โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: สื่อออนไลน์

“ปิยะ” หนุนรัฐบาลปรับนายร้อย 53 เป็น “พ.ต.ต. 53”

, ,

“ปิยะ” หนุนรัฐบาลปรับนายร้อย 53 เป็น “พ.ต.ต. 53”

พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า “ ในวันตำรวจ อยากขอของขวัญจากนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ให้ช่วยผลักดันกรณีปรับนายร้อย 53 จากยศสูงสุด “ร.ต.อ. ” เป็น “พ.ต.ต.”

สืบเนื่องจากมติ ค.ร.ม. เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2555 เห็นชอบในหลักการให้ข้าราชการตำรวจ ชั้นประทวนยศ นายดาบตำรวจ อายุตั้งแต่ 53 ปีขึ้นไป เพื่อให้มีโอกาสได้รับการเลื่อนตำแหน่งและเลื่อนยศเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรยศ ร้อยตำรวจเอก ก่อนเกษียณอายุราชการ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ตำรวจชั้นประทวนที่ทำงานมานาน ให้มีโอกาสก้าวหน้าในสายงานและได้รับยศที่สูงขึ้น โดยให้อยู่ในตำแหน่ง สายงาน และสถานีตำรวจเดิมที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้น
โดยให้ผ่านการฝึกอบรมเพื่อเลื่อนตำแหน่งและเลื่อนยศแบบเลื่อนไหล เป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร“

“โครงการปรับเลื่อนยศ “นายร้อย53” จาก นายดาบตำรวจ (ด.ต.) เป็น ร้อยตำรวจตรี และรับราชการอีก 7 ปี ติดยศ ร้อยตำรวจเอก (ร.ต.อ.)ก่อนเกษียณอายุราชการ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ตำรวจชั้นประทวน ที่ทุ่มเททำงานมาจนวัยใกล้เกษียณนั้น เริ่มต้นจากช่วงปลายปี 2554 สมัยที่ตนดำรงตำแหน่ง เลขานุการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีแนวความคิดและมีการศึกษาเรื่องดังกล่าว และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯรัฐมนตรี(ในสมัยนั้น) ได้ผลักดันเรื่องดังกล่าวจนผ่านการประชุม ค.ร.ม. เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2555 จากปี พ.ศ.2555 จนปัจจุบันนี้ มีการอบรมและประดับยศ ร.ต.ต. ไปแล้วรวม 14 รุ่น”

พล.ต.ท.ปิยะฯ กล่าว “การปรับโครงการดังกล่าวเพื่อให้ ข้าราชการชั้นประทวนยศ ดต. ได้ติดยศ ร.ต.ต. และเลื่อนไหล ไปจนถึง พ.ต.ต. (ระดับสารวัตร ) จากเดิมแค่ ร.ต.อ. (ระดับรองสารวัตร) ทำได้ไม่ยาก และอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) โดยดำเนินการการปรับระดับตำแหน่งควบ ผบ.หมู่-รอง สว. จากเดิม เป็น ผบ.หมู่-สว.

ถ้าอยากให้ 3 เดือน หรือ 6 เดือนก่อนเกษียณ ให้แก้ กฎ ก.ตร. ที่ว่าด้วย การแต่งตั้งและระยะเวลาตำแหน่ง แต่ถ้าอยากให้ ดำรงตำแหน่ง 1 ปีก่อนเกษียณ ก็ ให้ปรับโครงการจากนายดาบตำรวจอายุ 53 ปี เป็นอายุ 52 ปี เพื่อที่จะมีเวลาหนึ่งปี เลื่อนชั้นตำแหน่งเป็นสารวัตรก่อนเกษียณ 1 ปี โดยอาศัยแนวทางและหลักการเดิม คือ จะต้องดำรงตำแหน่งควบ ในสายงานเดิม และสถานีตำรวจเดิม/หรือสถานที่ทำงานเดิม จะ ทำให้ไม่มีปัญหาด้านงบประมาณและการขาดแคลนกำลังพล ซึ่ง กรณีดังกล่าว สามารถทำได้เลยโดยโครงการนี้ไม่ต้องเสียงบประมาณอะไรเพิ่มเติม และสามารถทำได้ใน 4 เดือนนี้ เพียงแต่แก้ไข กฎ ก.ตร. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งยศ พ.ศ. 2554 แก้ไขเพิ่มเติม ในข้อ 8 และ ข้อ 13 และ กฎ ก.ตร. ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2567 ในข้อ 17 วรรค 2 เท่านั้น“

