โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: ข่าวกิจกรรม ส.ส. และสมาชิกพรรค

“ชัยวุติ”ย้ำ เศรษฐกิจไทยดีจริงภายใต้การบริหารพปชร.ชี้ ชู”พล.อ.ประวิตร” คือคนประสานก้าวข้ามความขัดแย้ง “สกลธี”ขอโอกาสจากชาวฝั่งธนฯ พัฒนาด้วยกองทุนพัฒนาประเทศ

“ชัยวุติ”ย้ำ เศรษฐกิจไทยดีจริงภายใต้การบริหารพปชร.ชี้ ชู”พล.อ.ประวิตร” คือคนประสานก้าวข้ามความขัดแย้ง “สกลธี”ขอโอกาสจากชาวฝั่งธนฯ พัฒนาด้วยกองทุนพัฒนาประเทศ

พรรคพลังประชารัฐ จัดเวทีปราศรัยย่อยโซนธนบุรีเหนือ”พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ”ที่ สวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 8 โดยมีแกนนำพรรคพลังประชารัฐ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ,ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.และนายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.

โดยนายชัยวุฒิ กล่าวปราศรัยว่า ตอนนี้เศรษฐกิจไทยไปได้ไกลกว่าที่เราคิดเยอะ จากข้อมูลของบริษัท SC Asset พบว่าในปี 63 มีกำไร 1,800 กว่าล้าน ,ปี 64 มีกำไร 2,000 กว่าล้าน และปี 65 มีกำไร 2,500 กว่าล้าน แล้วเศรษฐกิจไม่ดีจริงหรือ เมื่อมาดูจากบริษัทแสนสิริ ปี 63 กำไร 1,000 กว่าล้าน ,ปี 64 กำไร 2,000 กว่าล้าน ,ปี 65 กำไร 4,000 กว่าล้าน กำไรเพิ่มขึ้นเท่าตัว ซึ่งจะเห็นว่ายอดขายบ้านสัมพันธ์กับเศรษฐกิจ เพราะถ้าเศรษฐกิจดี คนถึงมีเงินไปซื้อบ้าน ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี คนก็ไม่มีเงินไปซื้อบ้าน ตนจึงขอยืนยันว่าเศรษฐกิจเข้มแข็งและเติบโตแน่นอน

“วันนี้เรามาถูกทางแล้ว รัฐบาลภายใต้การทำงานของพรรคพลังประชารัฐ 4 ปีที่ผ่านมา เราวางโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้บ้านเมืองมั่นคง ถ้าประเทศไม่มั่นคง ประเทศไม่สงบ เราก็ทำมาหากินไม่ได้ ผมยืนยันว่า ลุงป้อมเป็นผู้ประสานงาน 10 ทิศ ประสานงานกับทุกคน เปิดบ้านตั้งแต่ ตี 5 ถึง 5-6 โมงเย็น ใครมีปัญหา ใครเดือดร้อนก็ไปพูดคุยกับท่าน ท่านแก้ปัญหาให้กับทุกคน ประสานงานกับทุกคน ทำให้วันนี้รัฐบาลอยู่ครบ 4 ปี แล้วเราจะทำต่อไป จึงเป็นที่มาของนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง” นายชัยวุฒิ กล่าว

ทั้งนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้ คือการเลือกผู้แทนของพี่น้องประชาชนทุกคน ที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรคพลังประชารัฐ เป็นคนรุ่นใหม่ เป็นคนมีคุณภาพที่คัดสรรมาให้พี่น้องประชาชน เราจะมาทำงานให้รัฐบาลเข้มแข็ง ให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี มาทำให้ประเทศของเราเดินไปข้างหน้า ดังนั้นวันที่ 14 พฤษภาคม กาทั้งคนทั้งพรรคให้ พลเอกประวิตร ไปทำงานประสานงานก้าวข้ามความขัดแย้งพัฒนาทุกพื้นที่

ด้านนายสกลธี กล่วว่า ตนอยู่การเมืองมา 16 ปี แต่เวลาขึ้นปราศรัยตนรู้สึกดีใจที่ประชาชนรักและสนับสนุนพวกเราทุกครั้ง เราจะทำทุกอย่าง นโยบายทุกข้อของพรรคพลังประชารัฐมาจากการลงพื้นที่ของพวกเราทุกคน เพราะเรารู้ว่าคนไทยอยากเห็นประเทศเดินทางไปในทิศทางไหน เราจะไม่ติดกับดักความขัดแย้งเดิม ๆ พอแล้วกับการหาเสียงแบบเดิมที่มาด่าทอ ป้ายสีกัน พรรคพลังประชารัฐจะสู้ด้วยตัวผู้สมัครและนโยบายของพรรคที่จะทำเพื่อประชาชนเท่านั้น

นายสกลธี กล่าวต่อว่า หลายคนถามว่าทำไมถึงเลือกมาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ก็เพราะพรรคนี้เปิดกว้าง รับฟังคนทุกกลุ่ม ทุกปัญหา พรรคให้โอกาสทุกคน อย่างตนก็ได้ใช้ประสบการณ์ของตัวเองเข้ามาทำงาน เช่นเดียวกับผู้สมัครของเราทุกคนที่สามารถนำเสนอความเดือดร้อนและปัญหาของประชาชนเพื่อนำมาผลักดันเป็นนโยบายดี ๆ เพื่อคนไทยทุกคน โดยการรวมตัว ของ“พลังกรุงเทพฯ ของพลังประชารัฐ” จะเข้ามาพัฒนากรุงเทพฯของเรา เพราะรู้ปัญหาของชาว กทม.เป็นอย่างดี ขอเพียงแค่ประชาชนให้โอกาสผู้สมัครของพรรคเราได้เข้าไปลงมือทำ โดยเรามั่นใจว่าจะทำกรุงเทพฯให้ดีกว่านี้ได้แน่นอน ขอเพียงแค่โอกาสจากชาวฝั่งธนที่จะเทคะแนนให้กับผู้สมัครของเรา

น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์ เขตบางกอกน้อย (เฉพาะแขวงศิริราช) เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ (ยกเว้นแขวงบางหว้า แขวงบางแขวงบางด้วนและแขวงคลองขวาง) เขตตลิ่งชัน (เฉพาะแขวงบางเชือกหนัง) เขตธนบุรี (เฉพาะแขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจีและแขวงบางยี่เรือ) กล่าวว่า จากการเข้าไปสัมผัสพื้นที่ในฝั่งธนอย่างต่อเนื่องและยาวนาน เราพยายามจะสร้างรายได้ให้กับชุมชนให้เพิ่มมากขึ้น แน่นอนว่ารายได้หลักของประเทศมาจากการท่องเที่ยว ดังนั้นการที่ฝั่งธนมีวิถีชีวิตชุมชน ที่สามารถส่งเสริมชุมชนอย่างครบวงจร โดยการชูความโดดเด่นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ในพื้นที่ให้เป็นมรดกของชาติ ซึ่งเห็นแนวทางในการเข้าไปต่อยอดชุมชน เพื่อความสวยงามและสะอาดมากยิ่งขึ้น และมีความปลอดภัย ซึ่งพรรคมีนโยบายที่จะทำให้เกิดกองทุนที่จะพัฒนาขึ้นมูลค่า 300,000 ล้านบาท สร้างเศรษฐกิจให้กับชุมชน เพื่อมาช่วยกันแก้หนี้และเติมทุนนำไปใช้ในการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างในมิติต่างๆให้ชุมชนเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ จากความที่เป็นพื้นที่วัฒนธรรมทรงคุณค่าอย่างมาก โดยเฉพาะวัดอรุณ ถือเป็นแลนด์มาร์คของเมืองไทย ซึ่งต่างชาติรู้จัก เพราะว่าพระปรางค์วัดอรุณ เราจะนำเอาสิ่งที่ดีของชาวฝั่งธนฯ พัฒนาพื้นที่ตลอดสายน้ำเพื่อสร้างซอฟพาวเวอร์ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ยกระดับชุมชนให้ความเข้มแข็ง

