โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: กิจกรรม ส.ส. และสมาชิก

ผู้กองธรรมนัส ควงว่าที่ ส.ส. เขต 2 พะเยา ‘น้องออม อนุรัตน์ ตันบรรจง’ ร่วมประเพณีบุญบั้งไฟ ตำบลอ่างทอง ประจำปี 2566 ‘รวมพลคนอิสานล้านนา สืบสานตำนานบุญบั้งไฟตำบลอ่างทอง’

,

ผู้กองธรรมนัส ควงว่าที่ ส.ส. เขต 2 พะเยา ‘น้องออม อนุรัตน์ ตันบรรจง’ ร่วมประเพณีบุญบั้งไฟ ตำบลอ่างทอง ประจำปี 2566 ‘รวมพลคนอิสานล้านนา สืบสานตำนานบุญบั้งไฟตำบลอ่างทอง’

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2566 ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)เขต1 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นประธานพิธีเปิดงานประเพณีบุญบั้งไฟ ตำบลอ่างทอง ประจำปี 2566 ‘รวมพลคนอิสานล้านนา สืบสานตำนานบุญบั้งไฟ ตำบลอ่างทอง’ ณ บ้านปางมดแดง ตำบลอ่างทอง อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา โดยมีนางสาวธนพร ศรีวิราช ภริยา และนายอนุรัตน์ ตันบรรจง ว่าที่ ส.ส.เขต จังหวัดพะเยา ไปร่วมงานในครั้งนี้ด้วย ซึ่งมีประชาชนในพื้นที่ตำบลอ่างทอง และหมู่บ้านใกล้เคียงเป็นจำนวนมาก บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก

ร้อยเอกธรรมนัส กล่าวว่า ยินดีที่ได้มาร่วมประเพณีบุญบั้งไฟ ตำบลอ่างทอง เพื่อสืบสานประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามของพ่อแม่พี่น้องชาวอีสาน ในพื้นที่ตำบลปางมดแดง ที่อพยพย้ายถิ่นฐานมาจากหลายจังหวัดของภาคอีสานทั้ง กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ และมหาสารคาม เป็นเวลานาน และเมื่อมีพ่อแม่พี่น้องชาวอิสานเข้ามาอาศัยเป็นจำนวนมาก ขยายเป็นหลายหมู่บ้านของตำบลอ่างทอง ต่างก็ร่วมกันสานต่อประเพณีบุญบั้งไฟอันดีงามนี้มาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซึ่งตนเองพร้อมสนับสนุนให้มีการจัดประเพณีบุญบั้งไฟ ตำบลอ่างทอง สู่รุ่นลูกหลานในอนาคตสืบไป

สำหรับงานประเพณีบุญบั้งไฟบ้านปางมดแดง ตำบลอ่างทอง อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา จัดโดยองค์การบริหารส่วนตำบลอ่างทอง ระหว่างวันที่ 27-28 พฤษภาคม 2566 ภายในงานมีทั้งการประกวดขบวนแห่บั้งไฟ และขบวนเซิ้งแต่ละชุมชน การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน เซิ้งและโปงลาง หมอลำ และยังมีการจุดบั้งไฟ เพื่อบูชาพญาแถน (ขอฝน) ณ อ่างเก็บน้ำสาธารณะ (หนองสลาบ) บ้านปางมดแดง หมู่ที่ 4 ตำนลอ่างทอง อำเภอเชียงคำ อีกด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 27 พฤษภาคม 2566

“สัมพันธ์ – อามินทร์” คว้าที่นั่งส.ส.เดินหน้าแก้ปัญหาปากท้องจ.นราธิวาส กระตุ้นท่องเที่ยวฟื้นเศรษฐกิจพื้นที่ดึงคนมาเลย์เข้าไทยกระจายรายได้ ปชช.

,

“สัมพันธ์ – อามินทร์” คว้าที่นั่งส.ส.เดินหน้าแก้ปัญหาปากท้องจ.นราธิวาส กระตุ้นท่องเที่ยวฟื้นเศรษฐกิจพื้นที่ดึงคนมาเลย์เข้าไทยกระจายรายได้ ปชช.

นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 3 จ.นราธิวาส เปิดเผยว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมา ในจังหวัดนราธิวาส ตนและ นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ เขต 2 ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง โดยตนได้รับการแต่งตั้งเป็นสมัยที่ 2 ถือเป็นความไว้วางใจที่ ประชาชนในพื้นที่ได้มอบให้ และพร้อมทำหน้าที่ต่อเนื่อง นอกจากเรื่องการสร้างสันติสุขในพื้นที่ ที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐที่ให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบัน ทำให้สามารถพัฒนาการเติบโตทางเศรษฐกิจในด้านต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องปากท้อง ที่ต้องการสร้างอาชีพที่มั่นคงให้กับประชาชน โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับคืนมา เพื่อสร้างรายได้ให้กับประชาชน โดยการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียมาสู่จังหวัดนราธิวาสมากยิ่งขึ้น ที่อาศัยความสัมพันธ์ที่ดีของทั้งสองประเทศ

“ส่วนเรื่องการกินดีอยู่ดีที่มั่นคง ยังเป็นปัญหาที่ต้องเร่งเข้าไป ส่งเสริมอาชีพทางการเกษตร ที่ปัจจุบันเกษตรกร มีการละทิ้งไร่นา จนเป็นนาล้าง ไม่มีการเพาะปลูก จึงจะวางแผนเร่งส่งเสริม ประสานหน่วยราชการ ให้มาสนับสนุน โดยการมอบเมล็ดพันธ์ข้าว เพื่อให้ที่นากลับมาเป็นที่ทำกินได้อีกครั้ง เชื่อมั่นว่า จะทำให้ประชาชน มีอาชีพ และมีรายได้มั่นคงมากขึ้น”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 พฤษภาคม 2566

“ทวี สุระบาล” ว่าที่ส.ส. ตรัง ขอบคุณปชช.เทเสียงขึ้นแชมป์อันดับ1 ของประเทศ พร้อมลุยทำงานแก้ปัญหาปากท้องให้กับพี่น้องดันทุกเรื่องเข้าสู่สภาฯ

,

“ทวี สุระบาล” ว่าที่ส.ส. ตรัง ขอบคุณปชช.เทเสียงขึ้นแชมป์อันดับ1 ของประเทศ พร้อมลุยทำงานแก้ปัญหาปากท้องให้กับพี่น้องดันทุกเรื่องเข้าสู่สภาฯ

นายทวี สุระบาล ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 2 จ.ตรัง กล่าวว่า ตนขอขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดตรังเขต 2 ที่มอบคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น จนสามารถมีคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. 2566 สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ด้วยคะแนนเสียง 63,185 คะแนน เป็นครั้งที่ 2 ที่พี่น้องชาวจ.ตรังให้ความไว้วางใจ จากเมื่อปี 2544 ที่เคยได้รับคะแนนเสียงสูงสุดเป็นครั้งแรก 65,458 คะแนน นับเป็นคนแรกของรัฐสภาไทยที่ได้คะแนนสูงสุด สองครั้ง ซึ่งเป็นการทำงานลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ยังได้ทำหน้าที่พบปะประชาชน อย่างใกล้ชิดไม่เคยทิ้งพื้นที่