“การดำเนินการดังกล่าวเป็นการให้เกียรติ และเพิ่มขวัญกำลังใจ ข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ และกรณีดังกล่าว นอกจากจะเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่ข้าราชการตำรวจแล้ว ยังได้มาตรการควบคุมความประพฤติให้อยู่ในกรอบระเบียบ วินัย ที่ได้ผล เพราะ หากข้าราชการดังกล่าวถูกลงโทษทางวินัย: อาจส่งผลกระทบต่อการพิจารณาการเลื่อนยศได้ การคำนวณจำนวนปีที่รับราชการ: บางกรณีอาจมีการงดนับจำนวนปีที่รับราชการ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางวินัย ซึ่งจะทำให้ข้าราชการดังกล่าว ไม่ทำผิดวินัย และอยู่ในระเบียบวินัยมากขึ้น”

“นอกจากนี้ ได้เตรียมหารือกับสมาชิกวุฒิสภา ที่เป็นอดีตนายตำรวจ และทางสำนักงาน ก.ตร. และ สกพ. เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือ นายตำรวจ รุ่น 7000-1,7000-2 และ 7000-3 ว่า สามารถใช้แนวทางหรือโครงการเช่นเดียวกันนี้ได้หรือไม่ หรือมีแนวทางหรือโครงการที่เหมาะสมอย่างไร”

พปชร. เดินหน้าปกป้องสิทธิประชาชน ย้ำ “กองทุนอากาศสะอาด” คือหัวใจของกฎหมาย

, ,

พปชร. เดินหน้าปกป้องสิทธิประชาชน ย้ำ “กองทุนอากาศสะอาด” คือหัวใจของกฎหมาย

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช รองประธานคณะกรรมาธิการอากาศสะอาด พรรคพลังประชารัฐ ยืนยันว่าร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วาระ 2 ในวันที่ 24 กันยายน 2568 มีโอกาสสูงที่จะผ่าน และหากไม่ติดขัด กฎหมายฉบับนี้สามารถประกาศใช้ได้ก่อนสิ้นปี 2568 ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และยกระดับการจัดการมลพิษให้ประเทศไทยและเพื่อนบ้านอย่างยั่งยืน

“แม้กฎหมายจะบังคับใช้เฉพาะในไทย แต่ก็ช่วยสร้างกรอบเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านได้ เพราะกว่า 23.7% ของฝุ่นในไทยมาจากต่างประเทศ และฝุ่นจากไทยก็ส่งผลกระทบข้ามพรมแดน กฎหมายนี้กำหนดบทลงโทษทั้งปรับและจำคุก เหมือนกรณีสิงคโปร์ที่ใช้กับอินโดนีเซียเรื่องการเผาพื้นที่เกษตร”

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ ยังแสดงความกังวลต่อข้อเสนอให้ ตัดหมวด 6 “กองทุนอากาศสะอาด” ออกจากกฎหมาย เพราะกองทุนนี้เป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้สิทธิในการหายใจอากาศสะอาดเกิดขึ้นจริง หากตัดออกไป กฎหมายจะเหลือเพียงชื่อ แต่ไร้เขี้ยวและฟัน ประชาชนยังต้องเผชิญฝุ่นพิษโดยไม่มีทางเลือก

“ประชาชนไทยต้องเผชิญวิกฤตฝุ่น PM2.5 ต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคเหนือ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพหลายล้านคน ร่างกฎหมายฉบับนี้จึงเสนอสิทธิของประชาชนในการหายใจอากาศสะอาด การเข้าถึงข้อมูล และการมีส่วนร่วมออกแบบมาตรการจัดการมลพิษ”

พปชร ยืนยันเดินหน้าผลักดันกฎหมายฉบับนี้เต็มที่ เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนและคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนไทยทุกคน

ผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องตกใจ ปัญหาบัญชีม้า รัฐ–ธนาคารเดินหน้าเชิงรุก ปกป้องประชาชนทุกคน

, ,

ผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องตกใจ ปัญหาบัญชีม้า รัฐ–ธนาคารเดินหน้าเชิงรุก ปกป้องประชาชนทุกคน

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค พลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แสดงความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาบัญชีม้า พร้อมย้ำว่า ผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมออนไลน์ไม่จำเป็นต้องรีบถอนเงินหรือปิดบัญชี เพราะมีมาตรการช่วยเหลือที่ดำเนินการได้ทันที ทั้งการนำบัตรประชาชนไปยืนยันตัวตนที่ธนาคารเจ้าของบัญชี หรือโทรสายด่วน 1441 เพื่อปลดอายัดและกลับมาใช้งานบัญชีได้ตามปกติ

