โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: ข่าวประชาสัมพันธ์

“พล.อ.ประวิตร” คลอดแผนแม่บทอุตฯเหมืองแร่ เตรียมใช้ปี66-70 สร้างเม็ดเงินลงทุนในประเทศ

,

“พล.อ.ประวิตร” คลอดแผนแม่บทอุตฯเหมืองแร่
เตรียมใช้ปี66-70 สร้างเม็ดเงินลงทุนในประเทศ

วันที่ 14 ก.ย.65 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ ครั้งที่2/2565 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้แผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ.2560-2564 มีผลใช้ได้จนถึง 31ธ.ค.65 และรับทราบ มติ คณะรัฐมนตรี เมื่อ 2 ส.ค.2565 เห็นชอบหลักการต่อนโยบายด้านอุตสาหกรรมเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และก.อุตสาหกรรมประสานความร่วมมือกับ ก.ทรัพย์ฯ และก.การอุดมศึกษาฯ ในการกำหนดมาตรการที่เหมาะสม

ทั้งนี้ พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกรองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่าที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณา เห็นชอบ(ร่าง)แผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ ฉบับที่2 (พ.ศ. 2566-2570) โดยให้เน้นการมีส่วนร่วม และสร้างการรับรู้ให้สาธารณะชนทราบอย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ และมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์ทรัพยากรแร่ อย่างคุ้มค่า และยั่งยืน โดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ,การพัฒนาที่ยั่งยืน(SDGs) ,BCG Model และหลักธรรมาภิบาล

พล.อ.ประวิตร ยังได้กำชับ ก.อุตสาหกรรม(กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่) และกรมทรัพยากรธรณี เร่งรัดการปรับปรุงแก้ไข (ร่าง)แผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ ฉบับที่2 ให้เสร็จโดยเร็ว พร้อมเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน สร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ทุกภาคส่วน อย่างจริงจัง และให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต่อประเทศชาติ และประชาชนเป็นสำคัญ


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 14 กันยายน 2565

รมช. อธิรัฐ’ ไม่หยุดนิ่ง!! เช็คความพร้อมลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้บริการ ปชช พื้นที่โคราช

, ,

รมช. อธิรัฐ’ ไม่หยุดนิ่ง!! เช็คความพร้อมลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้บริการ ปชช พื้นที่โคราช

นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ อ.ประทาย จ.นครราชสีมา ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ ในการเปิดให้บริกาลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ ณ หอประชุม อ.ประทาย จ.นครราชสีมาโดยได้พบปะ กับประชาชนที่เข้ามาลงทะเบียน เพื่อสอบถาม ความต้องการ และปัญหาต่างๆอน่างต่อเนื่อง

พร้อมติดตามผู้ที่ได้รับผลกระทบจากพายุฝนตก โดนเฉพาะพื้นที่การเกษตรที่ได้รับความเสียหาย พร้อมมอบถุงยังชีพ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น และเป็นขวัญกำลังใจให้กับพี่น้องประชาชน ในจุดต่างๆ วัดดอนอีลุ่ม ต.ตลาดไทร วัดบ้านประทาย ต.ตลาดไทร วัดวัดบ้านหนองกอก ต.ตลาดไทร วัดบ้านตลาดไทร ต.ตลาดไทร


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 กันยายน 2565

ส.ส.พปชร. กาญจนบุรี จัดสัมมนาแนะแนวทางปชช. ประกอบอาชีพหลังการแพร่ระบาดเชื้อโควิด

,

ส.ส.พปชร. กาญจนบุรี จัดสัมมนาแนะแนวทางปชช. ประกอบอาชีพหลังการแพร่ระบาดเชื้อโควิด

พรรคพลังประชารัฐ โดย “ส.ส.ธรรมวิชญ์ โพธิพิพิธ พปชร. จ.กาญจนบุรี เขต 4” ในฐานะคณะกรรมมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร จัดกิจกรรมสัมมนาในหัวข้อ “การพัฒนาส่งเสริมการประกอบอาชีพ ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” ซึ่งการอบรมในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากชาวบ้านเป็นจำนวนมาก ณ วัดวิเศษสุขาราม ตำบลหนองกุ่ม อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อช่วยเหลือและแนะนำอาชีพให้กับพี่น้องประชาชน โดยมุ่งเน้นให้ความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพ หลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของพรรคพลังประชารัฐ ที่ให้ความสำคัญในเรื่องของการแก้ปัญหาปากท้องของคนไทยให้กินดีอยู่ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

พรรคพลังประชารัฐ เดินหน้าในการเข้าถึงดูแลประชาชนเป็นไปตามนโยบาย ที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้กินดีอยู่ดี พร้อมการเข้าไปรับฟังปัญหา ความเดือดร้อนนำมาสู่การแก้ไขต่อไป โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและยั่งยืน


