โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: ข่าวกิจกรรม ส.ส. และสมาชิกพรรค

วราเทพ”มั่นใจ ชาวกำแพงเพชรยังสนับสนุน พปชร. ปักธงยกจังหวัด เชื่อนโยบายของพรรคมีดีไม่แพ้ใคร

,

“วราเทพ” มั่นใจ ชาวกำแพงเพชรยังสนับสนุน พปชร.
ปักธงยกจังหวัด เชื่อนโยบายของพรรคมีดีไม่แพ้ใคร

นายวราเทพ รัตนากร กรรมการฝ่ายนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่จังหวัดกำแพงเพชร ณ ตลาดนัดวันอาทิตย์ตำบลนครชุม ว่า ตนในฐานะที่เคยเป็นของตัวแทนของคนกำแพงเพชรเข้าไปทำหน้าที่รัฐมนตรี ถึงครั้งนี้จะไม่ได้ลงรัสมัครเลือกตั้ง แต่ขอเป็นกำลังใจสนับสนุนผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐทั้ง 4 เขต ซึ่งเป็นคนเดิมที่เคยได้รับความไว้วางใจจากชาวกำแพงเพชรเมื่อปี 62 ทั้งหมด เชื่อว่าการการเลือกตั้งปี 66 นี้ พรรคพลังประชารัฐจะปักธงได้ทั้งจังหวัด

นายวราเทพ กล่าวต่อว่า คำถามว่าทำไมผู้สมัครหน้าเก่าของพรรคพลังประชารัฐ ถึงอยู่กันอย่างเหนี่ยวแน่นอน นั่นก็เพราะตั้งแต่ยุคก่อนหน้านี้ คุณพ่อของผู้สมัครเราหลาย ๆ คนได้สร้างผลงานและดูแลชาวกำแพงเพชรอย่างยาวนาน ซึ่งครั้งนี้ ผู้สมัครทุกคนจึงมั่นใจว่า พรรคพลังประชารัฐจะสามารถทำประโยชน์ให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริง

“วันนี้ เราไม่ต้องไปสนใจนโยบายของพรรคอื่น ๆ เพราะนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ก็ไม่แพ้พรรคใด เราๆ ซึ่งอาจจะทำได้มากกว่าด้วย เพราะ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีประสบการณ์และความสามารถที่จะประสานงานได้กับทุกฝ่าย เหมือนนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้งของพรรค และที่สำคัญคือ ประเทศของเราตอนนี้ต้องการความร่วมมือกันในการบริหารประเทศ ดังนั้นไม่ว่านโยบายขอพรรคการเมืองอื่นที่ประกาศออกมาแล้วมีประโยชน์กับประชาชน ถ้าพรรคพลังประชารัฐได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เราพร้อมจะผลักดันทุก ๆ นโยบายของ ทุกพรรคการเมือง ที่เป็นประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นที่ตั้ง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 มีนาคม 2566

“ชัยวุฒิ”ผนึกกำลัง”ธรรมนัส”พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งเมืองตาก มั่นใจ พปชร.กวาดเก้าอี้ยกจังหวัด ด้านผู้สมัคร เชื่อ ผลงาน”พล.อ.ประวิตร”เป็นที่ประจักษ์ ช่วยให้ได้ชัยชนะ

,

“ชัยวุฒิ”ผนึกกำลัง”ธรรมนัส”พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งเมืองตาก มั่นใจ พปชร.กวาดเก้าอี้ยกจังหวัด ด้านผู้สมัคร เชื่อ ผลงาน”พล.อ.ประวิตร”เป็นที่ประจักษ์ ช่วยให้ได้ชัยชนะ

วันนี้(26 มี.ค.) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดตาก ช่วย นายประสงค์ นามเสถียร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ ปราศรัยหาเสียง พบปะพี่น้องประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อของที่บริเวณตลาดวังหิน เทศบาลเมืองตาก เเละเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน

ทั้งนี้ บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก โดยนายชัยวุฒิ เปิดเผยว่า วันนี้พรรคพลังประชารัฐ พร้อมที่จะปักธง จังหวัดตากทั้ง 3 เขตยกจังหวัด โดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีต ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานภาคเหนือ ก็จะเข้ามาช่วยประสานงานและดูแลด้วย เพราะว่ามีความคุ้นเคยกับพื้นที่เป็นอย่างดี

“ผมเเละ ร.อ.ธรรมนัส ตั้งมั่นที่จะสู้การเลือกตั้งในพื้นที่จังหวัดตาก เพื่อให้ได้ ส.ส.ของพรรคครบทุกเขต โดยเมื่อปี 62 พรรคพลังประชารัฐก็ได้ 2 เขตจากทั้งหมด 3 เขต ซึ่งครั้งนี้เราเชื่อมั่นว่า จะทําให้ได้ครบทั้งจังหวัด ผมขอการสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนทุกคนด้วย”

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ท่านมีความผูกพันกับชาวตาก เพราะตลอดเวลาที่ได้เข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการเรื่องน้ำไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาแหล่งน้ํา การส่งเสริม อาชีพต่างๆ ของพี่น้องเกษตรกร รวมถึงเรื่องที่ดินทํากิน ที่ถือว่าเป็นปัญหาสําคัญของชาวจังหวัดตาก โดยเราก็มีโครงการธนาคารที่ดิน มาแก้ปัญหาที่ดินให้พี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ถ้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ ส.ส.ทั้ง 3 คน ก็จะเข้ามาช่วยกันผลักดันโครงการต่างๆ แก้ปัญหาชาวจังหวัดตากให้สําเร็จให้ได้

ด้านนายประสงค์ นามเสถียร ผู้สมัคร สส.เขต1 พรรคพลังประชารัฐ จังหวัดตาก กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากชาวจังหวัดตาก เพราะผลงานของ พล.อ.ประวิตร แก้ปัญหาให้กับชาวบ้านได้อย่างตรงจุด จึงเป็นที่รักของชาวตาก รวมถึงสมัยที่ท่านเป็นผู้บังคับบัญชาทหารบก ก็ได้ดูเเลพื้นที่เเนวชายแดน จ.ตาก โดยให้ความสำคัญเรื่องปัญหายาเสพติด จึงเชื่อมั่นว่า พรรคพลังประชารัฐ จะทำให้ตนมีโอกาสที่จะได้รับการเลือกตั้งในเขตนี้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” นำทีม พปชร.ภาคเหนือปราศรัยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครพิจิตรครบทั้ง 3 เขต ท่ามกลางอากาศร้อนระอุ แต่ ปชช.แห่เข้าฟังเนืองแน่น หนุนนโยบายไร้ภัยแล้งตลอดทั้งปี

,

“พล.อ.ประวิตร” นำทีม พปชร.ภาคเหนือปราศรัยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครพิจิตรครบทั้ง 3 เขต
ท่ามกลางอากาศร้อนระอุ แต่ ปชช.แห่เข้าฟังเนืองแน่น หนุนนโยบายไร้ภัยแล้งตลอดทั้งปี