พร้อมอธิบายว่า ปัญหา บัญชีม้า มีความซับซ้อน เงินที่ถูกหลอกลวงมักถูกโอนต่อหลายทอด หากปล่อยให้หลุดรอดไปแล้วจะติดตามได้ยาก ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการแก้เชิงรุก ด้วยการอายัดและปิดทุกบัญชีที่เกี่ยวข้อง เพื่อหยุดเส้นทางการเงินและเร่งนำเงินคืนให้ผู้เสียหายโดยเร็ว พร้อมย้ำว่ามีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ถูกโยงเข้ากับบัญชีม้าโดยไม่รู้ตัว เช่น ถูกใช้ชื่อไปเปิดบัญชี หรือรับโอนเงินโดยไม่ทราบต้นทาง ซึ่งถือเป็นผู้บริสุทธิ์

ขอย้ำว่า “ประชาชนไม่ควรตกใจหรือแห่ถอนเงิน เพราะหากไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด สามารถแก้ไขได้ทันทีด้วยการยืนยันตัวตนกับธนาคาร ทั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐยืนยันเดินหน้าเสนอแนวทางที่เข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อคุ้มครองพี่น้องประชาชน สร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงิน และไม่ปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์ต้องได้รับผลกระทบจากความผิดที่ไม่ได้ก่อ”

พปชร. เตือนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ฟังดูสวยหรู แต่คิดไม่รอบคอบ ไม่ต่างจากนโยบายแจกเงินดิจิทัล ฟังดูสวยหรู แต่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง

, , ,

พปชร. เตือนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ฟังดูสวยหรู แต่คิดไม่รอบคอบ ไม่ต่างจากนโยบายแจกเงินดิจิทัล ฟังดูสวยหรู แต่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง

เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 68 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง วิเคราะห์นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายของรัฐบาล หลังจากที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมายอมรับว่า การดำเนินโครงการติดขัด เนื่องจากต้องรอการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม และ พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543

นายธีระชัยระบุว่า นโยบายนี้ฟังสวยหรูเหมือนแจกเงินดิจิทัลช่วงหาเสียง แต่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง และไม่ได้คิดให้รอบคอบตลอดรอดฝั่ง โดยเฉพาะเมื่อกระทรวงคมนาคมพยายามหาทางเลือก เช่น การขอใช้งบกลาง แต่คณะกรรมการกฤษฎีกายืนยันว่าไม่สามารถใช้ได้เพราะไม่ถือเป็นกรณีเร่งด่วน และการเริ่มโครงการก่อนแล้วชดเชยย้อนหลังก็ไม่สามารถทำได้ตามกฎหมาย

นายธีระชัยชี้ว่า รัฐบาลต้องตระหนักว่าการออกกฎหมายเพื่อทำให้โครงการนี้เป็นจริง จะไม่สามารถมองแค่ใช้เงินจากกำไรสะสมของ รฟม. หรือเงินชั่วคราวจากงบกลาง ซึ่งพอใช้ได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น รัฐบาลควรชี้ชัดต่อรัฐสภาและประชาชนว่า แต่ละปีจะใช้เงินเท่าไหร่ และหาแหล่งเงินจากที่ไหน พร้อมแสดงให้เห็นว่ากระแสเงินหมุนเวียนเพียงพอรองรับโครงการในระยะยาว

หากปราศจากข้อมูลที่ชัดเจน การผลักดันร่างกฎหมายทั้งสามฉบับให้ผ่านคงเป็นไปได้ยาก และอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายวินัยการเงินการคลัง ดังนั้น การแถลงข่าวว่าจะเริ่มใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายทุกสายในวันที่ 15 พ.ย. 2568 จึงมีแนวโน้มเป็นเพียงโคมลอย

ปัจจุบัน ร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม และ พ.ร.บ.รฟม. ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 แล้ว แต่ยังรอพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 รวมถึงการพิจารณาของสมาชิกวุฒิสภา ทำให้ไม่ทันกำหนดเดิม 1 ต.ค. 2568 คาดว่าจะต้องรอกฎหมายลูกอีกประมาณ 45 วัน จึงจะสามารถเริ่มใช้ได้จริงในวันที่ 15 พ.ย. 2568

เปิดใจตอบคำถามสังคม “ที่พูดไม่ใช่เพิ่งนึกได้ แต่เพื่อชาติจึงต้องพูด”

, ,

เปิดใจตอบคำถามสังคม “ที่พูดไม่ใช่เพิ่งนึกได้ แต่เพื่อชาติจึงต้องพูด”

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขอชี้แจงประเด็น MOU 43–44 เพื่อตอบคำถามในสังคมที่ถามว่าทำไมเพิ่งพูด ขอย้ำว่า ตลอดเวลาที่อยู่ในตำแหน่ง ตนสามารถควบคุม รักษาผลประโยชน์ และอธิปไตยของชาติได้เต็มที่ ด้วยประสบการณ์ด้านความมั่นคงที่ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านไม่กล้ารุกราน

