โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: ข่าวประชาสัมพันธ์

“รมว.สุชาติ”เปิดตลาดแรงงานไทยในฟินแลนด์ ตั้งคณะทำงานทวิภาคีผลักดันมาตรการคุ้มครองคนงาน

, ,

“รมว.สุชาติ”เปิดตลาดแรงงานไทยในฟินแลนด์
ตั้งคณะทำงานทวิภาคีผลักดันมาตรการคุ้มครองคนงาน

วันนี้ (6 กันยายน 2565) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงาน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ น.ส.ชวนาถ ทั่งสัมพันธ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ สาธารณรัฐฟินแลนด์ ในโอกาสเดินทางเยือนสาธารณรัฐฟินแลนด์เพื่อหารือข้อราชการด้านแรงงาน ณ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ ในประเด็นต่างๆ ที่สำคัญ โดยเฉพาะด้านการผลักดันให้แรงงานไทยที่เดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์ ได้มีสัญญาจ้างงานกับนายจ้าง และได้รับการคุ้มครอง สิทธิประโยชน์ และสวัสดิการตามกฎหมาย สนับสนุนด้านการประสานความร่วมมือระหว่างสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ และกระทรวงแรงงานไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการผ่านกลไกคณะทำงาน (Working Group) ร่วมกัน
ทั้งนี้เพื่อให้การผลักดันให้แรงงานไทยที่ไปทำงานในฟินแลนด์ ได้รับความคุ้มครองและสวัสดิการตามกฎหมาย ทั้งแรงงานมีทักษะและแรงงานเก็บผลไม้ป่าตามฤดูกาล และส่งเสริมให้แรงงานไทยไปทำงานในฟินแลนด์มากขึ้น ขยายตลาดแรงงานไทยในฟินแลนด์ และการมีคณะทำงานร่วมกันระหว่างสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮลซิงกิ กับกระทรวงแรงงานในการบริหารจัดการและประสานงานเรื่องแรงงานไทยในฟินแลนด์

นายสุชาติ กล่าวว่า การเดินทางมาดูงานในครั้งนี้ ยังได้พบปะภาคเอกชนทั้ง 3 ท่าน คือ คุณคาริเซ บาริกอร์ท ประธานกรรมการบริหาร คุณอิรมา อูริคังกาส ที่ปรึกษาอาวุโส การริเริ่มทางยุทธศาสตร์ และ คุณไอเซค กาฟุงเคล ผู้อำนวยการด้านการดึงดูดทรัพยากรมนุษย์ศักยภาพสูง ซึ่งเป็นผู้บริหารของเฮลซิงกิ พาร์ทเนอร์ส โดยได้หารือการนำแรงงานไทยเข้ามาทำงานในฟินแลนด์ในสาขาที่ขาดแคลน ที่สำคัญทางสถานทูตจะให้ความร่วมมือในการพาตัวแทนภาคเอกชนเหล่านี้ได้ไปศึกษาดูงานที่ประเทศไทยภายในเดือนตุลาคมนี้ด้วย เนื่องจากประเทศไทยมีความพร้อมและมีศักยภาพในการจัดส่งแรงงานที่มีทักษะฝีมือเข้ามาทำงานในฟินแลนด์อยู่แล้ว ในปี 2564 และ ปี 2565 กระทรวงแรงงานได้มีการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในฟินแลนด์จำนวน รวมทั้งสิ้น 7,902 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเกษตรกร คนเก็บผลไม้ป่า คนงานในฟาร์ม คนทำสวน รองลงมาเป็นกุ๊ก พ่อครัวอาหารไทย ซึ่งในแต่ละปีแรงงานเหล่านี้สามารถสร้างรายได้กลับเข้าสู่ประเทศปีละไม่ต่ำกว่า 700 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ฟินแลนด์ประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานเป็นจำนวนมาก เนื่องจากกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ ประกอบกับเมืองเฮลชิงกิ ได้เปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมในหลายภาคส่วนเข้ามาลงทุนเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางธุรกิจและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ทำให้มีความต้องการแรงงานที่มีทักษะในสาขาต่างๆ เป็นจำนวนมาก อาทิ สายงานด้านไอที โปรแกรมเมอร์ ผู้ดูแลผู้สูงอายุ เทคโนโลยีอัจฉริยะ เป็นต้น


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 6 กันยายน 2565

“พล.อ.ประวิตร” ลงพื้นที่จ.กระบี่พัฒนาแหล่งน้ำ หนุนภาคเกษตรยกระดับรักษาเสถียรราคาพืชเศรษฐกิจ

, ,

“พล.อ.ประวิตร” ลงพื้นที่จ.กระบี่พัฒนาแหล่งน้ำ
หนุนภาคเกษตรยกระดับรักษาเสถียรราคาพืชเศรษฐกิจ

วันที่ 5 ก.ย. 2565 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และคณะผู้บริหารได้เดินทางลงตรวจราชการพื้นที่ จ.กระบี่ ติดตามสถานการณ์และการคาดการณ์น้ำในพื้นที่ภาคใต้ การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร รวมทั้งติดตามสถานการณ์ปาล์มน้ำมันในพื้นที่ โดยมี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมคณะ โดยมีส.ส.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้การต้อนรับ พร้อมรับฟังการบรรยายสรุป จาก นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ นายสุรสีห์ กิตติมณฑลเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการ ส.ป.ก. นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ณ ศาลากลางจังหวัด เพื่อสรุปภาพรวม ปริมาณฝน จ.กระบี่ สูงกว่าปี 64 ร้อยละ 8 โดยรับทราบ ความคืบหน้าโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ การจัดสรรที่ดินทำกินของ ส.ป.ก. การรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันปาล์มและความสมดุล ซึ่งสร้างมูลค่าเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่มากกว่า 1 แสนล้านบาท ต่อปี

