โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: พรรคพลังประชารัฐ

พล.อ.ประวิตร” เปิดตัว พล.อ.ธรรมรักษ์ ร่วมงานด้านยุทธศาสตร์การเมือง ดูแลพื้นที่อีสาน ร่วมสร้างพรรคให้ เข้มแข็ง

,

พล.อ.ประวิตร” เปิดตัว พล.อ.ธรรมรักษ์ ร่วมงานด้านยุทธศาสตร์การเมือง
ดูแลพื้นที่อีสาน ร่วมสร้างพรรคให้ เข้มแข็ง

วันที่ 23 มี.ค. 66 ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค และนายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค ร่วมเปิดตัว พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พล.อ.ธรรมรักษ์ มาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ โดยการทาบทามจากผู้บริหารของพรรค เพื่อที่จะให้ท่านมาช่วยในพื้นที่อีสาน สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะถือว่ามีความชำนาญและมีประสบการณ์ ซึ่งจะทำให้พรรคเกิดความเข้มแข็ง ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณ พล.อ.ธรรมรักษ์ ที่มาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ ต้องนับว่าเป็นบุญคุณอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าท่านจะอายุมาก แต่อายุไม่ได้มีความสำคัญเทียบเท่ากับสมอง

ด้านนายสันติ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐยินดีต้อนรับ พล.อ.ธรรมรักษ์ ที่จะเข้ามาร่วมในคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์การเมือง ซึ่งถือเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ทางการเมือง เข้าใจปัญหาของประชาชนเป็นอย่างดี ซึ่งจะนำไปสู่การวางกลยุทธ์ในการหาเสียงพื้นที่ต่างๆ ทั้งนี้ท่านมีความศรัทธาในพรรคพลังประชารัฐ จึงได้เข้ามาร่วมงานกับพรรคเพื่อผลักดันนโยบายร่วมกัน ที่จะช่วยพัฒนาบ้านเมืองและประเทศชาติ รวมถึงการดูแลพี่น้องประชาชน

พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าวว่า ตนมีความยินดีที่ได้มาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้ตนได้วางมือทางการเมืองไปแล้ว แต่ในเมื่อ พล.อ.ประวิตร ให้เกียรติมาเชิญไปร่วมทำงาน จึงตอบตกลง รวมถึงตนมีแนวคิดที่ตรงกับนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้งของพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงการสร้างความปรองดอง เพราะคนไทยเกิดความแตกแยก มีความเหลื่อมล้ำสูง ซึ่งตลอดชีวิตรับราชการตนได้ทำโครงการเกี่ยวกับการสร้างความสามัคคี เช่น คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 เรื่องนโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นนโยบายสร้างความประนีประนอม รวมถึงโครงการภาคใต้ร่มเย็น

“เมื่อพรรคพลังประชารัฐเต็มใจที่จะทำเรื่องนี้ ผมจึงตัดสินใจมาร่วมงานกับ พล.อ.ประวิตร ส่วนเรื่องสุขภาพตนมั่นใจว่ายังแข็งแรงดีอยู่ ไม่ แก่เกินไป” พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 23 มีนาคม 2566

ศ.ดร.นฤมล”นำทีมว่าที่ผู้สมัคร กทม.เร่งขับเคลื่อนแผน“เพิ่มพลังทุน เพิ่มพลังศก.”ชูผุดกองทุนธุรกิจเพื่อสังคมลดพึ่งงบรัฐเสริมแกร่งฐานราก

,

ศ.ดร.นฤมล”นำทีมว่าที่ผู้สมัคร กทม.เร่งขับเคลื่อนแผน“เพิ่มพลังทุน เพิ่มพลังศก.”ชูผุดกองทุนธุรกิจเพื่อสังคมลดพึ่งงบรัฐเสริมแกร่งฐานราก

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดสัมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. ตัวแทนชุมชน นักวิชาการสายเศรษฐศาสตร์ และผู้ประกอบการ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบาย พปชร. ภายใต้หัวข้อ “เพิ่มพลังทุน เพิ่มพลังเศรษฐกิจ” นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วย นางนฤมล รัตนาภิบาล, นายศันสนะ สุริยะโยธิน และนายกิตติภูมิ นีละไพจิตร์ ตัวแทนว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กทม. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)

โดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพปชร. กล่าวว่า ผู้สมัคร กทม.ของพรรคพลังประชารัฐได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจปากท้องของชาว กทม จึงได้มาพูดคุยกันว่า จะใช้วิธีการใดที่จะไม่เกิดเป็นภาระต่อภาษีของประชาชน เพราะแต่ละปี รัฐบาลต้องมีการจัดสรรงบประมาณ ปีละ 3.1-3.2 ล้านล้านบาท ขณะที่จัดหารายได้ของภาครัฐมีเพียง 2.3-2.5 ล้านล้านบาท ซึ่งมีส่วนต่างที่จะต้องจัดหาจากการกู้ให้เพียงพอในการพัฒนาประเทศ และมุ่งเน้นให้ประชาชนกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืนมากขึ้น โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของเศรษฐกิจฐานราก เราต้องหาแหล่งเงินเพื่อพัฒนาประเทศ

“เราจึงได้ข้อสรุปว่าจะใช้ศักยภาพของตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศด้วยการส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุนที่จะมาพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise (SE) ที่มีพระราชบัญญัติรองรับอยู่แล้ว นำมาพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยกลไกของตลาดทุนจะเปิดให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนามากขึ้น แทนที่เราจะเก็บภาษีคนรวยมาช่วยคนจน เราก็ให้คนที่มีเงินเหลือใส่เงินผ่านกองทุนแล้วใช้กลไกกำกับดูแลให้ SE ลงไปทำงานในพื้นที่ก็จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง”

ทั้งนี้การดำเนินงานดังกล่าวเป็นแนวทางที่หลายประเทศได้นำไปใช้แล้วเปิดให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมการแก้ไขปัญหาก็จะยั่งยืน ดังนั้นกองทุนดังกล่าวก็จะทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มในท้องถิ่น มเกิดขึ้นโดยเฉพาะเด็กจบใหม่ก็จะเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ หรือ ธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยใช้แหล่งเงินจากส่วนนี้ทำให้เกิดการพัฒนาในท้องถิ่น กระจายความเจริญสู่ต่างจังหวัด ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่ กทม.แต่พรรคพลังประชารัฐ จะใช่กลไกนี้ทั่วประเทศ

ด้านนางนฤมล รัตนาภิบาล ว่าที่ผู้สมัคร กทม.พรรค พปชร. กล่าวว่า เราจะขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสังคมโดยการลดการพึ่งพางบประมาณประเทศ ซึ่งจะเน้นของการแสวงหารายได้ ด้วยการระดมทุน ผ่านกองทุนSE ด้วย การร่วมมือกับเอกชน และตลาดทุน ในการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมธุรกิจเพื่อสังคมตาม พ.ร.บ. ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม การพัฒนาและส่งเสริมอาชีพประชาชน เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งกองทุนสนับสนุนเงินเพื่อการประกอบอาชีพ สร้างรายได้ที่มั่นคง เพื่อเพิ่มจำนวนนักธุรกิจในชนที่มีคุณภาพ โดยกองทุนจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนให้เกิดประสิทธิผลมากกว่าการใช้กองทุนรูปแบบที่ไม่ตอบโจทย์การช่วยเหลืออย่างแท้จริง

นายศันสนะ สุริยะโยธิน ว่าที่ผู้สมัคร กทม.พรรค พปชร. กล่าวถึงข้อ “การเพิ่มพลังสร้าง” ชูจุดเด่นสร้างจุดขายให้กับนวัตกรรม ในการสร้างโอกาสใหม่ สร้างอาชีพชุมชน ด้วยสินค้า “Made in Bangkok” สู่สากล การมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชนช่วยกันพัฒนาชุมชนของตัวเอง นี่คือสำคัญในการพัฒนาฐานรากในพื้นที่ชุมชนโดยไม่ได้พึ่งพากองทุนของประเทศ พรรคพลังประชารัฐ ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเพิ่มรายได้ และลดรายจ่ายให้กับประชาชน ซึ่งกองทุน SE ทุกคนจะสามารถเข้าถึงได้ง่าย เพื่อให้ทุกคนเติบโตและลดความเหลื่อมล้ำให้เกิดความเท่าเทียม

