โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: กิจกรรม ส.ส. และสมาชิก

ชัยวุฒิ ปราศรัย ซัดนักการเมืองโกงมีปัญหา ประเทศไม่ได้มีปัญหา วอนหยุดดราม่า โจมตีหาเสียง ย้ำจุดยืน พปชร.รักชาติ รักแผ่นดิน

,

ชัยวุฒิ ปราศรัย ซัดนักการเมืองโกงมีปัญหา ประเทศไม่ได้มีปัญหา วอนหยุดดราม่า โจมตีหาเสียง ย้ำจุดยืน พปชร.รักชาติ รักแผ่นดิน

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ ปราศรัย อำเภอ ค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อช่วย นายโชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ผู้สมัคร สส. หมายเลข7 พรรคพลังประชารัฐ หาเสียง

โดย นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ทุกวันนี้ มีคนกลุ่มหนึ่งก็พยายามหาเสียงเลือกตั้ง ด้วยการ พูดจาดราม่า เข้าใจคําว่าดราม่าไหม พูดจริงบ้าง ใส่สีปรุงแต่ง บิดเบือนเพื่อหาเสียง อะไรก็ไม่ดีประเทศไทยเสียหายเศรษฐกิจตกต่ำเพราะปฏิวัติรัฐประหาร มันก็ไม่ใช่ พอเขาปฏิวัติผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว 8ปีแล้ว วันนี้มันไม่เกี่ยวกับการปฏิวัติรัฐประหารแล้ว มันเป็นเรื่องของการเลือกตั้งตามบอกประชาธิปไตย แต่ที่สําคัญประเทศไม่ได้เสียหาย บางคนทำธุรกิจ เขาเรียกว่าอสังหาริมทรัพย์ พูดชื่อเลย บริษัท แสนศิริ กําไรปีที่แล้วประมาณสองพันล้าน ปีนี้กําไรสี่พันล้าน กําไรเพิ่มขึ้นเท่าตัว แปลว่าอะไร เศรษฐกิจดี ขายบ้านได้ เพราะถ้าเศรษฐกิจไม่ดีเขาไม่ซื้อบ้านกัน บ้านหลังก็หลายสิบล้านด้วยในกรุงเทพ ขณะที่อุตสาหกรรมรถยนต์ เติบโตทุกปี ช่วงสิบปีมาแล้วไม่มีตกเลย มีโควิดที่ยังส่งออกได้ อุตสาหกรรมเติบโต ให้โบนัสพนักงาน8-9เดือน ต่อเนื่องมาเป็นสิบปี ปฏิวัติแล้ว อุตสาหกรรมรถยนต์ ธุรกิจก็ไม่ได้มีปัญหา การออกมาพูด ปฏิวัติแล้วเศรษฐกิจตกต่ำมากประชาชนเดือดร้อน มันไม่ได้มีปัญหาอย่างนั้น มันเป็นการสร้างวาทกรรม สร้างภาพเพื่อให้คนเกลียดชังกันและคิดว่าจะสร้างคะแนนนิยมให้กับนักการเมืองเท่านั้น ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่พรรคพลังประชารัฐไม่ทํา

การข้ามความขัดแย้ง คือไม่ทะเลาะกัน ไม่โจมตีกัน พูดแต่สิ่งที่จะมาทําให้ประชาชน วันนี้จึงควรพูดแต่เรื่องที่อยากจะมาช่วยเหลือพี่น้องประชาชน เพราะ เรื่องใหญ่พี่น้องเข้าใจอยู่แล้ว คือก้าวข้ามความขัดแย้งเพื่ออะไร เพื่อให้มีรัฐบาลที่ดีมีเสถียรภาพ บ้านเมืองสงบสุข ประชาชนจะได้ทํามาหากินได้ อันนี้อันดับแรกที่เราต้องทํา แต่หลังจากบ้านเมืองเดินหน้าได้แล้ว วันนี้ปัญหาใหญ่ของคนไทยคือ ปัญหาเศรษฐกิจ น้ํามันแพง แก๊สหุงต้มอยากให้ลดราคาไหม ใช้ทุกบ้านอยู่แล้ว พอลดค่าแก๊ส เราก็เหลือเงินในกระเป๋ามากขึ้น เราจะได้มีเงินไปซื้อของไปดูแลลูกหลานเรา แต่ว่าบางพรรคบอก เรามาเอาแบบนี้ เราจะเติมเงินดิจิทัลให้คนละหนึ่งหมื่นบาท ใช้ไม่เป็น คนใช้ก็ไม่เป็น ร้านค้าตอนรับมา เขาบอกว่าเงินดิจิทัลจะได้ตรวจสอบได้ จะได้เก็บภาษีได้ ร้านค้านี้ไม่เข้าโครงการ ผมก็งงว่าจะให้เงิน10,000 บาท ทําไมต้องทําให้ยาก ก็ใส่แอปเป๋าตังค์ก็ได้ โอนเข้าบัญชีก็ได้ มีบัญชีทุกคน วันนี้ทุกคนมี โอนเงินเป็นสดใช่ไหมครับ โอนเงินมาเลยดีกว่าไหม แต่ทํายากทําไมก็ไม่รู้ มันทําไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้คนไทยก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ การสร้างราคาพลังงานที่ในอดีตทํามา มาเจอค่าแก๊สมันขึ้น ค่าไฟก็ขึ้นตาม เราก็ต้องไปแก้ปัญหาที่ค่าแก๊สและปรับโครงสร้าง เพื่อให้พลังงานไฟฟ้าราคาถูกลง เราตั้งเป้าไว้ว่าครอบครัวหนึ่งต้องเสียค่าไฟหน่วยละ สองบาทห้าสิบจากเดิมเกือบห้าบาท เพราะงั้นเราต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์37

ผมสมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ อันดับที่3 อันดับที่1 คือลุงป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อันดับที่2 คือ เลขาพรรค สันติพร้อมพันธ์ อันดับ3 รองหัวหน้าพรรค ชื่อชัยวุฒิ เราต้องช่วยกันพรรคพลังประชารัฐ เบอร์37 เบอร์นี้ไม่ใช่เลือกนายก เลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อ บางคนบอกเลือกลุงตู่ ผมก็รักลุงตู่ แต่ลุงตู่ไม่ได้อยู่พลังประชารัฐแล้ว เราต้องเลือกพลังประชารัฐ เพราะเลือกชัยวุฒิเบอร์37 เพราะผมได้ไปทํางานรับใช้พี่น้อง ร่วมกับโชติวุฒิ ร่วมกับคุณแม่ผมด้วย เข้าถึงทุกคน อยู่กับประชาชน เราเรียกใช้ได้ อันนี้คือเรื่องสําคัญสองเรื่อง เลือกคนที่ดี เลือกพรรคที่มีนโยบายดี ทําให้บ้านเมืองสงบสุข แต่เรื่องที่สามที่เป็นเรื่องสําคัญในการที่จะช่วยเราตัดสินใจได้ง่ายขึ้น คือ เรื่องที่อุดมการณ์ อุดมการณ์คือภาพใหญ่ที่เราคิดว่าจะทําให้ประเทศไทยเป็นอย่างไร พรรคเราชนะ รักชาติรักแผ่นดินอยากให้บ้านเมืองมั่นคงเข้มแข็ง ให้คนไทยปลอดภัยอยู่อย่างสงบสุข นี่คืออุดมการณ์ของพรรคพลังประชารัฐ เราคิดว่าปัญหาของประเทศ นักการเมืองชอบพูด บางคนบอกว่า อยากเปลี่ยนประเทศ เพราะประเทศมันมีปัญหา วุ่นวายมาก ต้องแก้ที่ต้นตอ ต้นตอนั้นคือต้นไม้ใหญ่ ที่มีรากแก้ว ปกคลุมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น มีร่มเงาของต้นไม้ที่ทําให้คนไทยรักกันสามัคคีกัน เป็นราชอาณาจักรไทยอันเป็นหนึ่งเดียว อยู่ได้ทุกวันนี้ แล้วเราจะเปลี่ยนประเทศแบบเขาทําไม นี่คือเรื่องอุดมการณ์ วันนี้แทนที่จะพูดเรื่องเปลี่ยนประเทศ เรามาเปลี่ยนนักการเมืองเลวๆออกจากระบบดีกว่า พรรคการเมืองไหนที่มันโกงมันทําให้บ้านเมืองฉิบหายแล้วอย่าไปเลือก ในอดีตทําไมไม่พูด พรรคบางพรรคพูดถึงแต่ปัจจุบัน ด่าแต่ทหาร ทําอะไรก็ไม่ดี และนักการเมืองชั่วๆไม่พูดบ้าง บางครั้งนายไม่อยากพูดเรื่องจํานําข้าว เขาบอก เรื่องจำนําข้าว ผมอยู่กับพวกเราที่สิงห์บุรีเป็นชาวนาเยอะ โครงการจํานําข้าวทํามาหลาย10ปี ไม่ใช่เพิ่งมาเคยทำในสมัยรัฐบาลที่แล้ว แต่ทำไปแล้วมีปัญหา มีการโกง มีการทุจริตคอรัปชั่น ผมไม่ได้ใส่ร้าย เพราะมันพิสูจน์แล้วว่ามันโกงจริง แล้วติดคุกกันหมดแล้ว แล้วเขาต้องยกเลิกโครงการไปทําไม่ได้ เพราะมันเสียหายประเทศเป็นหนี้เป็นแสนล้าน มันไม่ได้เลิกเพราะลุงตู่ลุงป้อม บางคนรู้ว่าจำนําข้าวยกเลิกเพราะลุงตู่ลุงป้อมมันไม่ใช่มันยกเลิกเพราะมันโกงกันมันทําบ้านเมืองเสียหายไปแล้วมันเลยทําไม่ได้ วันนี้พรรคจำนำข้าวก็ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ เพราะรู้ว่าทําผิดไปแล้ว ทําพลาดไปแล้วก็ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ โครงการดีๆแบบนี้ที่เคยทําไว้ในอดีตก็เลยไม่มีมาช่วยพี่น้องประชาชน ผมก็ไม่อยากย้อนอดีตพูดให้ฟัง วันนี้ไอ้พรรคการเมืองแบบนี้อยู่ในสภาตอนเป็นรัฐบาลก็โกง เป็นฝ่ายค้านพี่น้องดูข่าวนะ สส. มุกดาหาร เป็นกรรมาธิการงบประมาณ ไปโกง ไปเรียกรับเงิน จากอธิบดีกรมทรัพยากรน้ํา เขาอัดเทป เรียกเงินเขา เรียกสินบน ตอนนี้โดนศาลฎีกาตัดสินแล้ว จําคุก6ปี ก็พรรคนี่แหละ พรรคประชาธิปไตยเรานี่แหละ เป็นฝ่ายรัฐบาลก็โกงเป็นฝ่ายค้านยังโกงได้เลยแล้วรับผิดชอบอะไร พรรครับผิดชอบไหม ด่าแต่คนอื่น ผมไม่เคยพูด ผมทนไม่ไหวต้องบอกพี่น้อง เรามาเลือกการเมือง เราเลือกให้คน เลือกพรรคที่จะมาทํางานให้เรา แล้วดูประวัติดูสิ่งที่เขาทําด้วย เพราะต้นตอของปัญหาทั้งหมดที่ประเทศไทยวุ่นวาย เพราะนักการเมืองมันไม่ดี มันโกง มันทะเลาะกัน ไปหลอกลวงประชาชน พูดจาดราม่าบิดเบือนข้อมูล ทําให้คนเกลียดชังกัน อันนี้มันลามไปถึงลูกกับหลานเราแล้วนะพี่น้องไปดู โทษฟ้าโทษแผ่นดิน โทษทุกอย่าง แต่คนที่พูดไม่เคยดูตัวเองเลย เพราะวันนี้บ้านเมืองมันดีขึ้นได้ด้วยการที่เราเลือกคนดีมาทํางาน แล้วทุกคนก็ตั้งใจทําความดี ทําหน้าที่ตัวเองให้ดี เด็กๆก็ตั้งใจเรียน ผู้ใหญ่ก็ตั้งใจทํามาหากิน ถ้าทุกคนทําหน้าที่ให้ดี ประเทศชาติของเรามันก็เจริญก้าวหน้า แล้วจะมาทะเลาะกันทําไม นี่คือเป้าหมายที่ลุงป้อมพูดมาตลอด ซึ่งบางคนไม่เข้าใจ ก้าวข้ามความขัดแย้ง คืออะไร ก็คือสิ่งนี้เลิกด่ากัน เลิกทะเลาะกัน หลังเลือกตั้ง เรามาคุยกัน ทุกพรรคทุกกลุ่มทุกฝ่าย คุณมีปัญหาอะไรมานั่งคุยกัน เจรจากัน หาทางออกกัน เพราะลุงป้อมเป็นคนใจดี เป็น soft power ประนีประนอม คุยทุกคน ลุงป้อม ตี5ครึ่งเปิดบ้าน ถึง5โมงเย็น รับแขกทุกคน ใครเดือดร้อนจะจังหวัดไหน ฝ่ายไหน กลุ่มไหน ท่านไม่เคยเลือกปฏิบัติ ควรเอาความเดือดร้อนมาคุยกัน แล้วแก้กฎหมาย แก้รัฐธรรมนูญ แก้อะไรก็ตามที่ทําให้บ้านเมืองสงบสุข นี่คือก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่อะไรที่แก้แล้ว พูดแล้ว เปลี่ยนไปแล้วทําให้บ้านเรามีปัญหา ทําให้คนทะเลาะกัน เราก็ก้าวข้ามมันไปก่อน เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าไปได้ เราจะได้ทํางานก้าวข้ามความยากจน ให้ประชาชนอยู่ดี ๆ ให้ได้ นี่คือคอนเซ็ปต์ของการก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะถ้าเราเลือกตั้งไปแล้ว ได้พรรคการเมืองที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ ทําอะไรสุดโต่งเลย เอาแค่เรื่องง่าย ๆ ผมไม่อยากพูดจริง ๆ แก้มาตราร้อยสิบสอง มีหลายเรื่องที่เค้าจะแก้ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร ที่เราเกณฑ์ทหาร เพราะทหารต้องปกป้องดูแลประเทศ สร้างค่านิยม ความเสียสละ ให้กับ ถ้าไม่มีทหารประเทศมีคนรุกรานคุณจะไปรบมั้ย

อย่างไรก็ตามบรรยากาศการปราศรัยเป็นไปอย่างสนุกสนาน มีกองเชียร์ แฟนคลับ พรรคพลังประชารัฐ นายชัยวุฒิ คุณแม่ภรณี และนายโชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ที่ออกมาช่วยกันสร้างสีสัน ด้วยการเต้น เพลงพรรคพลังประชารัฐ และแต่งกาย แฟชั่น สีสันสดใส

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 พฤษภาคม 2566

พปชร. เตือนสัญญาณเกิดพายุเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบ เสนอรัฐบาลหน้าเตรียมแผนรับมือเร่งด่วน เพื่อสกัดผลกระทบต่อการฟื้นและขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ชี้ต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน พร้อมแก้ไขความเปราะบางภายในประเทศ เสนอทำทันที 3 ภารกิจ 7 ขับเคลื่อน

,

พปชร. เตือนสัญญาณเกิดพายุเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบ เสนอรัฐบาลหน้าเตรียมแผนรับมือเร่งด่วน เพื่อสกัดผลกระทบต่อการฟื้นและขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ชี้ต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน พร้อมแก้ไขความเปราะบางภายในประเทศ เสนอทำทันที 3 ภารกิจ 7 ขับเคลื่อน

วันนี้ (2 พ.ค. 2566) ที่พรรคพลังประชารัฐ นายอุตตม สาวนายน ประธานคณะกรรมการจัดทำนโยบายพรรค พร้อมด้วย นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษาคณะกรรมการจัดทำนโยบายพรรค แถลงข่าวหัวข้อ “รับมือความเสี่ยงพายุเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบ ความท้าทายเร่งด่วนของรัฐบาลหน้า”

