โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: กิจกรรมพรรค

พปชร.ปิดเวทียิ่งใหญ่ “เลือกลุงป้อม นำได้ ตามเป็น เย็นพอ ฟังทุกฝ่าย”ประกาศ นั่งนายกฯเป็นภารกิจสุดท้ายในชีวิต ขอคนไทยรวมพลังจับมือเดินหน้าไปด้วยกัน

,

พปชร.ปิดเวทียิ่งใหญ่ “เลือกลุงป้อม นำได้ ตามเป็น เย็นพอ ฟังทุกฝ่าย”ประกาศ นั่งนายกฯเป็นภารกิจสุดท้ายในชีวิต ขอคนไทยรวมพลังจับมือเดินหน้าไปด้วยกัน

วันที่ 12 พฤษภาคม 2566 เวลา 16.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค ขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่โค้งสุดท้าย ก่อนประชาชนจะลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ปี 2566 ในวันที่ 14 พฤษภาคม นี้ ณ อาคารกีฬาเวสน์ 2 สนามไทย – ญี่ปุ่นดินแดง กรุงเทพฯ มีประชาชนกว่า 4,000 คน มาร่วมรับฟังการปราศรัย พร้อมชูสโลแกน “เลือกลุงป้อม นำได้ ตามเป็น เย็นพอ ฟังทุกฝ่าย” ที่จะนำพาทุกฝ่ายก้าวข้ามความขัดแย้ง

ทั้งนี้การปราศรัยเริ่มตั้งแต่เวลา 14.30 น.โดยมีนายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นเวทีพูดเป็นคนแรกว่า ผมในนามของพรรคพลังประชารัฐตลอดระยะเวลาหาเสียงกว่า 2 เดือน เราได้รับเสียงตอบรับที่อบอุ่นจากคนไทยทั้งประเทศ ต้องขอขอบคุณด้วยใจ วันที่ 14 พ.ค.นี้ อนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือของประชาชนทุกคน จึงอยากให้ทุกคนตั้งคำถามว่า อยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไร? อยากเห็นเศรษฐกิจที่ดี คนไทยกินดีอยู่ดี หรืออยากจะเห็นความแตกแยกของคนสองยุค อยากเห็นคอรัปชั่น ยาเสพติดระบาดทั่วเมือง ที่ผ่านมา การเมืองไทยไม่ไปไหนเพราะติดหล่มอยู่กับความขัดแย้ง

นายสกลธี กล่าวต่อว่า คนที่อาสาเข้ามาเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน ต้องเคารพการตรวจสอบได้ ประชาชนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด รักใคร ก็ต้องยอมรับกฎหมาย ตนอยากจะเตือนสติว่า ไม่ว่าคุณจะได้รับการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย การเลือกตั้งคือ การที่คุณได้มีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศเท่านั้น ไม่ใช่คุณจะอยู่เหนือกฎหมาย แล้วมาใช้กฎหมู่ทำลายล้างกัน ดังนั้นประเทศเราต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง ของพรรคพลังประชารัฐ คือ อยากจะให้ประชาชนรักกัน

“พรรคพลังประชารัฐมี กองทุนประชารัฐพัฒนาประเทศ 3 แสนล้านบาท ที่จะพัฒนากรุงเทพฯ ขอเพียงแค่ประชาชนให้โอกาสผู้สมัครของเราเข้าไปลงมือทำ ซึ่งพรรคเรามี พล.อ.ประวิตร เป็นผู้จัดการตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังการทำงาน จนทำให้รัฐบาลอยู่มาได้ถึง 4 ปี ผลงานที่ทุกคนรู้กันดีก็คือ แก้หนี้นอกระบบ แก้เศรษฐกิจ และแก้ปัญหาน้ำ” นายสกลธี กล่าว

นายวราเทพ กล่าวว่า พรรคนี้อนาคตไกล จึงขอเป็นตัวแทนกก.บห. พรรคนี้ไม่มีนายใหญ่ และไม่มีครูใหญ่ แต่มีใจบันดาลแรง วันนี้มีหลายเวที และที่ผ่านมามีวาทกรรมที่เกิดขึ้นตลอดการหาเสียง 60 วัน สร้างความเกลียดชังและใส่ร้าย แต่พปชร.มีนโยบายโดยไม่ต้องมีวาทกรรม ไม่ต้องแอบอ้างว่าคิดใหญ่ ทำเป็น แต่เราคิดเป็น ทำได้ และทำทันที บางคนบอกให้กาพรรคประเทศไทยไม่เหมือนเดิม แต่ถ้ากา พปชร.ประเทศไทยจะดีกว่าเดิม

นายวราเทพ กล่าวต่อว่า กว่า 20 ปี ท่ามกลางวิกฤตสถานการณ์ เห็นแต่พล.อ.ประวิตร ที่ทำได้ ถึงไม่ย้ายไปไหน หลายคนอยากกลับมา จึงบอกว่าหลังเลือกตั้งให้กลับมา ถามว่าผู้นำคนไหนเป็นแบบนี้ จะเลือกคนหนุ่มสาว แต่ผู้นำที่เคลือบแคลงจะมาเปลี่ยนแปลงจะทำให้เชื่อได้หรือไม่ เราต้องเลือกแบบมีเหตุผล ไม่ใช่เลือกข้างใดข้างหนึ่งแบบไร้สติ ขอให้ประชาชนคิดอย่างไรก็ได้เพื่อหยุดความขัดแย้ง และก้าวข้ามไปด้วยกัน

“วันนี้ไม่มีรัฐบาลพรรคไหนที่จะไม่ทำเพื่อประชาชน ทุกคนอยากทำเพื่อประชาชน แต่โอกาสไม่เหมือนกัน ครั้งที่แล้ว เราเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล และมีพรรคร่วม 19 พรรค แต่หัวหน้าเราไม่มีโอกาสเป็นนายกฯ แต่วันนี้หัวหน้าพรรค พปชร.มีโอกาสเป็นนายกฯ แล้ว และคิดว่าสามารถทำได้ในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง โดย 4 ปีที่แล้วมีพรรคเดียวที่ชนะใจคนทุกภูมิภาคคือพรรค พปชร.ที่มีส.ส.ทุกภาค รวมทั้ง กทม.12 คน เพียงพรรคเดียว ได้ส.ส.116 คน ในครั้งนี้ขอให้ทุกคนพิสูจน์ว่า คน กทม.จะเลือกกลับมาเป็น 2 เท่า และผมเชื่อมั่นว่าทางออกของประเทศจะเกิดขึ้นได้ ถ้ามีผู้นำที่ตั้งใจ และเดินทางไปดูแลประชาชนครบทุกจังหวัด อย่าง พล.อ.ประวิตร” นายวราเทพ กล่าว

ด้านนายสนธิรัตน์ กล่าวกับพี่น้องประชาชนว่า อีก 2 วัน จะเป็นการชี้ชะตาของประเทศไทย กว่า 10 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยตกอยู่ในวังวนความขัดแย้ง ครั้งนี้เราจะปล่อยให้ประเทศเดินเข้าวังวนแบบนั้นอีกหรือไม่? เราต้องหยุดวงจรนี้และเดินหน้าไปพร้อมกับพรรคพลังประชารัฐ เรากำลังจะได้ตัดสินอนาคตของพวกเราทุกคน มันจะมีผลกระทบต่อชีวิตคนไทยทั้งประเทศ

“พรรค พปชร.จะเป็นสถาบันทางการเมืองที่จะพาพี่น้องคนไทยผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ เพราะหลายคนกำลังกังวลถึงความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคการเมืองที่จะเข้ามายุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้น พรรคที่สามารถเชื่อมโยง พูดคุย กับทุกพรรค นั่นก็คือ พรรค พปชร.ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่เหมาะสมที่วุดในสถานการณ์ตอนนี้ เพราะผู้นำทางการเมืองต้องพร้อมที่จะเป็นกาวใจให้กับทุกฝ่าย ต้องมีบารมีที่ทุกฝ่ายให้ความแกรงใจ รวมถึงพร้อมรับฟัง และพร้อมทุ่มเมฃทแรงกาย แรงใจให้กับประชาชน” นายสนธิรัตน์ กล่าว

จากนั้น เมื่อเวลา 15.40 น.พรรคพลังประชารัฐเปิดตัว พล.อ.ประวิตร อย่างยิ่งใหญ่นำขบวนโดยผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 33 คน พร้อมธงโบกสะบัด โดย พล.อ.ประวิตร เปิดตัวด้วยการเดินอย่างกระฉับกระเฉง ยิ้มแย้มกับประชาชนที่มาร่วมฟังการปราศรัย รวมถึงติดไมค์ลอยคล้องหูด้วย

ต่อมา พล.อ.ประวิตร กล่าวปราศรัยปิดเวทีว่า ทุกนโยบายที่หาเสียงไว้ ผมขอสัญญาว่า จะทำให้สำเร็จ เพราะผมเป็นคนที่ไม่มีภาระใดๆ ไม่มีธุรกิจ ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ผมมีเพียงภารกิจเดียว
และ เป็นภารกิจสุดท้ายในชีวิตผม คือการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศไทย ผมขอให้ทุกคนช่วยกัน

“ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมาของการเป็นรัฐบาล ผมสามารถพูดคุยกับทุกคน รับฟังความคิดเห็นต่างได้จากทุกฝ่ายได้ โดยไม่มีอคติใดๆ ตลอดชีวิตของผมมีหน้าที่ในการปกป้องประเทศจากศัตรูภยันตราย ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ความมั่นคงป้องกันชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่งของเรา วันนี้ผมได้เห็นแล้วว่า ประเทศของเรายังมีปัญหาอีกมาก โดยเฉพาะปัญหาความยากจน และปัญหาเรื่องปากท้องไปจนถึงการก้าวข้ามความขัดแย้ง และการก้าวล่วงสถาบัน การแทรกแซงทางการเมือง ทั้งภายในและภายนอกประเทศ”

