โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: สื่อออนไลน์

“พล.อ.ประวิตร” เผยผลการศึกษา”กระทรวงทรัพยากรน้ำ”คืบหน้า เตรียมพิจารณาลงลึกรายละเอียดสู่แผนบริหารจัดการน้ำยั่งยืน

“พล.อ.ประวิตร” เผยผลการศึกษา”กระทรวงทรัพยากรน้ำ”คืบหน้า
เตรียมพิจารณาลงลึกรายละเอียดสู่แผนบริหารจัดการน้ำยั่งยืน

(18 พฤศจิกายน 2565 )พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานเบื้องต้น ถึงผลการศึกษาการจัดตั้ง”กระทรวงทรัพยากรน้ำ” เป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่ได้มอบหมาย ให้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) , สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยกร่างพิมพ์เขียวการปรับปรุงกลไกการบริหารจัดการน้ำของประเทศ และยกร่างกฎหมายการจัดตั้งกระทรวงทรัพยากรน้ำ และเตรียมเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดนโยบายขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ (กนช.) เพื่อจะได้พิจารณาในรายละเอียดถึงแนวทางการจัดตั้งที่จะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับประชาชน สามารถแก้ไขปัญหาได้ในระยะยาว เพื่อการบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความมั่นคงในระบบโครงสร้างพื้นฐานของทรัพยากรน้ำ ของประเทศ

“ ในเป้าหมาย การบริหารจัดการน้ำเพื่อให้เพียงพอ และสมารถป้องกันภัยพิบัติ ที่เกิดขึ้นจากน้ำ ซึ่งมีความสำคัญ กับโครงสร้างเศรษฐกิจ และการดำรงชีวิตของเกษตรกร เพราะในแต่ละปี ประชาชนในหลายพื้นที่ต้องเผชิญปัญหากับภัยพิบัติ ทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้ง รัฐบาลต้องเร่งวางแผน และช่วยเหลือเฉพาะหน้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อประชาชน จึงได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาทั้งระบบให้เกิดความยั่งยืน โดยบูรณาความร่วมมือของหน่วยงานที่ปัจจุบันมีหน่วยเกี่ยวข้องถึง 38 หน่วยงาน ที่สังกัดในกระทรวงต่างๆ ทำให้ประสิทธิภาพในการบริหารไม่สมบูรณ์ และไม่เป็นเอกภาพ จึงเห็นว่า กระทรวงน้ำ จะเป็นศูนย์รวมการบริหารจัดการน้ำได้อย่างสัมฤทธิ์ผลในระยะยาว”

ทั้งนี้ ผลการศึกษาดังกล่าว ได้สรุปภาพรวม แนวโน้มบริบทของน้ำในอนาคตว่ามีความต้องการน้ำสูงขึ้น ในขณะที่ปริมาณน้ำ ต้องเผชิญกับสภาวะการเปลี่ยนของสภาวะภูมิอากาศที่มีความแปรปรวนสูง ในขณะที่แหล่งน้ำต้นทุนต้องมีการจัดหาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของทุกภาคส่วน และเป็นไปอย่างล่าช้า โครงสร้างของหน่วยงาน มีความซ้ำซ้อน ทำให้ปัญหาการบริหารจัดการน้ำยังขาดเอกภาพและการบูรณาการที่เชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ

อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินการ ต้องเน้นความสำคัญของประชาชนเป็นที่ตั้ง และต้องสอบถามความต้องการที่แท้จริง ในด้านการวางระบบน้ำทั่วประเทศ รวมถึงการแก้ไขปัญหาน้ำเสียอย่างเป็นระบบ เพื่อให้มีแหล่งน้ำที่มาใช้ประโยชน์ เป็นแหล่งน้ำต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ ต้องดูแลในทุกมิติอย่างรอบคอบ ดังนั้นความเป็นไปได้ ในการจัดตั้งกระทรวงทรัพยากรน้ำ จึงเป็นแนวทางที่สำคัญ ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ ของการใช้ทรัพยากรน้ำ ให้เกิดความคุ้มค่า และเกิดความยั่งยืนในระยะยาวต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18 พฤศจิกายน 2565

โฆษกพปชร. ขอบคุณ “ลุงป้อม” มือประสาน ทำคนไทย ได้ดูฟุตบอลโลก

โฆษกพปชร. ขอบคุณ “ลุงป้อม” มือประสาน ทำคนไทย ได้ดูฟุตบอลโลก

ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส. กทม. เขต 2 และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่าขณะนี้ กระบวนการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ได้สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ภายใต้การประสานงานของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ได้กำชับกับการกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ กกท. ให้เร่งดำเนินการ ให้คนไทยต้องได้ดูฟุตบอลโลก ครั้งนี้ รวมทั้งประสานงานกับภาคเอกชน ทำให้คนไทย สามารถดูถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก มหกรรมกีฬาฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในครั้งนี้

ทั้งนี้ขอให้ประชาชนคนไทย รับชมฟุตบอลโลก อย่างมีความสุข ด้วยความบันเทิงจากเกมกีฬา หลีกเลี่ยงการพนัน ในทุกรูปแบบ

“ต้องขอขอบคุณ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ได้เห็นความสำคัญของการถ่ายทอดฟุตบอลโลกให้กับคนไทย และประสานงานจนสำเร็จลุล่วง ซึ่งมีแฟนบอล ที่รอติดตามชมกันอย่างล้นหลาม” ดร.พัชรินทร์ กล่าว


