โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: ข่าวกิจกรรม

ชัยวุฒิ ปราศรัย ซัดนักการเมืองโกงมีปัญหา ประเทศไม่ได้มีปัญหา วอนหยุดดราม่า โจมตีหาเสียง ย้ำจุดยืน พปชร.รักชาติ รักแผ่นดิน

,

ชัยวุฒิ ปราศรัย ซัดนักการเมืองโกงมีปัญหา ประเทศไม่ได้มีปัญหา วอนหยุดดราม่า โจมตีหาเสียง ย้ำจุดยืน พปชร.รักชาติ รักแผ่นดิน

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ ปราศรัย อำเภอ ค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อช่วย นายโชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ผู้สมัคร สส. หมายเลข7 พรรคพลังประชารัฐ หาเสียง

โดย นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ทุกวันนี้ มีคนกลุ่มหนึ่งก็พยายามหาเสียงเลือกตั้ง ด้วยการ พูดจาดราม่า เข้าใจคําว่าดราม่าไหม พูดจริงบ้าง ใส่สีปรุงแต่ง บิดเบือนเพื่อหาเสียง อะไรก็ไม่ดีประเทศไทยเสียหายเศรษฐกิจตกต่ำเพราะปฏิวัติรัฐประหาร มันก็ไม่ใช่ พอเขาปฏิวัติผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว 8ปีแล้ว วันนี้มันไม่เกี่ยวกับการปฏิวัติรัฐประหารแล้ว มันเป็นเรื่องของการเลือกตั้งตามบอกประชาธิปไตย แต่ที่สําคัญประเทศไม่ได้เสียหาย บางคนทำธุรกิจ เขาเรียกว่าอสังหาริมทรัพย์ พูดชื่อเลย บริษัท แสนศิริ กําไรปีที่แล้วประมาณสองพันล้าน ปีนี้กําไรสี่พันล้าน กําไรเพิ่มขึ้นเท่าตัว แปลว่าอะไร เศรษฐกิจดี ขายบ้านได้ เพราะถ้าเศรษฐกิจไม่ดีเขาไม่ซื้อบ้านกัน บ้านหลังก็หลายสิบล้านด้วยในกรุงเทพ ขณะที่อุตสาหกรรมรถยนต์ เติบโตทุกปี ช่วงสิบปีมาแล้วไม่มีตกเลย มีโควิดที่ยังส่งออกได้ อุตสาหกรรมเติบโต ให้โบนัสพนักงาน8-9เดือน ต่อเนื่องมาเป็นสิบปี ปฏิวัติแล้ว อุตสาหกรรมรถยนต์ ธุรกิจก็ไม่ได้มีปัญหา การออกมาพูด ปฏิวัติแล้วเศรษฐกิจตกต่ำมากประชาชนเดือดร้อน มันไม่ได้มีปัญหาอย่างนั้น มันเป็นการสร้างวาทกรรม สร้างภาพเพื่อให้คนเกลียดชังกันและคิดว่าจะสร้างคะแนนนิยมให้กับนักการเมืองเท่านั้น ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่พรรคพลังประชารัฐไม่ทํา

การข้ามความขัดแย้ง คือไม่ทะเลาะกัน ไม่โจมตีกัน พูดแต่สิ่งที่จะมาทําให้ประชาชน วันนี้จึงควรพูดแต่เรื่องที่อยากจะมาช่วยเหลือพี่น้องประชาชน เพราะ เรื่องใหญ่พี่น้องเข้าใจอยู่แล้ว คือก้าวข้ามความขัดแย้งเพื่ออะไร เพื่อให้มีรัฐบาลที่ดีมีเสถียรภาพ บ้านเมืองสงบสุข ประชาชนจะได้ทํามาหากินได้ อันนี้อันดับแรกที่เราต้องทํา แต่หลังจากบ้านเมืองเดินหน้าได้แล้ว วันนี้ปัญหาใหญ่ของคนไทยคือ ปัญหาเศรษฐกิจ น้ํามันแพง แก๊สหุงต้มอยากให้ลดราคาไหม ใช้ทุกบ้านอยู่แล้ว พอลดค่าแก๊ส เราก็เหลือเงินในกระเป๋ามากขึ้น เราจะได้มีเงินไปซื้อของไปดูแลลูกหลานเรา แต่ว่าบางพรรคบอก เรามาเอาแบบนี้ เราจะเติมเงินดิจิทัลให้คนละหนึ่งหมื่นบาท ใช้ไม่เป็น คนใช้ก็ไม่เป็น ร้านค้าตอนรับมา เขาบอกว่าเงินดิจิทัลจะได้ตรวจสอบได้ จะได้เก็บภาษีได้ ร้านค้านี้ไม่เข้าโครงการ ผมก็งงว่าจะให้เงิน10,000 บาท ทําไมต้องทําให้ยาก ก็ใส่แอปเป๋าตังค์ก็ได้ โอนเข้าบัญชีก็ได้ มีบัญชีทุกคน วันนี้ทุกคนมี โอนเงินเป็นสดใช่ไหมครับ โอนเงินมาเลยดีกว่าไหม แต่ทํายากทําไมก็ไม่รู้ มันทําไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้คนไทยก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ การสร้างราคาพลังงานที่ในอดีตทํามา มาเจอค่าแก๊สมันขึ้น ค่าไฟก็ขึ้นตาม เราก็ต้องไปแก้ปัญหาที่ค่าแก๊สและปรับโครงสร้าง เพื่อให้พลังงานไฟฟ้าราคาถูกลง เราตั้งเป้าไว้ว่าครอบครัวหนึ่งต้องเสียค่าไฟหน่วยละ สองบาทห้าสิบจากเดิมเกือบห้าบาท เพราะงั้นเราต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์37

ผมสมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ อันดับที่3 อันดับที่1 คือลุงป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อันดับที่2 คือ เลขาพรรค สันติพร้อมพันธ์ อันดับ3 รองหัวหน้าพรรค ชื่อชัยวุฒิ เราต้องช่วยกันพรรคพลังประชารัฐ เบอร์37 เบอร์นี้ไม่ใช่เลือกนายก เลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อ บางคนบอกเลือกลุงตู่ ผมก็รักลุงตู่ แต่ลุงตู่ไม่ได้อยู่พลังประชารัฐแล้ว เราต้องเลือกพลังประชารัฐ เพราะเลือกชัยวุฒิเบอร์37 เพราะผมได้ไปทํางานรับใช้พี่น้อง ร่วมกับโชติวุฒิ ร่วมกับคุณแม่ผมด้วย เข้าถึงทุกคน อยู่กับประชาชน เราเรียกใช้ได้ อันนี้คือเรื่องสําคัญสองเรื่อง เลือกคนที่ดี เลือกพรรคที่มีนโยบายดี ทําให้บ้านเมืองสงบสุข แต่เรื่องที่สามที่เป็นเรื่องสําคัญในการที่จะช่วยเราตัดสินใจได้ง่ายขึ้น คือ เรื่องที่อุดมการณ์ อุดมการณ์คือภาพใหญ่ที่เราคิดว่าจะทําให้ประเทศไทยเป็นอย่างไร พรรคเราชนะ รักชาติรักแผ่นดินอยากให้บ้านเมืองมั่นคงเข้มแข็ง ให้คนไทยปลอดภัยอยู่อย่างสงบสุข นี่คืออุดมการณ์ของพรรคพลังประชารัฐ เราคิดว่าปัญหาของประเทศ นักการเมืองชอบพูด บางคนบอกว่า อยากเปลี่ยนประเทศ เพราะประเทศมันมีปัญหา วุ่นวายมาก ต้องแก้ที่ต้นตอ ต้นตอนั้นคือต้นไม้ใหญ่ ที่มีรากแก้ว ปกคลุมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น มีร่มเงาของต้นไม้ที่ทําให้คนไทยรักกันสามัคคีกัน เป็นราชอาณาจักรไทยอันเป็นหนึ่งเดียว อยู่ได้ทุกวันนี้ แล้วเราจะเปลี่ยนประเทศแบบเขาทําไม นี่คือเรื่องอุดมการณ์ วันนี้แทนที่จะพูดเรื่องเปลี่ยนประเทศ เรามาเปลี่ยนนักการเมืองเลวๆออกจากระบบดีกว่า พรรคการเมืองไหนที่มันโกงมันทําให้บ้านเมืองฉิบหายแล้วอย่าไปเลือก ในอดีตทําไมไม่พูด พรรคบางพรรคพูดถึงแต่ปัจจุบัน ด่าแต่ทหาร ทําอะไรก็ไม่ดี และนักการเมืองชั่วๆไม่พูดบ้าง บางครั้งนายไม่อยากพูดเรื่องจํานําข้าว เขาบอก เรื่องจำนําข้าว ผมอยู่กับพวกเราที่สิงห์บุรีเป็นชาวนาเยอะ โครงการจํานําข้าวทํามาหลาย10ปี ไม่ใช่เพิ่งมาเคยทำในสมัยรัฐบาลที่แล้ว แต่ทำไปแล้วมีปัญหา มีการโกง มีการทุจริตคอรัปชั่น ผมไม่ได้ใส่ร้าย เพราะมันพิสูจน์แล้วว่ามันโกงจริง แล้วติดคุกกันหมดแล้ว แล้วเขาต้องยกเลิกโครงการไปทําไม่ได้ เพราะมันเสียหายประเทศเป็นหนี้เป็นแสนล้าน มันไม่ได้เลิกเพราะลุงตู่ลุงป้อม บางคนรู้ว่าจำนําข้าวยกเลิกเพราะลุงตู่ลุงป้อมมันไม่ใช่มันยกเลิกเพราะมันโกงกันมันทําบ้านเมืองเสียหายไปแล้วมันเลยทําไม่ได้ วันนี้พรรคจำนำข้าวก็ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ เพราะรู้ว่าทําผิดไปแล้ว ทําพลาดไปแล้วก็ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ โครงการดีๆแบบนี้ที่เคยทําไว้ในอดีตก็เลยไม่มีมาช่วยพี่น้องประชาชน ผมก็ไม่อยากย้อนอดีตพูดให้ฟัง วันนี้ไอ้พรรคการเมืองแบบนี้อยู่ในสภาตอนเป็นรัฐบาลก็โกง เป็นฝ่ายค้านพี่น้องดูข่าวนะ สส. มุกดาหาร เป็นกรรมาธิการงบประมาณ ไปโกง ไปเรียกรับเงิน จากอธิบดีกรมทรัพยากรน้ํา เขาอัดเทป เรียกเงินเขา เรียกสินบน ตอนนี้โดนศาลฎีกาตัดสินแล้ว จําคุก6ปี ก็พรรคนี่แหละ พรรคประชาธิปไตยเรานี่แหละ เป็นฝ่ายรัฐบาลก็โกงเป็นฝ่ายค้านยังโกงได้เลยแล้วรับผิดชอบอะไร พรรครับผิดชอบไหม ด่าแต่คนอื่น ผมไม่เคยพูด ผมทนไม่ไหวต้องบอกพี่น้อง เรามาเลือกการเมือง เราเลือกให้คน เลือกพรรคที่จะมาทํางานให้เรา แล้วดูประวัติดูสิ่งที่เขาทําด้วย เพราะต้นตอของปัญหาทั้งหมดที่ประเทศไทยวุ่นวาย เพราะนักการเมืองมันไม่ดี มันโกง มันทะเลาะกัน ไปหลอกลวงประชาชน พูดจาดราม่าบิดเบือนข้อมูล ทําให้คนเกลียดชังกัน อันนี้มันลามไปถึงลูกกับหลานเราแล้วนะพี่น้องไปดู โทษฟ้าโทษแผ่นดิน โทษทุกอย่าง แต่คนที่พูดไม่เคยดูตัวเองเลย เพราะวันนี้บ้านเมืองมันดีขึ้นได้ด้วยการที่เราเลือกคนดีมาทํางาน แล้วทุกคนก็ตั้งใจทําความดี ทําหน้าที่ตัวเองให้ดี เด็กๆก็ตั้งใจเรียน ผู้ใหญ่ก็ตั้งใจทํามาหากิน ถ้าทุกคนทําหน้าที่ให้ดี ประเทศชาติของเรามันก็เจริญก้าวหน้า แล้วจะมาทะเลาะกันทําไม นี่คือเป้าหมายที่ลุงป้อมพูดมาตลอด ซึ่งบางคนไม่เข้าใจ ก้าวข้ามความขัดแย้ง คืออะไร ก็คือสิ่งนี้เลิกด่ากัน เลิกทะเลาะกัน หลังเลือกตั้ง เรามาคุยกัน ทุกพรรคทุกกลุ่มทุกฝ่าย คุณมีปัญหาอะไรมานั่งคุยกัน เจรจากัน หาทางออกกัน เพราะลุงป้อมเป็นคนใจดี เป็น soft power ประนีประนอม คุยทุกคน ลุงป้อม ตี5ครึ่งเปิดบ้าน ถึง5โมงเย็น รับแขกทุกคน ใครเดือดร้อนจะจังหวัดไหน ฝ่ายไหน กลุ่มไหน ท่านไม่เคยเลือกปฏิบัติ ควรเอาความเดือดร้อนมาคุยกัน แล้วแก้กฎหมาย แก้รัฐธรรมนูญ แก้อะไรก็ตามที่ทําให้บ้านเมืองสงบสุข นี่คือก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่อะไรที่แก้แล้ว พูดแล้ว เปลี่ยนไปแล้วทําให้บ้านเรามีปัญหา ทําให้คนทะเลาะกัน เราก็ก้าวข้ามมันไปก่อน เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าไปได้ เราจะได้ทํางานก้าวข้ามความยากจน ให้ประชาชนอยู่ดี ๆ ให้ได้ นี่คือคอนเซ็ปต์ของการก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะถ้าเราเลือกตั้งไปแล้ว ได้พรรคการเมืองที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ ทําอะไรสุดโต่งเลย เอาแค่เรื่องง่าย ๆ ผมไม่อยากพูดจริง ๆ แก้มาตราร้อยสิบสอง มีหลายเรื่องที่เค้าจะแก้ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร ที่เราเกณฑ์ทหาร เพราะทหารต้องปกป้องดูแลประเทศ สร้างค่านิยม ความเสียสละ ให้กับ ถ้าไม่มีทหารประเทศมีคนรุกรานคุณจะไปรบมั้ย

