โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: สื่อออนไลน์

“ส.ส.สะถิระ” เสนอแนะแก้ไขกฎระเบียบฌาปนกิจผู้สูงอายุ แบ่งเบาภาระค่าตรวจ DNA

,

“ส.ส.สะถิระ” เสนอแนะแก้ไขกฎระเบียบฌาปนกิจผู้สูงอายุ ยืดเวลาจาก 6 เดือน เป็น 1 ปี-แบ่งเบาภาระค่าตรวจ DNA

นายสะถิระ เผือกประพันธุ์ ส.ส.ชลบุรี เขต 8 พรรคพลังประชารัฐ อาสาเป็นตัวแทนของกลุ่มผู้สูงอายุ จ.ชลบุรี รวมถึงประชาชนชนทั่วประเทศ ผ่านที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ถึงกรณีความเดือดร้อนในกลุ่มผู้สูงอายุและครอบครัวผู้สูงอายุ ที่ไม่ทราบถึงสิทธิการรับเงินค่าฌาปนกิจศพ จำนวน 3,000 บาท ตามประกาศของกระทรวงพัฒนาและความมั่นคงของมนุษย์ ประกอบกับระยะเวลาในการยื่นขอรับเงิน มองว่า 6 เดือน เป็นระยะเวลาที่สั้นเกินไป จึงขอให้ขยายระยะเวลาเป็น 1 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม ทั้งนี้ ยังพบว่ามีกลุ่มครอบครัวผู้สูงอายุได้ยืนขอเงินไปแล้วนานกว่า 2-3 ปี แต่ยังไม่ได้รับเงินจำนวนดังกล่าว จึงอยากฝากท่านประธานสภาฯ ผ่านไปยัง นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เร่งแก้ปัญหาและประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง

ทั้งนี้ ยังได้รับรู้ถึงปัญหาของกลุ่มผู้สูงอายุที่ยังไม่มีบัตรประชาชน ที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในตรวจ DNA เพื่อสืบญาติ ซึ่งมองว่าเป็นจำนวนเงินที่สูงถึง 15,000 – 20,000 บาทต่อคน ตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงมหาดไทย ทำให้กลุ่มผู้สูงอายุบางคนยอมที่จะไม่มีบัตรประชาชนเนื่องจากไม่มีเงินในการตรวจ DNA ซึ่งทำให้เสียโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ จึงอยากฝากท่านประธานสภาฯ เป็นสื่อกลางไปยัง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เร่งดำเนินการพิจารณาข้อกฎหมายต่างๆ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันของประชาชนคนไทย

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 2 ธันวาคม 2564

“ส.ส.กรุงศรีวิไล” เสนอเปิดสถานบันเทิงช่วงคริสต์มาส-ปีใหม่ชั่วคราว

,

“ส.ส.กรุงศรีวิไล” เสนอเปิดสถานบันเทิงช่วงคริสต์มาส-ปีใหม่ชั่วคราว

ช่วยเหลือผู้ประกอบการ-คนกลางคืน-สร้างรายได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก ส.ส.สมุทรปราการ เขต 5 พรรคพลังประชารัฐ ได้หารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ถึงกรณีที่ได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการสถานบันเทิง อาทิ ผับ และบาร์ ทั่วประเทศ รวมถึงเครือข่ายผู้ประกอบอาชีพกลางคืน ทั้งนักร้อง นักดนตรี และพนักงานบริการต่างๆ ขอความกรุณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เร่งพิจารณาการเปิดให้บริการของสถานบันเทิงเป็นการชั่วคราวในช่วงเทศกาล โดยเฉพาะในช่วงเทศการคริสต์มาสและเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง หลังจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำให้ไม่มีรายได้ที่จะจุนเจือครอบครัว และต้องแบกรับภาระต่างๆ มากมาย อาทิ ค่าโทรศัพท์ และหนี้สินต่างๆ ที่ต้องจ่ายเป็นประจำทุกเดือนตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ หากข้อเรียกร้องดังกล่าวได้รับการพิจารณาและได้รับการอนุญาตให้เปิดสถานบันเทิงในช่วงเทศกาลดังกล่าว จะทำให้เกิดการจ้างงานในหลายสาขาอาชีพ ซึ่งจะนำไปสู่การจับจ่ายใช้สอยต่างๆ มีเม็ดเงินสะพัดและหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มขึ้น โดยผู้ประกอบการมีความพร้อมและปฏิบัติตามแนวทางของภาครัฐอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการรักษาการแพร่ระบาดของสาธารณะสุข ไม่ว่าจะป็นการส่วมใส่หน้ากกากอนามัย การเว้นระยะหว่างอย่างน้อย 1-2 เมตร และการล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ตลอดเวลา

ดังนั้น จึงอยากฝากท่านประธานสภาฯ ผ่านไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรับเรื่องและดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ทันกับช่วงเทศกาลในช่วงปลายปีนี้

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 2 ธันวาคม 2564

ส.ส.รงค์ หารือสภาฯ เร่งกรมแขวงฯ – กรมชลติดตั้งระบบท่อลอด

,

ส.ส.รงค์ หารือสภาฯเร่งกรมแขวงฯ-กรมชลติดตั้งระบบท่อลอดเพิ่มการระบายน้ำ หนุนกรมศิลป์เสนอฯพระธาตุเป็นมรดกโลกของจังหวัดนครศรีธรรมราช

ส.ส.รงค์ นครศรีธรรมราช พปชร. หารือที่ประชุมสภาฯเสนอ 3 เรื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งติดตั้งท่อลอดเพิ่มประสิทธิภาพระบายน้ำลดน้ำท่วมซ้ำ ควบคู่กับวางระบบไฟจราจรถนนเรียบรถไฟมะม่วงสองต้น พร้อมดันกรมศิลป์นำเสนอเรื่องพระธาตุ เร่งพิจารณา หนุนสู่คณะกรรมการยกเป็นมรดกโลกต่อไป