พล.อ.ประวิตร’ กล่าวแสดงความเป็นห่วง สถานการณ์ฝนตกหนักสะสมต่อเนื่องในหลายพื้นที่ภาคใต้ และปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกร โดยย้ำสั่งการ สทนช. กำกับงานเชิงรุก 13 มาตรการรับมือฤดูฝน และแผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำท่วมปี 65 และให้กรมชลประทาน วางแผนจัดการน้ำร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ และติดตามเฝ้าระวังและให้การช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับการดูแลพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่ ขอให้เร่งโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนด เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้ ประกอบกิจการเกษตรหาเลี้ยงครอบครัวได้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะปัญหาเกษตรกรชาวสวนปาล์ม ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งขับเคลื่อนตามมาตรการที่ กนป.กำหนด พร้อมย้ำ ต้องสร้างการรับรู้ให้ชาวสวน ตัดผลปาล์มที่สุกเต็มที่ กวดขันลานเทและโรงสกัดมิให้ฉวยโอกาสกดราคารับซื้อ การตรวจสอบติดตั้งมิเตอร์และระบบรายงานข้อมูล ช่วยพัฒนาพันธุ์ปาล์มน้ำมันที่มีคุณภาพ กวดขันจับกุมเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าปลอม รวมทั้งน้ำมันเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน และการแก้ปัญหาปุ๋ยราคาแพง การสนับสนุนการใช้น้ำมัน B 100 ทดแทนน้ำมันดีเซลในภาคการเกษตร รวมทั้งส่งเสริมมาตรการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์แปรรูป 8 ชนิด “สู่พืชเศรษฐกิจแห่งอนาคต ที่ยั่งยืนระดับระดับโลก”

พล.อ.ประวิตร ได้พบปะกับ พี่น้องเกษตรกรชาวสวนปาล์ม และย้ำถึง การเดินทางมาวันนี้ ตั้งใจมารับฟังปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรด้วยตัวเอง ยืนยันรัฐบาล ติดตามและให้ความสำคัญ แก้ปัญหาสถานการณ์น้ำมันปาล์มและปาล์มน้ำมันมาต่อเนื่อง ซึ่งตนในฐานะประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ได้ผลักดันแก้ปัญหามาต่อเนื่อง โดยพยายามลดต้นทุนด้านราคาให้ดีขึ้น ออกมาตรการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ทั้งผลักดันนำไปผลิตกระแสไฟฟ้า ไบโอดีเซล รวมทั้งการส่งออกและเร่งมาตรการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์แปรรูป 8 ชนิด โดยราคาดีขึ้น สูงกว่าราคาประกันรายได้จากราคาเฉลี่ย ปี 62 กิโลกรัมละ 3 บาท เป็น 6 บาทในปี 64 และ คาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ 7.50 บาท

อย่างไรก็ตาม ได้ย้ำ การแก้ปัญหาต้องไม่ให้ผู้บริโภคเดือดร้อน โดยเฉพาะในปีหน้า 66 ประเทศไทย เราจะก้าวไปด้วยกัน “สู่การเป็นศูนย์กลางผลิตน้ำมันอากาศยานชีวภาพให้กับอากาศยาน” เพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศในภูมิภาคนี้ พร้อมย้ำ รัฐบาลจะดูแลพี่น้องเกษตรกรให้ดีที่สุด ด้วยรอยยิ้มถ้วนหน้า

พล.อ.ประวิตร’ ได้เดินทางไป ตรวจเยี่ยมโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร พื้นที่ดำเนินการ ส.ป.ก.กระบี่ พร้อมมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ ส.ป.ก.4-01 แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยย้ำรัฐบาล ตั้งใจขับเคลื่อนแก้ปัญหาเรื่อง ที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน พร้อมกำชับ ขอให้ ส.ป.ก.กระบี่ ต้องเร่งจัดสรรที่ดินทำกินให้ประชาชนตามแผนงานที่กำหนด และเร่งโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ไปพร้อมๆกัน โดยเฉพาะการสร้างสระขนาดใหญ่ในพื้นที่ เชื่อมต่อกับระบบชลประทานกระจายนำ้ออกไปให้ทั่วถึง เพื่อแก้ปัญหาที่ดินทำกิน เสริมความเข้มแข็ง ให้ประชาชนเข้มแข็งสามารถดูแลตนเองได้


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 3 กันยายน 2565

ชัยวุฒิ เผย “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่

ชัยวุฒิ เผย “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่

,

วันนี้ (4 ก.ย.65) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวระหว่างลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนและติดตามการดำเนินงานของกรมอุตุนิยมวิทยา ที่จ.สงขลา โดยเปิดเผยว่าในวันพรุ่งนี้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี จะลงพื้นที่ตรวจราชการ และติดตามสถานการณ์น้ำที่ จ.กระบี่ และตรวจเยี่ยมโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร และปัญหาที่ดินทำกิน ซึ่งเป็นภารกิจหลักที่ พลเอกประวิตร ให้ความสำคัญรวมทั้งการพัฒนาเมือง และการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ในทุกจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ มี ส.ส.ของรัฐบาลอยู่จำนวนมาก ทำให้มีส่วนช่วยทำงานในการนำข้อเสนอแนะของประชาชน มาช่วยพัฒนา แก้ไขปัญหาต่างๆให้ตรงตามความต้องการของพีน้องประชาชนในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามว่าช่วงนี้พลเอกประวิตร ลงพื้นที่มากเป็นพิเศษและมีกระแสฟีเวอร์อย่างมาก เป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองหรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่าพลเอกประวิตรเป็นคนแข็งแรงอยู่แล้ว และเป็นคนที่มุ่งมั่นตั้งใจทำงานมาอยู่โดยตลอด แต่ที่ผ่านมาโดยบทบาทการเป็นรองนายกฯอาจจะไม่ได้ลงพื้นที่เยอะ ก็ต้องสลับกันลงพื้นที่กับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้เมื่อพลเอกประยุทธ์ หยุดปฏิบัติหน้าที่ ทำให้พลเอกประวิตร ต้องลงพื้นที่เยอะกว่าปกติเพื่อชดเชย ระหว่างที่ พลเอกประยุทธ์ หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพื่อร่วมกันทำงานดูแลพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่และมีความต่อเนื่อง และเชื่อว่าการลงพื้นที่ พรุ่งนี้ของพลเอกประวิตร จะได้รับแรงเชียร์ที่ดีอย่างแน่นอนเพราะแฟนคลับ พลเอกประวิตร และพลเอกประยุทธ์ มีเยอะอยู่แล้ว

“การลงพื้นที่ มีข้อดี คือจะได้ไปพบพี่น้องประชาชน ได้พบกับตัวแทนชาวบ้าน มีปัญหามีอะไรก็มาร้องเรียนได้ หรือมีข้อเสนอแนะอย่างจะพัฒนาอะไรรัฐบาลจะได้รับฟังและรีบดำเนินการให้เพื่อให้ตรงกับความต้องการกับประชาชน ” รัฐมนตรีชัยวุฒิกล่าว

