โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: สื่อออนไลน์

พปชร.เสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์กราดยิงศูนย์เด็กเล็ก เผย “พล.อ.ประวิตร”ห่วงใยผลกระทบที่เกิดขึ้น มอบว่าที่ผู้สมัครส.ส. หนองบัวลำภู ติดตามใกล้ชิด

,

พปชร.เสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์กราดยิงศูนย์เด็กเล็ก เผย “พล.อ.ประวิตร”ห่วงใยผลกระทบที่เกิดขึ้น มอบว่าที่ผู้สมัครส.ส. หนองบัวลำภู ติดตามใกล้ชิด

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับครอบครัวผู้สูญเสียและผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์คนร้ายกราดยิงภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งหนึ่ง ในจ.หนองบัวลำภู โดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ห่วงใยสถานการณ์และผลกระทบที่เกิดขึ้น พร้อมมอบหมายให้สมาชิกพรรคและว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐในพื้นที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมประสานข้อมูลในทุกมิติ

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้เบื้องต้นสาเหตุมาจากยาเสพติด ซึ่งรัฐบาลได้พยายามแก้ไขปัญหาและให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด ทั้งการป้องกันและปราบปราม โดยมีโครงการแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นจะต้องบูรณาการณ์ในการแก้ไขปัญหาทุกภาคส่วนเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม พรรคพลังประชารัฐ พร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่น้องประชาชนในทุกวิกฤติ โดยเฉพาะพี่น้องชาวหนองบัวลำภู ที่พรรคพลังประชารัฐ เพิ่งจัดกิจกรรม ไปเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา โดยพรรคพลังประชารัฐจะเร่งผลักดันแนวทางในการป้องกันปัญหาในเชิงรุก เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์สลดซ้ำขึ้นอีก

ด้าน ส.จ.ประภาลักษณ์ สิทธิ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. หนองบัวลำภู เขต3 กล่าวว่า เมื่อตนทราบเรื่องตนรู้สึกเสียใจและขอเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวของผู้สูญเสีย ในเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้โดยตนพร้อมที่จะเดินหน้าโครงการแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชนแบบครบวงจรโดยเฉพาะการบำบัดผู้ติดยาเสพติด และมาตรการในการเฝ้าระวังของชุมชน


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 6 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”ลงพื้นที่ดูแลชาวปทุมรับผลกระทบอุทุกภัย เดินหน้าผลักดันโครงการบริหารจัดการน้ำป้องกันระยะยาว

,

“พล.อ.ประวิตร”ลงพื้นที่ดูแลชาวปทุมรับผลกระทบอุทุกภัย
เดินหน้าผลักดันโครงการบริหารจัดการน้ำป้องกันระยะยาว

เมื่อวันที่ 6 ต.ค.65 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงการคลัง ได้เดินทางพื้นที่ศาลากลาง จ.ปทุมธานี เพื่อติดตามสถานการณ์ของปริมาณน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา จาก”พายุโนรู” โดยมี ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ เขต 2 กทม. รวมถึงว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ทั้ง 7 เขตปทุมธานี อาทิ นายเศวก ประเสริฐสุข , นายปรีชา ชื่นชนกพิบูล , นายเกียติศักด์ ส่องแสง , นายคิว อรุโณรส , นายสุรศักดิ สุรทัตโชค, นายประเสริฐศรี ฮ้อแสงชัย และนางฐิตินันท์ เจริญอาจ นายชณทัต ปัทะมะภูวดล ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.อยุธยา เขต 3 ให้การต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง โดย นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ได้บรรยายสรุปสถานการณ์น้ำภาพรวม จ.ปทุมธานี นายบุญสม ชลพิทักษ์วงศ์ รักษาการที่ปรึกษาด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) นำเสนอแผนงานด้านทรัพยากรน้ำใน จ.ปทุมธานี และภาพรวมสถานการณ์น้ำปัจจุบัน นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน นำเสนอแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ โดยสรุป

ทั้งนี้ภาพรวมจ.ปทุมธานี อยู่ในพื้นที่ 2ลุ่มน้ำ คือลุ่มน้ำเจ้าพระยา (77%) และลุ่มน้ำบางปะกง (23%)มีปริมาณน้ำปัจจุบัน 26 ล้าน ลบ.ม.( 39%) ซึ่งปัญหาอุทกภัยในปีนี้ มีสาเหตุ จากน้ำหลาก จากต้นน้ำตอนบน ไหลลงสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ทำให้เกิดการเอ่อล้นตลิ่ง เข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรกรรม รวม 7อำเภอ อยู่ในขณะนี้ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาล ได้มี 13มาตรการรองรับฤดูฝน ควบคู่กับโครงการ 349 โครงการในปี61-65 แล้ว และอีก 4 โครงการสำคัญ ในปี66-67

ขณะเดียวกันยังได้ติดตามการบริหารจัดการน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณท่าน้ำวัดโบสถ์ อ.สามโคก การก่อกระสอบทรายกั้นน้ำ อบต.กระแชง อ.สามโคก และประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ที่ใช้บริหารจัดการน้ำคลองรังสิตประยูรศักดิ์และการระบายน้ำในพื้นที่ จ.ปทุมธานี และกรุงเทพฯ และการปฎิบัติงานของศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center) วิทยาลัยเทคนิคปทุมธานี พร้อมทั้งได้พบปะ เยี่ยมเยียนพี่น้องประชาชน เพื่อให้กำลังใจผู้ที่ประสบอุทกภัยต่อด้วยการเดินทางไปตรวจสภาพ ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ อ.ธัญบุรี เพื่อเร่งระบายน้ำ ลดความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ตามแผนงานอย่างเร่งด่วน ต่อไป