จากกรณีสถาบันทางเศรษฐกิจทุกแห่งทั่วโลกต่างคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้ยังชะลอตัว และมีโอกาสที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยจากปัจจัยความเสี่ยงและความท้าทายรอบด้านที่เกิดขึ้นต่อเนื่องและอาจจะรุนแรงมากขึ้น จนกลายเป็นพายุเศรษฐกิจขั้นสมบุรณ์แบบ หรือ Perfect Economic Storm ดังนั้นทีมเศรษฐกิจของพรรคพลังประชารัฐ จึงส่งสัญญาณเตือนให้รัฐบาลหน้า ก้าวข้ามความขัดแย้ง ผลึกกำลัง ร่วมแรงร่วมใจกันฝ่าพายุเศรษฐกิจที่กำลังก่อตัวขึ้น โดยเสนอ 3 ภารกิจ 7 ขับเคลื่อน ที่รัฐบาลหน้าต้องเร่งทำทันที เพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้พลิกฟื้น กระตุ้นเศรษฐกิจให้โตเต็มศักยภาพ พร้อมกับการพลิกโฉมประเทศไทยให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก

นายธีระชัย ได้ฉายภาพที่แสดงให้เห็นปัญหาของเศรษฐกิจโลกว่า จากเดิมเศรษฐกิจโลกขับเคลื่อนด้วยปัจจัย “3 ราคาต่ำ” คือ 1.”ดอกเบี้ยต่ำ” 2.”ราคาสินค้าจากจีนต่ำ” และ 3.”ราคาพลังงานต่ำ” แต่ปัจจุบันปัจจัยเหล่านี้ได้เปลี่ยนไปเป็น “ 3 ราคาแพง” แล้ว และเป็นความเสี่ยงสูงที่จะนำไปสู่พายุเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบในประเทศตะวันตก และส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในที่สุด

“หลายประเทศใช้นโยบายการคลังควบคู่กับนโยบายการเงินอย่างเต็มที่ในช่วงวิกฤติโควิด ที่เรียกว่าเป็นปืนบาซูก้าลำกล้องแฝดนั้น ได้นำไปสู่เงินเฟ้อสูง ทำให้ธนาคารชาติสหรัฐและยุโรปต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้เงินเฟ้อ แต่การขึ้นดอกเบี้ยที่แรงและเร็วอย่างไม่เคยมีมาก่อนดังกล่าว ทำให้ปัญหาที่ซ่อนอยู่ในระบบธนาคารสหรัฐและยุโรปเริ่มปรากฏขึ้น และมีแนวโน้มจะลุกลามต่อไป ดังนั้น ทุกหน่วยงานในประเทศไทยจึงควรคำนึงและเตรียมพร้อมรับมือพายุนี้” นายธีระชัย กล่าว

นอกจากนี้ นายธีระชัยยังเสนอแนะให้มีการเตรียมพร้อม โดยรัฐมนตรีคลังควรมีการประชุมหารือกับธนาคารชาติ สภาอุตสาหกรรมฯ และหอการค้าต่างๆ สม่ำเสมอทุกไตรมาส เพื่อติดตามสถานการณ์ของโลกและเงินทุนไหลเข้าออก นอกจากนี้ จะต้องมีแนวทางแก้ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนและหนี้ของธุรกิจขนาดกลางขนาดเล็ก ซึ่งทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ จะมานำเสนอแถลงข่าวต่อไป

ด้านนายอุตตม กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐได้จัดทำแผนนำประเทศไทยผ่านพ้นพายุเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบ ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 ภารกิจ 7 ขับเคลื่อน โดย 3 ภารกิจหลัก ประกอบด้วย
1.กระตุ้นเศรษฐกิจให้พลิกฟื้นจริงทันที
2.เร่งการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีพลัง เต็มศักยภาพ
3.เร่งรัดสร้างรากฐานการพัฒนา พลิกโฉมประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั่วถึง มีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง

ส่วน 7 ขับเคลื่อน ประกอบด้วย
1.สร้างสวัสดิการประชาชน พัฒนาคนไทยก้าวทันโลก โดยการขยายต่อยอดโครงการประชารัฐ ผ่านโครงการเติมทักษะที่ขับเคลื่อนโดยเครือข่ายศูนย์ประชารัฐพัฒนา ควบคู่การเติมทุน 30,000 บาท ต่อ 1 ผู้ถือบัตรประชารัฐ รวมถึงปรับเพิ่มสวัสดิการดูแลคนไทยทุกช่วงวัย โดยมุ่งลดความเหลื่อมล้ำ ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ไปพร้อมกับการพัฒนาทักษะเพื่อสร้างโอกาส สร้างรายได้ ให้กับประชาชนคนไทย

2.เร่งรัดแก้ไขปัญหาค่าครองชีพ และต้นทุนผุ้ประกอบการที่พุ่งสูงขั้น โดยปฏิรูปโครงสร้างพลังงานของประเทศทันที คืนความยุติธรรมด้านราคาให้ประชาชน ผลักดันไฟฟ้าภาคประชาชน การปลดภาระหนี้สินครบวงจรแบบเบ็ดเสร็จ ปรับโครงสร้างหนี้พร้อมเติมทุนใหม่ โดยสถาบันการเงินรัฐเป็นผู้นำการจัดหาทุนใหม่ให้ผู้ประกอบการ SME เช่น สินเชื่อผ่อนปรน/ดอกเบี้ยตํ่า โดยมีบสย.คํ้าประกันพิเศษ รวมถึงการใช้กลไกกองทุนประชารัฐร่วมทุนกับสตาร์ทอัพ

3.สร้างเศรษฐกิจฐานราก ชุมชนเข้มแข็ง ยกระดับเกษตรมั่งคั่ง เชื่อมโยงการท่องเที่ยวและการผลิตชุมชน โดยจัดทุนให้เกษตรกรครัวเรือนละ 30,000 บาท เพื่อช่วยค่าใช้จ่าย เป็นทุนการผลิต และจัดหาเทคโนโลยีการเกษตร ด้านการท่องเที่ยว มีมาตราการจัดหาสินเชื่อผ่อนปรนให้ผู้ประกอบการเพื่อใช้ซ่อมสร้างสถานที่ประกอบการครบวงจร รวมถึงการเติมเงินให้กองทุนหมู่บ้าน 200,000 บาท เพื่อใช้ลงทุนโครงสร้างพัฒนาในพื้นที่ สร้างงาน เสริมรายได้ ให้คนในชุมชน

4.ผลักดันการลงทุนพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ และโครงสร้างพื้นฐาน ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ (Mega Projects) อาทิ การฟื้น EEC ให้เดินหน้าเต็มศักยภาพ พร้อมพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ทุกภูมิภาค เช่น โครงการอีสานประชารัฐ กระจายความเจริญ และความมั่งคั่งสู่พี่น้องชาวอีสาน การสร้างเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ 6 โครงการ ใน 5 จังหวัดชายแดนใต้ การเร่งสร้าง “รถไฟไทย-จีน” ให้เสร็จสมบูรณ์ การเติมเต็มโครงข่ายดิจิทัล 5G เข้าถึงทุกหมู่บ้าน ขยายต่อยอดพร้อมเพย์ แอปเป๋าตัง เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

5.เร่งลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (National Champions) ยึดโยงโจทย์ระดับโลกกับจุดแข็งของประเทศ อาทิ อุตสาหกรรม BCG อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ต้องสร้างระบบนิเวศน์เกื้อหนุนการลงทุนในเทคโนโลยี นวัตกรรม และพัฒนาทักษะคนไทย เช่น จัดตั้งโครงการแซนด์บ็อกซ์ระดับชาติ (NATIONAL SANDBOX COMMITTEE) การสนับสนุน BOI ออกมาตรการใหม่ให้ดึงดูดเทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่แค่เงินลงทุน

6.เร่งขยายฐานรายได้ของประเทศ ปรับเปลี่ยนระบบงบประมาณ อาทิ การปรับโครงสร้างและขยายฐานภาษีเดิม การพิจารณาภาษีใหม่ เช่นภาษีคาร์บอน/มลพิษ ปรับวิธีจัดเก็บภาษีธุรกรรมออนไลน์จากต่างประเทศให้มีประสิทธิผล เน้นการใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (BIG DATA ANALYTIC) รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี BLOCKCHAIN และ AI