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 กันยายน 2565

“พล.อ.ประวิตร” ประธาน กพช.เคาะต่อแผนชดเชยราคาน้ำมันชีวภาพ 2 ปี หนุนส่งเสริมผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์บนหลังคาลดภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือน

,

“พล.อ.ประวิตร” ประธาน กพช.เคาะต่อแผนชดเชยราคาน้ำมันชีวภาพ 2 ปี
หนุนส่งเสริมผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์บนหลังคาลดภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือน

“พล.อ.ประวิตร” ประธาน กพช.เคาะต่อแผนชดเชยราคาน้ำมันชีวภาพ 2 ปี
หนุนส่งเสริมผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์บนหลังคาลดภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) โดยที่ประชุม ได้พิจารณาเห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพออกไป 2 ปี จากเดิมครบกำหนดวันที่ 24 กันยายน 2565 เป็นวันที่ 24 กันยายน 2567 เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมเชื้อเพลิงเป็นน้ำมันพื้นฐานในอนาคต และส่งเสริมเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการดำเนินการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ที่ผ่านมา สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้จัดทำแผนการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ พ.ศ. 2563 – 2565 อย่างไรก็ตาม สกนช. ไม่สามารถลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงได้ตามแผนที่กำหนดไว้ จนทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขาดสภาพคล่อง ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 17 กรกฎาคม 2565 ติดลบ 112,935 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันติดลบ 74,162 ล้านบาท และบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 38,773 ล้านบาท จึงจำเป็นต้องขยายเวลาการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพไปอีก 2 ปี

นอกจากนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบแผนการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 – 2567 ตามที่ สกนช. ได้นำเสนอ เพื่อให้การดำเนินงานในการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพดังกล่าว สอดคล้องกับมาตรา 55 ภายใต้พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 และเพื่อให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถดำเนินการตามพันธกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุตามเป้าประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้ สกนช. นำเรื่องการขอขยายระยะเวลาดำเนินการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ และแผนการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 – 2567 เสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

ทั้งนี้ มาตรการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 – 2567 ประกอบด้วย 1) กลุ่มน้ำมันเบนซิน ให้ทยอยลดการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และแก๊สโซฮอล E85 จนไม่มีการชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงภายใน 2 ปี และหากมีความจำเป็นต้องขยายกรอบระยะเวลาการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าว จะดำเนินการภายใต้กรอบที่กำหนดไว้ตามมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 โดยรักษาส่วนต่างราคาขายปลีกที่จูงใจให้ใช้น้ำมันเบนซินพื้นฐานตามที่ภาครัฐกำหนด โดยกำหนดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหมาะสมทำให้ราคาขายปลีกต่อค่าความร้อนจูงใจให้ใช้น้ำมันพื้นฐานแทนน้ำมันทางเลือก 2) ให้กลุ่มน้ำมันดีเซล ให้ทยอยลดการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (B10) และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20จนไม่มีการชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงภายใน 2 ปี และหากมีความจำเป็นต้องขยายกรอบระยะเวลาการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าว จะดำเนินการภายใต้กรอบที่กำหนดไว้ตามมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 โดยรักษาส่วนต่างราคาขายปลีกที่จูงใจให้ใช้น้ำมันดีเซลพื้นฐานตามที่ภาครัฐกำหนด โดยกำหนดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหมาะสม ทำให้ราคาขายปลีกจูงใจให้ใช้น้ำมันพื้นฐานแทนน้ำมันทางเลือก

อย่างไรก็ตามก่อนที่จะเริ่มดำเนินการตามแผนการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 – 2567 ในส่วนของน้ำมันเบนซินจะเริ่มดำเนินการเมื่อทราบ น้ำมันพื้นฐานว่าเป็นชนิดใด ส่วนน้ำมันดีเซลจะเริ่มดำเนินการเมื่อมีการผสมสัดส่วน B100 ที่ต่างกันเพื่อให้ทราบน้ำมันพื้นฐานเป็นชนิดใดเช่นเดียวกัน

พลเอกประวิตร กล่าวว่า จากสถานการณ์ราคาพลังงานโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าของประชาชน จึงขอให้กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งบูรณาการ การทำงาน ในการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้า จากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ให้เร็วขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งในการบรรเทาภาระ ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน พร้อมย้ำให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนร่วมมือช่วยกันประหยัดพลังงานเพื่ออนาคต


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 กันยายน 2565

‘รมว. ตรีนุช’ ห่วงใยความปลอดภัยนักเรียนช่วงฤดูฝน สั่งสถานศึกษาประเมินน้ำท่วมประกาศหยุดเรียน-สอนชดเชย