น.ต.นิธิ บุญยรัตกลิน เขตทวีวัฒนา เขตตลิ่งชัน (ยกเว้นแขวงบางเชือกหนัง) กล่าวว่า ผมมีความตั้งใจที่จะมาร่วมสร้างอนาคตที่ดี ไปพร้อม ๆ กับพี่น้องประชาชน และมั่นใจ ว่าผมทำได้จริง เรามาสร้างอนาคตที่ดีกว่าไปด้วยกัน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสุขภาพดี มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ที่สำคัญที่สุดคือล้วงกระเป๋าและเจอตังค์ วันนี้ 2 นโยบาย ที่จะมานำเสนอ เรื่องที่ 1. ปัจจุบันประเทศไทย ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ เขตทวีวัฒนาตลิ่งชันเป็นผู้สูงอายุส่วนใหญ่ โดย เราจะร่วมผลักดันให้เกิดศูนย์ดูแลผู้สูงวัยให้คนสูงวัยในพื้นที่ได้มีอาชีพ มีรายได้ เชื่อว่าสามารถทำได้จริง เป็นการส่งเสริมผู้สูงอายุอยู่อย่างมีสุขภาพที่ดี มีคนดูแลอยู่กับลูกหลานไปนานๆ
เรื่องที่ 2 ในพื้นที่ทวีวัฒนาและตลิ่งชัน เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงเกษตรกรรม โดยเฉพาะตลาดน้ำคลองลัดมะยม พรรคพลังประชารัฐ และเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งตลาดน้ำคลองลัดมะยม ผมจะพัฒนาตลาดน้ำคลองลัดมะยมเป็น Landmark แห่งใหม่ของตลิ่งชันและมีวัฒนธรรมเอานักท่องเที่ยวมาสร้างงานสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 เมษายน 2566

“ศ.ดร.นฤมล”นำทัพว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.โซนธนบุรีเหนือ เปิดเวทีปราศรัย ขอโอกาสเลือก พปชร.ทั้งคนทั้งพรรค ลั่นส่งนโยบายสวัสดิการคนเมืองให้ชาว กทม.

1 เม.ย. 2566 พรรคพลังประชารัฐ จัดเวทีปราศรัยย่อยโซนธนบุรีเหนือ”พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ”ที่ สวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 8 โดยมีแกนนำพรรคพลังประชารัฐ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ,ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.และนายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 5 เขต ประกอบด้วย นายอนุชาญ กวางทอง เขตบางขุนเทียน (เฉพาะแขวงท่าข้าม) เขตจอมทอง (ยกเว้นแขวงบางขุนเทียน),นายศันสนะ สุริยะโยธิน เขตธนบุรี (ยกเว้นแขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจีและแขวงบางยี่เรือ) เขตคลองสานเขตราษฎร์บูรณะ (เฉพาะแขวงบางปะกอก),น.ต.นิธิ บุญยรัตกลิน เขตทวีวัฒนา เขตตลิ่งชัน (ยกเว้นแขวงบางเชือกหนัง),น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์ เขตบางกอกน้อย (เฉพาะแขวงศิริราช) เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ (ยกเว้นแขวงบางหว้า แขวงบางแขวงบางด้วนและแขวงคลองขวาง) เขตตลิ่งชัน (เฉพาะแขวงบางเชือกหนัง) เขตธนบุรี (เฉพาะแขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจีและแขวงบางยี่เรือ) และ นายคมสัน พันธุ์วิชาติกุล เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย (ยกเว้นแขวงศิริราช)

ศ.ดร.นฤมล กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า วันนี้ดีใจที่ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรคพลังประชารัฐ ได้มาพบกับชาวฝั่งธน เมื่อปี 62 เราได้รับความเมตตาจากชาวฝั่งธนเลือกผู้สมัครจากพรรคของเรา ในปีนี้เราก็ขอความเมตตาอีกครั้ง แต่ขอเพิ่มเติมอีก 5 เขต นโยบายของพรรคเราครั้งนี้ เป็นพรรคการเมืองแรกที่พูดถึงการดูแลสวัสดิการของพี่น้องประชาชนชาวไทยไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อน ทุกพรรคการเมืองต่างนำถึงรัฐสวัสดิการทั้งหมด แต่เราคือภาพแรกที่เรียกว่า สวัสดิการประชารัฐและเราไม่ใช่แค่พูด แต่พรรคได้ดำเนินการมาต่อเนื่อง ในการทำบัตรประชารัฐขึ้นตั้งแต่ปี 61 โดยเริ่มต้นจากการดูแลกลุ่มเปราะบางก่อนก็คือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยไม่เกิน 100,000 บาทต่อปีก็จะได้รับการดูแลจากภาครัฐ และในอนาคตบัตรประชารัฐ จะดูแลครอบคลุมคนไทยทั้ง 67,000,000 คน ไม่จำเป็นจะต้องมีรายได้น้อยก็จะได้รับการดูแล

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า ชาว กทม.ควรมีสวัสดิการคนเมือง ไม่ว่าจะเป็นการดูแลค่าน้ำ ค่าไฟ ดูแลเรื่องที่พักอาศัย เปลี่ยนจากค่าเช่าบ้านไปกลายเป็นเงินผ่อนบ้านในนโยบายบ้านประชารัฐ 360 องศา รวมไปถึงค่าเดินทาง ค่าไฟ ที่เป็นภาระในการใช้ชีวิตแต่ละวัน ซึ่งผู้สมัคร กทม.ของพรรคพลังประชารัฐ ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจปากท้องของชาวกทม.จึงได้มาพูดคุยกันว่า จะใช้วิธีการใดที่จะไม่เกิดเป็นภาระต่อภาษีของประชาชน และมุ่งเน้นให้ประชาชนกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืนมากขึ้น โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของเศรษฐกิจฐานราก เราต้องหาแหล่งเงินเพื่อพัฒนาประเทศ

“เราจึงได้ข้อสรุปว่าจะใช้ศักยภาพของตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศด้วยการส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุนที่จะมาพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise (SE) ที่มีพระราชบัญญัติรองรับอยู่แล้ว นำมาพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยกลไกของตลาดทุนจะเปิดให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนามากขึ้น แทนที่เราจะเก็บภาษีคนรวยมาช่วยคนจน เราก็ให้คนที่มีเงินเหลือใส่เงินผ่านกองทุนแล้วใช้กลไกกำกับดูแลให้ SE ลงไปทำงานในพื้นที่ก็จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า การดำเนินงานดังกล่าวเป็นแนวทางที่หลายประเทศได้นำไปใช้แล้วเปิดให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมการแก้ไขปัญหาก็จะยั่งยืน ดังนั้นกองทุนดังกล่าวก็จะทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มในท้องถิ่น เกิดขึ้นโดยเฉพาะเด็กจบใหม่ก็จะเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ หรือ ธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยใช้แหล่งเงินจากส่วนนี้ทำให้เกิดการพัฒนาในท้องถิ่น กระจายความเจริญสู่ต่างจังหวัด ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่ กทม.แต่พรรคพลังประชารัฐ จะใช้กลไกนี้ทั่วประเทศ