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ผมและพรรคพลังประชารัฐ มุ่งมั่นที่จะเอาชนะปัญหาของประชาชนในทุกเรื่องให้ได้ เรารับรองว่า เราจะก้าวไปด้วยกัน ทุกนโยบายที่รับปากพี่น้องประชาชน เมื่อทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรี ผมจะทำทันที โดยขอให้ทุกคนมีความเชื่อมั่นว่า ผมทำได้ ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นพรรคพลังประชารัฐ และผู้บริหารของพรรคจะทำงานเพื่อประชาชนทุกคน ขอให้เชื่อมั่นว่าผมจะนำพาประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง เราจะช่วยกันนำพาประเทศนี้ให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป ขอให้เลือกผมและพรรคพลังประชารัฐ ประเทศชาติจะไม่วุ่นวาย เศรษฐกิจจะเดินหน้า ค้าขายจะเจริญรุ่งเรือง ขอให้เลือกพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 และ ผู้สมัคร ส.ส. ทุกเขตของพรรคพลังประชารัฐทั่วประเทศ

“ประเทศเราถ้ามีความสงบแล้ว ความเจริญรุ่งเรืองจะมาสู่ประเทศของเราอย่างแน่นอน พรรคพลังประชารัฐและผู้สมัครของพรรคทุกคนยินดีที่จะนำความรุ่งเรืองมาสู่ประเทศชาติ ขอให้พวกเราทุกคนก้าวข้ามความขัดแย้งไปด้วยกัน ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชนคนไทย วันที่ 14 พฤษภาคมนี้ เข้าคูหากาเบอร์ 37 “เลือกลุงป้อม นำได้ ตามเป็น เย็นพอ ฟังทุกฝ่าย “เราจะก้าวข้ามความขัดแย้งพร้อมเดินหน้าไปด้วยกัน”

ทั้งนี้ก่อนปิดเวที พล.อ.ประวิตร ได้ถ่ายภาพร่วมกับ กก.บห. ผู้สมัคร ส.ส.กทม. และถ่ายภาพร่วมกับประชาชนที่มาร่วมในเวทีปิดปราศรัยด้วย นอกจากนี้ยังมีแฟนคลับชาวจีน ที่เดินทางจากต่างประเทศมาร่วมให้กำลังใจ พล.อ.ประวิตร โดยระบุว่า เชื่อว่าพล.อ.ประวิตร จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จึงอยากมาถ่ายรูปคู่ด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 12 พฤษภาคม 2566

‘ผู้กองธรรมนัส’ นำทีมปราศัยหาเสียงจังหวัดแพร่ ช่วงโค้งสุดท้าย ช่วย “นายกฯแต่ง” สุรสิทธิ์ เพชรปิตุพงษ์ เขต 2 เบอร์ 5 มั่นใจคว้าชัยปักหมุดส.ส.อีกหนึ่งจังหวัดภาคเหนือ

,

‘ผู้กองธรรมนัส’ นำทีมปราศัยหาเสียงจังหวัดแพร่ ช่วงโค้งสุดท้าย ช่วย “นายกฯแต่ง” สุรสิทธิ์ เพชรปิตุพงษ์ เขต 2 เบอร์ 5 มั่นใจคว้าชัยปักหมุดส.ส.อีกหนึ่งจังหวัดภาคเหนือ

วันที่ 11 พพฤษภาคม 2566 ที่จังหวัดแพร่ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดยร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 จังหวัดพะเยา ในฐานะประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ พร้อมด้วย นางสาวธนพร ศรีวิราช ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ และ ดร.ธนสาร ธรรมสอน ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อร่วมลงพื้นที่ ให้กำลังใจ ปราศัยหาเสียง ช่วยผู้สมัครเขต 2 ของพรรคฯ คือนายสุรสิทธิ์ เพชรปิตุพงษ์ หรือ ‘นายกฯ แต่ง’ เบอร์5 ณ เวทีปราศัยอำเภอร้องกวาง โดยมีประชาชนในพื้นที่เขต 2 ได้แก่ อำเภอเมืองแพร่ (เฉพาะตำบลแม่คำมี ตำบลห้วยม้า ตำบลแม่หล่าย ตำบลแม่ยม ตำบลวังธง ตำบลท่าข้าม และตำบลวังหงส์) อำเภอร้องกวาง อำเภอม่วงไข่ และอำเภอสอง มาให้กำลังใจและรับฟังปราศรัยนโยบายพรรคเป็นจำนวนมาก

ร้อยเอกธรรมนัส กล่าวว่า นับเป็นโอกาสดี ที่ได้มาพบปะพ่อแม่พี่น้องในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้งในครั้งนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญจะมาบอกเล่าให้ฟัง ถึงนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของพลอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ยึดหลักก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่ และมุ่งหวังให้ประชาชน อยู่ดีกินดี ก้าวข้าวความยากจน โดยเราจะร่วมกันดูแล พลิกฟื้นเศรษฐกิจฐานรากให้ประชาชนมีรายได้อย่างยั่งยืน ทั้งเรื่องการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน ผลักดันแก้ปัญหาแหล่งน้ำ เรามีนโยบายชัดเจน ที่จะเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด ใครที่มีเอกสาร คทช.ก็จะเปลี่ยนเป็น สปก.4-01 ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ที่ดินในการสร้างรายได้และประกอบอาชีพอย่างยั่งยืน

“พ่อแม่พี่น้องครับ ขอเสียงครอบครัวบัตรประชารัฐหน่อย จำกันได้ใช่มั๊ย ตั้งแต่ปลายปี 62 จนถึงปลายปี 65 ที่มีการแพร่ระบาดโรคโควิดนั้น ถามว่าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่อยู่กับพี่น้องช่วยลดภาระค่าใช่จ่ายได้ใช่หรือไม่ คำตอบคือช่วยได้ ซึ่งที่ผ่านมาบัตรฯ มีมูลค่า 300 บาท ผมมาเมืองแพร่วันนี้ จะบอกพี่น้องประชาชนในเขต 2 ว่าเราจะเพิ่มเป็น 700 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับ สภาวะเศรษฐกิจ ทั้งน้ำมันแพง แก๊สแพง ไฟฟ้าแพง สวนทางราคาพืชผลการเกษตรของเราทั้งข้าวและพืชไร่ต่างๆ ที่มีราคาถูกลง นอกจากนี้ ก็จะบอกอีกว่า ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนั้น ยังมอบประกันชีวิตอีก 200,000 บาทด้วย เมื่อท่านสิ้นลมหายใจ ก็ไม่เป็นภาระของลูกของหลานหรือคนอยู่ข้างหลังอีกต่อไป ครับ”

จากนั้น ร้อยเอกธรรมนัส ยังได้แนะนำตัวนายสุรสิทธิ์ เพชรปิตุพงษ์ หรือ ‘นายกฯแต่ง’ เบอร์ 5 พร้อมขอให้ประชาชนในพื้นที่เขต 2 ไว้วางใจหันมาเลือกคนดี มีความรู้ความสามารถมีประสบการณ์เคยเป็นอดีตนายกเทศมนตรีตำบลร้องกวาง ที่เคยดูแลรับใช้ประชาชนในช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างดี ดังนั้นวันที่ 14 พฤษภาคม นี้ อย่าลืมไปใช้สิทธ์เลือกตั้งกาบัตรสีม่วงเบอร์ 5 บัตรสีเขียว กาเบอร์ 37 เลือกพรรคพลังประชารัฐ เพื่อเข้าไปจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งตนเองหวังใจว่าผู้สมัครของพรรคฯ ในจังหวัดแพร่นี้ จะได้รับชัยชนะและมี ส.ส.เข้าสู่สภาฯ อีกหนึ่งจังหวัดภาคเหนือ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 12 พฤษภาคม 2566

“สนธิรัตน์” แท็กทีม “พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ – บุรินทร์” ลุยเมืองคอนปราศรัยช่วย “อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ” เขต 4 เบอร์ 6 ประกาศแก้ความยากจน พลิกชีวิตพี่น้องคนใต้ด้วยปาล์มน้ำมัน

,

“สนธิรัตน์” แท็กทีม “พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ – บุรินทร์” ลุยเมืองคอนปราศรัยช่วย “อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ” เขต 4 เบอร์ 6 ประกาศแก้ความยากจน พลิกชีวิตพี่น้องคนใต้ด้วยปาล์มน้ำมัน

วันที่ 10 พ.ค. 2566 ที่ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ ประธานอนุกรรมการเพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันทั้งระบบ และดร.บุรินทร์ สุขพิศาล อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ และกรรมการฝ่ายจัดทำนโยบายพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่พบปะประชาชน และตัวแทนเกษตรกรชาวสวนปาล์ม เพื่อรับฟังปัญหาและนำเสนอนโยบายด้านการเกษตรของพรรค พร้อมปราศรัยย่อยช่วยนายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ผู้สมัคร ส.ส. นครศรีธรรมราช เขต 4 เบอร์ 6 หาเสียงช่วงโค้งสุดท้าย โดยก่อนเข้าร่วมงานนายสนธิรัตน์ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยังวัดเขาขุนพนม ที่ อ.พรหมคีรี เพื่อร่วมพิธีบวงสรวงสักการะอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อเป็นสิริมงคลด้วย