แต่วันนี้ที่ออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ไม่ใช่เพราะเพิ่งนึกขึ้นมา แต่เพราะเห็นว่า หากปล่อยให้ผู้นำที่ไม่มีความเข้าใจลึกซึ้งด้านความมั่นคงบริหารประเทศภายใต้ข้อตกลงนี้ ประเทศอาจเพลี่ยงพล้ำและเสียเปรียบได้ จึงถึงเวลาที่ต้องทบทวนอย่างจริงจัง

พล.อ.ประวิตร ยืนยันว่าไม่หวั่นไหวต่อคำถากถางหรือเสียงวิจารณ์ เพราะสิ่งที่ยึดมั่นมาตลอดคือผลประโยชน์สูงสุดของชาติ พร้อมย้ำว่าตลอดชีวิตได้อุทิศตัวเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และแม้ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้ว ก็ยังยืนหยัดสู้เพื่อประเทศชาติอย่างไม่ถอย

พลังประชารัฐย้ำชัด MOU44 ทำไทยเสียเปรียบ

, ,

พลังประชารัฐย้ำชัด MOU44 ทำไทยเสียเปรียบ

ไม่สอดคล้องกฎหมายทะเลสากล UNCLOS 1982 อาจทำให้ประเทศสูญเสียทรัพยากรและสิทธิของประชาชน

ทางออกเดียวคือ ยกเลิก MOU44 ก่อน แล้วเจรจาฉบับใหม่บนกติกาที่ถูกต้อง เพื่อรักษาอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ

“สุรเดช” ยัน พลังประชารัฐยืนหยัดเคียงข้างประชาชน มุ่งพาประเทศสู่ความมั่นคงและอนาคตที่ยั่งยืน

, ,

“สุรเดช” ยัน พลังประชารัฐยืนหยัดเคียงข้างประชาชน มุ่งพาประเทศสู่ความมั่นคงและอนาคตที่ยั่งยืน

วันที่ 22 ส.ค.68 นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แสดงจุดยืนต่อสถานการณ์การเมืองที่กำลังสร้างความกังวลในสังคม โดยระบุว่า สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือการรักษาความเชื่อมั่นของประชาชน และการหาทางออกที่ยั่งยืนให้ประเทศ

นายสุรเดชกล่าวว่า ความขัดแย้งและความไม่ไว้วางใจที่เกิดขึ้น ไม่ควรถูกปล่อยให้บานปลายจนกระทบต่ออนาคตของชาติ ผู้นำรัฐบาลจำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบ และเปิดทางให้สภาผู้แทนราษฎรมีบทบาทในการเลือกผู้นำที่สามารถสร้างความศรัทธาให้กับประชาชนและสังคมได้อย่างแท้จริง

“สิ่งที่พรรคพลังประชารัฐยึดมั่นมาโดยตลอด คือการไม่ยืนรอคอยโอกาส แต่พร้อมลงมือทำงาน เพื่อหาทางออกให้ประเทศ ดังนั้นทุกการตัดสินใจของเรา ไม่ได้ตั้งอยู่บนเงื่อนไขทางการเมือง แต่ตั้งอยู่บนประโยชน์ของประชาชนและความมั่นคงของชาติเป็นหลัก” นายสุรเดชกล่าว

พปชร.หนุนยกเลิก MOU 2543–2544

, ,

พปชร.หนุนยกเลิก MOU 2543–2544

พร้อมขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมผลักดัน ย้ำผลประโยชน์ของชาติและประชาชนต้องมาก่อนผลประโยชน์ส่วนตน

เมื่อวันที่ 21 ส.ค.68 พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยพรรคสนับสนุนการยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 อย่างชัดเจน พร้อมขอบคุณนายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย นายนิพนธ์ บุญญามณี และทุกฝ่ายที่ยืนหยัดเพื่อประเทศ

ขอชี้ว่า MOU ทั้งสองฉบับมีข้อบกพร่องร้ายแรง ทั้งการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่ทำให้ไทยเสียเปรียบทางการเจรจา รวมถึงการเปิดช่องให้ไทยต้องแบ่งผลประโยชน์ใต้เกาะกูดให้แก่กัมพูชา ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นของไทยโดยชอบธรรม

พรรคขอย้ำว่าประเทศไทยสามารถประกาศยกเลิก MOU ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอความเห็นชอบจากกัมพูชา พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดอ้างข้อจำกัดที่ไม่มีอยู่จริง ที่สำคัญที่สุดคือการบริหารบ้านเมืองต้องตั้งอยู่บนรากฐานของ “ชาติและประชาชน” ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนตนหรือครอบครัว เพราะหากประเทศชาติสูญเสีย ประชาชนก็จะเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนโดยตรง

พปชร. จี้ทวงคืนหนองจาน–สกัดกัมพูชารุกล้ำชายแดน พบหลักฐานกัมพูชาวางทุ่นระเบิด PMN-2 สนับสนุนรั้วลวดหนามและฟ้องศาลโลก

