รวมทั้ง ชุมชนเชื้อเพลิง ซึ่งบริเวณนี้จะมีลักษณะคล้ายกันกับชุมชนเชื้อเพลิง คือที่ดินเป็นของการรถไฟ พื้นที่ตรงนี้อาจจะต้องมีการเจรจาในเรื่องของการขอเช่า เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้สร้างบ้านพักที่อยู่อาศัย เพื่อที่จะมาปรับปรุง บ้านที่อยู่อาศัยให้ดีขึ้น โดยที่พี่น้องประชาชนพร้อมที่จะลงทุนในบ้าน โดยทางพรรคมีโครงการ นโยบายต่างๆรองรับ มีเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน จึงมีความพร้อมที่จะมาร่วมผลักดัน ให้เกิดบ้าน ที่มีสภาพมั่นคงมากยิ่งขึ้น

“บ้านไม่ได้ เป็นเพียงบ้านพักอาศัย เราต้องเข้าใจวิถีชีวิต ของพี่น้องที่อยู่อาศัยตรงนี้ด้วย เมื่อเขาปักหลักตรงนี้ ก็คือชีวิตเขาทั้งหมดอยู่ตรงนี้ การที่จะ ให้ย้ายไปอยู่ที่อื่น ก็ต้องไปเริ่มต้นชีวิตใหม่หมด ซึ่งเหมือนกับทุกชุมชนที่ไม่ต้องการเช่นนั้น เขาขอแค่แบ่งพื้นที่จำนวนหนึ่ง พอที่จะสร้างเป็นที่อยู่อาศัยให้สามารถทำมาหากิน ลูกหลานได้เรียนหนังสือ และยังชีพตรงนี้ได้เช่นเดียวกัน เราสัญญากับพี่น้องประชาชนว่า เมื่อผู้สมัครเข้าไปในสภา จะไปผลักดันตรงนี้ พรรคพลังประชารัฐก็จะผลักดันตรงนี้ให้เกิดขึ้น บ้านประชารัฐ ชุมชนมักกะสัน อย่างแน่นอน”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

นอกจากนี้ ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า เราวางแบบบ้านประชารัฐเอาไว้ จะไม่ได้สร้างเป็นบล็อกๆ แต่จะออกแบบให้น่าอยู่สวยงามเหมาะสมกับสภาพพื้นที่และเป็นจุดเช็คอินใหม่สำหรับนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศไทยและต่างชาติที่จะเข้ามาเที่ยวในชุมชนมักกะสันแห่งนี้ ดูวิถีชีวิต เหมือนที่เราไปญี่ปุ่น อย่างหมู่บ้านเล็กๆเขาอยู่กันอย่างไร ตรงนี้ก็จะเป็นจุดเช็คอินที่เราหวังว่าจะทำ ให้เกิดขึ้น และภายในบ้านเองจะพัฒนาให้ตรง กับผู้อยู่ เพราะแต่ละครัวเรือนก็มีผู้อยู่อาศัยไม่เหมือนกัน ซึ่งจะมีผู้สูงอายุ มีเด็กเล็ก มีผู้ป่วยติดเตียง ก็ต้องออกแบบสัดส่วน ที่อยู่อาศัยให้เหมาะสม ตรงใจผู้อยู่ ตรงนี้เป็นแนวนโยบายของบ้านประชารัฐ

ศ.ดร.นฤมล ยังให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมการหาเสียงในพื้นที่ กทม.ว่า ตอนนี้ยังไม่พบอุปสรรคที่ต้องกังวล แต่สิ่งที่เร่ง 8-9 วันสุดท้ายคือลงในพื้นที่เป้าหมาย ที่คิดว่า มีโอกาสจะชนะ และในพื้นที่ ๆ เราคิดว่าอยากเข้าไปพัฒนาเช่น ชุมชนมักกะสันแห่งนี้ ซึ่งผู้สมัครได้ลงพื้นที่มา 4 ปีแล้วและมีความมั่นใจว่าจะสามารถแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนในชุมชนได้ตลอดทั้งเขต ซึ่งมันไม่ใช่แค่บ้านอย่างเดียวแต่มันเป็นวิถีชีวิตของพี่น้องในชุมชน และไม่ใช่เรื่องสวัสดิการและการจ่ายเงินอย่างเดียว เขาต้องการความมั่นคงยั่งยืนและมีอาชีพ มีรายได้ และมีที่เรียนซึ่งเป็นสิ่งที่ ผู้สมัคร และ พรรคพลังประชารัฐ เข้ามาลงในรายละเอียด จะมาพัฒนาให้กับพี่น้องมีอาชีพทักษะรายได้ มีงานทำ และมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างไรบ้าง

ส่วนกรณีที่ผลโพลที่ออกมาขณะนี้ พรรค พปชร.ดูเหมือนกระแสยังไม่ดีเท่ากับพรรคอื่นๆ ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า เราเน้นที่เขต เราไม่ได้เน้นเรื่องการทำกระแสเพราะพรรคมีการเปลี่ยนแปลงตลอด ในช่วงระยะเวลา 2-3 ปี มันเป็นเรื่องสินค้าที่ยากในการตามกระแส แต่ ทางพรรคเน้นตัวผู้สมัคร อย่างไรก็ตาม กทม.ก็จะเน้นที่เขต อย่างเขตของแป๊บ พณิชย์ เรามั่นใจว่าได้แน่ และอีกประมาณ 11 เขตเราก็มั่นใจ ในต่างจังหวัดก็เช่นเดียวกัน ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับโพลที่มักจะอิงกระแสโซเชียลมีเดีย และภาพรวมแต่ถ้าโฟกัส เรื่องตัวเขต 70-90% เรามั่นใจ

ด้านนายพณิชย์ จากการที่ลงพื้นที่ตรงนี้มา ตลอด 3 ปีกว่าจะ 4 ปีเห็นปัญหาอย่างแรกคือ การที่รถไฟ หรือหน่วยงานอื่นๆต้องการขอพื้นที่ ซึ่งไม่ใช่แค่ให้ประชาชนหรือชาวบ้านย้ายที่อยู่ อย่างแรกต้องหาอาชีพให้ก่อนถึงจะย้าย ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิตค่อนข้างมาก จึงแนะนำว่าควรหาอาชีพเสริม และอาชีพหลักให้กับประชาชนรวมถึง เรื่องสถานศึกษาก็สำคัญ เพราะเยาวชนที่นี่เรียนในพื้นที่กันหมด

นายพณิชย์ ยังกล่าวถึง การหาอาชีพที่ พปชร.เรากำลังผลักดันในเรื่องของการฝึกอาชีพแต่การฝึกอาชีพ อย่างเดียวก็เป็นเรื่องยากสำหรับประชาชนและชาวบ้าน จึงเสนอว่าในหลายชุมชน เช่น พวงมาลัย ที่ร้อยอยู่ขายตามสี่แยก ถูกจ้าง ร้อยโดยชาวบ้านบริเวณนี้ โดย ได้ ค่าจ้างทวงละ 50 สตางค์ หรือพวงละ 1 บาท ซึ่งหมายความว่า ชาวบ้านอาจจะไม่ถนัด ที่จะไปขายเอง แต่ถ้ามีผู้ที่ต้องการแรงงานฝีมือในราคาไม่แพง สามารถแข่งขันได้ ประชาชนหรือชาวบ้านสามารถทำได้ ซึ่งหากพัฒนาตรงนี้ได้ ทำอย่างไรให้มีมูลค่ามากกว่านี้ ก็สามารถทำได้

“เบื้องต้นก่อนที่จะโครงการจะเริ่ม 3 ปี ที่ได้มาพัฒนาปรับปรุงอย่างแรกคือ ขอสปอนเซอร์มาติดไฟ โซล่าเซลล์ในชุมชนที่เป็นมุมอับ เพื่อดูแลเรื่องความปลอดภัยได้และถ้ามีโอกาสเป็น ส.ส พรรคพลังประชารัฐ เป็นรัฐบาลพวกเราก็จะร่วมแก้ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยและอาชีพ ไปพร้อม ๆ กัน”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 5 พฤษภาคม 2566

“ชัยวุฒิ” เดินตลาดปทุมฯรับเสียงสะท้อนต้องการคนทำงานปลอดผู้มีอิทธิพล พปชร.ส่งคนดีมีฝีมือเพื่อช่วยพัฒนา ปทุม ยันทำงานจริงตั้งใจพัฒนาความเจริญ

,

“ชัยวุฒิ” เดินตลาดปทุมฯรับเสียงสะท้อนต้องการคนทำงานปลอดผู้มีอิทธิพล
พปชร.ส่งคนดีมีฝีมือเพื่อช่วยพัฒนา ปทุม ยันทำงานจริงตั้งใจพัฒนาความเจริญ

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ ตลาดนานาเจริญ จังหวัดปทุมธานี เพื่อช่วย ดร.เกียรติศักดิ์ ส่องแสง ผู้สมัคร สส.หมายเลข 5 เขต 6 พรรคพลังประชารัฐ หาเสียง ท่ามกลางบรรยากาศคึกคัก โดยนายชัยวุฒิ เปิดเผยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ในพื้นที่จ.ปทึมธานี ประชาชนอย่างที่จะเปลี่ยน เลือกสส.ที่เข้สไปทำง่นเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ที่สำคัญพปชร. ดร.เกียรติศักดิ์ ส่องแสง ผู้สมัครของพรรค ในจังหวัดปทุมธานีล้วนแล้วเป็นคนทำงานเพื่อ ประชาชน จึงเชื่อมั่นว่าจะมาทํางานให้ชาวปทุมธานี พัฒนาแล้วให้ความเป็นอยู่ที่ดีได้อย่างแน่นอน “พวกใจไม่ถึง พึ่งยาก หาตัวลําบากแต่อยากเป็น “ คนปทุมไม่เลือกแน่นอน
โดยฉพาะเรื่องผู้มีอิทธิพล เชื่อว่าชาวปทุมธานีก็รับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ประชาชาต้องการเลือกคนดี เลือกคนทํางาน เพื่อให้จังหวัดปทุมธานีให้เกิดการพัฒนา ยกคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น

“วันนี้ผมมาเดินที่ตลาด พ่อค้าแม่ค้าก็ค้าขายดีทุกคนเพราะว่าตลาดนี้คึกคักมาก บางร้านก็ขายหมดไปแล้ว ถือว่าวันนี้เศรษฐกิจดี ก็อยากให้สิ่งต่างๆเหล่านี้อยู่ต่อไปด้วยความสงบสุข มีการพัฒนาที่ดีก็ช่วยกันเลือกพรรคพลังประชารัฐ ให้มาจัดตั้งรัฐบาลและเดินหน้าประเทศต่อไป ปทุมธานีก็ดีใจมีกลุ่มคนเสื้อแดงก็มาช่วยให้การสนับสนุนส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐเพราะว่าเขาอยากก้าวข้ามความขัดแย้ง อยากให้คนทํางานมาพัฒนาพื้นที่ ดูแลพี่น้องประชาชน ไม่ใช่เลือกตามกระแสพรรค เลือกคนที่จะมาทํางาน แล้วทําให้บ้านเมืองสงบสุข “

ขณะที่ นาย ไพรัตน์ ยิ้มดี กรรมการชุมชนเอื้ออาทรเสมาฟ้าคราม กล่าวว่า เมื่อก่อนผมเสื้อแดง แดงจริงๆ เลือกทุกครั้งทีที่มีการเลือกตั้ง แต่ครั้งนี้ขอเลือกคนทํางาน ขอเลือกดอกเตอร์ เกียร์ติศักดิ์ ส่องแสง เพราะท่านเป็นคนทํางานลงพื้นที่ตลอดระยะเวลาเป็นสิบปีที่ผมเห็น ผมเสื้อแดงก็จริงแต่แดงมีความคิด แดงเปลี่ยนแปลง แดงก้าวข้ามความขัดแย้งนะครับ เลือก เกียรติศักดิ์ ส่องแสง คนทํางาน

ด้านดร.เกียรติศักดิ์ ส่องแสง ผู้สมัครส.ส.จังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า ผมมีความรู้สึกว่าพี่น้องประชาชนให้ความเมตตาแล้วก็ให้ความอบอุ่นมากในครั้งนี้ เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งในครั้งนี้ ผมมั่นใจเพราะว่าพี่น้องให้ความเป็นธรรมแล้วก็จะให้การสนับสนุนเนื่องจากพี่น้องประชาชนเห็นผมทํางานมาตลอดไม่ว่าจะเป็นช่วงวิกฤตไหนๆ ในช่วงที่น้ําท่วมปี54 ที่ผ่านมา ช่วงโควิดที่นี่ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเหมือนกัน ในตลาดแห่งนี้ ผมก็ได้เข้ามาฉีดพ่น เอายาสมุนไพร นําข้าวกล่องมาดูแลพี่น้องโดยตลอด และในขณะเดียวกันไม่ว่าจะเป็นงานศพ งานแต่ง งานอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นงานของพี่น้องประชาชนทั้งงานกุศล ผมก็ดูแลพี่น้องประชาชนอยู่ตลอด พี่น้องประชาชนก็เห็น เพราะฉะนั้นวันนี้จึงได้เห็นภาพของสีเหลือง สีแดง สีน้ําเงินหรือว่าทุกสีให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ก็ต้องขอกราบขอบพระคุณไปยังพี่น้องประชาชนทุกท่านที่ให้กําลังใจและก็จะเข้าคูหากา เบอร์ห้า ดร.เกียรติศักดิ์ ส่องแสง เป็นส.ส.เขต กาเบอร์ 37 ให้คุณป้อมเป็นนายกรัฐมนตรี