อย่างไรก็ตามบรรยากาศการปราศรัยเป็นไปอย่างสนุกสนาน มีกองเชียร์ แฟนคลับ พรรคพลังประชารัฐ นายชัยวุฒิ คุณแม่ภรณี และนายโชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ที่ออกมาช่วยกันสร้างสีสัน ด้วยการเต้น เพลงพรรคพลังประชารัฐ และแต่งกาย แฟชั่น สีสันสดใส

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 พฤษภาคม 2566

“ธีระชัย” และ “มล.กรกสิวัฒน์” ชี้ ปัญหาราคาก๊าซหุงต้มตราบาปของนายกฯ ประยุทธ์ ที่ต้องมีการปรับโครงสร้างทั้งระบบ

,

“ธีระชัย” และ “มล.กรกสิวัฒน์” ชี้ ปัญหาราคาก๊าซหุงต้มตราบาปของนายกฯ ประยุทธ์ ที่ต้องมีการปรับโครงสร้างทั้งระบบ

วันนี้ (2 พ.ค.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษากรรมการนโยบายพรรค และ มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมาการนโยบายเศรษฐกิจของพรรค แถลงข่าวความเห็นส่วนตัว ประเด็น “การปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้ม”
มล.กรกสิวัฒน์ กล่าวถึง ก๊าซหุงต้มเป็นทรัพยากรพลังงานของชาติที่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติกลางอ่าวไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพียงพอใช้สำหรับครัวเรือนไทย (โดย ปี 2565 โรงแยกก๊าซผลิตก๊าซหุงต้ม 3 ล้านตัน ขณะที่ครัวเรือนใช้เพียง 2 ล้านตัน เท่านั้น)
รัฐบาลในอดีตจึงกำหนดให้ครัวเรือนเป็นผู้ได้สิทธิใช้ก๊าซหุงต้มที่ผลิตจากก๊าซอ่าวไทยก่อนเป็นอันดับแรก โดยกำหนดราคาขายประชาชนได้ถูกกว่าตลาดโลกเพราะมีต้นทุนการผลิตต่ำ ขณะที่โรงแยกก๊าซเองก็ยังมีกำไรมาโดยตลอด
ในปี 2551 มีผู้แก้กฎด้วยการออกมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ให้บริษัทปิโตรเคมีเพียงบางกลุ่มมีสิทธิ์ใช้ก๊าซอ่าวไทยตัดหน้าประชาชน ก๊าซหุงต้มจะถูกส่งทางท่อจากโรงแยกก๊าซไปยังโรงปิโตรเคมีโดยตรง ทำให้ก๊าซหุงต้มจากอ่าวไทยที่มีอยู่ไม่เพียงพอสำหรับครัวเรือน เป็นการผลักคนไทยให้เป็นผู้แบกรับราคาก๊าซจากแหล่งอื่นที่มีราคาสูง คือ 1) จากขบวนการกลั่นน้ำมันดิบ และ 2) นำเข้าก๊าซหุงต้มสำเร็จรูปจากต่างประเทศ ที่มีราคาสูงสุดเพราะมีค่าโสหุ้ยในการนำเข้า
การสลับให้บริษัทปิโตรเคมีเข้ามาตัดหน้าครัวเรือนนั้น ทำให้คนไทยเดือดร้อนมาจนทุกวันนี้ เป็นเวลานาน 15 ปี โดยอ้างเหตุผลว่า ก๊าซหุงต้มเป็นเหมือนไม้สัก ควรเอาไปทำผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี แต่ราคาที่ปิโตรเคมีจ่ายกลับต่ำกว่าตลาดโลกมาก เรียกได้ว่า ซื้อไม้สักในราคาเศษไม้ ขณะเดียวกันก็ผลักคนไทยไปใช้ก๊าซจากแหล่งอื่นที่แพงกว่า
เรื่องนี้ มีการเตรียมชงผ่าน “คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช)” ในสมัยที่คุณสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี และมาสำเร็จผลในสมัยรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เพียง 2 เดือน หลังจากคุณสมัครพ้นจากตำแหน่ง นับเป็นวิบากกรรมของคนไทยที่ก๊าซหุงต้มที่ผลิตจากอ่าวไทยกลายเป็นผลประโยชน์ของกลุ่มทุนพลังงาน
นายธีระชัย กล่าวต่อว่า น่าเสียดาย ที่นายกฯ ประยุทธ์ นอกจากไม่ได้มีการแก้กติกากลับคืนให้คนไทยได้ใช้ก๊าซจากอ่าวไทยก่อนแล้ว ยังได้มีการเพิ่มตราบาปให้แก่ประชาชน ซ้ำเติมความเดือดร้อนอีกด้วย
วิธีการซ้ำเติม ก็คือมีการปรับสูตรกำหนดราคาก๊าซสำหรับครัวเรือน โดยสมมติว่า โรงกลั่นไทยและโรงแยกก๊าซไปตั้งอยู่ในประเทศซาอุฯ โดยให้บวกค่านำเข้า ค่าประกันภัย และค่าโสหุ้ยในการนำเข้า ทั้งที่ไม่ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อยู่จริง
มีผลให้เกิดผลกำไรเพิ่มขึ้นทันทีต่อกลุ่มทุนพลังงานอย่างเป็นกอรปเป็นกำโดยไม่ต้องแข่งขัน อันเป็นก๊าซซึ่งราคาแพงที่สุด ครัวเรือนก็ย่อมเดือดร้อน ราคาก๊าซขายปลีกพุ่งสูงขึ้นทะลุ 400 บาทต่อถัง ในบางช่วงเวลาขึ้นไปเกินกว่า 500 บาทต่อถัง แต่ใช้กองทุนน้ำมันจำนวนหลายหมื่นล้านมาปกปิดปัญหาไว้ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เคยล่วงรู้เลย
นโยบายนี้ จึงเป็นการเพิ่มตราบาปให้แก่ครัวเรือนหนักขึ้น โดยต้องให้ประชาชนช่วยเหลือกันเอง โดยผู้ใช้น้ำมันช่วยเหลือผู้ใช้ก๊าซหุงต้ม การแก้ปัญหาแบบนี้ จึงมีผลเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มทุนพลังงาน ผมจึงเรียกเล่นๆ ว่า “เฉือนเนื้อคนจน ไปแปะให้คนรวย”
ทั้งนี้ การเปลี่ยนไปยึดโยงกับราคาก๊าซในประเทศซาอุดีอาระเบีย ดำเนินการเป็น 3 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่หนึ่ง ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2557 (ครั้งที่ 147) วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม 2557 โดยพลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการ นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นรัฐมนตรีพลังงาน ยกเลิกเพดานที่คุมราคาก๊าซหุงต้มสำหรับครัวเรือน ซึ่งเดิมกำหนดไว้ 333 ดอลล่าร์ต่อตัน หรือ 10 บาทต่อกิโลกรัม
ขั้นตอนที่สอง ในการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (ซึ่งเป็นคณะกรรมการระดับรองลงมา) ครั้งที่ 5/2558 (ครั้งที่ 5) วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2558 นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นรัฐมนตรีพลังงาน เป็นประธานคณะกรรมการ ขึ้นราคาก๊าซหุงต้มเป็น 498 ดอลล่าร์ต่อตัน หรือ 17 บาทต่อกิโลกรัม หรือขึ้นราคารวดเดียว 70%
ขั้นตอนที่สาม ในการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ครั้งที่ 21/2559 (ครั้งที่ 33) เมื่อวันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2559 โดยพลเอกอนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีพลังงาน เป็นประธานคณะกรรมการ กำหนดให้คนไทยซื้อก๊าซที่ผลิตในประเทศไทยด้วยราคานำเข้าจากซาอุฯ บวกค่าโสหุ้ยเทียม ทั้งค่าขนส่ง ค่านำเข้า ค่าประกัน และค่าสูญเสียระหว่างขนส่งจากซาอุฯ
ตราบาปและมรดกสีดำที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนนี้ ยังคงฝังลึกและดำรงอยู่อย่างมั่นคงอยู่จนถึงวันนี้
แนวทางแก้ปัญหาก๊าซหุงต้มมีดังนี้
1. ยกเลิกการอ้างอิงราคาสมมติว่า โรงแยกก๊าซ และโรงกลั่นไทยตั้งอยู่ในประเทศซาอุดิอาระเบีย เพราะไม่เป็นความจริง เป็นการสร้างภาระให้ประชาชนเกินสมควร สร้างกำไรให้เอกชนอย่างไม่เหมาะสม ไม่เป็นธรรมต่อประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของทรัพยากร
แต่เปลี่ยนไปใช้วิธีกำหนดเพดานแทน โดยใช้ตัวเลขที่ภาคเอกชนมีกำไรพอเหมาะคุ้มกับการลงทุน
2. ยกเลิกมติ กพช ที่ 3/2551 ที่ให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทปิโตรเคมีเพียงบางกลุ่มในการซื้อก๊าซหุงต้มจากอ่าวไทยตัดหน้าประชาชน อันเป็นการคืนสิทธิ ที่ประชาชนมีอยู่แต่เดิมในทรัพยากรให้แก่ประชาชน ก๊าซหุงต้มส่วนที่เหลือขายให้แก่บริษัทปิโตรเคมี และภาคธุรกิจในราคาตลาดโลก
เป็นการสร้างความเป็นธรรมต่อประชาชน และต่อธุรกิจด้วยกันเองอย่างเท่าเทียม เพราะที่ผ่านมามีเพียงปิโตรเคมีกลุ่มเดียวที่ได้รับประโยชน์
3. จัดตั้งองค์กรจัดการทรัพยากรพลังงาน