ด้านนายภูวกร ปรางภรพิทักษ์ ว่าที่ผู้สมัครพปชร. กล่าวถึงหัวข้อ “เพิ่มพลังเสริม” เพื่อเพิ่มทักษะและความรู้ในการสร้างอาชีพและฝึกทักษะวิชาชีพ รวมถึงเรื่องเทคโนโลยี การทำตลาดออนไลน์ และการบริการผ่านเทคโนโลยี ซึ่งพรรคพลังประชารัฐจะมีศูนย์การเรียน การสอน ทุกเขต ทุกพื้นที่ โดยเราจะสอนตั้งแต่ขั้นต้น ทำอย่างไร โดยนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นการทำสินค้า การรีแบรนด์ ให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น รวมไปถึงการค้าขายในโลกโซเชียล ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ การถ่ายรูป ครอบคลุมทุกรูปแบบ

ด้านนายกิติภูมิ นีละไพจิตร์ กล่าวถึงแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ค้าขายจากบริบทจริง การเสนอแนวทางพัฒนาตลาดใหม่ จัดการพื้นที่ ส่งเสริมอัตลักษณ์แต่ละท้องถิ่น การขยายแนวทางการขาย และส่งเสริมผู้ประกอบการ

ทั้งนี้ การจัดสัมมนาดังกล่าวเป็นการระดมความเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ จากตัวแทนชุมชน นักวิชาการสายเศรษฐศาสตร์ และผู้ประกอบการ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนและจัดทำเป็นนโยบายด้านกองทุนเพื่อการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนของพรรค ให้สอดคล้องกับบริบทและสังคมในพื้นที่ต่างๆ ของกรุงเทพฯ เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ลดการพึ่งพางบประมาณของประเทศ โดยเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ เพื่อนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจที่ดี สังคมสงบสุข และมีสุขอย่างยั่งยืนควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ ให้ดียิ่งขึ้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 23 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” ส่งเสริมสังคมพหุวัฒนธรรม สร้างสันติสุข ฟื้น ศก.ชายแดนใต้

“พล.อ.ประวิตร” ส่งเสริมสังคมพหุวัฒนธรรม สร้างสันติสุข ฟื้น ศก.ชายแดนใต้

เมื่อ 23 มี.ค.66 ,10.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา จังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) ครั้งที่ 1/2566 โดยมี รมช.กห. เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมวิจิตรวาทการ สมช. ทำเนียบรัฐบาล ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดย พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รอง นรม. ได้กล่าวว่า ที่ประชุมได้รับทราบ สถานการณ์ด้านการข่าวในพื้นที่ จชต.ซึ่งมีความคืบหน้าตามแนวทางสร้างสันติสุข โดย พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ หน่วยงานด้านการข่าวให้ติดตามสถานการณ์ อย่างใกล้ชิด รวมทั้งเน้นย้ำให้หน่วยงานด้านความมั่นคง เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ตลอดเวลา ด้วยความรอบคอบ และไม่ประมาท และรับทราบความคืบหน้าของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนด้านต่างๆ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ได้มีนโยบายให้ คณะอนุฯทุกด้าน เร่งยกระดับการขับเคลื่อน โดยเฉพาะด้านการศึกษา เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิด และจัดทำแนวทางการพัฒนาโรงเรียนนำร่อง ที่เป็นต้นแบบความเป็นเลิศทางวิชาการ ส่งเสริมสังคมพหุวัฒนธรรม และใช้ประโยชน์จากสภาสันติสุขตำบลในการขยายผลสร้างความเข้าใจร่วมกัน พร้อมทั้งได้กำชับให้คณะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ช่วยประสาน เร่งรัดการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการนำเรือประมง ออกนอกระบบ ตามที่ ครม.ได้เห็นชอบไปแล้ว จำนวน 96 ลำ

จากนั้น ที่ประชุม คปต.ได้พิจารณาเห็นชอบ(ร่าง)แผนการเสริมสร้างประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครประจำพื้นที่ จชต.(ปี66-70) ของ กอ.รมน. เพื่อใช้เป็นแผนหลักในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และเป็นกรอบแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคม มีความเข้มแข็ง สามารถปกป้องรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ของประชาชนโดยรวม และมีความต่อเนื่อง จากแผนฉบับเดิม สอดรับกับทิศทาง/เป้าหมายการแก้ปัญหา จชต.ในระยะที่ 2

