โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: สื่อออนไลน์

“ส.ส.ยงยุทธ” เร่งหน่วยงานอนุมัติ 3 โครงการพัฒนาตำบลคลองด่าน ดันเป็นศูนย์กลางอาหารทะเล

,

“ส.ส.ยงยุทธ” เร่งหน่วยงานอนุมัติ 3 โครงการพัฒนาตำบลคลองด่าน ดันเป็นศูนย์กลางอาหารทะเล

นายยงยุทธ สุวรรณบุตร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวหารือถึงกรณีที่ประชาชนในตำบลคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ ได้เสนอมาให้มีการสร้างเขื่อน เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้าขาย รวมถึงการพัฒนาโครงการสร้างถนนเส้นทางบายพาส จากถนนสุขุมวิทใต้ ตัดกับถนนปานวิถี และถนนเส้นบายพาสทางทิศเหนือ เพื่อที่ประชาชนในพื้นที่ฝั่งเหนือสุขุมวิท จะได้ใช้ถนนกรมชลประธาน เชื่อมต่อกับวัดหลวงพ่อปาน เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นศูนย์กลางหน่วยราชการ รวมถึงมีวัด โรงพยาบาล และสถานศึกษา กรมชลประทาน ซึ่งมีชุมชนในพื้นที่จำนวนมาก

นายยงยุทธ กล่าวต่อว่า ขอให้ผู้เกี่ยวข้องและผู้มีอำนาจ ช่วยลงไปดูแลทั้ง 3 โครงการนี้ ตำบลคลองด่านจะได้เจริญกว่านี้ เพราะว่าคลองด่านเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจเรื่องอาหารทะเล ถ้าทำโครงการทั้ง 3 โครงการนี้เสร็จ พื้นที่ตรงนี้ จะเป็นพื้นที่ๆ ประชาชนสามารถใช้สอยในเรื่องของอาหารทะเลได้

#พรรคพลังประชารัฐ #พลังประชารัฐ #พปชร #PPRP #ยงยุทธสุวรรณบุตร
Twitter : https://twitter.com/PPRPofficial

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 21 ธันวาคม 2565

พปชร.สงขลา วอนหน่วยงานรัฐ เร่งพิจารณางบประมาณสร้างฝายกั้นน้ำ ต.ฉลุง

,

พปชร.สงขลา วอนหน่วยงานรัฐ เร่งพิจารณางบประมาณสร้างฝายกั้นน้ำ ต.ฉลุง

นายพยม พรหมเพชร ส.ส.สงขลา เขต 3 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร กรณีติดตามผลการก่อสร้างโครงการก่อสร้างฝายกั้นน้ำของหมู่ที่ 7 ต.ฉลุง ที่ผ่านได้ประสานของบประมาณในการก่อสร้างมาหลายครั้งแล้ว แต่ปัจจุบันยังไม่ได้รับการพิจารณา จึงขอฝากท่านประธานฯ ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยเร่งพิจารณาและดำเนินการจัดสรรงบประมาณเป็นการเร่งด่วน เนื่องจากเป็นเวลากว่า 20 ปี แล้วยังไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ยังได้หารือกรณีเอกสารสิทธิ์ของประชาชน ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ หมู่ที่ 9 บ้านวังพา และ อ.รัตภูมิ ตลอดจนถึง อ.คลองหอยโข่ง สืบเนื่องจากการประชุมกมธ.ปกครองของสภาผู้แทนฯ ได้ข้อสรุปว่าเจ้าหน้าที่การที่ดินแห่งชาติจะเข้าไปดูพื้นที่ ซึ่งจะทำให้พี่น้องประชาชนจะได้รับการดูและการจัดการที่ดีจากสำนักงานการจัดสรรที่ดินแห่งชาติ และยังรวมถึงปัญหาน้ำประปาในพื้นที่ พื้นที่ อ.นาหม่อม ขณะนี้ได้รับงบประมาณ 12 ล้านบาท เพื่อทำการขยายเขตการให้บริการน้ำประปาไปยัง ต.นาหม่อม และต.พิจิตร อ.นาหม่อม ตามคำร้องของผู้นำชุมชน จึงขอขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ดำเนินการให้เป็นที่เรียบร้อย

#พรรคพลังประชารัฐ #พลังประชารัฐ #พปชร #PPRP #พยมพรหมเพชร
Twitter : https://twitter.com/PPRPofficial

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 พฤศจิกายน 2565

“รมว.สุชาติ” เตรียมจับมือ 15 สถานประกอบการ หนุนจ้างงานคนพิการ ปี’66 เพิ่ม 20%

,

“รมว.สุชาติ” เตรียมจับมือ 15 สถานประกอบการ หนุนจ้างงานคนพิการ ปี’66 เพิ่ม 20%

วันนี้ (18 ตุลาคม 2565) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญกับนโยบายของกระทรวงแรงงานด้านการมุ่งเน้นการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะกลุ่มคนพิการ เพื่อให้มีหลักประกันทางสังคม ยกระดับให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งกระทรวงฯ ได้มีการจัดทำโครงการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม โดยประชาสัมพันธ์ เพื่อเชิญชวนนายจ้าง สถานประกอบการที่เคยใช้สิทธิตามมาตรา 34 ในการส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้เปลี่ยนมาให้สิทธิตามมาตรา 35 ประเภทการจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการ โดยจ้างงานคนพิการเข้าไปปฏิบัติงานสนับสนุนหน่วยงานสาธารณะประโยชน์ในท้องถิ่น เช่น โรงเรียน/ศูนย์เด็กเล็ก โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ศูนย์ฟื้นฟูอาชีพคนพิการ เป็นต้น ซึ่งจะเกิดประโยชน์กับคนพิการโดยตรง ช่วยให้คนพิการในพื้นที่ห่างไกลได้รับโอกาสมีอาชีพ มีรายได้ สามารถพึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืน

“ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานได้รับความร่วมมือจากสถานประกอบการเอกชนที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นอย่างดี ขอบคุณที่มีส่วนร่วมในการสร้างโอกาส และขับเคลื่อนให้คนพิการมีงานทำ มีรายได้ นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งในปีงบประมาณ 2566 กระทรวงฯ มีการขยายเป้าหมายการมีงานทำให้คนพิการเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จำนวน 1,800 คน ซึ่งผมได้มอบหมายให้กรมการจัดหางานเชิญชวนนายจ้าง/สถานประกอบการ เข้าร่วมโครงการฯเพิ่ม” นายสุชาติ กล่าว

ทั้งนี้กระทรวงแรงงาน ได้ เชิญชวนสถานประกอบการเข้าร่วมโครงการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม สอดรับกับการเพิ่มเป้าหมายให้คนพิการมีงานทำ โดยได้เชิญเอกชนเข้าร่วมโครงการ อาทิ บริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด โรงงานสำโรง (สำนักงานใหญ่) พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางแนวทางร่วมกัน จากเดิมที่ส่งเงินเข้ากองทุนตามมาตรา 34 ให้เปลี่ยนมาใช้สิทธิมาตรา 35 ซึ่งทางบริษัทฯให้ความสนใจโครงการฯ ดังกล่าวอย่างมาก

นอกจากนี้ ในเดือนตุลาคม กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน. มีเป้าหมายเข้าพบหารือสถานประกอบการเอกชน โดยมีผู้ตรวจราชการกรมลงพื้นที่ เพื่อแนะนำและเชิญชวนเข้าร่วมโครงการ 15 แห่ง เช่น ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคาร ทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเตม จำกัด เป็นต้น

“โครงการนี้ฯ ก่อให้เกิดรายได้กับผู้พิการโดยตรง นอกเหนือไปจากเบี้ยยังชีพคนพิการ โดยสามารถทำงานได้ที่หน่วยงานใกล้บ้าน เป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการและครอบครัวให้ดีขึ้น มีอาชีพ มีรายได้ โดยทางกรมฯ อำนวยความสะดวกสถานประกอบการให้สามารถลงทะเบียนใช้สิทธิผ่านระบบ E-service นอกจากนี้ยังมีทีมงานในการติดตามประเมินผลเพื่อดูแลคนพิการแทนสถานประกอบการด้วย”
สำหรับสถานประกอบการที่มีความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการฯ สามารถสอบถามติดต่อขอรับบริการได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 สามารถลงทะเบียนใช้สิทธิผ่านระบบ E-service กรมการจัดหางาน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”ผนึกหน่วยงานส่งเสริมองค์ความรู้จัดการน้ำอย่างยั่งยืน เสริมศักยภาพชุมชนร่วมคิด วางแผน พัฒนาใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด

,

“พล.อ.ประวิตร”ผนึกหน่วยงานส่งเสริมองค์ความรู้จัดการน้ำอย่างยั่งยืน
เสริมศักยภาพชุมชนร่วมคิด วางแผน พัฒนาใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด

“พลเอก ประวิตร” เป็นประธานลงนามบันทึกความเข้าใจ “พัฒนาองค์ความรู้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชุมชน”ยกระดับความเข้มแข็งของการดำเนินงานร่วมกัน จัดการทรัพยากรน้ำตั้งแต่ต้นทาง – ปลายทาง

วันนี้ (18 ตุลาคม 65) เวลา 14.00 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจการพัฒนาองค์ความรู้ด้านบริหารทรัพยากรน้ำ เพื่อบูรณาการสร้างการเรียนรู้ของชุมชน โดยมี นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวต้อนรับ พร้อมด้วย ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานโครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชนตามแนวพระราชดำริ กล่าวถึงการพัฒนาองค์ความรู้ด้านบริหารทรัพยากรน้ำ เพื่อบูรณาการสร้างการเรียนรู้ของชุมชน และผู้บริหารจาก 3 หน่วยงาน ได้แก่ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และนายโชติ โสภณพนิช ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะไทย กล่าวถึงแผนการดำเนินงาน และลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน ณ ห้องราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยการพัฒนาองค์ความรู้ด้านบริหารทรัพยากรน้ำในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของทั้ง 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และมูลนิธินโยบายสาธารณะไทย ที่มุ่งมั่นในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้มีความมั่นคง และเกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน นับว่าเป็นการยกระดับความเข้มแข็งของการดำเนินงานร่วมกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเกิดผลสัมฤทธิ์ที่สนับสนุนแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนจากการร่วมลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังในครั้งนี้ และในโอกาสนี้ ขอเน้นย้ำถึงเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เนื่องจากน้ำเป็นทรัพยากรพื้นฐานที่สำคัญของชาติ โดยปัจจุบันมี “คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.)” ทำหน้าที่ในการบูรณาการและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีเอกภาพ อย่างไรก็ตาม จะต้องสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยจะต้องพัฒนาศักยภาพของชุมชนในการที่จะร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมพัฒนาและใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า เพื่อประโยชน์สูงสุดอย่างยั่งยืน