นายสนธิรัตน์ ได้ปราศรัยตอนหนึ่งว่า วันนี้ตั้งใจมา จ.นครศรีธรรมราช เพราะที่นี่คือดินแดนของคนที่จะรวยด้วยปาล์มน้ำมัน เราเป็นทีมงานที่ทำจริงเรื่องปาล์มน้ำมัน ทำกันมาตั้งแต่ก่อนปี 2562 ผลักดันจนราคาเคยขึ้นไปถึง 12 บาท แต่วันนี้ราคาปาล์มน้ำมันตกลงอีก เหลือ 5 บาทกว่า ตนจึงต้องมาที่นี่เพื่อบอกว่าทีมที่แก้ปัญหา และรู้เรื่องปาล์มน้ำมันดีที่สุดคือพวกตนที่อยู่ตรงนี้ หากพวกตนกลับไปเป็นรัฐบาล จะเอาน้ำมัน B10 กลับมา ราคาจะกลับไป 10 บาทกว่าอีก แต่ต่อให้ได้ราคาสูง ก็ขาดทุนได้ เพราะราคาปุ๋ยแพง พรรคพลังประชารัฐจึงมีนโยบายปุ๋ยคนละครึ่ง นอกจากนี้จะทำให้ภาคใต้กลายเป็นแผ่นดินของปาล์มน้ำมันทั้งภาคใต้ ด้วยการนำปาล์มน้ำมันไปทำน้ำมันอากาศยานชีวภาพ หรือไบโอเจ็ท นี่คือสิ่งที่พรรคพลังประชารัฐจะทำ และเตรียมทำไว้แล้ว ทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล นอกจากนี้พรรคประกาศนโยบายแล้วว่าจะให้เงินทุนแก่พี่น้องที่เป็นเกษตรกรครอบครัวละ 3 หมื่นบาทเพื่อนำไปเพิ่มผลผลิตต่อไร่ด้วยนวัตกรรมต่างๆ
“หากวันนี้ทีมงานของผมคิดได้แค่การทำน้ำมัน B10 หรือแค่ประกันรายได้ คงไม่มาหาพี่น้อง ผมคงไม่กล้ามาบอกว่าจะทำให้เราร่ำรวยอย่างไร แต่วันนี้ตัดสินใจเลือกเวทีปราศรัยต่างจังหวัดที่สุดท้ายที่ จ.นครศรีธรรมราช และผมไม่ได้แค่มาหาเสียงแต่เอาทีมงานตัวจริงเสียงจริงที่ทำเรื่องปาล์มน้ำมันมา ระยะเวลา 6 – 7 ปี พิสูจน์แล้วว่าทำได้จริง พวกผมมาอาสากับพี่น้องที่นครศรีธรรมราช และประกาศจากที่นี่ไปยังทุกจังหวัดที่ปลูกปาล์มน้ำมันว่าพรรคพลังประชารัฐ จะเอาปาล์มน้ำมันมาแก้ปัญหาความยากจนให้พี่น้องลืมตาอ้าปากได้ตลอดไป ด้วยนโยบายน้ำมัน B10 ปุ๋ยคนละครึ่ง ไบโอเจ็ท และจะทำให้ภาคใต้เป็นศูนย์กลางน้ำมันอากาศยานชีวภาพจากปาล์มน้ำมันของเอเชีย ยกระดับราคาให้พี่น้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข นี่คือความตั้งใจของผม และทีมงาน จากหัวใจของคนทำงานปาล์มน้ำมัน เรื่องอื่นผมไม่รู้ แต่ปาล์มน้ำมันพวกผมเชี่ยวชาญ และสามารถพลิกชีวิตพี่น้องได้จริงๆ ผมไม่ได้แค่มาหาเสียง แต่มาคารวะพี่น้องที่นี่ด้วยหัวใจคนปาล์มน้ำมัน และอยากเห็นพี่น้องอยู่ดีกินดี ร่ำรวย ดังนั้นเลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 และเลือกนายอาญาสิทธิ์ เบอร์ 6 เพื่อเข้าไปผลักดันนโยบายต่างๆ ให้สำเร็จ” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ขณะที่พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ฝากความห่วงใยมายังพี่น้องชาวสวนปาล์มน้ำมัน จ.นครศรีธรรมราช ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ถือเป็นผู้พลิกชีวิตปาล์มน้ำมันไทย และอนาคตจะพลิกโฉมเกษตรกรไทยให้พัฒนาแบบก้าวกระโดด โดย พล.อ.ประวิตร มอบหมายให้ทีมงานแก้ปัญหาให้ทำได้จริง ที่ผ่านมาเราได้แก้ปัญหาน้ำมันปาล์มล้นตลาด มีการนำปาล์มน้ำมันไปเป็นส่วนผสมน้ำมัน B10 พร้อมทั้งเร่งผลักดันส่งออกน้ำมันปาล์มดิบไปต่างประเทศ ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าส่งออก 1.5 ล้านตัน นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร มีนโยบายการนำน้ำมันปาล์มดิบมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ และการนำน้ำมันปาล์มดิบไปผลิตเป็นน้ำมันอากาศยานชีวภาพ หรือไบโอเจ็ท ในอนาคตจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตน้ำมันอากาศยานของเอเซีย นอกจากนี้ยังมีนโยบายเกษตรอัจฉริยะ พลิกโฉมให้เกษตรกรเป็นปราชญ์รอบรู้ เป็นเกษตรกรอัจฉริยะ เกษตรกรจะร่ำรวย จะแปรรูปสร้างการใช้ปาล์มน้ำมันให้มั่นคง ราคาจะคงที่ทั้งปี รวมถึงการเป็นเกษตรรักษ์โลก เป็นมิตรสิ่งแวดล้อมด้วย อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าผลงานใครก็ขโมยไปไม่ได้ ท่านทำจริง ตนเชื่อมั่นว่า พล.อ.ประวิตร จะทำให้พี่น้องอยู่ดีกินดี และเราเป็นทีมงานที่รู้เรื่องปาล์มน้ำมันดีที่สุด

ด้าน ดร.บุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้เหมือนได้กลับมาบ้านของพ่อ ตนตั้งใจอย่างยิ่งที่จะพัฒนา จ.นครศรีธรรมราช ให้ร่ำรวยไปด้วยกัน ซึ่งเราแก้ปัญหาน้ำมันปาล์มล้นตลาดด้วยการบริหารสต็อก ต้องระบายส่งออก เพราะถ้าสต๊อคสูง จะทำให้ราคาผลปาล์มตก ในอดีตได้นำไปทำน้ำมัน B10 นำไปเผาผลิตไฟฟ้า รวมถึงสนับสนุนการส่งออกไปประเทศอินเดีย 1 ล้านตัน ทำให้ได้ราคาเฉลี่ย 7 บาทกว่า ซึ่งคนที่นำไปอ้างว่าทำเรื่องนี้ ไม่จริง เพราะคนที่ทำจริงๆ คือพวกเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ โดยมีพล.อ.ประวิตร เป็นคนสั่งการ นอกจากนี้ การแปรรูปเกษตรเป็นอีกเรื่องที่สำคัญมาก ทั้งแปรรูปเป็นน้ำมันหล่อลื่นชีวภาพ ผงซักฟอกชีวภาพ แชมพู เครื่องสำอางค์ ที่ล้วนมีส่วนผสมของปาล์มน้ำมัน ซึ่งเวลาน้ำมันปาล์มดิบราคาลง แต่ผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปแล้วไม่ลดลงตาม หากเราไม่รู้จักปรับตัว มัวแต่ผลิตน้ำมันพืชขายก็ต้องเจอสถานการณ์ผันผวนของราคาเป็นวงจรแบบนี้ไปตลอด

อย่างไรก็ตาม ส่วนประกอบที่ราคาสูงในผลิตภัณฑ์ที่ว่านั้นปัจจุบันต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งทำมาปาล์มน้ำมันจากสวนของพี่น้องที่ส่งออกแล้วมีการนำไปแปรรูป แล้วนำกลับมาขายให้พี่น้องใช้ในราคาแพง ต่อไปในอนาคตเราจะปฏิวัติระบบนี้ เราจะผลิตเอง ขายเอง ใช้กันเองและรวยกันเอง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 พฤษภาคม 2566

“ดร.นฤมล” หนุน “ภักดีหาญส์” พร้อมทำงานลาดพร้าว-บึงกุ่ม ลุยแก้ปัญหาอาชญากรรมพื้นที่ เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้ปชช.

,

“ดร.นฤมล” หนุน “ภักดีหาญส์” พร้อมทำงานลาดพร้าว-บึงกุ่ม
ลุยแก้ปัญหาอาชญากรรมพื้นที่ เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้ปชช.

วันนี้ (11 พ.ค.66) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ลงพื้นที่ช่วย นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 13 เขตลาดพร้าว เขตบึงกุ่ม หมายเลข 8 ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ เพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะต่างๆ และขอให้ประชาชนช่วยลงคะแนนเสียงให้ตัวผู้สมัครและพรรค พปชร. โดยมีพี่น้องประชาชน และพ่อค้า-แม่ค้า ในตลาด ต.รวมโชค (โชคชัย4) ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีและขอถ่ายรูปร่วมเฟรมอย่างเป็นกันเอง

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ทางผู้สมัคร และพรรคได้ทำงานกันอย่างเต็มที่ ผู้สมัครทุกคนลงพื้นที่อย่างหนักซึ่งในเขตลาดพร้าว “หาญส์ หิมะทองคำ” และภรรยา ปู-มัณฑนา ได้เข้ามาทำงานในพื้นที่มาโดยตลอดและทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเป็นผู้ค้ารายย่อยได้รับผลกระทบเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งพรรคมีเรื่องแหล่งทุนที่จะเข้ามาเติมเต็ม มาดูแลในเรื่องการประกอบอาชีพที่มั่นคงมากขึ้น ดังนั้นผู้สมัครของพรรคได้เตรียมพร้อมที่จะนำนโยบายเข้ามาช่วยเหลือและแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดเมื่อได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ในสภา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน จากการสะท้อนเสียงในการลงพื้นที่ ตลาดโชคชัย 4 ครั้งนี้ มีพี่น้องให้การตอบรับเป็นอย่างดี เชื่อว่าจะเมตตาให้หาญ ได้เข้ามารับใช้เขตนี้ พร้อมผู้สมัคร กทม.อีก 32 คน ที่พร้อมแล้วที่จะทำงานเพื่อคน กทม.