พล.อ.ประวิตร ยังได้กำชับ สมช. ,กอ.รมน. และ ศอ.บต.ให้ติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติงาน อย่างต่อเนื่อง ภายใต้ข้อสั่งการและมติ คปต.ในวันนี้ และให้คณะกรรมการทุกด้าน สนับสนุนการขับเคลื่อนงานในการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม เพื่อสร้างสันติสุข และสังคมพหุวัฒนธรรม ที่ยั่งยืน รองรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ชายแดนภาคใต้ ด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 23 มีนาคม 2566

“เลขาฯสันติชูปาร์ตี้ลิสต์” พล.อ.ประวิตร”เบอร์ 1 – เลขาฯเบอร์ 2 มั่นใจ 20 ลำดับแรกยังเป็นเซฟโซน พร้อมผุด นโยบายเอาใจรากหญ้า ช่วยSME กู้ดอกเบี้ยเป็นธรรม

,

“เลขาฯสันติชูปาร์ตี้ลิสต์” พล.อ.ประวิตร”เบอร์ 1 – เลขาฯเบอร์ 2 มั่นใจ 20 ลำดับแรกยังเป็นเซฟโซน
พร้อมผุด นโยบายเอาใจรากหญ้า ช่วยSME กู้ดอกเบี้ยเป็นธรรม

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เปิดเผยว่า ขณะนี้พรรคได้เตรียมความพร้อมของการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครเป็นที่เรียบร้อย ทั้ง400 เขตแม้ว่ามีบางเขตมีผู้แสดงความจำนงเป็นผู้สมัครเกินกว่าจำนวน แต่วันนี้ได้ข้อสรุปแล้ว จากนั้นจะนำเข้าสู่กระบวนการไพรมารีโหวต สำหรับการทำสส.แบบบัญชีรายชื่อ กำลังได้ข้อยุติในเร็วๆนี้ รวมทั้งจะมีการปรับพื้นที่ในแต่ละภาค แต่ละจังหวัด ส่วนกลางของพรรคก็จะดูตามความเหมาะสม

“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 อย่างแน่นอน ในส่วนของลำดับถัดไป ก็น่าจะเป็นเลขาพรรค และตามมาด้วยคณะกรรมการบริหารพรรคท่านอื่น ๆ แต่เชื่อว่าจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อที่พรรคจะได้รับเลือกตั้งนั้น ลำดับที่ 1-20 ถือเป็นลำดับที่ปลอดภัย”

นายสันติ กล่าวต่อว่า ถ้าเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งเมื่อปี 62 พรรคพลังประชารัฐได้คะแนนเสียงประมาณ 8 ล้านเสียง โดยครั้งนี้เราตั้งเป้าหมายจะได้ 6 ล้านเสียง เพราะการลงพื้นที่ของ พล.อ.ประวิตร ได้รับกระแสตอบรับจากประชาชนดีมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด นั่นก็เป็นเพราะประชาชนเห็นถึงความมุ่งมั่นในการทำงาน ที่มุ่งแก้ไขปัญหาความยากจนให้ชาวรากหญ้า ทั้งราคาสินค้าเกษตร น้ำแล้งน้ำท่วม และยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย

นายสันติ ยังกล่าวต่อด้วยว่า พรรคพลังประชารัฐให้ความสำคัญ ในการแก้ปัญหาเรื่องหนี้สินของประชาชนให้เข้ามาอยู่ในระบบ เพื่อให้ดอกเบี้ยได้มาตรฐาน เพราะการอยู่นอกระบบจะมีอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 20-30% ซึ่งส่งผลกระทบคนยากจน เกษตรกร พ่อค้าแผงลอย ไม่ได้รับความเสมอภาค เพราะในสถานการออมของประเทศ ทำให้เงินอยู่ในระบบสถาบันการเงินมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่สถาบันการเงินมักจะพิจารณาการปล่อยสินเชื่อให้กับกิจการขนาดใหญ่เท่านั้น ในขณะที่ผ่านมา พรรค ได้รับเรื่อง คำร้องขอจากวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs รวมถึงแม่ค้าแผงลอย ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบกิจการ จึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 มีนาคม 2566