โดยที่ผ่านมาสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้ดำเนินงานตอบสนองนโยบายรัฐบาลที่ได้ให้ความสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ประกอบกับพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พุทธศักราช 2561 มีเจตนารมณ์ที่จะให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมบูรณาการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้มีความประสานสอดคล้องกันในทุกมิติอย่างสมดุลและยั่งยืน รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อร่วมกันบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล การลงนามบันทึกความเข้าใจของทั้ง 3 หน่วยงานในการที่จะร่วมกันบูรณาการความร่วมมือในครั้งนี้ จึงสอดคล้องกับแนวทางดังกล่าว โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ชุมชนและสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อให้การบริหารทรัพยากรน้ำมีความเหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ และคาดหวังว่าจะเกิดผลสัมฤทธิ์คือประโยชน์สุขของประชาชน อันเกิดจากการบริหารจัดการน้ำของชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18 ตุลาคม 2565

“รมต.อนุชา” ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำ จ.ชัยนาท ซ่อมแซมคันกั้นน้ำ-ลดผลกระทบพื้นที่การเกษตรเสียหาย

,

“สัณหพจน์” ชื่นชม ครม.อนุมัติ ปรับปรุงขยายประปา “ลุ่มน้ำปากพนัง” สืบสานพระราชปณิธาน ในหลวง ร.9 การบริหารจัดการน้ำ

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2565 – นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายนที มนตริวัต รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท นายอนุสรณ์ นาคาศัย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท และหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดชัยนาท เดินทางลงพื้นที่ อ.เมือง จ.ชัยนาท เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำหลังได้รับรายงานน้ำในพื้นที่เพิ่มสูงจากปริมาณฝนตกหนักและน้ำเหนือไหลเข้าพื้นที่ ประกอบกับคันกั้นน้ำที่วัดลัดเสนาบดี (วัดเกาะ) ชำรุด ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนและพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย

ทั้งนี้ นายอนุชายังได้เดินทางไปยังวัดลัดเสนาบดี หมู่ที่ 1 ต.เขาท่าพระ อ.เมือง และบ้านดักคะนน ต.ธรรมามูล อ.เมือง เพื่อสำรวจความเสียหายจากผลกระทบคันกั้นน้ำชำรุด พบว่ามีปริมาณน้ำไหลแรงเข้าสู่พื้นที่อยู่อาศัยของประชาชนและพื้นที่การเกษตรอย่างรวดเร็ว ถนนหนทางบางส่วนได้รับความเสียหายจากน้ำกัดเซาะ สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้ทุกภาคส่วนให้ความช่วยเหลือและดูแลประชาชนอย่างเต็มกำลัง และฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ สำหรับ จ.ชัยนาท พื้นที่ ต.ธรรมามูล และ ต.เขาท่าพระ เป็นพื้นที่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา และเป็นพื้นที่สำคัญที่ต้องรักษาไม่ให้เกิดน้ำท่วมสูง เมื่อคันกั้นน้ำพังจะทำให้น้ำท่วมไปหลายตำบลและอาจส่งผลถึงจังหวัดใกล้เคียง ขณะนี้ตนได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เร่งระดมสรรพกำลังทุกภาคส่วนให้ความช่วยเหลือ โดยเร่งดำเนินการซ่อมแซมคันกั้นน้ำ เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่พี่น้องประชาชน คาดว่าหากไม่มีปริมาณน้ำฝนและปริมาณน้ำจากแหล่งอื่นมาเพิ่มเติม สถานการณ์จะกลับสู่สภาวะปกติ

“ตอนนี้เราอยู่ในช่วงของการเฝ้าระวังและเสริมกำลังไปยังพื้นที่เปราะบาง เพื่อให้มีความมั่นคงในการป้องกันคันน้ำไม่ให้พังทลาย ในระยะยาวจะดำเนินการประสานไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดและทางหลวงชนบทที่ดูแลถนนเส้นนี้ ให้ทำการยกระดับถนนให้ปลอดภัยจากน้ำท่วม และได้กำชับทางจังหวัดให้ดูแลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบทุกด้าน ทั้งชีวิตความเป็นอยู่และสุขอนามัย หากมีความเดือดร้อนเรื่องใดจะจัดชุดเคลื่อนที่เร็วให้ความช่วยเหลือประชาชนทันที” นายอนุชา กล่าว

ทั้งนี้ จ.ชัยนาท ประสบสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 6 อำเภอ 30 ตำบล 145 หมู่บ้าน 10 ชุมชน ประชาชนได้รับความเสียหาย 8,250 ครัวเรือน มีพื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ 86,994 ไร่ โดยพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยรุนแรงมากที่สุดคือ อ.สรรพยา เบื้องต้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือและอยู่ระหว่างการสำรวจความเสียหาย

#พรรคพลังประชารัฐ #พลังประชารัฐ #พปชร #PPRP #อนุชานาคาศัย
Twitter : https://twitter.com/PPRPofficial


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 13 ตุลาคม 2565

‘พล.อ.ประวิตร’สั่งเพิ่มประสิทธิภาพแผนจัดการน้ำลดผลกระทบปชช. เฝ้าระวังปริมาณน้ำในเขื่อน คาดหลัง 11 ต.ค.ฝนตอนบนเริ่มลด