, , ,

พปชร. จี้ทวงคืนหนองจาน–สกัดกัมพูชารุกล้ำชายแดน พบหลักฐานกัมพูชาวางทุ่นระเบิด PMN-2 สนับสนุนรั้วลวดหนามและฟ้องศาลโลก

เมื่อวันที่ 20 ส.ค. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แถลงว่า ชุดเก็บกู้ทุ่นระเบิดกองทัพเรือพบคลิปหลักฐานทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิด PMN-2 แม้สำนักข่าวของกัมพูชาจะโต้ว่าเป็นการจัดฉาก แต่ความจริงยังคงเป็นความจริง และเชื่อว่าหลักฐานนี้จะชี้ให้โลกเห็นถึงความไม่จริงใจของกัมพูชา ซึ่งเป็นการฉวยโอกาสจากความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่ไทยเคยมอบให้ พร้อมย้ำคำถามจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐว่า รัฐบาลจะมีมาตรการใดในการทวงคืนผืนแผ่นดินและคืนความเป็นธรรมให้ประชาชนไทยที่ทนทุกข์มานานกว่า 40 ปี

พรรคพลังประชารัฐสนับสนุนการติดตั้งรั้วลวดหนามในเขตชายแดน ซึ่งไม่ขัดต่อข้อตกลงคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 เพราะเป็นมาตรการป้องกันการบุกรุกและการวางทุ่นระเบิด ที่อาจละเมิดอธิปไตยและคุกคามชีวิตประชาชนไทย

นอกจากนี้ พรรคยังผลักดันให้รัฐบาลฟ้องสมเด็จฮุน เซน และนายฮุน มาเนต ต่อศาลไทยและศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เพื่อเอาผิดการโจมตีพลเรือน การวางทุ่นระเบิด และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยย้ำว่าการปกป้องทุกตารางนิ้วของผืนแผ่นดินไทยคือหน้าที่สำคัญ และพร้อมเดินหน้าทุกมาตรการเพื่อคืนความเป็นธรรมให้ประชาชน

พปชร.เตือนนโยบายรัฐบาล ที่ในปี 2570 จะบังคับให้ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบภาษี จะกระทบเกษตรกร-ประชาชนกว่า 40–50 ล้านคน

, ,

พปชร.เตือนนโยบายรัฐบาล ที่ในปี 2570 จะบังคับให้ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบภาษี จะกระทบเกษตรกร-ประชาชนกว่า 40–50 ล้านคน

โดยเฉพาะเกษตรกรที่ไม่คุ้นชินกับระบบภาษี พร้อมตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลไม่จัดเก็บภาษีจากผู้มีรายได้สูงและธุรกิจต่างชาติที่ยังเลี่ยงภาษีให้ครบถ้วนเสียก่อน พรรคย้ำรัฐบาลควรทบทวนเพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนในวงกว้าง

วันนี้ 19 ส.ค.68 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ว่าพรรคได้รับทราบนโยบายรัฐบาลซึ่งเตรียมปรับระบบการยื่นภาษีตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป จากเดิมที่บังคับเฉพาะเพียงผู้มีรายได้เกิน 120,000 บาทต่อปี หรือประมาณ 10 ล้านคน ที่ต้องยื่นแบบภาษี จะเปลี่ยนเป็นให้ประชาชนทุกคนต้องยื่น โดยรัฐบาลอ้างว่าจะช่วยให้จัดทำสวัสดิการและดูแลผู้มีรายได้น้อยได้สะดวกขึ้น ภายใต้นโยบาย “Negative Income Tax (NIT)”

นายธีระชัยกล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยืนยันไม่ขัดข้องต่อการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย แต่เห็นว่านโยบายนี้จะสร้างภาระอย่างรุนแรง เพราะจำนวนผู้ที่ต้องยื่นแบบภาษีจะพุ่งจาก 10 ล้านคนเป็น 40–50 ล้านคน โดยเฉพาะเกษตรกรกว่า 25–30 ล้านครัวเรือนซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์กรอกแบบภาษีมาก่อน จะต้องเสียค่าใช้จ่ายจ้างทำบัญชี และเสี่ยงถูกดำเนินคดีหากกรอกผิดพลาด จะต้องรับผิดตามกฎหมายภาษีทั้งในทางแพ่งและทางอาญา

พรรคพลังประชารัฐยังตั้งคำถามต่อรัฐบาลว่า เหตุใดไม่เร่งแก้ปัญหาการจัดเก็บภาษีจากกลุ่มผู้มีรายได้สูงและธุรกิจซับซ้อน รวมถึงต่างชาติที่ยังไม่เสียภาษีอย่างถูกต้อง เช่น การปลูกต้นมะนาวหรือต้นกล้วยในที่ดินราคาแพงกลางเมืองเพื่อหลบภาษีอัตราแพง โรงงานผลิตเหล็กของชาวต่างชาติที่ไม่ได้มาตรฐานและหนีภาษี หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่หาผลประโยชน์จากโฆษณาในไทยโดยไม่รัฐบาลไม่หาหนทางเก็บภาษี