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 25 มีนาคม ที่วิทยาลัยเทคนิคพิจิตร จ.พิจิตร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดเวทีปราศรัย นําโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร.,นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค ,นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค,นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค,ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรค พปชร.,นายวราเทพ รัตนากร กรรมการฝ่ายนโยบาย นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร. และนาย ไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร โดยพรรคพลังประชารัฐ ได้มีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร จ.พิจิตร ประกอบไปด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์พรชัย อินทร์สุข ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิจิตรเขต 1 นางณริยา บุญเสรฐ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิจิตร เขต 2 และนายเอกวิชญ์ เรืองมาลัย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิจิตรเขต 3 ทั้งนี้ ท่ามกลางสภาพอากาศบริเวณเวทีปราศรัยมีอุณหภูมิร้อนกว่า 38 องศา แต่บรรยากาศก็เป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนมาฟังการปราศรัยอย่างเนืองแน่นกว่า 10,000 คน

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐส่งคนมีคุณภาพครบทั้ง 3 เขต ไว้ในอ้อมอก อ้อมใจของทุกคนและขอฝากนโยบายที่พรรคทำเพื่อประชาชนชาวพิจิตร ตนรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมากที่ได้มาอยู่ท่ามกลางชาวจังหวัดพิจิตร ด้วย พวกเราพร้อมแล้วที่จะมาทำงานให้กับชาวพิจิตร โดยได้คัดสรรคนดี คนเก่งที่จะมาเป็นตัวแทนของประชาชน เพื่อมาพัฒนาแก้ไขปัญหาให้กับชาวพิจิตรทุกคน ตนเชื่อว่าทุกคนย่อมอยากเห็นจังหวัดพิจิตรเจริญขึ้น ดังนั้น จึงต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐ และผู้สมัครทั้ง 3 คนให้มาทำงานเพื่อทุกคนที่นี่

“พรรคพลังประชารัฐ คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะฉะนั้นนโยบายทุกข้อของเราทำเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่ว่าจะเป็นโครงการบัตรประชารัฐการดูแลผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจรากหญ้า ให้มีความเท่าเทียม เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม”

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาตนได้แก้ปัญหาปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม จะเห็นได้ว่าไม่มีปัญหาภัยแล้งอีกเลยตลอด 4 ปีที่ผ่านมา มีเรา ไม่มีแล้ง อีกต่อไป และเมื่อมีเรา ต้องมีที่ทำกิน ให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน เราจะดูแลทุกคนอย่างต่อเนื่อง 4 ปีที่ผ่านมา เราก็ดูแลมาแล้ว แต่ยังไม่ครบทั้ง 77 จังหวัด เราจึงกลับเข้ามาสานต่อให้ครบทั่วประเทศให้ได้ ในส่วนปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมออนไลน์ ที่เป็นอันตรายต่อประเทศ ต้องแก้ปัญหาได้ทันที

“เราขออาสานำความรัก ความสามัคคีมาสู่ประเทศชาติหมดเวลาแล้วที่คนไทยจะมาทะเลาะกันเอง ต้องจับมือกัน นำประเทศไปสู่ก้าวหน้า เพื่อความสงบของคนไทยทุกคน ฝากกับทุกคนว่า ถ้าอยากให้ประเทศมีความรัก สงบสุข สันติภาพเกิดขึ้น และมีความเป็นหนึ่งเดียวต้องเลือกพรรคพลังประขารัฐเท่านั้น”

ทั้งนี้ ว่าที่ผู้สมัครได้สลับกันขึ้นปราศรัย โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์พรชัย อินทร์สุข ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิจิตรเขต 1 กล่าวปราศรัยว่า วันนี้ได้รับเกียรติจากพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ขวัญใจชาวพิจิตร เดินทางมาร่วมพูดคุยกับพวกเรา จากนโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่จะทำให้คนไทยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะปัญหาเรื่องภัยแล้งหรือน้ำท่วม จะไม่เกิดขึ้นอีกถ้าเรามีนายกรัฐมนตรีชื่อ พลเอกประวิตร เราจะมีน้ำใช้เพื่อการเกษตรกรรมตลอดทั้งปี ตนเชื่อเลยว่า จากนี้ไปคนพิจิตรจะมีน้ำเพื่อทำนา สร้างรายได้ตลอดทั้งปี

ด้านนางณริยา บุญเสรฐ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิจิตร เขต 2 กล่าวปราศรัยว่า ชาวพิจิตรอาจจะเคยเห็นตนมีการเปิดตัวกับอีกพรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งทุกคนคงสงสัยว่าทำไมตนถึงย้ายมาลงรับสมัครเลือกตั้งกับพรรคพลังประชารัฐ ก็เพราะพรรคพลังประชารัฐจะก้าวข้ามความขัดแย้ง รวมถึงพรรคยังมีนโยบายดี ๆ เพื่อคนไทยทั้งประเทศไม่ว่าจะเป็นบัตรประชารัฐ 700 บาท รวมถึงนโยบายดูแลผู้สูงอายุ 345 678 ที่จะมีสวัสดิการดูแลผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ตามลำดับขั้นบันได ทั้งนี้ ตนขอโอกาสจากชาวพิจิตร ขอให้ ส.ส.พิจิตรทั้ง 3 เขตเป็นผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ

ด้านนายเอกวิชญ์ เรืองมาลัย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิจิตร เขต 3 กล่าวปราศรัยว่า ขอขอบคุณพี่น้องชาวพิจิตรที่มาต้อนรับผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐรวมถึงคู่กันหมักทุกคนอย่างอบอุ่น วันนี้ถ้าตนได้รับโอกาสจากชาวพิจิตรเขตสาม ตนสัญญาว่าจะทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถให้คุ้มค่ากับภาษีของประชาชนทุกคนและตอบแทนความไว้วางใจด้วยการทำงานเต็ม 100% เพื่อประชาชน

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวปราศรัย ว่า ตนอยู่พรรคการเมืองมาหลายพรรค แต่พรรคที่มีหัวหน้าอย่าง พล.อ.ประวิตร ทำให้ตนสามารถพูดได้เต็มปากว่า ท่านคือผู้นำเป็นผู้ใหญ่ใจดี วันนี้เป็นโอกาสดีของพี่น้องชาวพิจิตรที่ท่านตั้งใจมาพบทุกคนที่นี่ทั้ง 3 เขต 12 อำเภอ เมื่อการเลือกตั้งปี 62 ผู้สมัครของพลังประชารัฐทั้ง 3 เขตได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องที่นี่ วันนี้ ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐที่สร้างมากับมือได้ย้ายบ้านออกไป เราก็ไม่ว่ากันแซึ่งเรามั่นใจว่าในการเลือกตั้งปีนี้เราได้ว่าที่ผู้สมัครที่มีคุณภาพมาเป็นตัวแทนชาวพิจิตรอีกครั้ง ซึ่งเราหวังว่า ทุกคนจะกาให้เราทั้งผู้สมัครและพรรคพลังประชารัฐ