นายชัยวุฒิ ยังกล่าวถึงการเตรียมพร้อมเลือกตั้ง ในพื้นที่ภาคใต้ของพรรคพลังประชารัฐโดยเฉพาะที่ จ.สงขลาว่า ขณะนี้พรรคพลังประชารัฐ มี ส.ส. ที่ จ.สงขลา ถึง 4 คน เชื่อว่า สิ่งที่รัฐบาล และพลเอกประวิตร ทำมา จะทำให้พรรคพลังประชารัฐ ยังคงได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน ส่วนที่พรรคร่วมรัฐบาล อื่นๆจะประกาศมาปักธง แย่งพื้นที่ จ.สงขลา ด้วยนั้น ก็เป็นสิทธิของแต่ละพรรคแต่ช่วงนี้ พรรคพลังประชารัฐอย่างเน้นที่การทำงานไม่ได้ต้องการสร้างประเด็นทางการเมืองหรือมาหาเสียงกัน เพราะถึงเวลาเลือกตั้งเชื่อว่าคนใต้ ยังรักลุงตู่ และรักลุงป้อม อยู่เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยน และคิดว่าจะรักมากกว่าเดิมด้วย เพราะเรามีผลงานในพื้นที่จำนวนมากที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งพี่น้องคนใต้รู้ดีกันอยู่แล้ว มองหน้าก็รู้ใจ

ชัยวุฒิ เผย “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ ชัยวุฒิ เผย  “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม  โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ ชัยวุฒิ เผย  “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม  โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ ชัยวุฒิ เผย  “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม  โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ ชัยวุฒิ เผย  “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม  โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ ชัยวุฒิ เผย  “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม  โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ ชัยวุฒิ เผย  “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม  โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ ชัยวุฒิ เผย  “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม  โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ ชัยวุฒิ เผย  “บิ๊กป้อม” เตรียมลงพื้นที่กระบี่พรุ่งนี้ มั่นใจ คนใต้ รัก บิ๊กป้อม – บิ๊กตู่ มากกว่าเดิม  โว กระแสฟีเวอร์ เพราะผลงานเข้าตา ชดเชยช่วย นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์​พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 กันยายน 2565

“พล.อ.ประวิตร”สายตรง”ชัชชาติ” ตามผลป้องกันน้ำเข้ากรุง ผู้ว่าขอประสานร่วมกำจัดผักตบเพื่อเร่งระบายน้ำ

, ,

“พล.อ.ประวิตร”สายตรง”ชัชชาติ” ตามผลป้องกันน้ำเข้ากรุง
ผู้ว่าขอประสานร่วมกำจัดผักตบเพื่อเร่งระบายน้ำ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์ถึงนาย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อติดตามผลการทำงานในการป้องกันน้ำท่วม ในพื้นที่ กทม. ที่ได้มีการจัดส่งกำลังทหารเข้าร่วมขนกระสอบกระทรายเพื่อวางแนวป้องกันน้ำท่วม ตามจุดต่างๆ

นอกจากนี้ในการหารือทาง กทม.ได้ขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลในการเพิ่มเติมในการประสานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อการกำจัดผักตบชวา ซึ่งกีดขวางทางระบายน้ำในช่วงฤดูฝน ที่อาจส่งกระทบต่อความรวดเร็วในการระบายน้ำและอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมขังได้

ทั้งนี้ พลเอกประวิตร ได้สั่งการและมอบหมายให้กรมโยธาธิการและผังเมือง ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมชลประทาน กรมเจ้าท่า และกรุงเทพมหานคร เร่งกำจัดผักตบชวาทั้งแม่น้ำสายหลักและสายรอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำช่วงน้ำหลากทำได้เร็วที่สุด

อย่างไรก็ตามยังได้มอบหมายให้ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กระทรวงกลาโหม (ศบภ.กห.) จัดกำลังพลปฏิบัติการร่วมกับกรุงเทพมหานคร ซึ่งขอรับการสนับสนุนกำลังพลและอุปกรณ์ในการกำจัดผักตบชวาในแม่น้ำเจ้าพระยา คลองเส้นทางระบายน้ำหลัก และคลองสาขาในพื้นที่เขต กทม. รวม 13 เขต ประกอบด้วย เขตประเวศ คลองภาษีเจริญ คลองสนามชัย เขตหนองจอก เขตลาดกระบัง เขตคลองสามวา เขตประเวศ เขตมีนบุรี เขตสะพานสูง เขตสายไหม เขตบางเขน เขตหนองแขม และเขตบางขุนเทียน
ขณะนี้ทาง ศบภ.กห.ได้จัดมอบหน่วยทหารประจำทุกเขตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยในวันที่ 5-6 ก.ย.นี้จะเริ่มดำเนินการในพื้นที่เขตบางเขน คลองหนองบัว และวางแผนดำเนินการให้ครอบคลุมทุกเขตให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุดต่อไป

สำหรับการดำเนินงานของ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ที่มีการปฎิบัติงานตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ฤดูฝนและได้รายงานผลความก้าวหน้าตามมาตรการที่ 6 ขุดลอกคูคลองและกำจัดผักตบชวา เพื่อไม่ให้กีดขวางการระบายน้ำ ป้องกันการเกิดอุทกภัย และน้ำท่วมขัง ซึ่งเป็นไปตาม 13 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 256 พบว่า ในภาพรวมหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมโยธาธิการและผังมือง กรมเจ้าท่า กรมชลประทาน กรุงเทพมหานคร องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ได้เร่งรัดดำเนินการกำจัดผักตบชวาทั้งแม่น้ำสายหลัก สายรอง คลองสาขาต่าง ๆ มีการดำเนินการไปแล้วประมาณ 7 ล้านตัน ซึ่ง สทนช. จะมีการติดตาม เร่งรัด ประสานอำนวยการจุดที่เป็นปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการตาม 13 หลักมาตรการอย่างใกล้ชิดต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 3 กันยายน 2565

“พล.อ.ประวิตร” บูรณาการบริหารจัดการที่ทำกินเพื่อ ปชช. ผนึกหน่วยงานร่วมแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ทำกินสู่ความยั่งยืน

