โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: ข่าวกิจกรรม

“สนธิรัตน์” ลุยเวทีดีเบตเมืองย่าโม โชว์แก้ปัญหาระบบสาธารณสุขไทยครบวงจร ใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลพี่น้องประชาชน

,

“สนธิรัตน์” ลุยเวทีดีเบตเมืองย่าโม โชว์แก้ปัญหาระบบสาธารณสุขไทยครบวงจร ใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลพี่น้องประชาชน

วันที่ 18 เม.ย. 2566 ที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี จ.นครราชสีมา นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ ร่วมเวทีดีเบต “เลือกตั้ง 66 #วาระคนไทย” ในหัวข้อเรื่องระบบสาธารณสุข ซึ่งจัดขึ้นโดยช่อง 7 HD ซึ่งคำถามแรกเป็นเรื่องของการรักษาในระบบโรงพยาบาลรัฐที่บางครั้งมีการวินิจฉัยโรคผิด มีการจองคิวยาว พรรคมีวิธีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไร โดยนายสนธิรัตน์ ได้ตอบคำถามว่า หากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล และได้ดูแลกระทรวงสาธารณสุข อย่างแรกคือต้องแก้ระบบสาธารณสุข โดยใช้เครื่องมือที่มีอยู่แล้ว เช่น ต้องผลักดันให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพ.สต.) เป็นโรงพยาบาลหน้าบ้านของประชาชน ให้มีคุณภาพที่สูงขึ้น พี่น้องไม่ต้องลำบากนั่งรถไปหาหมอไกลๆ และขอเงินค่ารถจากใคร ใช้ รพ.สต. รองรับเรื่องสุขภาพของประชาชน ผ่านเครื่องมือ Telemedicine และ Telepharmacy หมอและคนไข้อยู่ที่ไหนก็สามารถรักษาได้ ให้บริการทัดเทียมกัน

นอกจากนี้ที่พรรคพลังประชารัฐได้ทำสำเร็จมาแล้ว คือการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของประชาชนทั่วประเทศ หากประชาชนประสบอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วย สามารถให้หมอเข้าถึงข้อมูลแล้วรักษาพี่น้องได้ทันที ท้ายสุดต้องยกระดับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ด้วยการส่งเสริมความรู้ ทุนการศึกษาให้สามารถดูแลประชากรในพื้นที่ รวมทั้งเพิ่มจำนวนของอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่น เพื่อดูแลผู้สูงอายุติดเตียงและติดบ้าน ขอย้ำว่า พรรคพลังประชารัฐไม่ได้คิดจากความฝัน แต่คิดจากสิ่งที่มีอยู่ และคิดจากสิ่งที่ทำอยู่แล้ว และจะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น เมื่อได้รับโอกาสเป็นรัฐบาลในสมัยหน้า

จากนั้นนายสนธิรัตน์ ได้ตอบคำถามเรื่องกรณีที่มีคนดังจัดงานระดมทุนซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ จนสังคมตั้งคำถามว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลหรือไม่ หากพรรคของท่านเป็นรัฐบาลจะแก้ปัญหานี้อย่างไร นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เรื่องนี้แบ่งเป็น 2 มิติ มิติแรกคือคนไทยเป็นคนมีจิตใจกุศล มีใจช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เราเห็นด้วย อย่ามองเป็นเรื่องลบอย่างเดียว แต่อีกมิติคือการแก้ไขปัญหาของคนที่เข้ามาเป็นรัฐบาล สาเหตุหนึ่งเกิดจากการจัดการงบประมาณ ปัญหางบประมาณไม่เพียงพอเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งงบที่เสียไปกับบุคลากร งบค่าน้ำ ค่าไฟ และงบสร้างสิ่งปลูกสร้าง เป็นต้น ซึ่งต้องเร่งแก้ไข รวมถึงต้องขจัดเรื่องคอร์รัปชั่นในหน่วยงาน ทั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐสามารถจัดการได้ด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ยกตัวอย่างการจองคิวหาหมอ ให้จองคิวผ่านมือถือ ช่วยลดคนแจกบัตรคิว ลดคนจองคิว นอกจากนี้ ต้องปฏิรูปโดยใช้คนป่วยเป็นศูนย์กลางการรักษาพยาบาลโดยใช้เทคโนโลยี ใช้ รพ.สต. และอสม.เข้ามาช่วย สิ่งเหล่านี้จะช่วยกระจายปัญหาไปข้างนอก ลดความเหลื่อมล้ำในมิติสุขภาพ พร้อมทั้งต้องสร้างแรงจูงใจให้กับพี่น้องประชาชนในการดูแลตัวเอง มีการกระจายเครื่องมือดูแลสุขภาพ และเครื่องมือสาธารณสุขให้เข้าถึงประชาชน เพื่อป้องกันก่อนป่วย และลดภาระทางงบประมาณของรัฐบาลในระยะยาว

นายสนธิรัตน์ ยังได้ตอบคำถามถึงการประเมินเก้าอี้ ส.ส. ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคพลังประชารัฐได้ที่นั่งจาก จ.นครราชสีมา 6 ที่นั่ง ถือเป็นความกรุณาของชาวโคราช ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐมุ่งหวังว่าขอรักษาอย่างน้อย 6 ที่นั่ง แต่จะได้มากหรือน้อยกว่านี้อยู่ที่พี่น้องชาวโคราช จึงขอฝากพี่น้องชาวโคราชได้เลือกพรรคพลังประชารัฐ ไปก้าวความขัดแย้ง ก้าวพ้นความยากจน และลดความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งเพื่อแก้ไขปัญหาสาธารณสุขไทย เพื่อให้สามารถดูแลพี่น้องได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียมและครบวงจร

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 เมษายน 2566

พล.อ. ประวิตร อวยพรสงกรานต์ 2566 ขอประชาชนมีความสุข พ้นทุกข์ รับปีใหม่ไทย ชูความสำคัญ “วันผู้สูงอายุ – วันครอบครัว” ผ่านนโยบาย พปชร. พร้อมร่วมส่งคนไทยกลับภูมิลำเนาโดยสวัสดิภาพ

,

พล.อ. ประวิตร อวยพรสงกรานต์ 2566 ขอประชาชนมีความสุข พ้นทุกข์ รับปีใหม่ไทย ชูความสำคัญ “วันผู้สูงอายุ – วันครอบครัว” ผ่านนโยบาย พปชร. พร้อมร่วมส่งคนไทยกลับภูมิลำเนาโดยสวัสดิภาพ

นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า เนื่องในเทศกาลวันสงกรานต์ ปี 2566 ซึ่งตรงกับช่วงวันที่ 13-15 เมษายน ของทุกปี ถือเป็นเทศกาลปีใหม่ไทย ที่หลายคนนิยมเดินทางกลับภูมิลำเนา เพื่อรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ตามประเพณีอันดีงามของไทย ที่สืบทอดมาแต่อดีตกาลจนเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของชาติที่ยังปฏิบัติสืบทอดมาอย่างมั่นคง

ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ไทย เทศกาลสงกรานต์ ปี 2566 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคพลังประชารัฐ ได้ส่งความปรารถนาดีไปยังพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน โดยขอให้ร่วมกันทำสิ่งดีๆ เพื่อเป็นมงคลต่อชีวิต และเป็นการเริ่มต้นสิ่งใหม่ ดูแลรักษาสุขภาพ และเดินทางกลับภูมิลำเนาโดยสวัสดิภาพ พร้อมอวยพรปีใหม่ไทย ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ดลบันดาลให้ประชาชนชาวไทยประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ มีกำลังใจและกำลังสติปัญญาที่เข้มแข็ง มีความเจริญรุ่งเรืองทั้งในชีวิต หน้าที่การงานและในครอบครัว ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ตลอดจนประสบความสำเร็จตามความปรารถนาทุกประการตลอดไป

นายชาญกฤช ยังเปิดเผยด้วยว่า นอกจากวันที่ 13 เมษายน จะเป็นวันมหาสงกรานต์ ที่ประชาชนได้ร่วมกันทำกิจกรรมทางศาสนาและขอพรญาติผู้ใหญ่แล้ว ยังเป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันที่ 14 เมษายน จะเป็นวันครอบครัว โอกาสนี้ พล.อ.ประวิตร ยังได้ส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีไปยังผู้สูงอายุทุกคน ตลอดจนประชาชนชาวไทยทุกครอบครัว ให้มีความอบอุ่น เข้มแข็ง รักใคร่กลมเกลียว แสดงความเคารพกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เพื่อส่งเสริมความรักความผูกพันในครอบครัวให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น อันเป็นจุดแข็งของสังคมไทย เพราะครอบครัวถือเป็นสถาบันแรกของทุกคน โดยที่พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงวัย ด้วยการเพิ่มเบี้ยยังชีพแบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี 3,000-5,000 บาทต่อเดือน รวมถึงนโยบายแม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ ดูแลแม่ตั้งครรภ์ เดือนที่ 5-9 เดือนละ 10,000 บาท และดูแลเด็กแรกเกิดถึง 6 ขวบ เดือนละ 3,000 บาท พร้อมฝากให้ประชาชนพิจารณาเลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 และเลือกผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคทุกเขตทั่วทั้งประเทศ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย เพื่อก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 เมษายน 2566

“ร.อ.ธรรมนัส-วิรัช”นำ ผู้สมัคร ส.ส.นครปฐม เปิดเวทีปราศรัย ชู นโยบายบัตรประชารัฐ-เบี้ยผู้สูงอายุ ลั่น พร้อมก้าวข้ามความขัดแย้ง มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มเปราะบาง