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2564 รศ.ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 1 นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ หารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 11 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่2) ก่อนหารือ 3 เรื่อง กระผมขอเป็นตัวแทนประชาชนจากจังหวัดนครศรีธรรมราช ขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้เข้าไปแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ท่วมขังในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทำให้ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาไม่เกิดปัญหาน้ำท่วมแล้ว

ทั้งนี้ประเด็นที่จะหารือในที่ประชุม 3 เรื่อง คือเรื่องแรกการทำท่อลอดที่ตลาดนาชุม ตำบลโพธิ์เสด็จ โดยขอให้กรมแขวงการทางและ กรมชลประทานสามฝา เทศบาลนครนครศรีธรรมราช เทศบาลโพธิ์เสด็จ ช่วยกันบูรณาการในการเข้ามาติดตั้งระบบท่อลอดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำที่ท่วมในหมู่ที่ 3,4,5 และในชุมชนโพธิ์เสด็จ ซึ่งการติดตั้งท่อรอดจะช่วยลดผลกระทบไม่ให้ประชาชนที่อาศัยอยู่จำนวนหลายครัวเรือนได้รับผลกระทบน้ำท่วมขังอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงหารือหรือให้ทุกภาคส่วนร่วมดำเนินการให้โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนในอนาคตต่อไป 2. เรื่องขอไฟเขียวไฟแดงใน หมู่ที่ 1 ตำบลมะม่วงสองต้น ซึ่งการติดตั้งระบบไฟเขียวไฟแดงที่ถนนเรียบทางรถไฟ ยาวประมาณ 7 กิโลเมตร แต่ที่ตำบลมะม่วงสองต้น ไม่มีไฟสัญญาณจราจรจึงทำให้เกิดปัญหาอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวและได้เรียกร้องขอให้ทางหลวงชนบทเข้ามาดำเนินการติดตั้งระบบไฟจราจรในถนนเรียบทางรถไฟลดปัญหาเกิดอุบัติเหตุซ้ำอีกได้อย่างเป็นรูปธรรม

และเรื่องสุดท้ายคือ พระธาตุ ซึ่งจังหวัดนครศรีธรรมราชได้เสนอให้พระธาตุเป็นมรดกโลกของจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการส่งเอกสารมายังกระทรวงวัฒนธรรมเป็นที่เรียบร้อยและอยากเร่งรัดให้นายกรัฐมนตรีหรือกระทรวงวัฒนธรรมกำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็คือกรมศิลปกรนำเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่คณะกรรมการเพื่อพิจารณาต่อไป

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 2 ธันวาคม 2564

“ธรรมนัส” ผนึก “นฤมล” ชูนโยบายจัดที่ดินทำกินเพื่อคนสุราษฎร์

, ,

“ธรรมนัส” ผนึก “นฤมล” ชูนโยบายจัดที่ดินทำกินเพื่อคนสุราษฎร์ พร้อมส่งผู้สมัครลงครบทุกเขต กระจายทัพ พปชร. ช่วย ปชช.

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อม ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคฯ พบปะสมาชิกพรรค และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สุราษฎร์ธานี เขต 1-6 เพื่อเป็นตัวแทนของพรรคพลังประชารัฐ ทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนนโยบาย และนำความเดือดร้อนของประชาชนส่งต่อการแก้ปัญหาอย่างตรงจุด โดยเฉพาะการแก้ปัญหาที่ทำกิน และราคาพืชผลทางการเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพที่สำคัญของคนสุราษฎร์

วันที่ 30 พ.ย. 64 เวลา 11.30 น. ที่โรงแรมแก้วสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค พร้อม ส.ส.ของพรรค ได้เดินทางมาให้กำลังใจในการประชุมการเลือกตัวแทนพรรคพลังประชารัฐ เขต 1-6 เพื่อเป็นตัวแทนในการทำงานของพรรคในฐานะปากเสียงของประชาชนชาวสุราษฎร์ เพื่อเสนอต่อกรรมการนโยบายพรรคในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนได้อย่างรวดเร็ว และตรงเป้าหมาย โดยมีสมาชิกพรรคในภาคใต้ 14 จังหวัด ให้การร่วมต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง ภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

ร.อ.ธรรมนัส ได้ขึ้นเวทีพร้อมกล่าวต้อนรับว่าที่ตัวแทนเขต 1-6 พร้อมขอบคุณทุกคน ทั้งชาวสุราษฎร์ธานี และตัวแทนสมาชิกพรรคทุกคน ที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ตั้งแต่ที่สนามบิน ซึ่งทำให้เห็นว่าการทำงานที่ผ่านมาของตนเองมีผลทำให้ทุกคนเกิดความเชื่อใจ ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีในการที่จะรวมพลังในการได้รับความไว้วางใจในการเป็นตัวแทนของประชาชนในฐานะฝ่ายรัฐบาลอีกครั้ง โดยเป้าหมายหนึ่งเดียวคือการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องฐานราก ที่ถือเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยมากที่สุด ที่ส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรมซึ่งเป็นรายได้ของประเทศ แต่กลับต้องเจอสภาวะผลผลิตตกต่ำไม่ได้ราคา โดยเฉพาะภาคใต้ที่ส่วนใหญ่มีอาชีพปลูกปาล์มและยางพารา ที่ยังต้องประสบปัญหาส่งผลต่ออาชีพรายได้ และปากท้อง