นายทวี กล่าวต่อว่า พี่น้องประชาชนยังพอใจในนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะการเพิ่มเบี้ยสวัสดิการ 700 บาท และ และ เบี้ยยังชีพผู้สูงวัย โดยการเพิ่มเบี้ยยังชีพแบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็นจำนวน 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปี ขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน หรือเรียกว่า‘เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ 3 4 5 และ 6 7 8’

“หลังจากนี้ แม้ว่าจะยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ จากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เตรียมพร้อม และลงพื้นที่ต่อเนื่อง ไม่เคยปฏิเสธการเข้าถึงประชาชนเพื่อช่วยเหลือในทุกเรื่อง โดยเฉพาะปัญหาปากท้อง ที่ต้องเร่งเสนอต่อ พรรค เพื่อนำไปผลักดันในสภาฯ ต่อไป “

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 พฤษภาคม 2566

ดร.ลั่น – สฤษดิ์ ไพรทอง ลงพื้นที่เยาวราชหาเสียงโค้งสุดท้าย พบแฟนคลับต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมชูนโยบายท่องเที่ยวแก้เศรษฐกิจปากท้องเร่งด่วน ผลักดันกรุงเทพฯชั้นในสู่จุดหมายที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องมาเยือน ย้ำทำได้ทันทีไม่ต้องรอ

,

ดร.ลั่น – สฤษดิ์ ไพรทอง ลงพื้นที่เยาวราชหาเสียงโค้งสุดท้าย พบแฟนคลับต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมชูนโยบายท่องเที่ยวแก้เศรษฐกิจปากท้องเร่งด่วน ผลักดันกรุงเทพฯชั้นในสู่จุดหมายที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องมาเยือน ย้ำทำได้ทันทีไม่ต้องรอ

ดร.สฤษดิ์ ไพรทอง หรือ ดร.ลั่น ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กรุงเทพมหานคร เขต 1 หมายเลข 11 กล่าวในระหว่างลงพื้นที่หาเสียงย่านเยาวราชว่า จากการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนในช่วงที่ผ่านมา เสียงสะท้อนที่ได้รับฟังส่วนใหญ่ที่ต้องการให้ทางพรรคฯ ผลักดันเร่งด่วนยังคงเป็นเรื่องเศรษฐกิจและปัญหาปากท้อง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาปากท้องประชาชนโดยเร็วเช่นกัน

ทั้งนี้ หนึ่งในนโยบายของ พปชร.นั้น จะมีนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ผ่านกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาท เพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นมหานครแห่งอาเซียน เพื่อเร่งนำเงินเข้าประเทศให้เร็วที่สุด ตามนโยบายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคฯ เนื่องจากการท่องเที่ยวเป็นช่องทางที่เร็วที่สุดในการหารายเข้าประเทศ เพราะการท่องเที่ยวนั้น ไม่ต้องรอการก่อสร้าง รอเพียงแต่นักท่องเที่ยวมาในประเทศ ก็ได้เงินเข้าประเทศทันที ซึ่งกรุงเทพฯเป็นหมุดหมาย และเป็นแลนด์มาร์คการท่องเที่ยวของภูมิภาคนี้อยู่แล้ว
.
ขณะเดียวกัน ในพื้นที่กรุงเทพฯชั้นใน มีย่านการค้าและการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวรู้จักดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นย่านของกินชื่อดังอย่างเยาวราช ย่านศิลปวัฒนธรรมอย่างพระบรมมหาราชวัง และย่านถนนข้าวสาร ซึ่งสามารถพัฒนาพื้นที่ใกล้เคียงต่อยอดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวไปสู่ชุมชนต่าง ๆ ในพื้นที่ได้เช่นกัน

พร้อมกันนี้ ดร.สฤษดิ์ ยังได้นำเสนอ นโยบายลดค่าครองชีพให้กับประชาชน หาก พปชร.ได้เป็นรัฐบาล ที่จะผลักดันทันที เช่น ลดค่าไฟฟ้าเหลือหน่วยละ 2.50 บาท, ลดราคาน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 6.30 บาท และเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุแบบขั้นบันได คือ ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็น 3,000 บาทต่อเดือน, อายุ 70 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็น 4,000 บาทต่อเดือน อายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็น 5,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น

สำหรับบรรยากาศในการลงพื้นที่เยาวราช ของดร.สฤษดิ์ ในครั้งนี้ ยังคงมีประชาชน พ่อค้า แม่ค้า และแฟนคลับ ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมกับส่งเสียงเชียร์เหมือนเช่นเคย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 พฤษภาคม 2566

“อุตตม – สนธิรัตน์” แอ่วเหนือให้กำลังใจ “ผู้การกริช” ผู้สมัคร ส.ส. ลำพูน เขต 2 เบอร์ 8 พร้อมปราศรัยย่อยขอคะแนนเสียงอ้อนคนลำพูนเปลี่ยน ส.ส.ใหม่

,

“อุตตม – สนธิรัตน์” แอ่วเหนือให้กำลังใจ “ผู้การกริช” ผู้สมัคร ส.ส. ลำพูน เขต 2 เบอร์ 8 พร้อมปราศรัยย่อยขอคะแนนเสียงอ้อนคนลำพูนเปลี่ยน ส.ส.ใหม่

วันที่ 8 พ.ค. 2566 ที่ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน นายอุตตม สาวนายน ประธานคณะจัดทำนโยบายพรรคพลังประชารัฐ และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ ร่วมพบปะแกนนำ และปราศรัยย่อยช่วย “พล.ต.ต.กริช กิติลือ ผู้สมัคร ส.ส. ลำพูน เขต 2 เบอร์ 8” พร้อมขึ้นรถแห่หาเสียงในพื้นที่เขต 2 และพบปะประชาชน และพ่อค้าแม่ค้าในตลาดแม่ทองริ้ว โดยบรรยากาศการปราศรัยเป็นไปอย่างคึกคัก ประชาชนให้การตอบรับ และเข้าร่วมรับฟังปราศรัยเป็นจำนวนมาก

โดยนายอุตตม ได้กล่าวช่วงหนึ่งในการพบปะแกนนำว่า วันนี้ตน และนายสนธิรัตน์ ขอมาให้กำลังใจ พล.ต.ต.กริช และทีมงานทุกคนในการหาเสียงช่วงเลือกตั้งช่วงโค้งสุดท้ายนี้ ซึ่งตนเชื่อว่าโค้งสุดท้ายนี้ จะมีการแข่งขันกันอย่างหนักมาก แต่ขอให้ทุกคนทำงานให้เต็มที่ อย่าหวาดกลัวต่อการแข่งขัน และขอให้มั่นใจว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคที่มีความพร้อมที่จะเข้าไปเป็นรัฐบาล เข้าไปบริหารประเทศ รวมถึงเข้าไปแก้ไขปัญหาในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ และปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ซึ่งเป็นความตั้งใจของพรรคพลังประชารัฐ พล.ต.ต.กริช เป็นคนที่มีคุณภาพ มีทีมงานในพื้นที่ที่เข้มแข็ง จึงมั่นใจว่าจะสามารถเข้าไปเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนในสภาผู้แทนราษฎร ในการแก้ไขปัญหาของพี่น้องเขต 2 ลำพูน โดยเฉพาะปัญหาราคาพืชผลการเกษตรอย่างลำไย ที่ผ่านมา ได้ทราบว่า พล.ต.ต.กริช ได้ลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่องเพื่อรับฟังและรวบรวมทุกปัญหาที่จะนำไปสู่การต่อสู้และแก้ไขในสภาให้สำเร็จ