ชาวบ้านโฟนอิน ขอบคุณ “พล.อ.ประวิตร”หนุนสร้างอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้าง สิ้นสุดการรอค่อยแหล่งน้ำเพื่ออุปโภคบริโภตลอด 30 ปี

,

ชาวบ้านโฟนอิน ขอบคุณ “พล.อ.ประวิตร”หนุนสร้างอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้าง สิ้นสุดการรอค่อยแหล่งน้ำเพื่ออุปโภคบริโภตลอด 30 ปี

เมื่อ 22 มี.ค.66 ,13.30น. พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะ ประธานกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค พื้นที่เขตตรวจราชการ 1,7,13และ 16 (17จังหวัด) ได้โฟนอิน กับ คณะทำงานกำกับการปฎิบัติราชการในภูมิภาคพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 16 (เชียงราย น่าน พะเยา แพร่) โดยพล.ร.อ.พิเชฐ ตานะเศรษฐ เป็นหัวหน้าคณะฯ นายสมหวัง บุญระยอง รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้รายงานข้อมูลความเป็นมาของโครงการอ่างเก็บน้ำ”แม่ตาช้าง” ต.ป่าแดด อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ที่ผ่านความเห็นชอบจาก ครม.เมื่อ 28 ก.พ.66 ในหารจัดสรรงบประมาณ 1,325 ล้านบาท เพื่อให้กรมชลประทาน รับผิดชอบดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำในปี67-69 เป็นประเภทเขื่อนดินถมชนิดแบ่งส่วน (Zone Type) สันเขื่อนกว้าง 10 เมตร ความยาว 657 เมตร ความสูง 42 เมตร มีความสามารถกักเก็บน้ำได้ 32 ล้าน ลบ.ม. เป็นแหล่งเก็บกักน้ำต้นทุน เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค ของราษฎรในฤดูแล้ง รวมทั้งจะช่วยบรรเทาภาวะอุทกภัยในฤดูฝน และเป็นแหล่งเพาะพันธ์ อนุรักษ์สัตว์น้ำ รวมทั้ง รักษาสภาพต้นน้ำลำธาร ฟื้นฟู สภาพป่าไม้ ให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

จากนั้น ได้มีตัวแทนชาวบ้าน 2คน ในพื้นที่ ต.ป่าแดด อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ได้โฟนอิน กล่าวขอบคุณ พล.อ.ประวิตร และรัฐบาล ที่เห็นความสำคัญและเป็นห่วงพี่น้องชาวบ้าน ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำ มาเป็นเวลาร่วม 30ปีแล้ว โดยได้พยายามผลักดันโครงการอ่างเก็บน้ำ แม่ตาช้าง จนกระทั่งสำเร็จและผ่านความเห็นชอบจาก ครม.แล้ว ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ รู้สึกดีใจ และประทับใจ ที่ลุงป้อม ไม่ทอดทิ้งและมีความจริงใจช่วยเหลือชาวบ้าน ตามที่เคยรับปากไว้ เมื่อครั้งลงพื้นที่ ที่ผ่านมา พร้อมยังได้อวยพรขอให้ท่านเป็นนายกฯคนที่ 30 ด้วย

พล.อ.ประวิตร ยังได้กล่าวขอบคุณ คณะทำงานฯ , จังหวัด , หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประชาชนในพื้นที่ ที่ได้ให้ความร่วมมือในการขับเคลื่อนโครงการร่วมกัน ที่ผ่านมา พร้อมย้ำว่า รัฐบาลมีความห่วงใยในชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทุกพื้นที่ และจะดูแลแก้ปัญหาความเดือดร้อน อย่างดีที่สุด และต่อเนื่องไปตลอด เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชนให้มีความอยู่ดีกินดี ทุกครัวเรือน และจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง อย่างเด็ดขาด

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” เดินหน้าใช้มาตรการการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เน้นหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัดสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน

,

“พล.อ.ประวิตร” เดินหน้าใช้มาตรการการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
เน้นหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัดสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน

เมื่อ 22 มี.ค.66 ,10.00น.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีเปิดงานสัมมนา PDPA Going Forward ณ ห้องประชุมบอลรูม โรงแรมอัศวิน ถนนวิภาวดี หลักสี่ กทม. โดยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือดีอีเอส ได้กล่าวรายงาน และวัตถุประสงค์ ของการจัดงานสัมมนาซึ่งมีเป้าหมายให้ทุกภาคส่วน ตระหนักรู้ ถึงความสำคัญของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลร่วมกัน ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่สำคัญ ในการขับเคลื่อนการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศ ให้มีความก้าวหน้าตามมาตรฐานสากล โดย พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ถือเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญยิ่ง และมีผลบังคับใช้สมบูรณ์ทั้งฉบับ เมื่อ 1 มิ.ย.65 เพื่อให้คนไทยทุกคน รวมถึงนานาประเทศ เกิดความเชื่อมั่น และยอมรับในมาตรฐาน การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทย ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ อย่างยั่งยืน ต่อไป

ทั้ง พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ได้เป็นสักขีพยาน พิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) และได้เป็นประธานพิธีเปิดงาน พร้อมมอบประกาศเกียรติคุณให้หน่วยงานพันธมิตร ที่ร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานและมอบโล่รางวัล แก่ผู้ชนะเลิศออกแบบตราสัญลักษณ์

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณ ก.ดีอีเอส ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด(มหาชน) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน และสมาคมเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลไทย ที่ได้ร่วมกันจัดงานสัมมนาฯ ในครั้งนี้ โดยได้เน้นย้ำถึงมาตรการ และการสร้างความเชื่อมั่นในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งมีสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นหน่วยงานหลัก ที่จะต้องเป็นศูนย์กลางแห่งความร่วมมือ และต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัด เด็ดขาด บนพื้นฐานหลักนิติธรรม เพื่อสร้างบรรยากาศให้ประชาชนทุกคนในสังคมไทย ร่วมแรงร่วมใจกันผลักดันประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล นอกจากนั้น พล.อ.ประวิตร ยังได้เชิญชวน ผู้ที่รับฟังผ่าน Facebook Live เข้าร่วมการสัมมนาไปพร้อมๆกันด้วย อย่างเปิดกว้าง ทางความคิด และความร่วมมือทุกๆด้าน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 มีนาคม 2566

“ศ.ดร.นฤมล”นำทัพว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เปิดศูนย์ประสานงาน เขตบางซื่อ ดุสิต หวังเป็นศุนย์กลางเชื่อมโยง ปชช.ยัน”พล.อ.ประวิตร”สุขภาพสมบูรณ์เต็มร้อย เผย 30 มี.ค.นี้เตรียมเปิดตัว ส.ส.ครบ 400 เขต

,

“ศ.ดร.นฤมล”นำทัพว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เปิดศูนย์ประสานงาน เขตบางซื่อ ดุสิต หวังเป็นศุนย์กลางเชื่อมโยง ปชช.ยัน”พล.อ.ประวิตร”สุขภาพสมบูรณ์เต็มร้อย เผย 30 มี.ค.นี้เตรียมเปิดตัว ส.ส.ครบ 400 เขต

เมื่อเวลา 10.30 น.ที่ศูนย์ประสานงานพรรคประชารัฐ เขตบางซื่อ ดุสิต นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.พรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กทม. เขตบางซื่อ – ดุสิต และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม.อีกหลายเขต อาทิ เขต 2 สาทร ราชเทวี ปทุมวัน นายพณิชย์ วิทยาภัทร์ ,เขต 5 ห้วยขวาง วังทองหลาง นายกานต์ กิตติอำพน,เขต 15 คันนายาว บึงกุ่ม น.ส.ณิรินทร์ เงินยวง,เขต 31 ทวีวัฒนา ตลิ่งชัน น.ต.นิธิ บุญยรัตกลิน,เขต 32 บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ ภาษีเจริญ ตลิ่งชัน ธนบุรี น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์