, ,

“พล.อ.ประวิตร” บูรณาการบริหารจัดการที่ทำกินเพื่อ ปชช.
ผนึกหน่วยงานร่วมแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ทำกินสู่ความยั่งยืน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานคณะอนุกรรมการนโยบาย แนวทาง มาตรการการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน โดย พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบ (ร่าง)หลักเกณฑ์การมอบหมายหน่วยงานตามผลการจำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดิน ซึ่งแบ่งเป็น 4ประเภท ประกอบไปด้วย 1)ประเภทพื้นที่ป่าไม้ ให้กรมป่าไม้ เป็นผู้ดำเนินการ 2)ประเภทพื้นที่ป่าชายเลน ให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นผู้ดำเนินการ 3)ประเภทพื้นที่เกษตรกรรม ให้ ส.ป.ก.เป็นผู้ดำเนินการและ 4)ประเภทพื้นที่ชุมชนและ/หรือพื้นที่ที่ถูกใช้ประโยชน์โดยกิจกรรมนอกเหนือหน้าที่รับผิดชอบของ ส.ป.ก.ให้กรมธนารักษ์ เป็นผู้ดำเนินการ

นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เห็นชอบการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ตามนโยบารัฐบาลในพื้นที่ป่าไม้ถาวร โดยแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยทำกินในพื้นที่ป่าไม้ถาวร รวมถึงการเสนอขอยกเลิกมติ ครม.เมื่อ 22 เม.ย.40 เรื่อง มาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับพื้นที่ป่าไม้ ในภาพรวมทั้งประเทศ ของกรมป่าไม้

อย่างไรก็ตามที่ประชุมยังได้เห็นชอบ ในการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน ของประเทศ ปีพ.ศ. 2566-2570 ซึ่งประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่
1) การส่งเสริมความยั่งยืนของการจัดการที่ดินและระบบนิเวศ
2) การสร้างดุลยภาพของการใช้ประโยชน์ที่ดินฯตามศักยภาพ
3) การพัฒนาขีดความสามารถในการใช้ประโยชน์ที่ดินฯ
4) การกระจายการถือครองที่ดิน อย่างเป็นธรรม และ
5) การบูรณาการและการสร้างการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการที่ดินฯ ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เร่งดำเนินแผนงานต่างๆ ที่ผ่านความเห็นชอบแล้ว ให้บรรลุวัตถุประสงค์ เพื่อแก้ปัญหาที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย ผู้ยากไร้/เกษตรกร

หลังจากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ภายใต้โครงการบูรณาการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน ที่จำเป็นในพื้นที่ คทช. ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล ที่ต้องการแก้ไขปัญหาความยากจน และความเหลื่อมล้ำ ปัญหาการขาดที่ดินทำกินให้พี่น้องประชาชนผู้ยากไร้ ได้มีสิทธิ์ทำกินและอยู่อาศัยในที่ดินของรัฐ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และถูกต้อง ตามกฏหมาย โดยจัดเป็นลักษณะแปลงรวม มิให้เป็นกรรมสิทธิ์ แต่อนุญาตให้ทำประโยชน์เป็นกลุ่มหรือชุมชน รวมทั้งเป็นการป้องกันปัญหาการบุกรุก ที่ดินของรัฐด้วย ซึ่งมีพี่นัองประชาชนที่ได้รับการช่วยเหลือแล้ว กว่า 73,000 คน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 กันยายน 2565

“อรรถกร” แจงหลังสภาผ่าน พ.ร.บ. กยศ. ชี้ ส.ส.พปชร. โหวตให้ความเห็น ม.17 ในร่าง พ.ร.บ.กยศ. ชี้เป็นเรื่องน่ายินดี ขณะสมาชิกถกประเด็นดอกเบี้ยอย่างกว้างขวาง ย้ำความจำเป็นต้องมี เพื่อรักษาสภาพคล่อง ให้กองทุนเดินต่อไปได้

, ,

“อรรถกร” แจงหลังสภาผ่าน พ.ร.บ. กยศ. ชี้ ส.ส.พปชร. โหวตให้ความเห็น ม.17 ในร่าง พ.ร.บ.กยศ. ชี้เป็นเรื่องน่ายินดี ขณะสมาชิกถกประเด็นดอกเบี้ยอย่างกว้างขวาง ย้ำความจำเป็นต้องมี เพื่อรักษาสภาพคล่อง ให้กองทุนเดินต่อไปได้

นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) และทีมโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ชี้แจงภายหลัง สภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) (ฉบับที่ …) พ.ศ. … ว่าวันนี้ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ทำหน้าที่ในการเสนอความเห็นอย่างกว้างขวาง

โดยเฉพาะต่อมาตรา 17 ที่สาระสำคัญ อยู่ที่เรื่องของดอกเบี้ย ซึ่งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และมีกรรมาธิการหลายท่าน ให้ความเห็นที่แตกต่างกันซึ่งมีทั้งไม่คิดดอกเบี้ยเลย หรือ 0% หรือสงวนอยู่ที่ 1% หรือแม้กระทั่งจากตัวแทนของ กยศ. ก็ให้คงดอกเบี้ยไว้ที่ 2% และกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ที่เสนอร่างต่อสภา ก็เสนอที่ 0.25 % เช่นเดียวกับวิปรัฐบาลส่วนใหญ่ ซึ่งขอยืนยันว่าเป็นการหารือบนหลักเหตุและผล ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด ดังนั้นการลงมติของสภาฯ วันนี้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ทุกฝ่ายเสนอความต้องการ และจุดยืนของตัวเอง ไม่ได้มองว่า ร่างที่กมธ เสียงข้างมากเสนอในมาตรา 17 ไม่ได้รับความเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ในสภา จะเป็นปัญหา แต่นี่คือความต้องการของเสียงส่วนใหญ่ ว่าดอกเบี้ยเท่าไหร่ จะเป็นจุดที่ดีที่สุด ซึ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด

นายอรรถกร ระบุว่า ในการประชุมพรรคพลังประชารัฐ
ประเด็นที่เราเป็นห่วง คือการปล่อยกู้กองทุน นั้น ควรมีดอกเบี้ยแม้จะเล็กน้อย เพื่อที่จะให้นักเรียน ลูกหลานคนรุ่นหลัง สามารถได้ใช้สิทธิ์ต่อไปด้วย และไม่อยากให้กองทุนนี้ หมดสภาพคล่องไป จึงเป็นเหตุผลหลัก ที่เรายืนยันที่ควรจะมีดอกเบี้ย ไม่ว่าจะมีมาก หรือน้อย และเชื่อว่าดอกเบี้ยที่ 0.25% ไม่ได้เป็นภาระมากเกินไป สำหรับผู้ที่กู้ยืม