,

“ร.อ.ธรรมนัส-วิรัช”นำ ผู้สมัคร ส.ส.นครปฐม เปิดเวทีปราศรัย ชู นโยบายบัตรประชารัฐ-เบี้ยผู้สูงอายุ ลั่น พร้อมก้าวข้ามความขัดแย้ง มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มเปราะบาง

เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2566 เวลา 17.30 น.ณ ลานสนามหน้าอำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้จัดเวทีปราศรัย นำโดย นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค , ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคเหนือ ร่วมขึ้นปราศรัยนโยบายพรรค พร้อมผู้สมัคร ส.ส.นครปฐมประกอบด้วย เขต 1 นายมารุต บุญมี เบอร์ 8,เขต 2. นายรัฐกร เจนกิจณรงค์ เบอร์ 9,เขต 3. นายศิรวริศ สวนแก้ว เบอร์ 6,เขต 4. นายณัฐวัฒน์ ชั้นอินทร์งาม เบอร์ 8,เขต 5. นายจักรพงษ์ ทิมมณี เบอร์5 และเขต 6. นายมนตรี บุญประคอง เบอร์ 5

โดยนายวิรัช กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า พรรคพลังประชารัฐอยากได้ ส.ส.ของจังหวัดนครปฐมที่เราจะไปอยู่เป็นรัฐบาลด้วยกัน เมื่อการเลือกตั้งปี 62 ที่ผ่านมา ผู้แทนของชาวนครปฐมมีแต่ฝ่ายค้านมากกว่ารัฐบาล วันนี้ตนไม่โกรธเลยที่หลายคนย้ายไปอยู่พรรคการเมืองต่าง ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเป็นฝ่ายรัฐบาล เพราะฉะนั้นครั้งนี้ ขอให้ทุกคนเลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 ถ้าถามว่าทำไมต้องเลือก ก็เพราะว่านโยบายของเราในครั้งนี้ดีขึ้นกว่าเดิม อย่างเช่น บัตรประชารัฐครั้งที่แล้วให้ประชาชน 300 บาท แต่ครั้งนี้จะเพิ่มเป็น 700 บาท ซึ่งโครงการบัตรประชารัฐ ถูกตั้งคำถามอย่างมาก เมื่อตอนเปิดตัวออกมาว่าจะใช้ได้นานหรือไม่ แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่า เราสามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนมาได้ถึง 4 ปี

“ถ้าพี่น้องติดใจ ถูกใจบัตรประชารัฐ หลายคนบอกว่าขาดบัตรนี่ไม่ได้แล้ว ช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาได้อยู่ได้กินก็ขอบัตรนี้ โดยวันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ บอกว่า 300 บาทไม่พอ ขอเพิ่มให้เป็น 700 บาท ในพื้นที่จังหวัดนครปฐมมีผู้ได้รับสิทธิบัตรประชารัฐ 300,000 คน ถ้าพี่น้องช่วยกันเลือกภายใน 6 เขต พรรคพลังประชารัฐจะได้ ส.ส.ยกจังหวัด และจะเข้ามาสานต่อโครงการเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี”นายวิรัช กล่าว

นายวิรัช กล่าวต่อว่า นอกจากนั้น พรรคพลังประชารัฐยังมีนโยบายดูแลผู้สูงอายุ โดยการเพิ่มเบี้ยยังชีพแบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็นจำนวน 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปี ขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน หรือเรียกว่า‘เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ 3 4 5 และ 6 7 8’ ซึ่งเราเห็นความสำคัญ และมีความจำเป็นที่จะต้องผลักดันนโยบายเพิ่มเติมเพื่อดูแลสวัสดิการผู้สูงอายุ ที่เป็นบุคคลที่มีคุณค่า และเป็นผู้ที่ทำประโยชน์ต่อบ้านเมืองมาอย่างยาวนาน

ด้าน ร.อ.ธรรมนัส กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า ได้มาเยี่ยมเยียนพี่น้องชาวนครปฐมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายก สมาชิกต่าง ๆ เรามีความผูกพันมานาน ดังนั้น วันนี้ผู้ใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐติดภารกิจสำคัญ ติดประชุมยุทธศาสตร์ของพรรค ทำให้เหลือตนกับท่านวิรัชที่สามารถมาพบปะกับพี่น้อง จังหวัดนครปฐมเป็น 1 ใน 5 จังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกับกรุงเทพมหานคร ซึ่งนครปฐมถือว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ แต่ทำไมถึงยังน้อยหน้ากว่าอีก 4 จังหวัดรอบข้าง ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐจะพัฒนาจังหวัดนครปฐมให้มีความเจริญเทียบเท่า และไม่น้อยหน้าจังหวัดอื่น

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐ ยึดหลักสำคัญก็คือ เราจะก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะคนไทยเราพูดภาษาเดียวกัน มีศิลปะและวัฒนธรรมเหมือนกัน เรามีเสาหลักของบ้านของเมืองที่อยู่คู่กับประเทศไทยมานาน นั่นคือ สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เราจะเชิญชวนลูกลานของเรามาเดินด้วยกัน สิ่งไหนที่มันไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนเราจะนำไปพูดกันในสภาผู้แทนราษฎร กฎหมายที่ล้าหลัง ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เราก็จะไปแก้ไขให้ดีขึ้น

“พรรคพลังประชารัฐประกาศนโยบายชัดเจนว่าเราจะเยียวยากลุ่มเปราะบางให้มีความเข้มแข็ง ก่อนที่เราจะมอบเบ็ดให้เขาไปทำมาหากิน ถ้าคนยังป่วยอยู่ นอนอยู่บนเตียง ถึงเราจะมอบเบ็ดให้เขา เขาจะมีปัญญาไปตกปลาหรือไม่ เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นเราต้องรักษาให้เขาแข็งแรง เราจึงกำหนดนโยบายเหล่านี้ขึ้น เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐดูแลผู้มีรายได้น้อย ซึ่งในบัตรยังมีการบรรจุเรื่องการประกันชีวิต ทันทีที่ท่านหมดลมหายใจ รัฐจะมีเงินประกันให้ 200,000 บาท เพื่อไม่ให้เป็นภาระลูกหลานในการจัดงานขาวดำ ซึ่งสามารถไปเบิกออกมาใช้ได้ทันที รวมไปถึงนโยบายดูแลผู้สูงอายุ ที่เป็นเรื่องอนาคตของพวกเราทุกคน เราต้องใส่ใจในฐานะที่เราเป็นเจ้าของประเทศ”ร.อ.ธรรมนัส กล่าว

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวต่อว่า พล.อ.ประวิตร ได้ฝากตนมาบอกชาวนครปฐมว่า พี่น้องหลายอาชีพที่กำลังลำบากอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นชาวสวนกล้วยไม้ เลี้ยงกุ้ง ทำนา เลี้ยงสุกร หลายอย่างมีปัญหา ราคากุ้งถูก แต่อาหารที่เลี้ยงมีราคาแพง ข้าวถูกปุ๋ยแพง ค่าครองชีพแพง วันนี้อะไรที่เป็นของกลุ่มทุนแพงหมด แต่อะไรที่เป็นของพี่น้องประชาชนถูกหมด แล้วประชาชนจะอยู่ได้อย่างไร พรรคพลังประชารัฐจึงมีโจทย์ว่าเราจะบริหารบ้านเมืองโดยการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้พี่น้องประชาชน

“ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาการบริหารบ้านเมือง ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่อยู่มาได้ก็เพราะคนเดียว ที่ผมสามารถพูดได้อย่างเต็มปาก ก็คือ อยู่ได้เพราะ พล.อ.ประวิตร ท่านดูแลก็มาชิกสภาผู้แทนราษฎรถูกพรรค แม้แต่พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย ที่มีความเดือดร้อนในเรื่องของประชาชน ท่านสั่งการองค์กร กระทรวงต่าง ๆ ให้เข้าไปดูและแก้ปัญหาให้ประชาชน ในยามที่สถานการณ์เป็นแบบนี้ พล.อ.ประวิตร เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด”ร.อ.ธรรมนัส กล่าว

ทั้งนี้ ร.อ.ธรรมนัส ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ในวันที่ 14 พ.ค.ตั้งแต่ 08.00 – 17.00 น.ขอชาวนครปฐมเข้าคูหากาผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐทั้ง 6 เขต และขอให้กาเบอร์ 37 ให้กับพรรคพลังประชารัฐ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 เมษายน 2566

สกลธี – ฟิล์ม รัฐภูมิ ลงพื้นที่วัดย่านาค – ชุมชนหลังสถานีรถไฟหัวหมาก ชู “ซอฟต์พาวเวอร์” แหล่งท่องเที่ยวชุมชน

,

สกลธี – ฟิล์ม รัฐภูมิ ลงพื้นที่วัดย่านาค – ชุมชนหลังสถานีรถไฟหัวหมาก ชู “ซอฟต์พาวเวอร์” แหล่งท่องเที่ยวชุมชน