สำหรับการเปรียบเทียบกับต่างประเทศ นายธีระชัยระบุว่า ประเทศที่พรรคเพื่อไทยอ้างถึง เช่น สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ล้วนเป็นประเทศที่มีฐานะร่ำรวย และแม้มีการทดลองนโยบาย NIT แต่ก็ยังไม่มีประเทศใดในโลกที่บังคับให้ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบภาษี ขณะเดียวกันการช่วยเหลือแบบเหวี่ยงแห แทนที่จะเน้นแต่เฉพาะกลุ่มเปราะบาง และการแจกเงินก้อนให้กลุ่มรายได้ต่ำ ก็จะเป็นภาระผูกพันงบประมาณระยะยาวตลอดไป และไม่สามารถแยกแยะว่าผู้ที่รายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่รัฐบาลต้องช่วยชดเชยเงินให้โดยอัตโนมัตินั้น ปัญหาเกิดจากเจ้าตัวตกงานหรือแท้จริงไม่ยอมหางานทำ

นายธีระชัยย้ำว่า ประเทศไทยมีฐานข้อมูลประชาชนรายได้น้อยอยู่แล้วจากโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละครึ่ง และเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทุนพัฒนาระบบใหม่ให้สิ้นเปลืองงบประมาณ จึงขอให้รัฐบาลทบทวนอย่างจริงจัง เพราะนโยบายนี้จะสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนวงกว้าง โดยเฉพาะเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยที่กลายเป็นผู้แบกรับภาระหนักมาก

พปชร. วิเคราะห์ถึงข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่าง ไทยกัมพูชา “รัฐบาลฝันว่า-ฝ่าวิกฤตชายแดน” หวังเคลมผลงานฝ่าวิกฤติชายแดน

, ,

พปชร. วิเคราะห์ถึงข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่าง ไทยกัมพูชา “รัฐบาลฝันว่า-ฝ่าวิกฤตชายแดน” หวังเคลมผลงานฝ่าวิกฤติชายแดน

“ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว วิเคราะห์ข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่าง ไทย – กัมพูชา พิลึกพิลั่น หวังเคลมผลงานฝ่าวิกฤติชายแดน

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2568 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ด้านเศรษฐกิจ และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Thirachai Phuvanatnaranubala – – ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เปิดประเด็นน่าสนใจ ว่า “รัฐบาลฝัน ว่า ฝ่าวิกฤตชายแดน” วิเคราะห์ถึงข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่าง ไทย – กัมพูชา ภายใต้การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป GBC โดยชี้ให้เห็นพิรุธสำคัญ ดังนี้