“การเลือกตั้งครั้งนี้มีการใช้บัตร 2 ใบ ผู้สมัครกับพรรคใช้คนละเบอร์กัน ต้องขอให้พี่น้องทุกคนจดจำหมายเลขของผู้สมัครให้ดี พรรคพลังประชารัฐ เรามองไปถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืน ไม่ได้ต้องมาแข่งเรื่องตัวเลขว่าพรรคการเมืองใด ใครให้มากน้อยกว่ากัน แต่เราต้องการสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนทุกคน เราจึงต้องขอโอกาสประชาชนให้เลือกทั้งคนทั้งพรรค เพื่อที่เราจะเข้าไปสานต่อนโยบายดี ๆ เพื่อคนไทยทุกคน”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ด้านนายศันสนะ ได้กล่าวกับประชาชนว่า จากอดีตตนเคยเป็นผู้สมัคร ส.ส.ในปี 62 มาวันนี้ ตนยังเป็นศันสนะ สุริยะโยธิน ศัน คนเดิม ของคนคลองสาน,ธนบุรี และราษฎร์บูรณะ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ตนทำงานโดยตลอด ไม่เคยทอดทิ้งกัน ซึ่งตนได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารพรรคให้ดูแลพื้นที่เรื่อยมา โดยเน้นไปที่พี่น้องกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ ก็ถือว่าได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันในช่วงวิกฤติการณ์โควิด 19

“วันนี้สิ่งที่ผมต้องการจะผลักดันให้กับชาว กทม.ก็คือการสร้างงาน สร้างอาชีพ หาเงินทุน แก้ปัญหาปากท้อง นโยบายกองทุน SE ไม่ใช่นโยบายขายฝัน เราทำได้จริง และเราพร้อมจะผลักดัน Soft Power ด้านการท่องเที่ยว ให้มีคนเข้ามาเที่ยวในชุมชน ในเขต รวมถึงผลิตสินค้า หรือบริการประจำถิ่นมาขาย โดยพรรคพลังประชารัฐ จะเพิ่มความเป็นได้ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนให้ง่ายขึ้นด้วยกองทุน SE เพื่อที่คนรุ่นใหม่หางานได้ คนรุ่นใหญ่มีงานทำ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 เมษายน 2566

เครือข่ายประชาชนอีสาน (สอส.) สภาประชาชน ๔ ภาค อ.สูงเนิน ต้อนรับ”พล.อ.ธรรมรักษ์”อบอุ่น พร้อมสนับสนุน พปชร.เผย ดีใจ ที่นายพลลูกอีสานกลับมาช่วยชาติ

,

เครือข่ายประชาชนอีสาน (สอส.) สภาประชาชน ๔ ภาค อ.สูงเนิน ต้อนรับ”พล.อ.ธรรมรักษ์”อบอุ่น พร้อมสนับสนุน พปชร.เผย ดีใจ ที่นายพลลูกอีสานกลับมาช่วยชาติ

พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งรับผิดชอบดูแลพื้นที่ภาคอีสาน เดินทางลงพื้นที่อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งทางสภาเครือข่ายประชาชนอีสาน (สอส.) สภาประชาชน 4 ภาค โดยมีนายประพาส โงกสูงเนิน ประธานสภาเครือข่ายประชาชนอีสาน พร้อมประชาชน มาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

นายประพาส กล่าวว่า เครือข่ายประชาชนอีสานขอสนันสนุน พล.อ.ธรรมรักษ์ ที่มาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ โดยวันนี้ พี่น้องชาวอีสานต้องการมาแสดงความยินดีและดีใจที่ พล.อ.ธรรมรักษ์ ได้กลับมาช่วยเหลือประเทศชาติอีกครั้ง รวมถึงต้องการให้กำลังใจนายพลลูกอีสานในการช่วยงาน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ สู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้

ทั้งนี้ ประชาชนที่มาต้อนรับได้สอบถาม พล.อ.ธรรมรักษ์ถึงปัญหาต่าง เช่น การระบาดของยาเสพติดจำนวนมากว่าจะมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างไร รวมไปถึงปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปากท้อง ที่ปัจจุบันค่าครองชีพสูงขึ้น และการปรองดองของคนไทยในสังคม

โดย พล.อ.ธรรมรักษ์ ได้กล่าวว่ากับประชาชนว่า ทุกปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น พล.อ.ประวิตร ได้ทราบและตระหนักดี จึงมีนโยบายในการแก้ปัญหาทุกเรื่องให้กับประชาชนแล้ว ซึ่งหากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล จะเกิดการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมทันที

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 31 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร”นำ พปชร.ปราศรัยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครกำแพงเพชร ยกจังหวัด ลั่น ถึงจะพูดไม่เก่ง สามารถประสานประโยชน์เพื่อ ปชช.ส่งนั่งนายกฯคนที่ 30

,

“พล.อ.ประวิตร”นำ พปชร.ปราศรัยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครกำแพงเพชร ยกจังหวัด
ลั่น ถึงจะพูดไม่เก่ง สามารถประสานประโยชน์เพื่อ ปชช.ส่งนั่งนายกฯคนที่ 30

เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 26 มีนาคม ณ ลานตลาดนัดวันอาทิตย์ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดเวทีปราศรัย นําโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร.,นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ,นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค,นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค,ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรค พปชร.,นายวราเทพ รัตนากร กรรมการฝ่ายนโยบาย โดยมีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร จ.กำแพงเพชร ทั้ง 4 เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน ประกอบไปด้วย นายสุรสิทธิ์ วงศ์วิทยานันท์ ,นายไผ่ ลิกค์ เขต 1 ,นายเพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์ เขต 2 ,นายอนันต์ อำนวยผล เขต 3 ,นายปริญญา ฤกษ์หร่าย เขต 4 โดยบรรยากาศเวทีปราศรัยเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีประชาชนร่วมรับฟังการปราศรัยกว่า 10,000 คน มีการชูป้ายข้อความ นายกฯ คนที่ 30 มาแล้ว ,ประชารัฐ 700 และเรารักลุงป้อม รวมถึงมีการส่งเสียงเชียร์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ให้ได้

พล.อ.ประวิตร กล่าวในเวทีปราศรัยกับประชาชนว่า ตนรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมากที่ได้มาอยู่ท่ามกลางชาวจังหวัดกำแพงเพชร เราจะทำทุกอย่างเพื่อจะก้าวข้ามยากจน ความเจริญรุ่งเรืองของจังหวัดกำแพงเพชรขึ้นอยู่กับความร่วมมือกับชาวกำแพงเพชรและ พปชร. ซึ่งพวกเราพร้อมแล้วที่จะมาทำงานให้กับชาวกำแพงเพชร เราจะร่วมมือกันที่จะพัฒนาจังหวัดกำแพงเพชรให้เจริญอย่างยั่งยืน พรรคพลังประชารัฐได้คัดสรรคนดี คนเก่งที่จะมาเป็นตัวแทนของประชาชน ขอให้เลือกผู้สมัครของเราทั้ง 4 คนด้วย

“พรรคพลังประชารัฐ คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะฉะนั้นนโยบายทุกข้อของเราทำเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่ว่าจะเป็นโครงการบัตรประชารัฐการดูแลผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ รวมถึงการลดราคาน้ำมัน แก๊ส ไฟฟ้า ให้กับทุกคน และเราก็จะดูแลผู้สูงอายุ รวมไปถึงแม่และเด็กในทุกช่วงวัย”
พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาตนได้แก้ปัญหาปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม จะเห็นได้ว่าไม่มีปัญหาภัยแล้งอีกเลยตลอด 4 ปีที่ผ่านมา มีเรา ไม่มีแล้ง อีกต่อไป และเมื่อมีเรา ต้องมีที่ทำกิน ให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน ในส่วนปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมออนไลน์ ที่เป็นอันตรายต่อประเทศ ต้องแก้ปัญหาได้ทันที