“อย่างไรก็ตามในวันที่ 12 พฤษภาคม นี้ พรรคได้มีแผนการหาเสียงในเวทีปิดท้ายอีกครั้ง ซึ่งจะมีขึ้นที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง (กรุงเทพ 2) แม้ว่าจะเป็นวันเดียวกับที่พรรคต่างๆ ได้จัดกิจกรรมปราศรัย รวมถึงสถานที่เดียวกันพรรคอื่นก็ไม่มีความกังวล เนื่องจากจัดปราศรัยคนละช่วงเวลา ในส่วนของพรรคเองก็มีการจัดเวทีย่อยในพื้นที่อื่นๆ อีก ซึ่งผู้สมัครทุกคนก็มีกลุ่มอาสาสมัครเข้ามาร่วมแสดงพลังโค้งสุดท้ายให้กับพรรค เพราะครั้งนี้ถือเป็นเวทีใหญ่ที่สมาชิกพรรคมารวมตัวกันในพื้นที่แห่งนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงเวทีเฉพาะ กทม. เท่านั้น” ศ.ดร.นฤมล กล่าว

นายภักดีหาญส์ กล่าวว่า นอกจากเป้าหมายการแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจและปากท้องให้กับคนในพื้นที่แล้ว ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักของพรรคแล้ว ยังมีนโยบายเฉพาะพื้นที่ที่จะมาดูแลพี่น้องประชาชนซึ่งถือเป็นภัยใกล้ตัวในพื้นที่ โดยเฉพาะการเพิ่มจุด CCTV ติดตั้งไฟส่องสว่างตามจุดต่างๆ เช่น สะพาน พื้นที่ทางเข้าชุมชน ที่เป็นจุดอับและจุดมืดค่อนข้างเยอะ และมีแหล่งมั่วสุมเกิดขึ้น จำเป็นต้องดำเนินการเพิ่มมาตราการสร้างความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อป้องปรามการก่ออาชญากรรมในพื้นที่ ร่วมถึงการขยายขอบเขตการดูแลความปลอดภัยของประชาชนโดยอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) และกู้ภัย ซึ่งในประเทศไทยมีจำนวน 1 ล้านกว่าคน ให้เข้ามาดูแลพี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่างใกล้ชิดมากขึ้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 พฤษภาคม 2566

“ศันสนะ”ลงพื้นที่วอนชาวฝั่งธนกาเบอร์1 ชูนโยบายหยุดสุรา-กัญชาเสรี-ยาเสพติด

,

“ศันสนะ”ลงพื้นที่วอนชาวฝั่งธนกาเบอร์1
ชูนโยบายหยุดสุรา-กัญชาเสรี-ยาเสพติด

ดร.ศันสนะ สุริยะโยธิน ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตธนบุรี-คลองสาน-ราษฎร์บูรณะ พรรคพลังประชารัฐ หมายเลข 1 กล่าวถึงการลงพื้นที่ขณะนี้ว่า เมื่อวานนี้ตนพบผู้เสียชีวิตอีกแล้ว ตรงบริเวณริมถนนในซอยโกวบ๊อ ซึ่งเป็นจุดใกล้เคียงกับผู้เสียชีวิตรายก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าจะเสียชีวิตเพราะความร้อน แต่ผู้ตายดื่มสุราเมามานอนเต๊นท์ขายของริมถนน ซึ่งเมื่ออากาศร้อนอยู่แล้ว ยิ่งดื่มสุรา ก็ยิ่งร้อนทั้งภายนอกและภายใน
ทั้งนี้ตนเคยพูดถึง ร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า’ หรือ ร่าง พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่เคยมีความพยายามของพรรคการเมืองหนึ่งให้ผ่านสภา โดยอ้างว่าเป็นการเปิดช่องให้ประชาชนทั่วไปมีโอกาสทำธุรกิจ โดยไม่ต้องเจออุปสรรคเรื่องเงินทุนที่สูงไป และเพื่อหยุดการผูกขาดของนายทุน ซึ่งในประเด็นนี้ตนไม่เห็นด้วย เพราะมีคำถามว่า สุราเสรีหยุดนายทุน 2-3 รายได้จริงหรือ เพราะนายทุนก็เปิดบริษัทย่อยมาคุมตลาดได้ และยังเพิ่มนายทุนรายย่อยที่อยากทำสุราขาย ชาวบ้านประชาชนจะมาปั้นตัวเองผลิตสุราขายหรือส่งออกได้ ต้องมีทุนเพียงพอ
“ทุกวันนี้คนในสังคมมีแต่การรณรงค์ และข้อห้ามหลายอย่างในการลดการดื่ม อุปสรรคที่เกิดขึ้นทำให้ระดับนายทุนใหญ่ยังสะเทือน แล้วรายเล็กที่อยากจะเข้ามาในธุรกิจนี้จะทำอย่างไร เรื่องหยุดสุราเสรี หรือยาเสพติดเสรี ไม่ใช่เรื่องของพรรคพลังประชารัฐ แต่เป็นความตั้งใจส่วนตัว ที่ไม่สนับสนุน ในขณะที่เรายังไม่พร้อม และการตัดสินเรื่องระดับชาติ ก็จำเป็นที่ต้องคำนึงถึงอนาคตของลูกหลาน ที่จะเป็นผู้ดื่มหน้าใหม่เร็วเกินไป ผมห่วงในฐานะพ่อคนหนึ่ง”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 พฤษภาคม 2566

นักศึกษา มศว. ปลื้ม “พี่โอ๋ ตัวตึง” เป็นกันเองกว่าที่คิด

,

นักศึกษา มศว. ปลื้ม “พี่โอ๋ ตัวตึง” เป็นกันเองกว่าที่คิด

(9 พฤษภาคม 2566) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เข้าร่วมเสวนาทางการเมือง ซึ่งหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร จัดขึ้นในหัวข้อ นโยบายด้านการศึกษาและสังคม ณ สนามกีฬากลาง ม.ร.ว.จุรีพรหม กมลาศน์ (มศว.ประสานมิตร) โดยมีตัวแทนจาก ทั้งหมด 8 พรรคการเมืองเข้าร่วม
.
ทั้งนี้ได้กล่าวถึงนโยบายระบบการศึกษาว่า ส่วนมากหลายพรรคการเมืองมักไม่ค่อยพูดถึงเรื่องการศึกษาในเวทีดีเบตต่าง ๆ เท่าที่ควร เนื่องจากเป็นนโยบายที่ไม่ค่อยมีความขัดแย้งทางความคิดกันมากนัก หลาย ๆ พรรคมักจะมีนโยบายเกี่ยวกับระบบการศึกษาที่คล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเปิดโอกาส การเรียนเสริมด้านภาษา เทคโนโลยีและดิจิทัล ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาก็มีการพัฒนามาโดยตลอดเพราะไม่ต้องใช้การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่หนึ่งปัญหาใหญ่ของประเทศ คือยังขาดแรงงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล หรือ STEM ยังค่อนข้างน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และเรื่องของภาษาก็มีส่วนสำคัญ ที่ต้องพัฒนา เพราะมีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติ ที่จะเข้ามาเปิดโรงงาน หรือ ฐานการผลิตภายในประเทศ
.
ขณะที่ปัญหาความเหลื่อมล้ำของระบบการศึกษาระหว่างพื้นที่ห่างไกล กับเขตเมือง ซึ่งยังคงมีคุณภาพที่แตกต่างกันอยู่ ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเร่งแก้ไข โดยทุกรัฐบาลก็พยายามแก้ไข ให้โอกาสเด็ก ๆ ทั้งประเทศได้มีความเท่าเทียมกันทางด้านการศึกษา
.
นอกจากนี้นายชัยวุฒิ ยังได้กล่าวทิ้งท้ายในการเสวนาครั้งนี้อีกด้วยว่า เห็นด้วยกับหลายนโยบายด้านการศึกษาของพรรคต่าง ๆ ที่มาร่วมเสวนาในวันนี้ ซึ่งถือเป็นการร่วมมือกันพัฒนาประเทศ ทั้งนี้เรื่องของการเมืองนั้นไม่ได้สำคัญแค่เรื่องนโยบาย แต่สำคัญที่ว่าหากพรรคนั้นได้เป็นรัฐบาลแล้ว สามารถทำให้รัฐบาลมีสเถียรภาพได้หรือไม่ ทำงานได้ บ้านเมืองก้าวไปข้างหน้าได้ โดยไม่มีความขัดแย้ง ซึ่งพรรคพลังประชารัฐ ขออาสาแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง บางเรื่องสามารถคิดต่างกันได้ เห็นไม่ตรงกันได้ แม้ความจริงจะมีอยู่เรื่องเดียว แต่รับข้อมูลมาไม่เหมือนกันก็เกิดเป็นความขัดแย้ง พรรคพลังประชารัฐจึงสามารถประสานให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน พูดคุยทำความเข้าใจกันได้ หาทางออกแก้ไขร่วมกัน จับมือไปด้วยกัน ให้ประเทศไทย เป็นบ้านเมืองที่น่าอยู่ตลอดไป
.
ด้านน้องมังกร นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มศว. ปี 1 นักศึกษาที่มาร่วมรับฟังการเสวนา ได้สะท้อนมุมมองที่มีต่อพรรคพลังประชารัฐ และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค ว่า รู้สึกปลื้มใจ ไม่คิดว่าจะเป็นกันเองมากขนาดนี้ จากที่เห็นภาพลักษณ์ตามเวทีดีเบตต่าง ๆ ที่ได้ฉายาตัวตึง คิดว่าจะเข้าถึงได้ยาก แต่กลับกัน เป็นคนที่อัธยาศัยดี เป็นกันเอง ขอถ่ายรูปก็ได้ถ่ายด้วยอย่างใกล้ชิด จึงรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก พร้อมขอบคุณที่มาร่วมในการเสวนา และให้ความรู้ในวัน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 พฤษภาคม 2566