ให้เป็นผู้มีสิทธิรับซื้อก๊าซที่ผลิตจากอ่าวไทย สิทธิรับซื้อก๊าซที่ผลิตในประเทศเป็นเอกสิทธิของประชาชน จึงต้องให้องค์กรฯ เป็นผู้ทำหน้าที่แทนปวงชนชาวไทย ซึ่งจะมีผลให้ค่าไฟ และค่าก๊าซลดลงได้อย่างถาวร จะช่วยลดต้นทุนการผลิตและการดำรงชีวิตของประชาชน
เพียง 3 มาตรการนี้ จะสามารถปรับโครงสร้างราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มอย่างยั่งยืน เพราะมีผลต่อเนื่องไปในระยะยาว โดยไม่ต้องใช้งบประมาณของรัฐบาล ไม่ต้องเพิ่มหนี้สาธารณะ และไม่ต้องเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันเพื่อไปชดเชยแก่ผู้ใช้ก๊าซหุงต้มอีกต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 พฤษภาคม 2566

พปชร. เตือนสัญญาณเกิดพายุเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบ เสนอรัฐบาลหน้าเตรียมแผนรับมือเร่งด่วน เพื่อสกัดผลกระทบต่อการฟื้นและขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ชี้ต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน พร้อมแก้ไขความเปราะบางภายในประเทศ เสนอทำทันที 3 ภารกิจ 7 ขับเคลื่อน

,

พปชร. เตือนสัญญาณเกิดพายุเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบ เสนอรัฐบาลหน้าเตรียมแผนรับมือเร่งด่วน เพื่อสกัดผลกระทบต่อการฟื้นและขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ชี้ต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน พร้อมแก้ไขความเปราะบางภายในประเทศ เสนอทำทันที 3 ภารกิจ 7 ขับเคลื่อน

วันนี้ (2 พ.ค. 2566) ที่พรรคพลังประชารัฐ นายอุตตม สาวนายน ประธานคณะกรรมการจัดทำนโยบายพรรค พร้อมด้วย นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษาคณะกรรมการจัดทำนโยบายพรรค แถลงข่าวหัวข้อ “รับมือความเสี่ยงพายุเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบ ความท้าทายเร่งด่วนของรัฐบาลหน้า”

จากกรณีสถาบันทางเศรษฐกิจทุกแห่งทั่วโลกต่างคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้ยังชะลอตัว และมีโอกาสที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยจากปัจจัยความเสี่ยงและความท้าทายรอบด้านที่เกิดขึ้นต่อเนื่องและอาจจะรุนแรงมากขึ้น จนกลายเป็นพายุเศรษฐกิจขั้นสมบุรณ์แบบ หรือ Perfect Economic Storm ดังนั้นทีมเศรษฐกิจของพรรคพลังประชารัฐ จึงส่งสัญญาณเตือนให้รัฐบาลหน้า ก้าวข้ามความขัดแย้ง ผลึกกำลัง ร่วมแรงร่วมใจกันฝ่าพายุเศรษฐกิจที่กำลังก่อตัวขึ้น โดยเสนอ 3 ภารกิจ 7 ขับเคลื่อน ที่รัฐบาลหน้าต้องเร่งทำทันที เพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้พลิกฟื้น กระตุ้นเศรษฐกิจให้โตเต็มศักยภาพ พร้อมกับการพลิกโฉมประเทศไทยให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก

นายธีระชัย ได้ฉายภาพที่แสดงให้เห็นปัญหาของเศรษฐกิจโลกว่า จากเดิมเศรษฐกิจโลกขับเคลื่อนด้วยปัจจัย “3 ราคาต่ำ” คือ 1.”ดอกเบี้ยต่ำ” 2.”ราคาสินค้าจากจีนต่ำ” และ 3.”ราคาพลังงานต่ำ” แต่ปัจจุบันปัจจัยเหล่านี้ได้เปลี่ยนไปเป็น “ 3 ราคาแพง” แล้ว และเป็นความเสี่ยงสูงที่จะนำไปสู่พายุเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบในประเทศตะวันตก และส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในที่สุด

“หลายประเทศใช้นโยบายการคลังควบคู่กับนโยบายการเงินอย่างเต็มที่ในช่วงวิกฤติโควิด ที่เรียกว่าเป็นปืนบาซูก้าลำกล้องแฝดนั้น ได้นำไปสู่เงินเฟ้อสูง ทำให้ธนาคารชาติสหรัฐและยุโรปต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้เงินเฟ้อ แต่การขึ้นดอกเบี้ยที่แรงและเร็วอย่างไม่เคยมีมาก่อนดังกล่าว ทำให้ปัญหาที่ซ่อนอยู่ในระบบธนาคารสหรัฐและยุโรปเริ่มปรากฏขึ้น และมีแนวโน้มจะลุกลามต่อไป ดังนั้น ทุกหน่วยงานในประเทศไทยจึงควรคำนึงและเตรียมพร้อมรับมือพายุนี้” นายธีระชัย กล่าว

นอกจากนี้ นายธีระชัยยังเสนอแนะให้มีการเตรียมพร้อม โดยรัฐมนตรีคลังควรมีการประชุมหารือกับธนาคารชาติ สภาอุตสาหกรรมฯ และหอการค้าต่างๆ สม่ำเสมอทุกไตรมาส เพื่อติดตามสถานการณ์ของโลกและเงินทุนไหลเข้าออก นอกจากนี้ จะต้องมีแนวทางแก้ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนและหนี้ของธุรกิจขนาดกลางขนาดเล็ก ซึ่งทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ จะมานำเสนอแถลงข่าวต่อไป

ด้านนายอุตตม กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐได้จัดทำแผนนำประเทศไทยผ่านพ้นพายุเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบ ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 ภารกิจ 7 ขับเคลื่อน โดย 3 ภารกิจหลัก ประกอบด้วย
1.กระตุ้นเศรษฐกิจให้พลิกฟื้นจริงทันที
2.เร่งการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีพลัง เต็มศักยภาพ
3.เร่งรัดสร้างรากฐานการพัฒนา พลิกโฉมประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั่วถึง มีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง

ส่วน 7 ขับเคลื่อน ประกอบด้วย
1.สร้างสวัสดิการประชาชน พัฒนาคนไทยก้าวทันโลก โดยการขยายต่อยอดโครงการประชารัฐ ผ่านโครงการเติมทักษะที่ขับเคลื่อนโดยเครือข่ายศูนย์ประชารัฐพัฒนา ควบคู่การเติมทุน 30,000 บาท ต่อ 1 ผู้ถือบัตรประชารัฐ รวมถึงปรับเพิ่มสวัสดิการดูแลคนไทยทุกช่วงวัย โดยมุ่งลดความเหลื่อมล้ำ ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ไปพร้อมกับการพัฒนาทักษะเพื่อสร้างโอกาส สร้างรายได้ ให้กับประชาชนคนไทย

2.เร่งรัดแก้ไขปัญหาค่าครองชีพ และต้นทุนผุ้ประกอบการที่พุ่งสูงขั้น โดยปฏิรูปโครงสร้างพลังงานของประเทศทันที คืนความยุติธรรมด้านราคาให้ประชาชน ผลักดันไฟฟ้าภาคประชาชน การปลดภาระหนี้สินครบวงจรแบบเบ็ดเสร็จ ปรับโครงสร้างหนี้พร้อมเติมทุนใหม่ โดยสถาบันการเงินรัฐเป็นผู้นำการจัดหาทุนใหม่ให้ผู้ประกอบการ SME เช่น สินเชื่อผ่อนปรน/ดอกเบี้ยตํ่า โดยมีบสย.คํ้าประกันพิเศษ รวมถึงการใช้กลไกกองทุนประชารัฐร่วมทุนกับสตาร์ทอัพ