,

‘พล.อ.ประวิตร’สั่งเพิ่มประสิทธิภาพแผนจัดการน้ำลดผลกระทบปชช.
เฝ้าระวังปริมาณน้ำในเขื่อน คาดหลัง 11 ต.ค.ฝนตอนบนเริ่มลด

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำครั้งที่ 3/2565 โดยมี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) เป็นต้น เข้าร่วมการประชุม และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า รัฐบาลห่วงใยต่อสถานการณ์น้ำในขณะนี้ เนื่องจากปริมาณฝนในปีนี้มากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ มีปริมาณฝนใกล้เคียงปี 54 ดังนั้นการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพและมีการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะส่งผลให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นในปัจจุบันน้อยกว่าในปี 54 จะมีเพียงพื้นที่เฉพาะจุดเท่านั้นที่อาจได้รับผลกระทบมากกว่า เนื่องจากสภาพการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจต่อผลกระทบและความเสียหายที่เกิดแก่ประชาชน โดยได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ที่ยังประสบปัญหาอุทกภัย โดยเฉพาะบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา
ชีและมูล

ทั้งนี้ยังได้เน้นย้ำให้เร่งดำเนินการบริหารจัดการน้ำให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด พร้อมกันนี้ ได้เน้นย้ำเรื่องการบริหารจัดการน้ำทุกแหล่งน้ำที่มีปริมาณน้ำในอ่างฯ มากกว่า 80% ของความจุ หรือมากกว่าระดับควบคุม ซึ่งมีความเสี่ยงต่อความมั่นคงแข็งแรงและอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนด้านท้ายน้ำของอ่างฯ โดยสั่งการให้บริหารจัดการให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม รวมถึงให้ตรวจสอบคัน ทำนบ และพนังกั้นน้ำบริเวณพื้นที่ท้ายอ่างฯ ให้มีความมั่นคงปลอดภัย สามารถใช้บริหารจัดการน้ำได้เต็มศักยภาพ รวมถึงกำชับให้มีการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ฝน ซึ่งขณะนี้ในพื้นที่ตอนบนปริมาณฝนเริ่มมีแนวโน้มลดลงแล้ว จึงให้ลดการระบายน้ำเพื่อไม่ให้ปริมาณน้ำกระทบในพื้นที่ด้านท้าย ขณะเดียวกันก็เป็นการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งที่จะถึงด้วย นอกจากนี้ ให้เร่งแก้ไขปัญหาอุปสรรคเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในจุดต่าง ๆ ที่มีน้ำท่วมขังออกโดยสู่ลำน้ำสายหลักเพื่อระบายออกสู่ทะเลโดยเร็ว

สำหรับการบริหารจัดการน้ำเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งยังคงมีปริมาณน้ำเหนือเขื่อนอยู่จำนวนมากในขณะนี้ ทำให้
กรมชลประทานจำเป็นต้องจะปรับเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันได ให้อยู่ในอัตรามากกว่า 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยให้กรมชลประทานได้บริหารจัดการน้ำและควบคุมปริมาณการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในเกณฑ์ดังกล่าวอย่างเต็มศักยภาพของพื้นที่เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชนและพื้นที่การเกษตร พร้อมดำเนินการแจ้งเตือนจังหวัดในพื้นที่ท้ายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเร่งประชาสัมพันธ์ข้อมูลและแจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย

ด้านดร.สุรสีห์ เลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า คาดการณ์ว่าในช่วงหลังวันที่ 11 ตุลาคม แนวโน้มปริมาณฝนจะเริ่มลดลง โดยขณะนี้ระดับน้ำในแม่น้ำต่าง ๆ เริ่มทรงตัว รวมถึงปริมาณน้ำไหลลงอ่างฯ ลดลง โดยปัจจุบันอ่างฯ ส่วนใหญ่เริ่มลดและงดระบายน้ำที่อาจจะส่งผลกระทบด้านท้ายน้ำ รวมถึงเพื่อเป็นการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในในฤดูแล้ง ทำให้ภาพรวมของฤดูแล้งในปีนี้ไม่น่าเป็นห่วงมากนัก โดยเฉพาะปริมาณน้ำใช้การใน 4 เขื่อนหลักเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ในพื้นที่บริเวณนอกเขตชลประทานและพื้นที่ที่ไม่มีแหล่งน้ำ โดยวันนี้ที่ประชุมมีมติเห็นชอบต่อ (ร่าง) มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 65/66 จำนวน 10 มาตรการ ตามที่ สทนช. เสนอ และให้เสนอ ครม.ให้ความเห็นชอบโดยเร็วก่อนเข้าสู่ฤดูแล้งในต้นเดือนหน้า พร้อมมอบหมายให้หน่วยงานนำมาตรการไปจัดทำแผนปฏิบัติการในส่วนที่เกี่ยวข้องและจัดส่งให้ สทนช. เพื่อติดตามประเมินผลต่อไป