วันที่ 9 เมษายน 2566 นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคพลังประชารัฐ ร่วมกับนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ “ฟิล์ม รัฐภูมิ” ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตเลือกตั้งที่ 22 (สวนหลวง-ประเวศ) หมายเลข 1 ลงพื้นที่วัดมหาบุศย์และชุมชนหลังสถานีรถไฟหัวหมาก พร้อมชูนโยบายพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน
นายสกลธี กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถใช้กองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาท ช่วยพัฒนากรุงเทพฯ ให้ดีขึ้นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะการสร้างแหล่งท่องเที่ยว จุดเช็คอินให้กระจายให้ทั่วทุกเขตใน กทม. ไม่ต้องไปกระจุกอยู่ในพื้นที่ชั้นในอย่างสุขุมวิท เยาวราช หรือถนนข้าวสาร ซึ่งในพื้นที่เขตสวนหลวง เขตประเวศ มีจุดที่ฟิล์ม-รัฐภูมินำเสนออยากทำเป็นจุดท่องเที่ยวท้องถิ่นที่ยั่งยืน แต่ใช้งบ กทม.ทำอย่างเดียวคงไม่ได้เพราะงบประมาณจำกัด รัฐบาลกลางต้องเข้าไปช่วย เช่น เพิ่มเส้นทางเดินเรือ เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวหรือการแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ ทั้งนี้จะทำให้การทำงานของรัฐบาลกลางและท้องถิ่นอย่าง กทม.แนบแน่นขึ้น ตรงกับที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ย้ำเสมอว่าเราจะมาทำงานให้คนไทยทุกคน

ขณะที่นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ “ฟิล์ม รัฐภูมิ” ” ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตเลือกตั้งที่ 22 (สวนหลวง-ประเวศ) หมายเลข 1 กล่าวเสริมว่า เราต้องใช้กองทุนประชารัฐ 3 แสนล้าน สร้าง Soft Power ให้เกิดขึ้น โดยในเขตสวนหลวง-ประเวศ มีทุนที่ดีอย่างย่านาค ซึ่งเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะชาวจีนที่เข้ามาไหว้ย่านาคปีละหลายแสนคน โดยตนจะไม่ทำเพียงจุดเดียว แต่จะใช้นโยบาย “สวนหลวง Number 1” โปรโมท “สถานที่ท่องเที่ยว 9 ที่ : 7 วัด 1 มัสยิด 1 ศาลเจ้า” ซึ่งสามารถเดินทางเข้าถึงได้ทั้งทางรถ-ทางเรือ ดึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าเขตสวนหลวง ซึ่งตนมั่นใจว่าจะทำสำเร็จได้ไม่เกิน 9 เดือน
“การพบพี่น้องประชาชนในฐานะผู้สมัคร ส.ส. ต่างจากตอนเป็นนักร้อง ตอนเป็นนักร้องคนจะเข้ามากรี๊ด มาถ่ายรูป แต่ตอนเป็นนักการเมืองจะมีคนมากอดร้องไห้ขอให้ช่วยเหลือ ตนดีใจที่คุณสกลธีและพรรคพลังประชารัฐให้โอกาส ตนมั่นใจว่าจะสามารถเข้ามาช่วยให้เขาหายทุกข์และทำให้เขามีความสุขได้ แต่จะได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเมตตาของพี่น้องประชาชนด้วย”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 เมษายน 2566

“ผู้กองธรรมนัส – ชัยวุฒิ”ย้ำก้าวข้ามความขัดแย้ง เปลี่ยนปทุมธานีไร้สีเสื้อ ไร้ขั้วอำนาจ เพิ่มเสียงตอบรับร่วมหนุนนโยบายพปชร.ดูแลทุกคนไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

,

“ผู้กองธรรมนัส – ชัยวุฒิ”ย้ำก้าวข้ามความขัดแย้ง เปลี่ยนปทุมธานีไร้สีเสื้อ ไร้ขั้วอำนาจ เพิ่มเสียงตอบรับร่วมหนุนนโยบายพปชร.ดูแลทุกคนไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดเวทีปราศรัย ณ ลานกลางแจ้งใกล้ตลาดกลางลาดสวาย และสามแยกสวนเกษตร คลอง 3 จังหวัดปทุมธานี นำโดย นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคเหนือ ร่วมขึ้นปราศรัยนโยบายพรรค ร่วมด้วยผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดปทุมธานีทั้ง 7 เขต ประกอบด้วย นายเสวก ประเสริฐสุข ผู้สมัคร เขต 1 เบอร์ 2 นายปรีชา ชื่นชนกพิบูล ผู้สมัคร เขต 3 เบอร์ 4 นายนพดล ลัดดาแย้ม ผู้สมัคร เขต 2 เบอร์ 3 นายยุทธวัฒน์ หาญเกียรติกล้า ผู้สมัคร เขต 4 เบอร์ 7 นายวิรัช พยุงวงษ์ ผู้สมัคร เขต 5 เบอร์ 7 ดร.เกียรติศักดิ์ ส่องแสง ผู้สมัคร เขต 6 เบอร์ 5 น.ส.กฤษณา วงศ์คำ ผู้สมัคร เขต 7 เบอร์ 8 โดยมีประชาชน ขึ้นแนะนำตัว โดยมีประชาชนกว่า 10,000 ร่วมรับฟังอย่างเนืองแน่น

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ตนขอยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่า พปชร.จะปักธง ส.สที่ จ.ปทุมธานีได้อย่างแน่นอน ซึ่งนโยบายการเมืองต้องนิ่ง ให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ ให้ประเทศชาติมั่นคง พรรคเรามีนโยบายให้ประชาชนอยู่ดีกินดี เสนอนโยบายที่ประชาชนชอบ บางนโยบายถูกใจคน แต่อาจไม่ถูกต้องเราก็ไม่ทำ ตนเสียใจที่การเมืองวันนี้ มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร บางพรรคไม่คิดถึงความมั่นคงของชาติ ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ซึ่งประเทศชาติ จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ในการดูแลพื้นที่ชายแดน ไม่ให้มีการลักลอบขนยาเสพติด แรงงานผิดกฎหมาย โดย พปชร. ยังยืนยันว่ายึดอุดมการณ์ในสถาบันหลัก

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า ตนขอยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่า ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ ทั้ง 7 เขต เป็นคนดีมีคุณภาพที่สุด และพร้อมรับใช้พี่น้องประชาชน วันนี้การเลือกตั้งแต่ละเขต ก็คนละเบอร์ ขออย่าสับสน จำเบอร์ผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐให้ดีแต่ถ้าบัตรสีฟ้า กาได้เบอร์เดียวคือเบอร์ 37 เลือกพรรคพลังประชารัฐ มีนโยบายที่ชัดเจนและทำมาแล้วหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เบี้ยผู้สูงอายุก็ทำมาแล้วและจะทำให้ดีขึ้น นโยบายเบี้ยผู้สูงอายุ60 ปี 3000 บาท 70 ปี 4000 บาท 80 ปี 5000 บาท ดังนั้น เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง วันนี้เรามีรัฐบาลมั่นคงอยู่มาสี่ปี ที่มีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ ที่ผ่านมาท่านได้ทำหน้าที่ในฐานะรัฐบาล แก้ปัญหาทุกอย่าง ทั้งระบบขนส่งมวลชน แก้ปัญหาน้ำท่วมปทุมธานี ซึ่งได้ลงพื้นที่มาดูด้วยตัวเอง แต่ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร เพราะไม่มีส.ส. ของพรรค พปชร. อยู่ในพื้นที่เพื่อนำปัญหาไปประสานงานกับหัวหน้าพรรค ดังนั้นวันนี้เราจึงต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐยกทีม7 คนเพื่อทำงานให้กับพี่น้องประชาชน พรรคพลังประชารัฐจะทำให้ชาวปทุมธานีมีความสุขทุกคน

“พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคที่ดำเนินงานตามระบบประชาธิปไตย ลุงป้อม ไม่ใช่คนปฏิวัติลุงป้อมไม่ได้สืบทอดอำนาจลุงป้อมไม่ใช่เผด็จการลุงป้อมตั้งไจทำงานเพื่อประชาชน เพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชนเป็นหัวหน้าพรรค มาทำหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชน ขอโอกาสให้พวกเรา ประสานงาน เราจะทำงานกับทุกคนและทุกฝ่ายจะต้องไม่มีความขัดแย้งอีก”14 พฤษภาคม เข้าคูหากา พรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37

ด้าน ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า วันนี้ได้รับหนังสือจากแกนนำเสื้อแดง เพื่อประกาศเจตนารมณ์เห็นด้วยกับ นโยบายสำคัญของพปชร.ในเรื่องการก้าวข้ามความขัดแย้งและเห็นว่าการทำงานของ พล.อ.ประวิตร ในการทำงานร่วมกับรัฐบาล สามารถทำงานได้ด้วยดี เพราะหัวหน้าเป็นผู้เปิดกว้างรับฟังทุกคน ไม่ว่าจะเป็นส.ส.พรรคใด ก็พร้อมช่วยเหลือ เห็นด้วยร่วมเป็นหนึ่งเดียวไม่มีการแบ่งแยกสี เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน พูดภาษาเดียวกัน แม้จะนับถือศาสนาที่แตกต่างกันแต่เราจะเลิกทะเลาะ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง หลังเลือกตั้งแล้ว ได้เป็นรัฐบาล เชื่อว่าหัวหน้าพรรค จะนำเรื่องก้าวข้ามความขัดแย้งมานำเป็น วาระแห่งชาติ เพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว โดยพปชร. เป็นพรรคขับเคลื่อนในเรื่องดังกล่าว เพื่อรวมพลังของคนไทยทั้งแผ่นดิน และต้องนำองค์กรประชารัฐ ที่มีประชาชน เป็นเจ้าของประเทศ จากความหลากหลายของอาชีพ ผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร ผู้สูงอายุ กลุ่มเปราะบางต้องรวมเป็นหนึ่งเดียว