จากนั้นนายสนธิรัตน์ ได้ขึ้นรถแห่หาเสียงไปยังตลาดแม่ทองริ้วพร้อมกล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า ตนมาช่วยหาเสียงที่ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน วันนี้ เพราะอยากให้พี่น้องชาวป่าซาง เปลี่ยน ส.ส. เป็นผู้การกริช คนที่จะอยู่รับใช้พี่น้องอย่างใกล้ชิด เพราะ ส.ส.บางคนเขามองว่าพี่น้องเป็นของตาย อย่างไรเขาก็ได้เป็น ส.ส. ทั้งนี้เป็นเวลาหนึ่งปีเต็มที่ผู้การกริช ตัดสินใจอาสามารับใช้พี่น้อง เชื่อว่าพี่น้องเห็นเขาเดินหาเสียงมาทั้งปี ถามว่าพี่น้องเคยเห็น ส.ส. เก่าเดินหาเสียงเท่าผู้การกริชหรือไม่ ดังนั้นการจะเลือกคนมาเป็น ส.ส. ในดวงใจพี่น้อง ต้องเลือกคนที่อาสามารับใช้พี่น้องอย่างใกล้ชิด และต้องเลือก ส.ส. ในพรรคที่จะได้เป็นรัฐบาล ถ้าพี่น้องเลือก ส.ส. แล้วพรรรคนั้นไม่ได้เป็นรัฐบาล เขาก็มาช่วยพี่น้องได้ไม่เต็มที่

“วันนี้ผมมาในนามตัวแทนพรรค เพื่อบอกพี่น้องว่าคนทั้งวงการการเมืองเขาบอกว่าพรรคอะไรก็แล้วแต่หลังเลือกตั้งจะจัดตั้งรัฐบาล แต่พรรคที่แบเบอร์เป็นรัฐบาล 100% ชื่อพรรคพลังประชารัฐ ดังนั้นหากพี่น้องเลือกผู้การกริช จะได้คนที่ไปเป็น ส.ส.ของรัฐบาลแน่นอน คนที่สามารถเข้าไปขับเคลื่อนเพื่อแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะลำไย ซึ่งเมืองลำพูนถือว่าเป็นเมืองลำไย และประสบปัญหาราคาตกต่ำมาทุกฤดูกาล นอกจากนี้ หากผู้การกริช ได้เป็น ส.ส.และพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล พี่น้องจะได้นโยบายปุ๋ยคนละครึ่งทันที นอกจากนี้ยังมีบัตรประชารัฐ 700 บาท เบี้ยผู้สูงอายุ 60-80 ปี ได้รับเงิน 3,000-5,000 บาท วันนี้พี่น้องจะรักใครชอบใครเป็นเรื่องทางการเมือง แต่ถ้าจะเลือกพรรค หรือ ส.ส. ต้องเลือกคนที่จะมาช่วยพี่น้องจริงๆ เลือก ส.ส. ที่จะไปช่วยผลักดันจัดตั้งรัฐบาลนั่นคือผู้การกริช ผมยืนยันว่าพรรคของเราภูมิใจที่ได้คนอย่างผู้การกริช มาเป็นผู้แทนให้พี่น้อง เขาจะอยู่ใกล้ชิด และทุ่มเทให้พี่น้องอย่างแน่นอน“ นายสนธิรัตน์ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 พฤษภาคม 2566

สกลธี ควง บุณณดา ปราศรัยชูนโยบายปากท้องเพื่อพี่น้องย่านฝั่งธน พร้อมย้ำจุดยืนไม่ร่วมกับพรรคการเมืองที่จะแก้ไข ม.112

,

สกลธี ควง บุณณดา ปราศรัยชูนโยบายปากท้องเพื่อพี่น้องย่านฝั่งธน พร้อมย้ำจุดยืนไม่ร่วมกับพรรคการเมืองที่จะแก้ไข ม.112

เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ และหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ ของพรรคฯ ลงพื้นที่ลานออกกำลังกายชุมชนวัดโมลีฯ ใต้สะพานข้ามคลองบางกอกใหญ่ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ ร่วมกับ ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 32 เขตบางกอกน้อย (เฉพาะแขวงศิริราช) เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ (ยกเว้นแขวงบางหว้า แขวงบางด้วน และแขวงคลองขวาง) เขตตลิ่งชัน (เฉพาะแขวงบางเชือกหนัง) เขตธนบุรี (เฉพาะแขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจี และแขวงบางยี่เรือ) หมายเลข 6 เพื่อพบปะประชาชน พร้อมชูนโยบายหลักของพรรคประชารัฐเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของพี่น้องย่านฝั่งธน

​นายสกลธีกล่าวว่า ในย่านนี้จะเป็นหมุดหมายการท่องเที่ยวแห่งใหม่ เพราะมีความน่าสนใจที่เป็นชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีเรื่องราวในชุมชนมากมายที่สามารถนำมาสร้าง Story ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศได้ แต่ยังขาดการสนับสนุนจากรัฐและท้องถิ่นอย่างยั่งยืน เพราะงบประมาณไม่เพียงพอ ซึ่งพรรคพลังประชารัฐจะนำกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านมาช่วยพัฒนาจุดนี้เพิ่มขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ให้คนในพื้นที่นี้ต่อไป

“พรรคพลังประชารัฐย้ำมาตลอดว่าเรามีจุดยืนที่จะไม่ร่วมกับพรรคการเมืองที่จะแก้ไข ม.112 เพราะเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ประชาชนรวยขึ้นหรือจนลง ควรมองไปที่นโยบายที่จะทำให้ความเป็นอยู่ของทุกคนดีขึ้น ดังนั้นถ้ามีเงื่อนไขว่าถ้าจะร่วมตั้งรัฐบาลกับเขาแล้วต้องเอาอันนี้ด้วย แล้วทำให้ประเทศลุกเป็นไฟ เราไม่เอาแน่นอน รวมถึงเรื่องนโยบายที่เอาไปใช้แล้วประเทศล่มจมทางเศรษฐกิจ เราก็ไม่เอาเหมือนกัน”