ด้านเป๋ คลองเตย กล่าวว่า ผมในฐานะแกนนําเสื้อแดง ในจังหวัดปทุมธานีที่มาที่นี่เพราะว่าชอบนโยบายของลุงป้อม พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เรื่องก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะว่าปทุมธานีเป็นเมืองของคนเสื้อแดงเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง เพราะฉะนั้นตอนนี้ คนเสื้อแดง จะไม่แบ่งสีแบ่งฝ่ายแล้ว จะก้าวข้ามความขัดแย้งตามนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ เพราะฉะนั้นเราจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ถ้าปทุมอยากเปลี่ยน เลือกพลังประชารัฐทุกเขต
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่นายชัยวุฒิ ลงพื้นที่ ก็มีชาวบ้าน มาให้กำลังใจ เป็นเเฟนคลับที่มาซื้อกับข้าว เเละเดินตลาดเช้า โดยส่วนใหญ่ชื่นชม ที่ออกมาตอบโต้ ประเด็นการเมือง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 5 พฤษภาคม 2566

รวมพลแฟนคลับพปชร!!.เปิดเวทีปราศรัยลานคนเมืองดันนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตคนกทม. สร้างรากฐานที่อยู่อาศัยทุกชุมชนอยู่อย่างมั่นคงต่อยอดพัฒนาอาชีพดูแลผู้สูงวัย กลุ่มเปราะบางถ้วนหน้า

,

รวมพลแฟนคลับพปชร!!.เปิดเวทีปราศรัยลานคนเมืองดันนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตคนกทม.
สร้างรากฐานที่อยู่อาศัยทุกชุมชนอยู่อย่างมั่นคงต่อยอดพัฒนาอาชีพดูแลผู้สูงวัย กลุ่มเปราะบางถ้วนหน้า

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดเวทีปราศรัยย่อย โซนกรุงเทพกลางและตะวันออก นำโดย ศ.ดร. นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค และหัวหน้าทีมผู้สมัคร กทม. , นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าทีมผู้สมัครกทม นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพรรค พร้อมด้วย ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ประกอบด้วย ดร.สฤษดิ์ ไพรทอง เขตเลือกตั้งที่ 1 เบอร์ 11 นายพณิชย์ วิทยาภัทร์ เขตเลือกตั้งที่ 2 เบอร์ 11 นายกานต์ กิตติอำพน เขตเลือกตั้งที่ 5 เบอร์ 4 ดร.ภักดีหาญส์ หิมะทองคำ เขตเลือกตั้งที่ 13 เบอร์ 8 ทองคำ นางนฤมล รัตนาภิบาล เขตเลือกตั้งที่ 14 เบอร์ 5 นางสาวณิรินทร์ เงินยวง เขตเลือกตั้งที่ 15 เบอร์ 8 นายกิติภูมิ นีละไพจิตร์ เขตเลือกตั้งที่ 16 เบอร์ 12 นายพีระพงษ์ รัสมี เขตเลือกตั้งที่ 18 เบอร์ 4 นางนาถยา แดงบุหงา เขตเลือกตั้งที่ 19 เบอร์ 10 นาย บุญรุ่ง เต๋งจงดี เขตเลือกตั้งที่ 20 เบอร์ 1

ศ.ดร. นฤมล กล่าวว่า เวทีครั้งนี้ได้รวมเอาผู้สมัครของ 10 เขต มาพบกับพี่น้องประชาชน และยืนยันถึงนโยบายที่จะลดค่าครองชีพ ให้กับพี่น้องประชาชน คนกทม. รวมถึงประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งในวันนี้ได้มีการแถลงนโยบายเศรษฐกิจของพรรค และได้พูดถึงนโยบายเศรษฐกิจของกทม. เป็นสิ่งที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคได้ทำไว้ โดยเฉพาะโครงการบ้านมั่นคง ที่ทำไว้เป็นต้นแบบ ทั้งที่คลองลาดพร้าวและคลองเปรมประชากร เพื่อให้พี่น้องประชาชนอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น โดยผู้สมัครได้เสนอให้พรรคทำนโยบายให้ทุกชุมชน เพื่อที่จะได้มีบ้านเป็นของตนเอง ในโครงการบ้านประชารัฐ ซึ่งการทำโครงการนี้ไม่มีการใช้งบประมาณของรัฐ เนื่องจากมีความซ้ำซ้อนของพื้นที่ เพราะที่ดินบางแห่งเป็นที่ราชพัสดุ การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือเป็นของเอกชน ดังนั้นการดำเนินโครงการนี้ จะให้เอกชน เป็นผู้ลงทุนดำเนินโครงการ ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ โดยมีราคาไม่เกิน 500,000 บาท และมีสถาบันการเงินเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้พี่น้องประชาชนสามารถเปลี่ยนเงินค่าเช่าบ้าน เป็นเงินผ่อนได้บ้าน ทำให้พี่น้องประชาชนมีความมั่นคงในชีวิตมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีนโยบายการเสริมทักษะ อาชีพและเพิ่มช่องทางการค้าผ่านมือถือให้กับพี่น้องประชาชนมีช่องทางการค้าขายมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่สำคัญของพปชร. เช่นเดียวกับการทำนโยบาย บัตรสวัสดิการประชารัฐ จากเดิมที่ผู้ถือบัตรจะได้รับเงินอยู่ที่ 300 บาท ซึ่งพรรคจะเพิ่มให้เป็น 700 บาท และยังมีการประกันชีวิตอีก 200,000 บาท ดังนั้นขอฝากพี่น้องเลือก พลเอกประวิตร เบอร์ 37 ในบัตรสีเขียว ให้เป็นนายกรัฐมนตรี และขอฝากผู้สมัครทั้ง 10 คนที่ขึ้นเวทีในวันนี้ด้วย

ทั้งนี้ผู้สมัครกทม. ได้สลับขึ้นเวทีเพื่อปราศรัย นำเสนอนโยบายในการดูแลพื้นที่กทม. ที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน และมีเป้าหมายที่จะเข้าไปพัฒนาพื้นที่ของตนเอง ในแบบที่สอดรับกับปัญหา และความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง

โดย ดร. สฤษดิ์ ไพรทอง ผู้สมัครเขต 1 กล่าว ว่า พปชร.มีนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุนผ่านกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาทเพื่อให้กรุงเทพฯเป็นมหานครแห่งอาเซียน ตามนโยบายของพล.อ.ประวิตร ซึ่งกรุงเทพฯเป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแต่เรายังพบว่าการพัฒนาบางพื้นที่ยังไม่เต็มประสิทธิภาพ โดย พปชร.เรามีกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านที่จะมาช่วยเพิ่มศักยภาพของการท่องเที่ยวโดยเฉพาะการส่งเสริมและสนับสนุนย่านเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่ไม่เพียงทำให้เป็นแลนด์มาร์คการท่องเที่ยวแต่ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องที่นั้นๆ
ดร.ภักดีหาญส์ หิมะทองคำ เขตเลือกตั้งที่ 13 เบอร์ 8 กล่าวว่า ในชุมชน ยังขาดเรื่องการส่งเสริมด้านสุขภาพ โดยเฉพาะหาพื้นที่ออกกำลังกายของคนในชุมชน เป็นเรื่องที่ควรผลักดัน ซึ่งได้มีการดำเนินการทำโครงการต้นแบบ เพราะมีพื้นที่ว่าง อีกเป็นจำนวนมาก แต่เป็นของหน่วยราชการ ซึ่งตนได้ประสานหน่วยงานทำลานกีฬาแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อให้สุขภาพของคนในชุมชนดีขึ้น และเรื่องความปลอดภัย การติดไฟส่องสว่างมีความจำเป็น เพราะพบว่าในพื้นที่ชุมชนต่างๆ ยังเป็นจุดเสี่ยงภัยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งไฟส่องสว่าง จะเป็นการป้องปรามอาชญากรรมที่ได้ผล

นายกานต์ กิตติอำพน เขตเลือกตั้งที่ 5 เบอร์ 4 กล่าวว่า สิ่งที่อยากทำและมุ่งมั่นสำหรับการเข้ามาทำหน้าที่ในครั้งนี้ คือต้องการให้พื้นที่ของห้วยขวาง มีบรรยากาศคึกคักและสีสัน โดยเน้นการทำพื้นที่ให้เป็น เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อสร้างที่ทำกิน การทำพื้นที่ให้เป็น ครีเอทีพ มาร์เกต รวมถึงการพัฒนาบุคลากรสร้างสรรค์ ผลักดันโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออำนวยความสะดวกกับคนในชุมชน ทั้งถนน ทางเดินทางแคบ การดูแลสวนสาธาณะที่ขาดการดูแลงอยากเข้ามาประสานและแก้ไขพัฒนาทุกอย่างให้ดีขึ้น สิ่งสำคัญที่สุด คือเรื่องสุขภาพ อยากผลักดันด้านสาธารณสุข ให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว

นางสาวณิรินทร์ เงินยวง เขตเลือกตั้งที่ 15 เบอร์ 8 กล่าวว่า ทันทีได้รับเลือกตั้ง จะผลักดันให้เกิดศูนย์สุขภาพจิต และดูแลความหลากหลายทางเพศ หรือกลุ่ม LGBT ให้เกิดความเท่าเทียมและทั่วถึงในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านสุขภาพจิต เพราะเป็นบ่อเกิดของเหตุการณ์สูญเสีย โดยเฉพาะปัญหาการฆ่าตัวตาย หากทุกคนได้รับการดูแล ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น รวมถึงการให้ความสำคัญ ดูแลความปลอดภัยให้กับคนกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นปัญหา ให้สามารถมีช่องทางในการรักษา หรือการบำบัด ได้อย่างสะดวก และอยู่ใกล้บ้าน

นายพีระพงษ์ รัสมี เขตเลือกตั้งที่ 18 เบอร์ 4 กล่าวว่า ผมขออาสาเข้าทำงานให้คลองสามวา ลาดกระบัง ให้มีความทัดเทียม เทียบเท่ากับเมืองชั้นในเพราะที่ผ่านมา ได้ทำงานร่วมกับคุณพ่อ ศิริพงษ์ รัสมี ที่ดูแลประชาชนในพื้นที่ที่อดีตมีแต่สะพานไม้ ให้เป็นสะพานคอนกรีตเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิต และจะทำต่อเนื่อง ผมขอกอดคุณพ่อ นายศิริพงษ์ รัสมี เขต 17 เบอร์ 10 เขตหนองจอก เขตคลองสามวา เข้าสภาฯเพื่อทำหน้าที่ให้กับพี่น้องประชาชน

ปิดท้ายด้วยนายสกลธี กล่าวว่า อนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือของประชาชนทุกคน จึงอยากให้ทุกคนตั้งคำถามว่า อยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไรอยากเห็น เศรษฐกิจที่ดี คนไทยกินดีอยู่ดี หรืออยากจะเห็นความแตกแยกของคนสองยุค อยากเห็นคอร์รัปชั่น เห็นยาเสพติดระบาดทั่วเมือง และสถาบันหลักของชาติถูกนำมาล้อเลียน และนำไปพูดอย่างสนุกปาก หรืออยากเห็นคำว่าชาติที่ไม่ใช่ศูนย์รวมของคนไทยอีกต่อไป ทุกอย่างอยู่ในมือของทุกท่าน ในวันที่ 14 พ.ค.นี้

“การเลือกตั้งครั้งนี้ของพรรคพลังประชารัฐ เรามีดีในหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคล ศักยภาพของพวกเราไม่น้อยหน้าพรรคการเมืองไหนแน่นอน ซึ่งตนมั่นใจว่าถ้าผู้สมัครของเราทั้ง 33 เขตและพรรคพลังประชารัฐได้เข้าไปทำงาน กทม.ต้องดีกว่านี้แน่นอน”นายสกลธี กล่าว

นายสกลธี กล่าวต่อว่า การก้าวข้ามความขัดแย้งของพรรคพลังประชารัฐคือ อยากจะให้ประชาชนรักกัน การก้าวข้ามมันก็มีเส้นแบ่งที่ก็คงไม่สามารถก้าวข้ามไปได้เช่นการไปรวมกับพรรคที่ไม่เอาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือพรรคที่ทำให้เศรษฐกิจของชาติมันล่มจม ด้วยการแจกหว่าน เพราะนักวิชาการก็บอกชัดว่า นโยบายเช่นนี้ จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศพังทลายอย่างแน่นอน พรรคการเมืองควรที่จะคิดนโยบายที่ช่วยเหลือประชาชน ไม่ใช่นโยบายที่ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับประชาชน และทำลายประเทศชาติ ด้วยการบอกว่าจะยกเลิก ม.112 ตนไม่มั่นใจว่าการยกเลิกไปแล้วจะทำให้ประชาชนรวยขึ้นอย่างไร

“ขณะนี้มีวาทกรรมออกมาจำนวนมาก เพื่อใช้เป็นยุทธศาสตร์ของแต่ละพรรค แต่ผมอยากจะบอกทุกคนว่าเรารักใครชอบพรรคไหนเราก็เลือกตามใจของเราไม่ต้องไปกังวลว่าจะเลือกคนนั้น แล้วคะแนนจะเสียเปล่า คะแนนจะตกน้ำ เพราะทุกคะแนนเสียงของประชาชนคือกำลังใจให้กับผู้สมัครและพรรคการเมือง ๆ ขอให้ทุกคนเลือกด้วยหัวใจ เลือกในสิ่งที่เราต้องการและเราอยากได้เป็นพอ”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 พฤษภาคม 2566