นายวิรัช กล่าวว่า ขอฝากพี่น้องประชาชนชาวปทุมเลือกผู้แทนทุกเขตทำหน้าที่ แต่ที่สำคัญเลือกเบอร์ ลุงป้อม เบอร์ 37 เพราะ นโยบายบัตรประชารัฐ ที่ประชาชนชอบ และลุงป้อม พร้อมทำทันทีในเดือนมิถุนายนนี้ ถ้าได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาล เรามาแล้ว ที่ 300 บาท ต่อไปเราจะได้ใช้ 700 บาท ช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา ไม่มี ส.ส.ของพรรค เลยตลอด 4 ปีเต็ม แต่ลุงป้อม ไม่เคยทิ้งชาวปทุม เดินทางมาดูน้ำด้วยตัวเอง น้ำไม่ท่วมเลย แม้ท่วมก็น้อย แต่แน่นอน เมื่อมีลุงป้อมน้ำไม่แล้งแน่นอน ที่สำคัญพปชร.ไม่ทิ้งผู้สูงอายุ เพราะเราจะเพิ่มเบี้ยสวัสดิการผู้สูงอายุ 3 4 5 และ 6 7 8 3000 4000 5000 ครั้งนี้เป็นการประกาศศักดิ์ศรีของคนปทุมที่จะเข้ามาทำหน้าที่ ให้กับพี่น้องประชาชนภายใต้การขับเคลื่อนของพปชร.

สำหรับ ความพร้อมในการเลือกตั้งในพื้นที่ปทุม มีความมั่นใจว่าจะปักธงได้ แม้ว่าการเลือกตั้งปี 62 ผู้สมัครส่วนใหญ่อยู่อันดับสอง แต่การเลือกตั้งปีนี้ ตนเชื่อมั่นว่าจะสามารถคว้าโอกาสได้ไม่ยาก พร้อมยืนยันว่า จ.ปทุมธานี เราจะประสบความสำเร็จ ส่วนที่หลายพรรคการเมืองตั้งเป้า จ.ปทุมธานี นั้น เราเองก็มั่นใจในผู้สมัครของเราทุกคน เช่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็มั่นใจว่าจะสามารถปักหมุดพื้นที่นี้ได้ เพราะเป็นพื้นที่ 1 ใน 5 จังหวัดรอบกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ในส่วนของโพลต่างๆ ที่ไม่มีชื่อของ พล.อ.ประวิตร อยู่ในลำดับต้นๆ จะมีผลต่อการเรียกคะแนนนิยม หรือไม่นั้น เชื่อว่าระยะเวลา ที่เหลืออีก 30 กว่าวันในการเลือกตั้ง ตนในฐานะผู้สมัครดูแลพื้นที่ มีความมั่นใจว่าพรรคพลังประชารัฐจะชนะ ยังไงก็ต้องเกิน 50 ที่นั่ง

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวต่อว่า องค์กรต่อไปที่จะเข้ามาดูแลประชาชน คือองค์กรพลังแห่งรัฐ รัฐจะต้องดูแลประชาชนให้อยู่ดีกินดี เวลาหาเสียงทุกพรรคนโยบายดีหมด จะทำทุกอย่างให้กับประชาชน แต่พอจัดตั้งรัฐบาลลืมหมด คนแบบนี้ประชาชนจะเลือกหรือไม่ ประชาชนจะเป็นพลังกดดันให้รัฐเข้ามาดูแลประชาชนทั้ง 70 ล้านชีวิต จะต้องดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ เด็กเล็ก ส่วนประชาชนที่มาฟังการปราศรัยวันนี้ ใช้น้ำมันและใช้ไฟฟ้า ทุกวันนี้น้ำมันราคาแพง ค่าไฟแพง มีอย่างเดียวที่ถูกคือรายได้ พรรคพลังประชารัฐ เล็งเห็นความสำคัญของ โครงสร้างราคาน้ำมัน ต้องทำทันที

ผู้สมัครพปชร.ได้สลับขึ้นปราศรัย โดยเริ่มจาก นายวิรัช พยุงวงษ์ กล่าวว่า ขอให้พี่น้องร่วมเปลี่ยนแปลงจังหวัด ให้โอกาสคนปทุมฯ ร่วมเป็นปากเสียง เป็นตัวแทนเพื่อไปบอกกล่าวความทุกข์ร้อนของ ชาวปทุม ในสภาฯ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยเห็นตัวแทนของเราไปทำหน้าที่เป็นปากเสียงให้ชาวปทุมฯ ในสภา เชื่อว่าพี่น้องยังไม่พอใจกับนักการเมืองที่ได้เลือกมา จึงเชื่อว่าครั้งนี้พี่น้องตัดสินใจเพื่อที่จะเลือกตัวแทนที่เข้าไปทำหน้าที่แทนอย่างแท้จริง

ด้านนายนพดล กล่าวว่า ส่วนตัวมาดูแลด้านท่องเที่ยวและการเกษตร ที่ผ่านมามีส.ส. ไม่ยกมือเสนอความเดือดร้อนของจ. ไปแก้ไขในสภา 7 เขต เพื่อขับเคลื่อนจ. เรื่องต้นไฟฟ้าส่องสว่าง ความสะอาด อยากทำตลาดชุมชนเพื่อสร้างรายได้ให้พี่น้องประชาชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 เมษายน 2566

พปชร.เปิดศูนย์ประสานงานผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขตลาดกระบัง “บุญส่ง เต๋งจงดี” เบอร์1 พร้อมทำงานพื้นที่ทัดเทียมเขตอื่นในกทม.

,

พปชร.เปิดศูนย์ประสานงานผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขตลาดกระบัง
“บุญส่ง เต๋งจงดี” เบอร์1 พร้อมทำงานพื้นที่ทัดเทียมเขตอื่นในกทม.

วันที่ 9 เมษายน 2566 พรรคพลังประชารัฐเปิดศูนย์ประสานงานการเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 20 เขตลาดกระบัง (ยกเว้นแขวงลำปลาทิว) โดยนายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานเปิดศูนย์ให้ นายบุญส่ง เต๋งจงดี ผู้สมัครหมายเลข 1 เพื่อใช้ในกิจกรรมการหาเสียงเลือกตั้ง และรับข้อเสนอจากประชาชน ที่จะนำไปสู่การทำนโยบายเพื่อการพัฒนาพื้นที่

นายบุญส่ง เต๋งจงดี ผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 20 เขตลาดกระบัง (ยกเว้นแขวงลำปลาทิว) หมายเลข 1 กล่าวว่า ตนอยากให้เขตลาดกระบังเปลี่ยนแปลง ไปในทิศทางที่ดีขึ้น ด้วยนโยบายที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และคุณสกลธี ภัททิยกุล นำเสนอ เขตลาดกระบัง ซึ่งเป็นพื้นที่ชานเมือง มีปัญหาที่หลากหลาย แต่ตนได้ลงพื้นที่ จัดลำดับปัญหาทั้งหมดไว้แล้ว หากพี่น้องชาวลาดกระบังให้โอกาส ตนพร้อมทำงานได้ทันที

ด้าน นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหาร ในฐานะหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ตนพูดคุยกับนายบุญส่งมานาน มั่นใจว่าเลือกไม่ผิดคน 4 ปีที่แล้วพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ ส.ส.ในเขตลาดกระบัง ครั้งนี้ขอให้โอกาสนายบุญส่งได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงเขตลาดกระบังให้ดีขึ้น

นายสกลธีกล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐมีอดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจหลายคน นโยบายที่ออกมาจึงเน้นไปที่การดูแลปากท้องพี่น้องเป็นสำคัญ เช่น การเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 700 บาท พร้อมเพิ่มวงเงินประกันชีวิต 2 แสนบาท และมีเงินกู้ประกอบอาชีพอีก 5 หมื่นบาท นอกจากนี้ยังเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็น 3,000 – 5,000 บาท

“เราไม่ได้แจกเงินหว่านเหมือนบางนโยบาย การแจกเงินมันง่ายเหมือนไม่ได้คิดอะไร เราให้กลุ่มเปราะบางที่ต้องดูแล”

นายสกลธีกล่าวว่า เขตลาดกระบังจะพัฒนาขึ้นอย่างเห็นผลแน่นอน ตนเคยเป็นรองผู้ว่าฯ รู้ว่าหากให้ท้องถิ่นเป็นผู้พัฒนาฝ่ายเดียวไม่ไหว พรรคพลังประชารัฐจึงจะมีกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาท
มาแก้ไขปัญหาทั้งประเทศ เขตลาดกระบังจะได้มีเงินมาช่วยสร้างรถไฟฟ้า สร้างระบบขนส่งสาธารณะ หากพี่น้องชาวลาดกระบังเลือกนายบุญส่ง เบอร์ 1 เลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 ให้เป็นรัฐบาล สิ่งดีๆ เหล่านี้เกิดแน่นอน

“พื้นที่โซนกรุงเทพตะวันออกมีศักยภาพพัฒนาได้อีกมาก พรรคพลังประชารัฐตั้งเป้าหมายให้ทั้ง 50 เขตของกรุงเทพมีความเจริญทัดเทียมกัน ตอนนี้เขตพื้นที่ชั้นในหนาแน่นแล้ว แต่โซนกรุงเทพตะวันออกยัง สามารถรองรับการขยายตัวของเมืองได้ สามารถเป็นครัวของกรุงเทพได้ แต่ต้องได้คนมีความรู้มาช่วย ตนจึงขอโอกาสให้นายบุญส่ง เบอร์ 1 และพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 ด้วย”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 เมษายน 2566