“ขอโอกาสจากทุกคน เราจะนำความรัก ความสามัคคีมาสู่ประเทศชาติหมดเวลาแล้วที่คนไทยจะมาทะเลาะกันเอง ต้องจับมือกัน นำประเทศไปสู่ก้าวหน้า เพื่อความสงบของคนไทยทุกคน ฝากกับทุกคนว่า ถ้าอยากให้ประเทศมีความรัก สงบสุข สันติภาพเกิดขึ้น และมีความเป็นหนึ่งเดียวต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น ผมพูดไม่เก่ง แต่ทำงานประสานเพื่อประโยชน์ของประชาชนได้ และนำพาคนเก่ง ๆ มาทำงานให้กับประชาชนได้”

ด้านนายวราเทพ กล่าวปราศรัยว่า ในตอนนี้จังหวัดกำแพงเพชร เป็นจังหวัดที่เนื้อหอมมากที่สุดเพราะทุกพรรคการเมืองอยากจะได้ทีม ส.ส.ชุดนี้ไปอยู่ด้วย เพราะเชื่อมั่นว่าเป็น ส.ส.ที่มีคุณภาพ เมื่อส่งลงสมัครรับเลือกตั้งแล้วประชาชนจะให้การสนับสนุน ตอนนี้ขอเพียงแค่ชาวกำแพงเพชรให้สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ เพื่อไปเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และสานต่อนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพราะเมื่อครั้งที่ผ่านมา หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี จึงไม่สามารถดำเนินการนโยบายต่างๆได้ทั้งหมด แต่ครั้งนี้ หาก พล.อ.ประวิตร ได้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี นโยบายทุกข้อที่พรรคพลังประชารัฐประกาศเอาไว้กับประชาชน จะถูกผลักดันและดำเนินการในทันที

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวปราศรัยว่า จังหวัดกำแพงเพชรเป็นจังหวัดที่มีโอกาสที่จะมีตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่แทนทุกคนถึงห้าท่าน ตนการันตีว่าทั้งห้าคนทำงาน ส.ส.อย่างมีประสิทธิภาพ ฝากไปบอกพรรคอื่นเลยว่าใครที่คิดจะเข้ามาตีกำแพงเพชรเป็นไปไม่ได้ เพราะเราจะตั้งป้อมไว้หน้ากำแพงเพชรใครเข้ามาเอาตีป้อมของเราได้

“พลังประชารัฐของเราจะก้าวข้ามความขัดแย้งสีเหลืองสีแดงจะไม่มีเกิดขึ้นในประเทศไทยอีก เรามีธงชาติคืนเดียวสามสีคือขาว แดง น้ำเงิน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทรงอยู่คู่กับคนไทยนำประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน ผมขอประกาศทำสงครามกับที่ดินเถื่อน ที่ทำกินของพี่น้องประชาชนจะต้องไม่มีที่ดินเถื่อน”

ร.อ.ธรรมนัส กล่าว พรรคพลังประชารัฐมีบุคลากรที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ อย่างเช่น ท่านวราเทพ ที่ถือเป็นเพชรเม็ดงามชาวกำแพงเพชร เพราะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังนโยบายดี ๆ เพื่อประชาชนอย่าง บัตรประชารัฐ และครั้งนี้ก็เช่นกัน เพราะเราจะดูแลกลุ่มเปราะบางอย่าง ผู้สูงอายุ

นายชัยวุฒิ ได้กล่าวว่า ขอขอบคุณชาวกำแพงเพชรที่เคยสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐเลือกผู้สมัครเรายกจังหวัด ครั้งนี้นโยบายของเราประชาชนได้ประโยชน์จริง เราทำจริง สิ่งใดที่เคยทำเอาไว้แล้วประโยชน์ตกอยู่ที่ประชาชนเราก็จะทำต่อไป

“บางพรรคการเมืองคิดไกลเกินไป ผมรู้ว่าคิดอะไร บอกไม่อยากเปลี่ยนรัฐบาล แล้วอยากเปลี่ยนอะไร ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ปลุกระดมประชาชน เนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ การก้าวข้ามความขัดแย้งจึงจำเป็นต้องเกิดขึ้น เรื่องไหนที่ประชาชนทะเลาะกัน เราจะไม่พูด เราจะไม่ทำ บ้านเมืองสงบสุข ประชาชนก็อยู่ดีมีสุข แต่ถ้าเราไม่ยอมก้าวข้าม แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งสีอยากจะเปลี่ยนสิ่งที่ทำไม่ได้ ที่คนไทยรับไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้น เราก็ต้องกลับมาทะเลาะกันอีก ผลสุดท้าย คนไทยทุกคนคือ คนที่เดือดร้อน”

นายชัยวุฒิ ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า วันนี้ติดตามจากสื่อเห็นว่าโพลต่าง ๆ ไม่มีชื่อของ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่รู้ว่าลืมใส่ หรือลุงป้อมไม่ได้จ่ายเงิน การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของพวกเรา เพราะเรามีนโยบาย มีความตั้งใจที่จะทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน และเขาก็จะผลักดันให้พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อนำนโยบายต่างๆ มาทำประโยชน์ให้กับประชาชน ไม่มีการสืบทอดอำนาจ ไม่มีการเอาเปรียบใคร ทุกอย่างเป็นไปตามประชาธิปไตย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 27 มีนาคม 2566

“ร.อ.ธรรมนัส” เชื่อชาวกำแพงเพชรเทคะแนนให้ผู้สมัครส.ส. พปชร.ทั้ง 4 เขต หลังโชว์ผลงานสร้างชื่อในสภาฯ มั่นใจเลือกตั้งครั้งนี้ภาคเหนือได้มากกว่าเดิม

,

“ร.อ.ธรรมนัส” เชื่อชาวกำแพงเพชรเทคะแนนให้ผู้สมัครส.ส. พปชร.ทั้ง 4 เขต
หลังโชว์ผลงานสร้างชื่อในสภาฯ มั่นใจเลือกตั้งครั้งนี้ภาคเหนือได้มากกว่าเดิม

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีต ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานภาคเหนือ กล่าวว่า ส.ส.หน้าเก่าของพรรคพลังประชารัฐทั้ง 4 คน ได้แก่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 ท่าน ได้แก่ ส.ส.สุรสิทธิ์ วงษ์วิทยานันท์ (บัญชีรายชื่อ) ส.ส.ไผ่ ลิกค์ เขต 1 ส.ส.เพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์ เขต 2 ส.ส.อนันต์ ผลอำนวย เขต 3 ส.ส.ปริญญา ฤกษ์หร่าย เขต 4รวมถึง ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นอดีต ส.ส.เกรดคุณภาพ และเป็นคนตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องชาวกำแพงเพชร อย่างเช่น นายอนันต์ อำนวยผล ก็เข้าสภาฯไปทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร ดูแลจัดการหลายๆ อย่าง และอีกหลายคนที่เข้าไปสร้างผลงานและชื่อเสียงให้กับชาวกำแพงเพชร ตนจึงเชื่อมั่นว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ชาวกำแพงเพชรจะเทคะแนนให้กับผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐอีกครั้งอย่างแน่นอน

ร.อ.ธรรมนัส ยังกล่าวถึง ภาพรวมในพื้นที่ภาคเหนือที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลว่า เมื่อการเลือกตั้งปี 62 ภาคเหนือทั้ง 17 จังหวัด เราได้ ส.ส.มาทั้งหมด 25 ที่นั่งครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เราก็จะทำให้ดีที่สุด เพื่อรักษาฐานที่มั่นเอาไว้ให้ได้ อย่างเช่นภาคเหนือตอนบนก็มีอยู่หลายจังหวัดเช่น ลำปาง,แพร่,น่าน และเชียงราย เราก็พยายามจะผลักดันผู้สมัครให้เข้าวินให้ได้ ตนมั่นใจว่าจะทำให้มากที่สุด และจะต้องมากกว่าเดิม เพราะเรา มีเวลาทำงานเตรียมพร้อมมาแล้วถึง 4 ปี