7. เร่งสร้างระบบเตือนภัย ป้องกันและจัดการพายุเศรษฐกิจจากภายนอก โดยจัดตั้งกลไกความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเป็นทางการสม่ำเสมอ ระหว่างหน่วยงานหลักทางเศรษฐกิจทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน สมาพันธ์ SME ไทย เป็นต้น โดยกลไกที่ตั้งขึ้นดังกล่าวจะทำให้สามารถติดตามสถานการณ์ และดำเนินการแก้ปัญหาในทันทีที่เกิดความไม่ปกติทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพและทันท่วงที

นายอุตตม กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้ปัจจุบันจะมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เช่น จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่ม แต่เราไม่ควรวางใจและฝากความหวังไว้กับการท่องเที่ยวและการส่งออกซึ่งก็มีสัญญาณชะลอตัวแล้วเท่านั้น โดยเฉพาะในภาวะที่ปัจจัยเสี่ยงภายนอกมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น รัฐบาลหน้าจะต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ไม่มีเวลามาลองผิดลองถูก ต้องเตรียมพร้อมแผนรับมือความท้าทายต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจกับประชาชนได้ว่า สามารถจัดการดูแลหากผลกระทบจากภายนอกรุนแรงขึ้น รวมทั้งผลักดันให้เศรษฐกิจไทยไม่ถดถอย แต่จะพลิกฟื้นรวดเร็วและขยายตัวได้ต่อเนื่อง สามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส เพื่ออนาคตที่ดีของคนไทยทุกๆคน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 พฤษภาคม 2566

“สกลธี” ลงพื้นที่ชุมชนพลโยธิน24 ชูนโยบายรถEV รับส่งคนไปสถานีรถไฟฟ้า มั่นใจปักธงเขตนี้ได้

,

“สกลธี” ลงพื้นที่ชุมชนพลโยธิน24 ชูนโยบายรถEV รับส่งคนไปสถานีรถไฟฟ้า มั่นใจปักธงเขตนี้ได้

เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2566 นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ลงพื้นที่บริเวณชุมชนซอยพหลโยธิน 24 ร่วมกับ นายรังสรรค์ กียปัจจ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งหมายเลข 7 เขตเลือกตั้งที่ 8 เขตหลักสี่ (ยกเว้นแขวงตลาดบางเขน) เขตจตุจักร (ยกเว้นแขวงจันทรเกษมและแขวงเสนานิคม) เพื่อพบปะพี่น้องประชาชน

นายสกลธี กล่าวว่า การลงพื้นที่ในวันนี้เพื่ออธิบายให้ประชาชนเข้าใจถึงนโยบายสวัสดิการผู้สูงอายุ ‘3-4-5-6-78’ โดยผู้สูงอายุที่อายุ 60 ปีขึ้นไปจะได้รับเบี้ยผู้สูงอายุ 3,000 บาท/เดือน อายุ 70 ปีขึ้นไปจะได้รับ 4,000 บาท/เดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไปจะได้รับ 5,000 บาท/เดือน และนโยบายลดค่าครองชีพ โดยการลดราคาน้ำมันเบนซิน 18 บาทต่อลิตร ลดราคาน้ำมันดีเซล 6.30 บาทต่อลิตร แก๊สหุงต้ม (15 กก.) เหลือถังละ 250 บาท ค่าไฟฟ้าจากราคา 4.77 บาทต่อหน่วย เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย ซึ่งประชาชนหลายคนก็ให้ความสนใจในนโยบายดังกล่าวมาก

นายสกลธี ยังกล่าวอีกว่าบริเวณโซนนี้เป็นศูนย์กลางของการเดินทางและเป็นพื้นที่ประชาชนอยู่กันหนาแน่น อีกทั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าหลายสายทั้งในเขตจตุจักรและเขตหลักสี่ ซึ่งในอนาคตบริเวณตรงนี้ก็จะเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนถ่ายการคมนาคม ดังนั้นทาง พปชร.มีนโยบายที่จะเข้ามาดูแลเรื่องรถรับส่งไฟฟ้า (EV) เพื่อระบายคนไปยังสถานีรถไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น อีกทั้งช่วยลดปริมาณการใช้รถส่วนตัวและปัญหาการจราจรติดขัดอีกด้วย

พื้นที่ตรงนี้ตนมาความคาดหวังอย่างมาก เนื่องจากตรงนี้เป็นเขตเก่าที่เคยเป็น ส.ส. ตอนตนลงผู้ว่าฯ กทม. ก็ได้คะแนนเป็นรองแค่คุณชัชชาติ อีกทั้งผู้สมัครในโซนนี้ทั้ง 2 ท่าน คือนายรังสรรค์และนายอนันตชาติก็มีประสบการณ์และทำงานหนักอยู่ในพื้นที่มาตลอดเกือบ 20 ปี อีกทั้งนโยบายของพรรคที่ตอบโจทย์ประชาชน ก็คิดว่าตรงนี้เรามีโอกาสได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน

ด้าน นายรังสรรค์ กียปัจจ์ ผู้สมัครรับหมายเลข 7 กล่าวว่า ตนมีความมุ่งมั่นและประสบการณ์ในพื้นที่มายาวนาน มั่นใจว่าได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนให้เข้ามาสานต่อพัฒนาพื้นที่เขตนี้ต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 พฤษภาคม 2566

“ศันสนะ” ลงพื้นที่พบผู้สูงอายุนอนเสียชีวิตโดดเดี่ยวในบ้าน เผย เตรียมผลักดันพัฒนาคน สร้างงานในพื้นที่ ส่งเสริมสายใยครอบครัว

,

“ศันสนะ” ลงพื้นที่พบผู้สูงอายุนอนเสียชีวิตโดดเดี่ยวในบ้าน เผย เตรียมผลักดันพัฒนาคน สร้างงานในพื้นที่ ส่งเสริมสายใยครอบครัว

ดร.ศันสนะ สุริยะโยธิน ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตธนบุรี-คลองสาน-ราษฎร์บูรณะ พรรคพลังประชารัฐ หมายเลข 1 เปิดเผยภายหลังการลงพื้นที่ว่า ขณะเดินหาเสียงพร้อมทีมงานที่ชุมชนโกวบ๊อพัฒนา เขตธนบุรี ตนได้กลิ่นเหม็นเน่าจากตึกพักอาศัย ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่แจ้งว่าบริเวณดังกล่าวมีหนูเยอะ อาจเป็นซากหนูตาย แต่ทีมงานที่อาศัยอยู่ในชุมชน เกิดข้อสงสัยจึงกลับมาดูช่วงค่ำอีกครั้ง ซึ่งหลังจากสอบถามผู้พักอาศัยใกล้เคียง จึงได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเข้าไปตรวจสอบในห้องพักดังกล่าว และเมื่อเข้าไปก็พบศพชายชราอายุประมาณ 80 ปี นอนเสียชีวิตอยู่ โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าน่าจะเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่า 3 วัน ส่วนสาเหตุยังไม่สามารถระบุได้ คาดว่าน่าจะมาจากอากาศร้อน ทั้งนี้ ชายชราคนดังกล่าว ปกติอาศัยอยู่คนเดียว ไม่ได้มีญาติพี่น้องดูแล อาศัยเพื่อนบ้านแวะเวียนมาดูบ้าง

ดร ศันสนะ กล่าวต่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่าสังคมไทยของเรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ดังนั้นเราจึงต้องให้ความสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งทางพรรคพลังประชารัฐมีนโยบายเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ โดยกำหนดเป็นเบี้ยยังชีพสำหรับผู้สูงอายุแบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็นจำนวน 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปี ขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน หรือ‘เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ 3 4 5 และ 6 7 8’ให้ผู้สูงวัยพอสามารถดูแลตัวเองได้ และไม่เป็นภาระลูกหลานโดยต้องการให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

“อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือ การส่งเสริมให้มีการสร้างอาชีพในพื้นที่ ในชุมชม เพื่อที่ลูกหลานจะได้ไม่ต้องเดินทางไปทำงานต่างจังหวัด หรือในพื้นที่ ๆ ห่างไกล เพื่อที่จะได้สามารถดูแลญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวได้ เพราะ
ผู้สูงอายุ มักมองว่าตนเองด้อยค่า ต้องพึ่งพาผู้อื่น และร่างกายก็เสื่อมโทรม ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ดี แต่แท้จริงแล้ว ผู้สูงอายุเป็นผู้ที่มีคุณค่าต่อสังคมเป็นอย่างมาก เป็นแหล่งความรู้ความชำนาญ และเป็นผู้ธำรงไว้ซึ่งประเพณี วัฒนธรรม อีกทั้งยังเป็นสายใยสำคัญของครอบครัวอีกด้วย”ดร ศันสนะ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 เมษายน 2566

“ศ.ดร.นฤมล” ควง “อ้น ณิรินทร์”ผู้สมัคร พปชร.คันนายาว ลงพื้นที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กรับฟังปัญหา มั่นใจ พปชร.พร้อมดูแล ปชช.ทุกช่วงวัย เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต สร้างครอบครัวให้เข้มแข็ง

,

“ศ.ดร.นฤมล” ควง “อ้น ณิรินทร์”ผู้สมัคร พปชร.คันนายาว ลงพื้นที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กรับฟังปัญหา มั่นใจ พปชร.พร้อมดูแล ปชช.ทุกช่วงวัย เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต สร้างครอบครัวให้เข้มแข็ง

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าทีมผู้ดูแลการเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ลงพื้นที่ ซอยเสรีไทย 4 เขตคันนายาว ชุมชนซอยสมหวัง เพื่อพบปะประธานกลุ่มผู้สูงอายุ และอาจารย์ดูแลศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนชุมชนสมหวัง ร่วมกับ น.ส.ณิรินทร์ เงินยวง (อ้น) ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 15 เบอร์ 8 เขตคันนายาว-บึงกุ่ม (เฉพาะแขวงคลองกุ่ม)เพื่อสอบถามปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ในสังกัดกรุงเทพมหานคร ที่มีจำนวนนักเรียนประมาณ 170 คน โดยรับการดูแลเด็กทั้งในชุมชนและชุมชนใกล้เคียง ซึ่งพบว่าสวัสดิการไม่เหมือนครูทั่วไป ทั้งในด้านค่ารักษาพยาบาล เงินเดือนประจำ ซึ่งควรได้รับความเท่าเทียมเช่นเดียวกับข้าราชการครู ซึ่ง พปชร.ให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากศูนย์เด็กเล็กเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาคนให้มีคุณภาพและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า พรรคให้ความสำคัญในการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ที่เห็นความสำคัญในการยกระดับชีวิต เพื่อเปิดโอกาสให้พ่อ แม่สามารถไปประกอบอาชีพได้โดยไม่ต้องกังวล ซึ่งปัจจุบัน ยังมีคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว และคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวจำนวนมาก ดังนั้นการผลักดันให้มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่มีคุณภาพทั่วกรุงเทพ และทั่วประเทศ เราจะได้หมดห่วงเรื่องของคุณภาพของเด็ก ตัวอย่าง ของ”ชุมชนสมหวัง”ที่สามารถดูแลพัฒนาการได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังช่วยจัดหาแหล่งเงินทุนอื่นๆสนับสนุน ในการพัฒนาการของเด็กในชุมชนได้อย่างเท่าเทียม เพื่อลดปัญหาทางสังคมได้อย่างยั่งยืน

“เรื่องของการพัฒนาการของเด็ก และแม่ เป็นเรื่องที่พรรคให้ความสำคัญ จึงมีนโยบายดูแลสตรีเป็นพิเศษ ในนโยบายดูแลทุกช่วงวัย “แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ” จะเห็นว่า ดูแลตั้งแต่เริ่มตั้งแต่ในครรภ์ จนถึงเดือนที่ 5-9 ที่จะใกล้คลอด โดยเราจะสนับสนุนค่าดูแลเดือนละ 10,000 บาท เป็นเวลา 5 เดือน จนกว่าจะคลอด และมีนโยบายดูแลเด็กแรกเกิด จนถึง 6 ขวบ ได้เดือนละ 3,000 บาท”

ศ.ดร. นฤมล กล่าวต่อว่า เขตคันนายาวและบึงกุ่ม เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่พรรคให้ความสำคัญ ซึ่งเรามี “อ้น ณิรินทร์ เงินยวง ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 15 เบอร์ 8 “ ที่พร้อมเข้ามาดูแล และให้การช่วยเหลือชุมชนอย่างเต็มกำลัง โดยพร้อมผลักดันสิทธิสตรี คนชรา การส่งเสริมสุขภาพจิต เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และลดความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง ทั้งนี้ในพื้นที่ทั่วประเทศ พปชร.มีผู้สมัครอยู่ครบทุกเขต ที่จะพร้อมจะทำงานให้กับประชาชน และขอฝากขอความเมตตาพี่น้องชาว กทม.ช่วยเลือกผู้แทนจากพรรคพลังประชารัฐ ทั้ง 33 เขตใน กทม. เราก็หวังว่าจะได้เข้าไปรับใช้พี่น้องประชาชนกทม. ในการทำงตามนโยบายต่างๆซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคน กทม.

ด้าน น.ส.ณิรินทร์ กล่าวว่า ปัญหาของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ไม่ว่าจะเป็น ค่าอาหารกลางวัน ได้เพียงวันละ 32 บาทต่อหัว อุปกรณ์การเสริมทักษะ ขาดแคลนในการจัดซื้ออุปกรณ์ที่เหมาะกับพัฒนาการของเด็ก ซึ่งปัจจุบันต้องอาศัยเงินบริจาคคนในชุมชน โดยศูนย์แห่งนี้เป็นสถานที่ดูแลเด็กเล็กของชุมชนที่ต้องให้เวลาในการดูแลมากกว่าปกติ เนื่องจากสถานะครอบครัวที่พ่อแม่ต้องออกไปประกอบอาชีพตั้งแต่เช้าและกลับค่ำ ทำให้คุณครูประจำศูนย์ต้องทำงานหนักขึ้น ไม่สอดรับกับอัตราจ้างเป็นรายวัน ส่งผลให้จำนวนครูผู้สอนไม่สอดคล้องกับจำนวนเด็กนักเรียน ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะนำเสนอต่อผู้บริหารของพรรคเพื่อผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาต่อไป เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการหาบุคคลากรที่มีคุณภาพให้เพียงพอ

น.ส.ณิรินทร์ กล่าวต่อว่า พปชร.ยังให้ความสำคัญในเรื่องของกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่ พรรคมีนโยบายเข้าไปยกระดับคุณภาพชีวิต นอกจากสวัสดิการที่พปชร. มีนโยบายผลักดันให้เกิดขึ้น ทั้งการเพิ่มสวัสดิการ 700 บาทต่อเดือน และเงินทุนประกันอีก 200,000 บาท และเงินเริ่มต้นประกอบอาชีพ 30,000 บาท และเงินกู้วงเงินไม่เกิน 50,000 บาทเพื่อประกอบอาชีพ นับว่าเป็นนโยบายที่ประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะชุมชนที่ต้องการสวัสดิการเพื่อการดูแลคุณภาพชีวิต ให้สามารถยืนได้ด้วยตนเอง”

“ส่วนใหญ่อ้นจะลงพื้นที่ชุมชนเองทุกกลุ่ม และเดินเข้าไปหาตามบ้านเอง เสียงตอบรับก็จะดี และก็คล้ายๆกันไม่ว่าจะมีเรื่องศูนย์สุขภาพเด็ก หรือว่าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือเรื่องวัคซีนหรือเรื่องต่างๆ ทั้งนี้ อ้นขอฝากให้พี่น้องประชาชนเลือกทั้งพรรคทั้งคน เพราะเราจะได้เข้าไปบริหารร่วมกันทั้งตัวบุคคล และตัวพรรค”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 27 เมษายน 2566

“รมว.ชัยวุฒิ” เปิดตัวการใช้งาน Health Link รูปแบบใหม่ ตั้งเป้านำร่องกับโรงพยาบาลในสังกัด กทม. เดือนพฤษภาคมนี้

, ,

“รมว.ชัยวุฒิ” เปิดตัวการใช้งาน Health Link รูปแบบใหม่ ตั้งเป้านำร่องกับโรงพยาบาลในสังกัด กทม. เดือนพฤษภาคมนี้