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนเองเคยได้รับการร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนใน อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี ที่อาศัยอยู่ในที่ดิน สปก. ไม่มีบ้านเลขที่ ทำให้น้ำ ไฟ เข้าไม่ถึง เมื่อทราบเรื่องและได้ลงพื้นที่จึงได้ดำเนินการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการทันที ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ตรงนี้หลายเป็นพื้นที่ของความเจริญ นั่นจึงทำให้เชื่อว่าการมีตัวแทน ส.ส.แต่ละเขตเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้พรรคพลังประชารัฐ สามารถเข้าถึงปัญหาของประชาชนได้อย่างทั่วถึง ไม่ใช่เพียงแค่การมองภาพรวมของจังหวัด แต่ต้องมองให้ลึกลงไปยังความเดือดร้อน โดยเฉพาะการลดขั้นตอนการทำงานของรัฐบาลที่ทำให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างล่าช้า

“ผมเชื่อว่าครอบครัวพลังประชารัฐ จะสามารถสร้างพลังพัฒนาสุราษฎร์ธานี ทั้ง 6 เขต จะช่วยทำให้พี่น้องฐานราก อิ่มท้อง มีอาชีพ มีรายได้ มีชีวิตที่ดีขึ้น”

ศ.ดร. นฤมล ยืนยันว่า พรรคพลังประชารัฐพร้อมส่งตัวแทนผู้สมัคร ส.ส.สุราษฎร์ธานีลงทุกเขต ตั้งเป้าหมายไม่ว่าในอนาคตตนเอง และ ร.อ.ธรรมนัส จะมีตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ ก็จะยังเดินหน้าแก้ปัญหาเรื่องที่ดินทำกินให้กับชาวบ้านต่อไป เพราะเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่มีใครแก้ได้ แต่ที่ผ่านมา ร.อ.ธรรมนัส ก็ดำเนินการอย่างเต็มความสามารถเพื่อยึดคืนที่ดินจากนายทุนกลับมาให้พี่น้องประชาชนได้มีที่ทำกิน รวมถึงบัตรสวัสดิการรัฐ ที่จะดูแลตั้งแต่ในครรภ์มารดาจนถึงเชิงตะกอน ในการแก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน และการแก้ปัญหาของสินค้าทางการเกษตรที่จะต้องมีการตลาดนำ มีตลาดส่งออก และการแปรรูปสินค้า

“ไม่ได้ต้องการอำนาจ ไม่ได้ต้องการผลประโยชน์ แต่เราต้องการมาแก้ปัญหาเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ด้วยเป้าหมายเดียวกันคือการแก้ปัญหาอย่างไรให้ประชาชนอยู่ดีกินดีแบบยั่งยืน”

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 30 พฤศจิกายน 2564

“ธณิกานต์” ขอบคุณ “บิ๊กป้อม” เห็นความสำคัญปัญหาเด็ก-สตรี ตั้งเป็นที่ปรึกษาฯ

, ,

“ธณิกานต์” ขอบคุณ “บิ๊กป้อม” เห็นความสำคัญปัญหาเด็ก-สตรี ตั้งเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าภาค ขับเคลื่อนการแก้ปัญหา ให้เข้าถึงสิทธิและสวัสดิการจากภาครัฐ

น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส. เขตบางซื่อ-ดุสิต ลงพื้นที่ขับเคลื่อนดูแลด้านสิทธิและสวัสดิภาพเยาวชนและสตรี หลังได้รับมอบหมายและโอกาสจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาหัวหน้าภาค ด้านสิทธิและสวัสดิภาพเยาวชนและสตรี

น.ส.ธณิกานต์ กล่าวขอบคุณหัวหน้าพรรคและหัวหน้าภาค ที่เห็นความสามารถและให้ความไว้วางใจ มอบหมายตำแหน่งเพิ่ม เพื่อเป็นตัวแทนในการรับฟังและร่วมผลักดันนโยบายด้านสิทธิและสวัสดิภาพเยาวชนและสตรี ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

โดยระบุว่า ปัจจัยสี่ ต้องเป็นสวัสดิการในระดับนโยบายชาติที่เข้าถึงได้จริง ตนพร้อมผลักดันดูแลเยาวชนและสตรี ให้เข้าถึงสิทธิและสวัสดิการจากภาครัฐ โดยเฉพาะด้านสภาพที่อยู่อาศัยที่ไม่ปลอดภัย ต้องได้รับการดูแลอย่างเป็นรูปธรรม-เข้าถึง-ทันที

น.ส.ธณิกานต์ กล่าวอีกว่า สำหรับผู้มีรายได้น้อย (กลุ่มเปราะบาง) กลุ่มแม่เลี้ยงเดี่ยว ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ต้องการความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย จากสภาพที่อยู่อาศัยผุพัง หลังคารั่ว สัตว์มีพิษหรือโจรผู้ร้ายอาจเข้ามาได้ สามารถส่งรูปสภาพความเดือดร้อนและติดต่อได้ที่ FB page อุ๋ม ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ หรือ Line @oumthanikan (มี @ ข้างหน้า) เพื่อเป็นกระบอกเสียงและผลักดันให้ได้รับการดูแลอย่างจริงจัง

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 30 พฤศจิกายน 2564

พล.อ. ประวิตร ลั่น พปชร. เป็นหนึ่งเดียวหนุน ส.ส. กทม. ลุยทำงานเต็มสูบ

, ,

พล.อ. ประวิตร ลั่น พปชร. เป็นหนึ่งเดียวหนุน ส.ส. กทม. ลุยทำงานเต็มสูบ หวังรับโอกาสจากปชช. เลือก ส.ส. ครองแชมป์อันดับ 1 พื้นที่กทม. อีกครั้ง