,

‘รมว. ตรีนุช’ ห่วงใยความปลอดภัยนักเรียนช่วงฤดูฝน
สั่งสถานศึกษาประเมินน้ำท่วมประกาศหยุดเรียน-สอนชดเชย

นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ที่ผ่านมาตนได้สั่งการให้ต้นสังกัดของสถานศึกษา แจ้งไปยังสถานศึกษาในสังกัดให้เฝ้าระวัง และเตรียมความพร้อมรับมือน้ำท่วมก่อนที่น้ำจะมาถึง ซึ่งในแต่ละพื้นที่จะทราบอยู่แล้วว่ามีโรงเรียนไหนบ้างเสี่ยงถูกน้ำท่วม โดยล่าสุด ตน ได้รับรายงานว่าขณะนี้มีสถานศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม จำนวน 236 แห่ง ใน 88 เขตพื้นที่การศึกษา โดยในจำนวนนี้มี 2 โรงเรียน ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ยังไม่สามารถให้นักเรียนเข้าไปเรียนได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ตนได้กำชับให้ผู้บริหารต้นสังกัดของสถานศึกษาต่างๆ ลงไปช่วยเหลือดูแล และเร่งจัดสรรงบประมาณในการซ่อมแซม และให้มีการประเมินสถานการณ์ตลอดเวลาหากพบว่าจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อนักเรียนในการเดินทางมาเรียน หรือในการจัดการเรียนการสอน โดยดูเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับหนึ่ง และหากมีความจำเป็นต้องหยุดการเรียนการสอน ก็ให้สถานศึกษาตัดสินใจหยุดเรียนและจัดการเรียนการสอนรูปแบบอื่น หรือมีจัดเวลาเรียนชดเชย เพื่อไม่ให้เด็กเกิดภาวะการเรียนรู้ถดถอย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 กันยายน 2565

“พล.อ.ประวิตร” ชวนสร้างไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอด ชีวิต “ตรีนุช”เชิดชูเกียรติ “พระยาศรีสุนทรโวหาร”เป็นผู้ส่งเสริมการรู้หนังสือ

, ,

“พล.อ.ประวิตร”ชวนสร้างไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอด ชีวิต
“ตรีนุช”เชิดชูเกียรติ “พระยาศรีสุนทรโวหาร”เป็นผู้ส่งเสริมการรู้หนังสือ

วันนี้ ( 8 ก.ย. 2565) ที่ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพ็คฟอรั่ม เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานเฉลิมฉลองงาน “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ”ประจำปี 2565 หัวข้อ “การพลิกโฉมพื้นที่การเรียนรู้เพื่อการรู้หนังสือ” พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ กศน.ตำบล ให้แก่ผู้ได้รับการคัดเลือก จำนวน 169 รางวัล โดยมีนายชิเงรุ อาโอยากิ ผู้อำนวยการสำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เข้าร่วม

ทั้งนี้ได้อ่านสารของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือว่า “การรู้หนังสือเป็นพื้นฐานสำคัญในการศึกษาและแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาชีวิตและยกระดับความเป็นอยู่ของตนเองให้ดีขึ้น รวมทั้งช่วยขับเคลื่อนพัฒนาประเทศในมิติต่าง ๆ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ โดยมีเป้าหมายให้คนทุกช่วงวัยเป็นคนดี คนเก่ง มีคุณภาพ พร้อมสำหรับวิถีชีวิตในศตวรรษที่ 21 และมุ่งเน้นให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้แก่คนทุกช่วงวัย รวมทั้งผู้ที่ไม่รู้หนังสือ กลุ่มผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบางและชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้เป็นพลเมืองของชาติที่เข้มแข็งและเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศ แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะส่งผลทำให้รูปแบบการเรียนการสอนเปลี่ยนแปลงไป แต่ได้มีการนำนวัตกรรมด้านการจัดการเรียนการสอนมาใช้ในระบบการศึกษามากยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน ดังนั้น จึงเป็นการสร้างโอกาสในการขยายพื้นที่การเรียนรู้ให้เปิดกว้างและครอบคลุมทุกพื้นที่ให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม เพื่อขจัดความไม่รู้หนังสือและสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตต่อไป