​ด้าน ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตรมีจุดยืนที่ชัดเจนเรื่องการก้าวข้ามความขัดแย้ง และสามารถนำพาประเทศให้เดินไปข้างหน้าได้โดยไม่ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน แม้ลุงป้อมจะโดนบูลลี่ล้อเลียนในโลกโซเชี่ยลอย่างไร ก็ไม่เคยตอบโต้ และบอกสมาชิกพรรคไม่ให้ตอบโต้ ขัดแย้ง และสาดโคลนใส่กัน เพราะท่านเห็นคนรุ่นใหม่เป็นเหมือนลูกหลาน สิ่งที่ลุงป้อมคิดมีเพียงแต่จะทำให้ลูกหลาน ทำให้ประเทศชาติเท่านั้น จึงอยากขอฝากทุกคนในเขตเลือกตั้งที่ 32 บัตรสีม่วงกาเบอร์ 6 บัตรสีเขียวทั่วประเทศกาเบอร์ 37 ด้วย เพื่อความสุขสงบของชาติและเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 พฤษภาคม 2566

“ชัยวุฒิ” ควง “ฟิล์ม” ปราศรัยเขตสวนหลวง ชูนโยบายลดค่าครองชีพ พร้อมวลีเด็ด “กระแสพรรคนั้นอยู่ไม่นาน แต่ถ้าเลือกคนที่ทำงาน ผมจะอยู่กับพ่อแม่พี่น้องตลอดไป”

,

“ชัยวุฒิ” ควง “ฟิล์ม” ปราศรัยเขตสวนหลวง ชูนโยบายลดค่าครองชีพ พร้อมวลีเด็ด “กระแสพรรคนั้นอยู่ไม่นาน แต่ถ้าเลือกคนที่ทำงาน ผมจะอยู่กับพ่อแม่พี่น้องตลอดไป”

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมกับนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ผู้สมัคร ส.ส. กรุงเทพมหานคร เขต 22 เบอร์ 1 พรรคพลังประชารัฐ ได้ลงพื้นที่ปราศรัยกับพี่น้องชาวสวนหลวง ที่ศูนย์ยีซา ซอยปานเหล็ง โดยการปราศรัยในครั้งนี้ นายชัยวุฒิ ได้ขอบคุณพี่น้องชาวสวนหลวงที่สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ และมั่นใจว่าเขตนี้ฟิล์มจะได้รับการเลือกจากประชาชน ได้เป็น ส.ส. เขตสวนหลวง

นายชัยวุฒิ กล่าวถึงนโยบายลดค่าครองชีพว่า ปัจจุบันสินค้ามีราคาแพงเพราะพลังงานมีราคาสูงมาก ทางพรรคจึงมีนโยบายเร่งด่วนในการลดค่าครองชีพให้กับประชาชน ด้วยการลดค่าไฟฟ้าเหลือหน่วยละ 2.50 บาท ลดค่าแก๊สเหลือถังละ 250 บาท ลดค่าน้ำมันเบนซินลงลิตรละ 18 บาท ดีเซลลดลงลิตรละ 6 บาท และยังมีนโยบายช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อย อย่างบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เพิ่มเงินเป็น 700 บาท

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า นโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง จะทำให้บ้านเมืองสงบสุขประเทศเดินไปข้างหน้า มีนักท่องเที่ยว มีนักธุรกิจมาลงทุน มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ให้กับประชาชนชาวกรุงเทพมหานครอยู่อย่างมีความสุข เราคิดต่างกันได้ เราเห็นต่างกันได้ แต่เราต้องทำให้บ้านเมืองสงบสุข เลือกพรรคพลังประชารัฐให้ “ลุงป้อม” ก้าวข้ามความขัดแย้งไปด้วยกันให้ได้นะครับ พรรคพลังประชารัฐมีอุดมการณ์ชัดเจน สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง มีประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนทางพรรคเห็นด้วย แต่ถ้าจะไปเปลี่ยนสิ่งใดทำให้บ้านเมืองเสียหาย ทำให้ประชาชนแตกแยก ทำให้ลูกหลานในอนาคตของเราเดือดร้อน พรรคพลังประชารัฐจะไม่ยอมเด็ดขาด นี่คืออุดมการณ์สำคัญของพรรคพลังประชารัฐที่จะมีอยู่ตลอดไป

ด้านนายรัฐภูมิ กล่าวว่า ทุกคนไม่ต้องห่วงโตมาต้องมั่งคงใครที่มีรายได้ไม่ถึง 5 แสนบาทไม่ต้องเสียภาษี พร้อมชูนโยบายสวัสดิการผู้สูงอายุ “3 4 5 6 7 8″ โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะได้รับ 3,000 บาท อายุ 70 ปีขึ้นไป จะได้รับ 4,000 บาท และอายุ 80 ปีขึ้นไปจะได้รับ 5,000 บาท อีกทั้งบัตรสวัสดิการรัฐหรือบัตรประชารัฐ ที่เมื่อก่อนได้รับ 300 บาท ถ้าพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาลจะเพิ่มเป็น 700 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ฟิล์มยังได้ขอกำลังใจจากพี่น้องประชาชนเขตสวนหลวง และทิ้งวลีเด็ดส่งท้ายว่า “วันนี้กระแสพรรคนั้นอยู่ไม่นาน แต่ถ้าทุกคนเลือกคนที่ทำงาน ผมจะอยู่กับพ่อแม่พี่น้องตลอดไป” พร้อมเชิญชวนประชาชนออกมาใช้สิทธิ ใช้เสียงเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ เป็นกำลังใจให้ฟิล์ม บัตรสีม่วงกาเบอร์ 1 เลือกฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ เขต 22 ส่วนใครชื่นชอบนโยบายพรรคพลังประชารัฐ บัตรสีเขียวกาเบอร์ 37

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 พฤษภาคม 2566

“ผู้กองธรรมนัส”ปลุกคนพะเยา สร้างพลังร่วมพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญยิ่งขึ้น หยุดยืมจมูกคนอื่นหายใจ ขออาสาเข้าสภาฯช่วยแก้ไขปัญหาให้ ปชช. เข้าคูหากาเบอร์ 6 37

,

“ผู้กองธรรมนัส”ปลุกคนพะเยา สร้างพลังร่วมพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญยิ่งขึ้น หยุดยืมจมูกคนอื่นหายใจ ขออาสาเข้าสภาฯช่วยแก้ไขปัญหาให้ ปชช. เข้าคูหากาเบอร์ 6 37

ที่บริเวณสนามกีฬาตำบลเชียงแรง อ.ภูซาง จ.พะเยา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 6 จังหวัดพะเยา พปชร.และในฐานะประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ นำคณะผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ อาทิ นายไพรัตน์ ตันบรรจง พร้อมทีมงานผู้ช่วยหาเสียง ได้มาร่วมกันพบปะประชาชนและปราศรัยหาเสียงช่วยนายอนุรัตน์ ตันบรรจง (ออม)ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 เบอร์ 6 พปชร.จังหวัดพะเยา ซึ่งมีประชาชนจากหลายตำบลของอำเภอภูซาง มาให้กำลังใจและร่วมรับฟังการปราศรัยอย่างเนืองแน่น