“พรรคพลังประชารัฐประกาศชัดเจนว่า เราจะก้าวข้ามความขัดแย้ง บรรยากาศที่แตกแยก ไม่ใช่เรื่องสนุก หมดเวลาแล้วที่คนไทยจะทะเลาะกัน เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากได้ประเทศที่สงบสุขขอให้เลือกพรรคพลังประชารัฐ”
ร.อ.ธรรมนัส ยังกล่าวต่อถึง นโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ที่จะมีการช่วยเหลือชาวนาที่ถือเป็นกระดูกสันหลังของประเทศ ทำนามาด้วยความเหนื่อยล้า แต่พอถึงเวลาฤดูขายข้าวข้าว ราคากลับตกต่ำทุกปี

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 มีนาคม 2566

“ผู้กองมาร์ค”ชู นโยบาย อากาศสะอาด น้ำบริสุทธิ์ คืนให้ชาว กทม.ปัญหาฝุ่น PM2.5 ต้องหมดไป ลั่นเศรษฐกิจดี ต้องควบคู่สุขภาพที่ดี

,

“ผู้กองมาร์ค”ชู นโยบาย อากาศสะอาด น้ำบริสุทธิ์ คืนให้ชาว กทม.ปัญหาฝุ่น PM2.5 ต้องหมดไป ลั่นเศรษฐกิจดี ต้องควบคู่สุขภาพที่ดี

วันนี้(24 มี.ค.)ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตบางซื่อ เขตดุสิต (เฉพาะแขวงถนนนครไชยศรี)พรรคพลังประชารัฐ กล่าวปราศรัยบนเวทีย่อยโซนกรุงเทพฯ เหนือ”พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ”ที่ศูนย์เยาวชนหลักสี่ การเคหะท่าทราย ว่าเราต้องการมอบอากาศสะอาด น้ำบริสุทธิ์ เศรษฐกิจดี ต้องควบคู่กับสุขภาพที่ดีให้กับชาว กทม.โดย สิ่งที่เราต้องการแก้ไขคือ ปัญหาฝุ่น PM2.5 เพราะปัจจุบันคนกรุงเทพต้องเผชิญกับอากาศที่ไม่ปลอดภัย เป็นพิษกับผู้สูงวัย เด็กเล็ก และผู้ป่วย ซึ่ฝฝุ่นพิษเกี่ยวข้องกับหลายเรื่องทั้งเรื่องผังเมืองที่อาจจะต้องแก้ไข ต้นไม้ที่อาจจะต้องปลูกเพิ่ม บางพื้นที่ก็เป็นพื้นที่ที่อากาศปิด ต้องพิจารณาว่า จะต้องติดเครื่องฟอกอากาศยักษ์เหมือนปักกิ่งโมเดล โดยพรรคพลังประชารัฐไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้บรรจุยุทธวิธีแก้ไขปัญหานี้ในนโยบายของพรรคแล้ว โดยเราพร้อมทำทันที เพื่อนำอากาศบริสุทธิ์กลับคืนมาให้กับชาว กทม.

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่รอการแก้ไข เช่น ปัญหาโลกร้อน การเปลี่ยนเมืองให้เป็นป่า นำสายไฟฟ้าลงดิน,ต้นไม้ฟรี 69 ล้านต้น,รถ EV ลดภาษีทำแล้ว เพิ่มจุดชาร์ท โดยภาครัฐเป็นผู้สนับสนุน รวมถึงการเปลี่ยนรถเมล์เป็น EV ทั้งหมดภายใน 5 ปี เพื่อให้ชาว กทม.มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวต่อว่า จากสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบถึงระบบเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง ซึ่งทางพรรคพลังประชารัฐของเราก็เล็งเห็นปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้ออกนโยบายพลังงาน ด้วยการลดราคาน้ำมัน โดยพรรคเราทำได้จริง ไม่มีการขายฝัน ตั้งเป้าลดเบนซินลงให้ได้ไม่เกิน 20 บาท รวมถึงน้ำมันทุกชนิดด้วย ซึ่งจะทำให้ลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนได้ทันที

“ผมได้ลงพิ้นที่ตลาดศรีเขมา ซึ่งแต่ก่อนเป็นสถานที่ค้าขายขนาดใหญ่ แต่เมื่อมีการไล่ที่เกิดขึ้นส่งผลให้พ่อค้า แม่ค้า ไม่มีที่ขายของ แต่ตลาดแห่งนี้มีจุดเด่นในเรื่องร้านอาหารที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก ผมจึงต้องการผลักดันนโยบาย street food ที่จะได้ประโยชน์ต่อประชาชนผู้ซื้อ มีแหล่งซื้อของที่ถูกใจ รวมไปถึงเป็นการเพิ่มแหล่งทำอาชีพ กระตุ้นยอดขายให้กับพ่อค้า แม่ค้า ด้วย”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 มีนาคม 2566

“นพวรรณ” ว่าที่ผู้สมัคร พปชร.เขต สายไหม ดัน ระบบคลาวด์แก้ปัญหาสาธารณสุข ลั่น ชาว กทม.ไม่ต้องรอคิวตั้งแต่เช้าได้ตรวจเที่ยง

,

“นพวรรณ” ว่าที่ผู้สมัคร พปชร.เขต สายไหม ดัน ระบบคลาวด์แก้ปัญหาสาธารณสุข ลั่น ชาว กทม.ไม่ต้องรอคิวตั้งแต่เช้าได้ตรวจเที่ยง

วันนี้(25 มี.ค.66) ภญ.นพวรรณ หัวใจมั่น เขตสายไหม (เฉพาะแขวงออเงิน) เขตบางเขน (เฉพาะแขวงท่าแร้ง) เขตลาดพร้าว (เฉพาะแขวงจรเข้บัว) กล่าวว่า ตนต้องการผลักดันให้แต่ละเขตในพื้นที่ กทม.มีโรงพยาบาลรัฐ หรือศูนย์สาธารณสุขในทุกเขต ที่สามารถรองรับ และทำให้ประชาชนเข้าถึงระบบการรักษาได้ง่ายขึ้น เพื่อที่จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วย โดยประชาชนต้องเข้าถึงการรักษาพยาบาล ได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องรอคิวตั้งแต่เช้า ได้ตรวจเที่ยง ตรวจบ่าย

ภญ.นพวรรณ กล่าวต่อว่า จากการที่ตนลงพื้นที่และได้เข้าไปพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่ และพบปัญหาว่า การส่งคนไข้ต่อจากโรงพยาบาลหนึ่งไปอีกโรงพยาบาลหนึ่ง มักเกิดปัญหาข้อมูลประวัติผู้ป่วยไม่มีการเชื่อมถึงกัน ตนเลยมีความคิดว่าหากเราใช้บัตรประชาชนใบเดียว ที่สามารถเชื่อมข้อมูลการรักษาของผู้ป่วยได้ ทำให้เมื่อเราย้ายการรักษาไปอีกโรงพยาบาล คุณหมอสามารถทราบข้อมูลประวัติการรักษาจากที่เดิมได้ โดยที่เราไม่ต้องไปตรวจใหม่ เพราะเรามีระบบที่ปลอดภัย นั่นคือระบบคลาวด์ ที่จะเก็บข้อมูลส่วนกลางของผู้ป่วยแต่ละเคสไว้ ทำให้แต่ละโรงพยาบาลสามารถดึงข้อมูลนั้นไปใช้ได้เลย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 มีนาคม 2566