พล.อ. ประวิตร หัวหน้าพรรค พปชร. เปิดเวทีพบปะตัวแทนพรรค 30 เขตกทม. พร้อม ส.ส.ในพื้นที่ ตอกย้ำความเชื่อมั่นพรรคเป็นหนึ่งเดียว ดึงคนรุ่นใหม่ทำงานร่วมกับผู้มีประสบการณ์ ลุยทำงานช่วยเหลือประชาชนแก้ไขปัญหาทุกพื้นที่ มั่นใจการเลือกตั้งสมัยหน้า คว้าชัยชนะอันดับ 1 กทม. อีกครั้ง

วันที่ 27 พ.ย. 64 เวลา 17.00 น. ณ ห้องประชุม โรงแรมรอยัลริเวอร์ เชิงสะพานกรุงธน เขตบางพลัด กทม. พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เป็นประธานการประชุมสัมมนาสมาชิกพรรค พปชร. กรุงเทพมหานคร (กทม.) และมอบนโยบายพรรค โดยมีผู้บริหารพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรค อาทิ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค และทีมสมาชิกพรรคใน กทม. ให้การร่วมต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง ภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

เวลา 17.20 น. พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค พปชร.ได้ขึ้นเวทีกล่าวต้อนรับตัวแทนพรรคประจำเขต กทม.ในเขตเลือกตั้งที่ 22 27 28 29 และ 30 พร้อมมอบนโยบาย และทิศทางการทำงานของภาค กทม. และคณะทำงานภาค โดยมีนายจักรพันธ์ พรนิมิตร หัวหน้าภาค กทม. เป็นผู้ประสานงานดูแล ส.ส. ภาคกทม. ซึ่งประกอบด้วยทีมที่มีประสบการณ์และคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ พร้อมจะเข้าไปช่วยเหลือดูแลประชาชนตามแนวทางของพรรค ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน ที่จะได้รับโอกาสในการเข้ามาสู่การเป็นตัวแทนของประชาชนอีกครั้งเหมือนกับการเลือกตั้งรอบที่ผ่านมา

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กล่าว แสดงจุดยืนของพรรค พปชร. ให้กับตัวแทน และสมาชิกพรรค ว่า ในการขับเคลื่อนของพรรค ที่ปัจจุบัน เรามี ส.ส.จำนวน 12 คน ถือเป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และหวังว่า ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป เราจะมีจำนวน ส.ส.เพิ่มขึ้นอีก โดยอาศัยความร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวของตัวแทนพรรคทั้ง 30 เขต ในพื้นที่ กทม. โดยย้ำให้สมาชิกทุกคนช่วยกันดูแลและสนับสนุนพรรค เพราะไม่ได้เป็นพรรคเฉพาะกิจ เป็นสถาบันการเมืองที่พร้อมทำงานให้กับประเทศชาติ ประชาชน ยึดมั่นในสถาบันฯ ซึ่ง พรรค พปชร. พร้อมร่วมมือกันทำงาน ในการช่วยเหลือประชาชนให้เกิดความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งตนในฐานะหัวหน้าพรรค จะทำหน้าที่ในการดูแล ส.ส. และพรรคการเมืองให้เป็นปึกแผ่น ส่วนนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่ในการบริหารประเทศ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนประเทศชาติให้เดินหน้าต่อไป

โอกาสนี้ ร.อ. ธรรมนัส และ ศ.ดร.นฤมล ได้ร่วมพบปะ ส.ส. และตัวแทนพรรค พร้อมให้กำลังใจ ตัวแทนพรรคใน กทม. และทีมงานทุกคน ขอให้มุ่งมั่นขับเคลื่อนการทำงานนโยบายพรรค ตามที่หัวหน้าพรรคได้เน้นย้ำไว้ ซึ่งที่ผ่านมา ทุกคนได้ร่วมแรงร่วมใจลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง ภายใต้สถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดโควิด-19 ปัญหาอุทุกภัยในพื้นที่ต่างๆ รอบกรุงเทพฯ จึงมั่นใจว่าประชาชนจะมีความไว้วางใจ และมีความเชื่อมั่นที่จะได้รับโอกาสในการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่จะมาถึง เพื่อให้พรรค พปชร. ได้รับชัยชนะ เป็นอันดับ 1 อีกครั้ง ในพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างแน่นอน

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 27 พฤศจิกายน 2564

“ภาดาท์” ส.ส.เขต 6 พรรคพลังประชารัฐ เสนอ 3 ข้อต่อรัฐบาลเพื่อส่งเสริมการใช้รถไฟฟ้า

, ,

“ภาดาท์” ส.ส.เขต 6 พรรคพลังประชารัฐ เสนอ 3 ข้อต่อรัฐบาลเพื่อส่งเสริมการใช้รถไฟฟ้า เพื่อลดมลพิษและก๊าซเรือนกระจก ตามเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรีที่ได้มีการประกาศไว้ที่การประชุม COP26

นางสาวภาดาท์ วรกานนท์ จังหวัดกรุงเทพมหานคร เขต 6 พรรคพลังประชารัฐ ร่วมอภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เรียกร้องรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวในการแก้ปัญหาลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและก๊าซคาร์บอน ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีการประกาศในการประชุม COP26 การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มีเจตนารมณ์ว่าประเทศไทยพร้อมยกระดับการแก้ปัญหาภูมิอากาศอย่างจริงจังด้วยการลดคาร์บอนและลดก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์

โดยมองว่า หนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้บรรลุตามเจตนารมณ์คือการใช้รถไฟฟ้า ที่ปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่ก็มีความต้องการอยากจะใช้รถไฟฟ้าเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และช่วยทำให้อากาศสะอาด แต่ก็เป็นไปได้ยาก เนื่องรถไฟฟ้ายังมีราคาแพง การเข้าถึงของประชาชนก็เป็นไปได้ยาก ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องกำหนดนโยบายเพื่อกระตุ้นในการเปลี่ยนมาใช้พลังงานรถไฟฟ้าให้เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ดังนั้นจึงขอเรียกร้องใน 3 ประเด็นหลัก คือ ควรลดภาษีการนำเข้าอุปกรณ์ หรือรถไฟฟ้าทั้งภาษีสรรพสามิต และภาษีมหาดไทย, เพิ่ม และส่งเสริมการลงทุน เนื่องจากอากรการนำเข้ายังแพง,รัฐต้องนำร่องรถของรัฐทั้งหมดเป็นรถไฟฟ้า เพื่อที่จะให้นานาประเทศเห็นว่าไทยจริงจังในเรื่องนี้