รวมทั้งเราต้องพิจารณาให้รอบด้าน คำนึงถึงคนทุกกลุ่ม รวมทั้งคนที่เคยกู้ยืม ที่มีวินัยในการจ่ายหนี้ และเคยเสียดอกเบี้ยมา เพราะหากไม่คิดดอกเบี้ยหลังจากนี้ เขาจะรู้สึกอย่างไร ดังนั้นจุดยืนที่เราเลือกลงมติในวันนี้ ก็เพราะเป็นกองทุนที่มีประโยชน์สำหรับลูกหลาน จึงไม่อยากให้กองทุนนี้มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องในอนาคต

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 31 สิงหาคม 2565

รมว.สมศักดิ์โชว์ปราบปรามค้ามนุษย์ปิด 60 คดีสอบสวน 20 คดี ตั้งศูนย์ติดตามตรวจสอบจนท.พัวพัน สร้างความโปร่งใสให้ปชช.

รมว.สมศักดิ์โชว์ปราบปรามค้ามนุษย์ปิด 60 คดีสอบสวน 20 คดี ตั้งศูนย์ติดตามตรวจสอบจนท.พัวพัน สร้างความโปร่งใสให้ปชช.

,

“รมว.สมศักดิ์” สั่งดีเอสไอตั้งศูนย์ตรวจสอบ จนท.รัฐมีเอี่ยวค้ามนุษย์ จี้สืบสวนสะสางคดี-บูรณาการร่วมหน่วยงานต่างๆ หวังเป็นหนึ่งในกลไกพาเลื่อนชั้นสู่เทียร์ 1
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร. )เปิดเผยว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้รายงานสรุปผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี 2564-2565 โดยกองคดีการค้ามนุษย์ มีทั้งคดีการค้าประเวณี แรงงาน เจ้าหน้าที่รัฐไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และการฟอกเงิน ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาทำเสร็จไปแล้ว 60 คดี และอยู่ระหว่างสอบสวนอีก 20 คดี โดยคดีสำคัญ อาทิ การช่วยเหลือชาวเมียนมาออกจากโรงงานขนมเยลลี่ ที่กักขังบังคับใช้แรงงาน การบังคับทำงาน ทำร้ายร่างกาย ลักษณะเป็นการค้ามนุษย์ที่โรงงานขนมจีน จ.นครปฐม การค้ามนุษย์ด้านแรงงานในสวนปาล์มภาคใต้ และการร่วมมือกับกัมพูชาจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นต้น

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ดีเอสไอยังได้มีคำสั่งให้จัดตั้งศูนย์ติดตาม และตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ เพื่อตรวจสอบ สืบสวน และสอบสวน เพื่อป้องกันปราบปราม สืบสวน สอบสวนคดีพิเศษ เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด โดยมีคดีที่ดำเนินการไปแล้ว เช่น กรณีร้านชมดาวคาราโอเกะ จ.กาญจนบุรี ร้านสาวพานคาราโอเกะ จ.เชียงราย ร้านบีเฮฟเว่น พัทยา ที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับผลประโยชน์และรับส่วย ซึ่งได้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ไปแล้วหลายราย และอยู่ระหว่างสอบสวนอีกจำนวนมาก และได้มีการจัดตั้งศูนย์คัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ โดยมีที่พักและเจ้าหน้าที่ในการช่วยเหลือบำบัดและฟื้นฟูจิตใจ รวมถึงการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศอีกด้วย นับเป็นมาตรการดูแลชีวิตและทรัพย์สิน ให้กับประชาชน ให้อยู่ดี มีความสุข เกิดความปลอดภัย

“รัฐบาลได้ตั้งเป้าที่จะเลื่อนระดับขึ้นสู่เทียร์ 1 ให้ได้ภายในปี 2570 ที่ผ่านมาประเทศไทยสามารถเลื่อนระดับจากเทียร์ 2 ที่ต้องจับตามอง สู่เทียร์ 2 ได้ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษมีกองคดีการค้ามนุษย์ ที่จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับประเทศของเราได้ จึงขอให้เร่งทำงานสืบสวนสะสางคดี บูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ และเร่งช่วยเหลือผู้เดือดร้อนให้มากที่สุด เพื่อยกระดับสถานการณ์ด้านการค้ามนุษย์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน ซึ่งจะทำให้เราได้รับความช่วยเหลือและความร่วมมือในหลายๆ ด้านจากต่างประเทศ” นายสมศักดิ์ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 สิงหาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”วางระบบดูแลแรงงานนอกระบบได้รับสิทธิคุ้มครอง เร่งรัดกฎหมายบริหารจัดการแรงงานที่มีศักยภาพส่งเสริมคุณภาพชีวิต

“พล.อ.ประวิตร”วางระบบดูแลแรงงานนอกระบบได้รับสิทธิคุ้มครอง เร่งรัดกฎหมายบริหารจัดการแรงงานที่มีศักยภาพส่งเสริมคุณภาพชีวิต

,

รัฐบาล เร่งช่วย”แรงงานนอกระบบ 21ล้านคน” ประชุม คนช. อนุมัติแผนฯความร่วมมือ ม.ธรรมศาสตร์ – ก.แรงงาน ปี66-70 เน้นใช้เทคโนโลยี เสริมการจ้างงาน/เพิ่มรายได้ ควบคู่สิทธิพึงได้อย่างเต็มที่ พร้อมเร่งรัด กม.คุ้มครองฯ บังคับใช้โดยเร็ว

วันที่29 ส.ค.65 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบแห่งชาติ (คนช.) ครั้งที่1/2565 ณ ห้องประชุม มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5จังหวัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมีพล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ ประจำปี 64 ซึ่งมีการส่งเสริมคุ้มครอง และพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ จำนวน 67 โครงการ/กิจกรรม มีแรงงานนอกระบบที่ได้รับการยกระดับคุณภาพชีวิต รวม 16,876,660 คน (5,736 ล้านบาท) มีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6,853 บาทต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 4 ของรายได้ในปี63 เฉลี่ย 6586 บาทต่อเดือน