ร้อยเอกธรรมนัส กล่าวทักทายประชาชนช่วงหนึ่งว่า ขอบคุณทุกท่านที่มาให้กำลังใจตนเองและผู้สมัคร ส.ส.ทั้งแบบเขต คือน้องออม อนุรัตน์ ตันบรรจง เบอร์ 6 และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่พร้อมใจกันมาพบปะพ่อแม่พี่น้องทุกคนในวันนี้ ตนเองขอยืนยันว่าในนามพรรคพลังประชารัฐ เรามีแต่นโยบายดีๆ มีประโยชน์ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพ่อแม่พี่น้องทุกคน ซึ่งผู้ปราศรัยหลายท่านได้กล่าวไปหมดแล้ว ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีอยู่แล้วก็จะเพิ่มเป็น 700 บาท และผู้ถือบัตรยังมีประกันชีวิตอีก 200,000 บาท ตลอดจนการดูแลผู้สูงอายุ ที่จะมีเบี้ยยังชีพแบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็นจำนวน 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปี ขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน

“พี่น้องครับ วันนี้เดือดร้อนจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทั้งน้ำมัน แก๊ส ไฟฟ้าแพง ขณะที่ราคาข้าว ราคายาง ราคาพืขผลผลิตของเราถูก ใช่หรือไม่ ดังนั้นทางพรรคฯ จะช่วยแบ่งเบาภาระดังกล่าว ทั้งจะลดราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส และค่าไฟฟ้าลง ในทันที ที่เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยลดราคาน้ำมันดีเซล 6.30 บาทต่อลิตร เบนซิน 18 บาทต่อลิตร รวมทั้งยังมีมาตรการลดราคาแก๊สให้เหลือ 250 บาทต่อถัง ที่สำคัญ คือ ลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนให้เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย เท่านั้นยังไม่พอเราจะแก้ปัญหาที่ดินทำกิน เปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด ใครที่มีเอกสาร คทช.ก็จะเปลี่ยนเป็น สปก.4-01 อีกด้วย แบบนี้ดีหรือไม่ครับ”

ร้อยเอกธรรมนัส ยังกล่าวว่า วันนี้ตนมาเชิญชวนชาวภูซาง เป็นเครือข่ายของคนพะเยา สร้างพลังของชาวพะเยาไม่ต้องยืมจมูกคนอื่นมาหายใจ ชาวพะเยาเราจะสนับสนุนลูกหลานคนพะเยา เพื่อร่วมกันพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญยิ่งขึ้น ซึ่งตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ตนเองได้ทำงานให้เห็นผลงานชัดเจนทั้งการผลักดันงบประมาณมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานถนนหนทางให้สะดวกปลอดภัยมากขึ้นไปทุกทิศทางของพะเยา ดังนั้นในการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม นี้ ขอให้พร้อมใจกันไปกาบัตรสีม่วงเบอร์ 6 และบัตรสีเขียวเบอร์ 37 หรือจดจำง่ายๆ เป็นเลขสามตัวคือ 6 37 เราจะร่วมพัฒนาเมืองพะเยา ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ทางภาคเหนือให้มีชื่อเสียง เจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น

ด้านนายอนุรัตน์ กล่าวเสริมว่า ขออย่าลืมว่า วันที่ 14 พฤษภาคมนี้ เข้าคูหากาเบอร์ 6 ตนเองจะทุ่มเท ใช้สรรพกำลังทุกอย่าง ใช้ความคิดความอ่าน ใช้มันสมองที่มี ทำงานรับใช้พ่อแม่พี่น้องของเรา ให้ดีที่สุด ชาวบ้านส่วนใหญ่บอกว่า 4 ปีที่ผ่านไปความทุกข์ความลำบากยังไม่ได้รับการแก้ไข ดังนั้นช่วง 4 ปีจากนี้ ตนเองขออาสาเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาให้ประชาชนด้วยความจริงใจ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 พฤษภาคม 2566

ไปป์ ภูวกร ปรางภรพิทักษ์ ผู้สมัคร ส.ส. กทม เขต 4 พลังประชารัฐ ร่วมสนับสนุนนโยบายความเท่าเทียมทางเพศในศึกเลือกตั้ง 2566

,

ไปป์ ภูวกร ปรางภรพิทักษ์ ผู้สมัคร ส.ส. กทม เขต 4 พลังประชารัฐ ร่วมสนับสนุนนโยบายความเท่าเทียมทางเพศในศึกเลือกตั้ง 2566

ไปป์ ภูวกร ปรางภรพิทักษ์ ผู้สมัคร ส.ส. เขตวัฒนา-คลองเตย เบอร์ 8 พรรคพลังประชารัฐ ร่วมกิจกรรมเสวนา “ทอม ทรานส์ ผู้ชายข้ามเพศ ทรานส์มาสคิวลีน ในศึกเลือกตั้ง 2566” เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2566 ณ เดอะ ฟอร์ท สุขุมวิท 51 กทม. ร่วมกับผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีอัตลักษณ์เพศหลากหลาย ได้แก่ ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ (เตอร์) พรรคก้าวไกล กฤศ ธรรมสโรช (จิมมี่) พรรคเสมอภาค รณกฤต หะมิชาติ (แซม) พรรคเพื่อชาติ และ ณัฏฐ์ มงคลนาวิน (นัตเต้) พรรคภูมิใจไทย

ทั้งนี้ ไปป์ กล่าวว่า ‘ขออาสาเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ในพรรค เพื่อรับฟัง สร้างความเข้าใจเรื่องความหลากหลาย ว่าไม่ใช่ของเพศหลากหลายเท่านั้น แต่ของทุกคน ผมอยากเป็นตัวแทนประสานคนภายในพรรคและความเข้าใจเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศ ให้กว้างขึ้น’

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 พฤษภาคม 2566

ธรรมนัส -บุญสิงห์’ นำทีมลุยหาเสียงช่วย ‘ออม อนุรัตน์ ตันบรรจง’ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 เบอร์ 6 พปชร. จ.พะเยา ปลุกใจถึงเวลาต้องกล้าเปลี่ยน เลือกคนใหม่มีพลังเต็มเปี่ยม ร่วมสร้างบ้านแปงเมือง

,

ธรรมนัส -บุญสิงห์’ นำทีมลุยหาเสียงช่วย ‘ออม อนุรัตน์ ตันบรรจง’ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 เบอร์ 6 พปชร. จ.พะเยา ปลุกใจถึงเวลาต้องกล้าเปลี่ยน เลือกคนใหม่มีพลังเต็มเปี่ยม ร่วมสร้างบ้านแปงเมือง

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2566 ณ บริเวณลานโรงสีกิตติยะเอ็นเตอร์ไพร์ส ตำบลทุ่งรวงทอง อำเภอจุน จังหวัดพะเยา พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)นำโดยร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 6 จังหวัดพะเยา พปชร.และในฐานะประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ พร้อมด้วยนายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะกรรมการบริหารพรรค พปชร. นางสาวธนพร ศรีวิราช ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายไพรัตน์ ตันบรรจง ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพร้อมทีมงานผู้ช่วยหาเสียง ได้มาร่วมกันพบปะประชาชนและปราศรัยหาเสียงช่วยนายอนุรัตน์ ตันบรรจง (ออม)ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 เบอร์ 6 พปชร.จังหวัดพะเยา ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก มีประชาชนมารอต้อนรับให้กำลังใจและร่วมรับฟังการปราศรัยเป็นจำนวนมาก