นางสาวตรีนุช กล่าวเปิดงานว่า รัฐบาล ได้มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21 โดยหนึ่งในนโยบายหลักที่ใช้ขับเคลื่อน เพื่อการบรรลุเป้าหมาย คือ การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ และการพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย ซึ่งมีจุดเน้นสำคัญในการปฏิบัติ คือ การทำให้คนไทยทุกคนรู้หนังสือที่สอดคล้องกับยุคสมัยทั้งของสังคมไทยและสังคมโลก และ สามารถเข้าถึงโอกาสการเรียนรู้ที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตอย่างทั่วถึง ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDG) ที่องค์การสหประชาชาติกำหนดไว้ ซึ่งการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวได้ส่งผลให้ประเทศไทยมีอัตราการรู้หนังสือของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปอยู่ในเกณฑ์สูง คือกว่าร้อยละ 92 เป็นผู้ที่สามารถอ่านออก เขียนได้ความหมายของการรู้หนังสือ คือ เข้าใจภาษาในระดับที่เหมาะกับการติดต่อสื่อสาร ทำให้สามารถปฏิบัติงานตามหน้าที่ และความรับผิดชอบได้อย่างสมบูรณ์ตามระดับของสังคม

“ในโอกาสเดียวกันนี้ ดิฉันในฐานะประธานคณะกรรมการแห่งชาติ ว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ขอยกย่อง และเชิดชูเกียรติ “พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ในโอกาสที่องค์การยูเนสโกมีมติรับรองการร่วมเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญและเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของโลก ในวาระครอบรอบ 200 ปีชาตกาล ในปี 2565 ด้านการศึกษาและวัฒนธรรม พระยาศรีสุนทรโวหาร เป็นผู้ส่งเสริมการรู้หนังสือ โดยเป็นผู้นิพนธ์หนังสือแบบเรียนภาษาไทย ชุดแบบเรียนหลวง 6 เล่ม ซี่งเป็นแบบเรียนหลวงชุดแรกที่ใช้เป็นแบบหัดอ่านเบื้องต้นของนักเรียน และยังนิพนธ์หนังสือเสริมอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงประพันธ์คำนมัสการคุณานุคุณ และบทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ ผลงานของท่านมีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อการพัฒนาการศึกษา และการรู้หนังสือของไทย สอดคล้องกับแนวคิดขององค์การยูเนสโกในด้านการส่งเสริมการเข้าถึงการศึกษาให้แก่ทุกคน และการส่งเสริมการแสดงออกทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย การรู้หนังสือเป็นเครื่องมือในการเปิดโลกกว้างให้กับทุกๆ คน ซึ่งการมีความรู้ความเข้าใจผ่านการรู้หนังสือ จะเป็นเสริมสร้างความแข็งแกร่งทั้งพลังกาย พลังใจ และพลังสมอง ต่อการดำเนินชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมั่นคง และมีคุณค่า มีความสุข”นางสาวตรีนุช กล่าว.

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 กันยายน 2565

“พล.อ.ประวิตร” ยกระดับใช้กฎหมายปราบค้ามนุษย์เข้ม หลังสภาสหรัฐฯการันตีขึ้น Tier2 ผนึกองค์กรต่างประเทศร่วมดูแล

,

“พล.อ.ประวิตร” ยกระดับใช้กฎหมายปราบค้ามนุษย์เข้ม
หลังสภาสหรัฐฯการันตีขึ้น Tier2 ผนึกองค์กรต่างประเทศร่วมดูแล

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) และคณะกรรมการประสาน และกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปกค.) ครั้งที่ 2/2565 ที่ประชุมคณะกรรมการ ปคม. ได้รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ประจำปี65 โดย ก.ต่างประเทศ สหรัฐฯ ได้จัดอันดับประเทศในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ จำนวน 188 ประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้ดำเนินการสอดคล้องตามมาตรฐานที่สหรัฐฯกำหนด และได้รับการยกระดับจาก Tier 2 (WL) ในปี 64 ขึ้นเป็น Tier 2 ในปี 65 พร้อมได้รับรางวัล “TIP REPORT HERO” 1 คน ได้แก่ นางอภิญญา ทาจิตต์ รอง ผอ. ศูนย์อภิบาลผู้เดินทางทะเล ซึ่งถือเป็นความสำเร็จตามเป้าหมาย และนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งยังคงมีความพยายาม ที่จะพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานต่อไป

ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเห็นชอบ ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการอาเซียน-ออสเตรเลีย เพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ (ASEAN – ACT) ซึ่ง ก.ยุติธรรมได้รายงานความคืบหน้าการจัดทำ ร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือระหว่าง ไทย – ออสเตรเลีย ในการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ และความร่วมมือระหว่าง ไทย – ฟิลิปปินส์ ว่าด้วยการสืบสวน สอบสวนอาชญากรรมข้ามชาติ คดีค้ามนุษย์ โดยมีหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบได้แก่ ก.ยุติธรรม พร้อมทั้งให้ สำนักงานตำวจแห่งชาติ (สตช.) ,กระทรวงพัฒนาพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษยจ์ (พม.) กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กระทรวงแรงงาน(รง.) และสำนักงานอัยการสูงสุด ให้การสนับสนุนข้อมูล และความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ และเห็นชอบ แนวทางการขับเคลื่อนตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) ซึ่งจะเน้นการให้ความช่วยเหลือผู้เสียหาย เป็นสำคัญ และสอดคล้องกับกรอบการประเมิน เพื่อจัดอันดับ ในปีต่อไป