“ศ.ดร.นฤมล” ตะลุยหาเสียงตลาดน้อมจิตต์ช่วย “บ๊ะ นฤมล” เขต14 เบอร์5มั่นใจเสียงตอบรับปชช.พอใจนโนยบายเบี้ยผู้สูงวัย รอตั้งกองทุนหนุนธุรกิจขนาดเล็ก

,

“ศ.ดร.นฤมล” ตะลุยหาเสียงตลาดน้อมจิตต์ช่วย “บ๊ะ นฤมล” เขต14 เบอร์5มั่นใจเสียงตอบรับปชช.พอใจนโนยบายเบี้ยผู้สูงวัย รอตั้งกองทุนหนุนธุรกิจขนาดเล็ก

4 พ.ค. 2566. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิณโญสินวัฒน์ เหรัญญิกเปิดเผยว่า ได้ลงพื้นร่วมกับ นางนฤมล รัตนาภิบาล ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขต 14 บางกระปิ วังทองหลาง เบอร์ 5 พรรคพลังประชารัฐ พบปะผู้ค้า และประชาชนบริเวณ ตลาดนัดน้อมจิตต์ แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ ซึ่งพื้นที่นี้ถือเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ และเป็นพื้นที่เป้าหมายของพรรค เพราะเคยได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน ในการทำหน้าที่ส.ส. และครั้งนี้เนื่องจากผู้สมัคร โดยนางนฤมล ถือว่ามาจากสมาชิกสภาเขต(สข.) เขตบางกะปิ มีความเข้าใจในปัญหาของพื้นที่ เพราะได้ลงพื้นที่มาอย่างยาวนาน ทำให้มีความมั่นใจและเข้าใจในปัญหาของประชาชนในด้านต่างๆ เป็นอย่างดี จึงอยากฝากให้พี่น้อง เลือกตัวแทนที่มีความเข้าใจ ในการแก้ปัญหาให้เห็นผลอย่างแท้จริง

ขณที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้มอบนโยบายให้ผู้สมัครลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่เป้าหมายที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ ซึ่งได้รับฟังปัญหาต่างๆ ที่นางนฤมล ได้นำ เสียงสะท้อนมาเสนอ ต่อคณะกรรมการบริหารถึงความต้องการที่จะได้รับการดูแล และการสนับสนุน ทั้งในเรื่องการหาแหล่งเงินทุน เพื่อประกอบอาชีพที่มั่นคง นับเป็นเรื่องที่หลายคนฝากความหวังไว้กับพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงนโยบายทึ่จะช่วยเหลือลดค่าของชีพที่เป็นปัญหาของผู้มีรายได้น้อย

นางนฤมล ผู้สมัครเขต กล่าวว่า วันนี้ได้ดร.นฤมล มาร่วมเดินหาเสียงเพื่อบอกกล่าวกับประชาชน ถึงนโยบายของพรรค ในเรื่องต่างๆ ที่จะทำให้กับพี่น้องประชาชนทั้งการลดค่าของชีพ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของการประกอบธุรกิจใน เขตบางกะปิ ที่มีทั้งย่านธุรกิจ รายเล็ก รายน้อย และยังมีสถาบันการศึกษาหลายแห่ง รวมถึงเป็นชุมทางสัญจรเข้าสู่กรุงเทพชั้นใน ซึ่งมั่นใจว่านโยบายจะเข้าถึงประชาชน เพราะที่ผ่านมาพี่น้องบางกะปิกลุ่มผู้สูงอายุต่างชื่นชอบนโยบายการเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 60 ปีจะได้ 3,000.บาท อายุ 70 บาทปีจะได้ 4,000 บาท อายุ 80 ปีขึ้นไปอายุ 5,000 บาท เพราะเป็นนโยบาย ที่รอคอยและฝากความหวังถ้าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อที่จะทำให้ผู้สูงอายุอยู่อย่างเป็นสุข ลดการพึ่งพาลูกหลานและมีศักดิ์ศรีเป็นของตัวเอง

นอกจากนี้ ยังได้รับเสียงสะท้อนที่เกิดขึ้นในพื้นที่และนโยบายที่เกี่ยวกับผู้ประกอบการผู้ค้ารายเล็กรายน้อยที่อยากจะได้เงินกู้จากกองทุนประชารัฐ 300,000 ล้านบาท เพื่อต่อยอดธุรกิจหลังจากที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 และต้องปิดกิจการไป ให้สามารถกลับมาประกอบกิจการใหม่อีกครั้ง ซึ่งพปชร.สามารถทำงานให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างเต็มที่ เมื่อหัวหน้าพรรคสามารถขึ้น เป็นผู้นำประเทศได้ ก็จะนำมาสู่การแก้ปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นนักประสานให้ทุกหน่วยงาน ที่จะเข้ามาร่วม แก้ปัญหาต่างๆจนสามารถจะพลิกวิกฤตเศรษฐกิจของไทยให้คนไทยมีความเป็นอยู่ที่มีชีวิตที่ดีขึ้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 พฤษภาคม 2566

“อุตตม – สนธิรัตน์” ควงคู่ร่วมแถลงสรุปนโยบายเศรษฐกิจโค้งสุดท้าย “อุตตม” ชูนโยบาย 3 เร่งด่วนทำทันที แก้ปัญหาเศรษฐกิจ-ปากท้อง ขณะที่ “สนธิรัตน์” โชว์เขตเศรษฐกิจพิเศษปาล์ม น้ำมัน พร้อมยกระดับเกษตรกรไทยเป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ย้ำนโยบายสาธารณสุขครบวงจร “ลุงป้อมขอพาหมอไปหา เอายาไปส่งถึงบ้าน”

,

“อุตตม – สนธิรัตน์” ควงคู่ร่วมแถลงสรุปนโยบายเศรษฐกิจโค้งสุดท้าย “อุตตม” ชูนโยบาย 3 เร่งด่วนทำทันที แก้ปัญหาเศรษฐกิจ-ปากท้อง ขณะที่ “สนธิรัตน์” โชว์เขตเศรษฐกิจพิเศษปาล์ม น้ำมัน พร้อมยกระดับเกษตรกรไทยเป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ย้ำนโยบายสาธารณสุขครบวงจร “ลุงป้อมขอพาหมอไปหา เอายาไปส่งถึงบ้าน”

วันที่ 4 พ.ค. 2566 ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ ดร.อุตตม สาวนายน ประธานคณะจัดทำนโยบายพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงษ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง ร่วมแถลงข่าวเรื่อง “สรุปนโยบาย โค้งสุดท้าย สู่การเลือกตั้งเป็นรัฐบาล พลังประชารัฐ” โดย ดร.อุตตม กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ได้พูดชัดเจนแล้วว่าพรรคพลังประชารัฐมีความพร้อมที่จะทำงานให้ประชาชน และทำให้บรรลุผลสำเร็จ โดยเริ่มจากนโยบายสำคัญคือการก้าวข้ามความขัดแย้ง ซึ่งถือเป็นนโยบายที่ครอบคลุม และอยู่เหนือทุกนโยบายของพรรค เพราะหากปราศจากการก้าวข้ามความขัดแย้งแล้ว เราก็ไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายที่ตอบโจทย์ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้ และไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลก็จะไม่สามารถส่งมอบอนาคตที่ดีให้ประชาชนได้อย่างเต็มที่ นอกจากนั้น พรรคยังมีนโยบายที่ชัดเจน และสามารถทำได้ทันที หากพรรคได้เข้าไปเป็นรัฐบาล ด้วยนโยบาย 3 เร่งด่วน ซึ่งภารกิจหลักเร่งด่วนที่ต้องทำทันที ได้แก่ 1. กระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นอย่างแท้จริง และทันที 2. เร่งเศรษฐกิจให้โต และเต็มตามศักยภาพให้ได้ และ 3. เร่งรัดการวางพื้นฐานการพัฒนาที่ยั่งยืนให้ประเทศและคนไทย พร้อมแก้ปัญหาความยากจน และความเหลื่อมล้ำอย่างครบวงจร ด้วยการแก้หนี้ เติมทุน เพิ่มทักษะและโอกาสให้ประชาชนคนตัวเล็กมีโอกาสทำมาหากินได้

“ในการปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ เราให้ความสำคัญตั้งแต่ระบบฐานราก โดยมุ่งเน้นให้เข้มแข็งตั้งแต่ฐานราก ไปจนถึงการพัฒนาเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ๆ ซึ่งวันนี้ ประเทศไทยต้องการการลงทุนขนาดใหญ่ ประเทศเรายังมีหลายอย่างที่เป็นจุดแข็งและสามารถขับเคลื่อนได้ทั้งเรื่อง BCG สุขภาพ รถยนต์ไฟฟ้า ดิจิทัล และการพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ เช่น การต่อยอด EEC สิ่งเหล่านี้พรรคมีแนวนโยบายที่ชัดเจน และสามารถทำได้จริง ซึ่งพรรคพลังประชารัฐจะทำให้เกิดขึ้น และทำให้เกิดการลงทุนที่คึกคัก เศรษฐกิจเดินหน้า นอกจากนี้ ยังมีเรื่องรัฐสวัสดิการที่จะทำให้คนไทยมีความเข้มแข็งและได้รับประโยชน์อย่างเท่าเที่ยม ทั่วถึง และเป็นธรรมอีกด้วย” ดร.อุตตม กล่าว

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายที่เป็นรูปธรรม เรื่องแรกที่จะทำคือใช้โครงสร้างกองทุนหมู่บ้าน (กทบ.) ดำเนินโครงการที่เคยทำไว้แล้ว โดยสนับสนุนเงินทุนให้กองทุนหมู่บ้าน กองทุนละ 2 แสนบาท ภายใต้วงเงินงบประมาณ 16,000 ล้านบาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งของฐานราก พร้อมต่อยอดให้พี่น้องในพื้นที่ใช้เงินกองทุนให้เกิดประโยชน์ เรื่องที่สองคือนโยบายภาคเกษตร การลดภาระค่าใช้จ่ายให้พี่น้องเกษตรกร คือนโยบายปุ๋ยคนละครึ่ง
เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้พี่น้องเกษตรกร พร้อมตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาปุ๋ย นอกจากนั้น ยังมีนโยบายที่จะให้ทุนการเพาะปลูกของเกษตรกร ครัวเรือนละ 30,000 บาท ครอบคลุม 8 ล้านครัวเรือน เพื่อแก้หนี้ และเพิ่มผลผลิตในพื้นที่ เราต้องการทำให้พี่น้องหลุดจากวังวนหนี้สิน มีรายได้เหลือ โดยการยกระดับพี่น้องเกษตรกรไปสู่ระบบสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษปาล์มน้ำมัน ซึ่งจะช่วยให้พี่น้องมีรายได้ที่มั่นคง

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ขณะที่นโยบายด้านสาธารณสุข พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายที่ครอบคลุม และได้ดำเนินการไปแล้วหลายเรื่อง โดยเน้นการป้องกันก่อนป่วยมากกว่าการรักษา เราจะใช้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพ.สต.) เป็นฐานหลัก เป็นเหมือนโรงพยาบาลหน้าบ้าน นอกจากนี้ ยังใช้เทคโนโลยีในการดูแลพี่น้องประชาชน ตามนโยบาย “ลุงป้อมขอพาหมอไปหา เอายาไปส่งถึงบ้าน” ผู้ป่วยไม่ต้องเข้าคิวรอที่โรงพยาบาล ไม่ต้องเดินทางไกล ลดภาระค่าใช้จ่าย สามารถใช้ รพ.สต. รักษาผ่านมือถือ ใช้ร้านขายยาเข้าระบบเทเลฟาร์มาซี ที่ผ่านมา เรายังได้ดำเนินการศูนย์ข้อมูลกลางของผู้ป่วยไปแล้วกว่า 1,064 โรงพยาบาล หากพี่น้องเจ็บป่วยก็มีฐานข้อมูล ทำให้สามารถรักษาได้ทันสถานการณ์ และมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ในอนาคตจะมีผู้ป่วยติดเตียงมากขึ้น เราจะสร้างอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่น 1 แสนตำแหน่ง เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยติดเตียง ให้ไม่เป็นภาระลูกหลานอย่างเดียว ขอเรียนยืนยันว่าทุกนโยบายสาธารณสุขของพรรคพลังประชารัฐ หากเราได้บริหารกระทรวงสาธารณสุขสามารถ ก็จะสามารถขับเคลื่อนทุกนโยบาย เพื่อทำให้คนไทยแข็งแรง เข้าถึงบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึง และเท่าเทียม

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 พฤษภาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร”นำทัพดรีมทีมเศรษฐกิจนำเสนอนโยบายโค้งสุดท้าย ดูแลปากท้องทุกด้าน เน้นย้ำก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อก้าวข้ามความยากจนพลิกโฉมศก.ไทย

,

“พล.อ.ประวิตร”นำทัพดรีมทีมเศรษฐกิจนำเสนอนโยบายโค้งสุดท้าย
ดูแลปากท้องทุกด้าน เน้นย้ำก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อก้าวข้ามความยากจนพลิกโฉมศก.ไทย

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร. ) ร่วมแถลงข่าว “สรุปนโยบาย โค้งสุดท้าย สู่การเลือกตั้ง เป็นรัฐบาลประชารัฐ “ นำโดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยนายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค ,นายอุตตม สาวนายน ประธานคณะกรรมการฝ่ายจัดทำนโยบายพรรค ,นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษาคณะกรรมการนโยบายพรรค ,นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมืองพรรค ,นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพรรค ,นายวราเทพ รัตนากร กรรมการฝ่ายนโยบายพรรค ,นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ,ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการจัดทำนโยบายพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และนายคณิศ แสงสุพรรณ ที่ปรึกษาคณะกรรมการนโยบายพรรค พปชร.