ศ.ดร.นฤมลฯ กล่าวว่า วันนี้เรามาพร้อมกับว่าที่ผู้สมัคร กทม.หลายท่าน เพื่อมาร่วมเปิดศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ เขตบางซื่อ ดุสิต รวมถึงตรวจสอบค่าฝุ่น PM 2.5 บริเวณถนนวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ และจัดตั้ง War room ตรวจสอบสถานการณ์คุณภาพอากาศ โดยใช้ดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) เป็นตัวชี้วัดบริเวณพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลตรวจสอบค่าฝุ่น PM 2.5 ผ่านเว็บไซต์ www.air4thai.pad.go.th ของกองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ เพื่อดูปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องของปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ซึ่งประชาชนในหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบเป็นระยะยาว

“พรรคพลังประชารัฐไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้บรรจุยุทธวิธีแก้ไขปัญหานี้ในนโยบายของพรรคแล้ว โดยเราพร้อมทำทันที เพื่อนำอากาศบริสุทธิ์กลับคืนมาให้กับประชาชน ในส่วนศูนย์ประสานงานแห่งนี้เราต้องการให้เป็นที่พึ่งของประชาชน และประชาชนสามารถมีส่วนร่วมกับเรา ซึ่งจะทำให้เราสามารถรับรู้ปัญหาต่างๆ ของประชาชนได้เช่นปัญหาปากท้อง ปัญหาสังคมสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้จะนำไปแก้ไขให้เร่งด่วนและทันต่อเหตุการณ์”

ด้าน ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวว่า วันนี้ถือว่าโชคดีที่สภาพอากาศที่เขตบางซื่ออยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยค่าฝุ่นพิษ pm 2.5 เท่าที่วัดในตอนนี้ไม่เกินมาตรฐาน แต่ในอีกหลายเขตก็ยังเป็นปัญหาด้านสุขภาพต่อเด็กและผู้สูงอายุ ทั้งนี้ ตนมองว่า ถ้าในพื้นที่ กทม.การเพิ่มต้นไม้เพื่อสร้างอากาศที่ดี และเป็นเครื่องกรองอีกชั้นหนึ่ง และอาจจะต้องพิจารณาไปยังปักกิ่งโมเดล ที่มีการติดเครื่องฟอกอากาศยักษ์ในพื้นที่ เพราะกรุงปักกิ่งเผชิญกับปัญหาหมอกควันอย่างรุนแรง ประชาชนได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง กรุงปักกิ่งจึงได้ตั้งเครื่องฟอกอากาศขนาดยักษ์ภายในพื้นที่ เพื่อขจัดมลพิษทางอากาศ เนื่องด้วยตนเป็นนักสิ่งแวดล้อม จึงต้องการให้ศูนย์ประสานงานแห่งนี้ทำหน้าที่เฝ้าระวังปัญหาฝุ่นพิษ pm 2.5 ด้วย เพราะปัจจุบันถือว่าเป็นปัญหาอย่างหนัก

“เราให้ความสำคัญกับประชาชนในพื้นที่ ถึงความต้องการของพวกเขาจริง ๆ เสียงสะท้อนจากชาวบ้านในเขตชุมชนต่าง ๆ ถึงปัญหา และต้องแก้ไขในจุดใดบ้างโดยเราจะนำข้อมูลเหล่านี้มาเสริมเป็นนโยบายของพรรคพลังประชารัฐเพิ่มเติม เพราะภาพใหญ่เสร็จไปหมดแล้ว แต่ในส่วนของภาพเล็กและรายละเอียดปลีกย่อย เราก็จะนำข้อมูลตรงนี้ไปพัฒนาและต่อยอด”

แนวทางการหาเสียงใน กทม.ต่อจากนี้ ศ.ดร.นฤมลฯ กล่าวว่า เราจะมีเวทีปราศรัยย่อยในวันศุกร์นี้ โซนกรุงเทพตอนเหนือ โดยสถานที่และเวลาจะแจ้งอีกครั้งหนึ่ง โดยจากนี้ไปทั้งตนและนายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีม กทม.พรรคพลังประชารัฐ ก็จะช่วยลงพื้นที่หาเสียงร่วมกับผู้สมัครของเรา ทั้งนี้ ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐก็จะมีการเปิดตัวร่วมกันของผู้สมัคร ส.ส.เขต ทั้ง 400 เขต โดยสถานที่น่าจะเป็นสนามกีฬาบางกอกอารีนา เขตหนองจอก กรุงเทพฯ วันที่ 30 มี.ค.นี้ ซึ่งจะมีการกำหนดรายละเอียด และแจ้งให้สื่อมวลชนทราบอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อถามถึงหลายคนกังวลถึงสุขภาพร่างกายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ศ.ดร.นฤมลฯ กล่าวว่า ท่านยังสุขภาพสมบูรณ์เต็มร้อย ช่วง 5 วันที่ผ่านมา ท่านไม่ได้หยุดลงพื้นที่เลย วันนี้ก็ลงตรวจราชการอยู่ที่ จ.กระบี่ ไม่ต้องห่วงค่ะ ท่านยังใจพร้อม กายพร้อม เต็มร้อย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 มีนาคม 2566