26 เมษายน 2566, กรุงเทพมหานคร – รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ พร้อมด้วยผู้บริหาร GBDi สังกัดดีป้า สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร และคณะผู้บริหารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ ร่วมเปิดตัวการ ใช้งาน Health Link รูปแบบใหม่ เพื่อเป็นช่องทางการลงทะเบียนและให้ความยินยอมในการส่งต่อข้อมูลสุขภาพ เข้าสู่ระบบแก่ประชาชนโดยสะดวกด้วยบัตรประชาชนเพียงใบเดียวในการลงทะเบียน ณ จุดบริการที่แผนกต่าง ๆ และแผนกเวชระเบียนของโรงพยาบาล เล็งนำร่องกับโรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานครเป็นกลุ่มแรกพฤษภาคมนี้

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)
พร้อมด้วย รศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (GBDi) หน่วยงานผู้พัฒนา Health Link ระบบเชื่อมโยงข้อมูลประวัติการรักษาผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลทั่วประเทศ สังกัด สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดตัวการใช้งาน Health Link รูปแบบใหม่

โดยเพิ่มช่องทางการลงทะเบียนและให้ความยินยอมในการส่งต่อข้อมูลสุขภาพเข้าสู่ระบบแก่ประชาชน พร้อมรับชมกิจกรรมสาธิตการใช้งาน ณ โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โดยมี ดร.นพ.สุขสันต์ กิตติศุภกร รองปลัดกรุงเทพมหานคร นพ.เพชรพงษ์ กำจรกิจการ รองผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ นพ.พรเทพ แซ่เฮ้ง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ ดร.ศุภกร สิทธิไชย ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสดีป้า และ นพ.ธนกฤต จินตวร รองผู้อำนวยการ GBDi ร่วมงานโดยพร้อมเพรียง

นายชัยวุฒิ เปิดเผยว่า กระทรวงดิจิทัลฯ โดย GBDi มุ่งมั่นมอบความสะดวกให้กับประชาชนในการลงทะเบียนและให้ความยินยอมในการส่งต่อข้อมูลสุขภาพของตนเองเข้าสู่ระบบ Health Link ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยเฉพาะประชาชนบางกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน หรือใช้งานแอปพลิเคชันไม่คล่อง ทำให้ไม่สามารถลงทะเบียนเข้าสู่ระบบได้ ดังนั้นทีมงาน Health Link จึงพัฒนาบริการรูปแบบใหม่ที่ทำให้การลงทะเบียนและให้ความยินยอมในการส่งต่อข้อมูลสุขภาพของตนเองเข้าสู่ระบบเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็วด้วยการใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว ณ จุดบริการที่แผนกต่าง ๆ รวมถึงแผนกเวชระเบียนของโรงพยาบาลนั้น ๆ โดยจะนำร่องปฏิบัติการร่วมกับโรงพยาบาลในสังกัดสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ทั้ง 11 แห่งเป็นกลุ่มแรกในเดือนพฤษภาคมนี้

ขณะที่ รศ.ดร.ธีรณี กล่าวต่อว่า รูปแบบการให้บริการของ Health Link ที่เปิดตัวในวันนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงระบบเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลประวัติสุขภาพและการรักษาระหว่างโรงพยาบาลได้ง่ายขึ้น และยังช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการเชื่อมต่อข้อมูลประวัติการรักษาโดยแพทย์สามารถเรียกดูข้อมูลต่าง ๆ ได้ทันทีที่ผู้ป่วยลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ จากเดิมที่ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า 1 วัน

“ปัจจุบันมีโรงพยาบาลทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการ Health Link แล้วกว่า 300 แห่ง โดยในปี 2566 ตั้งเป้าหมายเพิ่มการเชื่อมต่อข้อมูลผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลให้ครอบคลุมมากกว่า 200 แห่ง เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเข้ารับบริการ โดยปีที่ผ่านมา GBDi ได้ส่งเสริมให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ Health Link เพื่อยินยอมให้โรงพยาบาลส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยไว้ในระบบผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ในหมวดสิทธิที่น่าสนใจฟีเจอร์กระเป๋าสุขภาพ และตอนนี้สามารถมาลงทะเบียนที่โรงพยาบาลได้” ผู้อำนวยการ GBDi กล่าว

สำหรับประชาชนสามารถศึกษารายละเอียดต่าง ๆ และติดตามข้อมูลข่าวสารความคืบหน้าการพัฒนาระบบ Health Link ได้ที่เพจเฟซบุ๊ก HealthLink.go.th และเว็บไซต์ www.healthlink.go.th

ปัจจุบัน GBDi อยู่ระหว่างจัดตั้งเป็น สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Institute) ในการเป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดนโยบาย พร้อมยกระดับทักษะบุคลากรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนประยุกต์ใช้ข้อมูลขนาดใหญ่อย่างเป็นประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาประเทศในอนาคต

———————————————————————

ข้อมูลเพิ่มเติม :
Health Link เป็นระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพผ่านระบบออนไลน์ (Health Information Exchange) ที่มีประสิทธิภาพด้วยระบบป้องกันภัยทางไซเบอร์ตามมาตรฐานสากล มีเป้าหมายในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยยกระดับบริการด้านสุขภาพแก่ประชาชน ไม่ว่าจะเจ็บป่วยหรือเกิดเหตุฉุกเฉินที่ใดก็สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดได้ทันที โดยแพทย์สามารถสืบค้นข้อมูลผู้ป่วย Health Link ทำให้ไม่ต้องเสียเวลารอการส่งข้อมูลจากโรงพยาบาลเดิมของผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยให้การวินิจฉัย และการวางแผนรักษารวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่วนกรณีที่ต้องการย้ายโรงพยาบาลจะดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว เพราะข้อมูลประวัติการรักษาจะตามตัวผู้ป่วยไปในทุกที่

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 เมษายน 2566

“สกลธี” ลงพื้นที่ริมชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน อาสาแก้ปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะ-พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว มั่นใจ “ลุงป้อม”ไม่มีปัญหาถือครองหุ้น

,

“สกลธี” ลงพื้นที่ริมชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน อาสาแก้ปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะ-พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว มั่นใจ “ลุงป้อม”ไม่มีปัญหาถือครองหุ้น

​เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พื้นที่สำรวจชายฝั่งทะเล เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ ร่วมกับ นายอนุชาญ กวางทอง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง เขต 26 เขตบางขุนเทียน (เฉพาะแขวงท่าข้าม) เขตจอมทอง (ยกเว้นแขวงบางขุนเทียน) หมายเลข 3 พร้อมลงเรือสำรวจแนวน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งและพบแกนนำชาวบ้านเพื่อรับทราบถึงปัญหาพร้อมชี้แจงแนวทางแก้ไข

​นายสกลธีกล่าวว่า ปัญหาตรงนี้ที่พบคือเรื่องปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งและถนนสัญจร ซึ่งงบประมาณของท้องถิ่นอย่างเดียวไม่สามารถทำได้ ทั้งนี้ นโยบายพรรค พปชร.จะมีกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาท เข้ามาช่วยอุดหนุนท้องถิ่นเพื่อช่วยพัฒนาถนนและทำแนวเขื่อนป้องกัน พร้อมกับพัฒนาพื้นที่ตรงนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยังยืนเพื่อให้ประชาชนมีรายได้ต่อไป

​“ตรงนี้มีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เพียงแต่ที่ผ่านมายังไม่มีการเข้ามาช่วยสนับจากภาครัฐอย่างเพียงพอ ผมมั่นใจว่าด้วยนโยบายและความตั้งใจของผม เราจะทำให้ตรงนี้เป็นจุดท่องเที่ยวแห่งใหม่และจะแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งให้กับพี่น้องชาวบางขุนเทียนได้”

​ส่วนกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ถือครองหุ้นของบริษัท อาจเข้าข่ายตามลักษณะต้องห้ามของการเป็นผู้สมัคร ส.ส. นายสกลธีกล่าวว่า ในส่วนนี้ไม่เป็นห่วงเพราะเท่าที่ทราบท่านไม่เคยซื้อหุ้นในส่วนนี้เลย แต่ท่านก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบได้อย่างเต็มที่