พล.อ.ประวิตร กล่าวขอบคุณประชาชนที่มาต้อนรับ ซึ่งรัฐบาลเห็นใจเรื่องของปริมาณน้ำที่สร้างผลกระทบมาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยพบว่าพื้นที่ริมน้ำได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำในเจ้าพระยาในขณะนี้มีปริมาณที่สูงกว่าเขื่อน ส่งผลให้น้ำท่วมเข้าสู่บ้านเรือนที่ส่งผลให้ท่วมถึงกว่า 6,000 ครัวเรือน ซึ่งรัฐบาลกำลังวางแผนเพื่อลดผลกระทบเกิดขึ้นกับประชาชนให้น้อยที่สุด โดยได้หน่วยงานต่างๆได้ร่วมวางแผนไม่ว่าจะเป็นสนทช. กรมชลประทาน เพื่อกำหนดแผนป้องกันไม่ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน และแก้ไขปัญหาโดยเร็ว

นอกจากนี้ ยังได้เตรียมแผนให้หน่วยงานท้องถิ่นขยายถนน ทางเข้าวัดสามโคกเพิ่มขึ้น โดยให้อบจ.ไปดำเนินการออกแบบ ซึ่งจะมีการเร่งรัด เพื่อแก้ไขปัญหาตามข้อแนะนำจากท่านเจ้าอาวาสวัดสามโคกต่อไป

พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อติดตามความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี นนทบุรี และ กทม. โดยเฉพาะการรับมือกับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน บ้านเรือน และพื้นที่ทำกินของประชาชน และได้สั่งการให้ สทนช. กรมชลประทาน และจังหวัด ร่วมบูรณาการแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรน้ำในพื้นที่ และเร่งแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่ยังมีจุดท่วมขังให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว โดยการเร่งดำเนินการซ่อมแซม บำรุงรักษาระบบระบายน้ำ อาคารบังคับน้ำและสถานีสูบน้ำที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทานให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน

นายบุญสม ชลพิทักษ์วงศ์ รักษาการที่ปรึกษาด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สทนช. ได้รายงานผลการดำเนินงานพัฒนาทรัพยากรน้ำในพื้นที่ จ.ปทุมธานีในปี 61 – 64 พบว่า มีโครงการด้านแหล่งน้ำทั้งสิ้น 337 แห่ง พื้นที่รับประโยชน์ประมาณ2 หมื่นไร่ พื้นที่เก็บกักน้ำเพิ่มขึ้น 3.45 ล้านลูกบาศก์เมตร เช่น การปรับปรุงอาคารบังคับน้ำปลายคลองลาดหลุมแก้วประปาหมู่บ้านแบบบาดาลขนาดใหญ่ ประตูระบายน้ำกลางคลอง 13 ก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งระยะทาง ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นต้น ซึ่งโครงการสำคัญที่จะเกิดขึ้นในช่วงปี 66 – 67 ได้แก่ ประตูระบายน้ำกลางคลองรังสิต (8-9) ประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า ปากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ ปรับปรุงคันคลองเชียงรากน้อย ด้านทิศเหนือ ระยะที่ 1 ซึ่งเมื่อโครงการแล้วเสร็จจะสามารถป้องกันน้ำท่วมได้ถึง 53,000 ไร่


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 6 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร” พอใจแผนงานกำกับภูมิภาค ย้ำเร่งแก้ไขปัญหาอุทกภัยดูแล ปชช.ต่อเนื่อง

,

“พล.อ.ประวิตร” พอใจแผนงานกำกับภูมิภาค ย้ำเร่งแก้ไขปัญหาอุทกภัยดูแล ปชช.ต่อเนื่อง

พล.อ.ประวิตร ประชุม ติดตามแผนงาน “กำกับฯภูมิภาค” เน้นช่วยเหลือเร่งด่วน ปชช.ทั่วประเทศ พอใจผลงานปี65ได้ตามเป้า อนุมัติงบฯกรณีฉุกเฉิน ปี66 แก้ปัญหาต่อเนื่อง 18 เขตพื้นที่ ตามนโยบายรัฐบาล ย้ำห้ามซ้ำซ้อน งานปกติ

เมื่อ 6 ต.ค.65 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ครั้งที่ 1/2565 ณ ห้องประชุม มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด โดยพล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้รับทราบ ผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคของรองนายกรัฐมสตรี ประจำปี 2565 โดย รองนายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่เพื่อมอบนโยบายและตรวจเยี่ยม พร้อมประชุม/หารือ เพื่อรับฟังปัญหา รวมถึงแก้ไขปัญหาในการดำเนินงานต่างๆ จำนวน 23 ครั้ง และรับทราบความก้าวหน้า ของโครงการที่ผ่านความเห็นชอบไปแล้ว จำนวน 1,513 โครงการ วงเงิน 1,800 ล้านบาทเศษ ซึ่งเป็นไปตามแผนงาน อย่างน่าพอใจ ภายใต้นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล

จากนั้นที่ประชุม ได้ร่วมกันพิจารณาเห็นชอบ นโยบาย มาตรการ และแนวทาง การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ของรอง นรม.ประจำปี 66 โดยเน้นย้ำ การลงพื้นที่ติดตาม แก้ปัญหาให้สอดคล้องและตรงตามความต้องการ ของพี่น้องประชาชน อย่างแท้จริง และเห็นชอบ แนวทางและกรอบวงเงินงบประมาณ งบกลางของรอง นรม.เพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ประจำปี66 จำนวน 18 เขตตรวจราชการ วงเงิน 900 ล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนโครงการส่งเสริม การพัฒนาที่มีการบูรณาการ โดยยึดพื้นที่และประชาชนเป็นหลัก น้อมนำหลักปัญาเศรษฐกิจพอเพียง มาปรับใช้อย่างเหมาะสมกับพื้นที่ภูมิสังคม เพื่อให้เกิดความยั่งยืน ต่อไป