ทั้งนี้ได้รับทราบผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาการตลาดสินค้ากลุ่มผู้ทำการผลิตที่บ้าน หลังการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ภายใต้ความร่วมมือกับมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ(Homenet) ซึ่งมีแรงงานนอกระบบได้รับประโยชน์ 1,160 คน มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 4,500 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 80 ของรายได้ ก่อนการระบาดของ โควิด-19 (เฉลี่ยต่อเดือน 2,500 บาท) รวมทั้งรับทราบความคืบหน้า(ร่าง)พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ พ.ศ…ซึ่งจะแล้วเสร็จภายใน ต.ค.65

จากนั้นที่ ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบ (ร่าง)แผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2566-2570 โดย ก.แรงงานได้ร่วมกับ ม.ธรรมศาสตร์และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จัดประชุมเชิงปฏิบัติการและร่วมกำหนดวิสัยทัศน์ “แรงงานนอกระบบ มีศักยภาพสูง มีงานทำ ได้รับการคุ้มครอง และมีหลักประกันทางสังคมที่ดี” เพื่อกำหนดทิศทางในการดำเนินการ ต่อไป

พล.อ.ประวิตร ได้เน้นย้ำ ทุกหน่วยงานให้นำแผนปฏิบัติการที่ผ่านการเห็นชอบแล้ว ไปสู่การปฏิบัติ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และเร่งผลักดัน กม.ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ โดยเร็ว เพื่อให้แรงงานได้รับการคุ้มครองและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ เชิญชวนประชาชนให้ขึ้นทะเบียนแรงงานนอกระบบ เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับการช่วยเหลือ เยียวยา อย่างทันท่วงที ต่อไป

พล.อ.ประวิตร ยังได้กล่าวขอบคุณ ทุกหน่วยงานที่ร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามนโยบายเร่งด่วน ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.ที่ต้องการให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ และช่วยเหลือประชาชน ทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่ให้มีความอยู่ดี กินดี อย่างยั่งยืน

“พล.อ.ประวิตร”วางระบบดูแลแรงงานนอกระบบได้รับสิทธิคุ้มครอง เร่งรัดกฎหมายบริหารจัดการแรงงานที่มีศักยภาพส่งเสริมคุณภาพชีวิต  “พล.อ.ประวิตร”วางระบบดูแลแรงงานนอกระบบได้รับสิทธิคุ้มครอง เร่งรัดกฎหมายบริหารจัดการแรงงานที่มีศักยภาพส่งเสริมคุณภาพชีวิต  “พล.อ.ประวิตร”วางระบบดูแลแรงงานนอกระบบได้รับสิทธิคุ้มครอง เร่งรัดกฎหมายบริหารจัดการแรงงานที่มีศักยภาพส่งเสริมคุณภาพชีวิต

ที่มา: ทีมปชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 สิงหาคม 2565

โฆษกพปชร.เผยพล.อ.ประวิตรห่วงใยปชช.ช่วงฤดูมรสุม ระดมส.ส.พื้นที่เสี่ยงเตรียมแผนแจ้งเตือนเฝ้าระวังน้ำ 3 เดือน

โฆษกพปชร.เผยพล.อ.ประวิตรห่วงใยปชช.ช่วงฤดูมรสุม ระดมส.ส.พื้นที่เสี่ยงเตรียมแผนแจ้งเตือนเฝ้าระวังน้ำ 3 เดือน

,

ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.เขต 2 โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ( พปชร.) เปิดเผยว่าจากสถานการณ์ปริมาณน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคกลางตอนบน ที่ต้องเป็นพื้นที่รับน้ำจากการระบายน้ำออกจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ โดยมีปริมาณการปล่อยน้ำ ในระดับ 1,500 -1,800 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่งผลต่อน้ำท่วมเข้าพื้นที่ทำการเกษตรและบ้านเรือนของประชาชน ซึ่งพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) มีความห่วงใยประชาชน ในผลกระทบที่เกิดขึ้น ได้มอบหมายให้ สส.พปชร. ในพื้นที่เร่งประสานงานและติดตามเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยที่ผ่านมา ส.ส.สัญญา นิลสุพรรณ พปชร. เขต 3 จังหวัดนครสวรรค์ และ ส.ส.สุรชาติ ศรีบุศกร พปชร. เขต 3 จังหวัดพิจิตร ได้มีการลงพื้นที่ เข้าให้ความช่วยเหลือ พร้อมรับฟังข้อมูลและปัญหาของชาวบ้านมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการประสานงานกับหน่วยงาน บูรณาการความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน ภายใต้การดำเนินการ 13 มาตรการ ของแผนการบริหารจัดการน้ำ ของพื้นที่แต่ละลุ่มน้ำ ให้เกิดประสิทธิภาพ รวมทั้งสะท้อนปัญหาในพื้นที่ ให้กับท่านหัวหน้าพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเฝ้าระวังและเร่งระบายน้ำในบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา

“ในระยะ 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ ถือเป็นช่วงฤดูมรสุมที่การพยากรณ์และคาดการณ์ว่า จะมีพายุพาดผ่าน อีกหลายลูก ซึ่งจะมีปริมาณฝนมากและมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาอุทกภัยในบางพื้นที่ได้ อาจสร้างผลกระทบ และเป็นภัยพิบัติต้องมีการเตรียมรับมือ พล.อ.ประวิตร ได้สั่งการให้ดำเนินงานตามมาตรการที่วางแผนไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างทั่วถึงเพื่อลดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง”

นอกจากนี้ ยังได้เตรียมการแนวทางการประสานงาน เพื่อการอพยพ ประชาชนในกรณี ภาวะฉุกเฉิน หากเกิดน้ำท่วมแบบฉับพลัน เพื่อช่วยเหลืออพยพประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย พร้อมประสานศูนย์ดูแลผู้ประสบภัยน้ำท่วม ที่มีการจัดตั้งขึ้นโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนขององค์การบริหารส่วนตำบล(อบต. )และจังหวัด รวมทั้งได้วางแผนระยะยาว ที่จะเก็บกักปริมาณน้ำที่มีมาก มาใช้ยามช่วงน้ำแล้งด้วย