ทั้งนี้ คณะกรรมการ ปกค. ได้เห็นชอบ ในหลักการแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ พ.ศ.2566-2570 ซึ่งประกอบด้วย 4ประเด็นยุทธศาสตร์และ 9กลยุทธ์ รวมทั้งได้เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญระดับชาติ และคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญระดับภาค หรือระดับหน่วยงาน พ.ศ.2565 และการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ให้มีความต่อเนื่อง และบรรลุเป้าหมายเพื่อการยกระดับ TIP REPORT ของไทย ต่อไป

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ขอให้ทุกหน่วยงาน ที่ช่วยกันทำงาน อย่างทุ่มเท เสียสละ ทำให้ประเทศไทย ได้รับการจัดอันดับขึ้นเป็น Tier2 ในปีนี้ พร้อมกำชับ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้บูรณาการความร่วมมือกัน อย่างต่อเนื่อง และให้เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องบังคับใช้กม.อย่างจริงจัง พร้อมยืนยันความตั้งใจ ที่จะต้องกำจัด”การค้ามนุษย์” ให้หมดไปจากประเทศไทย โดยเร็วที่สุด เพื่อรักษาภาพลักษณ์ และส่งสริม เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน เพื่อการพัฒนาประเทศ ต่อไป


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 กันยายน 2565

“รมช.คลัง” มั่นใจลงทะเบียนบัตรประชารัฐทั่วถึง พบวันเดียวปชช.ใช้สิทธิ์กว่า 2 ล้านราย

, ,

“รมช.คลัง” มั่นใจลงทะเบียนบัตรประชารัฐทั่วถึง พบวันเดียวปชช.ใช้สิทธิ์กว่า 2 ล้านราย

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หลังเปิดให้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐวันแรก ( 5 ก.ย. 65) ไปแล้ว และในวันนี้เป็นวันที่ 2 ของการเปิดลงทะเบียน มีประชาชนมาลงทะเบียนวันนี้วันเดียวเกือบ 2 ล้านคน และเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่แออัด เพราะกระทรวงการคลังได้วางระบบเป็นอย่างดี โดยคำนึงถึงภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนเพื่อให้เสียค่าเดินทางน้อยที่สุด โดยมีการตั้งจุดลงทะเบียนกระจายตามสถานต่างๆ อย่างทั่วถึง ทั้งที่อำเภอ คลังจังหวัด เทศบาล และที่ธนาคารของรัฐ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่และหน่วยรับลงทะเบียนจำนวนมาก สามารถอำนวยความสะดวกจนเป็นที่พอใจของประชาชน

ขณะนี้ยังไม่พบปัญหาเรื่องร้องเรียนใดๆ เพราะกระทรวงการคลังมีการประชุมและรับฟังปัญหาที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด และได้แก้ไขมาโดยตลอด โดยเฉพาะในเรื่องของการคัดกรองเรื่องคุณสมบัติของผู้สมัคร ซึ่งกระทรวงการคลังจะเร่งดูมาตรการต่างๆ เพื่อให้เกิดความสะดวกและแม่นยำมากขึ้น เพื่อให้พี่น้องประชาชนในระดับฐานรากได้รับการดูแลจากรัฐบาลอย่างทั่วถึง

“แม้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่ได้เป็นสิ่งที่จะทำให้พี่น้องประชาชนเกิดฐานะดีขึ้น แต่เป็นการช่วยพี่น้องประชาชนในช่วงวิกฤต ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถดำรงชีพได้ในระดับหนึ่ง และเกิดความเสมอภาค” นายสันติ กล่าว

ส่วนการตรวจสอบคุณสมบัตินั้น จะเริ่มตั้งแต่ ณ วันที่มีการกรอกเอกสาร หรือได้ลงทะเบียนทางออนไลน์ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งและจัดเก็บที่ศูนย์ข้อมูลของบัตรคนจน และมีระบบเอไอช่วยคัดกรองในแต่ละขั้นตอน อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังได้เตรียมความพร้อม หากพบว่าคุณสมบัติผู้สมัครไม่ผ่าน จะมีคณะกรรมการคอยรับเรื่องอุทธรณ์ต่างๆ เพื่อทำการตรวจสอบอีกครั้งอย่างเร็วที่สุด ซึ่งผู้อุทธรณ์สามารถอุทธรณ์ผ่านช่องทางออนไลน์หรือทางเว็บไซต์ หากสะดวกหรือใกล้ที่ไหนก็สามารถไปแจ้งที่จุดลงทะเบียนได้ ซึ่งจะได้รับการอำนวยความสะดวกเต็มที่