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 27 พฤศจิกายน 2564

25 พฤศจิกายน วันรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรีและบุคคล

,

25 พฤศจิกายน วันรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรีและบุคคลในครอบครัว

ร่วมแสดงออกด้วยการติดสัญลักษณ์ ‘ริบบิ้นขาว’ สื่อว่า ไม่ยอมรับ ไม่นิ่งเฉย ไม่กระทำความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ทุกรูปแบบจากสถิติประเด็นปัญหาสังคมที่เกิดกับผู้หญิงและเด็ก ทั้งการถูกทำร้าย ล่อลวง ละเมิด คุกคาม ข่มขืนกระทำชำเรา พบว่ากว่า 80% เกิดจากคนใกล้ชิดหรือคนรู้จัก ดังนั้น ปัญหาความรุนแรงไม่ใช่เรื่องไกลตัว และบ้านไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone) ของทุกคน

หากพบเห็นความรุนแรงในครอบครัวสามารถติดต่อหน่วยงานรัฐหรือมูลนิธิต่างๆ เพื่อเข้าสู่กระบวนการดูแลช่วยเหลือ เช่น สายด่วน 191 หรือ สายด่วน 1300 ซึ่งเป็นศูนย์ช่วยเหลือสังคม One Stop Crisis Center (OSCC) ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) หรือ สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ เครือข่ายพลเมืองเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Citizens Alliance) ช่องทางออนไลน์ FB page : SDG Citizens ประชาชนคนรุ่นเปลี่ยน

ช่องทางพิเศษ! สำหรับพี่น้องชาวบางซื่อ-ดุสิต ที่มีสภาพไม่ปลอดภัย ต้องการการดูแลช่วยเหลืออย่างจริงจัง ติดต่อทีมงาน ส.ส.อุ๋ม ธณิกานต์ ได้ที่ Line @oumthanikan (มี @ ข้างหน้าด้วยค่ะ)
หรือ โทร.065-694-2245
หรือ Facebook อุ๋ม ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์

#ยุติความรุนแรงในครอบครัว
#อุ๋มธณิกานต์ใส่ใจความปลอดภัยผู้หญิง
#เรื่องผู้หญิงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 25 พฤศจิกายน 2564

“รมว.ดีอีเอส” ปรับบริการ 1212 สู่ศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์

,

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า กระทรวงดีอีเอสได้ปรับโฉมบริการโทร 1212 OCC สู่ “ศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์” เพื่อยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภค และประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพและกลโกงทางออนไลน์ ให้เข้าถึงกระบวนการช่วยเหลือเยียวยาได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยขยายขอบเขตการรับเรื่องร้องเรียนไปถึงปัญหาอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ปัญหาการฉ้อโกง เว็บไซต์ผิดกฎหมาย และแชร์ลูกโซ่ พร้อมบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ให้มากขึ้น

โดยครอบคลุมทั้ง ขยายการทำงานในการป้องกันและจัดการปัญหาออนไลน์ไปยังภาครัฐ ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่จะทำให้การดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดเป็นไปได้เร็วขึ้น, ภาคเอกชน ที่เป็นบริษัทด้านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม กูเกิล และยูทูบ, ภาคประชาสังคม เช่น สภาองค์กรของผู้บริโภค

นายชัยวุฒิกล่าวว่านอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งคณะกรรมการป้องกันและจัดการปัญหาและข้อร้องเรียนหรือภัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางออนไลน์ ที่บูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การป้องกัน จัดการ และแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนมีประสิทธิภาพมากที่สุด ตลอดจนขยายช่องทางการรับแจ้งเรื่อง ของศูนย์ผ่านช่องทาง Line และสำนักงานสถิติจังหวัด เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนได้มีจุดรับเรื่องร้องเรียนเพิ่มขึ้น เป็นต้น

ขณะที่ ล่าสุดเตรียมจัดตั้งศูนย์ปราบปรามมิจฉาชีพทางออนไลน์ เพิ่มประสิทธิภาพทำงานร่วมกันกับตำรวจ ธนาคาร ผู้ให้บริการโทรคมนาคม แพลตฟอร์มโซเชียล และ กสทช. มุ่งพันธกิจในการเร่งรัดติดตามการป้องกันปราบปรามมิจฉาชีพออนไลน์ บูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดติดตามดำเนินคดีผู้กระทำผิด ลดอุปสรรคความล่าช้าในกระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานและแกะรอยเส้นทางการเงินของบัญชีมิจฉาชีพ ตลอดจนหาแนวทางดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุให้รวดเร็วที่สุด

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า จากการประชุมวานนี้ (23 พ.ย. 64) ร่วมกับตัวแทนจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ข้อสรุปหลักๆ เพื่อจัดทำแนวทางแก้ปัญหา ได้แก่ จะมีการหารือกับสมาคมธนาคารไทย และแบงก์ชาติ เพื่อพิจารณาแนวทางการป้องกันในการเปิดบัญชีแทนผู้อื่น และบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายกับการรับจ้างเปิดบัญชี (บัญชีม้า) ซึ่งถือเป็นต้นตอร้ายแรงของปัญหามิจฉาชีพและกลโกงทางออนไลน์ในปัจจุบัน