พล.อ.ประวิตร ยังได้กำชับคณะทำงาน ทุกเขตตรวจราชการ ให้เร่งติดตามความก้าวหน้าของผลงาน อย่างรีบด่วน โดยเฉพาะปัญหาอุทกภัย ที่ประชาชนกำลังประสพอยู่ในขณะนี้ รวมถึงปัญหาภัยแล้ง และปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วน ของประชาชนทั่วประเทศ โดยจะต้องไม่ซ้ำซ้อนงานปกติ โดยเด็ดขาด พร้อมทั้ง เน้นการพัฒนาระบบฐานข้อมูล ให้รอบด้าน ควบคู่ การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ประชาชน ให้รับทราบประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลดำเนินการให้ อย่างต่อเนื่อง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 6 ตุลาคม 2565

“อธิรัฐ” สั่งการกรมเจ้าท่าเตรียมรับมือพายุไต้ฝุ่น “โนรู” เข้าไทย 28 ก.ย. – 1 ต.ค. นี้

, ,

“อธิรัฐ” สั่งการกรมเจ้าท่าเตรียมรับมือพายุไต้ฝุ่น “โนรู” เข้าไทย 28 ก.ย. – 1 ต.ค. นี้

นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา พายุ “โนรู” ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 26 ก.ย.65 พายุไต้ฝุ่น “โนรู” บริเวณด้านตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลางในวันที่ 28 ก.ย.65 ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย จะมีกำลังแรงขึ้น โดยจะส่งผลกระทบทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้ง กทม.และปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ มี “ฝนตกหนัก” หลายพื้นที่ และมีฝนตกหนักมากบางแห่งกับมีลมแรง ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มในช่วงวันที่ 28 ก.ย. – 1 ต.ค.65

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

นายอธิรัฐ กล่าวว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว ตนจึงได้สั่งการให้กรมเจ้าท่า โดยสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค ที่ 1-7 และ สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษา ทางน้ำ 1-8 ทั่วประเทศ เตรียมการรับมือพายุไต้ฝุ่นโนรู ดังนี้
1. จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กรมเจ้าท่า
2. เตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่ รถ เรือ อุปกรณ์การช่วยเหลือผู้ประภัย
3.จัดเจ้าหน้าที่รับแจ้งเหตุประจำศูนย์และให้กำชับเจ้าหน้าที่เตรียมความพร้อมสนับสนุนให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง
4. ออกประกาศให้ระมัดระวังการเดินเรือ ช่วงวันที่ 27 ก.ย. – 1 ต.ค.65 โดย
– เรือที่มีความยาวต่ำกว่า 12 เมตร ไม่ควรออกจากฝั่งหรืองดการเดินเรือ
– เรือที่มีความยาวมากกว่า 12 เมตร ให้ใช้ความระมัดระวังการเดินเรือในระยะนี้
และให้ตรวจสอบความพร้อมของตัวเรือ เครื่องยนต์เรือ ตลอดจนเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ประจำเรือและอุปกรณ์ช่วยชีวิตต่าง ๆ ให้พร้อมใช้งานและให้ผู้โดยสารสวมเสื้อชูชีพตลอดเวลาขณะอยู่ในเรือ

นายอธิรัฐ กล่าวอีกว่า ตนได้กำชับให้หน่วยงานเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำและสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา รวมถึงบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 กันยายน 2565

‘พล.อ.ประวิตร ’ เร่งช่วยคน”หล่มสัก” ติดตามแก้ปัญหาน้ำ ชาวบ้านต้อนรับคับคั่ง ขอบคุณรัฐบาล จริงใจ พร้อมร่วมมือพัฒนาท้องถิ่น ต่อเนื่อง

, ,

‘พล.อ.ประวิตร ’ เร่งช่วยคน”หล่มสัก” ติดตามแก้ปัญหาน้ำ ชาวบ้านต้อนรับคับคั่ง ขอบคุณรัฐบาล จริงใจ พร้อมร่วมมือพัฒนาท้องถิ่น ต่อเนื่อง