นายสันติ กล่าวว่า กระทรวงการคลังไม่ได้กำหนดจำนวนสิทธิ์ที่จะได้รับ ถ้ามีคุณสมบัตรผ่านก็จะได้รับสิทธิ์ทุกคน และเชื่อว่าจะมีผู้ที่ตกหล่นจากครั้งก่อนมาลงทะเบียนในรอบใหม่นี้ และจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน อย่างไรก็ดี หลังจากการเปิดประเทศไปแล้ว จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทย ทำให้นักธุรกิจและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่างๆ สามารถประกอบกิจการได้ จะเป็นส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐภายในประเทศ เชื่อว่าในปีถัดไปจำนวนผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐลดลงอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ รัฐบาลได้เตรียมงบประมาณจำนวนหนึ่ง รวมถึงกระทรวงการคลังได้เตรียมเงินในจุดต่างๆ หากขาดเหลืออะไรสามารถของบประมาณฉุกเฉินได้ เพราะมีเงินในกองทุนเกือบ 5 หมื่นล้านบาท เมื่อสิ้นงบประมาณ หากงบกลาง งบเหลือจ่าย และงบอื่นๆ ใช้ไม่หมด จะนำเงินเหล่านั้นมาอยู่ในกองทุนช่วยเหลือคนจน ฉะนั้นให้เชื่อว่าเรามีเงินเพียงพอแน่นอน ซึ่งจากการคาดการณ์และการรายงานของหน่วยจัดเก็บของกระทรวงการคลัง มีการเก็บเกินเป้าทุกหน่วยจัดเก็บ จึงสบายใจได้ว่าเรามีเงินที่เพียงพอในการดูแลพี่น้องประชาชนอย่างแน่นอน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 กันยายน 2565

“พล.อ.ประวิตร” สั่งการ 7 ข้อ ป้องกันน้ำท่วม ให้ทุกหน่วยประสานงาน กทม.ตรง พร้อมช่วยเหลือทันท่วงที

,

“พล.อ.ประวิตร” สั่งการ 7 ข้อ ป้องกันน้ำท่วม ให้ทุกหน่วยประสานงาน กทม.ตรง พร้อมช่วยเหลือทันท่วงที

วันที่ 7 กันยายน 2565 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการประชุมกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบฝนตกหนัก ได้กำชับให้บูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ทำงานเชิงรุกตาม 13 มาตรการรับมือฤดูฝนที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้อย่างเคร่งครัด พร้อมกันนี้ พล.อ.ประวิตร ยังมีข้อสั่งการเพิ่มเติมจาก 13 มาตรการเดิม ดังนี้

1.ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้ผู้รับผิดชอบแต่ละหน่วยงานมอบหมายให้มีผู้ประสานงานติดตามกับกรุงเทพมหานครโดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถเข้าช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ทันท่วงที

2.แก้ไขปัญหาสิ่งกีดขวางทางน้ำ โดยเร่งกำจัดหญ้าและวัชพืชบริเวณ คลองบางคูเวียง เขตทวีวัฒนา พร้อมประสานงานจังหวัดนนทบุรีเพื่อเปิดทางระบายน้ำให้ไหลได้สะดวก

3. เฝ้าระวังระบบระบายน้ำของประตูระบายน้ำ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำและบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกระทบต่อพี่น้องประชาชน ที่ปลูกบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำลำคลองต่างๆ

4. รายงานปริมาณน้ำฝน รวมถึงขีดความสามรถในการรับน้ำ และระบายน้ำของทุกเขื่อน เพื่อสร้างความเข้าใจและง่ายต่อการปฏิบัติการระบายน้ำทุกหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง

5. ประเมินสถานการณ์น้ำจากทุกแหล่ง ทั้งปริมาณน้ำฝน ปริมาณน้ำในเขื่อน ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา และระดับน้ำทะเลหนุนตลอด 24 ชั่วโมง

6. ตรวจสอบความพร้อมและประสิทธิภาพแนวกระสอบทราย ป้องกันน้ำท่วมทุกจุด พร้อมปรับปรุงและเสริมแนวกั้นไม่ให้เกิดช่องว่างให้มีความแข็งแรงเพื่อรองรับสถานการณ์