โดยได้ชูนโยบายการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านเศษฐกิจตลอด 45 วันของการหาเสียง ที่ผ่านมา และวันนี้ถือเป็นโค้งสุดท้าย ที่พรรคจะใช้ในการนำเสนอ ลงพื้นที่หาเสียง ที่จะเข้าถึงประชาชน ทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกช่วง ให้ได้รับโอกาสที่ดี มีชีวิตความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพที่มั่นคง และพรรคพร้อมนำนโยบายที่มีอยู่ทั้งหมด สู่การลงมือทำทันที เมื่อได้แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อที่จะทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์ ซึ่งจะผ่านนโยบาย ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ นำไปสู่การพลิกฟื้นเศรษฐกิจ รวมถึงเป็นการพลิกโฉมการบริหารภาครัฐให้มีประสิทธิภาพนำไปสู่การพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืน

“ ทั้งนี้ เป้าหมายของการ ก้าวข้ามความขัดแย้ง เป็นเป้าหมายแรก ที่ต้องการให้ประชาชนคนไทยทุกคนมีความรักใคร่ สามัคคี เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีความขัดแย้ง เพื่อให้ประเทศเกิดความสงบสุข เพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้อย่างราบรื่น ซี่งประชาชนทราบดีว่า การที่ประเทศมีความสามัคคี จะเกิดผลดีต่อเศรษกิจ การค้า การลงทุน ไม่หยุดชะงัก การค้าขายราบรื่น หากประชาชนไม่มีการเดินลงบนถนนเพื่อเรียกร้อง ก็จะนำไปสู่การบริหารประเทศอย่างไม่หยุดยั้ง”

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ในทางการเมืองแล้วเป็นสิทธิของทุกคน ใครจะอยู่พรรคไหนก็ได้ เมื่อเราเลือกผู้แทน 400 เขตเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรได้แล้ว ก็ให้เป็นหน้าที่ของสภาฯ ดำเนินการทั้งในเรื่อง แก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนการบริหารประเทศ รัฐบาลก็จะทำหน้าที่สร้างความรุ่งเรือง เมื่อทุกอย่างไม่ติดขัดก็จะทำให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งเชื่อว่าประชาชนทุกคนจะชอบเมื่อเศรษฐกิจกิจดีขึ้น เงินในกระเป๋าดีขึ้น ดังนั้น เมื่อคนไทยเป็นหนึ่งเดียวกัน จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญในการสร้างความเจริญให้เกิดขึ้นได้ในอนาคต เพราะความรักใคร่ของทุกคนจะทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง

พล.อ.ประวิตร กล่าวยืนยันว่า ทีมเศรษฐกิจของ พปชร. จะทำนโยบายที่ประกาศแล้ทันที ถ้าเป็นรัฐบาล เราจะทำทันทีทุกนโยบาย สามารถทำได้ อีกนโยบายที่ตนถือว่ามีความสำคัญคือ นโยบายการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เราจะต้องเอามารวมกัน ต้องมีการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดฟื้นฟู จะหางบประมาณก้อนหนึ่งเพื่อดำเนินการเรื่องนี้โดยเฉพาะ ขอยืนยันว่า ทุกนโยบายของ พปชร. จะทำทันทีถ้าเราได้เป็นรัฐบาล ฝากกับประชาชนทุกคนด้วยว่าช่วยเลือก พปชร.เบอร์ 37 และเลือกผู้สมัครของ พปชร. เพื่อจะได้ดำเนินการในการตามนโยบายที่เสนอกับประชาชนไว้ หวังอย่างยิ่งว่าประชาชนคงจะให้โอกาสสนับสนุน พปชร. เราพร้อมที่จะรับใช้ประชาชน ทำงานเพื่อประชาชน

ในส่วนของก้าวข้ามความยากจน จะเน้นในเรื่อง ที่ทำกิน และแหล่งน้ำ ซึ่งพรรคมีนโยบาย “มีเรามีน้ำไม่แล้ง” โดยดูแลเกษตรกรให้มีความาเข้มแข็ง ซึ่งตนได้ทำเรื่องน้ำมาตลอด 4 ปี จนไม่มีพื้นที่ภัยแล้ง เป็นหนี่งในผลงานความสำเร็จของการร่วมรัฐบาล ที่สามารถให้ประชาชน อยู่ดี กินดี เพิ่มมากขึ้น ฝนตกมาก ส่วนกรณีที่มีฝนตกมาก เกิดน้ำหลาก เราต้องมีการวางแผนทุกพื้นที่ที่จะรับมือ เพื่อไม่ให้ประชาชนไม่เดือดร้อน ซึ่งเป็นปัญหาระยะสั้น ที่รัฐบาลได้มีมาตรการเข้าไป เยียวยา มาอย่างต่อเนื่อง

นายอุตตม กล่าวว่า พรรค มีความพร้อมที่จะนำพาให้พี่น้องประชาชนให้บรรลุผลสำเร็จ โดยเริ่มจากนโยบายสำคัญคือการก้าวข้ามความขัดแย้ง ที่อยู่เหนือทุกนโยบาย ของพรรคถ้าปราศจากความขัดแย้ง ทุกอย่างก็สามารถตอบโจทย์ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน พร้อมมอบอนาคตที่ดีให้กับประชาชน ดังนั้นนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง เป็นส่วนสำคัญ นโยบายรัฐบาล ทำหน้าที่ส่งเสริมตามภารกิจเร่งด่วนที่ต้องทำทันที เมื่อได้เป็นรัฐบาล ประกอบด้วย 1. กระตุ้นเศรษฐกิจให้พลิกฟื้นจริงทันที 2. เร่งการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีพลัง เต็มศักยภาพ 3. เร่งรัดสร้างฐานรากการพัฒนาพลิกโฉมประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั่วถึง ให้มีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง โดย “เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เพื่ออนาคตที่ดีของคนไทย”

“ 3 ภารกิจหลัก ที่ต้องทำทันที กระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นอย่างแท้จริง ปัญหาปากท้อง เป็นเรื่องใหญ่ของพี่น้องประชาชนหลายปีที่ผ่านมาเราเร่งรัดการวางพื้นฐานการพัฒนาให้ยั่งยืนให้คนไทยสามารถแก้ปัญหาที่สะสมมา ซึ่ง พปชร. เรามุ่งการแก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ พรรคพลังประชารัฐพร้อมจะแก้ปัญหาทุกอย่างเพื่อความเป็นธรรม แก้ไขเรื่องหนี้สินอย่างครบวงจร เติมทุนใหม่ เพิ่มโอกาสใหม่ เพิ่มทักษะให้พี่น้องประชาชนมีโอกาสที่จะทำมาหากิน เร่งขยายธุรกิจให้ความสำคัญสูงสุดในการขยายตัวตั้งแต่ฐานรากตั้งแต่ชุมชนเข้มแข็ง หมู่บ้านเข้มแข็ง ภาคเกษตรเป็นเรื่องใหญ่ วันนี้เราพร้อมเติมทุนให้พี่น้องเกษตรกร 30,000 บาทต่อครอบครัว เพื่อใช้ในการลงทุนค่าใช้จ่าย เอาเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อให้คนไทยมีความเข้มแข็ง มีความเท่าเทียมทั่วถึง

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เรื่องการสร้างความเข้มแข็งนั้น สิ่งแรกที่เราจะทำ คือ ใช้โครงสร้างกองทุนหมู่บ้าน จะดำเนินโครงการที่ พปชร.เคยทำมาแล้วในอดีต จะผลักดันกองทุนละ 2 แสนบาท ภายใต้งบประมาณ 1 แสนล้านบาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ส่วนภาคเกษตร เราจะลดค่าใช้จ่าย คือ แก้ปัญหาปุ๋ยแพงทันที โดยโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง จัดตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ

นอกจากนี้ จะให้ทุนการเพาะปลูก 30,000 บาท ครอบคลุม 8 ล้านครัวเรือน รวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษด้านการเกษตร คือ เขตเศรษฐกิจพิเศษปาล์มน้ำมัน ส่วนนโยบายด้านสาธารณสุข จะเน้นสาธารณสุขเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามา มี รพ.สต.เป็นฐานหลัก

นายสนธิรัตน์กล่าวว่า พลังประชารัฐมีนโยบายที่เป็นรูปธรรมจากสิ่งที่ทำในสิ่งแรกจะใช้ศักยภาพของกองทุนหมู่บ้านที่มีอยู่ครอบคลุม 13,000,000 คนพลังประชารัฐจะดำเนินการอยู่แล้วและเพิ่มเติมอีก 200,000 บาทเพื่อสร้างความเข้มแข็งของฐานรากโดยจะไปต่อยอดให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่

ภาคเกษตรมีประชากรอยู่ 10,000,000 คนที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดโดยการลดค่าใช้จ่ายแก้ปุ๋ยแพงทันที ปุ๋ย 50% เพื่อลดค่าใช้จ่ายราคาผลผลิตทางการเกษตรหากต้นทุนแพงก็จะไปไม่ได้ กองทุนก็ต้องมาดูแลเพิ่มเสถียรภาพให้มีการตั้งตัวที่ดีระยะยาว

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เรื่องการสร้างความเข้มแข็งนั้น สิ่งแรกที่เราจะทำ คือ ใช้โครงสร้างกองทุนหมู่บ้าน จะดำเนินโครงการที่ พปชร.เคยทำมาแล้วในอดีต จะผลักดันกองทุนละ 2 แสนบาท ภายใต้งบประมาณ 1 แสนล้านบาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ส่วนภาคเกษตร เราจะลดค่าใช้จ่าย คือ แก้ปัญหาปุ๋ยแพงทันที โดยโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง จัดตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ นอกจากนี้ จะให้ทุนการเพาะปลูก 30,000 บาท ครอบคลุม 8 ล้านครัวเรือน รวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษด้านการเกษตร คือ เขตเศรษฐกิจพิเศษปาล์มน้ำมันจะเป็นเรื่องแรก ส่วนนโยบายด้านสาธารณสุข จะเน้นสาธารณสุขเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามา มี รพ.สต.เป็นฐานหลัก

นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า เรามีปัญหาค่าครองชีพ ทุกคนเดือดร้อนกันหมด เริ่มจากน้ำมัน พปชร.จะลดราคาน้ำมันเบนซินลิตรละ 18 บาท ดีเซลลดลิตรละ 6.30 บาท ไม่ว่าน้ำมันโลกจะขึ้นหรือลง เมื่อ พปชร.ได้ขึ้นเป็นรัฐบาลจะทำทันที ส่วนเรื่องแก๊ส หลังวันเลือกตั้งถ้า พปชร.ได้ขึ้นมาบริหารจัดการ ราคาค่าไฟฟ้าครัวเรือนจะอยู่ที่ 2.50 บาทต่อหน่วย ค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ 2.70 บาทต่อหน่วย พปชร.จะทำให้ค่าครองชีพลดลง นอกจากนี้ จะผลักดันนโยบายเบี้ยผู้สูงอายุ โดยอายุ 60 ปีขึ้นไป จะได้เบี้ยผู้สูงอายุ 3,000 บาท อายุ 70 ปี ขึ้นไปได้ 4,000 บาท อายุ 80 ปีขึ้นไป ได้ 5,000 บาท ทั้งนี้ เหลืออีก 10 วันจะเลือกตั้งแล้ว ขอให้คนไทยใจเย็นๆ ใจร่มๆ ฟังดรีมทีมเศรษฐกิจของเรา และถามตัวเองว่าใช่สิ่งที่ท่านต้องการหรือไม่ ถ้าใช่ขอให้เลือกเบอร์ 37 ด้วย

นายสันติ กล่าวว่า สำหรับนโยบาย”อีสานประชารัฐ” อีสานเป็นภาคที่มีความสำคัญ เป็นภาคที่มีประชากรมากที่สุด มีพื้นที่ทำเกษตรกรรมจำนวนมากและมีแรงงานมากที่สุด ถ้าพัฒนาอีสานได้จะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่ตลาดโลก เป็นความคิดที่จะดูแลภาคอีสาน เป็นความตั้งใจที่ชาญฉลาดในการพัฒนาประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวอีสาน อีสานประชารัฐคือ การพัฒนาอีสาน เริ่มต้นจากการที่จะมีโครงการรถไฟความเร็วปานกลางวิ่งตั้งแต่ จ.บึงกาฬ มาถึงภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่อีอีซี

นายคณิศ กล่าวว่า นโยบายของ พปชร.คือ ไม่แจกเงินคนรวย เพื่อให้ทุกคนกลับฟื้นคืนมา ก้าวไปข้างหน้าร่วมกัน ทั้งนี้ สำหรับนโยบายระยะยาวนั้น เราจะทำเขตพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนภาคใต้ ใน 5 จังหวัด ซึ่งเป็นนโยบายที่ได้รับการตอบรับดี ไม่ได้ทำร้ายใคร แต่ทำให้ทุกคนดีขึ้น ตอนนี้เราทำวางแผนกันไว้แล้ว

นายธีระชัย กล่าวว่า นโยบายเหล่านี้ต้องมีการใช้เงิน หลายคนถามว่าเราจะหาแหล่งเงินมาใช้อย่างไร เรามีนโยบายที่สร้างรายได้ให้กับประเทศและประชาชนนอกจากกลไกการลงทุน คือ วิธีไฟแนนซ์นโยบาย ได้แก่ 1.โยกมาจากงบประมาณประเภทอื่น 2.ปฏิรูปภาษี 3.มาจากการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ และ 4.ถ้างบประมาณไม่เพียงพอ จำเป็นต้องเพิ่มหนี้สาธารณะ ในส่วนของหนี้สาธารณะยังสามารถบริหารจัดการได้ ถ้าเพิ่มไปบ้างสามารถบริหารจัดการได้ถ้าเรามีนโยบายที่เพิ่มรายได้อย่างเหมาะสม แต่เราจะต้องได้คะแนนเสียงพอเพื่อจับมือกันแก้กฎหมาย หรือยกระดับในเรื่องการบริหารหนี้สาธารณะชั่วคราว