“เรื่องการเปิดบัญชีแทนผู้อื่น อาจกำหนดโทษที่เพิ่มขึ้นจากเดิม ซึ่งกำหนดให้ผู้ที่นำบัญชีไปจะนำไปใช้ในการกระทำความผิด เจ้าของบัญชีจะมีความผิดฐานฟอกเงิน ต้องระวางโทษจำคุก 1 – 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 ถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

ขณะที่นายณภัทร ชุ่มจิตตรี หรือคิง ก่อนบ่าย กล่าวว่า เชื่อว่ากระบวนการทำงานของศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ ซึ่งทางกระทรวงดิจิทัลฯ ผลักดันให้เกิดขึ้นครั้งนี้ จะช่วยแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี เพราะโดยส่วนตัวซึ่งเป็นหนึ่งในเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์ ไม่อยากให้มีประชาชนตกเป็นเหยื่อขบวนการเหล่านี้อีกต่อไป พร้อมกันนี้อยากเสนอแนะให้มีการพัฒนาเป็นแอปพลิเคชั่น เพื่อช่วยให้ประชาชนเข้าถึงศูนย์ร้องเรียนได้มากขึ้นและรวดเร็วขึ้น

สำหรับกรณีของตนเองซึ่งมีบุคคลในครอบครัวถูกหลอกลวงทางออนไลน์ก่อนหน้านี้ จากการติดตามความคืบหน้ากับตำรวจเพื่อติดตามตัวผู้กระทำผิด ทำให้รับทราบปัญหาด้านกระบวนการในการติดตามเส้นทางบัญชีโอนเงิน เนื่องจากธนาคารกำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่าใช้เวลาราว 2 เดือนต่อ 1 บัญชี ขณะที่ขบวนการมิจฉาชีพมีการโอนต่อไปยังหลายบัญชี ดังนั้นกว่าจะได้ข้อมูลเพื่อประกอบพยานหลักฐานยื่นศาลต้องใช้เวลาเกินปี ไม่ทันการณ์สำหรับการสกัดกั้นการไหลออกของเงิน และการติดตามเงินคืนผู้เสียหาย เพราะส่วนใหญ่หัวหน้าขบวนการอยู่ในต่างประเทศ

โดยในการแถลงข่าวปรับโฉมบริการโทร 1212 OCC สู่ “ศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์” มีดาราและ Influencer ชื่อดังมาร่วมงานแถลงข่าวครั้งนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ธันวา สุริยะจักร, ไมค์ ภัทรเดช สงวนความดี, คิง ก่อนบ่าย, เส้นด้าย พิมพ์ลดา เเววไทสง, ไวท์ ศุทธิ เรืองวิทยาโชติ, เบส อนาวิล ชาติทอง, สุระ รพีสิริรัตน์, เหม่เหม ธัญญวีร์ ชุณหสวัสดิกุล, สิงโต สกลรัตน์ พันเทศ พ.ศ. 2542 และตามประมวลกฎหมายอาญาร่วมด้วย” นายชัยวุฒิกล่าว

นอกจากนี้ เตรียมเพิ่มประสิทธิภาพในการประสานงานระหว่างหน่วยงาน โดยจะมีการจัดทำช่องทางสื่อสารกลางผ่านออนไลน์ ที่มีระบบความมั่นคงปลอดภัยระดับมาตรฐานสากล พร้อมกำหนดตัวตนของบุคคลที่จะอยู่ในเครือข่ายประสานงานการรับแจ้งความคดีด้านนี้ไว้อย่างชัดเจน เพื่อลดระยะเวลาในขั้นตอนติดตามขอข้อมูลประกอบพยานหลักฐานที่จะนำไปสู่การดำเนินคดี เพราะยิ่งฝ่ายสอบสวนสืบสวนได้รับข้อมูลล่าช้าจากธนาคารในเรื่องเส้นทางการเงินที่เหยื่อหลงเชื่อโอนไปบัญชีมิจฉาชีพ หรือจากผู้ให้บริการมือถือ ซี่งมีรายชื่อผู้ลงทะเบียนใช้บริการส่ง SMS หลอกลวง โอกาสที่จะติดตามเงินมาคืนให้กับผู้เสียหายจะยิ่งหมดไป เพราะมีการโอนกระจายต่อไปบัญชีอื่นๆ อย่างรวดเร็ว และหลายครั้งปลายทางอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ยากต่อนำผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า จำนวนประชากรที่ใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น กิจกรรมและการทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านออนไลน์จึงเติบโตสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลการสำรวจทั้งในมุมของพฤติกรรมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทย และสถิติมูลค่า e-Commerce ของประเทศไทย ที่ดำเนินงานโดย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ พบว่า จำนวนชั่วโมงของผู้ใช้งานอิเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นทุกปี ล่าสุดเฉลี่ย อยู่ที่ 11 ชั่วโมง 25 นาทีต่อวัน

สำหรับกิจกรรมยอดนิยมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตชาวไทยคือ Social media ทั้งการใช้งานด้านการทำกิจกรรมต่างๆ รวมไปถึงการซื้อขายสินค้าออนไลน์ เช่น SMEs มีการใช้ช่องทางของแอปพลิเคชั่นธนาคารในการรับชำระสินค้าและบริการ อยู่ที่ 58.56% และมีการใช้ Social commerce เป็นช่องทางการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย ถึง 71.83% เป็นต้น