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 ตุลาคม 2565

รมว.ชัยวุฒิ หวั่น คัน กั้นน้ำภาคกลางขาด เร่งระบายน้ำด่วน

,

รมว.ชัยวุฒิ หวั่น คัน กั้นน้ำภาคกลางขาด เร่งระบายน้ำด่วน

9 ตุลาคม 2565 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงพื้นที่ บริเวณ เเนวคันกั้นนำ้ขาด เเละเสียหาย ที่ บริเวณวัด ประสาท อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี พร้อมกับ นายสุพจน์ ยศสิงห์คำ ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี และหัวหน้าส่วนราชการ ที่เกี่ยวข้อง โดย นายชัยวุฒิ ได้ให้กำลังใจ พร้อมพูคคุยกับประชาชน ผู้ประสบภัย ขณะที่จังหวัดสิงห์บุรี ได้นำอาหารเเห้ง จากผู้มีจิต ศรัทธา มามอบให้ ผู้ประสบอุทกภัย จำนวน 2000 ครอบครัวด้วย ทั้งนี้ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า สิ่งสำคัญตอนนี้เราเน้น จะดูเรื่องอาหารการกินมีการตั้งโรงครัวพระราชทานให้ถุงยังชีพนำ้ดื่ม สะอาด แล้วก็ดูแลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ส่วนผู้สูงอายุ คนป่วยติดเตียงที่มีสุขภาพไม่ดี ก็จะนำมาพักอยู่ที่โรงพยาบาล อําเภอพรหมบุรี ซึ่งจะรองรับผู้ป่วยติดเตียง รวมถึงขณะนี้ เราเตรียมศูนย์พักพิงไว้ทุกๆอําเภอเพื่อ รองรับผู้ประสบภัย ที่น้ําท่วมหนัก นอกจากนี้ก็มีการจัดตั้ง สุขาชั่วคราวในทุกๆจุดที่ประชาชนบ้านถูกนำ้ท่วมด้วย
โดยในภาพรวมถือว่าสิงห์บุรี เเละจังหวัดในพื้นที่ ภาคกลาง ได้มีการวางแผนมาอย่างดี นายชัยวุฒิ ยังระบุด้วยว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงเเละเป็นปัญหาใหญ่ในขณะนี้คือเรื่องการระบายน้ํา เพราะว่าวันนี้ปริมาณน้ําที่มี ถ้าดูจากระดับความสูง ก็เท่าๆกับประมาณปี2554 ปริมาณฝนที่ตกจริงๆทั้งประเทศก็ใกล้เคียงกับปี54 สิ่งที่เรากลัวคือ ถ้าน้ํามันล้นจากระบบชลประทานป้องกันน้ําท่วมมันก็จะเกิดความเสียหาย ปริมาณนำ้ที่มากจะกระจาย ความเเรงของนำ้ จะทำให้เกิดความเสียหายในพื้นที่วงกว้างซึ่งรัฐบาลได้วางแผนไว้แล้ว มีนโยบายให้เราปล่อยน้ําลงทุ่ง เพื่อหน่วงน้ํา ลดปริมาณน้ําที่จะเข้าสู่เจ้าพระยา ซึ่งก็ดําเนินการไปบางส่วนแล้ว
ทั้งนี้ยอมรับว่า บางจุดที่สิงห์บุรีน้ําก็ยังไม่ได้ออกไปเป็นระบบมากเท่าที่ควร ทำให้คันกั้นน้ําต่างๆล้นไปท่วมบ้านเรือนประชาชน เเละคันกันนำ้ หลายจุด ก็กําลังจะพังแล้ว ดังนั้น ถ้าเราไม่มีการบริหารจัดการน้ํา ปล่อยน้ําออกไปบ้าง ผมเชื่อว่าเดี๋ยวคันกั้นน้ําจะขาด คลองชลประทานขาด ก็จะคุมมวลนำ้มหาศาลไม่ได้เลย จะเสียหายหนัก ทั่งพื้นที่เศรษฐกิจ เเละเกษตรกรรม อย่างไรก็ตามจะติดตามกับทางชลประทานว่าได้มีการะบายน้ําอย่างไรเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล ก็คือ การ เอาน้ําลงทุ่ง 11 ทุ่งตามมติ ครม. ที่กําหนดไปแล้ว


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 ตุลาคม 2565

‘อธิรัฐ’ เร่งรัด ติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3

,

‘อธิรัฐ’ เร่งรัด ติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3

วันที่ 7 ตุลาคม 2565 เวลา 10.00 น. นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 (ส่วนที่ 1) โดยมี เรือเอกกานต์ เมนะรุจิ รองผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง พร้อมผู้บริหารให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุม 1 อาคารบริหารท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี

นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ขณะนี้ความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนท่าเทียบเรือ F ซึ่ง กทท.เป็นผู้ดำเนินงานก่อสร้างงานทางทะเลเพื่อรองรับการก่อสร้างท่าเทียบเรือและโครงสร้างพื้นฐาน ท่าเรือชายฝั่ง ก่อสร้างระบบรถไฟ

ซึ่งปัจจุบัน กทท. ได้ส่งมอบงานก่อสร้างงานทางทะเลในส่วนของงานพื้นที่ถมทะเล 1 (Key Date 1) เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 31 ส.ค.65 การดำเนินงานพื้นที่ถมทะเล 2 (Key Date 2) ได้แก่ การขนย้ายดินเลน การถมทราย ฯลฯ กำหนดส่งมอบวันที่ 5 พ.ย.65 และตามแผนกิจการฯ ร่วมค้า จะส่งมอบพื้นที่ถมทะเล 2 ให้ กทท. วันที่ 31 ม.ค.66 ล่าช้ากว่าแผน 87 วัน เนื่องจากการขออนุมัติแก้ไขสัญญาการเปลี่ยนเรือขุดและกระบวนการในการขุดดินและขนย้ายดินเหนียว ซึ่งขณะนี้ได้เร่งก่อสร้างหลักผูกเรือ เพื่อนำดินเหนียวไปทิ้งและขนส่งหินให้ได้ 20,000 ลบ.ม./วัน