เมื่อ 25 ก.ย.65 พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รอง นรม. เปิดเผยว่าเวลา 14.30 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ในฐานะ ผอ.กอนช. พร้อมคณะได้เดินทางไปปฏิบัติราชการ ต่อเนื่องจากช่วงเช้า ในพื้นที่ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วม ณ เทศบาลเมืองหล่มสัก และเทศบาล ต.ตาลเดี่ยว อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ โดยได้รับฟังรายงานสถานการณ์น้ำ และปัญหาอุทกภัยพร้อมแนวทางการแก้ไขจาก สทนช. ณ บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำป่าสัก โดยสรุปภาพรวม พื้นที่อ.หล่มสัก มีแม่น้ำสายหลักคือแม่น้ำป่าสัก มีอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง 3แห่ง ฝาย 2แห่ง มีปริมาณน้ำกักเก็บ จำนวน 61,320 ล้าน ลบ.ม.มีพื้นที่ชลประทาน ได้รับประโยชน์ 37,359 ไร่ สถานการณ์อุทกภัยที่ผ่านมาตั้งแต่ ก.ค.65 ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุ 3ครั้ง และส่งผลกระทบต่อการดำรงค์ชีวิตประชาชน ทั้งทางด้านการเกษตร พืชผล ด้านปศุสัตว์ และประมง ซึ่งรัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณเพื่อช่วยเหลือเยียวยาแล้ว สำหรับอุทกภัยและภัยแล้งที่ยังคงเป็นปัญหา ซึ่งจะต้องเร่งดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติม โดยจังหวัดและผู้เกี่ยวข้องได้เสนอให้ สทนช.ศึกษาความเป็นไปได้ในภาพรวมของจังหวัด อย่างเป็นระบบ ให้กรมชลประทาน จัดทำโครงการระบบผันน้ำพื้นที่ต้นน้ำ และโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อการกักเก็บน้ำ และชะลอน้ำไม่ให้ไหลเข้าชุมชน อย่างรวดเร็ว รวมถึงให้กรมโยธาธิการและผังเมือง สนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมในการทำเขื่อนป้องกันตลิ่ง และป้องกันน้ำท่วมพื้นที่วิกฤติในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองหล่มสัก เป็นต้น

พล.อ.ประวิตร ได้พบปะกับพี่น้องประชาชน และข้าราชการในพื้นที่ที่มาให้การต้อนรับ จำนวนมากโดยแสดงความห่วงใยชาวบ้านและเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง ที่ยังประสบอยู่ทุกปีในบางพื้นที่ รวมทั้ง การเตรียมรับมือกับพายุ “โนรู” ที่กำลังจะเข้าประเทศไทย บริเวณภาคเหนือ เร็วๆนี้ด้วย ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์หล่มสัก และยังได้กล่าวชื่นชมวิถีชีวิตดังเดิมสู่ปัจจุบัน ที่น่าภาคภูมิใจ พร้อมขอบคุณ ชาวหล่มสัก และชาว จ.เพชรบูรณ์ ที่ให้ความร่วมมือกับภาครัฐด้วยดีในการพัฒนาพื้นที่ กล่าวยืนยัน ว่ารัฐบาลพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ เยียวยา ทุกความเดือดร้อนของประชาชน อย่างเต็มที่ ซึ่งตนจะนำข้อเสนอแนะจากพื้นที่ในวันนี้ ไปให้รัฐบาล เร่งหาวิธีแก้ไข เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน และพัฒนาความเป็นอยู่ ของพี่น้องประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ต่อไป


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 กันยายน 2565

 

 

สส.กทม.พปชร. วอนกรุงเทพจัดระเบียบแผงลอยบนทางเท้าถนนข้าวสาร เร่งออกมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวฟื้นฟูเศรษฐกิจสร้างรายได้เพิ่มให้ปชช.

, ,

สส.กทม.พปชร. วอนกรุงเทพจัดระเบียบแผงลอยบนทางเท้าถนนข้าวสาร
เร่งออกมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวฟื้นฟูเศรษฐกิจสร้างรายได้เพิ่มให้ปชช.

“ส.ส.กานต์กนิษฐ์” ขอกทม.จัดระเบียบรถเข็น-ร้านค้าแผงลอยริมฟุตบาทถนนข้างสารเป็นการด่วน เพื่อความสะอาด และป้องกันบางหน่วยงานเรียกเก็บส่วยค่าแผง พร้อมเสนอ ก.ท่องเที่ยวและกทม.กระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองกรุง หลังนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแห่เข้าไทยเพิ่มขึ้น

นางสาวกานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กทม.เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้หารือต่อที่ประชุมสภาฯ ว่า ได้เสนอให้ทางกรุงเทพมหานครและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ออกมาตรการกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยว ออกมาตรการกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นให้การท่องเที่ยวฟื้นฟูให้รวดเร็วยิ่งขึ้น หลังจากที่รัฐบาลเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบแล้ว โดยพื้นที่ กทม.เขต 1 เป็นเขตท่องเที่ยวที่สำคัญของกรุงเทพฯและของประเทศ เห็นได้ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มทยอยเข้ามาต่อเนื่อง ดั้งนั้นควรมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆเพื่อรองรับ เช่น ถนนคนเดิน งานแสงสีเสียง ในจุดท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น บางลำพู ตลาดน้อย ถนนข้าวสาร เป็นต้น

ขณะเดียวกัน มีผู้ประกอบการร้านค้าย่านถนนข้าวสาร ได้มีการร้องเรียน เพื่อขอความเป็นธรรมไปยังกรุงเทพมหานครและสำนักงานเขต เนื่องจากมีรถเข็นและร้านค้าแผงลอยจำนวนหนาแน่น ถือโอกาสมาตั้งวางขายของปิดบังหน้าร้าน จนลูกค้าไม่สามารถเดินหรือใช้ทางสัญจรเข้าออกร้านได้ ซึ่งผู้ประกอบการร้านค้าเหล่านี้ เพิ่งมีโอกาสได้ฟื้นฟูและเปิดกิจการจากช่วงสถานการณ์โควิดมาได้ไม่นาน แต่พบว่า มีรถเข็นและร้านแผงลอยมาตั้งปิดบัง ตลอดแนวหน้าร้านและเส้นทางสัญจรจนเกิดความแออัดแบบ ไร้ระเบียบ ลดคุณค่าความเป็นถนนข้าวสาร แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง สะอาด และน่าเดินเที่ยวชมเมืองเก่าของไทยไปโดยปริยาย