1.ไม่สมควรยกย่องรัฐบาล ว่า ฝ่าวิกฤตปะทะไทย-กัมพูชา เพราะผลงานตกชั้นหลายอย่าง เช่น การสนับสนุนกองทัพ แต่กองทัพไทย ต้องหันไปอาศัยมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน แสวงหาอุปกรณ์โดรนมาเพื่อใช้บินหย่อนระเบิด จนภาพศักยภาพโดรนที่ปรากฎไปทั่วโลก ไม่ใช่โดรนที่สนับสนุนโดยรัฐบาล
2.การมีท่าทีด้อยค่าทหารไทย กรณี นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี มีคลิประบุถึงการโจมตีวันที่ 29 ก.ค. หลังข้อตกลงหยุดยิง วันที่ 28 ก.ค. จนทำให้กำลังพลเสียชีวิตและบาดเจ็บในบริเวณปราสาทตาควาย พูดเพียงว่า “ผมทราบที่มันเกิดขึ้นบางจุด เป็นทหารที่อาจจะไม่มีวินัย ได้มารบและตอบโต้”
3.ท่าทีปกป้องผู้นำกัมพูชา โดย พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง กรณีกัมพูชายังยิงโจมตีหลังข้อตกลงหยุดยิง ว่า อาจเป็นการกระทำโดยหน่วยในพื้นที่ เพื่อปกป้องระดับผู้นำกองทัพกัมพูชา ซึ่งการกระทำนี้ไม่จำเป็นและไม่สมเหตุผล
4.ลากยาวการเจรจา ภาษีทรัมป์ จนเสียหมากการทหาร ทั้งที่ในการรบฝ่ายไทยกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ ซึ่งจำเป็นต้องขยายเวลาเพิ่ม เพื่อเก็บกู้และทำลายระเบิด เปิดทางให้ทางไทยรุกกลับคืนพื้นที่ได้ปลอดภัย แต่เมื่อ ไทย โดนประธานาธิบดีทรัมป์ ให้เดทไลน์หยุดยิง เพราะปมเจรจาภาษี ทั้งที่เห็นแล้วว่า ประเทศอาเซียน เวียดนาม ฟลิปินส์ อินโดนีเซีย เข้าเส้นชัยไปแล้ว ซึ่งก็ไม่มีหวังจะได้อัตราต่ำว่า 19% แต่ทีมเจรจาไทยกลับยอมลากยาว สุดท้ายก็โดนบีบให้ยุติศึก ทั้งที่การศึกยังไม่บรรลุผล
5.ยอมให้กัมพูชาเป็นฝ่ายได้เปรียบ ในประเด็นกับระเบิด เพราะกัมพูชาจะไม่ต้องการตกลงในประเด็นกับระเบิด เพื่อยอมรับว่าตนปฏิบัติผิดกติกาสากล จึงต้องลอบใช้กับระเบิดป้องกันมิให้ทหารไทยรุกคืบ แต่ กระทรวงกลาโหม กลับไปยอมรับข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งไม่มีการบังคับให้กัมพูชาเคลียร์ปมกับระเบิด จนทำให้ วันที่ 9 ส.ค. มีทหารไทย 3 นาย บาดเจ็บจากกับระเบิดเพิ่มเช่นเดิม
6.การปฏิบัติตาม อนุสัญญาเจนีวา กรณี การปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกจับกุมตัว การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในสถานพยาบาลของอีกฝ่าย โดยจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการรองรับของสถานพยาบาลแล้วแต่กรณี ซึ่งข้อความภาษาอังกฤษในข้อตกลงนั้น ระบุชัดเจนว่า “If one side wishes to bring in its own wounded soldiers or civilians who are not under the control of the other side for medical treatment, the receiving side may determine its response based on the capacity of its medical facilities… on a case-by-case basis.”

ซึ่งมีความหมายว่า “พยายามให้คนเข้าใจผิดว่า การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในอีกฝ่ายเป็นไปตามอนุสัญญาเจนีวา” ซึ่งเป็นเรื่องผิด เพราะอนุสัญญาเจนีวาครอบคลุมเฉพาะทหารที่ตกเป็นเชลยและอยู่ในความควบคุมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึงทหารบาดเจ็บที่ยังอยู่ในการควบคุมของอีกฝ่าย

“ในทางปฏิบัติ ฝ่ายไทยสามารถตัดสินใจรับหรือไม่รับผู้บาดเจ็บที่ฝ่ายกัมพูชาประสงค์ส่งมาได้ตามศักยภาพของโรงพยาบาล และตามดุลยพินิจ ไม่ใช่ข้อบังคับแบบตายตัวอย่างที่แปลเป็นไทย”

กรณีนี้ จึงกลายเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลและความไม่พอใจในหมู่ประชาชนและนักการเมืองไทย เพราะเปิดช่องให้ “รัฐบาลไส้ศึก” ใช้อำนาจเลือกปฏิบัติ “on a case-by-case basis” ในการให้การรักษาพยาบาลเฉพาะบางบุคคล ซึ่งอาจกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างสองประเทศ ทั้งที่ไทยสามารถแสดงจุดยืนด้านมนุษยธรรมได้ โดยการเสนอให้ไปรักษาตัวในประเทศที่สาม เช่น มาเลเซียหรือสิงคโปร์

ส่วนสาระสำคัญ ข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ไทย – กัมพูชา อาจสรุปได้ 6 ข้อ คือ 1.ยุติการใช้อาวุธและการโจมตีพลเรือนทุกกรณี 2.รักษาสถานะกำลังพลและห้ามเคลื่อนย้ายที่ตั้ง ตั้งแต่ 28 ก.ค. 2568 3.งดเว้นการยั่วยุและกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ชายแดน 4.ยืนยันการปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวาในการดูแลเชลยศึก 5.กำหนดกลไกตรวจสอบและสังเกตการณ์โดยอาเซียน และ 6.นัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ทุก 1 เดือน เพื่อติดตามสถานการณ์

โดยภาพรวม “การเจรจานี้ ถือว่ากลางๆ เน้นมาตรการป้องกันการล้ำเขตที่เหมาะสม และใช้ประเด็นเรื่อง Call Center, scammer กดดันกัมพูชาได้ในทางบวก” แต่ “ข้อ 6 กลายเป็นจุดอ่อนสำคัญ เพราะพูดเกินกว่าขอบเขตของอนุสัญญาเจนีวา และทำให้เกิดความรู้สึกถูกผูกมัดโดยไม่จำเป็น ทั้งนี้ การใส่ข้อความเกินจำเป็นนี้ จะขยายความไม่พอใจต่อกัมพูชา และสร้างความกังวลในหมู่ประชาชนไทย”