นายธีระชัย กล่าวว่า สำหรับไฟแนนซ์จากการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ มีการคำนวณว่า ในส่วนของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 700 บาทต่อเดือน จะก่อให้เกิดการหมุนเวียน 735,336 ล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 0.6% ต่อปี นโยบาย เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 3 ล้านล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 2.5% ต่อปี นโยบาย 8 ล้านครอบครัว จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 1.4 ล้านล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 1.2% ต่อปี นโยบายโซลาร์รูฟทอป จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 7.2 แสนล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 0.6% ต่อปี นโยบาย 1 อบต. 1 โซลาร์ฟาร์ม จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 7.2 แสนล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 0.6%ต่อปี นโยบายเปลี่ยนรถน้ำมันเป็นรถไฟฟ้า จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 1.2 ล้านล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 1% ต่อปี จัดตั้งองค์กรทรัพยากรพลังงานแห่งชาติ ให้เป็นผู้รับประโยชน์จากสัมปทานแหล่งก๊าซและน้ำมันที่จะทยอยหมดอายุลง โดยภายใน 4 ปี รัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้นปี 1 แสนล้านบาท เสริมเข้ามาเป็นงบประมาณแผ่นดิน

ศ.ดร. นฤมล กล่าวว่า สำหรับนโยบายเศรษฐกิจใน กทม. จากการลงพื้นที่ กทม. สิ่งที่พี่น้องกทม.ต้องการคือ การพัฒนาคุณภาพชีวิต การฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ต้องไม่ใช่นโยบายหรือแผนนโยบายที่ทำระยะสั้น เปลี่ยนรัฐบาลและทิ้งเขาไป นโยบายกทม. จะต่อยอดสิ่งที่ พล.อ.ประวิตรทำเอาไว้คือ ที่อยู่อาศัย จะทำบ้านประชารัฐต่อไป โดยไม่ต้องใช้งบประมาณจากรัฐบาล แต่ใช้การร่วมทุนกับเอกชน ส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัล ส่วนเรื่องการพัฒนาการยั่งยืนนั้น จะใช้กลไกกองทุนธุรกิจเพื่อสังคม สามารถทำได้ทันที จะใช้เม็ดเงินระดมทุนจากตลาดทุนส่งเสริมให้เกิดธุรกิจเพื่อสังคม

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 พฤษภาคม 2566

“ชัยวุฒิ” ลงพื้นที่ตลาดวัดแขก ช่วย “สฤษดิ์” พปชร.พร้อมช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพ แนะคนเรุ่นใหม่เปิดรับความเห็นต่างได้ให้ไทยเดินหน้าผ่านนโยบายที่เป็นประโยชน์กับทุกคน

,

“ชัยวุฒิ” ลงพื้นที่ตลาดวัดแขก ช่วย “สฤษดิ์” พปชร.พร้อมช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพ
แนะคนเรุ่นใหม่เปิดรับความเห็นต่างได้ให้ไทยเดินหน้าผ่านนโยบายที่เป็นประโยชน์กับทุกคน

วันที่ 4พ.ค.66 ที่ตลาดวัดแขก ถนนสีลมซอย20 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และเป็นรองหัวหน้าพรรค ลงพื้นที่วอนขอคะแนนเสียงให้ ดร.สฤษดิ์ ไพรทอง ผู้สมัครส.ส.กทม.เขต1 เบอร์11 ซึ่งมีประชาชนร่วมขอถ่ายรูปและรับฟังปัญหา พร้อมชูนโยบาย ลดค่าครองชีพ การฟื้นตัวของการค้าขาย เศรษฐกิจ และปรับโครงสร้างพลังงาน

นายชัยวุฒิ ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้มาเดินตลาดวัดแขก พบว่าประชาชนสนับสนุนนโยบายพรรค พปชร.ในเรื่องการลดค่าครองชีพ ค่าก๊าซหุงต้ม จะลดให้เหลือ 250 บาทต่อถัง ซึ่งเป็นนโยบายที่ประชาชนให้การตอบรับมาก เนื่องจากพ่อค้า-แม่ค้า ต้องใช้แก๊สในการประกอบอาหาร และมีเรื่องของค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของทุกคน ซึ่งพรรคมีนโยบายที่จะปรับลดและปรับโครงสร้างราคาพลังงาน โดยจะทำให้เหลือ 2.50 บาท/หน่วย สำหรับครัวเรือน รวมถึงค่าน้ำมันและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่สำคัญจะต้องมีนโยบายเติมเงินให้กับประชาชน เพราะว่าตอนนี้ประเทศไทยพบกับปัญหาสินค้าราคาแพง ส่วนใหญ่ต้องเงินลงทุน เพื่อไปทำทุนเพิ่ม โดยทางพรรค พปชร.จะช่วยเหลือคนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละ 30,000 บาท เพื่อไปทำทุน ประกอบอาชีพ

อย่างไรก็ตาม พปชร. ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน พปชร. ได้จัดให้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และลดราคาพลังงาน เพื่อลดค่าใช้จ่ายของประชาชน เรื่องนี้ประชาชนได้ประโยชน์ทุกคน ซึ่งจะนำไปสู่การ ‘ลดภาวะเงินเฟ้อ’ ดังนั้น หากประชาชนเลือก “ผู้แทน” แล้วไปทำนโยบายที่ไกลเกินไป ทำไม่ได้และทำให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งจะทำให้บ้านเมืองมีปัญหาได้ นี่คือสิ่งที่พรรค พปชร.เป็นห่วงมาก อยากให้บ้านเมืองสงบสุข พร้อมหาทางออกให้ทุกคนมาร่วมพูดคุยกัน ต้องการแก้ไขปัญหาด้านไหนก็มาพูดคุยกันดีๆ เพื่อหาทางออก ส่วนตัวเชื่อว่าคนไทยที่คิดต่างกัน สามารถหาทางออกด้วยกันได้แน่นอน และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จะมาช่วยประสานให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปได้

ส่วนประเด็นไข่ต้ม ที่มีบางพรรคการเมือง นำมาใช้โจมตีในเวที’ดีเบต ‘เรื่องนี้มองว่าเป็นการบูลลี่หรือไม่นั้น ทุกคนมีความเชื่อที่แตกต่างกัน ส่วนตัวอยากสะท้อนให้เห็นว่า ความจริงมีหนึ่งเดียว ทุกคนรับประทานไข่ต้มทุกวัน และไข่ต้มเป็นอาหารทั่วไป ไม่มีชนชั้น แต่ก็มีการไปบูลลี่ ทำให้ไข่ต้มกลายเป็นสิ่งไม่ดี “ผมจึงออกมาเซฟไข่ต้ม” ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องการเมืองอะไร เพียงแต่ต้องการสะท้อนให้เด็กรู้จักความพอเพียง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักชีวิตที่ไม่ต้องหรูหราหรืออยู่สบายทุกวัน อยู่ง่ายกินง่าย ‘ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ควรจะสอนกันถูกไหม’แต่บางคนไปบูลลี่ ทำให้มันเป็นสิ่งที่เสียหาย ส่วนตัวอยากให้มองที่หลักคิดความเป็นคนไทย และนี่คือ concept ของไข่ต้มที่อยากให้ทุกคนเข้าใจ ‘เด็กรุ่นใหม่ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ ติดค่านิยม วัตถุนิยมมากเกินไป อยากให้ทุกคนช่วยกันคิดให้ประเทศชาติดีขึ้น ถ้าทุกคนช่วยกันทำหน้าที่ให้ดี ประเทศเดินหน้าได้แน่นอน ด้วยความพร้อมของทรัพยากรทุกๆอย่าง ซึ่งจะทำให้ทุกคน อยู่อย่างมีความสุขได้แน่นอน ส่วนกรณีที่บางพรรคการเมืองต้องการยกเลิกมาตรา 112 เรื่องนี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อประชาชน แล้วคนส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วยกับเรื่องเหล่านี้ เพียงแต่ไม่ควรนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม อยากฝากความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในกรุงเทพมหานคร ว่า พรรค พปชร.จะเป็นพรรคหลัก ที่จะมาดูแลชาวกรุงเทพฯ ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น มีนโยบายดีๆหลายอย่างที่จะมาช่วยประชาชน ซึ่งมั่นใจได้ว่าพรรค พปชร.จะดูแลบ้านเมืองนี้ให้สงบสุข ประชาชนอยู่ดีกินดีและสามารถเดินหน้าไปได้อย่างแน่นอน ชัยวุฒิ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 พฤษภาคม 2566

“สนธิรัตน์” ปราศรัยกาญจนบุรีบ้านเกิด ช่วย “ชูเกียรติ จีนาภักดิ์” เขต 2 เบอร์ 3 ย้ำหัวใจ “พลังประชารัฐ” ก้าวข้ามความขัดแย้ง ชู “บิ๊กป้อม” เหมาะสมนั่งนายกฯ มากที่สุด

,

“สนธิรัตน์” ปราศรัยกาญจนบุรีบ้านเกิด ช่วย “ชูเกียรติ จีนาภักดิ์” เขต 2 เบอร์ 3 ย้ำหัวใจ “พลังประชารัฐ” ก้าวข้ามความขัดแย้ง ชู “บิ๊กป้อม” เหมาะสมนั่งนายกฯ มากที่สุด

วันที่ 3 พ.ค. 2566 ที่สนามกีฬาเทศบาลท่าม่วง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ ร่วมเวทีปราศรัยย่อย จ.กาญจนบุรี ช่วยนายชูเกียรติ จีนาภักดิ์ ผู้สมัคร ส.ส. กาญจนบุรี เขต 2 เบอร์ 3 พรรคพลังประชารัฐ โดยมีประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมฟังปราศรัยเป็นจำนวนมาก โดยนายสนธิรัตน์ กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า ปราศรัยวันนี้ ตนไม่ได้มาคนเดียว แต่มาพร้อม พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เป็นต้น ตนเดินทางปราศรัยมาทั่วประเทศ แต่วันนี้ยอมรับว่าตื่นเต้นที่จะได้มาปราศรัยที่จังหวัดบ้านเกิดของตัวเอง เพราะคนเราเกิดมาไม่ว่าจะไปเติบโตที่ไหน แต่บ้านเกิดต้องอยู่ในหัวใจ อย่างไรก็ตาม พี่น้องทุกคนมีความสำคัญต่ออนาคตประเทศไทย อาจจะมองว่าการเลือกตั้งที่จะถึงนี้แค่ไปกาบัตร แต่รู้หรือไม่ว่าพี่น้องคือส่วนหนึ่งที่จะกำหนดอนาคตประเทศไทย หนึ่งเสียงของพี่น้องจะมีคุณค่าอย่างยิ่งต่ออนาคตลูกหลาน เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ หลังการเลือกตั้งอาจจะยากในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งพรรคพลังประชารัฐมองเห็นปัญหาของบ้านเมืองกำลังรออยู่ ดังนั้นเราไม่ต้องการเห็นความขัดแย้ง ไม่อยากเห็นลูกหลานเดือดร้อน ไม่อยากเห็นพี่น้องประชาชนทำมาหากินลำบาก เพราะหากตีกันเมื่อไหร่เราก็เดินหน้าอะไรไม่ได้ ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐ จึงอาสามาเป็นกาวใจให้คนไม่ตีกัน เราประกาศชัดเจนว่าจะก้าวข้ามความขัดแย้ง ซึ่งถือเป็นหัวใจของพรรค เรามีหัวใจดวงเดียวกันที่จะพาประเทศออกจากความขัดแย้ง พร้อมเป็นกาวใจ และเป็นตัวเชื่อมโยงให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้

“พรรคพลังประชารัฐอาสามาเป็นตัวเลือกก้าวข้ามความขัดแย้ง และมีพรรคเดียวที่จะทำหน้าที่นี้ได้คือพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 ใครมาหาเสียงก็บอกตัวเองดี ตัวเองเด่น แต่ความมุ่งมั่นของเราจะสำเร็จไม่ได้ หากไม่มีหัวหน้าพรรค ไม่มีผู้นำพรรคที่ชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค วันนี้ถามว่า ในบรรดาพรรคการเมืองทุกพรรค ใครคือว่าที่นายกรัฐมนตรีที่สามารถเชื่อมโยงทุกคนได้มากที่สุด ใครคือว่าที่นายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง มีบารมีสูงสุดที่จะคุยกับทุกพรรค ใครเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีที่มีประสบการณ์บริหารราชการแผ่นดินยาวนานมากที่สุด และน่าเชื่อถือที่สุด นั่นคือ พล.อ.ประวิตร อย่างไรก็ตาม วันนี้ตนมาเพื่อขอคะแนนความไว้วางใจพี่น้องเขต 2 และทุก ๆ เขตของ จ.กาญจนบุรี การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่จะกาพรรคอะไรก็ได้ แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ถ้าตัดสินใจผิด เลือกพรรคผิด เลือกคนผิด บ้านเมืองจะกลับไปสู่ความขัดแย้ง จึงอยากขอความไว้วางใจจากพี่น้องชาวกาญจนบุรี วันที่ 14 พ.ค. กาเบอร์ 37 นำพาประเทศก้าวข้ามความขัดแย้ง ไปด้วยกัน” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 พฤษภาคม 2566