ศ.ดร.นฤมล”นำทีมว่าที่ผู้สมัคร กทม.เร่งขับเคลื่อนแผน“เพิ่มพลังทุน เพิ่มพลังศก.”ชูผุดกองทุนธุรกิจเพื่อสังคมลดพึ่งงบรัฐเสริมแกร่งฐานราก

,

ศ.ดร.นฤมล”นำทีมว่าที่ผู้สมัคร กทม.เร่งขับเคลื่อนแผน“เพิ่มพลังทุน เพิ่มพลังศก.”ชูผุดกองทุนธุรกิจเพื่อสังคมลดพึ่งงบรัฐเสริมแกร่งฐานราก

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดสัมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. ตัวแทนชุมชน นักวิชาการสายเศรษฐศาสตร์ และผู้ประกอบการ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบาย พปชร. ภายใต้หัวข้อ “เพิ่มพลังทุน เพิ่มพลังเศรษฐกิจ” นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วย นางนฤมล รัตนาภิบาล, นายศันสนะ สุริยะโยธิน และนายกิตติภูมิ นีละไพจิตร์ ตัวแทนว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กทม. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)

โดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพปชร. กล่าวว่า ผู้สมัคร กทม.ของพรรคพลังประชารัฐได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจปากท้องของชาว กทม จึงได้มาพูดคุยกันว่า จะใช้วิธีการใดที่จะไม่เกิดเป็นภาระต่อภาษีของประชาชน เพราะแต่ละปี รัฐบาลต้องมีการจัดสรรงบประมาณ ปีละ 3.1-3.2 ล้านล้านบาท ขณะที่จัดหารายได้ของภาครัฐมีเพียง 2.3-2.5 ล้านล้านบาท ซึ่งมีส่วนต่างที่จะต้องจัดหาจากการกู้ให้เพียงพอในการพัฒนาประเทศ และมุ่งเน้นให้ประชาชนกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืนมากขึ้น โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของเศรษฐกิจฐานราก เราต้องหาแหล่งเงินเพื่อพัฒนาประเทศ

“เราจึงได้ข้อสรุปว่าจะใช้ศักยภาพของตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศด้วยการส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุนที่จะมาพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise (SE) ที่มีพระราชบัญญัติรองรับอยู่แล้ว นำมาพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยกลไกของตลาดทุนจะเปิดให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนามากขึ้น แทนที่เราจะเก็บภาษีคนรวยมาช่วยคนจน เราก็ให้คนที่มีเงินเหลือใส่เงินผ่านกองทุนแล้วใช้กลไกกำกับดูแลให้ SE ลงไปทำงานในพื้นที่ก็จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง”

ทั้งนี้การดำเนินงานดังกล่าวเป็นแนวทางที่หลายประเทศได้นำไปใช้แล้วเปิดให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมการแก้ไขปัญหาก็จะยั่งยืน ดังนั้นกองทุนดังกล่าวก็จะทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มในท้องถิ่น มเกิดขึ้นโดยเฉพาะเด็กจบใหม่ก็จะเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ หรือ ธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยใช้แหล่งเงินจากส่วนนี้ทำให้เกิดการพัฒนาในท้องถิ่น กระจายความเจริญสู่ต่างจังหวัด ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่ กทม.แต่พรรคพลังประชารัฐ จะใช่กลไกนี้ทั่วประเทศ

ด้านนางนฤมล รัตนาภิบาล ว่าที่ผู้สมัคร กทม.พรรค พปชร. กล่าวว่า เราจะขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสังคมโดยการลดการพึ่งพางบประมาณประเทศ ซึ่งจะเน้นของการแสวงหารายได้ ด้วยการระดมทุน ผ่านกองทุนSE ด้วย การร่วมมือกับเอกชน และตลาดทุน ในการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมธุรกิจเพื่อสังคมตาม พ.ร.บ. ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม การพัฒนาและส่งเสริมอาชีพประชาชน เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งกองทุนสนับสนุนเงินเพื่อการประกอบอาชีพ สร้างรายได้ที่มั่นคง เพื่อเพิ่มจำนวนนักธุรกิจในชนที่มีคุณภาพ โดยกองทุนจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนให้เกิดประสิทธิผลมากกว่าการใช้กองทุนรูปแบบที่ไม่ตอบโจทย์การช่วยเหลืออย่างแท้จริง

นายศันสนะ สุริยะโยธิน ว่าที่ผู้สมัคร กทม.พรรค พปชร. กล่าวถึงข้อ “การเพิ่มพลังสร้าง” ชูจุดเด่นสร้างจุดขายให้กับนวัตกรรม ในการสร้างโอกาสใหม่ สร้างอาชีพชุมชน ด้วยสินค้า “Made in Bangkok” สู่สากล การมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชนช่วยกันพัฒนาชุมชนของตัวเอง นี่คือสำคัญในการพัฒนาฐานรากในพื้นที่ชุมชนโดยไม่ได้พึ่งพากองทุนของประเทศ พรรคพลังประชารัฐ ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเพิ่มรายได้ และลดรายจ่ายให้กับประชาชน ซึ่งกองทุน SE ทุกคนจะสามารถเข้าถึงได้ง่าย เพื่อให้ทุกคนเติบโตและลดความเหลื่อมล้ำให้เกิดความเท่าเทียม

ด้านนายภูวกร ปรางภรพิทักษ์ ว่าที่ผู้สมัครพปชร. กล่าวถึงหัวข้อ “เพิ่มพลังเสริม” เพื่อเพิ่มทักษะและความรู้ในการสร้างอาชีพและฝึกทักษะวิชาชีพ รวมถึงเรื่องเทคโนโลยี การทำตลาดออนไลน์ และการบริการผ่านเทคโนโลยี ซึ่งพรรคพลังประชารัฐจะมีศูนย์การเรียน การสอน ทุกเขต ทุกพื้นที่ โดยเราจะสอนตั้งแต่ขั้นต้น ทำอย่างไร โดยนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นการทำสินค้า การรีแบรนด์ ให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น รวมไปถึงการค้าขายในโลกโซเชียล ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ การถ่ายรูป ครอบคลุมทุกรูปแบบ

ด้านนายกิติภูมิ นีละไพจิตร์ กล่าวถึงแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ค้าขายจากบริบทจริง การเสนอแนวทางพัฒนาตลาดใหม่ จัดการพื้นที่ ส่งเสริมอัตลักษณ์แต่ละท้องถิ่น การขยายแนวทางการขาย และส่งเสริมผู้ประกอบการ