ขณะที่ ตัวเลขสถิติการรับเรื่องร้องเรียนผ่าน 1212 OCC ที่ผ่านมา พบว่าจำนวนเรื่องร้องเรียน เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี ล่าสุดในปี 2564 ได้รับเรื่องร้องเรียนแล้ว 49,996 ครั้ง ปัญหาที่ถูกร้องเรียนเข้ามามากที่สุด คือปัญหาการซื้อขายของทางออนไลน์ 67.11 % รองลงมาคือ ปัญหาเว็บไซต์ผิดกฎหมาย 23.06 % และหากลงรายละเอียดของปัญหาการซื้อขายของทางออนไลน์ พบว่า ส่วนใหญ่มักเป็นปัญหาการสั่งซื้อสินค้าแล้วไม่ได้รับสินค้า หรือได้รับสินค้าไม่ตรงตามที่สั่งไว้มากถึง 47% ตามมาด้วย สินค้าไม่ได้มาตรฐานตามที่โฆษณา 29% เป็นต้น

“จากตัวเลขข้างต้น เราจะเห็นว่าโลกออนไลน์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราอย่างปฏิเสธไม่ได้ และแน่นอนว่า เมื่อคนทั่วโลกหันมาทำกิจกรรมต่างๆ ผ่านทางออนไลน์มากขึ้น ภัยคุกคามทางออนไลน์ ทั้ง การฉ้อโกง หลอกลวง ปัญหาในรูปแบบต่างๆ ก็เพิ่มตามมาด้วย ทำให้ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญในการเข้าไปดูแลคุ้มครองผู้บริโภคกันอย่างเข้มข้นและเอาจริงเอาจังกับการเข้าไปช่วยเหลือเยียวยาผู้บริโภคออนไลน์ที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่” นายชัยวุฒิกล่าว

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 24 พฤศจิกายน 2564

“สัณหพจน์” ยก “ศาลาดินโมเดล” แก้ปัญหาผักตบชวา ลุ่มน้ำปากพนัง

,

“สัณหพจน์” ยก “ศาลาดินโมเดล” แก้ปัญหาผักตบชวา สร้างรายได้คนลุ่มน้ำปากพนัง

ส.ส.พปชร.เขต 2 นครศรีฯ จี้หน่วยงานรัฐ เร่งแก้ปัญหา “ผักตบชวา” ลุ่มแม่น้ำปากพนัง แนะใช้ “ศาลาดินโมเดล” สร้างมูลค่าผักตบชวา เป็นทางออก ช่วยลดความเดือดร้อน พร้อมสร้างรายได้ยั่งยืนให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่

ดร.สัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.เขต 2 จ.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า จากการที่ตนได้หารือต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร กรณีปัญหาผักตบชวาในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง 3 อำเภอ ได้แก่ อ.เชียรใหญ่ อ.หัวไทร และอ.ปากพนัง เมื่อวันที่ 10 พ.ย.64

ล่าสุด ตนได้รับการร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนอีกครั้ง เนื่องจากผักตบชวาที่เป็นปัญหาดังกล่าว ได้ลุกลามกลายเป็นปัญหาต่อเนื่องกระทบกับพี่น้องประชาชนในบริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ทั้งในเรื่องการทำมาหากินและผลกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่ง

ทั้งนี้จากการที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้มอบนโยบายและกำชับ 5 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมโยธาธิการและผังเมือง,กรมชลประทาน,กรมเจ้าท่า,คณะทำงานฯระดับจังหวัด เร่งรัดกำจัด และแปรรูปเพิ่มมูลค่าของผักตบชวา ในพื้นที่ที่เกิดปัญหา ซึ่งพบว่า ได้ดำเนินการจัดเก็บผักตบชวารวมทั้งสิ้น 4,513,836 ล้านตันแล้วนั้น

ดังนั้นตนจึงอยากฝากไปยัง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน จ.นครศรีธรรมราช ได้เร่งดำเนินการจัดเก็บผักตบชวาในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง 3 อำเภอ ก่อนที่ปัญหาดังกล่าวจะลุกลามกระทบต่อระบบนิเวศในแม่น้ำลำคลอง รวมทั้งชายฝั่ง ซึ่งจะสร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนมากกว่าที่เป็นอยู่

นอกจากนี้ ตนขอเสนอให้ มีการนำ “ศาลาดินโมเดล” มาใช้ในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง เพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยการนำผักตบชวา ไปแปรรูปและใช้ประโยชน์สร้างรายได้และอาชีพให้กับประชาชน ซึ่งมีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จแล้วในพื้นที่ ต.ศาลาดิน อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม

“ศาลาดินโมเดล จ.นครปฐม โดยกลุ่มบริหารการใช้น้ำชลประทานมหาสวัสดิ์ ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการแก้ไขปัญหาผักตบชวาในแหล่งน้ำลำคลอง โดยทางกลุ่มได้นำผักตบชวามาแปรรูปเป็น “ดินพร้อมปลูกผสมผักตบชวา” เพื่อส่งขายสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน ที่ผ่านมากลุ่มฯ ได้รับซื้อผักตบชวาสับตากแห้งจากชาวบ้านในราคากก.ละ 20 บาท ซึ่งชาวบ้านที่ทำผักตบมาขายให้กับกลุ่มฯ จะมีรายได้ตั้งแต่ 2,000 – 6,000 บ./เดือน ปัจจุบันทราบว่า กลุ่มฯ มียอดขายดินพร้อมปลูกกว่า 5,000 ถุง/เดือน และยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด” ดร.สัณหพจน์ กล่าว

สำหรับตัวอย่างดังกล่าว สามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นต้นแบบการแก้ไขปัญหาผักตบชวาในลุ่มน้ำปากพนังได้ โดยนอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียในพื้นที่ ซึ่งกระทบต่อการทำประมงพื้นบ้าน และผลกระทบต่อระบบนิเวศในแม่น้ำลำคลองและชายฝั่งแล้ว ยังช่วยให้พี่น้องประชาชนที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำมีรายได้ที่ยั่งยืน และเป็นการสร้างแรงจูงใจให้พี่น้องประชาชนมีส่วนร่วมต่อการอนุรักษ์แหล่งน้ำได้อีกด้วย