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 17 พฤศจิกายน 2565

“พล.อ.ประวิตร” แจงความคืบหน้าพัฒนา”เมืองอัจฉริยะ” ยกไทยสู่”ผู้นำด้านดิจิทัลของภูมิภาค”สร้างบิ๊กดาต้าระดับ ชาติ

“พล.อ.ประวิตร” แจงความคืบหน้าพัฒนา”เมืองอัจฉริยะ”
ยกไทยสู่”ผู้นำด้านดิจิทัลของภูมิภาค”สร้างบิ๊กดาต้าระดับ ชาติ

วันนี้(15 พ.ย.65) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้มีการรายงานต่อที่ประชุม คณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงมติของคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ให้ทราบถึงผลการประกาศเมืองอัจฉริยะ เพิ่มเติม จำนวน 15 เมือง รวมเป็นเมืองอัจฉริยะแล้ว 30 เมือง รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมพัฒนา ยุวทูตเมืองอัจฉริยะ จำนวน 150 คน สำหรับการดำเนินงานเพื่อสร้างกลไกการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ต้องกำหนดระบบของแผนนโยบายและงบประมาณที่เชื่อมโยงในระดับต่าง ๆ ให้เกิดขึ้น โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาพัฒน์ฯ , สำนักงาน EEC ,สำนักงาน BOI และสำนักงบประมาณ รวมไปถึงการสร้างความเชื่อมโยงกับระบบแหล่งเงินนอกงบประมาณ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการปฏิบัติงานในพื้นที่ อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนั้น ให้จัดทำบัญชีดิจิทัลที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เพื่อเป็นแหล่งอ้างอิง ราคากลาง และแนวทางของการประยุกต์ใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น การมีแพลตฟอร์มบริหารข้อมูลเมืองในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น จังหวัด ภูมิภาค จนถึง ระดับประเทศ เพื่อให้เกิดระบบจัดการข้อมูลระดับชาติ สามารถบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันได้ และให้นำชื่อเมืองเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน หรือ ASCN เพิ่มเติม ตามเกณฑ์ที่ทาง ASCN ได้กำหนด โดยจากเดิม มี 3 เมือง ได้แก่กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต และชลบุรี เพิ่มเติมอีก 3 เมือง คือ เชียงใหม่ ขอนแก่น และระยอง

พร้อมร่วมดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของเครือข่ายในการทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และความรู้ ระหว่างกันของเมืองสมาชิก อีกทั้ง ยังเป็นการแสดงสถานะและความพร้อมของไทยในการเป็นหนึ่งในผู้นำด้านดิจิทัลของภูมิภาคด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 15 พฤศจิกายน 2565

ก.คลัง ผนึก ก.ยุติธรรม เปิดบริการวันสต๊อปเซอร์วิส ดันส่งออกพืชกระท่อมส่งออก ลดเวลา-ค่าใช้จ่าย

ก.คลัง ผนึก ก.ยุติธรรม เปิดบริการวันสต๊อปเซอร์วิส
ดันส่งออกพืชกระท่อมส่งออก ลดเวลา-ค่าใช้จ่าย

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ระหว่างกรมศุลกากรกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เพื่ออำนวยความสะดวกในการขออนุญาตส่งออกพืชกระท่อม ดำเนินการผ่านอิเล็กทรอนิกส์เพียงจุดเดียว ซึ่งจะช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่าย และ เตรียมพร้อมการส่งออกผลิตภัณฑ์พืชกระท่อม ณ ห้องประชุมชิดชัย วรรณสถิต อาคาร 2 ชั้น 3 สำนักงาน ป.ป.ส. กรุงเทพฯ


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 14 พฤศจิกายน 2565

‘พล.อ.ประวิตร’ เดินหน้าขับเคลื่อน 3 พันธกิจหลักพปชร. ดึงทีมส.ส. – นักวิชาการ ร่วม 3 คณะทำนโยบายช่วยปชช.

‘พล.อ.ประวิตร’ เดินหน้าขับเคลื่อน 3 พันธกิจหลักพปชร.
ดึงทีมส.ส. – นักวิชาการ ร่วม 3 คณะทำนโยบายช่วยปชช.

วันที่ 14 พ.ย. 2565 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า พรรคพลังประชารัฐได้มีการวางนโยบายขับเคลื่อนและสานต่อ 3 พันธกิจหลัก ที่ประกอบด้วย สวัสดิการประชารัฐ :ขจัดความเหลื่อมล้ำ เศรษฐกิจประชารัฐ :สร้างความสามารถและโอกาสที่เท่าเทียม และสังคมประชารัฐ : สงบสุข เข้มแข็ง แบ่งปัน ซึ่งเป็นนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชน อย่างต่อเนื่อง เพื่อทำนโยบายที่สอดรับกับความต้องการประชาชน และการเลือกตั้งที่จะมาถึงในอนาคต เป็นการมุ่งเน้นในการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องประชาชนให้กินดี อยู่ดี ล่าสุดพรรคได้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน 3 พันธกิจ ที่ประกอบไปด้วย 1.ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ 2.นายสุรสิทธิ นิธิวุฒิวรรักษ์ 3.นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล4. นายพรชัย ตระกูลวรานนท์ 5.นายชวน ชูจันทร์ 6. นายนัทธี ถิ่นสาคู 7.นายอรรถกร ศิริลัทธยากร 8.น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ 9.นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ 10.ดร.สุรดา จุนทะสุตธนกุล11. ดร.ปรมะ บุญเขื่อง