“ศ.ดร.นฤมล”ควง”เอ๋ บุณณดา”ลุยหาเสียงย่านกุฎีจีน ช่วย ส่งเสริมท่องเที่ยวชุมชนสู่การสร้างรายได้ พร้อมใช้เทคโนโลยีช่วย ปชช.เข้าถึงระบบสาธารณสุข

,

“ศ.ดร.นฤมล”ควง”เอ๋ บุณณดา”ลุยหาเสียงย่านกุฎีจีน ช่วย ส่งเสริมท่องเที่ยวชุมชนสู่การสร้างรายได้ พร้อมใช้เทคโนโลยีช่วย ปชช.เข้าถึงระบบสาธารณสุข

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าทีมผู้ดูแลการเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ลงพื้นที่เขตธนบุรีเพื่อช่วยดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ หรือเอ๋ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 32 เบอร์ 6 เขตบางกอกใหญ่ เขตธนบุรี (เฉพาะแขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจี และแขวงบางยี่เรือ) เขตภาษีเจริญ (ยกเว้นแขวงบางหว้า แขวงบางด้วน และแขวงคลองขวาง) เขตตลิ่งชัน (เฉพาะแขวงบางเชือกหนัง) เขตบางกอกน้อย (เฉพาะแขวงศิริราช) เดินรณรงค์หาเสียง โดยได้พบปะพูดคุยกับประชาชนย่านกุฎีจีน

โดย ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า พื้นที่เขตนี้ถือว่ามีความกว้างขวางพอสมควร ซึ่งเป็นการแบ่งเขตใหม่ของ กกต.โดยผู้สมัครของเราก็ได้ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องเพื่อสอบถามปัญหาต่าง ๆ ของพี่น้องประชาชน ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ เราพร้อมผลักดันให้เกิดการพัฒนาสร้างอาชีพให้กับประชาชน เพราะถือว่าเป็นเขตที่สามารถพัฒนาเป็นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้

นอกจากนี้พรรคพลังประชารัฐยังให้ความสำคัญไปยังการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ โดยวันนี้การลงพื้นที่ของเราก็ตรงกับวันที่ทางชุมชนมีกิจกรรมตรวจสุขภาพของผู้กลุ่มอายุ ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมที่ดีมาก ๆ โดย พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เน้นย้ำเรื่องนโยบายสาธารณสุข เพื่อให้ทั้งคนกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเข้าถึงบริการทางการแพทย์ด้วยการใช้เทคโนโลยี ซึ่งเป็นนโยบายที่เราดำเนินการมาตั้งแต่ปี 62 โดยชื่อว่า หมอถึงบ้านพยาบาลถึงเรือน ผ่านมา 4 ปี วันนี้เทคโนโลยีก็มีการพัฒนาขึ้นมาก เราก็จะใช้เทคโนโลยีตรงนี้เข้ามาช่วยเหลือประชาชน

“นโยบาย”ลุงป้อมพาหมอไปหา เอายาไปส่ง”มีเนื้อหาระบุว่า “จะหาหมอทั้งทีต้องเดินทาง ต้องรอคิว เข้าถึงการรักษายากลำบาก แต่วันนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะพรรคพลังประชารัฐจะนำระบบ Telelmed หรือการแพทย์ทางไกลมาใช้ โดยจะทำให้ไม่ว่าประชาชนอยู่ที่ไหน ก็สามารถพบแพทย์ได้ ซึ่งเราจะมีทำคลิปสั้นๆ ฉบับลุงป้อมให้เข้าใจง่าย สามารถดูได้ที่เพจของพรรคพลังประชารัฐ”

ด้าน ดร.บุณณดา กล่าวว่า พื้นที่เลือกตั้งนี้กินบริเวณ 5 เขต 11 แขวง ซึ่งเป็นพื้นที่ ๆ มีความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม ความเชื่อและศาสนา เป็นชุมชนเก่าที่อยู่ร่วมกันมายาวนาน ถือว่าเป็นการรวมของวัฒนธรรมอย่างแท้จริง ในการพัฒนาพื้นที่ตรงนี้ เราก็ต้องการจะส่งเสริมให้ผู้สูงอายุ และแม่บ้าน ได้มีอาชีพ โดยพรรคพลังประชารัฐจะผลักดันให้มีการฝึกอาชีพ เช่นขนมฝรั่ง ซึ่งเราจะเข้ามาส่งเสริมด้านการขาย เข้ามาช่วยเหลือทางด้านการตลาด และระบบออนไลน์ โดยให้กลุ่มคนรุ่นใหม่เข้ามาช่วยเหลือ ก็จะสามารถพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้

“ลงพื้นที่ในช่วงที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนก็เปิดใจและตอบรับกับนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ แต่ตอนนี้ประชาชนมีความกังวลในเรื่องของการแบ่งเขตใหม่ และการเลือกตั้งโดยบัตร 2 ใบ โดยผู้สูงอายุบางส่วนก็ยังมีความสับสนในการลงคะแนน เอ๋ก็ขอเรียกร้องให้ กกต.เร่งทำความเข้าใจและชี้แจงกับประชาชนก่อนจะถึงวันลงคะแนนด้วย”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 3 พฤษภาคม 2566

ชัยวุฒิ ปราศรัย ซัดนักการเมืองโกงมีปัญหา ประเทศไม่ได้มีปัญหา วอนหยุดดราม่า โจมตีหาเสียง ย้ำจุดยืน พปชร.รักชาติ รักแผ่นดิน

,

ชัยวุฒิ ปราศรัย ซัดนักการเมืองโกงมีปัญหา ประเทศไม่ได้มีปัญหา วอนหยุดดราม่า โจมตีหาเสียง ย้ำจุดยืน พปชร.รักชาติ รักแผ่นดิน

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ ปราศรัย อำเภอ ค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อช่วย นายโชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ผู้สมัคร สส. หมายเลข7 พรรคพลังประชารัฐ หาเสียง

โดย นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ทุกวันนี้ มีคนกลุ่มหนึ่งก็พยายามหาเสียงเลือกตั้ง ด้วยการ พูดจาดราม่า เข้าใจคําว่าดราม่าไหม พูดจริงบ้าง ใส่สีปรุงแต่ง บิดเบือนเพื่อหาเสียง อะไรก็ไม่ดีประเทศไทยเสียหายเศรษฐกิจตกต่ำเพราะปฏิวัติรัฐประหาร มันก็ไม่ใช่ พอเขาปฏิวัติผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว 8ปีแล้ว วันนี้มันไม่เกี่ยวกับการปฏิวัติรัฐประหารแล้ว มันเป็นเรื่องของการเลือกตั้งตามบอกประชาธิปไตย แต่ที่สําคัญประเทศไม่ได้เสียหาย บางคนทำธุรกิจ เขาเรียกว่าอสังหาริมทรัพย์ พูดชื่อเลย บริษัท แสนศิริ กําไรปีที่แล้วประมาณสองพันล้าน ปีนี้กําไรสี่พันล้าน กําไรเพิ่มขึ้นเท่าตัว แปลว่าอะไร เศรษฐกิจดี ขายบ้านได้ เพราะถ้าเศรษฐกิจไม่ดีเขาไม่ซื้อบ้านกัน บ้านหลังก็หลายสิบล้านด้วยในกรุงเทพ ขณะที่อุตสาหกรรมรถยนต์ เติบโตทุกปี ช่วงสิบปีมาแล้วไม่มีตกเลย มีโควิดที่ยังส่งออกได้ อุตสาหกรรมเติบโต ให้โบนัสพนักงาน8-9เดือน ต่อเนื่องมาเป็นสิบปี ปฏิวัติแล้ว อุตสาหกรรมรถยนต์ ธุรกิจก็ไม่ได้มีปัญหา การออกมาพูด ปฏิวัติแล้วเศรษฐกิจตกต่ำมากประชาชนเดือดร้อน มันไม่ได้มีปัญหาอย่างนั้น มันเป็นการสร้างวาทกรรม สร้างภาพเพื่อให้คนเกลียดชังกันและคิดว่าจะสร้างคะแนนนิยมให้กับนักการเมืองเท่านั้น ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่พรรคพลังประชารัฐไม่ทํา

การข้ามความขัดแย้ง คือไม่ทะเลาะกัน ไม่โจมตีกัน พูดแต่สิ่งที่จะมาทําให้ประชาชน วันนี้จึงควรพูดแต่เรื่องที่อยากจะมาช่วยเหลือพี่น้องประชาชน เพราะ เรื่องใหญ่พี่น้องเข้าใจอยู่แล้ว คือก้าวข้ามความขัดแย้งเพื่ออะไร เพื่อให้มีรัฐบาลที่ดีมีเสถียรภาพ บ้านเมืองสงบสุข ประชาชนจะได้ทํามาหากินได้ อันนี้อันดับแรกที่เราต้องทํา แต่หลังจากบ้านเมืองเดินหน้าได้แล้ว วันนี้ปัญหาใหญ่ของคนไทยคือ ปัญหาเศรษฐกิจ น้ํามันแพง แก๊สหุงต้มอยากให้ลดราคาไหม ใช้ทุกบ้านอยู่แล้ว พอลดค่าแก๊ส เราก็เหลือเงินในกระเป๋ามากขึ้น เราจะได้มีเงินไปซื้อของไปดูแลลูกหลานเรา แต่ว่าบางพรรคบอก เรามาเอาแบบนี้ เราจะเติมเงินดิจิทัลให้คนละหนึ่งหมื่นบาท ใช้ไม่เป็น คนใช้ก็ไม่เป็น ร้านค้าตอนรับมา เขาบอกว่าเงินดิจิทัลจะได้ตรวจสอบได้ จะได้เก็บภาษีได้ ร้านค้านี้ไม่เข้าโครงการ ผมก็งงว่าจะให้เงิน10,000 บาท ทําไมต้องทําให้ยาก ก็ใส่แอปเป๋าตังค์ก็ได้ โอนเข้าบัญชีก็ได้ มีบัญชีทุกคน วันนี้ทุกคนมี โอนเงินเป็นสดใช่ไหมครับ โอนเงินมาเลยดีกว่าไหม แต่ทํายากทําไมก็ไม่รู้ มันทําไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้คนไทยก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ การสร้างราคาพลังงานที่ในอดีตทํามา มาเจอค่าแก๊สมันขึ้น ค่าไฟก็ขึ้นตาม เราก็ต้องไปแก้ปัญหาที่ค่าแก๊สและปรับโครงสร้าง เพื่อให้พลังงานไฟฟ้าราคาถูกลง เราตั้งเป้าไว้ว่าครอบครัวหนึ่งต้องเสียค่าไฟหน่วยละ สองบาทห้าสิบจากเดิมเกือบห้าบาท เพราะงั้นเราต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์37

ผมสมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ อันดับที่3 อันดับที่1 คือลุงป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อันดับที่2 คือ เลขาพรรค สันติพร้อมพันธ์ อันดับ3 รองหัวหน้าพรรค ชื่อชัยวุฒิ เราต้องช่วยกันพรรคพลังประชารัฐ เบอร์37 เบอร์นี้ไม่ใช่เลือกนายก เลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อ บางคนบอกเลือกลุงตู่ ผมก็รักลุงตู่ แต่ลุงตู่ไม่ได้อยู่พลังประชารัฐแล้ว เราต้องเลือกพลังประชารัฐ เพราะเลือกชัยวุฒิเบอร์37 เพราะผมได้ไปทํางานรับใช้พี่น้อง ร่วมกับโชติวุฒิ ร่วมกับคุณแม่ผมด้วย เข้าถึงทุกคน อยู่กับประชาชน เราเรียกใช้ได้ อันนี้คือเรื่องสําคัญสองเรื่อง เลือกคนที่ดี เลือกพรรคที่มีนโยบายดี ทําให้บ้านเมืองสงบสุข แต่เรื่องที่สามที่เป็นเรื่องสําคัญในการที่จะช่วยเราตัดสินใจได้ง่ายขึ้น คือ เรื่องที่อุดมการณ์ อุดมการณ์คือภาพใหญ่ที่เราคิดว่าจะทําให้ประเทศไทยเป็นอย่างไร พรรคเราชนะ รักชาติรักแผ่นดินอยากให้บ้านเมืองมั่นคงเข้มแข็ง ให้คนไทยปลอดภัยอยู่อย่างสงบสุข นี่คืออุดมการณ์ของพรรคพลังประชารัฐ เราคิดว่าปัญหาของประเทศ นักการเมืองชอบพูด บางคนบอกว่า อยากเปลี่ยนประเทศ เพราะประเทศมันมีปัญหา วุ่นวายมาก ต้องแก้ที่ต้นตอ ต้นตอนั้นคือต้นไม้ใหญ่ ที่มีรากแก้ว ปกคลุมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น มีร่มเงาของต้นไม้ที่ทําให้คนไทยรักกันสามัคคีกัน เป็นราชอาณาจักรไทยอันเป็นหนึ่งเดียว อยู่ได้ทุกวันนี้ แล้วเราจะเปลี่ยนประเทศแบบเขาทําไม นี่คือเรื่องอุดมการณ์ วันนี้แทนที่จะพูดเรื่องเปลี่ยนประเทศ เรามาเปลี่ยนนักการเมืองเลวๆออกจากระบบดีกว่า พรรคการเมืองไหนที่มันโกงมันทําให้บ้านเมืองฉิบหายแล้วอย่าไปเลือก ในอดีตทําไมไม่พูด พรรคบางพรรคพูดถึงแต่ปัจจุบัน ด่าแต่ทหาร ทําอะไรก็ไม่ดี และนักการเมืองชั่วๆไม่พูดบ้าง บางครั้งนายไม่อยากพูดเรื่องจํานําข้าว เขาบอก เรื่องจำนําข้าว ผมอยู่กับพวกเราที่สิงห์บุรีเป็นชาวนาเยอะ โครงการจํานําข้าวทํามาหลาย10ปี ไม่ใช่เพิ่งมาเคยทำในสมัยรัฐบาลที่แล้ว แต่ทำไปแล้วมีปัญหา มีการโกง มีการทุจริตคอรัปชั่น ผมไม่ได้ใส่ร้าย เพราะมันพิสูจน์แล้วว่ามันโกงจริง แล้วติดคุกกันหมดแล้ว แล้วเขาต้องยกเลิกโครงการไปทําไม่ได้ เพราะมันเสียหายประเทศเป็นหนี้เป็นแสนล้าน มันไม่ได้เลิกเพราะลุงตู่ลุงป้อม บางคนรู้ว่าจำนําข้าวยกเลิกเพราะลุงตู่ลุงป้อมมันไม่ใช่มันยกเลิกเพราะมันโกงกันมันทําบ้านเมืองเสียหายไปแล้วมันเลยทําไม่ได้ วันนี้พรรคจำนำข้าวก็ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ เพราะรู้ว่าทําผิดไปแล้ว ทําพลาดไปแล้วก็ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ โครงการดีๆแบบนี้ที่เคยทําไว้ในอดีตก็เลยไม่มีมาช่วยพี่น้องประชาชน ผมก็ไม่อยากย้อนอดีตพูดให้ฟัง วันนี้ไอ้พรรคการเมืองแบบนี้อยู่ในสภาตอนเป็นรัฐบาลก็โกง เป็นฝ่ายค้านพี่น้องดูข่าวนะ สส. มุกดาหาร เป็นกรรมาธิการงบประมาณ ไปโกง ไปเรียกรับเงิน จากอธิบดีกรมทรัพยากรน้ํา เขาอัดเทป เรียกเงินเขา เรียกสินบน ตอนนี้โดนศาลฎีกาตัดสินแล้ว จําคุก6ปี ก็พรรคนี่แหละ พรรคประชาธิปไตยเรานี่แหละ เป็นฝ่ายรัฐบาลก็โกงเป็นฝ่ายค้านยังโกงได้เลยแล้วรับผิดชอบอะไร พรรครับผิดชอบไหม ด่าแต่คนอื่น ผมไม่เคยพูด ผมทนไม่ไหวต้องบอกพี่น้อง เรามาเลือกการเมือง เราเลือกให้คน เลือกพรรคที่จะมาทํางานให้เรา แล้วดูประวัติดูสิ่งที่เขาทําด้วย เพราะต้นตอของปัญหาทั้งหมดที่ประเทศไทยวุ่นวาย เพราะนักการเมืองมันไม่ดี มันโกง มันทะเลาะกัน ไปหลอกลวงประชาชน พูดจาดราม่าบิดเบือนข้อมูล ทําให้คนเกลียดชังกัน อันนี้มันลามไปถึงลูกกับหลานเราแล้วนะพี่น้องไปดู โทษฟ้าโทษแผ่นดิน โทษทุกอย่าง แต่คนที่พูดไม่เคยดูตัวเองเลย เพราะวันนี้บ้านเมืองมันดีขึ้นได้ด้วยการที่เราเลือกคนดีมาทํางาน แล้วทุกคนก็ตั้งใจทําความดี ทําหน้าที่ตัวเองให้ดี เด็กๆก็ตั้งใจเรียน ผู้ใหญ่ก็ตั้งใจทํามาหากิน ถ้าทุกคนทําหน้าที่ให้ดี ประเทศชาติของเรามันก็เจริญก้าวหน้า แล้วจะมาทะเลาะกันทําไม นี่คือเป้าหมายที่ลุงป้อมพูดมาตลอด ซึ่งบางคนไม่เข้าใจ ก้าวข้ามความขัดแย้ง คืออะไร ก็คือสิ่งนี้เลิกด่ากัน เลิกทะเลาะกัน หลังเลือกตั้ง เรามาคุยกัน ทุกพรรคทุกกลุ่มทุกฝ่าย คุณมีปัญหาอะไรมานั่งคุยกัน เจรจากัน หาทางออกกัน เพราะลุงป้อมเป็นคนใจดี เป็น soft power ประนีประนอม คุยทุกคน ลุงป้อม ตี5ครึ่งเปิดบ้าน ถึง5โมงเย็น รับแขกทุกคน ใครเดือดร้อนจะจังหวัดไหน ฝ่ายไหน กลุ่มไหน ท่านไม่เคยเลือกปฏิบัติ ควรเอาความเดือดร้อนมาคุยกัน แล้วแก้กฎหมาย แก้รัฐธรรมนูญ แก้อะไรก็ตามที่ทําให้บ้านเมืองสงบสุข นี่คือก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่อะไรที่แก้แล้ว พูดแล้ว เปลี่ยนไปแล้วทําให้บ้านเรามีปัญหา ทําให้คนทะเลาะกัน เราก็ก้าวข้ามมันไปก่อน เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าไปได้ เราจะได้ทํางานก้าวข้ามความยากจน ให้ประชาชนอยู่ดี ๆ ให้ได้ นี่คือคอนเซ็ปต์ของการก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะถ้าเราเลือกตั้งไปแล้ว ได้พรรคการเมืองที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ ทําอะไรสุดโต่งเลย เอาแค่เรื่องง่าย ๆ ผมไม่อยากพูดจริง ๆ แก้มาตราร้อยสิบสอง มีหลายเรื่องที่เค้าจะแก้ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร ที่เราเกณฑ์ทหาร เพราะทหารต้องปกป้องดูแลประเทศ สร้างค่านิยม ความเสียสละ ให้กับ ถ้าไม่มีทหารประเทศมีคนรุกรานคุณจะไปรบมั้ย

อย่างไรก็ตามบรรยากาศการปราศรัยเป็นไปอย่างสนุกสนาน มีกองเชียร์ แฟนคลับ พรรคพลังประชารัฐ นายชัยวุฒิ คุณแม่ภรณี และนายโชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ที่ออกมาช่วยกันสร้างสีสัน ด้วยการเต้น เพลงพรรคพลังประชารัฐ และแต่งกาย แฟชั่น สีสันสดใส

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 พฤษภาคม 2566

“ธีระชัย” และ “มล.กรกสิวัฒน์” ชี้ ปัญหาราคาก๊าซหุงต้มตราบาปของนายกฯ ประยุทธ์ ที่ต้องมีการปรับโครงสร้างทั้งระบบ

,

“ธีระชัย” และ “มล.กรกสิวัฒน์” ชี้ ปัญหาราคาก๊าซหุงต้มตราบาปของนายกฯ ประยุทธ์ ที่ต้องมีการปรับโครงสร้างทั้งระบบ

วันนี้ (2 พ.ค.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษากรรมการนโยบายพรรค และ มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมาการนโยบายเศรษฐกิจของพรรค แถลงข่าวความเห็นส่วนตัว ประเด็น “การปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้ม”
มล.กรกสิวัฒน์ กล่าวถึง ก๊าซหุงต้มเป็นทรัพยากรพลังงานของชาติที่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติกลางอ่าวไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพียงพอใช้สำหรับครัวเรือนไทย (โดย ปี 2565 โรงแยกก๊าซผลิตก๊าซหุงต้ม 3 ล้านตัน ขณะที่ครัวเรือนใช้เพียง 2 ล้านตัน เท่านั้น)
รัฐบาลในอดีตจึงกำหนดให้ครัวเรือนเป็นผู้ได้สิทธิใช้ก๊าซหุงต้มที่ผลิตจากก๊าซอ่าวไทยก่อนเป็นอันดับแรก โดยกำหนดราคาขายประชาชนได้ถูกกว่าตลาดโลกเพราะมีต้นทุนการผลิตต่ำ ขณะที่โรงแยกก๊าซเองก็ยังมีกำไรมาโดยตลอด
ในปี 2551 มีผู้แก้กฎด้วยการออกมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ให้บริษัทปิโตรเคมีเพียงบางกลุ่มมีสิทธิ์ใช้ก๊าซอ่าวไทยตัดหน้าประชาชน ก๊าซหุงต้มจะถูกส่งทางท่อจากโรงแยกก๊าซไปยังโรงปิโตรเคมีโดยตรง ทำให้ก๊าซหุงต้มจากอ่าวไทยที่มีอยู่ไม่เพียงพอสำหรับครัวเรือน เป็นการผลักคนไทยให้เป็นผู้แบกรับราคาก๊าซจากแหล่งอื่นที่มีราคาสูง คือ 1) จากขบวนการกลั่นน้ำมันดิบ และ 2) นำเข้าก๊าซหุงต้มสำเร็จรูปจากต่างประเทศ ที่มีราคาสูงสุดเพราะมีค่าโสหุ้ยในการนำเข้า
การสลับให้บริษัทปิโตรเคมีเข้ามาตัดหน้าครัวเรือนนั้น ทำให้คนไทยเดือดร้อนมาจนทุกวันนี้ เป็นเวลานาน 15 ปี โดยอ้างเหตุผลว่า ก๊าซหุงต้มเป็นเหมือนไม้สัก ควรเอาไปทำผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี แต่ราคาที่ปิโตรเคมีจ่ายกลับต่ำกว่าตลาดโลกมาก เรียกได้ว่า ซื้อไม้สักในราคาเศษไม้ ขณะเดียวกันก็ผลักคนไทยไปใช้ก๊าซจากแหล่งอื่นที่แพงกว่า
เรื่องนี้ มีการเตรียมชงผ่าน “คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช)” ในสมัยที่คุณสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี และมาสำเร็จผลในสมัยรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เพียง 2 เดือน หลังจากคุณสมัครพ้นจากตำแหน่ง นับเป็นวิบากกรรมของคนไทยที่ก๊าซหุงต้มที่ผลิตจากอ่าวไทยกลายเป็นผลประโยชน์ของกลุ่มทุนพลังงาน
นายธีระชัย กล่าวต่อว่า น่าเสียดาย ที่นายกฯ ประยุทธ์ นอกจากไม่ได้มีการแก้กติกากลับคืนให้คนไทยได้ใช้ก๊าซจากอ่าวไทยก่อนแล้ว ยังได้มีการเพิ่มตราบาปให้แก่ประชาชน ซ้ำเติมความเดือดร้อนอีกด้วย
วิธีการซ้ำเติม ก็คือมีการปรับสูตรกำหนดราคาก๊าซสำหรับครัวเรือน โดยสมมติว่า โรงกลั่นไทยและโรงแยกก๊าซไปตั้งอยู่ในประเทศซาอุฯ โดยให้บวกค่านำเข้า ค่าประกันภัย และค่าโสหุ้ยในการนำเข้า ทั้งที่ไม่ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อยู่จริง
มีผลให้เกิดผลกำไรเพิ่มขึ้นทันทีต่อกลุ่มทุนพลังงานอย่างเป็นกอรปเป็นกำโดยไม่ต้องแข่งขัน อันเป็นก๊าซซึ่งราคาแพงที่สุด ครัวเรือนก็ย่อมเดือดร้อน ราคาก๊าซขายปลีกพุ่งสูงขึ้นทะลุ 400 บาทต่อถัง ในบางช่วงเวลาขึ้นไปเกินกว่า 500 บาทต่อถัง แต่ใช้กองทุนน้ำมันจำนวนหลายหมื่นล้านมาปกปิดปัญหาไว้ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เคยล่วงรู้เลย
นโยบายนี้ จึงเป็นการเพิ่มตราบาปให้แก่ครัวเรือนหนักขึ้น โดยต้องให้ประชาชนช่วยเหลือกันเอง โดยผู้ใช้น้ำมันช่วยเหลือผู้ใช้ก๊าซหุงต้ม การแก้ปัญหาแบบนี้ จึงมีผลเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มทุนพลังงาน ผมจึงเรียกเล่นๆ ว่า “เฉือนเนื้อคนจน ไปแปะให้คนรวย”
ทั้งนี้ การเปลี่ยนไปยึดโยงกับราคาก๊าซในประเทศซาอุดีอาระเบีย ดำเนินการเป็น 3 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่หนึ่ง ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2557 (ครั้งที่ 147) วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม 2557 โดยพลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการ นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นรัฐมนตรีพลังงาน ยกเลิกเพดานที่คุมราคาก๊าซหุงต้มสำหรับครัวเรือน ซึ่งเดิมกำหนดไว้ 333 ดอลล่าร์ต่อตัน หรือ 10 บาทต่อกิโลกรัม
ขั้นตอนที่สอง ในการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (ซึ่งเป็นคณะกรรมการระดับรองลงมา) ครั้งที่ 5/2558 (ครั้งที่ 5) วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2558 นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นรัฐมนตรีพลังงาน เป็นประธานคณะกรรมการ ขึ้นราคาก๊าซหุงต้มเป็น 498 ดอลล่าร์ต่อตัน หรือ 17 บาทต่อกิโลกรัม หรือขึ้นราคารวดเดียว 70%
ขั้นตอนที่สาม ในการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ครั้งที่ 21/2559 (ครั้งที่ 33) เมื่อวันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2559 โดยพลเอกอนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีพลังงาน เป็นประธานคณะกรรมการ กำหนดให้คนไทยซื้อก๊าซที่ผลิตในประเทศไทยด้วยราคานำเข้าจากซาอุฯ บวกค่าโสหุ้ยเทียม ทั้งค่าขนส่ง ค่านำเข้า ค่าประกัน และค่าสูญเสียระหว่างขนส่งจากซาอุฯ
ตราบาปและมรดกสีดำที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนนี้ ยังคงฝังลึกและดำรงอยู่อย่างมั่นคงอยู่จนถึงวันนี้
แนวทางแก้ปัญหาก๊าซหุงต้มมีดังนี้
1. ยกเลิกการอ้างอิงราคาสมมติว่า โรงแยกก๊าซ และโรงกลั่นไทยตั้งอยู่ในประเทศซาอุดิอาระเบีย เพราะไม่เป็นความจริง เป็นการสร้างภาระให้ประชาชนเกินสมควร สร้างกำไรให้เอกชนอย่างไม่เหมาะสม ไม่เป็นธรรมต่อประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของทรัพยากร
แต่เปลี่ยนไปใช้วิธีกำหนดเพดานแทน โดยใช้ตัวเลขที่ภาคเอกชนมีกำไรพอเหมาะคุ้มกับการลงทุน
2. ยกเลิกมติ กพช ที่ 3/2551 ที่ให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทปิโตรเคมีเพียงบางกลุ่มในการซื้อก๊าซหุงต้มจากอ่าวไทยตัดหน้าประชาชน อันเป็นการคืนสิทธิ ที่ประชาชนมีอยู่แต่เดิมในทรัพยากรให้แก่ประชาชน ก๊าซหุงต้มส่วนที่เหลือขายให้แก่บริษัทปิโตรเคมี และภาคธุรกิจในราคาตลาดโลก
เป็นการสร้างความเป็นธรรมต่อประชาชน และต่อธุรกิจด้วยกันเองอย่างเท่าเทียม เพราะที่ผ่านมามีเพียงปิโตรเคมีกลุ่มเดียวที่ได้รับประโยชน์
3. จัดตั้งองค์กรจัดการทรัพยากรพลังงาน