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand
เมื่อวันที่ : 24 พฤศจิกายน 2564

“สุริยะ” หนุนไทยก้าวสู่ฮับอุตฯการแพทย์ปี’70 เตรียมชง ครม.เร็วๆนี้

,

“สุริยะ” หนุนไทยก้าวสู่ฮับอุตฯการแพทย์ปี’70
เตรียมชงครม.เร็วๆนี้ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการฯ

“สุริยะ” หนุนขับเคลื่อนไทยสู่ศูนย์กลางทางการแพทย์ หรือ Medical Hub ในปี 2570 มอบ”สศอ.”เร่งจัดทำแผนแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์เสนอ”ครม.”เห็นชอบเพื่อขับเคลื่อนตามเป้าหมายเร็วๆ นี้ หวังฟื้นเศรษฐกิจไทย

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และบริการการแพทย์ครบวงจรเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต (S-Curve) ที่รัฐบาลมุ่งเน้นในการเป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth )และรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะผลักดันไทยไปสู่ศูนย์กลางทางการแพทย์(Medical Hub)ในปี 2570 ดังนั้นจึงได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เร่งดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ที่จะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาเร็ว ๆ นี้

“9 เดือนที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์มีอัตราการส่งออกเติบโต 22.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ได้เข้ามามีบทบาทในวงการแพทย์ รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค โควิด-19 และการที่สังคมไทยได้เข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์แบบ หรือ Complete-Aged-Society ในปี 2564 จึงมีส่วนสำคัญที่ทำให้ความต้องการสินค้าและเครื่องมือแพทย์เพิ่มสูงขึ้นและอนาคตก็จะมีขึ้นต่อเนื่องและไทยต้องเตรียมศักยภาพไว้รองรับเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ”นายสุริยะกล่าว

ทั้งนี้ประเทศไทยปัจจุบันมีศักยภาพในอุตสาหกรรมการบริการทางการแพทย์และอุตสาหกรรมเครื่องมือทางการแพทย์ที่เริ่มมีการลงทุนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการนำนวัตกรรมสมัยใหม่มาพัฒนาเพื่อให้เป็น Smart Hospital ของประเทศไทยโดยสศอ. อยู่ระหว่างการจัดทำร่างแผนปฏิบัติการที่จะมาช่วยสนับสนุน การดำเนินงานดังกล่าว ได้แก่
1. ร่างแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ที่มุ่งเน้น ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องมือแพทย์ในอาเซียน ภายในปี 2570 โดยจะพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยให้มีความสามารถในการแข่งขัน สร้างความมั่นคงภายในประเทศ ยกระดับเทคโนโลยีและสร้างนวัตกรรม คุณภาพและมาตรฐานเครื่องมือแพทย์ในระดับสากล
2. ร่างแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ มุ่งส่งเสริมให้ ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตอุปกรณ์ และระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะในอาเซียน โดยมีเทคโนโลยีเป็นของตนเองภายในปี 2570 โดยจะยกระดับ Supply-Chain-ของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เดิมไปสู่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะทั้งระบบ โดยในระยะแรกจะเน้นพัฒนาในกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม คือ Smart Home, Smart Factory, Smart Hospital & Health และ Smart Farm

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand
เมื่อวันที่ : 23 พฤศจิกายน 2564

อธิรัฐ ขอบคุณในความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ลอยกระทงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

,

“อธิรัฐ ขอบคุณในความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ให้คืนลอยกระทงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย”

นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยถึงความปลอดภัยของประชาชนในคืนลอยกระทง 2564 กรมเจ้าท่าได้จัดชุดเฉพาะกิจออกตรวจสอบความปลอดภัยและตั้งศูนย์อำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยทางน้ำ และศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางน้ำ ณ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขา จำนวน 41 ศูนย์ และศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางน้ำ กรมเจ้าท่า ณ ศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการโทรทัศน์วงจรปิดทางน้ำ (CCTV) เพื่อดูแลความปลอดภัยมากขึ้นเป็นพิเศษตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับพื้นที่ กรุงเทพมหานคร กรมเจ้าท่า ได้จัดเจ้าหน้าที่ประจำท่าเทียบเรือทั้งในแม่น้ำเจ้าพระยาและคลองแสนแสบ โดยจัดเรือตรวจการณ์ทั่วไป จำนวน 2 ลำ เรือรักษาการณ์ประจำพื้นที่ 5 จุด จำนวน 8 ลำ บริเวณท่าเรือพระราม8 (ฝั่งธนบุรี), ท่าเรือตลาดยอดพิมาน, ท่าเรือริเวอร์ซิตี้, ท่าเรือไอคอนสยาม และท่าเรือเอเชียทีค เจ้าหน้าที่ 196 นาย ในส่วนภูมิภาค จัดเรือตรวจการณ์ทั่วไป จำนวน 76 ลำ เจ้าหน้าที่ 753 นาย รวมทั้งสิ้น 949 นาย โดยบูรณาการร่วมกับกองทัพเรือ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กองบังคับการตำรวจน้ำและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้มงวดกวดขันให้ผู้ประกอบกิจการ ผู้ครอบครองโป๊ะเทียบเรือ เจ้าของเรือและผู้ควบคุมเรือ ปฏิบัติตามประกาศกรมเจ้าท่าโดยเคร่งครัด เน้นย้ำขอให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามที่สาธารณสุขกำหนด

ทั้งนี้ กรมเจ้าท่า ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้ออกตรวจตรา อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในคืนวันลอยกระทง เป็นไปตามแผนด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่ให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามคำแนะของเจ้าหน้าที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 20 พฤศจิกายน 2564