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 มีนาคม 2566

วราเทพ”มั่นใจ ชาวกำแพงเพชรยังสนับสนุน พปชร. ปักธงยกจังหวัด เชื่อนโยบายของพรรคมีดีไม่แพ้ใคร

,

“วราเทพ” มั่นใจ ชาวกำแพงเพชรยังสนับสนุน พปชร.
ปักธงยกจังหวัด เชื่อนโยบายของพรรคมีดีไม่แพ้ใคร

นายวราเทพ รัตนากร กรรมการฝ่ายนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่จังหวัดกำแพงเพชร ณ ตลาดนัดวันอาทิตย์ตำบลนครชุม ว่า ตนในฐานะที่เคยเป็นของตัวแทนของคนกำแพงเพชรเข้าไปทำหน้าที่รัฐมนตรี ถึงครั้งนี้จะไม่ได้ลงรัสมัครเลือกตั้ง แต่ขอเป็นกำลังใจสนับสนุนผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐทั้ง 4 เขต ซึ่งเป็นคนเดิมที่เคยได้รับความไว้วางใจจากชาวกำแพงเพชรเมื่อปี 62 ทั้งหมด เชื่อว่าการการเลือกตั้งปี 66 นี้ พรรคพลังประชารัฐจะปักธงได้ทั้งจังหวัด

นายวราเทพ กล่าวต่อว่า คำถามว่าทำไมผู้สมัครหน้าเก่าของพรรคพลังประชารัฐ ถึงอยู่กันอย่างเหนี่ยวแน่นอน นั่นก็เพราะตั้งแต่ยุคก่อนหน้านี้ คุณพ่อของผู้สมัครเราหลาย ๆ คนได้สร้างผลงานและดูแลชาวกำแพงเพชรอย่างยาวนาน ซึ่งครั้งนี้ ผู้สมัครทุกคนจึงมั่นใจว่า พรรคพลังประชารัฐจะสามารถทำประโยชน์ให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริง

“วันนี้ เราไม่ต้องไปสนใจนโยบายของพรรคอื่น ๆ เพราะนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ก็ไม่แพ้พรรคใด เราๆ ซึ่งอาจจะทำได้มากกว่าด้วย เพราะ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีประสบการณ์และความสามารถที่จะประสานงานได้กับทุกฝ่าย เหมือนนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้งของพรรค และที่สำคัญคือ ประเทศของเราตอนนี้ต้องการความร่วมมือกันในการบริหารประเทศ ดังนั้นไม่ว่านโยบายขอพรรคการเมืองอื่นที่ประกาศออกมาแล้วมีประโยชน์กับประชาชน ถ้าพรรคพลังประชารัฐได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เราพร้อมจะผลักดันทุก ๆ นโยบายของ ทุกพรรคการเมือง ที่เป็นประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นที่ตั้ง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 มีนาคม 2566

“ชัยวุฒิ”ผนึกกำลัง”ธรรมนัส”พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งเมืองตาก มั่นใจ พปชร.กวาดเก้าอี้ยกจังหวัด ด้านผู้สมัคร เชื่อ ผลงาน”พล.อ.ประวิตร”เป็นที่ประจักษ์ ช่วยให้ได้ชัยชนะ

,

“ชัยวุฒิ”ผนึกกำลัง”ธรรมนัส”พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งเมืองตาก มั่นใจ พปชร.กวาดเก้าอี้ยกจังหวัด ด้านผู้สมัคร เชื่อ ผลงาน”พล.อ.ประวิตร”เป็นที่ประจักษ์ ช่วยให้ได้ชัยชนะ

วันนี้(26 มี.ค.) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดตาก ช่วย นายประสงค์ นามเสถียร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ ปราศรัยหาเสียง พบปะพี่น้องประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อของที่บริเวณตลาดวังหิน เทศบาลเมืองตาก เเละเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน

ทั้งนี้ บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก โดยนายชัยวุฒิ เปิดเผยว่า วันนี้พรรคพลังประชารัฐ พร้อมที่จะปักธง จังหวัดตากทั้ง 3 เขตยกจังหวัด โดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีต ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานภาคเหนือ ก็จะเข้ามาช่วยประสานงานและดูแลด้วย เพราะว่ามีความคุ้นเคยกับพื้นที่เป็นอย่างดี

“ผมเเละ ร.อ.ธรรมนัส ตั้งมั่นที่จะสู้การเลือกตั้งในพื้นที่จังหวัดตาก เพื่อให้ได้ ส.ส.ของพรรคครบทุกเขต โดยเมื่อปี 62 พรรคพลังประชารัฐก็ได้ 2 เขตจากทั้งหมด 3 เขต ซึ่งครั้งนี้เราเชื่อมั่นว่า จะทําให้ได้ครบทั้งจังหวัด ผมขอการสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนทุกคนด้วย”

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ท่านมีความผูกพันกับชาวตาก เพราะตลอดเวลาที่ได้เข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการเรื่องน้ำไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาแหล่งน้ํา การส่งเสริม อาชีพต่างๆ ของพี่น้องเกษตรกร รวมถึงเรื่องที่ดินทํากิน ที่ถือว่าเป็นปัญหาสําคัญของชาวจังหวัดตาก โดยเราก็มีโครงการธนาคารที่ดิน มาแก้ปัญหาที่ดินให้พี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ถ้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ ส.ส.ทั้ง 3 คน ก็จะเข้ามาช่วยกันผลักดันโครงการต่างๆ แก้ปัญหาชาวจังหวัดตากให้สําเร็จให้ได้

ด้านนายประสงค์ นามเสถียร ผู้สมัคร สส.เขต1 พรรคพลังประชารัฐ จังหวัดตาก กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากชาวจังหวัดตาก เพราะผลงานของ พล.อ.ประวิตร แก้ปัญหาให้กับชาวบ้านได้อย่างตรงจุด จึงเป็นที่รักของชาวตาก รวมถึงสมัยที่ท่านเป็นผู้บังคับบัญชาทหารบก ก็ได้ดูเเลพื้นที่เเนวชายแดน จ.ตาก โดยให้ความสำคัญเรื่องปัญหายาเสพติด จึงเชื่อมั่นว่า พรรคพลังประชารัฐ จะทำให้ตนมีโอกาสที่จะได้รับการเลือกตั้งในเขตนี้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” นำทีม พปชร.ภาคเหนือปราศรัยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครพิจิตรครบทั้ง 3 เขต ท่ามกลางอากาศร้อนระอุ แต่ ปชช.แห่เข้าฟังเนืองแน่น หนุนนโยบายไร้ภัยแล้งตลอดทั้งปี

,

“พล.อ.ประวิตร” นำทีม พปชร.ภาคเหนือปราศรัยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครพิจิตรครบทั้ง 3 เขต
ท่ามกลางอากาศร้อนระอุ แต่ ปชช.แห่เข้าฟังเนืองแน่น หนุนนโยบายไร้ภัยแล้งตลอดทั้งปี

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 25 มีนาคม ที่วิทยาลัยเทคนิคพิจิตร จ.พิจิตร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดเวทีปราศรัย นําโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร.,นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค ,นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค,นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค,ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรค พปชร.,นายวราเทพ รัตนากร กรรมการฝ่ายนโยบาย นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร. และนาย ไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร โดยพรรคพลังประชารัฐ ได้มีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร จ.พิจิตร ประกอบไปด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์พรชัย อินทร์สุข ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิจิตรเขต 1 นางณริยา บุญเสรฐ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิจิตร เขต 2 และนายเอกวิชญ์ เรืองมาลัย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิจิตรเขต 3 ทั้งนี้ ท่ามกลางสภาพอากาศบริเวณเวทีปราศรัยมีอุณหภูมิร้อนกว่า 38 องศา แต่บรรยากาศก็เป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนมาฟังการปราศรัยอย่างเนืองแน่นกว่า 10,000 คน