อย่างไรก็ตาม พรรคพลังประชารัฐ ไม่เคยนิ่งนอนใจในการทำงานลงพื้นที่ และติดตามสถานการณ์น้ำในเขื่อนต่างๆเพื่อรายงานผลไปยังผู้นำชุมชน และชุมชน ให้มีการเตรียมพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง ในช่วงที่มีพายุเข้าสู่ประเทศไทย และฝนตกหนักติดต่อกัน เห็นได้จากก อิทธิพลพายุ”มู่หลาน” ที่สร้างผลกระทบให้กับบ้านเรือนในหลายพื้นที่ ในภาคเหนือ ซึ่งพล.อ.ประวิตร ได้ลงพื้นที่ และมีการเร่งแผนฟื้นฟู ระบบสาธารณูปโภคที่ได้รับความเสียหาย ให้กลับมาใช้ได้ปกติ โดยอาศัยการเบิกจากสำนักงานงบประมาณ ช่วยเหลือเข้าจังหวัดเพิ่มเติม ควบคู่ไปกับให้สส.พปชร. ในพื้นที่ใกล้เคียง ติดตามความช่วยเหลือในเรื่องการสนับสนุน สิ่งของจำเป็น ที่เป็นความต้องการอย่างแท้จริง

โฆษกพปชร.เผยพล.อ.ประวิตรห่วงใยปชช.ช่วงฤดูมรสุม ระดมส.ส.พื้นที่เสี่ยงเตรียมแผนแจ้งเตือนเฝ้าระวังน้ำ 3 เดือน โฆษกพปชร.เผยพล.อ.ประวิตรห่วงใยปชช.ช่วงฤดูมรสุม ระดมส.ส.พื้นที่เสี่ยงเตรียมแผนแจ้งเตือนเฝ้าระวังน้ำ 3 เดือน โฆษกพปชร.เผยพล.อ.ประวิตรห่วงใยปชช.ช่วงฤดูมรสุม ระดมส.ส.พื้นที่เสี่ยงเตรียมแผนแจ้งเตือนเฝ้าระวังน้ำ 3 เดือน โฆษกพปชร.เผยพล.อ.ประวิตรห่วงใยปชช.ช่วงฤดูมรสุม ระดมส.ส.พื้นที่เสี่ยงเตรียมแผนแจ้งเตือนเฝ้าระวังน้ำ 3 เดือน โฆษกพปชร.เผยพล.อ.ประวิตรห่วงใยปชช.ช่วงฤดูมรสุม ระดมส.ส.พื้นที่เสี่ยงเตรียมแผนแจ้งเตือนเฝ้าระวังน้ำ 3 เดือน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 สิงหาคม 2565

"พล.อ.ประวิตร"สายตรงผู้ว่าจังหวัดอยุธยาเตรียมแผนป้องอุทุกภัย กำชับหน่วยงานระดมเครื่องมือ อุปกรณ์-กำลังคนเสริมช่วยปชช.

“พล.อ.ประวิตร”สายตรงผู้ว่าจังหวัดอยุธยาเตรียมแผนป้องอุทุกภัย กำชับหน่วยงานระดมเครื่องมือ อุปกรณ์-กำลังคนเสริมช่วยปชช.

,

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร. ) ได้โทรศัพท์สายตรงพูดคุยกับผู้ว่าราชการอยุธยา นายวีระชัย นาคมาศ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กำลังประสบปัญหาอุทกภัยอยู่ในขณะนี้และเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง ซึ่งรองนายกฯ ได้กำชับและสั่งการเร่งรัดให้เกิดการทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ให้ระดับน้ำไม่ส่งผลกระทบกับประชาชน โดยเฉพาะกรมชลประทาน และกรมป้องกันสาธารณภัย ในการตรวจสอบเครื่องจักรเครื่องมือ เครื่องสูบน้ำ ประตูระบายน้ำ ระบบไฟ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน 24 ชั่วโมง เพื่อให้การเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่โดยเร็ว

ขณะเดียวกัน ต้องจัดกำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมทันที ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณาภัย หน่วยทหาร ตำรวจ หน่วยงานจิตอาสา ในการอำนวยความสะดวกในการสัญจร สิ่งของที่จำเป็นการในดำรงชีพ รวมถึงเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนในด้านสุขภาพที่อาจะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในพื้นที่ด้วยเช่นกัน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายเป็นปกติ

สำหรับ จ.พระนครศรีอยุธยาปัจจุบันมีพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม 7 อำเภอ ได้แก่ อ.บางบาล อ.บางปะหัน อ.เสนา อ.ผักไห่ อ.บางไทร อ.พระนครศรีอยุธยา และอ.ท่าเรือ รวม 75 ตำบล 340 หมู่บ้าน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยา กรมชลประทานได้ออกหนังสือแจ้งเตือน สถานการณ์น้ำลุ่มเจ้าพระยา ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2565 ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด 11 จังหวัดท้ายเขื่อนเจ้าพระยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องล่วงหน้าแล้ว พร้อมได้มีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำ และเครื่องผลักดันน้ำ จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ รวมทั้งทำการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนในพื้นที่ ทั้งนี้ยังได้กำชับสทนช.ให้บูรณาการในการบริหารจัดการน้ำในการระบายน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาไปทางฝั่งตะวันตก ตะวันออก และท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเชื่อมโยงไปแต่ละจังหวัดที่มีทางน้ำผ่านไปสู่ทะเล ซึ่งรวมถึงกรุงเทพมหานครเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและลดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนให้น้อยที่สุด เพื่อให้ประชาชนกลับมาสู่การดำเนินชีวิตได้ตามปกติให้เร็วที่สุด เพื่อความกินดีอยู่ดี พร้อมให้สส. พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ในพื้นที่ติดตามสถานการณ์ ประสานงานความช่วยเหลือในทุกชุมชน ที่ได้รับผลกระทบ

ที่มา: ทีมประชาสัมะันธ์พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 สิงหาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”ยินดี”น้องมายด์”นักกีฬาเยาวชนหญิงสนุกเกอร์คว้า แชมป์คนแรก สร้างชื่อเสียงไทย

,

“พล.อ.ประวิตร”ชื่นชม “น้องมาย”นักสนุกเกอร์เยาวชนไทยคนแรกคว้าแชมป์สนามประเทศโรมาเนีย!!!พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาการนายกรัฐมนตรี ในฐานัประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ได้แสดงความยินดีและชื่นชม กับ ด.ญ. ปุณชญาจันทร์น้อยหรือ “น้องมายด์” นักเรียน รร.เทพลีลา และนักกีฬาสนุกเกอร์หญิงไทยวัย 14 ปี คนแรกในประวัติศาสตร์สนุกเกอร์หญิง ที่คว้าแชมป์สนุกเกอร์เยาวชนหญิงอายุไม่เกิน 21 ปี ระหว่างจัดการแข่งขัน 12 – 29 สิงหาคม 2565 ที่มีขึ้น ณ ประเทศโรมาเนีย