ร้อยเอกธรรมนัส กล่าวช่วงหนึ่งว่า วันนี้ดีใจที่ได้มาพบปะพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน จึงถือโอกาสมาขอคะแนนจากทุกท่านให้น้องออม หรือ อนุรัตน์ ตันบรรจง ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 เบอร์ 6 ของพรรคฯ เพื่อเข้าไปเป็นปากเป็นเสียงแทนทุกท่านและจะได้ช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองของเราให้ดียิ่งขึ้น และช่วยดูแลแก้ปัญหาปากท้อง เรื่องน้ำ เรื่องที่ดินทำกิน ตลอดจน เรื่องราคาพืชผลการเกษตรต่างๆ ที่สร้างความเดือดร้อนอย่างมากในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาด โดยเฉพาะลิ้นจี่ ลำไย เป็นต้น

“พี่น้องครับ การเลือกตั้งเมื่อปี 62 ผมได้เป็น ส.ส.ในเขต 1 พะเยา และมีโอกาสเป็นรัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงเกษตรฯ รวมถึงเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ดูแลพื้นที่ภาคเหนือนั้นผมได้ผลักดันงบประมาณต่างๆ ลงมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจังหวัดพะเยาของเรา ทั้งถนนหนทาง สาธารณูปโภคต่างๆให้สะดวกปลอดภัยมากขึ้น ถนนที่มาจากดอกคำใต้ เข้ากิ่วแก้ว จุนไปสุดเชียงคำ ออกปูซาน เข้าเชียงของ ทำในยุคที่ผมเป็นรัฐมนตรี ไม่ใช่ ส.ส.ของเชียงรายหรือใครที่มาอวดอ้าง นอกจากนี้ ยังมีการผลักดันสร้างรถไฟทางคู่ จากเด่นชัย งาว มาเข้าพะเยา จนไปเชียงของ จนตอนนี้สร้างมาถึงแม่กาแล้ว ยังมีโครงการสร้างสนามบินพะเยา ที่ตนแองผลักดัน และจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2567 ที่ ตำบลดอนศรีชุม อำเภอดอกคำใต้ เหล่านี้ล้วนเป็นผลงานที่เห็นชัดเจน ดังนั้นจากนี้พ่อแม่พี่น้องต้องกล้าตัดสิน ต้องกล้ารับสิ่งใหม่ๆ ต้องกล้าเปลี่ยนแปลง เพื่อพัฒนาบ้านเมืองเราให้เจริฐก้าวหน้า มิฉะนั้นก็จะจมอยู่กับปัญหาเดิม ถึงเวลาแล้วต้องเปลี่ยนใช่หรือไม่ ดังนั้น วันที่ 14 พฤษภาคม นี้ ขอให้ไว้วางใจเลือกเบอร์ 6 เพื่อให้เป็นตัวแทนทุกท่าน ทำงานประสานกันกับตนเอง เพื่อมาแก้ปัญหาให้พี่น้อง เราต้องเปลี่ยน เปลี่ยนของเก่าเราไม่เอา เราต้องการเปลี่ยนใช่หรือไม่”

ทั้งนี้ เมื่อร้อยเอกธรรมนัส ได้ถามว่าต้องการเปลี่ยนหรือไม่ ประชาชนที่มานั่งฟังปราศรัย ต่างพร้อมใจกันส่งเสียงพร้อมชูมือว่า “เปลี่ยน เปลี่ยน เปลี่ยน” ซึ่งร้อยเอกธรรมนัส ได้กล่าวขอบคุณ ทุกคน พร้อมชูมือของ นายอนุรัตน์ เพื่อแสดงความขอบคุณและตอบรับพลังน้ำใจของประชาชนอีกด้วย

หลังจากนั้น นายบุญสิงห์ และนายอนุรัตน์ ได้สลับกันขึ้นปราศรัยแนะนำนโยบายของพรรค ที่ยึดหลักก้าวข้ามความขัดแย้ง ก้าวข้ามความยากจน แก้ปัญหาที่ดินทำกิน เปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด ใครที่มีเอกสาร คทช.ก็จะเปลี่ยนเป็น สปก.4-01 นอกจากนี้ ยังแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ โดยลดราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส และค่าไฟฟ้าลงในทันที ที่เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยลดราคาน้ำมันดีเซล 6.30 บาทต่อลิตร เบนซิน 18 บาทต่อลิตร รวมทั้งยังมีมาตรการลดราคาแก๊สให้เหลือ 250 บาทต่อถัง ที่สำคัญ คือ ลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนให้เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย และลดค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมเหลือ 2.70 บาทต่อหน่วย นอกจากนี้ยังมีการสานต่อเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 700 บาท และผู้ถือบัตรยังมีประกันชีวิตอีก 200,000 รวมถึงยังจะช่วยลดต้นทุนการผลิตช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต ให้พ่อแม่พี่น้องเกษตรกร ไร่ละ 2,000 บาท จำนวน 15 ไร่ อีกด้วย เรายังมีเบี้ยผู้สูงอายุ แบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็นจำนวน 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปี ขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน นโยบายดูแลทุกช่วงวัย แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ รวมไปถึง 3 นโยบายสำคัญสร้างรายได้เกษตรกร คือเติมเงินทุนช่วยเหลือเกษตรกรครัวเรือนละ 30,000 บาท ปุ๋ยคนละครึ่ง คือรัฐช่วยเหลือค่าปุ๋ย 50% และเพิ่มเงินช่วยเหลือต้นทุนค่าเก็บเกี่ยวข้าวให้ชาวนาไร่ละ 2,000 บาท ไม่เกิน 15 ไร่ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่มีประโยชน์และช่วยเหลือประชาชนได้อย่างแท้จริง และทางพรรคฯ พร้อมทำทันทีหลังได้จัดตั้งรัฐบาล

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 6 พฤษภาคม 2566

“ศ.ดร.นฤมล “ประกาศปักหมุดเขตราชเทวี ทุกคนต้องมีบ้านอาศัยที่มั่นงคง ตาม โครงการบ้านประชารัฐ 360 องศา เผย ไม่หวั่นผลโพล พปชร.กระแสไม่ดี เหตุเน้นตัวผู้สมัครแต่ละเขตเข้าถึง ปชช.ในพื้นที่ ไม่เน้นกระแสโซเชียล

,

“ศ.ดร.นฤมล “ประกาศปักหมุดเขตราชเทวี ทุกคนต้องมีบ้านอาศัยที่มั่นงคง ตาม โครงการบ้านประชารัฐ 360 องศา เผย ไม่หวั่นผลโพล พปชร.กระแสไม่ดี เหตุเน้นตัวผู้สมัครแต่ละเขตเข้าถึง ปชช.ในพื้นที่ ไม่เน้นกระแสโซเชียล