ทั้งนี้ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการแยกตาม พันธกิจหลักของพรรคประกอบด้วย
1. คณะกรรมการขับเคลื่อนสวัสดิการประชารัฐ ประกอบด้วย นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล นายนัทธี ถิ่นสาคูน.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ และ ดร.สุรดา จุนทะสุตธนกุล
2. คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประชารัฐ ประกอบด้วย นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ นายชวน ชูจันทร์ นายวีระกร คำประกอบ และนายภาคิน สมมิตรธนกุล
3. คณะกรรมการขับเคลื่อนสังคมประชารัฐ ประกอบด้วย นายพรชัย ตระกูลวรานนท์ นายชวน ชูจันทร์ นายสุทา ประทีป ณ ถลาง นายอรรถกร ศิริลัทธยากร พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา นายกองตรี อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ นายกานต์ กิตติอำพน ดร.ปรมะ บุญเขื่อง นางสาวเกณิกา อุ่นจิตร์ นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ นายแสนหล้า พันธุ์ราดล และ นายนิธิวุฒิ โรจน์ประสิทธิ์พร

พล.อ.ประวิตร กล่าวทิ้งท้ายว่า พรรคพลังประชารัฐได้เปิดให้ ส.ส.ของพรรคทุกคน ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนคนไทยในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ เข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อน 3 พันธกิจหลัก เพื่อให้การดำเนินงานของพรรคพลังประชารัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุตามอุดมการณ์ วัตถุประสงค์และนโยบายของพรรค โดยพรรคพลังประชารัฐมีนโยบายสำคัญ คือต้องการให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เรามุ่งเน้นแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้หมดไป ขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นว่า พลังประชารัฐจะเดินหน้าเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและอำนวยประโยชน์ให้ทุกท่านอย่างเต็มที่ ซึ่งเราได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องการหาแหล่งที่ทำกิน นโยบายผลักดันให้เกิดบัตรสวัสดิการแห่งรับ การจัดหาแหล่งน้ำให้เพียงพอ การดูแลราคาสินค้าเกษตร ตลอดจนการดูแลด้านความปลอดภัย และคุณภาพชีวิตของประชาชน ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล และพรรค พร้อมจะเดินหน้าทำให้ดีขึ้นต่อไป


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 14 พฤศจิกายน 2565

คึกคักต่อเนื่อง! พปชร. จัดอบรมเชื่อมสัมพันธ์ ส.ส.- ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ทั่วประเทศ ด้าน “วิรัช” ยืนยันส่งผู้สมัครครบทุกเขต

คึกคักต่อเนื่อง! พปชร. จัดอบรมเชื่อมสัมพันธ์ ส.ส.- ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ทั่วประเทศ ด้าน “วิรัช” ยืนยันส่งผู้สมัครครบทุกเขต

12 พฤศจิกายน 2565 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ มีการจัดอบรมสัมมนาพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้ชื่องาน “พลังประชารัฐ พลังคนสร้างชาติ” “เพราะมีคุณ จึงมีพรรค” ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 โดยมีผู้บริหารและแกนนำพรรค เช่น นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ สมาชิกส.ส. และว่าที่ผู้สมัครส.ส. ของพรรค เข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพียงกัน โดยบรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างคึกคัก
.
นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยถึงรายละเอียดกิจกรรมในวันที่ 2 ว่า จะเป็นการอบรมให้ความรู้กับส.ส. และว่าที่ผู้สมัครส.ส. เกี่ยวกับแนวทางการใช้สื่อสังคมออนไลน์ให้เป็นประโยชน์และมีประสิทธิภาพ เพื่อรับรองการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ รวมทั้งจะมีการประชาสัมพันธ์ถึงนโยบายต่าง ๆ ของพรรคที่ผลักดันออกมาเป็นรูปธรรม เช่น นโยบายคนละครึ่ง, นโยบายประชารัฐที่ต้องขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ทั้ง สวัสดิการประชารัฐขจัดความเหลื่อมล้ำ เศรษฐกิจประชารัฐ สร้างความสามารถและโอกาสที่เท่าเทียม และ สังคมประชารัฐ สงบสุข เข้มแข็ง แบ่งปัน

.
ส่วนเมื่อวานนี้เป็นการอบรมให้ความรู้เรื่องการรณรงค์หาเสียงและแนวทางการหาเสียงเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎระเบียบของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ซึ่งนายวิรัช คาดว่า การเลือกตั้งจะมาถึงอย่างเร็วที่สุดปลายปีนี้หรือช้าสุดคือปีหน้า โดยพรรรคพลังประชารัฐหวังเตรียมความพร้อมให้ผู้สมัครให้มากที่สุด
.
นาย วิรัช ระบุเพิ่มเติมว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ฝากตัวเองให้มาส่งกำลังใจให้ผู้สมัครเพิ่มเติม หลังเมื่อวานนี้หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้เดินทางมาให้กำลังใจก่อนแล้ว พร้อมระบุว่า พรรคจะส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งให้ครบทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อ และมุ่งหวังรักษาฐานเสียงทุกพื้นที่ให้มากที่สุด โดยพรรคได้ยึดหลักการคัดกรองผู้สมัครว่าต้องเป็นบุคคลที่มีคุณภาพและสามารถทำงานเพื่อประชาชนให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
.
สำหรับอนาคต พรรคพลังประชารัฐจะมีการจัดสัมมนาแบ่งเป็นรายภาคและรายจังหวัด ทั้งลงลึกถึงรายละเอียดในแต่ละพื้นที่มากขึ้น เพราะแต่ละพื้นที่มีความแตกต่าง โดยมุ่งหวังให้ได้ซึ่งผลลัพธ์ในการช่วยประชาชนอย่างมีคุณภาพ
.
สำหรับกิจกรรมการอบรมสัมมนาพรรคพลังประชารัฐ “พลังประชารัฐ พลังคนสร้างชาติ” ในวันที่ 2 นี้ นอกจากจะมีการอบรมถึงแนวทางการใช้สื่อสังคมออนไลน์แล้ว ยังมีการจัดกิจกรรมสันทนาการเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง ส.ส. และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ให้มีความแน่นแฟ้นกันมากขึ้น ก่อนที่ในช่วงเย็นจะเป็นการสรุปปิดกิจกรรมด้วยการระดมความคิดเห็นเพื่อวางแนวทางในการจัดทำนโยบาย โดยใช้ความรู้ที่ได้จากการเข้าร่วมกิจกรรมทั้ง 2 วันที่ผ่านมาเป็นแนวทางเพื่อวางแนวทางในการจัดทำนโยบายต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 12 พฤศจิกายน 2565