7. หากมีสิ่งใดต้องดำเนินการเร่งด่วนและติดขัด ให้รายงานรองนายกรัฐมนตรีอย่างทันที

“พล.อ.ประวิตรขอให้ทุกฝ่ายเร่งบูรณาการการทำงานเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนด้วยความรวดเร็ว และไม่ซ้ำซ้อนและโปร่งใส”น.ส.ทิพานัน กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่​: 7 กันยายน 2565

 

“ชาวน่านได้รับการเยียวยา!!! ประชาชนส่งคำขอบคุณถึง“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ”

, ,

“ชาวน่านได้รับการเยียวยา!!! ประชาชนส่งคำขอบคุณถึง“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ”

ติดตามผลการแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน จ.น่าน และได้รับรายงานล่าสุดในพื้นที่การแก้ไขปัญหาเส้นทางสัญจร ซ่อมบำรุงสะพาน ที่ได้รับผลกระทบจากพายุมู่หลานเสร็จสิ้น ขณะนี้ประชาชาสามารถใช้สัญจรได้ตามปกติและปลอดภัยขึ้น หลังจากลงพื้นที่ตรวจราชการสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความช่วยเหลือและเยียวยาประชาชน ที่ได้ผลกระทบของพายุ”มู่หลาน” ในช่วงที่ผ่านมาภายหลังจากที่ พล.อ.ประวิตร ได้ลงพื้นที่ จ.น่าน เมื่อ 22 ส.ค.65 เพื่อตรวจเยี่ยมพร้อมให้กำลังใจชาวบ้านในพื้นที่ และแก้ปัญหาเร่งด่วนในการซ่อมบำรุงเส้นทางการสัญจรที่ชาวบ้านใช้เป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะมีสะพานข้ามลำน้ำที่ชำรุด และอาจเกิดอันตรายได้หากไม่รีบแก้ไข ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร จึงได้สั่งการ ปภ. กระทรวงมหาดไทย ให้เร่งแก้ปัญหาโดยด่วน และรับปากกับชาวบ้านว่าจะรีบดำเนินการโดยเร็ว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนชาวบ้าน ต่อไป

ล่าสุด พล.อ.ประวิตร ได้รับรายงานจากสำนักงานป้องกันบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จังหวัดน่าน ว่าได้ดำเนินการติดตั้งสะพานเหล็กชั่วคราว (Bailey Bridge) เรียบร้อยแล้ว โดยศูนย์ ปภ.เขต 15 จ.เชียงราย ได้นำสะพานเหล็กชั่วคราวดังกล่าว มาติดตั้งแล้วเสร็จ ตั้งแต่ 4 ก.ย.65 พร้อมใช้งาน ทำให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ สามารถใช้สัญจรไป-มาได้ตามปกติแล้ว ซึ่งเป็นไปตามสัญญาที่ให้ไว้กับชาวบ้าน


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 กันยายน 2565

‘อธิรัฐ’สั่งเจ้าท่าตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ พร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชม.

‘อธิรัฐ’สั่งเจ้าท่าตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ พร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชม.

,

นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศแจ้งเตือน ฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ ทั่วประเทศไทย และมีคลื่นลมแรงบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน ร่องมรสุมกำลังแรง พาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้นส่งผลให้ทั่วประเทศมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก

นายอธิรัฐ กล่าวว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยความห่วงใยจากนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ตนจึงได้สั่งการให้กรมเจ้าท่า โดยสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค ที่ 1-7 และ สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษา ทางน้ำ 1-8 ทั่วประเทศ เร่งตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กรมเจ้าท่า พร้อมเจ้าหน้าที่ รถ เรือ อุปกรณ์การช่วยเหลือผู้ประภัย โดยให้จัดเจ้าหน้าที่รับแจ้งเหตุประจำศูนย์และให้กำชับเจ้าหน้าที่เตรียมความพร้อมสนับสนุนให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง และออกประกาศให้ระมัดระวังการเดินเรือ ตรวจสอบความพร้อมของตัวเรือ เครื่องยนต์เรือ ตลอดจนเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ประจำเรือและอุปกรณ์ช่วยชีวิตต่าง ๆ ให้พร้อมใช้งานและให้ผู้โดยสารสวมเสื้อชูชีพตลอดเวลาขณะอยู่ในเรือ

นายอธิรัฐ กล่าวอีกว่า ตนได้กำชับให้หน่วยงานดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยทันทีในกรณีที่ได้รับการร้องขอ กรณีเกิดเหตุภัยพิบัติ ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบคมนาคมขนส่ง โดยให้ดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ในเบื้องต้นโดยเร็วที่สุด หากเกิดสถานการณ์รุนแรงเกินที่จะรับมือได้ให้เร่งประสานความร่วมมือจากจังหวัด สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที พร้อมรายงานให้ผู้บริหารระดับสูงทราบ เพื่อพิจารณาสั่งการและให้การสนับสนุนได้อย่างเป็นปัจจุบันต่อไป

‘อธิรัฐ’สั่งเจ้าท่าตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ พร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชม. ‘อธิรัฐ’สั่งเจ้าท่าตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ พร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชม. ‘อธิรัฐ’สั่งเจ้าท่าตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ พร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชม. ‘อธิรัฐ’สั่งเจ้าท่าตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ พร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชม.