ให้เป็นผู้มีสิทธิรับซื้อก๊าซที่ผลิตจากอ่าวไทย สิทธิรับซื้อก๊าซที่ผลิตในประเทศเป็นเอกสิทธิของประชาชน จึงต้องให้องค์กรฯ เป็นผู้ทำหน้าที่แทนปวงชนชาวไทย ซึ่งจะมีผลให้ค่าไฟ และค่าก๊าซลดลงได้อย่างถาวร จะช่วยลดต้นทุนการผลิตและการดำรงชีวิตของประชาชน
เพียง 3 มาตรการนี้ จะสามารถปรับโครงสร้างราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มอย่างยั่งยืน เพราะมีผลต่อเนื่องไปในระยะยาว โดยไม่ต้องใช้งบประมาณของรัฐบาล ไม่ต้องเพิ่มหนี้สาธารณะ และไม่ต้องเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันเพื่อไปชดเชยแก่ผู้ใช้ก๊าซหุงต้มอีกต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 พฤษภาคม 2566

พปชร. เตือนสัญญาณเกิดพายุเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบ เสนอรัฐบาลหน้าเตรียมแผนรับมือเร่งด่วน เพื่อสกัดผลกระทบต่อการฟื้นและขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ชี้ต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน พร้อมแก้ไขความเปราะบางภายในประเทศ เสนอทำทันที 3 ภารกิจ 7 ขับเคลื่อน

,

พปชร. เตือนสัญญาณเกิดพายุเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบ เสนอรัฐบาลหน้าเตรียมแผนรับมือเร่งด่วน เพื่อสกัดผลกระทบต่อการฟื้นและขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ชี้ต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน พร้อมแก้ไขความเปราะบางภายในประเทศ เสนอทำทันที 3 ภารกิจ 7 ขับเคลื่อน

วันนี้ (2 พ.ค. 2566) ที่พรรคพลังประชารัฐ นายอุตตม สาวนายน ประธานคณะกรรมการจัดทำนโยบายพรรค พร้อมด้วย นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษาคณะกรรมการจัดทำนโยบายพรรค แถลงข่าวหัวข้อ “รับมือความเสี่ยงพายุเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบ ความท้าทายเร่งด่วนของรัฐบาลหน้า”

จากกรณีสถาบันทางเศรษฐกิจทุกแห่งทั่วโลกต่างคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้ยังชะลอตัว และมีโอกาสที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยจากปัจจัยความเสี่ยงและความท้าทายรอบด้านที่เกิดขึ้นต่อเนื่องและอาจจะรุนแรงมากขึ้น จนกลายเป็นพายุเศรษฐกิจขั้นสมบุรณ์แบบ หรือ Perfect Economic Storm ดังนั้นทีมเศรษฐกิจของพรรคพลังประชารัฐ จึงส่งสัญญาณเตือนให้รัฐบาลหน้า ก้าวข้ามความขัดแย้ง ผลึกกำลัง ร่วมแรงร่วมใจกันฝ่าพายุเศรษฐกิจที่กำลังก่อตัวขึ้น โดยเสนอ 3 ภารกิจ 7 ขับเคลื่อน ที่รัฐบาลหน้าต้องเร่งทำทันที เพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้พลิกฟื้น กระตุ้นเศรษฐกิจให้โตเต็มศักยภาพ พร้อมกับการพลิกโฉมประเทศไทยให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก

นายธีระชัย ได้ฉายภาพที่แสดงให้เห็นปัญหาของเศรษฐกิจโลกว่า จากเดิมเศรษฐกิจโลกขับเคลื่อนด้วยปัจจัย “3 ราคาต่ำ” คือ 1.”ดอกเบี้ยต่ำ” 2.”ราคาสินค้าจากจีนต่ำ” และ 3.”ราคาพลังงานต่ำ” แต่ปัจจุบันปัจจัยเหล่านี้ได้เปลี่ยนไปเป็น “ 3 ราคาแพง” แล้ว และเป็นความเสี่ยงสูงที่จะนำไปสู่พายุเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบในประเทศตะวันตก และส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในที่สุด

“หลายประเทศใช้นโยบายการคลังควบคู่กับนโยบายการเงินอย่างเต็มที่ในช่วงวิกฤติโควิด ที่เรียกว่าเป็นปืนบาซูก้าลำกล้องแฝดนั้น ได้นำไปสู่เงินเฟ้อสูง ทำให้ธนาคารชาติสหรัฐและยุโรปต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้เงินเฟ้อ แต่การขึ้นดอกเบี้ยที่แรงและเร็วอย่างไม่เคยมีมาก่อนดังกล่าว ทำให้ปัญหาที่ซ่อนอยู่ในระบบธนาคารสหรัฐและยุโรปเริ่มปรากฏขึ้น และมีแนวโน้มจะลุกลามต่อไป ดังนั้น ทุกหน่วยงานในประเทศไทยจึงควรคำนึงและเตรียมพร้อมรับมือพายุนี้” นายธีระชัย กล่าว

นอกจากนี้ นายธีระชัยยังเสนอแนะให้มีการเตรียมพร้อม โดยรัฐมนตรีคลังควรมีการประชุมหารือกับธนาคารชาติ สภาอุตสาหกรรมฯ และหอการค้าต่างๆ สม่ำเสมอทุกไตรมาส เพื่อติดตามสถานการณ์ของโลกและเงินทุนไหลเข้าออก นอกจากนี้ จะต้องมีแนวทางแก้ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนและหนี้ของธุรกิจขนาดกลางขนาดเล็ก ซึ่งทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ จะมานำเสนอแถลงข่าวต่อไป

ด้านนายอุตตม กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐได้จัดทำแผนนำประเทศไทยผ่านพ้นพายุเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบ ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 ภารกิจ 7 ขับเคลื่อน โดย 3 ภารกิจหลัก ประกอบด้วย
1.กระตุ้นเศรษฐกิจให้พลิกฟื้นจริงทันที
2.เร่งการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีพลัง เต็มศักยภาพ
3.เร่งรัดสร้างรากฐานการพัฒนา พลิกโฉมประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั่วถึง มีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง

ส่วน 7 ขับเคลื่อน ประกอบด้วย
1.สร้างสวัสดิการประชาชน พัฒนาคนไทยก้าวทันโลก โดยการขยายต่อยอดโครงการประชารัฐ ผ่านโครงการเติมทักษะที่ขับเคลื่อนโดยเครือข่ายศูนย์ประชารัฐพัฒนา ควบคู่การเติมทุน 30,000 บาท ต่อ 1 ผู้ถือบัตรประชารัฐ รวมถึงปรับเพิ่มสวัสดิการดูแลคนไทยทุกช่วงวัย โดยมุ่งลดความเหลื่อมล้ำ ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ไปพร้อมกับการพัฒนาทักษะเพื่อสร้างโอกาส สร้างรายได้ ให้กับประชาชนคนไทย

2.เร่งรัดแก้ไขปัญหาค่าครองชีพ และต้นทุนผุ้ประกอบการที่พุ่งสูงขั้น โดยปฏิรูปโครงสร้างพลังงานของประเทศทันที คืนความยุติธรรมด้านราคาให้ประชาชน ผลักดันไฟฟ้าภาคประชาชน การปลดภาระหนี้สินครบวงจรแบบเบ็ดเสร็จ ปรับโครงสร้างหนี้พร้อมเติมทุนใหม่ โดยสถาบันการเงินรัฐเป็นผู้นำการจัดหาทุนใหม่ให้ผู้ประกอบการ SME เช่น สินเชื่อผ่อนปรน/ดอกเบี้ยตํ่า โดยมีบสย.คํ้าประกันพิเศษ รวมถึงการใช้กลไกกองทุนประชารัฐร่วมทุนกับสตาร์ทอัพ

3.สร้างเศรษฐกิจฐานราก ชุมชนเข้มแข็ง ยกระดับเกษตรมั่งคั่ง เชื่อมโยงการท่องเที่ยวและการผลิตชุมชน โดยจัดทุนให้เกษตรกรครัวเรือนละ 30,000 บาท เพื่อช่วยค่าใช้จ่าย เป็นทุนการผลิต และจัดหาเทคโนโลยีการเกษตร ด้านการท่องเที่ยว มีมาตราการจัดหาสินเชื่อผ่อนปรนให้ผู้ประกอบการเพื่อใช้ซ่อมสร้างสถานที่ประกอบการครบวงจร รวมถึงการเติมเงินให้กองทุนหมู่บ้าน 200,000 บาท เพื่อใช้ลงทุนโครงสร้างพัฒนาในพื้นที่ สร้างงาน เสริมรายได้ ให้คนในชุมชน

4.ผลักดันการลงทุนพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ และโครงสร้างพื้นฐาน ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ (Mega Projects) อาทิ การฟื้น EEC ให้เดินหน้าเต็มศักยภาพ พร้อมพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ทุกภูมิภาค เช่น โครงการอีสานประชารัฐ กระจายความเจริญ และความมั่งคั่งสู่พี่น้องชาวอีสาน การสร้างเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ 6 โครงการ ใน 5 จังหวัดชายแดนใต้ การเร่งสร้าง “รถไฟไทย-จีน” ให้เสร็จสมบูรณ์ การเติมเต็มโครงข่ายดิจิทัล 5G เข้าถึงทุกหมู่บ้าน ขยายต่อยอดพร้อมเพย์ แอปเป๋าตัง เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

5.เร่งลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (National Champions) ยึดโยงโจทย์ระดับโลกกับจุดแข็งของประเทศ อาทิ อุตสาหกรรม BCG อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ต้องสร้างระบบนิเวศน์เกื้อหนุนการลงทุนในเทคโนโลยี นวัตกรรม และพัฒนาทักษะคนไทย เช่น จัดตั้งโครงการแซนด์บ็อกซ์ระดับชาติ (NATIONAL SANDBOX COMMITTEE) การสนับสนุน BOI ออกมาตรการใหม่ให้ดึงดูดเทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่แค่เงินลงทุน

6.เร่งขยายฐานรายได้ของประเทศ ปรับเปลี่ยนระบบงบประมาณ อาทิ การปรับโครงสร้างและขยายฐานภาษีเดิม การพิจารณาภาษีใหม่ เช่นภาษีคาร์บอน/มลพิษ ปรับวิธีจัดเก็บภาษีธุรกรรมออนไลน์จากต่างประเทศให้มีประสิทธิผล เน้นการใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (BIG DATA ANALYTIC) รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี BLOCKCHAIN และ AI

7. เร่งสร้างระบบเตือนภัย ป้องกันและจัดการพายุเศรษฐกิจจากภายนอก โดยจัดตั้งกลไกความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเป็นทางการสม่ำเสมอ ระหว่างหน่วยงานหลักทางเศรษฐกิจทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน สมาพันธ์ SME ไทย เป็นต้น โดยกลไกที่ตั้งขึ้นดังกล่าวจะทำให้สามารถติดตามสถานการณ์ และดำเนินการแก้ปัญหาในทันทีที่เกิดความไม่ปกติทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพและทันท่วงที

นายอุตตม กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้ปัจจุบันจะมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เช่น จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่ม แต่เราไม่ควรวางใจและฝากความหวังไว้กับการท่องเที่ยวและการส่งออกซึ่งก็มีสัญญาณชะลอตัวแล้วเท่านั้น โดยเฉพาะในภาวะที่ปัจจัยเสี่ยงภายนอกมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น รัฐบาลหน้าจะต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ไม่มีเวลามาลองผิดลองถูก ต้องเตรียมพร้อมแผนรับมือความท้าทายต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจกับประชาชนได้ว่า สามารถจัดการดูแลหากผลกระทบจากภายนอกรุนแรงขึ้น รวมทั้งผลักดันให้เศรษฐกิจไทยไม่ถดถอย แต่จะพลิกฟื้นรวดเร็วและขยายตัวได้ต่อเนื่อง สามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส เพื่ออนาคตที่ดีของคนไทยทุกๆคน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 พฤษภาคม 2566