ทั้งนี้ การจัดสัมมนาดังกล่าวเป็นการระดมความเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ จากตัวแทนชุมชน นักวิชาการสายเศรษฐศาสตร์ และผู้ประกอบการ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนและจัดทำเป็นนโยบายด้านกองทุนเพื่อการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนของพรรค ให้สอดคล้องกับบริบทและสังคมในพื้นที่ต่างๆ ของกรุงเทพฯ เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ลดการพึ่งพางบประมาณของประเทศ โดยเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ เพื่อนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจที่ดี สังคมสงบสุข และมีสุขอย่างยั่งยืนควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ ให้ดียิ่งขึ้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 23 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” เดินหน้าใช้มาตรการการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เน้นหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัดสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน

,

“พล.อ.ประวิตร” เดินหน้าใช้มาตรการการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
เน้นหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัดสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน

เมื่อ 22 มี.ค.66 ,10.00น.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีเปิดงานสัมมนา PDPA Going Forward ณ ห้องประชุมบอลรูม โรงแรมอัศวิน ถนนวิภาวดี หลักสี่ กทม. โดยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือดีอีเอส ได้กล่าวรายงาน และวัตถุประสงค์ ของการจัดงานสัมมนาซึ่งมีเป้าหมายให้ทุกภาคส่วน ตระหนักรู้ ถึงความสำคัญของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลร่วมกัน ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่สำคัญ ในการขับเคลื่อนการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศ ให้มีความก้าวหน้าตามมาตรฐานสากล โดย พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ถือเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญยิ่ง และมีผลบังคับใช้สมบูรณ์ทั้งฉบับ เมื่อ 1 มิ.ย.65 เพื่อให้คนไทยทุกคน รวมถึงนานาประเทศ เกิดความเชื่อมั่น และยอมรับในมาตรฐาน การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทย ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ อย่างยั่งยืน ต่อไป

ทั้ง พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ได้เป็นสักขีพยาน พิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) และได้เป็นประธานพิธีเปิดงาน พร้อมมอบประกาศเกียรติคุณให้หน่วยงานพันธมิตร ที่ร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานและมอบโล่รางวัล แก่ผู้ชนะเลิศออกแบบตราสัญลักษณ์

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณ ก.ดีอีเอส ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด(มหาชน) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน และสมาคมเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลไทย ที่ได้ร่วมกันจัดงานสัมมนาฯ ในครั้งนี้ โดยได้เน้นย้ำถึงมาตรการ และการสร้างความเชื่อมั่นในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งมีสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นหน่วยงานหลัก ที่จะต้องเป็นศูนย์กลางแห่งความร่วมมือ และต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัด เด็ดขาด บนพื้นฐานหลักนิติธรรม เพื่อสร้างบรรยากาศให้ประชาชนทุกคนในสังคมไทย ร่วมแรงร่วมใจกันผลักดันประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล นอกจากนั้น พล.อ.ประวิตร ยังได้เชิญชวน ผู้ที่รับฟังผ่าน Facebook Live เข้าร่วมการสัมมนาไปพร้อมๆกันด้วย อย่างเปิดกว้าง ทางความคิด และความร่วมมือทุกๆด้าน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 มีนาคม 2566

“ศ.ดร.นฤมล”นำทัพว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เปิดศูนย์ประสานงาน เขตบางซื่อ ดุสิต หวังเป็นศุนย์กลางเชื่อมโยง ปชช.ยัน”พล.อ.ประวิตร”สุขภาพสมบูรณ์เต็มร้อย เผย 30 มี.ค.นี้เตรียมเปิดตัว ส.ส.ครบ 400 เขต

,

“ศ.ดร.นฤมล”นำทัพว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เปิดศูนย์ประสานงาน เขตบางซื่อ ดุสิต หวังเป็นศุนย์กลางเชื่อมโยง ปชช.ยัน”พล.อ.ประวิตร”สุขภาพสมบูรณ์เต็มร้อย เผย 30 มี.ค.นี้เตรียมเปิดตัว ส.ส.ครบ 400 เขต

เมื่อเวลา 10.30 น.ที่ศูนย์ประสานงานพรรคประชารัฐ เขตบางซื่อ ดุสิต นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.พรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กทม. เขตบางซื่อ – ดุสิต และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม.อีกหลายเขต อาทิ เขต 2 สาทร ราชเทวี ปทุมวัน นายพณิชย์ วิทยาภัทร์ ,เขต 5 ห้วยขวาง วังทองหลาง นายกานต์ กิตติอำพน,เขต 15 คันนายาว บึงกุ่ม น.ส.ณิรินทร์ เงินยวง,เขต 31 ทวีวัฒนา ตลิ่งชัน น.ต.นิธิ บุญยรัตกลิน,เขต 32 บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ ภาษีเจริญ ตลิ่งชัน ธนบุรี น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์

ศ.ดร.นฤมลฯ กล่าวว่า วันนี้เรามาพร้อมกับว่าที่ผู้สมัคร กทม.หลายท่าน เพื่อมาร่วมเปิดศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ เขตบางซื่อ ดุสิต รวมถึงตรวจสอบค่าฝุ่น PM 2.5 บริเวณถนนวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ และจัดตั้ง War room ตรวจสอบสถานการณ์คุณภาพอากาศ โดยใช้ดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) เป็นตัวชี้วัดบริเวณพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลตรวจสอบค่าฝุ่น PM 2.5 ผ่านเว็บไซต์ www.air4thai.pad.go.th ของกองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ เพื่อดูปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องของปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ซึ่งประชาชนในหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบเป็นระยะยาว

“พรรคพลังประชารัฐไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้บรรจุยุทธวิธีแก้ไขปัญหานี้ในนโยบายของพรรคแล้ว โดยเราพร้อมทำทันที เพื่อนำอากาศบริสุทธิ์กลับคืนมาให้กับประชาชน ในส่วนศูนย์ประสานงานแห่งนี้เราต้องการให้เป็นที่พึ่งของประชาชน และประชาชนสามารถมีส่วนร่วมกับเรา ซึ่งจะทำให้เราสามารถรับรู้ปัญหาต่างๆ ของประชาชนได้เช่นปัญหาปากท้อง ปัญหาสังคมสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้จะนำไปแก้ไขให้เร่งด่วนและทันต่อเหตุการณ์”

ด้าน ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวว่า วันนี้ถือว่าโชคดีที่สภาพอากาศที่เขตบางซื่ออยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยค่าฝุ่นพิษ pm 2.5 เท่าที่วัดในตอนนี้ไม่เกินมาตรฐาน แต่ในอีกหลายเขตก็ยังเป็นปัญหาด้านสุขภาพต่อเด็กและผู้สูงอายุ ทั้งนี้ ตนมองว่า ถ้าในพื้นที่ กทม.การเพิ่มต้นไม้เพื่อสร้างอากาศที่ดี และเป็นเครื่องกรองอีกชั้นหนึ่ง และอาจจะต้องพิจารณาไปยังปักกิ่งโมเดล ที่มีการติดเครื่องฟอกอากาศยักษ์ในพื้นที่ เพราะกรุงปักกิ่งเผชิญกับปัญหาหมอกควันอย่างรุนแรง ประชาชนได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง กรุงปักกิ่งจึงได้ตั้งเครื่องฟอกอากาศขนาดยักษ์ภายในพื้นที่ เพื่อขจัดมลพิษทางอากาศ เนื่องด้วยตนเป็นนักสิ่งแวดล้อม จึงต้องการให้ศูนย์ประสานงานแห่งนี้ทำหน้าที่เฝ้าระวังปัญหาฝุ่นพิษ pm 2.5 ด้วย เพราะปัจจุบันถือว่าเป็นปัญหาอย่างหนัก