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐส่งคนมีคุณภาพครบทั้ง 3 เขต ไว้ในอ้อมอก อ้อมใจของทุกคนและขอฝากนโยบายที่พรรคทำเพื่อประชาชนชาวพิจิตร ตนรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมากที่ได้มาอยู่ท่ามกลางชาวจังหวัดพิจิตร ด้วย พวกเราพร้อมแล้วที่จะมาทำงานให้กับชาวพิจิตร โดยได้คัดสรรคนดี คนเก่งที่จะมาเป็นตัวแทนของประชาชน เพื่อมาพัฒนาแก้ไขปัญหาให้กับชาวพิจิตรทุกคน ตนเชื่อว่าทุกคนย่อมอยากเห็นจังหวัดพิจิตรเจริญขึ้น ดังนั้น จึงต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐ และผู้สมัครทั้ง 3 คนให้มาทำงานเพื่อทุกคนที่นี่

“พรรคพลังประชารัฐ คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะฉะนั้นนโยบายทุกข้อของเราทำเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่ว่าจะเป็นโครงการบัตรประชารัฐการดูแลผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจรากหญ้า ให้มีความเท่าเทียม เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม”

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาตนได้แก้ปัญหาปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม จะเห็นได้ว่าไม่มีปัญหาภัยแล้งอีกเลยตลอด 4 ปีที่ผ่านมา มีเรา ไม่มีแล้ง อีกต่อไป และเมื่อมีเรา ต้องมีที่ทำกิน ให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน เราจะดูแลทุกคนอย่างต่อเนื่อง 4 ปีที่ผ่านมา เราก็ดูแลมาแล้ว แต่ยังไม่ครบทั้ง 77 จังหวัด เราจึงกลับเข้ามาสานต่อให้ครบทั่วประเทศให้ได้ ในส่วนปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมออนไลน์ ที่เป็นอันตรายต่อประเทศ ต้องแก้ปัญหาได้ทันที

“เราขออาสานำความรัก ความสามัคคีมาสู่ประเทศชาติหมดเวลาแล้วที่คนไทยจะมาทะเลาะกันเอง ต้องจับมือกัน นำประเทศไปสู่ก้าวหน้า เพื่อความสงบของคนไทยทุกคน ฝากกับทุกคนว่า ถ้าอยากให้ประเทศมีความรัก สงบสุข สันติภาพเกิดขึ้น และมีความเป็นหนึ่งเดียวต้องเลือกพรรคพลังประขารัฐเท่านั้น”

ทั้งนี้ ว่าที่ผู้สมัครได้สลับกันขึ้นปราศรัย โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์พรชัย อินทร์สุข ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิจิตรเขต 1 กล่าวปราศรัยว่า วันนี้ได้รับเกียรติจากพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ขวัญใจชาวพิจิตร เดินทางมาร่วมพูดคุยกับพวกเรา จากนโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่จะทำให้คนไทยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะปัญหาเรื่องภัยแล้งหรือน้ำท่วม จะไม่เกิดขึ้นอีกถ้าเรามีนายกรัฐมนตรีชื่อ พลเอกประวิตร เราจะมีน้ำใช้เพื่อการเกษตรกรรมตลอดทั้งปี ตนเชื่อเลยว่า จากนี้ไปคนพิจิตรจะมีน้ำเพื่อทำนา สร้างรายได้ตลอดทั้งปี

ด้านนางณริยา บุญเสรฐ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิจิตร เขต 2 กล่าวปราศรัยว่า ชาวพิจิตรอาจจะเคยเห็นตนมีการเปิดตัวกับอีกพรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งทุกคนคงสงสัยว่าทำไมตนถึงย้ายมาลงรับสมัครเลือกตั้งกับพรรคพลังประชารัฐ ก็เพราะพรรคพลังประชารัฐจะก้าวข้ามความขัดแย้ง รวมถึงพรรคยังมีนโยบายดี ๆ เพื่อคนไทยทั้งประเทศไม่ว่าจะเป็นบัตรประชารัฐ 700 บาท รวมถึงนโยบายดูแลผู้สูงอายุ 345 678 ที่จะมีสวัสดิการดูแลผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ตามลำดับขั้นบันได ทั้งนี้ ตนขอโอกาสจากชาวพิจิตร ขอให้ ส.ส.พิจิตรทั้ง 3 เขตเป็นผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ

ด้านนายเอกวิชญ์ เรืองมาลัย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิจิตร เขต 3 กล่าวปราศรัยว่า ขอขอบคุณพี่น้องชาวพิจิตรที่มาต้อนรับผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐรวมถึงคู่กันหมักทุกคนอย่างอบอุ่น วันนี้ถ้าตนได้รับโอกาสจากชาวพิจิตรเขตสาม ตนสัญญาว่าจะทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถให้คุ้มค่ากับภาษีของประชาชนทุกคนและตอบแทนความไว้วางใจด้วยการทำงานเต็ม 100% เพื่อประชาชน

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวปราศรัย ว่า ตนอยู่พรรคการเมืองมาหลายพรรค แต่พรรคที่มีหัวหน้าอย่าง พล.อ.ประวิตร ทำให้ตนสามารถพูดได้เต็มปากว่า ท่านคือผู้นำเป็นผู้ใหญ่ใจดี วันนี้เป็นโอกาสดีของพี่น้องชาวพิจิตรที่ท่านตั้งใจมาพบทุกคนที่นี่ทั้ง 3 เขต 12 อำเภอ เมื่อการเลือกตั้งปี 62 ผู้สมัครของพลังประชารัฐทั้ง 3 เขตได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องที่นี่ วันนี้ ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐที่สร้างมากับมือได้ย้ายบ้านออกไป เราก็ไม่ว่ากันแซึ่งเรามั่นใจว่าในการเลือกตั้งปีนี้เราได้ว่าที่ผู้สมัครที่มีคุณภาพมาเป็นตัวแทนชาวพิจิตรอีกครั้ง ซึ่งเราหวังว่า ทุกคนจะกาให้เราทั้งผู้สมัครและพรรคพลังประชารัฐ

“พรรคพลังประชารัฐประกาศชัดเจนว่า เราจะก้าวข้ามความขัดแย้ง บรรยากาศที่แตกแยก ไม่ใช่เรื่องสนุก หมดเวลาแล้วที่คนไทยจะทะเลาะกัน เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากได้ประเทศที่สงบสุขขอให้เลือกพรรคพลังประชารัฐ”
ร.อ.ธรรมนัส ยังกล่าวต่อถึง นโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ที่จะมีการช่วยเหลือชาวนาที่ถือเป็นกระดูกสันหลังของประเทศ ทำนามาด้วยความเหนื่อยล้า แต่พอถึงเวลาฤดูขายข้าวข้าว ราคากลับตกต่ำทุกปี

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 มีนาคม 2566

“ผู้กองมาร์ค”ชู นโยบาย อากาศสะอาด น้ำบริสุทธิ์ คืนให้ชาว กทม.ปัญหาฝุ่น PM2.5 ต้องหมดไป ลั่นเศรษฐกิจดี ต้องควบคู่สุขภาพที่ดี

,

“ผู้กองมาร์ค”ชู นโยบาย อากาศสะอาด น้ำบริสุทธิ์ คืนให้ชาว กทม.ปัญหาฝุ่น PM2.5 ต้องหมดไป ลั่นเศรษฐกิจดี ต้องควบคู่สุขภาพที่ดี