“ศ.ดร.นฤมล”ย้ำนโยบายต้องทำได้จริง ลดพึ่งงบประมาณ ดึงเอกชน-ปชช.มีส่วนร่วมพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคมสร้างศก.ไทยเข้มแข็ง

,

“ศ.ดร.นฤมล”ย้ำนโยบายต้องทำได้จริง ลดพึ่งงบประมาณ
ดึงเอกชน-ปชช.มีส่วนร่วมพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคมสร้างศก.ไทยเข้มแข็ง

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ กรรมการบริหารพรรค-เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เปิดเผยว่า นโยบายของพปชร.มุ่งเน้นการทำได้จริงไม่ใช่เป็นแค่การหาเสียงเพื่อให้ได้คะแนนและเมื่อทำแล้วจะมีคำตอบว่าใช้งบประมาณของประเทศหรือไม่ อย่างไร รวมไปถึงแหล่งรายได้ที่จะเกิดขึ้น และที่สำคัญนโยบายต่างๆ ของพปชร.จะมองแบบครบวงจรเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดทั้งการดำเนินงานและการใช้งบประมาณ

“ คำว่านโยบาย ถ้าแปลกันจริงๆ ต้องเป็นเรื่องที่มองระยะยาว ประเภททำเป็นปีแล้วเลิก หรือแค่มาเขียนบนป้ายหาเสียงไว้เฉยๆ เพื่อให้ได้คะแนน แบบนี้สำหรับพปชร.เราไม่เรียกว่านโยบาย เปรียบเสมือนองค์กรเราจะเลือกผู้นำหรือทีมบริหารเราก็ต้องดูทีมดังกล่าวมีศักยภาพ มีวิสัยทัศน์อย่างไร ไม่ใช่แข่งกันว่าใครใช้เงินเก่งกว่ากัน แต่ไม่พูดเลยว่าหาเงิน รายได้จากไหนพูดแต่จะจ่ายอย่างเดียว ”ศ.ดร.นฤมลกล่าวย้ำ

สำหรับนโยบายพปชร.จะมีการสื่อสาร 2 ระดับคือชุดนโยบายจริงๆ ที่จะมีเรื่องของการหารายได้และรายได้ที่จะได้มาในการนำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ ผู้มีรายได้น้อย ซึ่งในป้ายหาเสียงอาจเห็นเพียงบางส่วนต้องมองภาพรวมทั้งก้อน ต้องคิดครบวงจรและอยากให้ทุกพรรคการเมืองคิดแบบครบวงจรจริงๆ โดยแหล่งรายได้ที่จะนำมาทำนโยบายที่พรรคหาเสียงไว้ ซึ่งไทยมีรายได้แต่ละปีมาจากการจัดเก็บภาษีต่างๆอยู่ 2.4-2.5 ล้านล้านบาทที่ไม่เพียงพอรายจ่ายที่มีกันอยู่ราว 3.2-3.3 ล้านล้านบาทต่อปีจะสามารถเพิ่มส่วนนี้อย่างไร โดยปัจจุบันมีการกู้อยู่ประมาณ 7 แสนล้านบาทซึ่งเงินกู้นี้ทำได้อย่างเดียวตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ฯ บัญญัติไว้ว่า งบประมาณรายจ่ายเพื่อการลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศต้องมีไม่ต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ของวงเงินทั้งหมดในร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีในแต่ละปี

ด้วยข้อจำกัดในการเพิ่มรายได้จากการเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้นคงยากและการกู้คงมากไปกว่านี้ไม่ได้เพราะติดเพดานหนี้สาธารณะ จึงมองการหาแหล่งรายได้จากทางอื่นคือการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน หมายถึง การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public. Private Partnership หรือ PPP)เพื่อลดภาระรายได้ที่จะได้มาจากการเก็บภาษี และอีกส่วนหนึ่งคือการใช้ศักยภาพของตลาดทุนโดยการตั้งกองทุนเพื่อระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่จะเป็นเม็ดเงินลงทุนทั้งจากนักลงทุนในไทยและต่างประเทศ แล้วก็นำเม็ดเงินดังกล่าวมาสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ ฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ เช่นการสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพ หรือธุรกิจเพื่อสังคมหรือ Social Enterprise (SE) ก็จะทำให้เกิดธุรกิจเหล่านี้ขึ้นมากมายในประเทศ และจะทำให้ออกจากกลไกการใช้หน่วยงานราชการไปขับเคลื่อน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 เมษายน 2566

“พล.อ.ประวิตร” วิดีโอคอลบนเวทีปราศรัยส่งใจถึงสมุทรสาคร ปักธงขอคะแนนผู้สมัครเบอร์ 1 ทั้ง3เขต พร้อมกาเลข 37 พปชร.

,

“พล.อ.ประวิตร” วิดีโอคอลบนเวทีปราศรัยส่งใจถึงสมุทรสาคร ปักธงขอคะแนนผู้สมัครเบอร์ 1 ทั้ง3เขต พร้อมกาเลข 37 พปชร.

วันที่ 8 เมษายน 2566 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเวทีปราศรัย ที่ วัดยกกระบัตร จังหวัดสมุทรสาคร โดย พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้โทรศัพท์ผ่านระบบวีดีโอคอลมายังเวทีปราศรัยเพื่อทักทายพี่น้องประชาชนกว่า 10,000 คน พร้อมด้วย นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า, ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ร่วมขึ้นปราศรัยนโยบายพรรค โดยมี นายภัฎ สุริวงษ์ ผู้สมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดสมุทรสาคร ทั้ง 3 เขต ได้แก่ นายวัฒนา แตงมณี เขต 1 เบอร์ 1, น.ส.ปัณฑารีย์ มั่งมี เขต 2 เบอร์ 1 และ น.ส.จอมขวัญ กลับบ้านเกาะ เขต 3 เบอร์ 1 ร่วมปราศรัยและแนะนำตัว

พล.อ.ประวิตร กล่าวสวัสดีชาวสมุทรสาคร และขอบคุณพี่น้องประชาชนมาร่วมเวทีปราศรัยที่รักทุกคน ตนเข้าใจดีว่าชาวสมุทรสาครมีความสำคัญต่อประเทศชาติอย่างมาก โดยพรรค ให้ความสำคัญกับพื้นที่นี้ เพราะเป็นจังหวัดที่สร้างรายได้ ให้กับประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ที่เกิดจากความร่วมมือของพี่น้องทุกคน ขอฝากผู้สมัครทั้ง 3 เขตเข้าไปทำหน้าที่ในสภาฯ เพื่อผลักดันให้ประชาชนมีรายได้ และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และในโอกาสเทศกาลปีใหม่ไทย ขออวยพรให้พี่น้องชาวสมุทรสาคร คิดสิ่งใด ขอให้สมความปรารถนา และมีความเจริญรุ่งเรือง

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า พื้นที่สมุทรสาคร เป็นเป้าหมายสำคัญของพรรค ที่จะผลักดันการพัฒนาให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ภายหลังการแพร่ระบาดโควิด 19 เพราะเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจในการสร้างรายได้เข้ากับประเทศ สะท้อนจากผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ที่สร้างรายได้สูงถึง 400,000 ล้านบาท คิดเป็น 2.5% จัดเป็นจังหวัดลำดับ 6 ของประเทศ และเมื่อรวมอีก 5 จังหวัดมีพื้นที่ติดสมุทรสาคร ทั้ง ราชบุรี สมุทรสงคราม นครปฐม กรุงเทพฯ มีมูลค่าจีดีพี ถึง 7 ล้านล้านบาท คิดเป็น 50% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ ซึ่งเป็นผลงานของชาวสมุทรสาคร ซึ่งที่ผ่านมาเราได้รับข้อมูลจาก ส.ส.จอมขวัญมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำข้อมูลมารายงาน ทีมนโยบายและผู้บริหารมาโดยตลอด ทั้งการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตร เพราะพื้นที่จังหวัดมีความหลากหลายทางอาชีพ และรายได้ มาจากอาชีพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำนาข้าว ทำสวน ประมง ทำโรงงานอุตสาหกรรม ฟาร์มกุ้ง ฟาร์มปลา เป็นต้น

ทำให้วันนี้ พรรค พปชร.ต้องให้ความสนใจและสานต่อ เพราะการฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเรามีส.ส.ทั้ง 3 เขตที่เข้าใจในพื้นที่อย่างแท้จริง ถือเป็นคนสมุทรสาครทั้งสามคน ไม่ใช่คนหน้าใหม่ของพี่น้องประชาชน เป็นผู้สมัครที่ได้เบอร์ 1 ล้วนแล้วเป็นคนคุณภาพ ไม่ทิ้งพื้นที่ ตั้งแต่การแพร่ระบาด ก็ได้เข้ามาสนับสนุนช่วยเหลือประชาชน ตั้งโรงพยาบาลสนาม ตั้งโรงทานเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชน

“เรามีผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐทั้ง 3 เขต ที่เข้าใจพื้นที่และปัญหาในแต่ละเขตเป็นอย่างดี เพราะเป็นคนพื้นที่ ที่มีความใกล้ชิดกับประชาชน ไม่เคยทอดทิ้งกัน แม้ในช่วงสถานการณ์โควิดที่ยากลำบาก เราก็จับมือฝ่าฟันวิกฤตมาด้วยกัน อย่าง ส.ส.จอมขวัญ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ประชาชนและมุ่งแก้ปัญหาให้กับทุกคนอย่างเต็มที่ “ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ดังนั้น พรรค ต้องกลับมาปักธงอีกครั้ง ขอให้พี่น้องประชาชน เลือกทั้งสามคนเพื่อเป็นปากเสียง ในการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนในสภาฯ นอกจากเบอร์ 1 เพื่อเลือกผู้สมัครแล้ว ยังมีเบอร์ 37 ซึ่งเป็นเบอร์ ของพรรค ซึ่งจำได้ง่าย 3700 มาจาก 3000 คือเบี้ยผู้สูงอายุ และ 700 คือลุงป้อม 700 ดังนั้น ต้องเลือกทั้งเขต และพรรค เพื่อนำนโยบายให้ถึงมือพี่น้องประชาชน ขอให้วันที่ 14 พ.ค.นี้ เข้าคูหากาเบอร์ 1 และพรรค เบอร์ 37

ด้าน ร.อ.ธรรมนัส กล่าวปราศรัยว่า ผมในฐานะตัวแทนของพรรคพลังประชารัฐ ขอยืนยันกับประชาชนว่า การเลือกตั้งปี 66 นี้ เราจะได้ชัยชนะที่จังหวัดสมุทรสาคร ยกจังหวัด ในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยมัวแต่เล่นกีฬาสี ทำให้ประเทศไม่เดินหน้าไปไหน พรรรพลังประชารัฐจึงเล็งเห็นว่า ประเทศไทยของเราต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อไปสู่การพัฒนาของประเทศไทย สุดท้ายนี้ บ้านเมืองเราจะเดินไปข้างหน้าไม่ได้ ถ้าขาดเจ้าของประเทศอย่างพวกเรา ดังนั้นในวันที่ 14 พ.ค. อย่าลืมเข้าคูหากาหมายเลข 1 เลือก ส.ส.สมุทรสาคร และหมายเลข 37 ของพรรคพลังประชารัฐ

ด้านนายสนธิรัตน์ ได้กล่าวปราศรัยว่า ประเทศไทยประสบกับปัญหาด้านเศรษฐกิจและเรื่องปากท้องของประชาชนมายาวนานต่อเนื่อง แต่วันนี้พรรคพลังประชารัฐเรามีทีมเศรษฐกิจระดับประเทศ ถูกยกย่องถือว่าเป็นขุนพลทีมที่ดีที่สุด ที่จะเข้ามาใช้ประสบการณ์ที่มี แก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนและคนที่รวบรวมพวกเราให้มารวมกันได้ก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ วันนี้เราขอโอกาสจากพี่น้องที่นี่ให้ไว้วางใจเราอีกครั้งหนึ่ง เหมือนในปี 62 ที่ผ่านมา

จากนั้นผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐสลับกันขึ้นปราศรัยนำโดย น.ส.จอมขวัญ กลับบ้านเกาะ อดีต ส.ส.สมุทรสาคร และผู้สมัครเขต 3 เบอร์ 1 กล่าวปราศรัยว่า การทำหน้าที่ ส.ส.ในสี่ปีที่ผ่านมา ตนได้ทำหน้าที่ผู้แทน โดยนำความเดือดร้อนของประชาชนเข้าไปหารือและแก้ไขในที่ประชุมสภาฯ ไม่ว่าจะเป็น การสร้างประตูระบายน้ำ แก้ปัญหาน้ำท่วมตรงทางเข้าบ้านแพ้ว แต่ก็ยังมีสิ่งที่ตนอยากจะทำต่อเพื่อให้พี่น้องชาวสมุทรสาครมีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นขอให้พี่น้องประชาชนพิจารณาจอมขวัญคนทำงานจริง เบอร์ 1 ด้วย

นายวัฒนา แตงมณี ผู้สมัครเขต 1 เบอร์ 1 กล่าวว่า ตนมีประสบการณ์ในการเมืองมานาน ทำงานแบบ ซื่อสัตย์ ไม่ทุจริต ไม่คอร์รัปชั่น ไม่โกหก จังหวัดสมุทรสาคร คือบ้านเกิดของตน เราต้องการเข้ามาเพื่อสร้างและไม่ทำร้ายใคร ตนเป็นนักบริหารและนักธุรกิจก็ต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง ในช่วงแรกก็ไม่เคยคิดจะมาเล่นการเมืองระดับชาติ แต่ได้รับการเชื้อเชิญจาก ร.อ.ธรรมนัส จึงตกลงเข้าร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ ตนอาจจะเป็นคนตรง ๆ แต่พูดทุกอย่างออกมาจากใจและความรู้สึกจริง ๆ จากนี้ไปตนจะทำงานเพื่อชาวสมุทรสาครอย่างเต็มที่

ด้าน น.ส.ปัณฑารีย์ มั่งมี ผู้สมัคร เขต 2 เบอร์ 1 หลายคนคิดว่าเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ ไม่มีประสบการณ์ แต่ตนเกิดที่นี่ โตที่นี่ ต้องการเห็นอำเภอกระทุ่มแบนพัฒนาอย่างยั่งยืน ถึงแม้ตนจะหน้าใหม่ แต่ก็ทำงานให้กับชาวบ้านอำเภอกระทุ่มแบนมากว่า 10 ปี ในฐานะลูกของกำนันกุ้ง การเลือกตั้งครั้งนี้ขอโอกาสให้กับผู้สมัครหน้าใหม่อย่างน้ำ ให้เข้าไปดูแลและแก้ปัญหาปากท้องให้กับประชาชน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 เมษายน 2566

“สกลธี”นำทีมพลังใหม่พปชร. กทม.โซนใต้พบ ปชช.การันตีทุกคนพร้อมพัฒนา กทม. พร้อมตั้งกองทุนพัฒนาประเทศ ย้ำ “พล.อ.ประวิตร”เหมาะนั่งนายกฯ มีภาวะผู้นำที่ดี

,

“สกลธี”นำทีมพลังใหม่พปชร. กทม.โซนใต้พบ ปชช.การันตีทุกคนพร้อมพัฒนา กทม. พร้อมตั้งกองทุนพัฒนาประเทศ ย้ำ “พล.อ.ประวิตร”เหมาะนั่งนายกฯ มีภาวะผู้นำที่ดี

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเวทีปราศรัยย่อยโซนกรุงเทพฯ ใต้ “พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ” อุทยานเบญจสิริ เขตคลองเตย กรุงเทพฯนำโดย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค และนายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมกทม. ของพรรค พปชร.พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส. พปชร.กทม. ได้แก่ นายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ เขตพระโขนง บางนา เบอร์ 5, นายภูวกร ปรางภรพิทักษ์ เขตคลองเตย วัฒนา เบอร์ 8 , น.ส.แพรว กิจสุวรรณ เขตประเวศ สะพานสูง เบอร์ 2 , น.ส.ชญาภา ปรีดาพากย์ เขตบางคอแหลม ยานนาวา เบอร์ 15 และนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ เขตสวนหลวง ประเวศ เบอร์ 1 โดยมีประชาชนเข้าร่วมฟังกว่า 500 คน

นายสกลธี กล่าวว่า การเปิดเวทีวันนี้ อยู่ในเขตวัฒนาคลองเตย เป็นไข่แดงของกรุงเทพ ที่มีเส้นทางคมนาคมขนส่งที่สะดวก ด้วยระบบขนส่งรถไฟฟ้า หากทุกเขตในกรุงเทพของ 50 เขต มีระบบแบบนี้ ก็จะสะดวกต่อพี่น้องประชาชน ด้วยที่ผ่านมีข้อจำกัดในเรื่องงบประมาณ ของกทม. ที่ต้องแก้ไขปัญหาในหลายด้าน ล้วนใช้งบประมาณทั้งสิ้น โดยงบประมาณของกทม. ปีละ ประมาณ 70,000 ล้านบาท แต่เป็นเงินเดือนไปแล้ว 50%และยังมีหนี้ผูกพันอีกในโครงการต่างๆ ทำให้เงินเหลือเพื่อการพัฒนาเพียงแค่ 20,000 ล้านบาทซึ่งไม่เพียงพอที่จะดูแลประชาชนที่มีมากกว่า 10 ล้านคน ทั้งประชากรที่อยู่ในกรุงเทพ และประชากรแฝง ดังนั้น พล.อ.ประวิตรมองเห็นถึงปัญหาเหล่านี้ ได้สั่งให้ทีมเศรษฐกิจไปศึกษาเสนอให้มีการตั้งกองทุนประชารัฐ 300,000 ล้านบาท เป็นกองทุนระดับประเทศในสมัยหน้า ถ้า พปชร.ได้เป็นรัฐบาลจะมีกองทุนนี้ภายใน 4 ปี ทำให้กรุงเทพ มีงบประมาณในการพัฒนาได้สูงถึง 1 แสนล้านบาท ทำให้คนกทม. ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ในการพัฒนาเมืองกรุงเทพ ที่มีหลายเขตที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประชาชน ชุมชนต่างๆ ไม่เพียงโปรโมทสุขุมวิท เยาวราช ข้าวสาร ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ละเขตสามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวดึงดูดเม็ดเงินได้ ทั้ง ย่านฝั่งธน ย่านบางนา และทำให้ทุกเขต สร้างเสน่ห์ของตัวเองขึ้นมา ที่จะสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