“ขอบคุณ สมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย ที่สร้างความสุขและความภูมิใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ และประสบความสำเร็จในการส่งนักกีฬาเข้าแข่งขัน โดยเฉพาะการคัดเลือก เตรียมและให้โอกาสนักกีฬาทุกคนเข้าร่วมแข่งขันในรายการสำคัญๆ ระดับโลก โดยย้ำว่า รัฐบาล พร้อมที่จะกระตุ้นและส่งเสริมให้เยาวชนไทย เข้ามาเล่นกีฬาทุกชนิดมากขึ้น โดยเฉพาะการสนับสนุนนักกีฬาไทยให้ประสบความสำเร็จ โดยจะให้ความสำคัญกับการใช้วิทยาศาสตร์การกีฬามากขึ้นในทุกสมาคมกีฬา เพื่อเตรียมพร้อมร่างกาย และทักษะของนักกีฬาทุกประเภทกีฬาให้มีขีดความสามารถมากขึ้น เพื่อเข้ารับการแข่งขันในระดับโลกต่อไป” พล.อ.ประวิตร กล่าว

ทีมา: ทีมข่าวพรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 สิงหาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”ลุยภารกิจเร่งด่วนแก้ปัญหาความเดือดร้อนปชช. บูรณาการแก้ปัญหาที่ทำกิน-ดึงหน่วยงานความมั่นคงรับมือภัยพิบัติ

,

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความเดือดร้อนของประชาชนในขณะนี้ ที่มีหลายด้านเข้ามากระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน และต้องรับผิดชอบราชการแทนนายกรัฐมนตรี สิ่งที่ต้องเร่งทำก็คือเรื่องการบริหารจัดการที่ดินทั่วประเทศ ที่ต้องบูรณาการหน่วยงานเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ซึ่งจะให้22 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หน่วยงาน ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในโครงการบูรณาการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ที่มีคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.)กำกับดูแลในแผนการดำเนินงาน ระยะ 5 ปี

สำหรับ 22 หน่วยงานที่จะร่วมลงนาม ประกอบด้วย 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ ได้แก่ กรมป่าไม้ กรมที่ดิน กรมธนารักษ์ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.) กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมอุทธยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช 2.กลุ่มหน่วยงานงานพัฒนา ได้แก่ การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กรมทางหลวงชนบท กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน) กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมโยธาธิการและผังเมือง และ 3.กลุ่มหน่วยงานสนับสนุนส่งเสริม ได้แก่ กรมการปกครอง กรมการพัฒนาชุมชน

ทั้งนี้ภารกิจที่ต้องทำร่วมกันได้ กำหนดเป้าหมาย ที่ให้ความสำคัญในด้านการยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค รวมถึงส่งเสริมพัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิตให้ราษฎรมีรายได้ที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ตามพ.ร.บ.คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ.2562 ที่กำหนดให้มี คทช. เพื่อทำให้การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินเป็นเอกภาพ มีการแก้ปัญหาแนวเขตที่ดินทับซ้อนระหว่างหน่วยงาน และหน่วยงานกับประชาชน โดยแก้ปัญหาประชาชนที่บุกรุกอยู่ในที่ดินรัฐ โดยการพัฒนาอาชีพเกษตรและนอกภาคเกษตร เพื่อให้ประชาชนมีรายได้ที่มั่นคง และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเป็นการแก้ไขเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงสถานการณ์ภัยพิบัติที่มีความรุนแรงมากขึ้นขณะนี้ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากประเทศไทย ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุและมรสุมที่พาดผ่าน ส่งผลให้มีปริมาณฝนตกชุก และต่อเนื่องในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ส่งผลให้เกิดอุทกภัยในพื้นที่ต่างๆ ในระยะที่ผ่านมา ได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหม จัดกำลังพล เข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ต่างๆ เนื่องจากมีความพร้อม ทั้งกำลังคน และเครื่องมือที่จะเข้าช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที ทั้งด้านการอพยพประชาชน การซ่อมบำรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น การวางแผนเร่งระบายน้ำ เป็นต้น โดยจะทำงานร่วมกับหน่วยงานในท้องถิ่น ที่ผ่านมามีหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบ

“จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ได้กำชับกระทรวงกลาโหม ระดมกำลังพล และยุทโธปกรณ์ร่วมกับส่วนราชการ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้บูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อให้การช่วยเหลือประชาชน ในพื้นที่เสี่ยงที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งให้ทุกหน่วยงานให้การสนับสนุนประชาชน วางแผนการใช้น้ำระยะยาว เก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง สำหรับพืชไร่ และการทำเกษตรด้วย”

สำหรับ พื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวัง จากการรายงานด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พบว่า แบ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากปัญหาของปริมาณน้ำใน 3 รูปแบบ

1. พื้นที่ ที่อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง ประกอบด้วย พื้นที่ภาคเหนือ ได้แก่ จ.ตาก (อ.แม่ระมาด ท่าสองยาง) พิษณุโลก (อ.นครไทย เนินมะปรางชาติตระการ วังทอง) และเพชรบูรณ์ (อ.หล่มเก่า หล่มสัก เขาค้อ) พื้นที่ภาคกลาง ได้แก่ จ.นครนายก (อ.เมืองฯ) ปราจีนบุรี (อ.ประจันตคาม นาดี) และกรุงเทพมหานคร

2.พื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังน้ำล้นตลิ่ง น้ำท่วมขัง ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จ.ร้อยเอ็ด (อ.เสลภูมิ จังหาร โพนทอง) มหาสารคาม (อ.เมืองฯ กันทรวิชัย) และอุบลราชธานี (อ.เมืองฯ) พื้นที่ภาคกลาง ได้แก่ จ.อ่างทอง (อ.ป่าโมก วิเศษชัยชาญ) และพระนครศรีอยุธยา (อ.เสนา ผักไห่บางบาล บางไทร บางปะหัน พระนครศรีอยุธยา)

3. พื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูงบริเวณปากแม่น้ำ และพื้นที่ราบลุ่มชายฝั่ง ได้แก่จังหวัด ต่างๆ ดังนี้ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ นนทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และกรุงเทพมหานคร ภาคใต้ ได้แก่ จ.ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี นราธิวาส ระนอง พังงาภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล

ที่มา: ทีมข่าวพรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 สิงหาคม 2565