“เราให้ความสำคัญกับประชาชนในพื้นที่ ถึงความต้องการของพวกเขาจริง ๆ เสียงสะท้อนจากชาวบ้านในเขตชุมชนต่าง ๆ ถึงปัญหา และต้องแก้ไขในจุดใดบ้างโดยเราจะนำข้อมูลเหล่านี้มาเสริมเป็นนโยบายของพรรคพลังประชารัฐเพิ่มเติม เพราะภาพใหญ่เสร็จไปหมดแล้ว แต่ในส่วนของภาพเล็กและรายละเอียดปลีกย่อย เราก็จะนำข้อมูลตรงนี้ไปพัฒนาและต่อยอด”

แนวทางการหาเสียงใน กทม.ต่อจากนี้ ศ.ดร.นฤมลฯ กล่าวว่า เราจะมีเวทีปราศรัยย่อยในวันศุกร์นี้ โซนกรุงเทพตอนเหนือ โดยสถานที่และเวลาจะแจ้งอีกครั้งหนึ่ง โดยจากนี้ไปทั้งตนและนายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีม กทม.พรรคพลังประชารัฐ ก็จะช่วยลงพื้นที่หาเสียงร่วมกับผู้สมัครของเรา ทั้งนี้ ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐก็จะมีการเปิดตัวร่วมกันของผู้สมัคร ส.ส.เขต ทั้ง 400 เขต โดยสถานที่น่าจะเป็นสนามกีฬาบางกอกอารีนา เขตหนองจอก กรุงเทพฯ วันที่ 30 มี.ค.นี้ ซึ่งจะมีการกำหนดรายละเอียด และแจ้งให้สื่อมวลชนทราบอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อถามถึงหลายคนกังวลถึงสุขภาพร่างกายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ศ.ดร.นฤมลฯ กล่าวว่า ท่านยังสุขภาพสมบูรณ์เต็มร้อย ช่วง 5 วันที่ผ่านมา ท่านไม่ได้หยุดลงพื้นที่เลย วันนี้ก็ลงตรวจราชการอยู่ที่ จ.กระบี่ ไม่ต้องห่วงค่ะ ท่านยังใจพร้อม กายพร้อม เต็มร้อย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 มีนาคม 2566

“นิธิ” ว่าที่ผู้สมัครพปชร.ลงพื้นที่รับฟังเสียงชาวทวีวัฒนา พบปัญหาไร้คนดูแล-แก้ไข ลั่นถ้าได้รับโอกาสไม่ทำให้ผิดหวัง

,

“นิธิ” ว่าที่ผู้สมัครพปชร.ลงพื้นที่รับฟังเสียงชาวทวีวัฒนา
พบปัญหาไร้คนดูแล-แก้ไข ลั่นถ้าได้รับโอกาสไม่ทำให้ผิดหวัง

นาวาตรี นิธิ บุญยรัตกลิน ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาราษฎร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ เปิดเผยว่า เหตุผลที่ตนตัดสินใจร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ เพราะนโยบายของพรรคที่มุ่งมั่นเรื่องปากท้องของคนไทย โดยเฉพาะในเรื่องของสวัสดิการประชารัฐต่างๆ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เรื่องที่ดินทำกิน แก้ปัญหาน้ำแล้ง และยังมีความตั้งใจที่จะพัฒนาประเทศไทย ทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ ก้าวข้ามความขัดแย้ง

“ประเทศไทยไปได้ไกลกว่านี้ วันนี้ผมตัดสินใจก้าวสู่เส้นทางการเมือง ด้วยความตั้งใจที่จะพัฒนาประเทศไทย ทำการเมืองสร้างสรรค์ ก้าวข้ามความขัดแย้ง รวมพลังคนรุ่นใหม่ พร้อมนำประสบการณ์จากคนรุ่นเก่ามาร่วมกัน เพื่อสร้างอนาคตของประเทศไทย” นายนิธิ กล่าว

น.ต.นิธิ กล่าวต่อว่า ตนได้ลงพื้นที่พบปะประชาชนในพื้นที่เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะต่างๆ จากชาวบ้านในพื้นที่ และนำมาใช้เป็นฐานข้อมูลในการแก้ไขปัญหา บำบัดทุกข์และบำรุงสุข เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ทั้งนี้ ในพื้นที่ยังต้องการให้แก้ไขปัญหาในด้านสาธารณูปโภค เช่น ผู้สูงอายุ มลภาวะทางอากาศ ค่าแรง สัญญาณอินเทอร์เน็ต ฯลฯ

นอกจากนี้ น.ต.นิธิ ยังเปิดเผยด้วยว่า การลงพื้นที่ทำให้ตนได้สัมผัสกับปัญหาอย่างใกล้ชิด จากการพูดคุยและรับฟังปัญหาต่างๆ ชาวบ้านในพื้นที่จำนวนมากกล่าวกับตนว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครมาสนใจ หรือมาไตร่ถามปัญหาของพวกเขา ทำให้ตนมีความตั้งใจว่า ถ้าหากได้รับโอกาสจากพี่น้องประชาชน ตนจะทำหน้าที่ด้วยความใส่ใจ จริงใจ และตั้งใจที่จะแก้ปัญหาให้กับชาวบ้านอย่างจริงจัง เพราะยังมีประชาชนรอคอยการช่วยเหลืออีกมาก

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 14 มีนาคม 2566

“ดร.ศันสนะ” ติดตามการก่อสร้างทางเดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาย่านชุมชนกุฎีจีน หลังล่าช้ากว่ากำหนด ส่งผลกระทบการท่องเที่ยว-รายได้ของประชาชนและชุมชน

,

“ดร.ศันสนะ” ติดตามการก่อสร้างทางเดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาย่านชุมชนกุฎีจีน หลังล่าช้ากว่ากำหนด ส่งผลกระทบการท่องเที่ยว-รายได้ของประชาชนและชุมชน

ดร.ศันสนะ สุริยะโยธิน ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และว่าที่ผู้สมัคร สส เขตธนบุรี-คลองสาน กล่าวว่า จากการที่ตนได้ลงพื้นที่ในเขตธนบุรี-คลองสาน เพื่อเตรียมความพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีน ได้รับแจ้งจากประชาชนและผู้ประกอบการในชุมชน ว่าบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาได้มีมีการก่อสร้างทางเดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งกำหนดการเดิมจะสร้างเสร็จปลายปี 2565 แต่ปัจจุบันการก่อสร้างก็ยังไม่แล้วเสร็จ ส่งผลกระทบต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาเดินและปั่นจักรยานท่องเที่ยวเยี่ยมชมย่านชุมชนกุฎีจีน และเป็นอุปสรรคในการสร้างรายได้สู่ชุมชน