สำหรับพื้นที่ถมทะเล 3 (Key Date 3) กำหนดแล้วเสร็จภายในเดือน พ.ค.66 คาดว่า จะส่งมอบพื้นที่ท่าเทียบเรือ F ขนาด 1,000 เมตร ให้บริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด (จีพีซี) เอกชนคู่สัญญาได้ภายใน พ.ค. – พ.ย.66 จากนั้นจะส่งมอบพื้นที่ครบ 2,000 เมตร ในเดือน พ.ค.68

ตนจึงได้สั่งการให้ กทท. สรุปปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานในแต่ละส่วนของงานพื้นที่ แนวทางแก้ไข เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาจัดทำแผนเร่งรัดการก่อสร้าง เพื่อที่จะสามารถส่งมอบพื้นที่ให้ บริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด เข้าดำเนินงานได้ภายในปี 2568 ตามสัญญา ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำ การดำเนินการเรื่องกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและการปฏิบัติงาน ให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง มุ่งเน้นการเปิดเผยข้อมูลให้โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้

นายอธิรัฐ กล่าวว่า โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F เมื่อพัฒนาแล้วจะเพิ่มขีดความสามารถท่าเรือแหลมฉบังจาก 11 ล้านตู้/ปี เป็น 18 ล้านตู้/ปี รองรับการขยายตัวของปริมาณเรือขนส่งสินค้าทางทะเลเพิ่มขึ้น เป็นการเตรียมความพร้อมรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะแล้วเสร็จในปี 68


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”ลงหนองบัวลำภูเยี่ยม-ดูแลผู้บาดเจ็บให้ดีที่สุด สั่งคุมเข้มขั้นเด็ดขาดใช้อาวุธ-ยาเสพติดในกลุ่มคนพฤติกรรมเสี่ยง

,

“พล.อ.ประวิตร”ลงหนองบัวลำภูเยี่ยม-ดูแลผู้บาดเจ็บให้ดีที่สุด
สั่งคุมเข้มขั้นเด็ดขาดใช้อาวุธ-ยาเสพติดในกลุ่มคนพฤติกรรมเสี่ยง

เมื่อ 7ต.ค.65, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางลงพื้นที่อบต.อุทัยสวรรค์ จ.หนองบัวลำภู เพื่อร่วมแสดงความอาลัย ผู้เสียชีวิตและให้กำลังใจครอบครัว พร้อมเข้าเยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บ จากเหตุการณ์ความรุนแรง โดยผู้ก่อเหตุ เป็นอดีตตำรวจ ซึ่งถูกดำเนินคดียาเสพติด กระทั่งมาก่อเหตุความรุนแรง ณ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ จ.หนองบัวลำภู ตามที่เป็นข่าวเมื่อวาน และส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของผู้คนในสังคม เป็นอย่างยิ่งโดย พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ได้ร่วมวางดอกไม้แสดงความอาลัย ผู้เสียชีวิต บริเวณด้านหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก พร้อมไปมอบกำลังใจ ให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต ซึ่งยังอยู่ในอาการเศร้าโศก เสียใจ หลังจากนั้น ได้เดินทางต่อไปยัง รพ.หนองบัวลำภู ได้รุดเยี่ยมเด็กนักเรียน และผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยกล่าวให้กำลังใจ อย่างสุดซึ้งใจ และขอให้ทุกคนมีความปลอดภัย พร้อมแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยืนยันจะไม่ให้มีเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกโดยเด็ดขาด และจะให้ความช่วยเหลือ เยียวยา ครอบครัวผู้ที่เสียชีวิต และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ครั้งนี้ทุกคน อย่างดีที่สุด

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ ฝ่ายความมั่นคง ไปแล้ว ทั้งตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง จะต้องเพิ่มมาตรการป้องกันและกำจัดภัยร้ายจากอาวุธทุกชนิด และยาเสพติดให้ได้ อย่างจริงจัง เด็ดขาดทุกพื้นที่ ทั่วประเทศ เน้นเฝ้าระวัง เพ่งเล็งบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยง โดยทำงานเชิงรุกป้องกันการก่อเหตุซ้ำ ซึ่งที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร ได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะปัญหายาเสพติด ทั้งการป้องกัน ปราบปรามและการบำบัดรักษา ช่วยเหลือผู้ติดยาเสพติด คืนกลับสู่สังคม อย่างต่อเนื่อง และหากมีจนท.รัฐ บกพร่องต่อการปฏิบัติหน้าที่ หรือมีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะต้องถูกดำเนินคดี และถูกลงโทษตามกฏหมาย ไม่มีละเว้น พร้อมขอความร่วมมือประชาชน แจ้งเบาะแสบุคคลมีพฤติกรรมเสี่ยงให้ จนท.ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 ตุลาคม 2565