นางสาวกานต์กนิษฐ์ กล่าวว่า ได้เสนอแนวทางแก้ไข ให้เจ้าของอาคาร เป็นผู้ตัดสิน ใจว่าจะตกแต่งหน้าบ้านอย่างไร และให้การยอมรับให้ผู้ค้ารายย่อย สามารถตั้งขายของบริเวณหน้าร้านของตัวเองได้หรือไม่ เพื่อการจัดสรรพื้นที่ให้เกิดความเหมาะสม สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ให้มีการตั้งรถเข็นแผงลอยที่ผิดกฏหมาย รวมถึงเป็นการป้องปราม ป้องกันข้าราชการเทศกิจในแต่ละสำนักงานเขตอาจมีการเรียกรับเงินจากผู้ค้ารถเข็นแผงลอยเหล่านี้ไปอีกทางหนึ่งด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 15 กันยายน 2565

‘รมว. ตรีนุช’ ห่วงใยความปลอดภัยนักเรียนช่วงฤดูฝน สั่งสถานศึกษาประเมินน้ำท่วมประกาศหยุดเรียน-สอนชดเชย

,

‘รมว. ตรีนุช’ ห่วงใยความปลอดภัยนักเรียนช่วงฤดูฝน
สั่งสถานศึกษาประเมินน้ำท่วมประกาศหยุดเรียน-สอนชดเชย

นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ที่ผ่านมาตนได้สั่งการให้ต้นสังกัดของสถานศึกษา แจ้งไปยังสถานศึกษาในสังกัดให้เฝ้าระวัง และเตรียมความพร้อมรับมือน้ำท่วมก่อนที่น้ำจะมาถึง ซึ่งในแต่ละพื้นที่จะทราบอยู่แล้วว่ามีโรงเรียนไหนบ้างเสี่ยงถูกน้ำท่วม โดยล่าสุด ตน ได้รับรายงานว่าขณะนี้มีสถานศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม จำนวน 236 แห่ง ใน 88 เขตพื้นที่การศึกษา โดยในจำนวนนี้มี 2 โรงเรียน ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ยังไม่สามารถให้นักเรียนเข้าไปเรียนได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ตนได้กำชับให้ผู้บริหารต้นสังกัดของสถานศึกษาต่างๆ ลงไปช่วยเหลือดูแล และเร่งจัดสรรงบประมาณในการซ่อมแซม และให้มีการประเมินสถานการณ์ตลอดเวลาหากพบว่าจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อนักเรียนในการเดินทางมาเรียน หรือในการจัดการเรียนการสอน โดยดูเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับหนึ่ง และหากมีความจำเป็นต้องหยุดการเรียนการสอน ก็ให้สถานศึกษาตัดสินใจหยุดเรียนและจัดการเรียนการสอนรูปแบบอื่น หรือมีจัดเวลาเรียนชดเชย เพื่อไม่ให้เด็กเกิดภาวะการเรียนรู้ถดถอย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 กันยายน 2565

“พล.อ.ประวิตร” ชวนสร้างไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอด ชีวิต “ตรีนุช”เชิดชูเกียรติ “พระยาศรีสุนทรโวหาร”เป็นผู้ส่งเสริมการรู้หนังสือ

, ,

“พล.อ.ประวิตร”ชวนสร้างไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอด ชีวิต
“ตรีนุช”เชิดชูเกียรติ “พระยาศรีสุนทรโวหาร”เป็นผู้ส่งเสริมการรู้หนังสือ

วันนี้ ( 8 ก.ย. 2565) ที่ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพ็คฟอรั่ม เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานเฉลิมฉลองงาน “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ”ประจำปี 2565 หัวข้อ “การพลิกโฉมพื้นที่การเรียนรู้เพื่อการรู้หนังสือ” พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ กศน.ตำบล ให้แก่ผู้ได้รับการคัดเลือก จำนวน 169 รางวัล โดยมีนายชิเงรุ อาโอยากิ ผู้อำนวยการสำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เข้าร่วม

ทั้งนี้ได้อ่านสารของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือว่า “การรู้หนังสือเป็นพื้นฐานสำคัญในการศึกษาและแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาชีวิตและยกระดับความเป็นอยู่ของตนเองให้ดีขึ้น รวมทั้งช่วยขับเคลื่อนพัฒนาประเทศในมิติต่าง ๆ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ โดยมีเป้าหมายให้คนทุกช่วงวัยเป็นคนดี คนเก่ง มีคุณภาพ พร้อมสำหรับวิถีชีวิตในศตวรรษที่ 21 และมุ่งเน้นให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้แก่คนทุกช่วงวัย รวมทั้งผู้ที่ไม่รู้หนังสือ กลุ่มผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบางและชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้เป็นพลเมืองของชาติที่เข้มแข็งและเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศ แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะส่งผลทำให้รูปแบบการเรียนการสอนเปลี่ยนแปลงไป แต่ได้มีการนำนวัตกรรมด้านการจัดการเรียนการสอนมาใช้ในระบบการศึกษามากยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน ดังนั้น จึงเป็นการสร้างโอกาสในการขยายพื้นที่การเรียนรู้ให้เปิดกว้างและครอบคลุมทุกพื้นที่ให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม เพื่อขจัดความไม่รู้หนังสือและสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตต่อไป