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 เมษายน 2566

“ธรรมรักษ์” ลุยให้กำลังใจผู้สมัคร ส.ส.พปชร.ภาคอีสาน เร่ง ประชาสัมพันธ์นโยบายอีสานประชารัฐ เผย “สมรักษ์” มั่นใจ ซ้อมดี ชกในบ้าน แพ้ยากแน่นอน

,

“ธรรมรักษ์” ลุยให้กำลังใจผู้สมัคร ส.ส.พปชร.ภาคอีสาน เร่ง ประชาสัมพันธ์นโยบายอีสานประชารัฐ เผย “สมรักษ์” มั่นใจ ซ้อมดี ชกในบ้าน แพ้ยากแน่นอน

พลเอกธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ซึ่งรับผิดชอบดูแลพื้นที่ภาคอีสาน เปิดเผยว่าในช่วงวันที่ 20-25 เม.ย.ที่ผ่านมา ตนและพลเอกวีระชัย อินทุโศภน หรือ บิ๊กอ้อม พร้อมคณะได้เดินทางไปยังทางขึ้น จ.หนองบัวลำภู จ.เลย จ.หนองคาย และ จ.ขอนแก่น เพื่อให้กำลังใจผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ โดยได้เน้นนโยบายพรรคฯ ร่วมถึง โครงการในการพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือ อีสานประชารัฐ เน้นให้ผู้สมัครลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องโดยในการลงพื้นที่ครั้งนี้

ทั้งนี้ พลเอกธรรมรักษ์ ระบุว่าได้พบกับ นายสมรักษ์ คำสิงห์ ผู้สมัครฯใน จ.ขอนแก่น ซึ่งทางนายสมรักษ์ ได้กล่าวว่า ดีใจที่พลเอกธรรมรักษ์มาให้กำลัง และมีความเชื่อมั่นว่า จะชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้

จากนั้นได้พูดคุยกันด้วยบรรยากาศสบาย ๆ โดยคณะทำงานของพลเอกธรรมรักษ์ ได้ถามนายสมรักษ์ฯถึงในอดีตวันที่ได้เหรียญทองโอลิมปิคว่าถ้าวันนั้นเจอกับ Floyd Mayweather Jr. ในรอบชิงเหรียญทองจะชนะไหม ซึ่งนายสมรักษ์ กล่าวว่าในเวลานั้น ผมสดมากเจอใครก็ได้ชนะแน่นอน ตอนนี้ในเวทีการเมืองผมก็สดเช่นกัน มั่นใจครับ เรียกว่าถ้าภาษาหมัดมวย ต้องบอกว่า ซ้อมดีมากและชกในบ้านด้วย แพ้ยากครับ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 เมษายน 2566

“สกลธี” มั่นใจ พปชร.ไม่มีปัญหาหุ้นสื่อ

,

“สกลธี” มั่นใจ พปชร.ไม่มีปัญหาหุ้นสื่อ

​เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2566 นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหาร และหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่สวนเสรีไทย เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ร่วมกับ “อ้น” ณิรินทร์ เงินยวง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง เขต 15 (คันนายาว-บึงกุ่ม) หมายเลข 8 เพื่อพบปะประชาชน

​โดย น.ส.ณิรินทร์กล่าวว่า สวนเสรีไทยนี้เป็นหนึ่งในสวนตัวอย่างของ กทม.ที่ไม่ต้องมีขนาดใหญ่มาก แต่เข้าถึงง่าย ใกล้กับหมู่บ้านแหล่งชุมชน ผู้สูงอายุสามารถเดินออกกำลังรอบสวนได้ มีความปลอดภัยเพราะมี รปภ.ดูแลตลอด ตนจึงอยากให้มีการสร้างสวนแบบนี้เพิ่มขึ้นอีกหลายแห่งใน กทม.

​นายสกลธีกล่าวว่า เป็นนโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่ต้องเพิ่มพื้นที่สีเขียวใน กทม. โดยเฉพาะการสร้างสวนขนาดเล็กที่ประชาชนสามารถเดินถึงได้ภายใน 15 นาที แต่งบประมาณของท้องถิ่นอย่างเดียวไม่สามารถทำได้ พรรคพลังประชารัฐจึงจะตั้งกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาทขึ้นเพื่อมาช่วยท้องถิ่นพัฒนาพื้นที่ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของพรรค

​“ปัญหาด้านสาธารณสุขต้องแก้ที่ต้นเหตุ ไม่ต้องรอป่วยแล้วไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาโรค แต่เราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีตั้งแต่ต้น พรรคจึงมีนโยบายส่งเสริมให้ทุกคนออกกำลังกาย และเชื่อมข้อมูลกับสมาร์ทวอชหรือโทรศัพท์มือถือ นำข้อมูลการออกกำลังกายมาแลกของรางวัลจากรัฐบาล เช่น ส่วนลดค่าน้ำค่าไฟ หรือการลดภาษีได้”

​เมื่อถามถึงการตอบรับจากประชาชนในพื้นที่ นายสกลธีกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ นายทิวา เงินยวง เป็น ส.ส.น้ำดี มีผลงานมากมาย เมื่อมีทายาทอย่าง น.ส.ณิรินทร์มาอาสาดูแลพี่น้องประชาชนต่อ ทุกคนจึงให้การตอบรับเป็นอย่างดี
​“ส่วนกรณีที่ กกต.กำลังพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส.หลายคน เรื่องการถือครองหุ้นนั้น ยืนยันว่าทั้ง พล.อ.ประวิตรและพรรคพลังประชารัฐทำตามที่กฎหมายระบุอยู่แล้ว ส่วนการตีความก็ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 เมษายน 2566

“ชัยวุฒิ” ปราศรัยบ้านเกิดสิงห์บุรี ประกาศก้าวข้ามความขัดแย้ง ย้ำ ตั้งใจมาตอบแทนพระคุณแผ่นดิน เรียกใช้ได้ตลอดเวลา

,

“ชัยวุฒิ” ปราศรัยบ้านเกิดสิงห์บุรี ประกาศก้าวข้ามความขัดแย้ง ย้ำ ตั้งใจมาตอบแทนพระคุณแผ่นดิน เรียกใช้ได้ตลอดเวลา

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเวทีปราศรัยบริเวณวัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี นำโดย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยกล่าวบนเวทีตอนหนึ่งว่า บ้านเมืองแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ใส่เสื้อสีออกมาประท้วง ทำให้ประชาชนทำมาหากินไม่ได้ ในสภาผู้แทนราษฎรก็ยังทะเลาะเบาะแว้ง ส่งผลทำให้บ้านเมืองมีปัญหา คนไทยไม่มีความสุข

“วันนี้แค่จะเลือกตั้งก็ทะเลาะกันแล้ว ยิ่งมีสีส้มมาอีกหนักกว่าสีแดง สีเหลือง เพราะเขาจะมาแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนประเทศ จะเปลี่ยนไปทางไหน เขาบอกต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอ ซึ่งต้นตอของเราก็ไม่เหมือนกัน ส่วนตัวมองว่าต้นตอของปัญหาคือนักการเมืองที่ทุจริต นักการเมืองโกง นักการเมืองเห็นแก่ตัวทะเลาะกัน นั่นแหละคือต้นตอของปัญหา ไม่เกี่ยวกับ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยเราดีอยู่แล้ว แต่เราต้องเปลี่ยนที่นักการเมือง เลือกนักการเมืองที่ดีเข้าไปทำงานให้ประเทศชาติสงบสุข ประชาชนทำมาหากินได้ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้พูดเป็นคนแรก และคนเดียวมาตลอดว่า อยากให้ทุกคนก้าวข้ามความขัดแย้ง ถ้าทุกคนยังทะเลาะกันอยู่จะอยู่อย่างไร เราเลือกผู้แทนไปทำงาน เราต้องเลือกคนที่เรารัก เลือกพรรคที่เราชอบเข้าไปทำงาน การเมืองถึงจะเดินหน้าไปได้ บ้านเมืองก็สงบสุข แต่ช่วงหลังการเมืองแปลก ๆ เพระมีความขัดแย้ง ประชาชนมาทะเลาะกันเพราะการเมือง บางบ้านพ่อใส่เสื้อสีแดง แม่ใส่เสื้อสีเหลือง ลูกใส่เสื้อสีส้ม ก็ทะเลาะกันทั้งวันแบบนี้จะมีความสุขได้อย่างไร ครอบครัวก็แตกแยก ดังนั้นการเมืองต้องมาทำเพื่อประชาชน ไม่ใช่ทำเพื่อคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่ทำเพื่อครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง ไม่ใช่เลือกแล้วมาทำให้ประชาชนมาทะเลาะกัน มาปลุกปั่นให้แตกแยก