พปชร.เพชรบุรี ถวายโฉนดที่ดินวัดเขาบันไดอิฐ หลังประสานหน่วยงานออกเอกสารสิทธิ์จนเป็นผลสำเร็จ

พปชร.เพชรบุรี ถวายโฉนดที่ดินวัดเขาบันไดอิฐ หลังประสานหน่วยงานออกเอกสารสิทธิ์จนเป็นผลสำเร็จ

นายสุชาติ อุสาหะ ส.ส.เพชรบุรี เขต 3 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ การศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานในพิธีถวายโฉนดที่ดิน จำนวน 90 ไร่เศษ ให้แก่พระปลัดบุญมี บุญญภาโค เจ้าอาวาสวัดเขาบันไดอิฐ อ.เมือง จ.เพชรบุรี หลังได้รับหนังสือร้องเรียนจากพระปลัดบุญมีบุญญภาโค เจ้าอาวาสวัดเขาบันไดอิฐ เพื่อขอความอนุเคราะห์ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ดินของวัดเขาบันไดอิฐ เนื่องจากยังไม่ได้รับการออกโฉนดที่ดินจากทางการมานานกว่า 200 ปี นับตั้งแต่จัดสร้างวัดมา

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ ได้นำเรื่องร้องเรียนดังกล่าวไปพิจารณาศึกษาทั้งข้อเท็จจริงและสภาพทางภูมิประเทศ เพื่อดำเนินการขอเอกสารสิทธิ์ให้กับทางวัดจนเป็นผลสำเร็จ โดยมีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักศิลปากรที่ 1 ราชบุรี เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาและดำเนินการขอเอกสารสิทธิ์ให้กับทางวัดจนเป็นผลสำเร็จ

#พรรคพลังประชารัฐ #พลังประชารัฐ #พปชร #PPRP #สุชาติอุสาหะ
Twitter : https://twitter.com/PPRPofficial

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 12 พฤศจิกายน 2565

“พล.อ.ประวิตร”จุดพลังพปชร.รับสู้ศึกเลือกตั้ง ร่วมใจสมาชิกพรรคเป็นหนึ่งเดียวสู่เป้าหมายเพื่อปชช.

“พล.อ.ประวิตร”จุดพลังพปชร.รับสู้ศึกเลือกตั้ง
ร่วมใจสมาชิกพรรคเป็นหนึ่งเดียวสู่เป้าหมายเพื่อปชช.

11 พฤศจิกายน 2565 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินทางมาร่วมการสัมมนาของ พปชร. โดยมี ส.ส. และสมาชิกพรรค มารอต้อนรับจำนวนมาก โดยการจัดสัมมนาครั้งนี้ มี ส.ส.และผู้สมัคร แสดงเจตจำนงมาร่วม 400 คน และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.มาร่วมกันอย่างคึกคัก เพื่อให้เกิดการปฏิบัติตามคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อย่างเคร่งครัด ซึ่งในกิจกรรมครั้งนี้ได้เชิญให้ กกต.มาให้ความรู้และความเข้าใจในการปฏิบัติตัวระหว่างการลงพื้นที่เพื่อพบปะประชาชน

การสัมมนาครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงเป็นการหนึ่งเดียวของพรรค เห็นได้จากสมาชิกพรรคที่เข้ามาร่วม ประชุมจำนวนมาก ซึ่งตนเชื่อมั่นใน ส.ส.ทุกคนมาโดยตลอด ส่วนการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของ พปชร. ขึ้นอยู่ในที่ประชุมของกรรมการบริหารพรรคว่าจะเป็นผู้เลือกใคร

พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวย้ำถึง ความสามัคคี ของทุกคนซึ่งทำให้พรรคมีความเข้มแข็งต่อไปในอนาคต การที่พรรคจะเข้มแข็งเพราะเราทุกคนช่วยกัน ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งจะนำพาพรรคไปได้คนเดียวเป็นไปไม่ได้ ทุกคนต้องร่วมมือกันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ข้ามความขัดแย้งทั้งหมด และขอต้อนรับสมาชิกพรรคที่อยู่กับเราเพื่อจะรับการเลือกตั้งในต้นปีหน้า ที่ผ่านมาพรรคพปชร.ร่วมมือร่วมใจกันทำให้เป็นสถาบันการเมืองที่มั่งคง มั่งคั่ง สร้างประโยชน์ให้ประชาชน ตลอดเวลาที่ผ่านมา พรรคพปชร.เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และตลอดเวลา3 ปีที่ผ่านมาผ่านวิกฤตและอุปสรรคไปได้ด้วยดี ด้วยความสามารถของรัฐมนตรี และพรรคการเมืองทั้ง3-4 พรรคที่ช่วยจัดตั้งรัฐบาล ก็ผ่านไปได้ และจะสร้างพรรคพปชร.ให้แข็งแรงยิ่งขึ้นต่อไป