นางสาวตรีนุช กล่าวเปิดงานว่า รัฐบาล ได้มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21 โดยหนึ่งในนโยบายหลักที่ใช้ขับเคลื่อน เพื่อการบรรลุเป้าหมาย คือ การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ และการพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย ซึ่งมีจุดเน้นสำคัญในการปฏิบัติ คือ การทำให้คนไทยทุกคนรู้หนังสือที่สอดคล้องกับยุคสมัยทั้งของสังคมไทยและสังคมโลก และ สามารถเข้าถึงโอกาสการเรียนรู้ที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตอย่างทั่วถึง ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDG) ที่องค์การสหประชาชาติกำหนดไว้ ซึ่งการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวได้ส่งผลให้ประเทศไทยมีอัตราการรู้หนังสือของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปอยู่ในเกณฑ์สูง คือกว่าร้อยละ 92 เป็นผู้ที่สามารถอ่านออก เขียนได้ความหมายของการรู้หนังสือ คือ เข้าใจภาษาในระดับที่เหมาะกับการติดต่อสื่อสาร ทำให้สามารถปฏิบัติงานตามหน้าที่ และความรับผิดชอบได้อย่างสมบูรณ์ตามระดับของสังคม

“ในโอกาสเดียวกันนี้ ดิฉันในฐานะประธานคณะกรรมการแห่งชาติ ว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ขอยกย่อง และเชิดชูเกียรติ “พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ในโอกาสที่องค์การยูเนสโกมีมติรับรองการร่วมเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญและเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของโลก ในวาระครอบรอบ 200 ปีชาตกาล ในปี 2565 ด้านการศึกษาและวัฒนธรรม พระยาศรีสุนทรโวหาร เป็นผู้ส่งเสริมการรู้หนังสือ โดยเป็นผู้นิพนธ์หนังสือแบบเรียนภาษาไทย ชุดแบบเรียนหลวง 6 เล่ม ซี่งเป็นแบบเรียนหลวงชุดแรกที่ใช้เป็นแบบหัดอ่านเบื้องต้นของนักเรียน และยังนิพนธ์หนังสือเสริมอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงประพันธ์คำนมัสการคุณานุคุณ และบทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ ผลงานของท่านมีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อการพัฒนาการศึกษา และการรู้หนังสือของไทย สอดคล้องกับแนวคิดขององค์การยูเนสโกในด้านการส่งเสริมการเข้าถึงการศึกษาให้แก่ทุกคน และการส่งเสริมการแสดงออกทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย การรู้หนังสือเป็นเครื่องมือในการเปิดโลกกว้างให้กับทุกๆ คน ซึ่งการมีความรู้ความเข้าใจผ่านการรู้หนังสือ จะเป็นเสริมสร้างความแข็งแกร่งทั้งพลังกาย พลังใจ และพลังสมอง ต่อการดำเนินชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมั่นคง และมีคุณค่า มีความสุข”นางสาวตรีนุช กล่าว.

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 กันยายน 2565

“พล.อ.ประวิตร” ยกระดับใช้กฎหมายปราบค้ามนุษย์เข้ม หลังสภาสหรัฐฯการันตีขึ้น Tier2 ผนึกองค์กรต่างประเทศร่วมดูแล

,

“พล.อ.ประวิตร” ยกระดับใช้กฎหมายปราบค้ามนุษย์เข้ม
หลังสภาสหรัฐฯการันตีขึ้น Tier2 ผนึกองค์กรต่างประเทศร่วมดูแล

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) และคณะกรรมการประสาน และกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปกค.) ครั้งที่ 2/2565 ที่ประชุมคณะกรรมการ ปคม. ได้รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ประจำปี65 โดย ก.ต่างประเทศ สหรัฐฯ ได้จัดอันดับประเทศในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ จำนวน 188 ประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้ดำเนินการสอดคล้องตามมาตรฐานที่สหรัฐฯกำหนด และได้รับการยกระดับจาก Tier 2 (WL) ในปี 64 ขึ้นเป็น Tier 2 ในปี 65 พร้อมได้รับรางวัล “TIP REPORT HERO” 1 คน ได้แก่ นางอภิญญา ทาจิตต์ รอง ผอ. ศูนย์อภิบาลผู้เดินทางทะเล ซึ่งถือเป็นความสำเร็จตามเป้าหมาย และนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งยังคงมีความพยายาม ที่จะพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานต่อไป

ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเห็นชอบ ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการอาเซียน-ออสเตรเลีย เพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ (ASEAN – ACT) ซึ่ง ก.ยุติธรรมได้รายงานความคืบหน้าการจัดทำ ร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือระหว่าง ไทย – ออสเตรเลีย ในการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ และความร่วมมือระหว่าง ไทย – ฟิลิปปินส์ ว่าด้วยการสืบสวน สอบสวนอาชญากรรมข้ามชาติ คดีค้ามนุษย์ โดยมีหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบได้แก่ ก.ยุติธรรม พร้อมทั้งให้ สำนักงานตำวจแห่งชาติ (สตช.) ,กระทรวงพัฒนาพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษยจ์ (พม.) กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กระทรวงแรงงาน(รง.) และสำนักงานอัยการสูงสุด ให้การสนับสนุนข้อมูล และความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ และเห็นชอบ แนวทางการขับเคลื่อนตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) ซึ่งจะเน้นการให้ความช่วยเหลือผู้เสียหาย เป็นสำคัญ และสอดคล้องกับกรอบการประเมิน เพื่อจัดอันดับ ในปีต่อไป

ทั้งนี้ คณะกรรมการ ปกค. ได้เห็นชอบ ในหลักการแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ พ.ศ.2566-2570 ซึ่งประกอบด้วย 4ประเด็นยุทธศาสตร์และ 9กลยุทธ์ รวมทั้งได้เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญระดับชาติ และคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญระดับภาค หรือระดับหน่วยงาน พ.ศ.2565 และการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ให้มีความต่อเนื่อง และบรรลุเป้าหมายเพื่อการยกระดับ TIP REPORT ของไทย ต่อไป