นายสกลธี กล่าวอีกว่า หลายคนถามว่า พล.อ.ประวิตร ยังไหวหรือไม่ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ตนขอประกาศเลยว่า พล.อ.ประวิตร ยังไหวแน่นอน เพราะ พล.อ.ประวิตร มีภาวะผู้นำที่ดี สามารถเลือกคนให้เหมาะกับงาน ดังนั้น คนที่บริหารประเทศ เป็นเขาไม่ต้องลงไปกวาดขยะด้วยตัวเอง แต่สามารถเลือกคนที่่ให้ไปทำหน้าที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ได้

“พรรคพลังประชารัฐมี กองทุนประชารัฐพัฒนาประเทศ 3 แสนล้านบาท ที่จะพัฒนากรุงเทพฯ ขอเพียงแค่ประชาชนให้โอกาสผู้สมัครของเราเข้าไปลงมือทำ ซึ่งพรรคเรามี พล.อ.ประวิตร เป็นผู้จัดการตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังการทำงาน จนทำให้รัฐบาลอยู่มาได้ถึง4 ปี ผลงานที่ทุกคนรู้กันดีก็คือ แก้หนี้นอกระบบ และแก้ปัญหาน้ำ” นายสกลธี กล่าว

ทั้งนี้ผู้ 5 ผู้สมัคร กทม. พปชร. ขึ้นเวทีปราศรัย โดยเริ่มจาก นายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ ผู้สมัครเขตพระโขนง บางนา เบอร์ 5 กล่าวว่า ตนอยู่ที่พระโขนงมา 50 กว่าปี ทำงานภาคสนามและลงพื้นที่มาโดยตลอด มีความตั้งใจประสานและผลักดันแผนพัฒนาเขตพระโขนง โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย ด้านสิ่งแวดล้อม เพิ่มพื้นที่สีเขียว พื้นที่สวนสาธารณะ ด้านการป้องกันน้ำท่วม เรื่องเหล่านี้ ต้องมีการเชื่อมโยงการมีส่วนร่วมของประชาชนและการพัฒนาการศึกษา ตนมีประสบการณ์การทำงาน ไม่ใช่เพียงแค่ดูแลอย่างเดียว แต่ต้องมีกฎหมายให้สามารถดูแลชุมชนได้ เพราะเราจะมีกฎหมายดี ๆ ที่ดูแลประชาชนอยู่แล้วหลายฉบับ เพื่อคนไทยทั้งประเทศ ครั้งนี้ตนขอโอกาสจากคนไทย 14 พ.ค.เข้าคูหาอย่าลังเลใจ กาเบอร์ 37

ด้านนายภูวกร ปรางภรพิทักษ์ ผู้สมัครเขตคลองเตย วัฒนา เบอร์ 8 กล่าวว่า ตนเป็นคนพื้นที่โดยกำเนิด ช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา เราผ่านความทรงจำทั้งดีและร้ายมาด้วยกัน ซึ่งวันนี้ ตนมีความมุ่นมั่น ตั้งใจที่จะแก้ปัญหาจึงได้ข้อสรุปว่า การจะแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้ ต้องเข้ามาเป็น ส.ส.ท่ามกลางปัญหารุมล้อมในเขตคลองเตย เพราะเห็นโอกาส ด้วยพื้นที่มีจุดเด่นมากมาย และตนพร้อมที่จะเข้าไปทำทุกอย่างเพื่อให้บ้านเกิดของตนพัฒนาขึ้นในทุก ๆ ด้าน

ด้าน น.ส.แพรว กิจสุวรรณ ผู้สมัครเขตประเวศ สะพานสูง เบอร์ 2 กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐให้การดูแลพี่น้องประชาชนคนไทยมาตลอดและเราก็จะดูแลต่อไป นโยบายของพรรคในครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นบัตรประชารัฐที่จะมีการเพิ่มเงินเป็น 700 บาทต่อเดือนรวมไปถึงมีเงินประกันชีวิตให้รายละ 200,000 บาท การดูแลผู้สูงอายุ รวมไปถึงการดูแลสตรีที่ตั้งครรภ์ เราจะดูแลตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ไปจนถึงบุตรอายุ 6 ปี เราทำได้จริง ทำแน่นอน และพร้อมทำทันทีที่เป็นรัฐบาล เพราะฉะนั้นอย่าลังเลใจที่จะเลือกพรรคพลังประชารัฐ เพราะเราใส่ใจพี่น้องประชาชนทุกช่วงอายุ

ด้านน.ส.ชญาภา ปรีดาพากย์ เขตบางคอแหลม – ยานนาวา เบอร์ 15 กล่าวว่า ตนทำงานจากจิตอาสา และก้าวเข้าสู่การเมืองมากว่า 10 ปี ขออาสาเข้ามาแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ตนขอให้ทุกคนเปิดใจให้กับผู้หญิงตัวเล็ก แต่ใจใหญ่ ได้เข้ามาผลักดันนโยบายของพรรคพลังประชารัฐให้เกิดขึ้นจริง

นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ผู้สมัครเขตสวนหลวง ประเวศ เบอร์ 1 ขึ้นปราศรัยว่า ตนอยากจะเข้ามาเป็น ส.ส.เพราะอยากนำความทุกข์ของประชาชนเข้าไปแก้ไขในสภา และจะผลักดันนโยบานทั้ง 5 ข้อ คือ เรื่องรายได้ ที่สามารถเปลี่ยนจากขยะมาเป็นเงิน โดยเราจะมี แอพพลิเคชั่นสวนหลวง นัมเบอร์วัน เข้ามาช่วยในการทำดำเนินการ เช่น ขยะอัจฉริยะ หรือการชักชวนประชาชนมาจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่ เราจะทำให้เกิดสินค้าโอทอปในชุมชน รวมถึงการกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่เพื่อสร้างเศรษฐกิจในพื้นที่ เพราะเขตสวนหลวงถือว่ามีภูมิทัศน์ที่มีจุดเด่นอย่างมาก ตนจะเข้าไปปรับเปลี่ยนเพื่อให้ชาวสวนหลวงกลับมามีปอดที่ใหญ่อีกครั้งหนึ่ง โดยโครงการที่ตนพูดมาทั้งหมด พรรคพลังประชารัฐเราสามารถดำเนินการได้ทันที เพราะเรามีกองทุนประชารัฐพัฒนาประเทศ 3 แสนล้านบาท ที่จะพัฒนากรุงเทพฯ ซึ่งมั่นใจว่าจะทำกรุงเทพฯให้ดีกว่านี้ได้แน่นอน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 เมษายน 2566

“ชัยวุฒิ” ชู”พล.อ.ประวิตร” พร้อมทำหน้าที่ผู้นำประเทศดูแลปชช. ชี้ ศก.ไทยดีกว่าหลายประเทศ วอนคนไทยหยุดขัดแย้งเชื่อมั่นกลับมา

,

“ชัยวุฒิ” ชู”พล.อ.ประวิตร” พร้อมทำหน้าที่ผู้นำประเทศดูแลปชช. ชี้ ศก.ไทยดีกว่าหลายประเทศ วอนคนไทยหยุดขัดแย้งเชื่อมั่นกลับมา

วันนี้ (7 เม.ย.) ที่อุทยานเบญจศิริ เขตคลองเตย พรรคพลังประชารัฐ จัดเวทีปราศรัยย่อยโซนกรุงเทพฯ ใต้ “พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ” นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค กล่าวบนเวทีปราศรัยว่า พปชร.พร้อมที่เข้าไปดูแลประชาชนในทุกกลุ่ม ภายใต้การนำของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค ถือเป็นเสาหลัก ในการจัดตั้งรัฐบาล ที่ทำงานหนักมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความกินดีอยู่ดี ให้กับประชาชน พร้อมประสานทุกหน่วยทั้ง 10 ทิศ แก้ปัญหาให้กับทุกคน ประสานงานกับทุกคน ทำให้วันนี้รัฐบาลอยู่ครบ 4 ปี แล้วเราจะทำต่อไป เด็กเยาวชนทุกวันนี้สามารถจับเงิน 1,000,000 ได้ ก็เกิดขึ้นในรัฐบาลนี้ที่ส่งเสริมให้เกิดการขายของออนไลน์ในระบบดิจิตอล

ประเทศไทยเป็นเมืองที่มีความสุขอันดับ 6 ของโลก มีแต่ชาวต่างชาติชื่นชมในการมาอยู่เมืองไทย แต่มีพรรคการเมืองไปสร้างเรื่องว่า ประเทศไทยมีปัญหา อยากไปอยู่เมืองนอก ประเทศในแถบยุโรป วันนี้ฝรั่งเศสประท้วงกันเป็นแสนเป็นล้านคน ประเทศเยอรมันที่เจริญที่สุดในยุโรปตอนนี้ก็ประท้วงกัน การขนส่งมวลชนหยุดหมด เดือดร้อนกันทั้งประเทศ ประเทศไทยเราสงบสุขดีที่สุดแล้ว เพียงแค่อย่าทะเลาะ อยากให้ทุกคน มาช่วยกันดูแลประเทศไทยให้สงบสุข

นายชัยวุฒิ ยังกล่าวต่อว่า จะเห็นว่ารัฐบาลภายใต้การบริหารของพรรคพลังประชารัฐ ประเทศมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ยอดขายรถยนต์ปี 65 849,000 คันเพิ่มขึ้น 12 % การส่งออกก็เพิ่มขึ้น 7.29% ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่า เศรษฐกิจของประเทศไปได้