“ตรีนุช” ปล่อยขบวนคาราวาน “อาชีวะ ช่วยประชาชน” เพื่อผู้ประสบภัยน้ำท่วม

,

“ตรีนุช” ปล่อยขบวนคาราวาน “อาชีวะ ช่วยประชาชน” เพื่อผู้ประสบภัยน้ำท่วม

วันนี้ (7 ต.ค. 2565) ที่บริเวณหน้าสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศฺ) นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานเปิดกิจกรรมปล่อยขบวนคาราวานช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม “อาชีวะ ช่วยประชาชน” โดยมีว่าที่ร้อยตรี ดร. ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมพิธี ทั้งนี้ ก่อนการเริ่มพิธีคณะผู้บริหาร ครู และนักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษาได้ร่วมกันยืนสงบนิ่งไว้อาลัยกับเหตุการณ์การสูญเสียที่จังหวัดหนองบัวลำภู

โดยนางสาวตรีนุช กล่าวว่า จากเหตุการณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ พายุดีเปรสชั่นโนรู ที่พัดเข้าประเทศไทย ส่งผลให้มีฝนตกหนักถึงหนักมาก และมีฝนตกสะสม ซึ่งทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก สร้างความเสียหายให้กับไร่นาและบ้านเรือนประชาชน เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนจากเหตุการณ์ดังกล่าว ตนจึงได้มอบหมายให้ สอศ.)ระดมสรรพกำลังผู้บริหาร ครู อาจารย์ นักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษาที่มีจิตอาสาจากสถานศึกษาในสังกัดอาชีวศึกษา จัดตั้งศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน Fix it Center เพื่อช่วยเหลือเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ภายใต้ชื่อ “อาชีวะ ช่วยประชาชน” เพื่อออกให้บริการซ่อมบำรุงรักษารถจักรยานยนต์ ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน และเครื่องมือประกอบอาชีพแก่ประชาชนในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม โดยกิจกรรมดังกล่าวนี้ถือได้ว่าเป็นการแสดงศักยภาพของนักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษาที่มีความคิดสร้างสรรค์ในการนำทักษะ ความรู้ความสามารถ สร้างประโยชน์แก่ชุมชน ปลูกจิตสำนึกให้มีจิตอาสา สร้างความเอื้ออาทร ความสามัคคี ความพร้อมของเครื่องมือ อุปกรณ์ ตลอดจนช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ประสบภัยให้ได้รับการบรรเทาความเดือดร้อนและเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่การอาชีวศึกษา

ด้าน ว่าที่ร้อยตรี ดร.ธนุ กล่าวว่า สำหรับพิธีปล่อยขบวนคาราวาน “อาชีวะ ช่วยประชาชน” เพื่อผู้ประสบภัยน้ำท่วมในวันนี้ มีสถานศึกษาที่เข้าร่วมงาน ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคนนทบุรี วิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา วิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี วิทยาลัยการอาชีพเสนา วิทยาลัยเทคนิคกาญจนบุรี วิทยาลัยเทคนิคราชบุรี วิทยาลัยเทคนิคนครปฐม วิทยาลัยเทคนิคปทุมธานี และวิทยาลัยสารพัดช่างพระนคร และตนได้มอบนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ “เครื่องตรวจวัดกระแสไฟฟ้ารั่วในน้ำ” ที่ทางอาชีวศึกษาจังหวัดอุบลราชธานีได้ช่วยกันประดิษฐ์คิดค้นขึ้น ให้กับผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคนนทบุรี และวิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง เพื่อนำไปส่งมอบต่อให้กับโรงเรียนรุ่งเรืองวิทยา และโรงเรียนวัดแจ้งศิริสัมพันธ์ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม เพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่สถานศึกษาในการตรวจวัดกระแสไฟฟ้ารั่วในน้ำต่อไป

สำหรับพื้นที่การให้บริการ “อาชีวะ ช่วยประชาชน” จะเป็นการบูรณาการร่วมกันของสถานศึกษาทุกพื้นที่ ในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ และจังหวัดใกล้เคียง ที่ช่วยบรรเทาความเสียหายในทรัพย์สิน และค่าใช้จ่ายของประชาชน โดยมีอาชีวศึกษาจังหวัดดูแล ทั้งนี้สามารถประสานได้ที่อาชีวศึกษาจังหวัดทุกแห่ง.


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”ถก“ชัชชาติ”แผนเร่งระบายน้ำฝั่งตะวันออก กทม. ลดผลกระทบน้ำท่วมขังให้ประชาชนกลับสู่ภาวะปกติ

,

“พล.อ.ประวิตร”ถก“ชัชชาติ”แผนเร่งระบายน้ำฝั่งตะวันออก กทม.
ลดผลกระทบน้ำท่วมขังให้ประชาชนกลับสู่ภาวะปกติ