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ขอให้ทุกหน่วยงาน ที่ช่วยกันทำงาน อย่างทุ่มเท เสียสละ ทำให้ประเทศไทย ได้รับการจัดอันดับขึ้นเป็น Tier2 ในปีนี้ พร้อมกำชับ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้บูรณาการความร่วมมือกัน อย่างต่อเนื่อง และให้เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องบังคับใช้กม.อย่างจริงจัง พร้อมยืนยันความตั้งใจ ที่จะต้องกำจัด”การค้ามนุษย์” ให้หมดไปจากประเทศไทย โดยเร็วที่สุด เพื่อรักษาภาพลักษณ์ และส่งสริม เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน เพื่อการพัฒนาประเทศ ต่อไป


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 กันยายน 2565

“รมช.คลัง” มั่นใจลงทะเบียนบัตรประชารัฐทั่วถึง พบวันเดียวปชช.ใช้สิทธิ์กว่า 2 ล้านราย

, ,

“รมช.คลัง” มั่นใจลงทะเบียนบัตรประชารัฐทั่วถึง พบวันเดียวปชช.ใช้สิทธิ์กว่า 2 ล้านราย

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หลังเปิดให้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐวันแรก ( 5 ก.ย. 65) ไปแล้ว และในวันนี้เป็นวันที่ 2 ของการเปิดลงทะเบียน มีประชาชนมาลงทะเบียนวันนี้วันเดียวเกือบ 2 ล้านคน และเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่แออัด เพราะกระทรวงการคลังได้วางระบบเป็นอย่างดี โดยคำนึงถึงภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนเพื่อให้เสียค่าเดินทางน้อยที่สุด โดยมีการตั้งจุดลงทะเบียนกระจายตามสถานต่างๆ อย่างทั่วถึง ทั้งที่อำเภอ คลังจังหวัด เทศบาล และที่ธนาคารของรัฐ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่และหน่วยรับลงทะเบียนจำนวนมาก สามารถอำนวยความสะดวกจนเป็นที่พอใจของประชาชน

ขณะนี้ยังไม่พบปัญหาเรื่องร้องเรียนใดๆ เพราะกระทรวงการคลังมีการประชุมและรับฟังปัญหาที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด และได้แก้ไขมาโดยตลอด โดยเฉพาะในเรื่องของการคัดกรองเรื่องคุณสมบัติของผู้สมัคร ซึ่งกระทรวงการคลังจะเร่งดูมาตรการต่างๆ เพื่อให้เกิดความสะดวกและแม่นยำมากขึ้น เพื่อให้พี่น้องประชาชนในระดับฐานรากได้รับการดูแลจากรัฐบาลอย่างทั่วถึง

“แม้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่ได้เป็นสิ่งที่จะทำให้พี่น้องประชาชนเกิดฐานะดีขึ้น แต่เป็นการช่วยพี่น้องประชาชนในช่วงวิกฤต ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถดำรงชีพได้ในระดับหนึ่ง และเกิดความเสมอภาค” นายสันติ กล่าว

ส่วนการตรวจสอบคุณสมบัตินั้น จะเริ่มตั้งแต่ ณ วันที่มีการกรอกเอกสาร หรือได้ลงทะเบียนทางออนไลน์ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งและจัดเก็บที่ศูนย์ข้อมูลของบัตรคนจน และมีระบบเอไอช่วยคัดกรองในแต่ละขั้นตอน อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังได้เตรียมความพร้อม หากพบว่าคุณสมบัติผู้สมัครไม่ผ่าน จะมีคณะกรรมการคอยรับเรื่องอุทธรณ์ต่างๆ เพื่อทำการตรวจสอบอีกครั้งอย่างเร็วที่สุด ซึ่งผู้อุทธรณ์สามารถอุทธรณ์ผ่านช่องทางออนไลน์หรือทางเว็บไซต์ หากสะดวกหรือใกล้ที่ไหนก็สามารถไปแจ้งที่จุดลงทะเบียนได้ ซึ่งจะได้รับการอำนวยความสะดวกเต็มที่

นายสันติ กล่าวว่า กระทรวงการคลังไม่ได้กำหนดจำนวนสิทธิ์ที่จะได้รับ ถ้ามีคุณสมบัตรผ่านก็จะได้รับสิทธิ์ทุกคน และเชื่อว่าจะมีผู้ที่ตกหล่นจากครั้งก่อนมาลงทะเบียนในรอบใหม่นี้ และจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน อย่างไรก็ดี หลังจากการเปิดประเทศไปแล้ว จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทย ทำให้นักธุรกิจและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่างๆ สามารถประกอบกิจการได้ จะเป็นส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐภายในประเทศ เชื่อว่าในปีถัดไปจำนวนผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐลดลงอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ รัฐบาลได้เตรียมงบประมาณจำนวนหนึ่ง รวมถึงกระทรวงการคลังได้เตรียมเงินในจุดต่างๆ หากขาดเหลืออะไรสามารถของบประมาณฉุกเฉินได้ เพราะมีเงินในกองทุนเกือบ 5 หมื่นล้านบาท เมื่อสิ้นงบประมาณ หากงบกลาง งบเหลือจ่าย และงบอื่นๆ ใช้ไม่หมด จะนำเงินเหล่านั้นมาอยู่ในกองทุนช่วยเหลือคนจน ฉะนั้นให้เชื่อว่าเรามีเงินเพียงพอแน่นอน ซึ่งจากการคาดการณ์และการรายงานของหน่วยจัดเก็บของกระทรวงการคลัง มีการเก็บเกินเป้าทุกหน่วยจัดเก็บ จึงสบายใจได้ว่าเรามีเงินที่เพียงพอในการดูแลพี่น้องประชาชนอย่างแน่นอน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 กันยายน 2565