วันนี้(24 มี.ค.)ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตบางซื่อ เขตดุสิต (เฉพาะแขวงถนนนครไชยศรี)พรรคพลังประชารัฐ กล่าวปราศรัยบนเวทีย่อยโซนกรุงเทพฯ เหนือ”พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ”ที่ศูนย์เยาวชนหลักสี่ การเคหะท่าทราย ว่าเราต้องการมอบอากาศสะอาด น้ำบริสุทธิ์ เศรษฐกิจดี ต้องควบคู่กับสุขภาพที่ดีให้กับชาว กทม.โดย สิ่งที่เราต้องการแก้ไขคือ ปัญหาฝุ่น PM2.5 เพราะปัจจุบันคนกรุงเทพต้องเผชิญกับอากาศที่ไม่ปลอดภัย เป็นพิษกับผู้สูงวัย เด็กเล็ก และผู้ป่วย ซึ่ฝฝุ่นพิษเกี่ยวข้องกับหลายเรื่องทั้งเรื่องผังเมืองที่อาจจะต้องแก้ไข ต้นไม้ที่อาจจะต้องปลูกเพิ่ม บางพื้นที่ก็เป็นพื้นที่ที่อากาศปิด ต้องพิจารณาว่า จะต้องติดเครื่องฟอกอากาศยักษ์เหมือนปักกิ่งโมเดล โดยพรรคพลังประชารัฐไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้บรรจุยุทธวิธีแก้ไขปัญหานี้ในนโยบายของพรรคแล้ว โดยเราพร้อมทำทันที เพื่อนำอากาศบริสุทธิ์กลับคืนมาให้กับชาว กทม.

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่รอการแก้ไข เช่น ปัญหาโลกร้อน การเปลี่ยนเมืองให้เป็นป่า นำสายไฟฟ้าลงดิน,ต้นไม้ฟรี 69 ล้านต้น,รถ EV ลดภาษีทำแล้ว เพิ่มจุดชาร์ท โดยภาครัฐเป็นผู้สนับสนุน รวมถึงการเปลี่ยนรถเมล์เป็น EV ทั้งหมดภายใน 5 ปี เพื่อให้ชาว กทม.มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวต่อว่า จากสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบถึงระบบเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง ซึ่งทางพรรคพลังประชารัฐของเราก็เล็งเห็นปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้ออกนโยบายพลังงาน ด้วยการลดราคาน้ำมัน โดยพรรคเราทำได้จริง ไม่มีการขายฝัน ตั้งเป้าลดเบนซินลงให้ได้ไม่เกิน 20 บาท รวมถึงน้ำมันทุกชนิดด้วย ซึ่งจะทำให้ลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนได้ทันที

“ผมได้ลงพิ้นที่ตลาดศรีเขมา ซึ่งแต่ก่อนเป็นสถานที่ค้าขายขนาดใหญ่ แต่เมื่อมีการไล่ที่เกิดขึ้นส่งผลให้พ่อค้า แม่ค้า ไม่มีที่ขายของ แต่ตลาดแห่งนี้มีจุดเด่นในเรื่องร้านอาหารที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก ผมจึงต้องการผลักดันนโยบาย street food ที่จะได้ประโยชน์ต่อประชาชนผู้ซื้อ มีแหล่งซื้อของที่ถูกใจ รวมไปถึงเป็นการเพิ่มแหล่งทำอาชีพ กระตุ้นยอดขายให้กับพ่อค้า แม่ค้า ด้วย”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 มีนาคม 2566

“นพวรรณ” ว่าที่ผู้สมัคร พปชร.เขต สายไหม ดัน ระบบคลาวด์แก้ปัญหาสาธารณสุข ลั่น ชาว กทม.ไม่ต้องรอคิวตั้งแต่เช้าได้ตรวจเที่ยง

,

“นพวรรณ” ว่าที่ผู้สมัคร พปชร.เขต สายไหม ดัน ระบบคลาวด์แก้ปัญหาสาธารณสุข ลั่น ชาว กทม.ไม่ต้องรอคิวตั้งแต่เช้าได้ตรวจเที่ยง

วันนี้(25 มี.ค.66) ภญ.นพวรรณ หัวใจมั่น เขตสายไหม (เฉพาะแขวงออเงิน) เขตบางเขน (เฉพาะแขวงท่าแร้ง) เขตลาดพร้าว (เฉพาะแขวงจรเข้บัว) กล่าวว่า ตนต้องการผลักดันให้แต่ละเขตในพื้นที่ กทม.มีโรงพยาบาลรัฐ หรือศูนย์สาธารณสุขในทุกเขต ที่สามารถรองรับ และทำให้ประชาชนเข้าถึงระบบการรักษาได้ง่ายขึ้น เพื่อที่จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วย โดยประชาชนต้องเข้าถึงการรักษาพยาบาล ได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องรอคิวตั้งแต่เช้า ได้ตรวจเที่ยง ตรวจบ่าย

ภญ.นพวรรณ กล่าวต่อว่า จากการที่ตนลงพื้นที่และได้เข้าไปพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่ และพบปัญหาว่า การส่งคนไข้ต่อจากโรงพยาบาลหนึ่งไปอีกโรงพยาบาลหนึ่ง มักเกิดปัญหาข้อมูลประวัติผู้ป่วยไม่มีการเชื่อมถึงกัน ตนเลยมีความคิดว่าหากเราใช้บัตรประชาชนใบเดียว ที่สามารถเชื่อมข้อมูลการรักษาของผู้ป่วยได้ ทำให้เมื่อเราย้ายการรักษาไปอีกโรงพยาบาล คุณหมอสามารถทราบข้อมูลประวัติการรักษาจากที่เดิมได้ โดยที่เราไม่ต้องไปตรวจใหม่ เพราะเรามีระบบที่ปลอดภัย นั่นคือระบบคลาวด์ ที่จะเก็บข้อมูลส่วนกลางของผู้ป่วยแต่ละเคสไว้ ทำให้แต่ละโรงพยาบาลสามารถดึงข้อมูลนั้นไปใช้ได้เลย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 มีนาคม 2566

ศ.ดร.นฤมล”นำทีมว่าที่ผู้สมัคร กทม.เร่งขับเคลื่อนแผน“เพิ่มพลังทุน เพิ่มพลังศก.”ชูผุดกองทุนธุรกิจเพื่อสังคมลดพึ่งงบรัฐเสริมแกร่งฐานราก

,

ศ.ดร.นฤมล”นำทีมว่าที่ผู้สมัคร กทม.เร่งขับเคลื่อนแผน“เพิ่มพลังทุน เพิ่มพลังศก.”ชูผุดกองทุนธุรกิจเพื่อสังคมลดพึ่งงบรัฐเสริมแกร่งฐานราก

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดสัมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. ตัวแทนชุมชน นักวิชาการสายเศรษฐศาสตร์ และผู้ประกอบการ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบาย พปชร. ภายใต้หัวข้อ “เพิ่มพลังทุน เพิ่มพลังเศรษฐกิจ” นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วย นางนฤมล รัตนาภิบาล, นายศันสนะ สุริยะโยธิน และนายกิตติภูมิ นีละไพจิตร์ ตัวแทนว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กทม. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)

โดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพปชร. กล่าวว่า ผู้สมัคร กทม.ของพรรคพลังประชารัฐได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจปากท้องของชาว กทม จึงได้มาพูดคุยกันว่า จะใช้วิธีการใดที่จะไม่เกิดเป็นภาระต่อภาษีของประชาชน เพราะแต่ละปี รัฐบาลต้องมีการจัดสรรงบประมาณ ปีละ 3.1-3.2 ล้านล้านบาท ขณะที่จัดหารายได้ของภาครัฐมีเพียง 2.3-2.5 ล้านล้านบาท ซึ่งมีส่วนต่างที่จะต้องจัดหาจากการกู้ให้เพียงพอในการพัฒนาประเทศ และมุ่งเน้นให้ประชาชนกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืนมากขึ้น โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของเศรษฐกิจฐานราก เราต้องหาแหล่งเงินเพื่อพัฒนาประเทศ