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 2/2565 และประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 1/2565 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และนาย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่า กทม.หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม อาทิ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า โครงการพัฒนาทรัพยากรน้ำตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำ ลดความเสียหายจากปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง และยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญก้าวหน้า โดยการประชุมทั้ง 2 คณะในวันนี้ เป็นการประชุมครั้งแรก ภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ชุดใหม่ ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 เพื่อพิจารณาขับเคลื่อนแผนงาน/โครงการพัฒนาแหล่งน้ำต่างๆ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปีที่ได้วางไว้ โดยเฉพาะแนวคิดในการพัฒนาการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของ กทม. ในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้รอดพ้นจากปัญหาน้ำท่วม โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 การปรับปรุงระบบระบายน้ำในพื้นที่ กทม. แบ่งเป็น ระยะที่ 1 (เร่งด่วน) เช่น งานปรับปรุงระบบสูบน้ำ ระบบไฟฟ้า และระบบเก็บขยะ สถานีสูบน้ำพระโขนง โครงการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กจากคลองหนองบอน และคลองมะขามเทศ เชื่อมโยงกับคลองประเวศบุรีรมย์ ระยะที่ 2 เป็นการปรับปรุงเครื่องสูบน้ำของสถานีสูบน้ำพระโขนงให้มีประสิทธิภาพในการสูบระบายน้ำมากยิ่งขึ้น และการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กในพื้นที่คลองสายสำคัญที่เชื่อมต่อกับคลองประเวศบุรีรมย์ เช่น คลองจระเข้ขบ คลองสองต้นนุ่น คลองทับยาว เป็นต้น เพื่อให้สามารถระบายน้ำได้เพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการออกแบบรายละเอียดโครงการ และกลุ่มที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในพื้นที่รอยต่อ กทม. เช่น โครงการก่อสร้างอุโมงค์ส่วนต่อขยายจากบึงหนองบอนถึงคลองประเวศบุรีรมย์และประตูระบายน้ำลาดกระบัง โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพสถานีสูบน้ำสำโรง โครงการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กคลองลำปลาทิว เป็นต้น สามารถช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในพื้นที่ จ.ปทุมธานี กทม. และ จ.สมุทรปราการ ลดความเดือดร้อนของประชาชนและความเสียหายต่อทรัพย์สินจากปัญหาน้ำท่วม อีกทั้งยังเป็นการรองรับการขยายตัวของเมืองในพื้นที่นอกคันกั้นน้ำพระราชดำริได้อีกด้วย

โดยที่ประชุมได้เห็นชอบและให้นำเสนอแนวคิดต่อ กนช. และให้ กทม.เร่งรัดดำเนินการแผนงานในกลุ่มที่ 1 ระยะที่ 1 (เร่งด่วน) เพื่อเสนอขอรับงบประมาณในปี 2567 รวมทั้งให้เร่งศึกษาภาพรวมการระบายน้ำพื้นที่ กทม. ฝั่งตะวันออกให้เชื่อมโยงสอดคล้องกับแผนงาน/โครงการของหน่วยงานอื่น เช่น โครงการปรับปรุงระบบชลประทานเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่างของกรมชลประทาน และแผนงานระบบระบายน้ำของเทศบาลตำบลสำโรงเหนือ จ.สมุทรปราการ เพื่อให้การระบบระบายน้ำมีความเชื่อมโยงและสอดคล้องกัน เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้อย่างทันท่วงที และให้เร่งรัดการเตรียมความพร้อมเพื่อให้ดำเนินการได้โดยเร็ว

ด้านดร.สุรสีห์ เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการขับเคลื่อนโครงการอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด จ.จันทบุรี โดยให้กรมชลประทานเร่งประสานกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้เห็นชอบในการขอใช้พื้นที่โดยเร็ว นอกจากนี้ยังได้เห็นชอบร่างแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (ปรับปรุงช่วงที่ 1 พ.ศ. 2566 – 2580) ตามที่ สทนช. เสนอ โดยได้ปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์และบริบทปัจจุบัน รวมทั้งได้มีการวิเคราะห์ให้รองรับสถานการณ์ในอนาคต พร้อมทั้งได้รับฟังความคิดเห็นจากคณะกรรมการลุ่มน้ำ องค์กรผู้ใช้น้ำ ประชาชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอ กนช. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 ตุลาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”เสียใจเหตุการณ์สะเทือนขวัญหนองบัวลำภู เร่งถอดบทเรียนหามาตรการป้องกันตัดต้นตอปัญหายาเสพติด

,

“พล.อ.ประวิตร”เสียใจเหตุการณ์สะเทือนขวัญหนองบัวลำภู
เร่งถอดบทเรียนหามาตรการป้องกันตัดต้นตอปัญหายาเสพติด

วันที่7 ตุลาคม 2565 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เปิดเผยว่า ตนและพรรคพลังประชารัฐขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์อดีตนายตำรวจก่อเหตุภายในศูนย์เด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู ซึ่งถือเป็นเหตุารณ์ไม่คาดฝัน ที่กระทบกระเทือนขวัญกำลังใจของคนทั้งประเทศ โดยรัฐบาลจะนำมาถอดบทเรียน และหามาตรการไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นอีก แต่ เรื่องเร่งด่วนขณะนี้คือการเยียวยาและช่วยเหลือครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบและขอยืนยันว่าจะดูแลช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างดีที่สุด

“ รัฐบาลจะดูแลครอบครัวของผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เพราะทุกคนต่างเสียใจกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ จะนำมาสู่แนวทาง และวางมาตรการร่วมกันแก้ไขปัญหาต้นเหตุให้มีความเข้มข้นมากขึ้น ทั้งในเรื่องการปราบปรามยาเสพติด และการรักษาผู้ติดยาเสพติด ตัดวงจรไม่ให้เสพซ้ำ ที่ผ่านมาได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการปราบปรามและเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลจับกุมผู้ค้ามาอย่างต่อเนื่อง” พล.อ.ประวิตรกล่าว

สำหรับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดรัฐบาลได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมีโครงการแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นจะต้องบูรณาการในการแก้ไขปัญหาทุกภาคส่วนเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนให้มากยิ่งขึ้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 ตุลาคม 2565