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 กันยายน 2565

“รมว.สุชาติ”เปิดตลาดแรงงานไทยในฟินแลนด์ ตั้งคณะทำงานทวิภาคีผลักดันมาตรการคุ้มครองคนงาน

, ,

“รมว.สุชาติ”เปิดตลาดแรงงานไทยในฟินแลนด์
ตั้งคณะทำงานทวิภาคีผลักดันมาตรการคุ้มครองคนงาน

วันนี้ (6 กันยายน 2565) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงาน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ น.ส.ชวนาถ ทั่งสัมพันธ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ สาธารณรัฐฟินแลนด์ ในโอกาสเดินทางเยือนสาธารณรัฐฟินแลนด์เพื่อหารือข้อราชการด้านแรงงาน ณ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ ในประเด็นต่างๆ ที่สำคัญ โดยเฉพาะด้านการผลักดันให้แรงงานไทยที่เดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์ ได้มีสัญญาจ้างงานกับนายจ้าง และได้รับการคุ้มครอง สิทธิประโยชน์ และสวัสดิการตามกฎหมาย สนับสนุนด้านการประสานความร่วมมือระหว่างสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ และกระทรวงแรงงานไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการผ่านกลไกคณะทำงาน (Working Group) ร่วมกัน
ทั้งนี้เพื่อให้การผลักดันให้แรงงานไทยที่ไปทำงานในฟินแลนด์ ได้รับความคุ้มครองและสวัสดิการตามกฎหมาย ทั้งแรงงานมีทักษะและแรงงานเก็บผลไม้ป่าตามฤดูกาล และส่งเสริมให้แรงงานไทยไปทำงานในฟินแลนด์มากขึ้น ขยายตลาดแรงงานไทยในฟินแลนด์ และการมีคณะทำงานร่วมกันระหว่างสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮลซิงกิ กับกระทรวงแรงงานในการบริหารจัดการและประสานงานเรื่องแรงงานไทยในฟินแลนด์

นายสุชาติ กล่าวว่า การเดินทางมาดูงานในครั้งนี้ ยังได้พบปะภาคเอกชนทั้ง 3 ท่าน คือ คุณคาริเซ บาริกอร์ท ประธานกรรมการบริหาร คุณอิรมา อูริคังกาส ที่ปรึกษาอาวุโส การริเริ่มทางยุทธศาสตร์ และ คุณไอเซค กาฟุงเคล ผู้อำนวยการด้านการดึงดูดทรัพยากรมนุษย์ศักยภาพสูง ซึ่งเป็นผู้บริหารของเฮลซิงกิ พาร์ทเนอร์ส โดยได้หารือการนำแรงงานไทยเข้ามาทำงานในฟินแลนด์ในสาขาที่ขาดแคลน ที่สำคัญทางสถานทูตจะให้ความร่วมมือในการพาตัวแทนภาคเอกชนเหล่านี้ได้ไปศึกษาดูงานที่ประเทศไทยภายในเดือนตุลาคมนี้ด้วย เนื่องจากประเทศไทยมีความพร้อมและมีศักยภาพในการจัดส่งแรงงานที่มีทักษะฝีมือเข้ามาทำงานในฟินแลนด์อยู่แล้ว ในปี 2564 และ ปี 2565 กระทรวงแรงงานได้มีการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในฟินแลนด์จำนวน รวมทั้งสิ้น 7,902 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเกษตรกร คนเก็บผลไม้ป่า คนงานในฟาร์ม คนทำสวน รองลงมาเป็นกุ๊ก พ่อครัวอาหารไทย ซึ่งในแต่ละปีแรงงานเหล่านี้สามารถสร้างรายได้กลับเข้าสู่ประเทศปีละไม่ต่ำกว่า 700 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ฟินแลนด์ประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานเป็นจำนวนมาก เนื่องจากกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ ประกอบกับเมืองเฮลชิงกิ ได้เปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมในหลายภาคส่วนเข้ามาลงทุนเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางธุรกิจและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ทำให้มีความต้องการแรงงานที่มีทักษะในสาขาต่างๆ เป็นจำนวนมาก อาทิ สายงานด้านไอที โปรแกรมเมอร์ ผู้ดูแลผู้สูงอายุ เทคโนโลยีอัจฉริยะ เป็นต้น


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 6 กันยายน 2565