“พล.อ.ประวิตร” สั่งการ 7 ข้อ ป้องกันน้ำท่วม ให้ทุกหน่วยประสานงาน กทม.ตรง พร้อมช่วยเหลือทันท่วงที

,

“พล.อ.ประวิตร” สั่งการ 7 ข้อ ป้องกันน้ำท่วม ให้ทุกหน่วยประสานงาน กทม.ตรง พร้อมช่วยเหลือทันท่วงที

วันที่ 7 กันยายน 2565 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการประชุมกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบฝนตกหนัก ได้กำชับให้บูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ทำงานเชิงรุกตาม 13 มาตรการรับมือฤดูฝนที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้อย่างเคร่งครัด พร้อมกันนี้ พล.อ.ประวิตร ยังมีข้อสั่งการเพิ่มเติมจาก 13 มาตรการเดิม ดังนี้

1.ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้ผู้รับผิดชอบแต่ละหน่วยงานมอบหมายให้มีผู้ประสานงานติดตามกับกรุงเทพมหานครโดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถเข้าช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ทันท่วงที

2.แก้ไขปัญหาสิ่งกีดขวางทางน้ำ โดยเร่งกำจัดหญ้าและวัชพืชบริเวณ คลองบางคูเวียง เขตทวีวัฒนา พร้อมประสานงานจังหวัดนนทบุรีเพื่อเปิดทางระบายน้ำให้ไหลได้สะดวก

3. เฝ้าระวังระบบระบายน้ำของประตูระบายน้ำ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำและบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกระทบต่อพี่น้องประชาชน ที่ปลูกบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำลำคลองต่างๆ

4. รายงานปริมาณน้ำฝน รวมถึงขีดความสามรถในการรับน้ำ และระบายน้ำของทุกเขื่อน เพื่อสร้างความเข้าใจและง่ายต่อการปฏิบัติการระบายน้ำทุกหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง

5. ประเมินสถานการณ์น้ำจากทุกแหล่ง ทั้งปริมาณน้ำฝน ปริมาณน้ำในเขื่อน ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา และระดับน้ำทะเลหนุนตลอด 24 ชั่วโมง

6. ตรวจสอบความพร้อมและประสิทธิภาพแนวกระสอบทราย ป้องกันน้ำท่วมทุกจุด พร้อมปรับปรุงและเสริมแนวกั้นไม่ให้เกิดช่องว่างให้มีความแข็งแรงเพื่อรองรับสถานการณ์

7. หากมีสิ่งใดต้องดำเนินการเร่งด่วนและติดขัด ให้รายงานรองนายกรัฐมนตรีอย่างทันที

“พล.อ.ประวิตรขอให้ทุกฝ่ายเร่งบูรณาการการทำงานเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนด้วยความรวดเร็ว และไม่ซ้ำซ้อนและโปร่งใส”น.ส.ทิพานัน กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่​: 7 กันยายน 2565

 

“ชาวน่านได้รับการเยียวยา!!! ประชาชนส่งคำขอบคุณถึง“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ”

, ,

“ชาวน่านได้รับการเยียวยา!!! ประชาชนส่งคำขอบคุณถึง“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ”

ติดตามผลการแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน จ.น่าน และได้รับรายงานล่าสุดในพื้นที่การแก้ไขปัญหาเส้นทางสัญจร ซ่อมบำรุงสะพาน ที่ได้รับผลกระทบจากพายุมู่หลานเสร็จสิ้น ขณะนี้ประชาชาสามารถใช้สัญจรได้ตามปกติและปลอดภัยขึ้น หลังจากลงพื้นที่ตรวจราชการสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความช่วยเหลือและเยียวยาประชาชน ที่ได้ผลกระทบของพายุ”มู่หลาน” ในช่วงที่ผ่านมาภายหลังจากที่ พล.อ.ประวิตร ได้ลงพื้นที่ จ.น่าน เมื่อ 22 ส.ค.65 เพื่อตรวจเยี่ยมพร้อมให้กำลังใจชาวบ้านในพื้นที่ และแก้ปัญหาเร่งด่วนในการซ่อมบำรุงเส้นทางการสัญจรที่ชาวบ้านใช้เป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะมีสะพานข้ามลำน้ำที่ชำรุด และอาจเกิดอันตรายได้หากไม่รีบแก้ไข ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร จึงได้สั่งการ ปภ. กระทรวงมหาดไทย ให้เร่งแก้ปัญหาโดยด่วน และรับปากกับชาวบ้านว่าจะรีบดำเนินการโดยเร็ว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนชาวบ้าน ต่อไป

ล่าสุด พล.อ.ประวิตร ได้รับรายงานจากสำนักงานป้องกันบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จังหวัดน่าน ว่าได้ดำเนินการติดตั้งสะพานเหล็กชั่วคราว (Bailey Bridge) เรียบร้อยแล้ว โดยศูนย์ ปภ.เขต 15 จ.เชียงราย ได้นำสะพานเหล็กชั่วคราวดังกล่าว มาติดตั้งแล้วเสร็จ ตั้งแต่ 4 ก.ย.65 พร้อมใช้งาน ทำให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ สามารถใช้สัญจรไป-มาได้ตามปกติแล้ว ซึ่งเป็นไปตามสัญญาที่ให้ไว้กับชาวบ้าน


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 กันยายน 2565