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิณโญสินวัฒน์ เหรัญญิก พรรค และหัวหน้าทีมผู้สมัคร กทม. ลงพื้นที่ชุมชนนิคมมักกะสัน แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ร่วมกับ นายพณิชย์ วิทยาภัทร์ ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขต 2 (เบอร์ 11)พรรคพลังประชารัฐ เพื่อพบปะกับประชาชน และรับฟังข้อเสนอแนะต่างๆ

โดย ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า นายพณิชย์ผู้สมัครของพรรคเราได้นำปัญหาต่าง ๆ ในชุมชนมักกะสันที่พี่น้องประชาชนประสบอยู่ก็คือ เรื่องที่อยู่อาศัย ซึ่งก็สอดคล้องกับนโยบายบ้านประชารัฐ ที่เราจะดำเนินการต่อยอดจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร.ที่ได้ทำเอาไว้ ที่คลองเปรมประชากร และคลองลาดพร้าว รวมทั้ง ชุมชนเชื้อเพลิง ซึ่งบริเวณนี้จะมีลักษณะคล้ายกันกับชุมชนเชื้อเพลิง คือที่ดินเป็นของการรถไฟ พื้นที่ตรงนี้อาจจะต้องมีการเจรจาในเรื่องของการขอเช่า เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้สร้างบ้านพักที่อยู่อาศัย เพื่อที่จะมาปรับปรุง บ้านที่อยู่อาศัยให้ดีขึ้น โดยที่พี่น้องประชาชนพร้อมที่จะลงทุนในบ้าน โดยทางพรรคมีโครงการ นโยบายต่างๆรองรับ มีเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน จึงมีความพร้อมที่จะมาร่วมผลักดัน ให้เกิดบ้าน ที่มีสภาพมั่นคงมากยิ่งขึ้น

“บ้านไม่ได้ เป็นเพียงบ้านพักอาศัย เราต้องเข้าใจวิถีชีวิต ของพี่น้องที่อยู่อาศัยตรงนี้ด้วย เมื่อเขาปักหลักตรงนี้ ก็คือชีวิตเขาทั้งหมดอยู่ตรงนี้ การที่จะ ให้ย้ายไปอยู่ที่อื่น ก็ต้องไปเริ่มต้นชีวิตใหม่หมด ซึ่งเหมือนกับทุกชุมชนที่ไม่ต้องการเช่นนั้น เขาขอแค่แบ่งพื้นที่จำนวนหนึ่ง พอที่จะสร้างเป็นที่อยู่อาศัยให้สามารถทำมาหากิน ลูกหลานได้เรียนหนังสือ และยังชีพตรงนี้ได้เช่นเดียวกัน เราสัญญากับพี่น้องประชาชนว่า เมื่อผู้สมัครเข้าไปในสภา จะไปผลักดันตรงนี้ พรรคพลังประชารัฐก็จะผลักดันตรงนี้ให้เกิดขึ้น บ้านประชารัฐ ชุมชนมักกะสัน อย่างแน่นอน”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

นอกจากนี้ ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า เราวางแบบบ้านประชารัฐเอาไว้ จะไม่ได้สร้างเป็นบล็อกๆ แต่จะออกแบบให้น่าอยู่สวยงามเหมาะสมกับสภาพพื้นที่และเป็นจุดเช็คอินใหม่สำหรับนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศไทยและต่างชาติที่จะเข้ามาเที่ยวในชุมชนมักกะสันแห่งนี้ ดูวิถีชีวิต เหมือนที่เราไปญี่ปุ่น อย่างหมู่บ้านเล็กๆเขาอยู่กันอย่างไร ตรงนี้ก็จะเป็นจุดเช็คอินที่เราหวังว่าจะทำ ให้เกิดขึ้น และภายในบ้านเองจะพัฒนาให้ตรง กับผู้อยู่ เพราะแต่ละครัวเรือนก็มีผู้อยู่อาศัยไม่เหมือนกัน ซึ่งจะมีผู้สูงอายุ มีเด็กเล็ก มีผู้ป่วยติดเตียง ก็ต้องออกแบบสัดส่วน ที่อยู่อาศัยให้เหมาะสม ตรงใจผู้อยู่ ตรงนี้เป็นแนวนโยบายของบ้านประชารัฐ

ศ.ดร.นฤมล ยังให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมการหาเสียงในพื้นที่ กทม.ว่า ตอนนี้ยังไม่พบอุปสรรคที่ต้องกังวล แต่สิ่งที่เร่ง 8-9 วันสุดท้ายคือลงในพื้นที่เป้าหมาย ที่คิดว่า มีโอกาสจะชนะ และในพื้นที่ ๆ เราคิดว่าอยากเข้าไปพัฒนาเช่น ชุมชนมักกะสันแห่งนี้ ซึ่งผู้สมัครได้ลงพื้นที่มา 4 ปีแล้วและมีความมั่นใจว่าจะสามารถแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนในชุมชนได้ตลอดทั้งเขต ซึ่งมันไม่ใช่แค่บ้านอย่างเดียวแต่มันเป็นวิถีชีวิตของพี่น้องในชุมชน และไม่ใช่เรื่องสวัสดิการและการจ่ายเงินอย่างเดียว เขาต้องการความมั่นคงยั่งยืนและมีอาชีพ มีรายได้ และมีที่เรียนซึ่งเป็นสิ่งที่ ผู้สมัคร และ พรรคพลังประชารัฐ เข้ามาลงในรายละเอียด จะมาพัฒนาให้กับพี่น้องมีอาชีพทักษะรายได้ มีงานทำ และมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างไรบ้าง

ส่วนกรณีที่ผลโพลที่ออกมาขณะนี้ พรรค พปชร.ดูเหมือนกระแสยังไม่ดีเท่ากับพรรคอื่นๆ ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า เราเน้นที่เขต เราไม่ได้เน้นเรื่องการทำกระแสเพราะพรรคมีการเปลี่ยนแปลงตลอด ในช่วงระยะเวลา 2-3 ปี มันเป็นเรื่องสินค้าที่ยากในการตามกระแส แต่ ทางพรรคเน้นตัวผู้สมัคร อย่างไรก็ตาม กทม.ก็จะเน้นที่เขต อย่างเขตของแป๊บ พณิชย์ เรามั่นใจว่าได้แน่ และอีกประมาณ 11 เขตเราก็มั่นใจ ในต่างจังหวัดก็เช่นเดียวกัน ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับโพลที่มักจะอิงกระแสโซเชียลมีเดีย และภาพรวมแต่ถ้าโฟกัส เรื่องตัวเขต 70-90% เรามั่นใจ

ด้านนายพณิชย์ จากการที่ลงพื้นที่ตรงนี้มา ตลอด 3 ปีกว่าจะ 4 ปีเห็นปัญหาอย่างแรกคือ การที่รถไฟ หรือหน่วยงานอื่นๆต้องการขอพื้นที่ ซึ่งไม่ใช่แค่ให้ประชาชนหรือชาวบ้านย้ายที่อยู่ อย่างแรกต้องหาอาชีพให้ก่อนถึงจะย้าย ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิตค่อนข้างมาก จึงแนะนำว่าควรหาอาชีพเสริม และอาชีพหลักให้กับประชาชนรวมถึง เรื่องสถานศึกษาก็สำคัญ เพราะเยาวชนที่นี่เรียนในพื้นที่กันหมด