“ดร.นฤมล” สวมบทเด็กแว้นซ้อนมอเตอร์ไซค์พี่วิน ช่วย “เบล-สุชาดา” ลุยตรอกซอกซอยเขตดอนเมือง ขอเสียงสนับสนุน ชูนโยบาย “ลุงป้อมพาหมอมาหา เอายามาส่ง” เข้าถึงสาธารณสุขอย่างเท่าเทียม

,

“ดร.นฤมล” สวมบทเด็กแว้นซ้อนมอเตอร์ไซค์พี่วิน ช่วย “เบล-สุชาดา” ลุยตรอกซอกซอยเขตดอนเมือง ขอเสียงสนับสนุน ชูนโยบาย “ลุงป้อมพาหมอมาหา เอายามาส่ง” เข้าถึงสาธารณสุขอย่างเท่าเทียม

วันนี้ (10 พ.ค.66) พรรคพลังประชารัฐนำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ลงพื้นที่ช่วยดร.ภญ.สุชาดา เวสารัชตระกูล (เบล) ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 10 เขตดอนเมือง เบอร์ 3 ลงพื้นที่หาเสียงในตลาดวัฒนานันท์ (ฝั่งโขง) และหมู่บ้านรัตนาวลัยดอนเมือง ซึ่งครั้งนี้เป็นการหาเสียงโค้งสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้ง14 พ.ค.66 โดยนั่งวินมอเตอร์ไซค์ร่วมกับผู้สมัครและทีมงาน เข้าพบปะทักทายพูดคุยกับผู้คนตามตรอกซอกซอย ซึ่งบรรยากาศการหาเสียงได้รับความสนใจจากพี่ป้าน้าอาในการขอคะแนนเสียงของสองสาวสายลุยในครั้งนี้

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ในพื้นที่ดอนเมืองเป็นพื้นที่เป้าหมายของ พปชร.ที่สำคัญขอโอกาสให้กับผู้หญิงเข้ามาทำงานในสภาเพื่อเป็นปากเสียงให้ประชาชน โดยเฉพาะเรื่องการดูแลผู้สูงอายุที่อยากให้ดอนเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น ตอนนี้นับถอยหลังเหลืออีก 3 วัน ที่จะถึงวันเลือกตั้ง พรรค พปชร.เน้นการหาเสียงอย่างเข้มข้นลงไปในเขตต่างๆ โดยเฉพาะพื้นที่เป้าหมาย แบบเคาะทุกประตูบ้านเข้าถึงประชาชนอย่าง ดร.ภญ.สุชาดา หรือ เบล ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 10 ที่ได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างดี ด้วยการลงพื้นที่ต่อเนื่องและทราบปัญหาที่แท้จริงของชาวดอนเมือง

สำหรับประเด็นที่หลายฝ่ายมองว่ากระแสหลายพรรคมาแรงนั้น ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่าเรื่องนี้ พปชร.ไม่กังวลเพราะผู้สมัครทำหน้าที่อย่างดีที่สุดในการเข้าถึงความต้องการของพี่น้องประชาชน เพราะถ้าเลือกตามกระแสก็จะได้เพียงแค่กระแสเท่านั้น แต่ถ้าเลือกผู้สมัครของ พปชร.อย่างน้องเบล ก็จะได้ ส.ส.ที่จริงใจและพร้อมที่จะเข้ามาช่วยเหลือประชาขนอย่างแท้จริง

ด้าน ดร.ภญ.สุชาดา กล่าวว่า จากการเป็นคนในพื้นที่เข้าใจปัญหามาโดยตลอด ซึ่งพื้นที่นี้มีผู้สูงอายุจำนวนมาก ด้วยประชากรที่มีอยู่ 200,000-300,000 คน พบว่ามีประชาชนอยากเข้าถึงระบบสาธารณสุขที่ดี ซึ่งพรรคมีนโยบายโดยตรง “ลุงป้อมพาหมอมาหา เอายามาส่ง” เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบการรักษาที่เท่าเทียม หรือเรียกว่า ระะบบ Telemed หรือการแพทย์ทางไกลมาใช้ โดยประชาชนอยู่ที่ไหน ก็สามารถพบแพทย์ได้ ซึ่งนโยบายนี้ คือสิ่งที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค จะทำให้เกิดขึ้นทันทีที่เข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศซึ่งจะเป็นประโยชน์กับพี่น้องทุกคน เพราะนอกจากประหยัด แล้วยังไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทาง ตนขอโอกาสเข้ามาทำงานให้กับชาวดอนเมือง โดยกาบัตรสีม่วง เบอร์3 และบัตรสีเขียว เลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 พฤษภาคม 2566

“ศ.ดร.นฤมล”ควง”ชวน ชูจันทร์”ลุยเขตทวีวัฒนา ตลิ่งชัน ชู”ป๊อป นิธิ”ทางเลือกพร้อมดูแลปชช.สานต่อตลิ่งชันโมเดลเน้นท่องเที่ยวชุมชน – ศูนย์ดูแลผู้สูงวัย 360 องศา ดูแลสุขภาพให้ ปชช.เชิงรุก

,

“ศ.ดร.นฤมล”ควง”ชวน ชูจันทร์”ลุยเขตทวีวัฒนา ตลิ่งชัน
ชู”ป๊อป นิธิ”ทางเลือกพร้อมดูแลปชช.สานต่อตลิ่งชันโมเดลเน้นท่องเที่ยวชุมชน – ศูนย์ดูแลผู้สูงวัย 360 องศา ดูแลสุขภาพให้ ปชช.เชิงรุก

วันนี้( 9 พ.ค.)พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.ร่วมกับนายชวน ชูจันทร์ ผู้ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ช่วย “ป๊อป” นิธิ บุญยรัตกลิน ผู้สมัคร สส. เขตทวี วัฒนา-ตลิ่งชั่น(ยกเว้นแขวงบางเชือกหนัง)โดยล่องเรือเลาะคลองลัดมะยม คลองบ้านไทร หาเสียงริมคลองสองฝั่ง ซึ่งมีประชาชน ออกมาร่วมพูดคุย และทักทายด้วยบรรยากาศเป็นกันเอง ทั้งนี้ทีมผู้สมัครได้เชิญชวนให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ เลือกตั้ง ในวันอาทิตย์ ที่ 14 พค นี้

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ กล่าวว่า เขตตลิ่งชันทวีวัฒนา ถือเป็นจุดกำเนิดของพรรคพลังประชารัฐ เพราะ นายชวน ชูจันทร์ หรือ ส.ส.ชวน เป็นผู้จดทะเบียนตั้งพรรคพลังประชารัฐ และพรรคเราได้มาดำเนินกิจกรรมในพื้นที่ ตั้งแต่ช่วงปี 2561 -ปี 2562 เรื่องเศรษฐกิจฐานราก ที่คลองลัดมะยม และ ส.ส.ชวน ก็ได้พัฒนาพื้นที่มาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง ครั้งนี้ขอโอกาสสนับสนุนผู้สมัครของพรรคซึ่งเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ แต่เป็นคนคุ้นเคยในพื้นที่ที่จะมารับใช้พี่น้องในเขตตลิ่งชันและทวีวัฒนา วันที่ 14 พ.ค.นี้ บัตรใบสีม่วง เลือก”ป๊อป” นิธิ บุญยรัตกลิน หมายเลข 1 เขตทวีวัฒนา ตลิ่งชัน ส่วนบัตรใบสีเขียว เลือก “ชวน ชูจันทร์” เข้าไปเป็นส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ หมายเลข 37

ด้านนายชวน ชูจันทร์ กล่าวว่า ตนและหลาย ๆ ชุมชนในพื้นที่ได้ร่วมกันพัฒนาท้องถิ่นมาตลอด 24 ปี จนวันนี้มีการเรียกขานว่าเป็น “ตลิ่งชันโมเดล” หมายถึงการพัฒนาชุมชนทั้งเรื่องอาหาร การกิน เรื่องตลาดการเกษตรและเรื่องท่องเที่ยวให้มาดูที่ตลิ่งชัน ซึ่งวันนี้ยังมีงานอีกหลายอย่าง ที่จะต้องทำต่อ การเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญมาก ที่พี่น้องชาวตลิ่งชันและทวีวัฒนาเป็นผู้ตัดสินใจ ผมเป็นผู้ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ พร้อมนำปัญหาของชุมชนเข้าสู่รัฐบาลให้เร็วที่สุด ซึ่งถ้าเราจะพัฒนาต่อไป โดยมีตัวแทนของพรรคพลังประชารัฐที่มีความรู้ ความสามารถ เชื่อมโยงการทำงานผสานระหว่าง คนรุ่นเก่า และคนรุ่น
ร่วมกันเริ่มต้นพัฒนา คูคลอง สู่การพัฒนาเป็น พื้นที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ ถือเป็นรูปแบบสำคัญในการเศรษฐกิจแบบใหม่ที่เกิดขึ้น