“เราจึงได้ข้อสรุปว่าจะใช้ศักยภาพของตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศด้วยการส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุนที่จะมาพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise (SE) ที่มีพระราชบัญญัติรองรับอยู่แล้ว นำมาพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยกลไกของตลาดทุนจะเปิดให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนามากขึ้น แทนที่เราจะเก็บภาษีคนรวยมาช่วยคนจน เราก็ให้คนที่มีเงินเหลือใส่เงินผ่านกองทุนแล้วใช้กลไกกำกับดูแลให้ SE ลงไปทำงานในพื้นที่ก็จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง”

ทั้งนี้การดำเนินงานดังกล่าวเป็นแนวทางที่หลายประเทศได้นำไปใช้แล้วเปิดให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมการแก้ไขปัญหาก็จะยั่งยืน ดังนั้นกองทุนดังกล่าวก็จะทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มในท้องถิ่น มเกิดขึ้นโดยเฉพาะเด็กจบใหม่ก็จะเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ หรือ ธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยใช้แหล่งเงินจากส่วนนี้ทำให้เกิดการพัฒนาในท้องถิ่น กระจายความเจริญสู่ต่างจังหวัด ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่ กทม.แต่พรรคพลังประชารัฐ จะใช่กลไกนี้ทั่วประเทศ

ด้านนางนฤมล รัตนาภิบาล ว่าที่ผู้สมัคร กทม.พรรค พปชร. กล่าวว่า เราจะขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสังคมโดยการลดการพึ่งพางบประมาณประเทศ ซึ่งจะเน้นของการแสวงหารายได้ ด้วยการระดมทุน ผ่านกองทุนSE ด้วย การร่วมมือกับเอกชน และตลาดทุน ในการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมธุรกิจเพื่อสังคมตาม พ.ร.บ. ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม การพัฒนาและส่งเสริมอาชีพประชาชน เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งกองทุนสนับสนุนเงินเพื่อการประกอบอาชีพ สร้างรายได้ที่มั่นคง เพื่อเพิ่มจำนวนนักธุรกิจในชนที่มีคุณภาพ โดยกองทุนจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนให้เกิดประสิทธิผลมากกว่าการใช้กองทุนรูปแบบที่ไม่ตอบโจทย์การช่วยเหลืออย่างแท้จริง

นายศันสนะ สุริยะโยธิน ว่าที่ผู้สมัคร กทม.พรรค พปชร. กล่าวถึงข้อ “การเพิ่มพลังสร้าง” ชูจุดเด่นสร้างจุดขายให้กับนวัตกรรม ในการสร้างโอกาสใหม่ สร้างอาชีพชุมชน ด้วยสินค้า “Made in Bangkok” สู่สากล การมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชนช่วยกันพัฒนาชุมชนของตัวเอง นี่คือสำคัญในการพัฒนาฐานรากในพื้นที่ชุมชนโดยไม่ได้พึ่งพากองทุนของประเทศ พรรคพลังประชารัฐ ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเพิ่มรายได้ และลดรายจ่ายให้กับประชาชน ซึ่งกองทุน SE ทุกคนจะสามารถเข้าถึงได้ง่าย เพื่อให้ทุกคนเติบโตและลดความเหลื่อมล้ำให้เกิดความเท่าเทียม

ด้านนายภูวกร ปรางภรพิทักษ์ ว่าที่ผู้สมัครพปชร. กล่าวถึงหัวข้อ “เพิ่มพลังเสริม” เพื่อเพิ่มทักษะและความรู้ในการสร้างอาชีพและฝึกทักษะวิชาชีพ รวมถึงเรื่องเทคโนโลยี การทำตลาดออนไลน์ และการบริการผ่านเทคโนโลยี ซึ่งพรรคพลังประชารัฐจะมีศูนย์การเรียน การสอน ทุกเขต ทุกพื้นที่ โดยเราจะสอนตั้งแต่ขั้นต้น ทำอย่างไร โดยนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นการทำสินค้า การรีแบรนด์ ให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น รวมไปถึงการค้าขายในโลกโซเชียล ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ การถ่ายรูป ครอบคลุมทุกรูปแบบ

ด้านนายกิติภูมิ นีละไพจิตร์ กล่าวถึงแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ค้าขายจากบริบทจริง การเสนอแนวทางพัฒนาตลาดใหม่ จัดการพื้นที่ ส่งเสริมอัตลักษณ์แต่ละท้องถิ่น การขยายแนวทางการขาย และส่งเสริมผู้ประกอบการ

ทั้งนี้ การจัดสัมมนาดังกล่าวเป็นการระดมความเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ จากตัวแทนชุมชน นักวิชาการสายเศรษฐศาสตร์ และผู้ประกอบการ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนและจัดทำเป็นนโยบายด้านกองทุนเพื่อการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนของพรรค ให้สอดคล้องกับบริบทและสังคมในพื้นที่ต่างๆ ของกรุงเทพฯ เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ลดการพึ่งพางบประมาณของประเทศ โดยเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ เพื่อนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจที่ดี สังคมสงบสุข และมีสุขอย่างยั่งยืนควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ ให้ดียิ่งขึ้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 23 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” เดินหน้าใช้มาตรการการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เน้นหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัดสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน

,

“พล.อ.ประวิตร” เดินหน้าใช้มาตรการการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
เน้นหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัดสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน

เมื่อ 22 มี.ค.66 ,10.00น.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีเปิดงานสัมมนา PDPA Going Forward ณ ห้องประชุมบอลรูม โรงแรมอัศวิน ถนนวิภาวดี หลักสี่ กทม. โดยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือดีอีเอส ได้กล่าวรายงาน และวัตถุประสงค์ ของการจัดงานสัมมนาซึ่งมีเป้าหมายให้ทุกภาคส่วน ตระหนักรู้ ถึงความสำคัญของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลร่วมกัน ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่สำคัญ ในการขับเคลื่อนการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศ ให้มีความก้าวหน้าตามมาตรฐานสากล โดย พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ถือเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญยิ่ง และมีผลบังคับใช้สมบูรณ์ทั้งฉบับ เมื่อ 1 มิ.ย.65 เพื่อให้คนไทยทุกคน รวมถึงนานาประเทศ เกิดความเชื่อมั่น และยอมรับในมาตรฐาน การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทย ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ อย่างยั่งยืน ต่อไป

ทั้ง พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ได้เป็นสักขีพยาน พิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) และได้เป็นประธานพิธีเปิดงาน พร้อมมอบประกาศเกียรติคุณให้หน่วยงานพันธมิตร ที่ร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานและมอบโล่รางวัล แก่ผู้ชนะเลิศออกแบบตราสัญลักษณ์

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณ ก.ดีอีเอส ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด(มหาชน) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน และสมาคมเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลไทย ที่ได้ร่วมกันจัดงานสัมมนาฯ ในครั้งนี้ โดยได้เน้นย้ำถึงมาตรการ และการสร้างความเชื่อมั่นในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งมีสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นหน่วยงานหลัก ที่จะต้องเป็นศูนย์กลางแห่งความร่วมมือ และต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัด เด็ดขาด บนพื้นฐานหลักนิติธรรม เพื่อสร้างบรรยากาศให้ประชาชนทุกคนในสังคมไทย ร่วมแรงร่วมใจกันผลักดันประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล นอกจากนั้น พล.อ.ประวิตร ยังได้เชิญชวน ผู้ที่รับฟังผ่าน Facebook Live เข้าร่วมการสัมมนาไปพร้อมๆกันด้วย อย่างเปิดกว้าง ทางความคิด และความร่วมมือทุกๆด้าน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 มีนาคม 2566