ทั้งนี้ ตนจึงได้มีการเข้าพบ ว่าที่ร้อยตรี เดชาธร แสงอำนาจ ผู้อำนวยการเขตธนบุรี เพื่อสอบถามถึงความคืบหน้าของการก่อสร้างทางเดินดังกล่าว และได้รับแจ้งว่าที่ผ่านมาติดปัญหาการระบาดโควิด-19 ทำให้ผู้รับเหมาไม่สามารถเข้ามาดำเนินการได้ตามปกติ แต่ได้มีการเร่งกำชับให้รีบดำเนินการก่อสร้าง และคาดว่าจะแล้วเสร็จเดือนพฤษภาคม 2566 นี้

“ทางเดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาดังกล่าวจะทำให้เกิดความสะดวกในการท่องเที่ยวโดยทางเท้าและจักรยานในย่านชุมชนกุฎีจีน ทำให้เกิดการสร้างอาชีพให้คนในชุมชน เช่น การผลิตสินค้าหรือการบริการ สร้างรายได้เข้าครอบครัวและชุมชนได้” ดร.ศันสนะ กล่าว

นอกจากนี้ ดร.ศันสนะ ยังได้มีการปรึกษากับผู้อำนวยการเขตธนบุรี ถึงเรื่องของความปลอดภัยและการจัดระเบียบการใช้ประโยชน์ภายหลังการเปิดใช้ทางเดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่อาจจะเป็นแหล่งมั่วสุมและอาจจะมีรถเข็นขายของไม่มีระเบียบว่าทางสำนักงานเขตมีแนวทางป้องกันอย่างไร ซึ่งทางผู้อำนวยการเขตได้แจ้งว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการกำหนดแนวทางอย่างชัดเจน แต่คาดว่าจะมีการทำประตูเปิด-ปิด หรืออาจจะมีการจัดให้มีอาสาสมัครรักษาความปลอดภัย รวมถึงอุปกรณ์กีดขวาง ตรงบริเวณทางเข้า-ออก ทั้งสองด้าน และจะห้ามให้มีการนำรถเข็นขายของเข้ามาบนทางเดิน โดยหลังจากนี้จะมีการหารือเพื่อหาวิธีป้องกันที่เหมาะสมต่อไปเมื่อทางเดินริมแม่น้ำเจ้าพระยามีการเปิดใช้จริง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 มีนาคม 2566

ศ.ดร.นฤมลรวมคนพปชร. ”พลังประชารัฐ เพิ่มพลังสตรีไทย” วันสตรีสากล

,

ศ.ดร.นฤมลรวมคนพปชร. ”พลังประชารัฐ เพิ่มพลังสตรีไทย” วันสตรีสากล

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า เนื่องในวันสตรีสากล 8 มีนาคม พรรคพลังประชารัฐ ได้ให้ความสำคัญการลดช่องว่างและความเหลื่อมล้ำ ทางสังคมให้กับกลุ่มสตรี และเยาวชน ได้รับสิทธิเท่าเทียมในทุกมิติ เท่ากับเพศชาย ที่นำมาสู่การระดมความคิดเห็นของกลุ่มสตรีพรรคพลังประชารัฐ ในกลุ่ม “พลังประชารัฐ เพิ่มพลังสตรีไทย” โดยมีนางฮูวัยดีย๊ะ พิศสุวรรณ ที่ปรึกษาด้านสิทธิสตรี และว่าที่ผู้สมัครพปชร. ประกอบด้วย น.ส.ชญาภา ปรีภาพาก นางนฤมล รัตนาภิบาล นายกานต์ กิตติอำพน น.ส.ณิรินทร์ เงินยวง นายศันสนะ สุริยะโยธิน นายสุวัฒน์ ม่วงศิริ นายระพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธา ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ และ ดร.ภญ. สุชาดา เวสารัชตระกูล มาร่วมระดมความคิดเห็นครั้งนี้ เพื่อรวบรวมข้อมูลพิจารณาข้อเสนอของเครือข่ายองค์กรสตรี

“ การเพิ่มพื้นที่และโอกาสการทำงานของผู้หญิง ความเท่าเทียมทางเพศทุกช่วงวัย ทุกสาขาอาชีพ และทุกศาสนา รวมถึงสิทธิและสวัสดิการที่ผู้หญิงควรจะได้รับ มีความสำคัญต่อเป้าหมายการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งพปชร.เรามีคนรุ่นใหม่ และผู้มีประสบการณ์ที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว แสวงหาแนวทางในการดูแลคนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย พปชร.เปิดกว้างรับความคิดเห็นจากทุกฝ่ายสู่การผลักดันโยบายด้านสตรีให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเท่าเทียม ” ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ทั้งนี้ นอกเหนือจากข้อเสนอของเครือข่ายองค์กรสตรี กลุ่ม “พลังประชารัฐ เพิ่มพลังหญิงไทย” ได้มีการนำเสนอแนวทางเพิ่มเติมให้ครอบคลุมการดูแลสตรี และเยาวชนให้มากยิ่งขึ้น อาทิเช่น การจัดสวัสดิการเพื่อการดูแลคุณภาพชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยว และยกระดับศูนย์รับเลี้ยงเด็กเล็กก่อนวัยเรียนในชุมชน เป็นต้น

นอกจากนี้ น.ส. ชญาภา เสนอให้มีมาตรการแก้ไขปัญหาความรุนแรงทุกรูปแบบทุกพื้นที่ น.ส.ณิรินทร์ เสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์สุขภาพจิตในชุมชนเพื่อคนทุกช่วงวัย ดร.ภญ.สุชาดา เสนอให้มีแนวทางเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสิทธิการรักษาและป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านม

ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวเกิดขึ้นจากการเก็บข้อมูลของว่าที่ผู้สมัคร พปชร. ที่ได้ลงพื้นที่จริง และพบปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน ดังนั้นจำเป็นต้องเร่งการแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วน เพื่อให้สอดรับกับบริบทการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 มีนาคม 2566

“รมว.ชัยวุฒิ”ยกขบวนว่าที่ผู้สมัครปทุมฯชูนโยบายพรรคเข้าถึงปชช. โต้ “ปิยะบุตร” อย่าจมอดีต หมดเวลาขัดแย้งมุ่งทำงานเพื่อประเทศ

,

“รมว.ชัยวุฒิ”ยกขบวนว่าที่ผู้สมัครปทุมฯชูนโยบายพรรคเข้าถึงปชช. โต้ “ปิยะบุตร” อย่าจมอดีต หมดเวลาขัดแย้งมุ่งทำงานเพื่อประเทศ