ด้านนายนิธิ กล่าวว่า ตนขอโอกาสจากพี่น้องประชาชนชาวทวีวัฒนา และตลิ่งชัน ให้ผมได้เข้ามาพัฒนาพื้นที่ มาสานต่อยอดสิ่งที่ ลุงชวนได้พัฒนาพื้นที่มาแล้วทำตลิ่งชันให้เป็นตลิ่งชันโมเดล และเราจะขยายตลิ่งชันโมเดลไปที่ทวีวัฒนาด้วย เพื่อให้ตลิ่งชัน และทวีวัฒนาเป็นต้นแบบ วิสาหกิจชุมชน เศรษฐกิจชุมชน เศรษฐกิจฐานราก การพัฒนา พื้นที่การท่องเที่ยว เชิงวัฒนธรรมเชิงเกษตรเพื่อเป็นต้นแบบ ให้กับเขตอื่นๆในกรุงเทพฯและ พื้นที่อื่นๆ ในประเทศไทย

“ในส่วนของศูนย์ดูแลผู้สูงวัย 360 องศา ผมก็จะผลักดันให้เกิดขึ้นในพื้นที่ให้ได้ เพราะจะสามารถสร้างประโยชน์ให้ทุกคนและเป็นการลดภาระของคนในครอบครัวที่ไม่สะดวกดูแลผู้สูงอายุ เวลาออกไปทำงานนอกบ้าน รวมถึง ส่งเสริมสุขภาพที่ดี เพื่อให้พวกเขายังคงใช้ชีวิตและทำประโยชน์ต่อสังคมได้ต่อไป

ทั้งนี้ ก็จะเกิดการสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่คนพื้นที่ เช่น ทีมรับส่งผู้สูงวัยและผู้ป่วยติดเตียง วันนี้ ผม ป๊อป นิธิ และพรรคพลังประชารัฐพร้อมจะเข้ามาทำให้คุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนดีขึ้น เราจะมาสร้างเมืองในฝันร่วมกัน ขอฝากให้ชาวทวีวัฒนา ตลิ่งชัน กาเบอร์ 1 ในบัตรเลือกตั้งสีม่วง และเบอร์ 37 บัตรสีเขียว”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 พฤษภาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” จับมือเกษตรกรก้าวข้ามความยากจนในเวทีปราศรัย จ.พิษณุโลก มั่นใจ มี พปชร.คุณภาพชีวิตจะดีขึ้น มีน้ำมีที่ทำกิน รายได้มั่นคง พ้นหนี้นอกระบบ

,

“พล.อ.ประวิตร” จับมือเกษตรกรก้าวข้ามความยากจนในเวทีปราศรัย จ.พิษณุโลก
มั่นใจ มี พปชร.คุณภาพชีวิตจะดีขึ้น มีน้ำมีที่ทำกิน รายได้มั่นคง พ้นหนี้นอกระบบ

8 พฤษภาคม 2566 เวลา 17. 30 น พรรคพลังประชารัฐ เปิดปราศรัยใหญ่ ณ ลานอเนกประสงค์ หน้าธนาคารออมสิน อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประขารัฐ ,นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค,ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.,ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งในภาคเหนือ ,นายวราเทพ รัตนากร คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค และนายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค พร้อมด้วยผู้สมัคร ทั้ง 5 เขตของจังหวัดพิษณุโลก ประกอบด้วย นาย อดุลวิทย์ วิวัฒน์ธนาฒย์ หมายเลข 11 เขต 1 นาย ศิริชิน หาญพิทักษ์พงศ์ หมายเลข 4 เขต 2 นาย หัสนัยน์ สอนสิทธิ์ หมายเลข 7 เขต 3 นาย อัศวิน นิลเต่า หมายเลข 7 เขต 4 นาย เอกพงษ์ กุลเจริญ หมายเลข 1 เขต 5 โดยมีประชาชนมาร่วมรับฟังการปราศรัยรวมกว่า 5,000 คน พร้อมตะโกนเลือกเบอร์ 37

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวปราศรัยว่า ตนและพรรคพลังประชารัฐพร้อมจะรับใช้ชาวจังหวัดพิษณุโลก เราเลือกคนดีและคนเก่งมาเป็นผู้แทนของประชาชน จึงขอให้เลือกผู้สมัครของพลังประชารัฐทั้ง 5เขต และเลือกพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 บัตรสีเขียว วันนี้ตนอยากให้คนไทยรักกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง และความยากจนไปด้วยกัน ขอให้เชื่อมั่นในพรรคพลังประชารัฐและผู้สมัครทั้ง 5 คนที่ยืนอยู่ตรงนี้

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ พลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมาย ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เพิ่มเป็น 700 บาทต่อเดือน วงเงินประกันชีวิตอีก 2 แสนบาท ลดราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส และค่าไฟฟ้าลงในทันทีที่เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยจะลดราคาน้ำมันเบนซินลง 18 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลลด 6.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำทันทีที่พลังประชารัฐได้เข้ามาเป็นรัฐบาล

“เราจะแก้ปัญหาให้เกษตรกรทั้ง 8 ล้านครอบครัว มีเกษตรกร 8 ล้านครอบครัวซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ พรรคพลังประชารัฐ หลังจากการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว เราจะเติมเงินให้ครอบครัวละ 30,000 บาท ส่วนเรื่องน้ำ มีเราไม่มีแล้ง มีน้ำไม่มีจน และนโยบายเรื่องที่ดิน คือ มีเรามีที่ทำกิน มีที่ดินไม่มีจน เราต้องการทำทุกอย่าง เพื่อไม่ให้ประชาชนมีความยากจน ให้ประชาชนหายจน ถ้ามีพรรคพลังประชารัฐ จะไม่มีคนจนในประเทศ เรายืนยันว่าจะทำให้ประชาชน 20 ล้านคน หายจากความยากจนจากการดำเนินการของพรรคพลังประชารัฐ ดังนั้นขอฝากให้ชาวพิษณุโลกทุกคนเลือกผู้สมัครทั้ง 5 เขตของเราในบัตรสีม่วงและบัตรสีเขียวเลือกพรรคพลังประชารัฐหมายเลข 37 ด้วย” พล.อ.ประวิตร กล่าว

ด้าน ศ.ดร.นฤมล กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า อาชีพหลักของชาวพิษณุโลก ก็คือการทำเกษตรกร อย่างเช่นการทำนา ปลูกข้าว เรื่องน้ำ ถือเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะถ้ามี พปชร.ก็จะไม่มีแล้ง มีน้ำไม่มีจน โดยพรรคเราจะสานต่อนโยบายการบริหารจัดการน้ำ เติมน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ เพิ่มแหล่งกักเก็บน้ำ แหล่งน้ำสำรอง และแหล่งน้ำทางเลือก แก้ปัญหาน้ำแล้งน้ำท่วมซ้ำซาก จัดทำผังน้ำชุมชน จัดระเบียบทางน้ำทั่วประเทศ ยกระดับการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับเกษตรกรทั่วประเทศ และยังมีในส่วนส่วนนโยบายจัดที่ดินทำกิน จะสานต่อให้คนไทยมีที่อยู่อาศัย และที่ทำกินด้วยการปฏิรูประบบที่ดิน คืนที่ทำกินให้ประชาชน โดย เร่งรัดออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินทุกประเภท เปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด จัดที่ดินของรัฐที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้คนไร้ที่ทำกินกว่า 2 ล้านราย

“นโยบายเหล่านี้ พล.อ.ประวิตร ทำมาตลอด 4 ปี และเราจะเข้าไปพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติและประชาชน ซึ่งถ้าทุกคนอยากได้วันที่ 14 พ.ค.นี้ ขอให้เลือกพรรคพลังประชารัฐ บัตรเขียว เบอร์ 37 เลือกให้ลุงป้อมเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วเราจะมาก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน”

ด้านนายวราเทพ กล่าวว่า ภูมิศาสตร์ที่ตั้งของจังหวัดพิษณุโลกถือว่าเป็นทำเลทองแต่วันนี้ต้องการคนที่จะเข้ามาพัฒนาและแก้ไขปัญหา และตอนนี้อนาคตของพิษณุโลกอยู่ในมือของพี่น้องประชาชนโดยทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ถือว่าตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกพรรคพลังประชารัฐ เพราะพลเอกประวิตร เป็นผู้มีประสบการณ์ในการแก้ปัญหาเรื่องที่ดิน และเรื่องน้ำ ถ้าพี่น้องเลือกพรรคพลังประชารัฐ ยืนยันว่า ลุงป้อมเป็นคนที่ทำได้แน่นอน

“การเลือกตั้งครั้งนี้ เราต้องเลือกให้ดี ถ้าเลือกไม่ดีมีโอกาสที่จะกลับไปทำให้พี่น้องลำบาก แต่ถ้าเลือกให้ดีพี่น้องมีโอกาสสบาย นโยบายสั้นๆ ที่ผมอยากจะบอกกับพี่น้องประชาชนในวันนี้ คือเรื่องของบัตรประชารัฐ ที่ทุกคนทราบดีอยู่แล้ว นโยบายของผู้สูงวัย และนโยบายอีกหลายๆอย่างที่สำคัญ ที่เกี่ยวกับพี่น้องชาวพิษณุโลก รวมถึงเรื่องของที่ดินที่ทำกิน พรรคพลังประชารัฐยืนยันว่าจะมีการดำเนินงานเรื่องเอกสารสิทธิ์ให้กับพี่น้องประชาชน ปัญหาเรื่องน้ำท่วมน้ำแล้งน้ำจะไม่มีอย่างแน่นอน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 พฤษภาคม 2566

พล.อ.ประวิตร สักการะพระพุทธชินราชเมืองสองแคว เบิกฤกษ์ก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ ขอใจประชาชนโค้งสุดท้าย ก่อนเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมนี้

,

พล.อ.ประวิตร สักการะพระพุทธชินราชเมืองสองแคว เบิกฤกษ์ก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ ขอใจประชาชนโค้งสุดท้าย ก่อนเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมนี้