3.สร้างเศรษฐกิจฐานราก ชุมชนเข้มแข็ง ยกระดับเกษตรมั่งคั่ง เชื่อมโยงการท่องเที่ยวและการผลิตชุมชน โดยจัดทุนให้เกษตรกรครัวเรือนละ 30,000 บาท เพื่อช่วยค่าใช้จ่าย เป็นทุนการผลิต และจัดหาเทคโนโลยีการเกษตร ด้านการท่องเที่ยว มีมาตราการจัดหาสินเชื่อผ่อนปรนให้ผู้ประกอบการเพื่อใช้ซ่อมสร้างสถานที่ประกอบการครบวงจร รวมถึงการเติมเงินให้กองทุนหมู่บ้าน 200,000 บาท เพื่อใช้ลงทุนโครงสร้างพัฒนาในพื้นที่ สร้างงาน เสริมรายได้ ให้คนในชุมชน

4.ผลักดันการลงทุนพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ และโครงสร้างพื้นฐาน ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ (Mega Projects) อาทิ การฟื้น EEC ให้เดินหน้าเต็มศักยภาพ พร้อมพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ทุกภูมิภาค เช่น โครงการอีสานประชารัฐ กระจายความเจริญ และความมั่งคั่งสู่พี่น้องชาวอีสาน การสร้างเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ 6 โครงการ ใน 5 จังหวัดชายแดนใต้ การเร่งสร้าง “รถไฟไทย-จีน” ให้เสร็จสมบูรณ์ การเติมเต็มโครงข่ายดิจิทัล 5G เข้าถึงทุกหมู่บ้าน ขยายต่อยอดพร้อมเพย์ แอปเป๋าตัง เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

5.เร่งลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (National Champions) ยึดโยงโจทย์ระดับโลกกับจุดแข็งของประเทศ อาทิ อุตสาหกรรม BCG อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ต้องสร้างระบบนิเวศน์เกื้อหนุนการลงทุนในเทคโนโลยี นวัตกรรม และพัฒนาทักษะคนไทย เช่น จัดตั้งโครงการแซนด์บ็อกซ์ระดับชาติ (NATIONAL SANDBOX COMMITTEE) การสนับสนุน BOI ออกมาตรการใหม่ให้ดึงดูดเทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่แค่เงินลงทุน

6.เร่งขยายฐานรายได้ของประเทศ ปรับเปลี่ยนระบบงบประมาณ อาทิ การปรับโครงสร้างและขยายฐานภาษีเดิม การพิจารณาภาษีใหม่ เช่นภาษีคาร์บอน/มลพิษ ปรับวิธีจัดเก็บภาษีธุรกรรมออนไลน์จากต่างประเทศให้มีประสิทธิผล เน้นการใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (BIG DATA ANALYTIC) รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี BLOCKCHAIN และ AI

7. เร่งสร้างระบบเตือนภัย ป้องกันและจัดการพายุเศรษฐกิจจากภายนอก โดยจัดตั้งกลไกความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเป็นทางการสม่ำเสมอ ระหว่างหน่วยงานหลักทางเศรษฐกิจทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน สมาพันธ์ SME ไทย เป็นต้น โดยกลไกที่ตั้งขึ้นดังกล่าวจะทำให้สามารถติดตามสถานการณ์ และดำเนินการแก้ปัญหาในทันทีที่เกิดความไม่ปกติทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพและทันท่วงที

นายอุตตม กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้ปัจจุบันจะมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เช่น จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่ม แต่เราไม่ควรวางใจและฝากความหวังไว้กับการท่องเที่ยวและการส่งออกซึ่งก็มีสัญญาณชะลอตัวแล้วเท่านั้น โดยเฉพาะในภาวะที่ปัจจัยเสี่ยงภายนอกมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น รัฐบาลหน้าจะต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ไม่มีเวลามาลองผิดลองถูก ต้องเตรียมพร้อมแผนรับมือความท้าทายต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจกับประชาชนได้ว่า สามารถจัดการดูแลหากผลกระทบจากภายนอกรุนแรงขึ้น รวมทั้งผลักดันให้เศรษฐกิจไทยไม่ถดถอย แต่จะพลิกฟื้นรวดเร็วและขยายตัวได้ต่อเนื่อง สามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส เพื่ออนาคตที่ดีของคนไทยทุกๆคน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 พฤษภาคม 2566

“ศ.ดร.นฤมล”ลุยหาเสียงเขตบางซื่อช่วย” ผู้กองมาร์ค”มั่นใจ ปชช.เลือกคนพื้นที่ รู้ปัญหา ทำงานเป็น เชื่อ คนไทย ยังตัดสินใจเลือกผู้แทนฯจากนโยบายพรรค ไม่ใช่ อนุรักษ์นิยมหรือเสรีนิยม

,

“ศ.ดร.นฤมล”ลุยหาเสียงเขตบางซื่อช่วย” ผู้กองมาร์ค”มั่นใจ ปชช.เลือกคนพื้นที่ รู้ปัญหา ทำงานเป็น เชื่อ คนไทย ยังตัดสินใจเลือกผู้แทนฯจากนโยบายพรรค ไม่ใช่ อนุรักษ์นิยมหรือเสรีนิยม

พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ลงพื้นที่เขตบางซื่อเพื่อช่วย ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช ผู้สมัคร ส.ส.เขตบางซื่อ – ดุสิต กทม. หมายเลข 12 พรรคพลังประชารัฐ เดินรณรงค์หาเสียง โดยได้พบปะประชาชนชุมชนวัดเชิงหวาย เพื่อเยี่ยมชมวิถีชีวิตชาวบ้าน รวมถึงพูดคุยกับพ่อค้า แม่ค้า และประชาชนที่มาจับจ่ายใช้สอยบริเวณตลาดเตาปูน ซึ่งเป็นตลาดที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในเขตบางซื่อ โดยระหว่างการลงพื้นที่ได้ทีแฟนคลับของ ศ.ดร.นฤมล มาขอถ่ายรูปจำนวนมาก พร้อมกับสอบถามถึงนโยบายสวัสดิการผู้สูงอายุ และราคาพลังงานที่พรรคพลังประชารัฐได้ประกาศว่าจะมีนโยบายช่วยเหลือประชาชน

โดย ศ.ดร.นฤมล กล่าวกับประชาชนในพื้นที่ว่า ประชาชนก็สอบถามถึงปัญหาเรื่องค่าครองชีพ ผู้กองมาร์คเดินหน้าหาเสียง
เพื่อสร้างความเข้าใจกับชาวบ้านเกี่ยวกับนโยบายของพรรค พปชร.ซึ่งวันนี้ที่เราลงพื้นที่ได้พบกับผู้สูงอายุจำนวนมากที่พักผ่อนอยู่ที่บ้าน โดยส่วนใหญ่พอใจกับนโนบายของพรรคในเรื่องสวัสดิการผู้สูงอายุ ที่เราจะทำอย่างต่อเนื่องไปตลอดทันทีที่เข้าไปเป็นรัฐบาลบริหารประเทศแน่นอน ไม่ใช่ทำเพียงแค่เดือนเดียวอย่างที่ประชาชนในพื้นที่กังวล

“ช่วงหาเสียงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ในส่วนพื้นที่ กทม.ผู้บริหารพรรคก็แยกกันลงแต่ละพื้นที่เพื่อช่วยผู้สมัครหาเสียง โดยจะต้องเน้นย้ำถึงนโนบายที่เราจะดูแลผู้ประกอบการ ผู้ทำธุรกิจ ซึ่งเรามีชุดนโยบายอยู่แล้วแต่อาจจะไม่ได้ประชาสัมพันธ์มากนัก รวมถึงพ่อค้า แม่ค้า ผู้ประกอบการรายย่อยหรือ sme โดย พรรค พปชร.มีนโยบายที่จะเข้าไปสนับสนุนแหล่งเงินทุนเพื่อที่จะต่อยอดทางธุรกิจได้”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า ผู้บริหารและผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐจะทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติและประชาชนให้ดีที่สุด ซึ่งเราเคารพการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน แต่เราก็หวังว่าจะได้รับความเมตตาให้โอกาสเลือกตัวแทนจากพรรคพลังประชารัฐอย่างน้อยก็ 12 ส.ส.ใน กทม.ซึ่งเป็นจำนวนที่เท่ากับการเลือกตั้งเมื่อปี 62 ก็ต้องขอฝากผู้สมัครคุณภาพของเรา อย่างเช่นในเขตบางซื่อ ก็มีผู้กองมาร์ค ที่อาจจะเคยสังกัดกับพรรคการเมืองอื่น แต่วันนี้เชื่อมั่นในนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงแนวทางของพรรค ทั้งนี้ผู้สมัครของเราพร้อมรับใช้ประชาชนในทุกเขต ทุกพื้นที่ โดยผู้สมัครของเรามีศักยภาพทุกคน และผู้บริหารพรรคก็พร้อมผลักดันให้เกิดขึ้นจริง และพร้อมทำทันที

ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนถึงกรณีการเลือกตั้งในขณะนี้ที่หลายฝ่ายมองว่า เป็นการเลือกแบบแบ่งขั้วทางการเมือง ระหว่างอนุรักษ์นิยม-เสรีนิยม ว่า ตนเชื่อว่าอย่างประชาชนในพื้นที่ กทม.เขาไม่ได้คิดว่าเขาอยู่ฝ่ายไหน ทุกคนไม่ได้อยากถูกตีตราว่าเราอยู่ฝ่ายไหน คำว่าอนุรักษ์นิยม หรือ เสรีประชาธิปไตย น่าจะใช้กับกลุ่มคนที่มีอายุเกิน 55 ปีขึ้นไปแล้ว ที่ยังเชื่อว่าประชาชนถูกตีกรอบและตัดสินเช่นนั้น

“เราเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศยังเลือกผู้สมัครและพรรคการเมืองโดยดูจากอุดมการณ์ที่ว่าเขาจะทำอะไรให้กับพี่น้องประชาชน เขาคงไม่ชอบที่จะมาบอกว่า ให้เขาอยู่ฝ่ายไหน ว่าจะเลือกเพราะอยู่ฝ่ายนั้น ฝ่ายนี้ การตัดสินใจลงคะแนนในคูหานั้น แหม่มยังเชื่อว่า คนไทยจะพิจารณาว่า พรรคการเมืองไหนที่สามารถตอบโจทย์แก้ปัญหาเศรษฐกิจ แก้ปัญหาความไม่มั่นคงหรือไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองได้ เขาก็จะให้โอกาสพรรคนั้น เพราะฉะนั้นพรรคพลังประชารัฐเราก็เดินหน้าในแนวทางนี้ ถ้าเลือกเราสิ่งที่ท่านจะได้ก็คือ การแก้ปัญหา ฟื้นฟูเศรษฐกิจ และได้เสถียรภาพทางการเมือง เพราะถ้าการเมืองนิ่งเศรษฐกิจก็จะสามารถวิ่งไปได้”

ด้าน ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ หรือผู้กองมาร์ค กล่าวถึงความมั่นใจในพื้นที่ว่า ตนลงพื้นที่เขตบางซื่อมากว่า 13 ปี ได้สัมผัสกับชาวบ้าน เราได้ทำกิจกรรมรวมถึงผ่านปัญหาต่าง ๆ มาด้วยกัน ซึ่งตนเกิดและโตที่เขตนี้ เพราะฉะนั้นความผูกพันธ์จากชาวบ้านมีมากอยู่แล้ว อีกทั้งตนเชื่อมั่นว่า ทุกนโยบายของพรรคพลังประชารัฐทำได้จริงและสามารถทำได้ทันที โดยเฉพาะเรื่องนโยบายเกี่ยวกับราคาพลังงาน เพราะถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของประชาชน เนื่องจากหากราคาพลังงานลดลง ก็จะเป็นการลดภาระของประชาชน และธุรกิจต่าง ๆ ก็สามารถเติบโตได้เช่นกัน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 พฤษภาคม 2566

“สกลธี” ลงพื้นที่ชุมชนพลโยธิน24 ชูนโยบายรถEV รับส่งคนไปสถานีรถไฟฟ้า มั่นใจปักธงเขตนี้ได้

,

“สกลธี” ลงพื้นที่ชุมชนพลโยธิน24 ชูนโยบายรถEV รับส่งคนไปสถานีรถไฟฟ้า มั่นใจปักธงเขตนี้ได้

เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2566 นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ลงพื้นที่บริเวณชุมชนซอยพหลโยธิน 24 ร่วมกับ นายรังสรรค์ กียปัจจ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งหมายเลข 7 เขตเลือกตั้งที่ 8 เขตหลักสี่ (ยกเว้นแขวงตลาดบางเขน) เขตจตุจักร (ยกเว้นแขวงจันทรเกษมและแขวงเสนานิคม) เพื่อพบปะพี่น้องประชาชน

นายสกลธี กล่าวว่า การลงพื้นที่ในวันนี้เพื่ออธิบายให้ประชาชนเข้าใจถึงนโยบายสวัสดิการผู้สูงอายุ ‘3-4-5-6-78’ โดยผู้สูงอายุที่อายุ 60 ปีขึ้นไปจะได้รับเบี้ยผู้สูงอายุ 3,000 บาท/เดือน อายุ 70 ปีขึ้นไปจะได้รับ 4,000 บาท/เดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไปจะได้รับ 5,000 บาท/เดือน และนโยบายลดค่าครองชีพ โดยการลดราคาน้ำมันเบนซิน 18 บาทต่อลิตร ลดราคาน้ำมันดีเซล 6.30 บาทต่อลิตร แก๊สหุงต้ม (15 กก.) เหลือถังละ 250 บาท ค่าไฟฟ้าจากราคา 4.77 บาทต่อหน่วย เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย ซึ่งประชาชนหลายคนก็ให้ความสนใจในนโยบายดังกล่าวมาก

นายสกลธี ยังกล่าวอีกว่าบริเวณโซนนี้เป็นศูนย์กลางของการเดินทางและเป็นพื้นที่ประชาชนอยู่กันหนาแน่น อีกทั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าหลายสายทั้งในเขตจตุจักรและเขตหลักสี่ ซึ่งในอนาคตบริเวณตรงนี้ก็จะเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนถ่ายการคมนาคม ดังนั้นทาง พปชร.มีนโยบายที่จะเข้ามาดูแลเรื่องรถรับส่งไฟฟ้า (EV) เพื่อระบายคนไปยังสถานีรถไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น อีกทั้งช่วยลดปริมาณการใช้รถส่วนตัวและปัญหาการจราจรติดขัดอีกด้วย

พื้นที่ตรงนี้ตนมาความคาดหวังอย่างมาก เนื่องจากตรงนี้เป็นเขตเก่าที่เคยเป็น ส.ส. ตอนตนลงผู้ว่าฯ กทม. ก็ได้คะแนนเป็นรองแค่คุณชัชชาติ อีกทั้งผู้สมัครในโซนนี้ทั้ง 2 ท่าน คือนายรังสรรค์และนายอนันตชาติก็มีประสบการณ์และทำงานหนักอยู่ในพื้นที่มาตลอดเกือบ 20 ปี อีกทั้งนโยบายของพรรคที่ตอบโจทย์ประชาชน ก็คิดว่าตรงนี้เรามีโอกาสได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน

ด้าน นายรังสรรค์ กียปัจจ์ ผู้สมัครรับหมายเลข 7 กล่าวว่า ตนมีความมุ่งมั่นและประสบการณ์ในพื้นที่มายาวนาน มั่นใจว่าได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนให้เข้ามาสานต่อพัฒนาพื้นที่เขตนี้ต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 พฤษภาคม 2566

“ลุงป้อม” เพิ่มออฟชั่น ผู้ถือบัตรประชารัฐ 700 บาท ฝึกทักษะผ่านรับทันที 30,000 บาท หวังเสริมแกร่งผู้มีรายได้น้อยมั่นคงในอาชีพ ชูเบอร์ 37 แก้จน-ยกระดับคุณภาพชีวิต-ก้าวข้ามความขัดแย้ง

,

“ลุงป้อม” เพิ่มออฟชั่น ผู้ถือบัตรประชารัฐ 700 บาท ฝึกทักษะผ่านรับทันที 30,000 บาท หวังเสริมแกร่งผู้มีรายได้น้อยมั่นคงในอาชีพ ชูเบอร์ 37 แก้จน-ยกระดับคุณภาพชีวิต-ก้าวข้ามความขัดแย้ง

เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2566 นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคฯ ให้ความสำคัญกับปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนเป็นอย่างยิ่ง และต้องการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศอย่างเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มอัตราการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงการลงทุนผ่านโครงการเมกะโปรเจกต์ ในภูมิภาคต่างๆ ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้กับประชาชนทั่วทั้งประเทศ

ล่าสุด ดรีมทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ ประกาศเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้ถือบัตรประชารัฐ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย โดยนอกจากจะเติมเงินบัตรประชารัฐเป็น 700 บาทต่อเดือน และให้สิทธิผู้ถือบัตรรับประกันชีวิตวงเงิน 200,000 บาท ผู้ถือบัตรประชารัฐ ยังจะได้รับสิทธิเข้ารับการอบรมเสริมทักษะพัฒนาคนไทยให้ก้าวทันโลก และเมื่อผ่านการอบรมเสริมทักษะแล้ว ผู้ถือบัตรประชารัฐจะได้รับทุนเพื่อนำไปประกอบอาชีพ จำนวน 30,000 บาทต่อราย ทั้งนี้ เพื่อสร้างทักษะและสร้างอาชีพที่มั่นคงให้แก่ผู้ถือบัตรประชารัฐ ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มรายได้ให้เพียงพอต่อค่าครองชีพ และหลุดพ้นกับดักความยากจน

“พรรคพลังประชารัฐ เปิดโอกาสให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อย สามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง นอกจากนั้น พรรคพลังประชารัฐ ยังมุ่งเน้นการมอบอุปกรณ์ทำมาหากิน และมอบองค์ความรู้ในการประกอบอาชีพ ให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ผ่านบัตรประชารัฐ เพื่อสร้างทักษะและสร้างอาชีพที่มั่นคง เป็นการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด และที่สำคัญ นโยบายดังกล่าว จะช่วยขจัดปัญหาความยากจนให้กลุ่มผู้ถือบัตรประชารัฐอย่างยั่งยืน” นายชาญกฤชกล่าว พร้อมฝากให้ประชาชนพิจารณาเลือกพรรคพลังประชารัฐ ด้วยการกาเบอร์ 37 ลงบนบัตรเลือกตั้งสีเขียว และเลือกผู้สมัคร ส.ส.พรรคทุกเขตทั่วทั้งประเทศ ผ่านบัตรเลือกตั้งสีม่วง เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย เพื่อก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน​

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 พฤษภาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” ลั่นกลางเวทีปราศรัยจ.ร้อยเอ็ดเลือก พปชร.อีสานต้องเจริญ ย้ำทุกคนจะไม่น้อยหน้าใคร แรงงานต้องรวย มีชีวิตที่ดี มีความมั่นคง

,

“พล.อ.ประวิตร” กราบพระใหญ่ เอาฤกษ์ชัยก่อนขึ้นเวทีอีสาน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสให้พรชนะการเลือกตั้ง

วันที่ 1 พฤษภาคม เวลา 17.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยแกนนำพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ นายทะเบียนพรรค พล.อ.ธัญญา เกียรติสาร กรรมการบริหารพรรค และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ และผู้สมัครส.ส.ทั้ง 8 เขต ประกอบด้วย นายพงศกรณ์ ตั้งกิตติ์ตระกูล เขต 1 เบอร์ 2 นายเอกรัฐ พลซื่อ เขต 2 เบอร์ 8 นางรัชนี พลซื่อ เขต 3 เบอร์ 2 นางกัญจน์พร วงศ์เวไนย เขต 4 เบอร์ 10 นายภาณุวัฒน์ ศิริ เขต 5 เบอร์ 6 นายเฉลิมศักดิ์ แสนปาง เขต 6 เบอร์ 2 นายศราวุธ ศรีนนท์ เขต 7 เบอร์ 5 นายใหม่ เสาวงค์ เขต 8 เบอร์ 8 เดินทางมาที่จังหวัดร้อยเอ็ดเพื่อขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ที่จัดขึ้น ณ หอประชุมสาเกตฮอลล์ อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด โดยบรรยากาศมีประชาชนมารอรับฟังนโยบายแน่นหอประชุม ทั้งภายในและนอกหอประประชุมรวมกว่า 15,000 คน พร้อมชูป้ายและส่งเสียงเชียร์เลือกเบอร์ 37 ดังการตลอดการปราศรัย