“ตนได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรค และตระหนักอยู่เสมอว่าเมื่อส.ส.วางใจ ตนก็วางใจส.ส.ว่าจะไปด้วยกันด้วยความเป็นหนึ่งเดียวของพรรค จึงตั้งใจมุ่งมั่นทำงานเสริมสร้างความเข้มแข็งให้พรรคเต็มที่เท่าที่ทำได้ ย้ำว่าทุกคนต้องร่วมมือกัน เพราะพรรคไม่ได้อยู่คนเดียวโดดเดี่ยว แตาเราร่วมกันและข้ามความขัดแย้งทั้งหมด”

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราวางโครงสร้างการทำงานพรรคออกเป็น4 ภาค มีหัวหน้าภาคและเลขาฯภาค ให้เลือกกันเองตามหลักประชาธิปไตย และนำเสนอไอเดียที่เป็นประโยชน์และนำมาขับเคลื่อนเป็นนโยบายพรรค ตนเป็นรองนายกฯและหัวหน้าพรรค ได้ร่วมกับรัฐบาลดำเนินการตามนโยบายให้ประชาชนในหลายเรื่อง บริหารจัดการน้ำ ทำให้น้ำไม่ท่วมกทม.เหมือนปี 2554 แต่ที่ท่วมเพราะน้ำมากกว่าปี 54 เพราะน้ำมาก ที่ผ่านมาเราเป็นพรรคที่ทำงานให้ประชาชนโดยตรงเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ทั้งส่วนระบบคมนาคม โครงสร้างพื้นฐาน ถนน รถไฟฟ้า และท่าเรือ เป็นต้น ให้เป็นประโยชน์กับประชาชน

สำหรับคนที่ผ่านการกลั่นกรองการคัดเลือก เป็นว่าที่ผู้สมัครส.ส.ต้องภูมิใจที่มีคุณสมบัติของพรรค ได้รับเลือก ขอให้ขยันลงพื้นที่ ดูแลประชาชนอย่างจริงจังและใกล้ชิดให้มากที่สุด ส่วนส.ส.เก่า จะได้สิทธิลงสมัครได้เลยโดยไม่ต้องผ่านกรรมการสรรหา เพราถือว่าผ่านการทำงานให้พรรคมาตลอด4 ปี ย่อมรู้ว่าพรรคดำเนินการอย่างไร ให้ประโยชน์และเสียประโยชน์อย่างไร ขอให้ทุกคนลงพื้นที่ตั้งแต่ตอนนี้ ให้ทุกคนทุ่มเทเสียสละเสียสลทำการเมืองเพื่อประโยชน์อย่างแท้จริง ทำเพื่อประเทศชาติเราให้พัฒนา เจริญรุ่งเรืองต่อไป
โดยย้ำจุดยืนว่า เราจะต้องทำให้ประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบของส.ส.ทุกคนอยู่ดีกินดี ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในพรรคพปชร.และเชื่อมั่นในส.ส. และอย่าชักช้าให้ลงพื้นที่ เพราะถึงอย่างไรก็เลือกตั้งแน่นอน ไม่มีทางเป็นได้ที่จะเป็นอย่างอื่น เราเชื่อมั่น และมั่นใจส.ส.และเชื่อมั่นในพรรค เราพร้อมสนับสนุนพื้นที่และหาเสียง เราพร้อมใจกันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ขอให้ทุกคนร่วมแรงร่วมใจด้วยความรักความสามัคคี ช่วยเกลือเกื้อกูลนำพาพรรคให้ก้าวเดินอย่างมั่นคงต่อไป เพื่อความสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองของประเทศ ขออวยพรให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการหาเสียงและรับเลือกตั้งทุกคน และหวังว่าทุกคนจะต้องได้เป็นส.ส.ทุกคน


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 พฤศจิกายน 2565

“เลขาฯ พปชร.” ระดม ส.ส.-ว่าที่ผู้สมัคร จัดคอร์สทัพ พปชร.ลงพื้นที่พบปะประชาชน

“เลขาฯสันติ” เปิดตัวเลือดใหม่ 40 ว่าที่ผู้สมัคร 10 ส.ส 4 ภาค
มั่นใจได้คนคุณภาพเข้ามาดูแลทุกข์สุข ปชช.ไม่ต่ำกว่า 150 ที่นั่ง

วันที่ 11 พ.ย. 65 นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวในงานสัมมนาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกพรรค ทั้งประเทศ ภายใต้ชื่องาน “พลังประชารัฐ พลังคนสร้างชาติ” ว่า การจัดสัมมนาครั้งนี้ เพื่ออบรมทักษะต่างๆ ทั้งการใช้สื่อโซเชียล เรียนรู้ข้อกฎหมายเพื่อเตรียมพร้อมก่อนการเลือกตั้ง และจัดกลุ่มพูดคุยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน รวมถึงรับฟังนโยบายหลักและนโนบายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนต่อไป