วันที่ 8 พฤษภาคม 2,566 เวลา 16.30 น พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมแกนนำพรรค นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค นายวราเทพ รัตนากร คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ เดินทางเยือนจังหวัดสองแคว พร้อมด้วยผู้สมัคร ทั้ง 5 เขตของจังหวัดพิษณุโลกนาย อดุลวิทย์ วิวัฒน์ธนาฒย์ หมายเลข 11 เขต 1 นาย ศิริชิน หาญพิทักษ์พงศ์ หมายเลข 4 เขต 2 นาย หัสนัยน์ สอนสิทธิ์ หมายเลข 7 เขต 3 นาย อัศวิน นิลเต่า หมายเลข 7 เขต 4 นาย เอกพงษ์ กุลเจริญ หมายเลข 1 เขต 5 เพื่อขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ ณ ลานอเนกประสงค์ หน้าธนาคารออมสิน อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก โดยก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ได้แวะเข้าสักการะ พระพุทธชินราช ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมืองของชาวจังหวัดพิษณุโลก

โดยบรรยากาศมีประชาชนที่ทราบข่าวการเดินทางมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพลเอกประวิตรมารอให้การต้อนรับกว่า 100 คน พร้อมมอบดอกไม้ เป็นดอกกุหลาบและดอกดาวเรืองให้กำลังใจ แล้วส่งเสียงเชียร์ “รักลุงป้อม”

โดยพลเอกประวิตรได้กล่าว ขอบคุณประชาชนที่มารอต้อนรับ ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ก่อนเข้าสักการะพระพุทธชินราช

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 พฤษภาคม 2566

พปชร. เดินสายปราศรัยทั่วเมืองสองแคว “สันติ”นำทัพขอเสียง ผู้สมัคร2 เขต ส่ง “ลุงป้อม” ทำภารกิจนายกฯให้ประเทศ พร้อมทำสงครามกับความยากจนดันเป็นวาระแห่งชาติ ปชช. รอฟังข่าวดีทุกนโยบายทำทันที

,

พปชร. เดินสายปราศรัยทั่วเมืองสองแคว “สันติ”นำทัพขอเสียง ผู้สมัคร2 เขต ส่ง “ลุงป้อม” ทำภารกิจนายกฯให้ประเทศ
พร้อมทำสงครามกับความยากจนดันเป็นวาระแห่งชาติ ปชช. รอฟังข่าวดีทุกนโยบายทำทันที

8 พฤษภาคม 2566 พรรคพลังประชารัฐ เดินสายปราศรัยใหญ่ ที่จังหวัดพิษณุโลก นำโดย นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค นายวราเทพ รัตนากร คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค โดยเริ่มจากเวทีแรก ที่ ลานพระบรมรูปพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ อำเภอนครไทย และจุดที่สอง ที่ ลานวัดสุพรรณพนมทอง อำเภอวังทอง ช่วยนายเอกพงษ์ กุญเจริญ ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก เบอร์ 1 เขต 5 และ นายหัสนัยน์ สอนสิทธิ์ ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก เบอร์ 7 เขต 3

นายสันติ กล่าวปราศรัยทั้ง 2 เวทีว่า รู้สึกดีใจที่พี่น้องชาวจังหวัดพิษณุโลกให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และขอฝากผู้สมัครทั้ง 2 คนที่มีคุณภาพของ พปชร. ไว้เป็นตัวแทนพี่น้องที่พร้อมดูแลและพัฒนาจังหวัดพิษณุโลก เรามีความตั้งใจให้พี่น้องกินดีอยู่ดี นโยบายที่สำคัญที่สุด ของพรรคพลังประชารัฐที่จะส่งถึงพี่น้องประชาชน คือนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง หากชุมชนมีความสามัคคี เป็นหนึ่งเดียวกัน การคิดไม่เหมือนกัน เป็นเรื่องปกติ แต่ขออย่าขัดแย้งกัน เพราะความขัดแย้งจะทำให้การพัฒนาของบ้านเราไม่เจริญ และเมื่อก้าวข้ามความขัดแย้งไปได้แล้ว ก็จะนำไปสู่การก้าวข้ามความยากจน

วันนี้เรามุ่งมั่นที่จะเลือกผู้แทนของเรา มาเป็นตัวแทน นำเสนอปัญหาของพี่น้องประชาชนเสนอต่อรัฐบาล เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับชาวพิษณุโลก เพราะ พื้นที่จังหวัดพิษณุโลก เป็นเมืองเกษตร ทั้งข้าว ข้าวโพด และผลไม้ชนิดต่างๆ ถ้าพัฒนาขึ้นมาเป็นกลุ่มภาคการเกษตร ที่มีตัวแทนจำหน่าย วางแผนในการเพาะปลูก ก็จะทำให้ได้ราคามากยิ่งขึ้น และมีประสิทธิภาพ และเรื่องน้ำที่พี่น้องประชาชน มีความต้องการ ซึ่งพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ได้ทำพื้นที่กักเก็บน้ำในแม่น้ำ เพื่อให้หน้าแล้ง สามารถกักเก็บน้ำได้ไว้ใช้ทำการเกษตร ในช่วงน้ำหลาก และสำรวจพื้นที่ที่เป็นแอ่งน้ำสำรองขุดลอกคูคลอง เพื่อให้สามารถกักเก็บน้ำได้มาใช้ในการเกษตรฤดูแล้ง

นายสันติ กล่าวย้ำถึงบัตรประชารัฐของพี่น้อง ที่พรรคพลังประชารัฐ จะผลักดันให้เกิดขึ้นเพื่อให้ทุกท่านนำเงินไปใช้ดำรงชีวิต ซึ่งหากพลเอกประวิตร ได้เป็นรัฐบาล จะเพิ่มบัตรประชารัฐ 300 เป็น 700 บาทในทันที นอกจากนี้ เราจะเติมทุนตั้งต้นเพื่อประกอบอาชีพคนละ 30,000 บาท โดยผ่านการฝึกกอบรมและเพิ่มทักษะการประกอบอาชีพเมื่อผ่านแล้วจะได้ทุนตั้งต้นทันทีในการประกอบอาชีพค้าขาย เพื่อสร้างรายได้ ให้กับ ครอบครัว โดยไม่ต้องไปกู้ยืม นอกจากนี้ยังห่วงผู้สูงอายุซึ่งผู้ถือบัตรประชารัฐ ยังมีประนโยบายประกันชีวิตอีก 200,000 บาท

วันนี้ตนมารับรองว่าทุกนโยบายที่พรรคพลังประชารัฐ นำเสนอ สามารถทำได้จริง และจะทำทันทีเมื่อเป็นรัฐบาล ตนขอฝากเลือกเบอร์ 37 เลือกพรรคพลังประชารัฐ เลือกพลเอกประวิตร เข้าไปทำทันที สำหรับนโยบายเหล่านี้ ที่กล่าวมาทั้งหมด

ขณะที่นายชาญกฤช ปราศรัยว่า พลเอกประวิตร ได้ประกาศสงครามกับความยากจน เงินในกระเป๋าจะต้องมีมากขึ้น สิ่งที่เราจะทำทันที คือประกาศลดราคาเบนซินทันที และราคาน้ำมันดีเซล ถ้าลุงป้อม ได้ขึ้นมาเป็นนายกฯ จะประกาศลง 6 บาทต่อลิตรทันที ก๊าซหุงต้ม จะลดลงเหลือ 250 บาทต่อถัง และจะลดค่าไฟหน่วยละ 4.70 บาท นี่คือ สิ่งที่เราจะทำสงครามกับความยากจน ให้เห็นเป็นรูปธรรม ปรับลดพลังงานทั้งระบบ มาฟังข่าวดีได้เลยเมื่อพลเอกประวิตรได้เป็นนายกฯ และการปรับโครงสร้างหนี้ทันทีใน 100 วันเมื่อเป็นรัฐบาล ทั้งในและนอกระบบโดยการผลักดันให้เป็น วาระแห่งชาติ รัฐบาลจะเข้ามาเจรจากับเจ้าหนี้ ทั้งในระบบและนอกระบบ โดยทำทันที เช่นพักเงินต้น ลดดอกเบี้ย และย้ายจากธนาคารเก่า ไปสู่ธนาคารใหม่

พี่น้องที่ปลูกพืชทางการเกษตร ต้องใช้ปุ๋ยในการดูแลพืชผล พรรคพลังประชารัฐ จะมาช่วยพี่น้องคนละครึ่ง ในการชำระค่าปุ๋ย พร้อมจัดตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ เมื่อลุงป้อมเป็นนายกฯ

นายชาญกฤช ย้ำว่า ลุงป้อมมีลักษณะเด่น คือ เดินช้า คิดเร็ว และตัวเบา คือที่เดินช้า เพราะมีปัญหาเรื่องเส้นประสาท แต่เป็นคนที่คิดเร็ว แก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนอย่างรวดเร็ว แม้อาจจะเดินช้า แต่สมองแก้ปัญหาเร็ว และลุงป้อมหูไม่เบา มีการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ และสิ่งสุดท้ายลุงป้อม ตัวเบา ไม่มีครอบครัวไม่มีภรรยาและลูก บั้นปลายของชีวิตของลุงป้อมตั้งใจ ที่จะทำให้กับพี่น้องประชาชน สามารถก้าวข้ามความขัดแย้ง และก้าวข้ามความยากจน และทำภารกิจให้กับประเทศชาติ ซึ่งลุงป้อมแม้ขาไม่ดี แต่เดินทางไปทั่วประเทศทั้ง 77 จังหวัด เพื่อแก้ปัญหากับพี่น้องประชาชนไม่ว่าจะเป็นเรื่องหนี้นอกระบบ ที่ทำกิน แหล่งน้ำ นี่คือว่าที่นายกฯ ที่พี่น้องสบายใจได้ ว่าพร้อมและไม่มีห้วงเวลาไหน ไม่คิดถึงพี่น้องประชาชน อยากฝากพี่น้องประชาชนเป็นกระบอกเสียงให้พรรคพลังประชารัฐ ไปฝากญาติพี่น้อง ในวันที่ 14 พฤษภาคม ขอให้ไตร่ตรองให้ดี ลุงป้อมได้ประกาศสงครามกับความยากจน และก้าวข้ามความขัดแย้ง