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนและพรรคพลังประชารัฐพร้อมจะรับใช้ชาวร้อยเอ็ดทุกคน เราเลือกคนดีและคนเก่งมาเป็นผู้แทนของประชาชน จึงขอให้เลือกผู้สมัครของพลังประชารัฐทั้ง 8 เขต และเลือกพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 บัตรสีเขียว วันนี้ตนอยากให้คนไทยรักกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง และความยากจนไปด้วยกัน ขอให้เชื่อมั่นในพรรคพลังประชารัฐและผู้สมัครทั้ง 8 คนที่ยืนอยู่ตรงนี้

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ พลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมาย ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เพิ่มเป็น 700 บาทต่อเดือน และแถมวงเงินประกันชีวิตอีก 2 แสนบาท ส่วนกองทุนหมู่บ้านที่มีคนบอกว่าจะยุบทิ้ง ผมจะไม่ยุบ และจะเพิ่มให้อีกกองทุนละ 2 แสนบาท

นอกจากนี้ เรายังจะลดราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส และค่าไฟฟ้าลงในทันทีที่เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยจะลดราคาน้ำมันเบนซินลง 18 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลลด 6.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำทันที่พลังประชารัฐได้เข้ามาเป็นรัฐบาล รวมทั้งยังมีมาตรการลดราคาแก๊สให้เหลือ 250 บาทต่อถัง ที่สำคัญ คือ ลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนให้เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย และลดค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมเหลือ 2.70 บาทต่อหน่วย เพื่อมอบความสุขให้ประชาชนด้วยความจริงใจ

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐ ยังมีนโยบายเพิ่มเงินในบัญชีของประชาชนอย่าง สวัสดิการผู้สูงอายุ 3 4 5 และ 6 7 8 โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะได้รับ 3,000 บาท อายุ 70 ปีขึ้นไป จะได้รับ 4,000 บาท และอายุ 80 ปีขึ้นไปจะได้รับ 5,000 บาท รวมไปถึงนโยบาย ‘แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ’ แจกเงินคนท้องเดือนละ 10,000 บาท เป็นเวลา 5 เดือนจนกว่าจะคลอด และเงินช่วยดูแลลูกอีกเดือนละ 3,000 บาท จนถึง 6 ขวบ ซึ่งอีกหนึ่งนโยบายที่สำคัญก็คือ มีเราไม่มีแล้ง มีน้ำไม่มีจน ที่เราได้บริหารจัดการมากกว่าสามปี และเราจะทำต่อไป เช่นเดียวที่ดินกิน ถ้ามีเราก็มีที่ดินทำกิน ไม่มีจน เราจะทำให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศมีที่อยู่ที่อาศัย ที่ประกอบสัมมาวิชาชีพ ทั้งนี้เราจะสนับสนุนเงินให้เกษตรกรทั่วประเทศ จำนวน 30,000 บาท ทั้ง 8 ล้านครอบครัว เพื่อแก้ปัญหาความยากจนด้วย

“พลังประชารัฐจะทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยยกระดับการขนส่งคมนาคม พัฒนาภาคอุตสาหกรรม ควบคู่ไประบบการศึกษาที่สอดคล้องกับการประกอบอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ ด้วยนโยบายอีสานประชารัฐ และในวันที่ 1 พ.ค. ถือเป็นวันแรงงาน พรรค พปชร.มีเป้าหมายในการยกระดับภาคอีสานให้เป็นแหล่งงาน สร้างรายได้ สร้างเศรษฐกิจ เกิดแรงงานใหม่ให้กับในพื้นที่ ลูกหลานคนอีสานจะได้ไม่ต้องย้ายถิ่นฐานออกไปอยู่ที่อื่นหรือกรุงเทพฯ เพื่อประกอบอาชีพ เพราะเราจะผลักดันนโยบายอีสานประชารัฐฯ สู่การพัฒนา สร้างเมืองอีสานให้มีเศรษฐกิจที่สมบูรณ์ และจะเชื่อมโยงระบบขนส่งคมนาคมที่ครอบคลุมทั้งการโดยสารและขนส่งสิงค้า เชื่อมโยงเศรษฐกิจภูมิภาค ต่อไปนี้ชาวอีสานจะไม่น้อยหน้าใคร เราจะดึงดูดนักลงทุนมาลงทุนที่นี่ ดังนั้นแรงงานอีสานต้องรวย มีชีวิตที่ดี มีความมั่นคง ขอให้เลือกพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 ขอให้เชื่อมั่นในพรรคพลังประชารัฐ”

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ตั้งแต่ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐเรามีสาขาภาค 4 ภาค โดยที่ภาคอีสานตั้งอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ตั้งแต่ปี 61 เป็นต้นมา นโยบายบัตรพลังประชารัฐ ตอนนี้ให้อยู่ใบละ 300 ถ้าพลเอกประวิตรได้มาเป็นนายกรัฐมนตรีจะได้เพิ่มเป็นใบละ 700 บาท พร้อมให้ประกันชีวิตเพิ่มอีก 200,000 บาท ถ้าอยากจะได้ทุกอย่าง วันที่ 14 พ.ค.การเลือกตั้งครั้งนี้มีบัตร 2 ใบ บัตรสีม่วงขอให้เลือกผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐทั้ง 8 เขต ส่วนบัตรสีเขียวก็ให้กาเบอร์ 37 พรรคพลังประชารัฐ

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า วันนี้พรรคพลังประชารัฐมาบอกข่าวดีกับพี่น้องประชาชนชาวร้อยเอ็ด ที่เป็นหนี้ทั้งหลาย โดยเราต้องการส่งเสริมข้าวหอมมะลิของพี่น้องชาวจังหวัดร้อยเอ็ด แต่จังหวัดร้อยเอ็ดเป็นจังหวัดที่น่าสงสาร เพราะว่าอยู่นอกเขตชลประทานเยอะมาก ต้องอาศัยเทวดาและกรมฝนหลวง ตอนที่ตนดูแลกรมฝนหลวง ในหน้าดำนาต้องมาทำฝนเทียมให้กับชาวนา และพบว่าปัญหาชาวนามีปัญหา 2 เรื่อง คือ เรื่องสิทธิที่ทำกิน และปัญหาเรื่องน้ำ ซึ่ง พรรค พปชร.จะช่วยเหลือประชาชน ซึ่งนโยบายของ พล.อ.ประวิตร ได้สั่งการให้ผมผลักดันเปลี่ยนที่ สปก.ให้เป็นโฉนด ทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล เราจะทำเรื่องนี้ทันที

“พอเราแก้ปัญหาเรื่องเอกสารสิทธิ์ แก้ปัญหาเรื่องน้ำ เราจะมา แก้ปัญหาให้เกษตรกรทั้ง 8 ล้านครอบครัว มีเกษตรกร 8 ล้านครอบครัวซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ พรรคพลังประชารัฐ หลังจากการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว เราจะเติมเงินให้ครอบครัวละ 30,000 บาท ส่วนเรื่องการดูแลกลุ่มเปราะบางกลุ่มผู้สูงอายุ 3 4 5 และ 6 7 8 โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะได้รับ 3,000 บาท อายุ 70 ปีขึ้นไป จะได้รับ 4,000 บาท และอายุ 80 ปีขึ้นไปจะได้รับ 5,000 บาท นอกจากนี้ยังจะดูแลเรื่องราคาปุ๋ย ให้ลดลงอีก 50 % นี่คือนโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่สามารถจับต้องได้ไม่ต้องรอ”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 พฤษภาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” กราบพระใหญ่ เอาฤกษ์ชัยก่อนขึ้นเวทีอีสาน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสให้พรชนะการเลือกตั้ง

,

“พล.อ.ประวิตร” กราบพระใหญ่ เอาฤกษ์ชัยก่อนขึ้นเวทีอีสาน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสให้พรชนะการเลือกตั้ง

วันที่ 1 พฤษภาคม เวลา 16.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยแกนนำพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ นายทะเบียนพรรค เดินทางมาที่จังหวัดร้อยเอ็ดเพื่อขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ที่จัดขึ้น ณ หอประชุมสาเกตฮอลล์ อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด

โดยก่อนขึ้นเวทีปราศรัย พล.อ.ประวิตร พร้อมด้วยแกนนำ ได้เข้ากราบนมัสการพระครูปริยัติเจติยาภิบาล ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบูรพาภิราม พระอารามหลวง และสักการะพระพุทธรัตนมงคลมหามุนี หรือหลวงพ่อใหญ่ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางประทานพรองค์ยืนที่สูงที่สุดในประเทศไทยเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่คู่เมืองของชาวจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งประดิษฐานอยู่ ที่วัดบูรพาภิราม (วัดพระยืน) อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด

ทั้งนี้ผู้ช่วยเจ้าอาวาสได้ให้พรพล.อ.ประวิตร ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง มีความสุขความเจริญประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง หากใครมาวัดพระยืน จะต้องมาสักการะพระใหญ่เป็นสัญลักษณ์ของ จ.ร้อยเอ็ด และบอกเล่าประวัติความเป็นมาขององค์หลวงพ่อใหญ่ของวัดแห่งนี้ ว่าเป็นพระที่เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ มีประชาชนมากราบสักการะขอพรเยอะมากโดยเฉพาะนักศึกษาซึ่งส่วนใหญ่แล้วล้วนประสบความสำเร็จ ในวันนี้ถ้าปรารถนาอะไรก็ขอให้กราบขอพรจากหลวงพ่อได้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 พฤษภาคม 2566

“ประวิตร” ควง “สนธิรัตน์” ประชุมตัวแทนกองทุนหมู่บ้าน จ.ขอนแก่น ยัน ไม่มีนโยบายยุบ กทบ. ประกาศสานต่อภายใต้กองทุนประชารัฐ พร้อมเพิ่มงบกองทุนละ 2 แสนบาท ภายใต้งบประมาณ 16,000 ล้านบาท