นายสันติ กล่าวว่า เวลานี้พรรคมีความพร้อมและมีบุคลากรที่มีศักยภาพ ที่มีความรู้ความสามารถ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ นักลงทุน ที่จะพัฒนาประเทศในภาพรวมมาอยู่กับพรรคจำนวนมาก และหลังจากนั้นก็จะมีการจับกลุ่มระหว่างบุคคลเหล่านี้ กับ ส.ส.และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ทุกสัปดาห์ เพื่อกำหนดแนวทางร่วมกันในการเดินหน้าขับเคลื่อนพรรค

ในการทำงานของพรรค การมีความเห็นต่างเป็นเรื่องปกติ ซึ่งให้ดูเวลาประชาชนเข้าไปเลือกตั้งส.ส. ก็จะมี ส.ส.เก่า และ ส.ส. ใหม่ที่หมุนเวียนกันไป เมื่อประชาชนเลือกเข้ามา แต่เราต้องทำพรรคให้เข้มแข็ง เป็นที่รักของประชาชน ให้เขารู้สึกว่านอกจากเราจะดูแลแล้วยังต้องพัฒนา ต้องเสริมสร้างพัฒนาแรงงานอุตสาหกรรมไปสู่โลก โดยทำให้ประชาชนรากหญ้าแข็งแรงเพื่อความกินดีอยู่ดีตามนโยบายของพรรคที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 พฤศจิกายน 2565

รมช อธิรัฐ เผยแผนป้องกันเหตุ“ลอยกระทง 2565” ปลอดภัย อุบัติเหตุทางน้ำเป็นศูนย์

รมช อธิรัฐ เผยแผนป้องกันเหตุ“ลอยกระทง 2565” ปลอดภัย อุบัติเหตุทางน้ำเป็นศูนย์

ประชุมกรมเจ้าท่า ติดตามผลการปฏิบัติงานตามมาตรการรักษาความปลอดภัย “วันลอยกระทง 2565” พร้อมติดตามผลการดำเนินงานและขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ กรมเจ้าท่า ปี 65-66

วันที่ 9 พ.ย. 2565 น. นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมติดตามผลการปฏิบัติงานตามมาตรการรักษาความปลอดภัยในวันลอยกระทง 2565 ตามข้อห่วงใยของท่านนายกรัฐมนตรี สรุปภาพรวมได้ดังนี้

  • ในพื้นที่ส่วนกลางแม่น้ำเจ้าพระยา จัดกำลังเจ้าหน้าที่รักษาการณ์ในคืนลอยกระทง จำนวน 200 คน เรือรักษาการณ์ 8 ลำ เรือตรวจการณ์ทั่วไป 1 ลำ เจ้าหน้าที่ประจำท่าเทียบเรือ 63 ท่าเรือ
  • ส่วนภูมิภาค กำลังเจ้าหน้าที่ จำนวน 510 คน เรือตรวจการณ์ 61 ลำ
    โดยเจ้าหน้าที่และเรือตรวจการณ์เจ้าท่าออกปฏิบัติงานตั้งแต่ เวลา 14.30 น.- 24.00 น. หรือจนกว่าจะแล้วเสร็จ ซึ่งในคืนวันลอยกระทงที่ผ่านมา (8 พ.ย.65) ไม่พบอุบัติเหตุทางน้ำ ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ สูญหาย หรือผู้เสียชีวิต

ทั้งนี้ นายอธิรัฐ ได้กล่าวขอบคุณกรมเจ้าท่าทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ที่ได้ปฏิบัติงาน ออกตรวจตรา อำนวยความสะดวกและความปลอดภัย ในวันลอยกระทง 2565 เป็นไปตามแผนด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่ให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามคำแนะของเจ้าหน้าที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

และในการนี้ นายอธิรัฐ ได้ติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบาย/ แผนงานและข้อสั่งการ ปี 65 และมอบนโยบายการดำเนินงานกรมเจ้าท่า ปี 66 ดังนี้

  1. การปรับปรุงท่าเรือโดยสารแม่น้ำเจ้าพระยา (Smart Pier)
    • ปี 65 : แล้วเสร็จพร้อมใช้งาน จำนวน 5 ท่า ได้แก่ ท่ากรมเจ้าท่า,ท่าสะพานพุทธ, ท่านนทบุรี, ท่าช้าง, ท่าสาทร อยู่ระหว่างดำเนินการพร้อมเปิดใช้งานภายในปี 65 จำนวน 6 ท่า ได้แก่ ท่าเตียน, ท่าบางโพ, ท่าพระราม 7, ท่าพายัพ, ท่าราชินี, ท่าเกียกกาย
    • ปี 66 : จำนวน 3 ท่า ได้แก่ ท่าปิ่นเกล้า, ท่าพระราม 5, ท่าปากเกร็ด
  2. การขุดลอกต่างตอบแทนแก้ปัญหาภัยแล้ง
    • ปี 65 : โดยกรมเจ้าท่า 132 แห่ง ปริมาณดินรวม 18,160,500 ลบ.ม./ ขุดลอกต่างตอบแทนและอื่นๆ ปริมาณ 5.00 ล้าน ลบ.ม. ประหยัดงบประมาณ 285 ล้านบาท
    • ปี 66 : จำนวน 54 แห่ง ปริมาณดินรวม 4,048,600 ลบ.ม./ ขุดลอกต่างตอบแทนและอื่นๆ (ออกใบอนุญาตแล้ว) รวม 170,101.2 ลบ.ม.
  3. เรือไฟฟ้า (EV BOAT) ในแม่น้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันมีจำนวน 26 ลำ
    • ปี 65 เพิ่มขึ้น จำนวน 11 ลำ
    • ปี 66 เพิ่มขึ้น จำนวน 7 ลำ
  4. องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO)
    • ปี 65 ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการแก้ไขข้อบกพร่อง (CAP) จำนวน 29 รายการ
    • ปี 66 เตรียมความพร้อมรับการตรวจประเมินจากองค์กรทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ในเดือน ก.พ.66 ( 20-27 ก.พ.66)