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยเราดีที่สุดแล้ว เราเป็นพี่ใหญ่ ในเซาท์อีสต์เอเชีย ตนไปประชุมกับรัฐมนตรีที่สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ทุกคนเชื่อมั่นประเทศไทยว่า เป็นพี่ใหญ่ มีเศรษฐกิจเข้มแข็ง เรามีความมั่นคง และเรามีกองทัพ มีอํานาจและเข้มแข็ง วันนี้เราต้องจับมือกันเพื่อเดินหน้าพัฒนาประเทศภายใต้การบริหารประเทศของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ทำงานเพื่อประชาชนประชุมหนักเพื่อหาทางแก้ปัญหาบ้านเมือง ทำทุกอย่างพัฒนาทุกพื้นที่แก้ปัญหาให้กับประชาชน เราเป็นรัฐบาลมาได้4 ปี ถ้าไม่มีลุงป้อม รัฐบาลไม่มีทางอยู่ได้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 เมษายน 2566

“ร.อ.ธรรมนัส –บุญสิงห์” นำทีมลุยพื้นที่สุโขทัย ช่วย “อารยะ ชุมดวง” เบอร์ 4 หาเสียงพื้นที่เขต 3 อ้อนขอคะแนนเลือกพรรคพลังประชารัฐ กาเบอร์ 37 ชู“ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่ และสานต่อบัตรประชารัฐ 700 บาท ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก

,

“ร.อ.ธรรมนัส –บุญสิงห์” นำทีมลุยพื้นที่สุโขทัย ช่วย “อารยะ ชุมดวง” เบอร์ 4 หาเสียงพื้นที่เขต 3 อ้อนขอคะแนนเลือกพรรคพลังประชารัฐ กาเบอร์ 37 ชู“ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่ และสานต่อบัตรประชารัฐ 700 บาท ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก

เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2566 เวลา 17.00 ณ เวทีปราศัยโรงเรียนทุ่งเสลี่ยมชนูปถัมภ์ อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)เขต 1 เบอร์ 6 จังหวัดพะเยา พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธานภาคเหนือ ได้มาพบปะประชาชนและปราศรัยหาเสียง ช่วยนายอารยะ ชุมดวง ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 เบอร์ 4 จังหวัดสุโขทัย พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมีนายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ผู้สมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พปชร.ในฐานะกรรมการบริหารพรรคพปชร. และนายสุธี (หมู) พงษ์เพียรชอบ ผู้สมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพปชร.,นางสาวอาทิตยา อินนะไชย ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 6 จังหวัดแพร่ ร่วมลงพื้นที่ด้วย โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนให้ความสนใจมารับฟังนโยบายของพรรคฯเนืองแน่นมากกว่า 12,000 คน

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวทักทายประชาชนช่วงหนึ่งว่า วันนี้รู้สึกยินดีและดีใจเป็นอย่างมาก ที่พ่อแม่พี่น้องในพื้นที่เขต 3 ทั้งอำเภอทุ่งเสลี่ยม สวรรคโลก ศรีสำโรง และอำเภอเมืองบางส่วน มาให้การต้อนรับและรับฟัง นโยบายของพรรคฯเป็นจำนวนมาก ทำให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนได้มาเยี่ยมเยือนบ้าน ที่คุ้ยเคย เพราะตนเองก็เป็นลูกข้าวนึ่ง ลูกหลานคนล้านนาเช่นเดียวกัน

“พ่อแม่พี่น้องทุกท่านครับ พรรคฯของเราภายใต้การนำของท่านพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เรามีนโยบายและจุดยืนชัดเจนคือก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่ ผมมาวันนี้ก็มาขอเชิญชวนทุกท่านร่วมใจกัน ก้าวข้ามความขัดแย้งมีความรักความสามัคคีกัน ร่วมมือร่วมใจกับภาครัฐและองค์กรเอกชนในพื้นที่ท้องถิ่นพัฒนาบ้านเมืองของเราให้เจริญก้าวหน้า ที่สำคัญคือต้องมีส.ส.เข้าไปทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงแทนพ่อแม่พี่น้องประชาชน ในการติดต่อประสานงานและผลักดันโครงการพัฒนาและแก้ปัญหาต่างๆอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นก็ขอให้ไว้วางใจและไปลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครส.ส.เบอร์ 4 ของเรา คือ “อารยะ ชุมดวง” ซึ่งเป็นลูกหลานของพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน”

ร.อ ธรรมนัส กล่าวอีกว่า ยังมีนโยบายของพรรคฯที่เป็นเรื่องดีและมีประโยชน์ต่อพ่อแม่พี่น้องประชาชนอีกมากมาย อาทิเช่น การดูแลประชาชนฐานราก ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญในพื้นที่นี้ก็มีอาชีพด้านการเกษตร ซึ่งทางพรรคฯมีนโยบายที่จะผลักดันเรื่องการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน ให้มีกรรมสิทธิ์ถูกต้อง เปลี่ยนส.ป.ก.เป็นโฉนด และ คทช.เปลี่ยนเป็นส.ป.ก.ดังนั้นในวันที่ทุกท่านไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ นอกจากกาเบอร์ 4 เลือก“อารยะ ชุมดวง”แล้วขอให้กาเบอร์ 37 เลือกพรรคพลังประชารัฐ เพื่อช่วยแก้ปัญหาประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากให้อยู่ดีกินดี อย่างยั่งยืน

จากนั้น นายอารยะ ได้ลุกขึ้นปราศรัยกับพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่มาคอยรับฟังอย่างคับคั่ง โดยนำเสนอนโยบายของพรรคฯทั้งเรื่องการสานต่อบัตรประชารัฐ 700 บาท (ป้อม 700) เรื่องการดูแลผู้สูงอายุหรือเบี้ยยังชีพเดือนละ 3,000 บาท4,000บาท และ 5,000 บาท ตามช่วงอายุ 60,70และ 80 ปี รวมไปถึงการดูแลประชาชนทุกช่วงวัยทั้ง“แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ” รวมไปถึงแก้ปัญหาที่ดินทำกิน “มีเรา ไม่มีแล้ง มีน้ำ ไม่มีจน” เปลี่ยนส.ป.ก.เป็นโฉนด ,และ คทช.เปลี่ยนเป็นส.ป.ก. เป็นต้น ซึ่งหลังจากนายอารยะ กล่าวเสร็จสิ้นได้มีเสียงเชียร์ตอบรับให้กำลังจากพ่อแม่พี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับชูป้าย “อารยะ เบอร์ 4”และ พรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการปราศรัยได้มีประชาชนมาคอยมอบพวงมาลัยดาวเรืองและขอถ่ายภาพร่วมกับร.อ.ธรรมนัส และนายอารยะ เป็นจำนวนมาก ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักชื่นมื่น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 เมษายน 2566

“สันติ-ชัยวุฒิ”ควงแขนแสดงความยินดีครบรอบตั้งพรรคภท-.ปชป ความร่วมมือทำงานในอนาคตให้เป็นหน้าที่ประชาชนตัดสินใจ

,

“สันติ-ชัยวุฒิ” ควงแขนแสดงความยินดีครบรอบตั้งพรรคภท-.ปชป ความร่วมมือทำงานในอนาคตให้เป็นหน้าที่ประชาชนตัดสินใจ

เมื่อเวลา 8.05 น. วันที่ 6 เม.ย.2566 นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และรองหัวหน้าพรรคพปชร.เป็นตัวแทน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้เดินทางไปแสดงความยินดีและมอบช่อดอกไม้ ที่พรรคภูมิใจไทย ในโอกาสครบรอบการก่อตั้งพรรคก้าวเข้าสู่ปีที่15 ของพรรคภูมิใจไทย โดยมีนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองหัวหน้าพรรค และนายศุภชัย โพธิ์สุ อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นตัวแทนรับมอบ จากนั้นได้เดินทางร่วมแสดงความยินดี กับพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องในโอกาสวันครบรอบวันก่อตั้ง 77 ปี โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค นายนิพนธ์ บุญญามนี รองหัวหน้าพรรค รับมอบ โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น และชื่นมื่น

นายสันติกล่าวว่า วันนี้มาร่วมแสดงความยินดีกับทั้งสองพรรค ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่ร่วมกันทำงานมา ตลอด 4 ปี ในการดูแลความเป็นอยู่ให้ประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาของเลือกตั้ง เป็นวันที่เป็นมงคลในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ในเรื่องของนโยบายการทำงานเราก็ไปด้วยกันได้ เราไม่มีความขัดแย้ง ในครั้งหน้าเราก็พร้อมร่วมมือกับพรรคที่จะทำงานเพื่อประชาชน และที่ผ่านมาเราก็เป็นพรรคร่วมรัฐบาลกันมา ก็คงสามารถที่จะทำงานร่วมกันต่อไป

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า วันนี้ไม่มีอะไรมาก เป็นงานมงคล ซึ่งนายสันติ และตนมาเป็นตัวแทนของพรรคพลังประชารัฐ เพื่อมาแสดงความยินดี พร้อมอวยพรให้กับพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล อยู่ด้วยกันมา 4 ปี ทำงานราบรื่นประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ถือได้ว่าเป็นพรรคที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และยืนยันว่าใจเรารักกันอยู่แล้ว เพราะเราร่วมงานกันมาไม่ได้ขัดแย้งกับใคร ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน พร้อมยืนยัน ว่าพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ขัดแย้งกับใคร เราก้าวข้ามความขัดแย้ง เราทำงานร่วมกับบุคคล ที่ตั้งใจมาทำประโยชน์ให้กับประชาชน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 6 เมษายน 2566