นอกจากนี้ นายชัยวุฒิ ยังชูนโยบายลดราคาแก๊ส ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน เพราะเห็นใจชาวบ้านที่ประสบปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยยืนยันว่า สิ่งแรกที่พรรคพลังประชารัฐจะทำทันทีที่เป็นรัฐบาล และ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็คือ การลดค่าครองชีพ ลดค่าไฟ ค่าแก๊ส ค่าน้ำมัน ให้ไฟฟ้าเหลือหน่วยละ 2.50 บาท เพื่อทำให้ประชาชนมีเงินเหลือเพื่อนำไปใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ

“ผมขอขอบคุณประชาชนที่มาฟังปราศรัย ผมตั้งใจมาตอบแทนพระคุณแผ่นดิน เพราะผมเป็นคนสิงห์บุรี ไม่มีวันลืมบ้านเกิดแน่นอน พี่น้องสามารถเรียกใช้ได้ตลอดเวลาแน่นอน”นายชัยวุฒิ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 เมษายน 2566

“สกลธี” ควง “บุณณดา” เบอร์6 ลงพื้นที่ฝั่งธนขอเสียง ปชช. ชูกองทุนประชารัฐ3แสนล.-สร้างรายได้ให้ชุมชน

,

“สกลธี” ควง “บุณณดา” เบอร์6 ลงพื้นที่ฝั่งธนขอเสียง ปชช. ชูกองทุนประชารัฐ3แสนล.-สร้างรายได้ให้ชุมชน

นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร. ) ลงเรือที่ท่าวัดอรุณ เข้าคลองบางกอกใหญ่ เยี่ยมชมพระพุทธรูปองค์ใหญ่วัดปากน้ำภาษีเจริญ และขึ้นท่าตลาดน้ำคลองบางหลวงเดินหาเสียงชูนโยบายกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านพัฒนาย่านท่องเที่ยวฝั่งธน ร่วมกับ ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 32 หมายเลข 6 เป็นผู้สมัคร 5 เขต 11 แขวง ประกอบไปด้วย เขตบางกอกใหญ่ เขตธนบุรี (เฉพาะแขวงบางยี่เรือ วัดกัลยาณ์ หิรัญรูจี) เขตภาษีเจริญ (ยกเว้นแขวงบางหว้า บางด้วนและคลองขวาง) เขตตลิ่งชัน (เฉพาะแขวงบางเชือกหนัง) เขตบางกอกน้อย (เฉพาะแขวงศิริราช) เป็นการเพบปะประชาชน พร้อมชูนโยบายพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวริมคลอง เพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืน ให้ชุมชน

“โซนฝั่งธนนี้มีจุดท่องเที่ยว วัดวาอาราม คลองเล็กคลองน้อย วิถีชีวิตชุมชน ร้านอาหารอร่อยมากมายสามารถพัฒนาให้ดีกว่านี้ได้แน่นอน ถ้าเลือกทีม กทม.พลังประชารัฐเข้าไปทำงานพัฒนาด้วยกองทุนประชารัฐ 300,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถอุดช่องว่างเรื่องงบประมาณท้องถิ่นที่ไม่เพียงพอต่อการพัฒนาซึ่งกรุงเทพฯ มีวัตถุดิบที่ดีมากอยู่แล้ว แค่ขาดคนที่รู้จริง และขาดงบประมาณที่จะเข้าไปพัฒนา ผมขอฝาก ดร.เอ๋ เขตเลือกตั้งที่ 32 เบอร์ 6 ซึ่งเป็นคนฝั่งธน ตั้งใจเข้าไปพัฒนาฝั่งธนบุรีให้เป็นแหล่งเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 เมษายน 2566

สกลธี – ฟิล์ม รัฐภูมิ ลงพื้นที่วัดย่านาค – ชุมชนหลังสถานีรถไฟหัวหมาก ชู “ซอฟต์พาวเวอร์” แหล่งท่องเที่ยวชุมชน

,

สกลธี – ฟิล์ม รัฐภูมิ ลงพื้นที่วัดย่านาค – ชุมชนหลังสถานีรถไฟหัวหมาก ชู “ซอฟต์พาวเวอร์” แหล่งท่องเที่ยวชุมชน

วันที่ 9 เมษายน 2566 นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคพลังประชารัฐ ร่วมกับนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ “ฟิล์ม รัฐภูมิ” ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตเลือกตั้งที่ 22 (สวนหลวง-ประเวศ) หมายเลข 1 ลงพื้นที่วัดมหาบุศย์และชุมชนหลังสถานีรถไฟหัวหมาก พร้อมชูนโยบายพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน
นายสกลธี กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถใช้กองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาท ช่วยพัฒนากรุงเทพฯ ให้ดีขึ้นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะการสร้างแหล่งท่องเที่ยว จุดเช็คอินให้กระจายให้ทั่วทุกเขตใน กทม. ไม่ต้องไปกระจุกอยู่ในพื้นที่ชั้นในอย่างสุขุมวิท เยาวราช หรือถนนข้าวสาร ซึ่งในพื้นที่เขตสวนหลวง เขตประเวศ มีจุดที่ฟิล์ม-รัฐภูมินำเสนออยากทำเป็นจุดท่องเที่ยวท้องถิ่นที่ยั่งยืน แต่ใช้งบ กทม.ทำอย่างเดียวคงไม่ได้เพราะงบประมาณจำกัด รัฐบาลกลางต้องเข้าไปช่วย เช่น เพิ่มเส้นทางเดินเรือ เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวหรือการแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ ทั้งนี้จะทำให้การทำงานของรัฐบาลกลางและท้องถิ่นอย่าง กทม.แนบแน่นขึ้น ตรงกับที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ย้ำเสมอว่าเราจะมาทำงานให้คนไทยทุกคน

ขณะที่นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ “ฟิล์ม รัฐภูมิ” ” ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตเลือกตั้งที่ 22 (สวนหลวง-ประเวศ) หมายเลข 1 กล่าวเสริมว่า เราต้องใช้กองทุนประชารัฐ 3 แสนล้าน สร้าง Soft Power ให้เกิดขึ้น โดยในเขตสวนหลวง-ประเวศ มีทุนที่ดีอย่างย่านาค ซึ่งเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะชาวจีนที่เข้ามาไหว้ย่านาคปีละหลายแสนคน โดยตนจะไม่ทำเพียงจุดเดียว แต่จะใช้นโยบาย “สวนหลวง Number 1” โปรโมท “สถานที่ท่องเที่ยว 9 ที่ : 7 วัด 1 มัสยิด 1 ศาลเจ้า” ซึ่งสามารถเดินทางเข้าถึงได้ทั้งทางรถ-ทางเรือ ดึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าเขตสวนหลวง ซึ่งตนมั่นใจว่าจะทำสำเร็จได้ไม่เกิน 9 เดือน
“การพบพี่น้องประชาชนในฐานะผู้สมัคร ส.ส. ต่างจากตอนเป็นนักร้อง ตอนเป็นนักร้องคนจะเข้ามากรี๊ด มาถ่ายรูป แต่ตอนเป็นนักการเมืองจะมีคนมากอดร้องไห้ขอให้ช่วยเหลือ ตนดีใจที่คุณสกลธีและพรรคพลังประชารัฐให้โอกาส ตนมั่นใจว่าจะสามารถเข้ามาช่วยให้เขาหายทุกข์และทำให้เขามีความสุขได้ แต่จะได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเมตตาของพี่น้องประชาชนด้วย”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 เมษายน 2566