ด้านนายวราเทพ วราเทพ กล่าวย้ำถึงนโยบาย มีเราไม่มีแล้ง มีน้ำไม่มีจน มีที่ทำกินไม่มีจน ซึ่งหากพี่น้องมีปัญหาเรื่องที่ดิน และเรื่องน้ำ ต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐ ทุกพรรคการเมืองหาเสียง อยากจะแก้ไขปัญหาเรื่องเอกสารสิทธิ์ที่ดิน เรื่องสปก. พร้อมยืนยันว่า คนที่ทำได้แน่นอน คือพลเอกประวิตร เพราะมีประสบการณ์ ดังนั้น พิษณุโลก 5 เขต เราขอยกทีม ประกอบด้วยผู้สมัคร ทั้ง 5 เขตของจังหวัดพิษณุโลกนาย อดุลวิทย์ วิวัฒน์ธนาฒย์ หมายเลข 11 เขต 1 นาย ศิริชิน หาญพิทักษ์พงศ์ หมายเลข 4 เขต 2 นาย หัสนัยน์ สอนสิทธิ์ หมายเลข 7 เขต 3 นาย อัศวิน นิลเต่า หมายเลข 7 เขต 4 นาย เอกพงษ์ กุลเจริญ หมายเลข 1 เขต 5

อย่างไรก็ตามช่วงเย็นวันนี้พรรคพลังประชารัฐ จะปราศรัยใหญ่ ที่อำเภอพรหมพิราม เป็นเวทีที่ 3 โดยมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค นำการปราศรัย ซึ่งถือเป็นโค้งสุดท้ายของเวทีการหาเสียงที่มีความเข้มข้น และคึกคัก

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 พฤษภาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร”ขอเซลฟี่กับชาวตรัง บอก อยากเก็บภาพทุกคนที่มีความสุข ทันทีที่เป็นรัฐบาลชาวตรังต้องหัวเราะดังกว่านี้ ลั่น แก้ไขราคาน้ำมันปาล์มมา 7 ปี จากนี้ไปราคาจะมีความเสถียรภาพ

,

“พล.อ.ประวิตร”ขอเซลฟี่กับชาวตรัง บอก อยากเก็บภาพทุกคนที่มีความสุข ทันทีที่เป็นรัฐบาลชาวตรังต้องหัวเราะดังกว่านี้ ลั่น แก้ไขราคาน้ำมันปาล์มมา 7 ปี จากนี้ไปราคาจะมีความเสถียรภาพ

พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ภาคใต้ที่ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 (ศาลากลางจังหวัดตรัง) นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และคณะกรรมการบริหารพรรค ประกอบด้วย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิก พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.,นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง และนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ ประกอบด้วย นายนิพันธ์ ศิริธร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ,นายกิตติพงศ์ ผลประยูร เขต 1 เบอร์ 3 ,นายทวี สุระบาล เขต 2 เบอร์ 6 ,พ.ต.ท.นัทธพงศ์ ใจสมุทร เขต 3 เบอร์ 1 และ พ.ต.อ.บรรลือ ชูเวทย์ เขต 4 เบอร์ 4

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวปราศรัยว่า ตนและพรรคพลังประชารัฐพร้อมจะรับใช้ชาวจังหวัดตรังทุกคน เราเลือกคนดีและคนเก่งมาเป็นผู้แทนของประชาชน จึงขอให้เลือกผู้สมัครของพลังประชารัฐทั้ง 4 เขต และเลือกพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 บัตรสีเขียว วันนี้ตนอยากให้คนไทยรักกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง และความยากจนไปด้วยกัน ขอให้เชื่อมั่นในพรรคพลังประชารัฐและผู้สมัครทั้ง 4 คนที่ยืนอยู่ตรงนี้

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ตนดูแลและแก้ปัญหาราคาน้ำมันปาล์มมา 7 ปี โดยราคาขยับขึ้นจากบาทกว่า ไปเป็น 7 บาท ซึ่งปัจจุบันก็อยู่ประมาณ 5-6 บาท ทันทีที่พรรค พปชร.เป็นรัฐบาล ตนจะทำให้เกิดความเสถียรเพื่อให้ชาวจังหวัดตรังอยู่ดีกินดีขึ้น ปัญหาราคายางตกต่ำจะต้องหมดไป ซึ่งขอยืนยันว่า นโยบายแก้ไขปัญหาราคายาง และราคาปาล์ม ของพรรค พปชร.สามารถทำได้จริง และเราพร้อมทำทันที

“เราจะมาช่วยกันเพื่อพัฒนาประเทศ โดยมีเป้าหมายให้ชาวจังหวัดตรังได้อยู่ดีกินดี ซึ่งตามนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ เราต้องการให้คนไทยทุกคนมีความสุข
เราจะทำให้เมืองตรังเป็นเมืองอัจฉริยะ เราจะพัฒนาเรื่องการท่องเที่ยวให้กับพื้นที่นี้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป ทุกคนที่นี่ต้องได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียมกัน เราจะสร้างงานสร้างรายได้ให้กับพี่น้องชาวจังหวัดตรัง เพื่อให้เกิดการพัฒนาและแก้ไขปัญหาการเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญมาก ผมขอฝากพรรคพลังประชารัฐและผู้สมัครของพรรคไว้กับชาวตรังทุกคนด้วย”

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า วันพรุ่งนี้ เป็นวันเลือกตั้งล่วงหน้า ขอให้ทุก ๆ คนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง อย่าลืมกาเบอร์ 37 รวมถึงผู้สมัครทั้ง 4 เขตของพรรคพลังประชารัฐ ขอให้เราเข้าไปทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชนในสภา และพรรคประชารัฐพร้อมที่จะดูแลประชาชนให้มีความเจริญรุ่งเรือง ให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่ดีกินดี และมีความสุขตลอดไป

ด้าน ศ.ดร.นฤมล กล่าวปราศรัยว่า นโยบายของพรรคพลังประชารัฐ เราจะเข้ามาดูแลประชาชน ไม่ว่าจะเป็นบัตรพลังประชารัฐ ที่ตอนนี้ให้อยู่ใบละ 300 จะได้เพิ่มเป็นใบละ 700 บาท พร้อมให้ประกันชีวิตเพิ่มอีก 200,000 บาท รวมถึงเราจะแก้ปัญหาให้เกษตรกรทั้ง 8 ล้านครอบครัว มีเกษตรกร 8 ล้านครอบครัวซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ พรรคพลังประชารัฐ หลังจากการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว เราจะเติมเงินให้ครอบครัวละ 30,000 บาท ส่วนเรื่องการดูแลกลุ่มเปราะบางกลุ่มผู้สูงอายุ 3 4 5 และ 6 7 8 โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะได้รับ 3,000 บาท อายุ 70 ปีขึ้นไป จะได้รับ 4,000 บาท และอายุ 80 ปีขึ้นไปจะได้รับ 5,000 บาท ถ้าชาวจังหวัดตรังอยากจะได้ทุกอย่าง วันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งล่วงหน้า และวันที่ 14 พ.ค.การเลือกตั้งครั้งนี้มีบัตร 2 ใบ บัตรสีม่วงขอให้เลือกผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐทั้ง 4 เขต ส่วนบัตรสีเขียวก็ให้กาเบอร์ 37 พรรคพลังประชารัฐ

ด้านนายสนธิรัตน์ กล่าวปราศรัยว่า คนใต้มีหัวใจ 4 ห้อง มีพรรคการเมืองในดวงใจ 4 พรรค แต่วันนี้ผมอยากขอพี่น้องชาวตรัง มีหัวใจห้องเดียวเลือกพรรคเดียวคือพรรคพลังประชารัฐ ให้ ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐทั้ง 4 เขต และวันนี้พรรคพลังประชารัฐเหมาะสมที่สุดที่จะเปลี่ยนผ่านสถานการณ์ทั้งหมด เราเป็นพรรคที่มีหัวหน้าพรรคที่มีบารมี มีประสบการณ์ พูดจากับทุกพรรคได้มากที่สุด พี่น้องชาวใต้ต้องตัดสินใจเลือกด้วยยุทธศาสตร์พรรคเดียว พร้อมใจกันเทคะแนนเสียงให้อยู่กับพรรคเดียว แล้วให้พรรคนั้นเป็นหลัก นั่นคือพรรคพลังประชารัฐ

อย่างไรก็ตาม ช่วงหนึ่งของการปราศรัย พล.อ.ประวิตรได้ระบุว่า อยากจะถ่ายรูปเซลฟี่กับชาวจังหวัดตรังด้วยมือถือของตนเอง พร้อมกับยกมือถือของตัวเองขึ้นมาถ่ายด้วย และกล่าวว่า อยากถ่ายรูปตอนที่ทุกคนหัวเราะ อย่างมีความสุข ผมจะจำภาพเหล่านี้เอาไว้ และเมื่อผมได้เป็นรัฐบาลแล้ว ผมเชื่อมั่นว่า ท่านจะหัวเราะได้ดังกว่านี้แน่นอน

ทั้งนี้ หลังจบการปราศรัย มีเด็กผู้ชายขึ้นไปขอถ่ายรูปและให้กำลังใจ บอกรัก”ลุงป้อม” และขอให้ลุงป้อมเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 6 พฤษภาคม 2566