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2566 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมว่าผู้สมัครจังหวัดปทุมธานี ประกอบด้วย เขต 1 นายเสวก ประเสริฐสุข, เขต 2 นายนพดล ลัดดาแย้ม, เขต 3 นายยุทธวัฒน์ หาญเกียรติกล้า, เขต 4 นายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง, เขต 5 นายปรีชา ชื่นชนกพิบูล, เขต 6 นายวิรัช พยุงวงษ์ และ เขต 7 น.ส.กฤษณา วงศ์คำ เข้าร่วมสักการะบูชา เซียนแปะโรงสี เพื่อความเป็นสิริมงคล และได้มีการพบปะประชาชน ณ ตลาดริมน้ำวัดศาลเจ้า ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมือง ปทุมธานี ประชาชนให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมมอบดอกไม้ให้กำลังใจผู้สมัครส.ส. ปทุมธานีทั้ง 7 เขต

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า การลงพื้นที่ปทุมธานีในวันนี้เป็นการพาผู้สมัครทุกเขต แนะนําตัว และนำนโยบายของพรรคมานำเสนอกับพี่น้องประชาชนที่ตลาดวัดศาลเจ้า เพื่อให้เกิดความมั่นใจ และความจริงใจของพรรคในการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องชาวปทุมธานี ถึงความตั้งใจของทีมงานพรรคพลังประชารัฐ จะเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถและประสบการณ์ทั้งการเมืองท้องถิ่น เข้าใจความต้องการของพี่น้อง โดย สจ.ตุ้ย ว่าที่ผู้สมัครในเขตนี้เป็นคนที่พี่น้องประชาชนรู้จักเป็นอย่างดีที่เป็น ส.จ. แล้วก็ลาออกมาลง สส ให้พรรคพลังประชารัฐ

“ว่าที่ผู้สมัครปทุมฯยังมีหัวหน้าทีม ที่เป็นพี่ใหญ่และเป็นรองนายก อบจ. ที่มีประสบการณ์ มีความพร้อมที่จะทํางาน ซึ่งทีมงานทุกคนพร้อมและอยากเข้ามาช่วยกันพัฒนาปทุมธานี รวมถึงการแก้ไขปัญหาต่างๆที่ยังไม่รับการแก้ไข ที่พปชร.พร้อมเร่งดําเนินการ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการจราจร ปัญหาเรื่องน้ําท่วม ปัญหาเรื่องโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อพัฒนาจังหวัดปทุมธานีให้ดียิ่งขึ้นให้ได้แน่นอน ก็เชื่อว่าสามารถยกจังหวัดได้ ถ้าเราทําการรณรงค์หาเสียงแล้วก็มีนโยบายต่าง ๆ ที่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชน สื่อไปถึงประชาชนให้เข้าใจให้ได้ทุกพื้นที่ ก็มีโอกาสที่จะชนะทุกเขตเพราะผู้สมัครของเราก็มีความพร้อมทุกคนที่จะทํางานเพื่อประชาชน โดยจะชูนโยบายเรื่องโครงสร้างพื้นฐานการพัฒนาเมือง เรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้การค้าขายดีขึ้น การท่องเที่ยวดีขึ้น” นายชัยวุฒิ กล่าว

ทั้งนี้การนำเสนอนโยบายพรรค ผ่าน ผู้สมัครที่จะลงพื้นด้วยตัวเอง และผ่านเครือข่ายทีมงาน เพื่อให้นโยบายถึงประชาชนทุกบ้าน เพื่อให้เข้าใจนโยบายของพรรคมากขึ้น ซึ่งตอนนี้อาจจะเป็นจุดอ่อนในรอบที่แล้ว ที่เราอาจจะลงพื้นที่น้อยไป หรือตัวผู้สมัครเราก็ไม่ได้มีพื้นฐานจากการเมืองท้องถิ่นก็ทําให้ลงพื้นที่ได้ไม่ทั่วถึง รอบนี้ทางพรรคพลังประชารัฐผู้สมัครส่วนใหญ่ก็จะมาจากการเมืองท้องถิ่น เป็นอดีต ส.ส. เป็นอดีตรองนายก อบจ. เป็นอดีต ส.จ. เพราะฉะนั้นทุกคนก็จะมีพื้นฐานท้องถิ่น จะเข้าถึงชาวบ้าน ใกล้ชิด เข้าใจชาวบ้านได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม วันนี้ เวลา 18.30-21.00 น. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค จะควงคู่ นาย สันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค พร้อม ผู้สมัครส.ส. ปทุมธานีทั้ง 7 เขต ขึ้นเวทีปราศรัย ณ สวนบริษัท เคเอสเอส อินเตอร์เทคกรุ๊ป คลองสาม ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา เพื่อย้ำ ความมั่นใจว่า พรรคพลังประชารัฐพร้อมเดินหน้าพัฒนาปทุมธานีอย่างเเท้จริงจากคนรุ่นใหม่

นายชัยวุฒิ กล่าวถึงกรณีที่ นาย ปิยบุตร แสงกนกกุล เเกนนำ ก้าวไกล ปราศรัยพาดพิงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่จังหวัดขอนแก่น ว่า ในสโลแกนก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่ว่าพลเอกประวิตรกลับเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง ตั้งแต่การสลายการชุมนุม การทํารัฐประหาร ซึ่งประเด็นดังกล่าว อยากให้ทุกฝ่าย รวมถึง คุณปิยะบุตร หรือบางคนที่จะยัง จมอยู่กับอดีต กับเรื่องรัฐประหารหรือความขัดแย้งต่างๆ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมา เกิน8ปีแล้ว บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่เป็น 10 ปีแล้ว วันนี้ไม่ใช่เวลาพูดถึงอดีต แต่ควรพูดถึงอนาคตที่เราจะต้องก้าวข้ามมันไป เพื่อมาทํางานร่วมกัน สร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆไม่ควรนำเอาเรื่องการเมืองความขัดแย้งมาเป็นตัวตั้ง

“อะไรที่ถือเป็นเรื่องที่ดีแต่อยู่ฝ่ายตรงข้าม คุณก็จะคัดค้าน มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ผมอยากให้เรามองที่ประชาชน เป็นศูนย์กลาง เรามาช่วยกันแก้ปัญหาให้ประชาชน เพื่อการก้าวข้ามความขัดแย้ง เราจะไม่ทะเลาะกันด้วยเรื่องที่ไร้เหตุผล ทุกเรื่องสามารปรองดองกันได้ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะอยากจะอยู่กับใคร อยากจะทํางานร่วมกับใคร แต่ไม่ใช่หวังว่าคนอื่นเขาทํางานร่วมกันได้ แล้วคุณมองว่าคนที่เขาอยู่ร่วมกัน เป็นคนไม่ดี ถ้าคนอื่นเขาอยู่ร่วมกันได้เป็นเสียงข้างมาก เขาปรองดองกันได้ ทํางานให้ประชาชนได้ ประเทศก็เดินไปข้างหน้า ถ้าไม่เห็นด้วย แต่เป็นเสียงข้างน้อย ก็ต้องยอมรับกติกาตามประชาธิปไตย โดยให้การเลือกตั้งเป็นคําตอบ ”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 มีนาคม 2566