,

“ประวิตร” ควง “สนธิรัตน์” ประชุมตัวแทนกองทุนหมู่บ้าน จ.ขอนแก่น ยัน ไม่มีนโยบายยุบ กทบ. ประกาศสานต่อภายใต้กองทุนประชารัฐ พร้อมเพิ่มงบกองทุนละ 2 แสนบาท ภายใต้งบประมาณ 16,000 ล้านบาท

วันนี้ (30 เมษายน 2566) ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติไคซ์ จ.ขอนแก่น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วยนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ ร่วมประชุมกับคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้าน (กทบ.) จ.ขอนแก่น เพื่อรับฟังปัญหาเรื่องการดำเนินงานและนำเสนอนโยบายพรรคเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินของพี่น้องชาวขอนแก่น

โดยนายสนธิรัตน์ กล่าวแถลงภายหลังการประชุมว่า พล.อ.ประวิตร ได้ยืนยันว่า พรรคพลังประชารัฐ ไม่มีนโยบายที่จะยุบกองทุนหมู่บ้าน ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องยุบ นอกจากนี้ยังมุ่งมั่นที่จะยกระดับโครงการพัฒนากองทุนหมู่บ้านเพื่อสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐโดยจะมีแนวทางสนับสนุนเงินทุนให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองจำนวน 79,610 ภายใต้กองทุนประชารัฐ กองทุนละไม่เกิน 200,000 บาท ภายใต้วงเงินงบประมาณ 16,000 ล้านบาท ระยะเวลาในการเบิก 6 เดือนนับจากที่จัดสรร ภายใต้ 5 วัตถุประสงค์สำคัญ คือ 1. พัฒนา และแก้ไขปัญหา การบริหารจัดการน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค และเพื่อการเกษตร 2. เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร 3. เพื่อเสริมสร้างและส่งเสริมการพัฒนาร้านค้าประชารัฐของกองทุนหมู่บ้าน 4. เพื่อเสริมสร้างพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์กองทุนหมู่บ้าน 5. เพื่อส่งเสริมสนับสนุนระบบขนส่งชุมชนกองทุนหมู่บ้าน และ 6. เพื่อส่งเสริมสนับสนุนอาชีพของเยาวชน ให้เป็นผู้ประกอบการชุมชน

“ผมขอยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมสานต่อโครงการกองทุนหมู่บ้าน เพื่อเป็นที่พึ่งให้กับพี่น้องประชาชนชาวรากหญ้า และเป็นรากฐานการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง อย่างยั่งยืน ผมขอยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐไม่เคยมีนโยบายจะยุบกองทุนหมู่บ้าน มีแต่จะพยายามสนับสนุนให้กองทุนมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 พฤษภาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” ขนทัพ พปชร. เยือนถิ่นอีสานเปิดเวทีปราศรัยใหญ่จ.ขอนแก่น ประกาศไม่ยุบกองทุนหมู่บ้าน พร้อมเพิ่มเงินให้กองทุนละ 2 แสนบาท ชูนโยบายสร้างประโยชน์ให้ชาวอีสานก้าวสู่เมืองอุตสาหกรรมทันสมัย

,

“พล.อ.ประวิตร” ขนทัพ พปชร. เยือนถิ่นอีสานเปิดเวทีปราศรัยใหญ่จ.ขอนแก่น ประกาศไม่ยุบกองทุนหมู่บ้าน
พร้อมเพิ่มเงินให้กองทุนละ 2 แสนบาท ชูนโยบายสร้างประโยชน์ให้ชาวอีสานก้าวสู่เมืองอุตสาหกรรมทันสมัย

วันที่ 30 เมษายน เวลา 18.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วยแกนนำ นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ นายทะเบียนพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานแผนยุทธศาสตร์การเมือง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ เดินทางมาที่จังหวัดขอนแก่นเพื่อขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่พบปะประชาชนชาวอีสาน พร้อมเปิดตัวผู้สมัครทั้ง 11 เขตของพรรค ประกอบด้วย ดร.อัษฎางค์ แสวงการ เขต 1 เบอร์ 2 ดร.พัฒนา นุศรีอัน เขต 2 เบอร์ 2 นายปัญญา ศรีปัญญา เขต 3 เบอร์ 2 นายณรงค์เลิศ สุรพล เขต 4 เบอร์ 1 นายสมใจ ชาญจระเข้ เขต 5 เบอร์ 10 นายสำราญ ศรีภา เขต 6 เบอร์ 7 นายสมศักดิ์ คุณเงิน เขต 7 เบอร์ 4 นพ.กันณพงศ์ อัครไชยพงศ์ เขต 8 เบอร์ 10 นายพิพัฒน์พงศ์ พรหมนอก เขต 9 เบอร์ 2 นายบัลลังก์ อรรณนพพร เขต 10 เบอร์ 2 และ ร.อ.สมรักษ์ คำสิงห์ เขต 11 เบอร์ 3 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติไคซ์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยบรรยากาศมีประชาชนชาวอีสานมารอต้อนรับฟังการปราศรัยรวมกว่า 11,000 คน

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนและพรรคพลังประชารัฐพร้อมจะรับใช้ชาวขอนแก่นทุกคน เราเลือกคนดีและคนเก่งมาเป็นผู้แทนของประชาชน จึงขอให้เลือกผู้สมัครของพลังประชารัฐทั้ง 11 เขต และเลือกพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 บัตรสีเขียว วันนี้ตนอยากให้คนไทยรักกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง และความยากจนไปด้วยกัน ขอให้เชื่อมั่นในพรรคพลังประชารัฐและผู้สมัครทั้ง 11 คนที่ยืนอยู่ตรงนี้

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ พลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมาย ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เพิ่มเป็น 700 บาทต่อเดือน และแถมวงเงินประกันชีวิตอีก 2 แสนบาท ส่วนกองทุนหมู่บ้านที่มีคนบอกว่าจะยุบทิ้ง ผมจะไม่ยุบ และจะเพิ่มให้อีกกองทุนละ 2 แสนบาท

นอกจากนี้ เรายังจะลดราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส และค่าไฟฟ้าลงในทันทีที่เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยจะลดราคาน้ำมันเบนซินลง 18 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลลด 6.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำทันที่พลังประชารัฐได้เข้ามาเป็นรัฐบาล รวมทั้งยังมีมาตรการลดราคาแก๊สให้เหลือ 250 บาทต่อถัง ที่สำคัญ คือ ลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนให้เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย และลดค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมเหลือ 2.70 บาทต่อหน่วย เพื่อมอบความสุขให้ประชาชนด้วยความจริงใจ

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐ ยังมีนโยบายเพิ่มเงินในบัญชีของประชาชนอย่าง สวัสดิการผู้สูงอายุ 3 4 5 และ 6 7 8 โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะได้รับ 3,000 บาท อายุ 70 ปีขึ้นไป จะได้รับ 4,000 บาท และอายุ 80 ปีขึ้นไปจะได้รับ 5,000 บาท รวมไปถึงนโยบาย ‘แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ’ แจกเงินคนท้องเดือนละ 10,000 บาท เป็นเวลา 5 เดือนจนกว่าจะคลอด และเงินช่วยดูแลลูกอีกเดือนละ 3,000 บาท จนถึง 6 ขวบ ซึ่งอีกหนึ่งนโยบายที่สำคัญก็คือ มีเราไม่มีแล้ง มีน้ำไม่มีจน ที่เราได้บริหารจัดการมากกว่าสามปี และเราจะทำต่อไป เช่นเดียวที่ดินทำกิน ถ้ามีเราก็มีที่ดินทำกิน ไม่มีจน เราจะทำให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศมีที่อยู่ที่อาศัย ที่ประกอบสัมมาวิชาชีพ ทั้งนี้เราจะสนับสนุนเงินให้เกษตรกรทั่วประเทศ จำนวน 30,000 บาท ทั้ง 8 ล้านครอบครัว เพื่อแก้ปัญหาความยากจนด้วย

“พลังประชารัฐจะทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยยกระดับการขนส่งคมนาคม พัฒนาภาคอุตสาหกรรม ควบคู่ไปกับระบบการศึกษาที่สอดคล้องกับการประกอบอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ ด้วยนโยบายอีสานประชารัฐ เราจะพัฒนาภาคอีสานและภาคตะวันออกให้เป็นรถไฟทางคู่ จาก จ.บึงกาฬ – ท่าเรือแหลมฉบัง – ท่าเรือมาบตาพุด – สนามบินอู่ตะเภา จ.ระยอง โดยเป็นการพัฒนาพื้นที่ได้ 24 จังหวัด ในภาคอีสาน และภาคตะวันออก สอดรับกับโครงการอีอีซี โดยทางรถไฟจะผ่าน 13 จังหวัด ได้แก่ จังหวัด บึงกาฬ อุดรธานี สกลนคร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ บุรีรัมย์ นครราชสีมา สระแก้ว ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และยังเชื่อมต่อ 11 จังหวัดได้แก่ จังหวัดหนองคาย ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร ศรีษะเกษ มหาสารคาม และหนองบัวลำภู ระยะทางรวมประมาณ 480 กม. โดยเราจะสร้างเมื่อเราได้เป็นรัฐบาล ซึ่งเราสำรวจเส้นทางกันมาเรียบร้อยแล้ว”

ด้านนายวิรัช กล่าวปราศรัยว่า นโยบายของพรรคพลังประชารัฐมุ่งเน้นไปที่การ ช่วยให้พี่น้องประชาชนผลจากความยากจนรวมถึงต้องการแบ่งเบาภาระ ค่าครองชีพในการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น การลดราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส และค่าไฟฟ้าลงในทันทีที่เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยจะลดราคาน้ำมันเบนซินลง 18 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลลด 6.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำทันที่พลังประชารัฐได้เข้ามาเป็นรัฐบาล รวมทั้งยังมีมาตรการลดราคาแก๊สให้เหลือ 250 บาทต่อถัง ที่สำคัญ คือ ลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนให้เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย และลดค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมเหลือ 2.70 บาทต่อหน่วย รวมถึงบัตรประชารัฐ 700 บาทต่อเดือนด้วย นโยบายดีเช่นนี้ เราจะไม่เลือกได้หรือ ทันทีที่เราเข้าไปเป็นรัฐบาล เราจะก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน

ด้าน ร.อ.ธรรมนัส กล่าวปราศรัยว่า วันนี้คนไทยโดยเฉพาะชาวบ้านฐานรากประสบปัญหากันถ้วนหน้าไม่ว่าจะเป็นหนี้กองทุนหมู่บ้าน หนี้ ธกส.เช่นเดียวกับชาวขอนแก่นที่อยู่ที่นี่ ตนรู้ถึงปัญหาดี เนื่องจากช่วงที่ตนปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตนลงมาพื้นที่จังหวัดขอนแก่นอยู่เป็นประจำ เพื่อมาแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ เรื่องที่ดินทำกิน รวมไปถึงการส่งเสริมอาชีพ และครอบครัวพลังประชารัฐทุกคนต่างก็มีความสุขที่ได้มาเยือนจังหวัดขอนแก่นพบกับพี่น้องประชาชนอีกครั้ง

“วันนี้ผมมีข่าวดีมาบอกพี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศ ทั้ง 8 ล้านครอบครัว เพราะ พปชร.ออกโยบายเพื่อแก้ปัญหาความยากจน ต้องการช่วยเหลือเกษตกรทุกครัวเรือน ทันทีที่จัดตั้วรัฐบาลเสร็จ พปชร พร้อมทำทันทีต่อทุนให้เกษตรกรครอบครัวละจำนวน 30,000 บาท”

ด้าน ศ.ดร.นฤมล กล่าวปราศรัยว่า เราให้ความสำคัญกับชาวอีสานด้วยการออกนโยบายอีสานประชารัฐ ที่เราจะทำให้ภาคอีสานเจริญ เกิดการลงทุน ไม่ใช่ทำแต่การเกษตรอย่างเดียว อีสานจะต้องมีอุตสาหกรรมทันสมัยเกิดขึ้น อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป และที่สำคัญเฉพาะตัวเมืองขอนแก่นนี้ พล.อ.ประวิตรต้องการให้เกิดเมืองอัจฉริยะ เป็นต้นแบบของภาคอีสาน เพราะขอนแก่นมีความพร้อมในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน ภูมิศาสตร์ และบุคลากร เพราะมีคนที่มีความรู้ ความสามารถในจังหวัดขอนแก่นจำนวนมาก

“พรรคพลังประชารัฐจะทำให้ขอนแก่นเป็นเมืองอัจฉริยะเพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ นำไปสู่การแก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน วันที่ 14 พ.ค.การเลือกตั้งครั้งนี้มีบัตร 2 ใบ บัตรสีม่วงขอให้เลือกผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐทั้ง 11 เขต ส่วนบัตรสีเขียวก็ให้กาเบอร์ 37 พรรคพลังประชารัฐ แล้วเราจะก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน”

ในส่วนผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ อาทิ นายสมศักดิ์ คุณเงิน ผู้สมัคร ส.ส.จ.ขอนแก่น เขต 7 เบอร์ 4 กล่าวปราศรัยว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคเดียวที่ดูแลพี่น้องชาวอีสานมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบริหารจัดการน้ำมาตลอด 4 ปีของพล.อ.ประวิตร ทำให้สามารถแก้ปัญหาน้ำแล้งให้เกษตรกรชาวอีสาน จนสามารถปลูกข้าวได้ตลอดทั้งปี ส่งผลให้ชีวิตของพวกเราดีขึ้น หนี้สินลดลง

“การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐยังให้ความสำคัญกับชาวอีสานเช่นเดิม ด้วยการกำหนดให้ปัญหาเรื่องน้ำเป็นนโยบายหลักของพรรค “มีเราไม่มีแล้ง มีน้ำไม่มีจน”จะทำต่อไป เช่นเดียวที่ดินทำกิน ถ้ามีเราก็มีที่ดินทำกิน ไม่มีจน ท่านจะทำให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศมีที่อยู่ที่อาศัย ที่ประกอบสัมมาวิชาชีพ ทั้งนี้เราจะสนับสนุนเงินให้เกษตรกรทั่วประเทศ จำนวน 30,000 บาท ทั้ง 8 ล้านครอบครัว เพื่อแก้ปัญหาความยากจนด้วย ถ้าพี่น้องอยากมีชีวิตที่กินดี อยู่ดี ไม่ต้องลำบากเหมือนที่ผ่านมา ก็ขอให้เลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 30 เมษายน 2566

“พล.อ. ประวิตร” ถวายบายศรีปิดทองศาลหลักเมืองขอนแก่น ก่อนขึ้นปราศรัยใหญ่พบปะชาวอีสาน

,

“พล.อ. ประวิตร” ถวายบายศรีปิดทองศาลหลักเมืองขอนแก่น ก่อนขึ้นปราศรัยใหญ่พบปะชาวอีสาน

วันที่ 30 เมษายน เวลา 16.19 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยแกนนำพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ นายทะเบียนพรรคเดินทางมาที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อเปิดเวทีปราศรัยใหญ่พบปะชาวอีสาน ได้เข้าสักการะ “ศาลหลักเมืองขอนแก่น” ซึ่งพร้อมถวายบายศรีทั้ง 4 ทิศโดยมีผู้ทำพิธีนำภาวนาให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และจากนั้นได้ทำพิธิปิดทองศาลหลักเมืองเพื่อความเป็น ศิริมงคล เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวขอนแก่น ที่มีการก่อสร้างโดยนำเอาวัฒนธรรมจีนและไทยมารวมกันและส่วนประกอบงานศิลป์เป็นการอนุรักษ์งานสถาปัตยกรรมที่สำคัญของ ท้องถิ่นอีสาน คนจีนเรียกว่า “ศาลหลักเมืองกง” ส่วนคนไทยเรียกว่า “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง” ประดิษฐานอยู่ที่ศาลาสุขใจ ใจกลางเมือง จ.ขอนแก่น ก่อนเดินทาง เข้าร่วมประชุมกองทุนหมู่บ้านชาวจังหวัดขอนแก่นและขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ

โดยก่อนเดินทางออกจากศาลหลักเมือง พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเกี่ยวกับประเด็นการจับมือกับพรรคการเมืองอื่นๆ เพื่อจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.ประวิตร กล่าวว่าพรรคพลังประชารัฐยังไม่มีสูตรเรื่องนี้ เมื่อสื่อมวลชนถามยํ้าว่าแสดงว่ารอหลังเลือกตั้งอย่างเดียวใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ใช่ครับ”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 30 เมษายน 2566

“สกลธี” ชู Soft Powre ชุมชน ดึงนักท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก

,

“สกลธี” ชู Soft Powre ชุมชน ดึงนักท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก

​เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2566 นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ และหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ ของพรรคฯ ได้ลงพื้นที่ตลาดสดพัฒนาการ เขตประเวศ และชุมชนทับช้างคลองบน ค่ายมวยไชยา บ้านช่างไทย เขตสะพานสูง กรุงเทพฯ ร่วมกับ น.ส.แพรว กิจสุวรรณ ผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 21 (ประเวศ-สะพานสูง) หมายเลข 2 เพื่อพบปะประชาชน
​ก่อนลงพื้นที่ นายสกลธีกล่าวถึงกรณีที่มีคลิปการแจกเงินซื้อเสียงที่จังหวัดนครราชสีมาว่า ต้องใช้วิจารณญาณว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ที่จะมีการทุจริต แต่คนทำผิดกลับสวมเสื้อพรรคยืนแจกเงินพร้อมแนบป้ายหาเสียงอยู่ชัดเจนให้คนถ่ายคลิปง่ายๆ ซึ่งเรื่องนี้ยังมีสื่อวิเคราะห์ไว้ว่าน่าจะเป็นการกลั่นแกล้งใส่ร้ายจากพรรคการเมืองคู่แข่ง ตนจึงอยากให้ กกต.เข้ามาดูแลป้องกันการใช้วิชามารแบบนี้โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการแข่งขันกันสูง ในส่วนของพรรคฯ และผู้สมัครก็ได้แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการแจ้งความให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบแล้ว
​จากนั้นนายสกลธี และ น.ส.แพรว ได้ลงพื้นที่ตลาดสดพัฒนาการ โดย น.ส.แพรวกล่าวว่า ได้รับการตอบรับอย่างดีจากทั้งพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนที่มาจับจ่ายใช้สอย เพราะชุดนโยบายด้านเศรษฐกิจปากท้องของพรรคพลังรัฐตอบโจทย์เรื่องการลดค่าครองชีพ-เพิ่มเงินในกระเป๋า ทั้งการลดค่าไฟฟ้าค่าแก๊ส ลดค่าน้ำมัน รวมไปถึงการเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ ที่จะทำให้ทุกคนมีเงินมาทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์มากขึ้น
​ด้านนายสกลธีกล่าวว่า นอกเหนือจากการช่วยเหลือเรื่องปากท้องซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนการ การสร้างย่านเศรษฐกิจใหม่ๆ ในกรุงเทพ ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเริ่มทำทันที โดยเฉลี่ยแล้วนักท่องเที่ยวจะเข้ามาอยู่ในกรุงเทพนานประมาณ 4 วัน หากเราสร้างแหล่งท่องเที่ยวชุมชนที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจเพิ่มเติม ก็จะยืดระยะเวลาการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติให้นานขึ้น เกิดการใช้จ่ายมากขึ้น และสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตั้งแต่ฐานราก เช่นในเขตสะพานสูง มีชุมชนทับช้างคลองบนเป็นชุมชนเก่าแก่ที่ชาวบ้านมีวิถีชีวิตการจับปลาด้วยการใช้ยอ สามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมได้ และยังสามารถพัฒนาการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากปลาเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า ซึ่งทั้งรัฐบาลและท้องถิ่นต้องช่วยกัน โดยใช้เงินจากกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาท มาทำตรงนี้
​จากนั้นนายสกลธีได้ร่วมต่อยมวยที่ค่ายมวยไชยา บ้านช่างไทย โดยนายสกลธีกล่าวว่า มวยเป็น Soft Power ที่มีพลังของประเทศไทยอยู่แล้ว โดยเฉพาะมวยไชยาที่มีเอกลักษณ์พิเศษ หากได้รับการส่งเสริมที่ถูกต้องก็จะสามารถสร้างรายได้ให้ชุมชนได้มากขึ้นไปอีก จึงอยากจะขอโอกาสให้คนรุ่นใหม่อย่าง น.ส.แพรว หมายเลข 2 เข้ามาช่วยทำงานนี้ เพราะเป็นคนพื้นที่ตั้งแต่เกิด รู้คุณค่าของศิลปวัฒนธรรมในเขตประเวศ เขตสะพานสูงที่สามารถนำไปต่อยอดสร้างรายได้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 30 เมษายน 2566