นายพณิชย์ ยังกล่าวถึง การหาอาชีพที่ พปชร.เรากำลังผลักดันในเรื่องของการฝึกอาชีพแต่การฝึกอาชีพ อย่างเดียวก็เป็นเรื่องยากสำหรับประชาชนและชาวบ้าน จึงเสนอว่าในหลายชุมชน เช่น พวงมาลัย ที่ร้อยอยู่ขายตามสี่แยก ถูกจ้าง ร้อยโดยชาวบ้านบริเวณนี้ โดย ได้ ค่าจ้างทวงละ 50 สตางค์ หรือพวงละ 1 บาท ซึ่งหมายความว่า ชาวบ้านอาจจะไม่ถนัด ที่จะไปขายเอง แต่ถ้ามีผู้ที่ต้องการแรงงานฝีมือในราคาไม่แพง สามารถแข่งขันได้ ประชาชนหรือชาวบ้านสามารถทำได้ ซึ่งหากพัฒนาตรงนี้ได้ ทำอย่างไรให้มีมูลค่ามากกว่านี้ ก็สามารถทำได้

“เบื้องต้นก่อนที่จะโครงการจะเริ่ม 3 ปี ที่ได้มาพัฒนาปรับปรุงอย่างแรกคือ ขอสปอนเซอร์มาติดไฟ โซล่าเซลล์ในชุมชนที่เป็นมุมอับ เพื่อดูแลเรื่องความปลอดภัยได้และถ้ามีโอกาสเป็น ส.ส พรรคพลังประชารัฐ เป็นรัฐบาลพวกเราก็จะร่วมแก้ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยและอาชีพ ไปพร้อม ๆ กัน”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 5 พฤษภาคม 2566

“ศ.ดร.นฤมล” ตะลุยหาเสียงตลาดน้อมจิตต์ช่วย “บ๊ะ นฤมล” เขต14 เบอร์5มั่นใจเสียงตอบรับปชช.พอใจนโนยบายเบี้ยผู้สูงวัย รอตั้งกองทุนหนุนธุรกิจขนาดเล็ก

,

“ศ.ดร.นฤมล” ตะลุยหาเสียงตลาดน้อมจิตต์ช่วย “บ๊ะ นฤมล” เขต14 เบอร์5มั่นใจเสียงตอบรับปชช.พอใจนโนยบายเบี้ยผู้สูงวัย รอตั้งกองทุนหนุนธุรกิจขนาดเล็ก

4 พ.ค. 2566. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิณโญสินวัฒน์ เหรัญญิกเปิดเผยว่า ได้ลงพื้นร่วมกับ นางนฤมล รัตนาภิบาล ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขต 14 บางกระปิ วังทองหลาง เบอร์ 5 พรรคพลังประชารัฐ พบปะผู้ค้า และประชาชนบริเวณ ตลาดนัดน้อมจิตต์ แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ ซึ่งพื้นที่นี้ถือเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ และเป็นพื้นที่เป้าหมายของพรรค เพราะเคยได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน ในการทำหน้าที่ส.ส. และครั้งนี้เนื่องจากผู้สมัคร โดยนางนฤมล ถือว่ามาจากสมาชิกสภาเขต(สข.) เขตบางกะปิ มีความเข้าใจในปัญหาของพื้นที่ เพราะได้ลงพื้นที่มาอย่างยาวนาน ทำให้มีความมั่นใจและเข้าใจในปัญหาของประชาชนในด้านต่างๆ เป็นอย่างดี จึงอยากฝากให้พี่น้อง เลือกตัวแทนที่มีความเข้าใจ ในการแก้ปัญหาให้เห็นผลอย่างแท้จริง

ขณที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้มอบนโยบายให้ผู้สมัครลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่เป้าหมายที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ ซึ่งได้รับฟังปัญหาต่างๆ ที่นางนฤมล ได้นำ เสียงสะท้อนมาเสนอ ต่อคณะกรรมการบริหารถึงความต้องการที่จะได้รับการดูแล และการสนับสนุน ทั้งในเรื่องการหาแหล่งเงินทุน เพื่อประกอบอาชีพที่มั่นคง นับเป็นเรื่องที่หลายคนฝากความหวังไว้กับพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงนโยบายทึ่จะช่วยเหลือลดค่าของชีพที่เป็นปัญหาของผู้มีรายได้น้อย

นางนฤมล ผู้สมัครเขต กล่าวว่า วันนี้ได้ดร.นฤมล มาร่วมเดินหาเสียงเพื่อบอกกล่าวกับประชาชน ถึงนโยบายของพรรค ในเรื่องต่างๆ ที่จะทำให้กับพี่น้องประชาชนทั้งการลดค่าของชีพ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของการประกอบธุรกิจใน เขตบางกะปิ ที่มีทั้งย่านธุรกิจ รายเล็ก รายน้อย และยังมีสถาบันการศึกษาหลายแห่ง รวมถึงเป็นชุมทางสัญจรเข้าสู่กรุงเทพชั้นใน ซึ่งมั่นใจว่านโยบายจะเข้าถึงประชาชน เพราะที่ผ่านมาพี่น้องบางกะปิกลุ่มผู้สูงอายุต่างชื่นชอบนโยบายการเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 60 ปีจะได้ 3,000.บาท อายุ 70 บาทปีจะได้ 4,000 บาท อายุ 80 ปีขึ้นไปอายุ 5,000 บาท เพราะเป็นนโยบาย ที่รอคอยและฝากความหวังถ้าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อที่จะทำให้ผู้สูงอายุอยู่อย่างเป็นสุข ลดการพึ่งพาลูกหลานและมีศักดิ์ศรีเป็นของตัวเอง

นอกจากนี้ ยังได้รับเสียงสะท้อนที่เกิดขึ้นในพื้นที่และนโยบายที่เกี่ยวกับผู้ประกอบการผู้ค้ารายเล็กรายน้อยที่อยากจะได้เงินกู้จากกองทุนประชารัฐ 300,000 ล้านบาท เพื่อต่อยอดธุรกิจหลังจากที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 และต้องปิดกิจการไป ให้สามารถกลับมาประกอบกิจการใหม่อีกครั้ง ซึ่งพปชร.สามารถทำงานให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างเต็มที่ เมื่อหัวหน้าพรรคสามารถขึ้น เป็นผู้นำประเทศได้ ก็จะนำมาสู่การแก้ปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นนักประสานให้ทุกหน่วยงาน ที่จะเข้ามาร่วม แก้ปัญหาต่างๆจนสามารถจะพลิกวิกฤตเศรษฐกิจของไทยให้คนไทยมีความเป็นอยู่ที่มีชีวิตที่ดีขึ้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 พฤษภาคม 2566