“ดังนั้น แทนที่จะหวังให้เป็นผลงาน ฝ่าวิกฤตชายแดน รัฐบาลนี้ควรจะถอยออกไป เปิดโอกาสให้บุคคลที่ไม่อยู่ในแวดวงความขัดแย้ง เข้ามาทำหน้าที่แทนเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียทางการเมืองและความมั่นคงในอนาคต”

พปชร. ห่วงการเจรจา GBC ไร้ผล กัมพูชาไร้ความรับผิดชอบเก็บกู้วัตถุระเบิดที่วางไว้ จี้รัฐบาล เร่งดำเนินคดี “ฮุนเซน” ตามกฎหมายไทยและอาชญากรสงคราม

, ,

พปชร. ห่วงการเจรจา GBC ไร้ผล กัมพูชาไร้ความรับผิดชอบเก็บกู้วัตถุระเบิดที่วางไว้ จี้รัฐบาล เร่งดำเนินคดี “ฮุนเซน” ตามกฎหมายไทยและอาชญากรสงคราม

วันนี้ (8 ส.ค.68) พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า “ในการเจรจา GBC ที่ผ่านมา มีความเป็นห่วงในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นความจริงใจของประเทศกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ว่าจะมีการหยุดยิงจริงหรือไม่ เพราะที่ผ่านมากัมพูชารับปากอะไรไปแล้ว บิดพริ้วโดยตลอด และที่สำคัญ ข้อตกลง 2 ข้อ กัมพูชาไม่ยอมเอาลงในบันทึกการประชุม GBC ในครั้งนี้ คือความร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิด ที่ประเทศกัมพูชาได้นำไปวางไว้ในเขตพื้นที่ต่าง ๆ และการให้ความร่วมมือในการปราบปรามแก็งค์คอลเซนเตอร์ ซึ่งทั้งสองข้อนี้ มีผลกระทบต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก

อยากให้พี่น้องประชาชน และสื่อมวลชน จับตามองรัฐบาลในการเจรจาต่อไป และให้กำลังใจทหารขอให้ยืนยันการใช้มาตราส่วน 1:50,000 ซึ่งเป็นสากล และใช้ในทุกประเทศในปัจจุบันนี้ มากกว่า 1:200,000 ตามแนวทางที่ประเทศกัมพูชาต้องการ หากมีการยินยอมให้ใช้มาตราส่วน 1:200,000 ประเทศไทยอาจจะเสียพื้นที่ แผ่นดินไทยเหมือนกับที่เคยเสียดินแดนใกล้กับเขาพระวิหาร เมื่อปีพ.ศ. 2556

ในส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียชีวิต การได้รับบาดเจ็บของทหารและประชาชน ในการสู้รบในครั้งนี้ ความเสียหายของบ้านเรือนที่เกิดขึ้น ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการอพยพพี่น้องประชาชนในช่วงที่ผ่านมา ทางตระกูลฮุน และตระกูลชิน จะมีส่วนในการรับผิดชอบอย่างไร

การที่ น.ส.แพทองธารฯ นายกรัฐมนตรี เคยกล่าวแก้ตัวว่า การเจรจาส่วนตัวระหว่างลุงกับหลาน ‘ตัวเองไม่ได้อะไรและประเทศชาติก็ไม่เสียหายอะไร’ ตอนนี้ ท่านนายกฯ คงตระหนักดีแล้วว่า ประเทศชาติเสียหายอะไรบ้าง ทหาร และประชาชนเสียชีวิต ไปจำนวนเท่าไหร่ เกิดความเสียหายในภาพรวมของประเทศอย่างไร ซึ่งกรณีดังกล่าว ศาลรัฐธรรมนูญสามารถนำผลจากการเจรจาของ น.ส.แพทองธารฯ กับนายฮุนเซนฯ ที่เป็นต้นเหตุของปัญหา ไปเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้อย่างชัดเจน

ทางรัฐบาลต้องเป็นแกนกลาง ในการดำเนินคดีกับนายฮุนเซนฯ ในคดีอาญาของไทยและอาชญากรสงคราม พร้อมทั้งเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากนายฮุนเซนฯ และประเทศกัมพูชาโดยเร็ว นอกจากนี้ การเตรียมความพร้อมในการรองรับปัญหาแรงงานระดับล่าง เพื่อทดแทนแรงงานจากประเทศกัมพูชา โดยใช้แรงงานทดแทนจากเมียนมา บังคลาเทศ หรือประเทศอื่น ๆ มาทดแทน เพื่อไม่ให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจมีผลกระทบ ซึ่งในขณะนี้ทางกระทรวงแรงงานยังไม่ได้ดำเนินการอะไรเป็นรูปธรรมเลย”