มอบนโยบายการดำเนินงาน กรมเจ้าท่า ปี 66

  1. การใช้จ่ายงบประมาณโครงการ ปี 66 ให้ดำเนินการตามระเบียบทางราชการโดยเคร่งครัด โปร่งใส สามารถตรวจสอบและเปิดเผยต่อสาธารณะได้ และเน้นย้ำห้ามมีการร้องเรียนการเรียกผลประโยชน์โดยเด็ดขาด
  2. การปรับปรุงท่าเรือ Smart Pier แม่น้ำเจ้าพระยา ให้แล้วเสร็จตามแผน เพื่อให้เป็นตามนโยบายของรัฐบาล ในการเชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะอย่างเต็มรูปแบบ
  3. การผลักดันเรือไฟฟ้าในคลองแสนแสบ เร่งรัดการดำเนินงานให้ออกบริการได้ภายในปี 66
  4. ด้านการต่างประเทศให้กรมเจ้าท่าเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ร่วมกับหน่วยงานและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ในการรับการตรวจประเมินของ IMO ที่จะมีขึ้นในเดือน ก.พ.66

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 พฤศจิกายน 2565

“พล.อ.ประวิตร” ประกาศรับรอง 15 เมืองอัจฉริยะไทยแลนด์ พร้อมดัน 7 เมืองขึ้นชั้นอัจฉริยะอาเซียนหนุนเศรษฐกิจดิจิทัล

“พล.อ.ประวิตร” ประกาศรับรอง 15 เมืองอัจฉริยะไทยแลนด์
พร้อมดัน 7 เมืองขึ้นชั้นอัจฉริยะอาเซียนหนุนเศรษฐกิจดิจิทัล

9 พฤศจิกายน 2565 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ โดยมี นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และผู้แทนจากสำนักงานเมืองอัจฉริยะประเทศไทย รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม อาทิ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ณ มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด และผ่านระบบออนไลน์

ทั้งนี้ที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและบริหารโครงการเมืองอัจฉริยะที่มี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธาน โดยเฉพาะประเด็นการมอบตราสัญลักษณ์เพื่อรับรองการเป็นพื้นที่เมืองอัจฉริยะ 15 พื้นที่ใน 14 จังหวัด ประกอบด้วย
1) นครระยอง เมืองอัจฉริยะและน่าอยู่ จังหวัดระยอง
2) คันทรงโมเดล เมืองแห่งความสุขที่พึงประสงค์และสังคมแห่งการแบ่งปัน จังหวัดชลบุรี
3) เมืองอัจฉริยะจังหวัดพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก
4) โครงการพิษณุโลกนครอัจฉริยะอย่างยั่งยืน จังหวัดพิษณุโลก
5) นครเชียงรายสู่เมืองอัจฉริยะ จังหวัดเชียงราย
6) เมืองน่านสู่เมืองอัจฉริยะ จังหวัดน่าน
7) โคราชเมืองอัจฉริยะ จังหวัดนครราชสีมา
8) Smart City อุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี
9) กระบี่เมืองอัจฉริยะ จังหวัดกระบี่
10) จังหวัดพังงาสู่เมืองอัจฉริยะ จังหวัดพังงา
11) Satun Smart City จังหวัดสตูล
12) พัฒนาเทศบาลนครเกาะสมุย สู่เมืองอัจฉริยะอย่างยั่งยืน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
13) หาดใหญ่เมืองอัจฉริยะสีเขียว จังหวัดสงขลา
14) ปัตตานีเมืองอัจฉริยะ จังหวัดปัตตานี
15) เมืองสิ่งแวดล้อมสร้างสรรค์นราธิวาส จังหวัดนราธิวาส

อย่างไรก็ตามการประกาศดังกล่าว ปัจจุบันส่งผลให้ประเทศไทยมีพื้นที่ที่ได้รับการรับรองเป็นเมืองอัจฉริยะรวม 30 พื้นที่ใน 23 จังหวัดแล้ว ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนได้มากกว่า 20 ล้านคน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวจะได้รับการส่งเสริมการลงทุนสำหรับกิจการพัฒนาพื้นที่เมืองอัจฉริยะ และกิจการพัฒนาระบบเมืองอัจฉริยะจากบีโอไอ โดยทั้ง 15 เมืองอัจฉริยะประเทศไทยใหม่ในครั้งนี้ จะช่วยให้เกิดการลงทุนจากภาคเอกชนมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาทและพัฒนาสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะต่อไปในอนาคต

ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาการเสนอเมืองเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน (ASEAN Smart Cities Network: ASCN) เพิ่มเติม ประกอบด้วย เชียงใหม่ ขอนแก่น ระยอง และฉะเชิงเทรา ซึ่งเดิมมีเมืองที่เข้าร่วมแล้วคือ กรุงเทพฯ ชลบุรี และภูเก็ต ซึ่งทั้ง 7 เมืองนับเป็นเป้าหมายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของรัฐบาล

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบผลการจัดกิจกรรมสานต่อความร่วมมือระดับภูมิภาคผ่านเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน (ASEAN Smart Cities Network: ASCN) ผลการดำเนินกิจกรรมสนับสนุนการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในปี 2565 ผ่านกิจกรรมการพัฒนากำลังคนด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ อาทิ โครงการนักส่งเสริมดิจิทัลพัฒนาเมืองรุ่นใหม่ (Smart City Ambassadors) รุ่นที่ 2 ซึ่งเป็นโครงการพัฒนากำลังคนดิจิทัลรุ่นใหม่ ควบคู่ไปกับการยกระดับทักษะด้านดิจิทัลให้กับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น กิจกรรมส่งเสริมและสร้างความตระหนัก อาทิ การจัดประกวด The Smart City Solution Awards 2022 เพื่อมอบรางวัลแก่ผู้ที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อการบริการภาคประชาชน และการจัดนิทรรศการ Smart City Expo 2022 ที่จะมีขึ้น ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2565
พลเอกประวิตร กล่าว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลผ่านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ซึ่งถือเป็นการขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 ตามแนวทางที่แผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปีได้วางไว้ โดยการประชุมในวันนี้เพื่อรับทราบผลการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการประกาศมอบตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะประเทศไทย ประจำปี 2565 กิจกรรมการพัฒนากำลังคนด้านเมืองอัจฉริยะ การสร้างกลไกการส่งเสริมเมืองอัจฉริยะอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการพิจารณาเพิ่มเมืองเพื่อเป็นสมาชิกเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน ทั้งนี้ ขอให้ทุกภาคบูรณาการการทำงาน เพื่อขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะของประเทศ เนื่องจากเป็นวาระแห่งชาติ และจะนำไปสู่ความอยู่ดีมีสุขของภาคประชาชน ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 โดยเฉพาะหมุดหมายที่ 8 ไทยมีพื้นที่และเมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ ปลอดภัย เติบโตได้อย่างยั่งยืน


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 พฤศจิกายน 2565

“พัชรินทร์” กางสถิติอัตรารอดชีวิตจากเหตุหยุดหายใจเฉียบพลัน ไทยรอดเพียง 2% เทียบไม่ติดยุโรป 60% ขอฝ่ายบริหาร รับข้อเสนอ บรรจุ CPR ในหลักสูตรการศึกษา

“พัชรินทร์” กางสถิติอัตรารอดชีวิตจากเหตุหยุดหายใจเฉียบพลัน ไทยรอดเพียง 2% เทียบไม่ติดยุโรป 60% ขอฝ่ายบริหาร รับข้อเสนอ บรรจุ CPR ในหลักสูตรการศึกษา

ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.เขต2 พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงโครงการอบรม ให้ความรู้ CPR และการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ภายในสถานศึกษา ซึ่งตนพยายามผลักดันมาตลอด ตั้งแต่ปีแรกของการเป็น ส.ส. ให้เกิดการเรียนรู้เรื่อง CPR และการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เชิงปฏิบัติในหลักสูตรการศึกษาของไทยเรา ให้เด็กได้เข้าใจและสามารถปฏิบัติได้จริง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเรื่องยาก ไม่ได้ใช้งบประมาณมาก หน่วยงานที่พร้อมจะช่วยกันมีอยู่แล้ว เพียงแต่ฝ่ายบริหาร ต้องเปิดกว้าง ที่จะรับข้อเสนอแนะนี้ไปผลักดันให้เกิดขึ้นจริง และหวังว่า ฝ่ายบริหารจะได้เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ เพื่อประโยชน์ของพวกเราทุกคน ชีวิตทุกชีวิตมีคุณค่า เพียงเรารักษาได้ 1 ชีวิต ก็คุ้มค่าที่สุดแล้ว

“สองมือเหมือนกัน แต่ช่วยคนได้ไม่เหมือนกัน เพียงเพราะขาดองค์ความรู้ในการช่วยชีวิต #คนไทยต้องCPRเป็น” ดร.พัชรินทร์ กล่าวย้ำ

ดร.พัชรินทร์ ยังได้ เปรียบเทียบให้เห็นถึงอัตราการรอดชีวิต เมื่อเกิดเหตุการหยุดหายใจเฉียบพลันโดยประมาณ ในต่างประเทศ กับไทย อย่างประเทศทางยุโรป อัตรารอด 60% ประเทศญี่ปุ่น อัตราการรอด 40% ขณะที่ไทย เรามีอัตราการรอดชีวิตเพียง 2% เท่านั้น เท่ากับว่า เมื่อเกิดเหตุ ถ้าอยู่ๆ เราล้มตึงไปกลางถนน เรามีโอกาสรอดชีวิตเพียง 2% เพราะมีคนที่จะสามารถช่วย CPR ในประเทศไทย ยังไม่มากพอ แตกต่างกับในต่างประเทศ จะมีการสอนให้ความรู้ทั้งในทฤษฎี และปฏิบัติ กับเด็กๆ เยาวชน ตั้งแต่ในโรงเรียน เป็นความรู้พื้นฐาน แต่สำหรับของไทยเรา อาจมีการสอนในเรื่องการปฐมพยาบาลบ้าง แต่อาจยังไม่ทั่วถึง รวมทั้งการสอนภาคปฏิบัติ ให้เด็กมีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้อง ไม่สมบูรณ์นัก

#คนไทยต้องCPRเป็น


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 พฤศจิกายน 2565