“ชัยวุฒิ” ขึ้นเวทีปราศรัยเชียงใหม่ หนุนเทคโนโลยีเข้าถึงเกษตรกร มุ่งสร้างรายได้มั่นคง เร่งปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยี สู่สังคมปลอดภัย

,

“ชัยวุฒิ” ขึ้นเวทีปราศรัยเชียงใหม่ หนุนเทคโนโลยีเข้าถึงเกษตรกร
มุ่งสร้างรายได้มั่นคง เร่งปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยี สู่สังคมปลอดภัย

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2565 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดเวทีปราศรัยใหญ่ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ คณะผู้บริหาร และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมขึ้นเวทีปราศรัย โดยมี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ กรรมการบริหารพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานภาคเหนือพรรคพลังประชารัฐ นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ กรรมการบริหารพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ กรรมการยุทธศาสตร์และนโยบายพรรค และนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ กรรมการยุทธศาสตร์และนโยบายพรรค มีประชาชนพื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนบนเข้าร่วมจำนวนมากถึง 7,200 คน ที่มาจากจังหวัดเชียงใหม่ น่าน ลำพูน แพร่ แม่ฮ่องสอน และจังหวัดลำปาง เป็นต้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นประชาชนมารอต้อนรับและรอฟังนโยบายของ พล.อ.ประวิตร และคณะผู้บริหาร ที่จะนำเสนอทุกนโยบายที่จะทำประโยชน์ให้กับประชาชน มุ่งสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวเชียงใหม่ให้ดีขึ้น โดยเฉพาะนโยบายบัตรประชารัฐ 700 บาทต่อเดือน และนโยบายเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็น จำนวน 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปี ขึ้นไปเพิ่มเป็น จำนวน 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปี ขึ้นไปเพิ่มเป็น จำนวน 5,000 บาทต่อเดือน ตลอดจนนโยบายการแก้ปัญหาที่ทำกิน บริเวณอาคารยิมเนเซียม สนามกีฬาสมโภชน์ 700 ปี จังหวัดเชียงใหม่

ด้านนายชัยวุฒิ กล่าวกับพี่น้องประชาชนว่า พรรคฯ ได้ผลักดันให้พี่น้องประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล โดยสามารถให้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้มากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจปัจจุบันต้องอาศัยเทคโนโลยีร่วมกันขับเคลื่อน โดยเฉพาะการจำหน่ายสินค้าเกษตรผ่านระบบออนไลน์ ในพื้นที่บนดอยซึ่งมีพืชผลไม้ทางการเกษตรเป็นที่ต้องการของตลาด เช่น อะโวคาโด ที่นำออกมาขายได้มากขึ้น

“แม้ขณะนี้คนไทยมีโมบายแบงก์กิ้ง หรือระบบการจ่ายเงินพร้อมเพย์ที่ทันสมัยที่สุดในโลก ทำให้การขายของออนไลน์และเศรษฐกิจฟื้นฟูมาก แต่เรื่องมิจฉาชีพเราต้องระมัดระวังมากขึ้น เรื่องการโอนเงินผ่านโมบายแบงก์กิ้ง เพราะขณะนี้มีกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนให้ระวัง ในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เร่งปราบปราม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในการร่วมรัฐบาลได้มีการจับกุมจำนวนมาก ซึ่ง พล.อ.ประวิตร มีความห่วงใยและได้หารือมาโดยตลอด โดยวันนี้เรามีมาตรการใหม่ ออกพระราชกำหนดกฎหมายใหม่ พ.ร.ก.ปราบอาชญากรรมออนไลน์ โดยการปิดบัญชีทางการเงินของคนร้าย อายัดบัญชีทันที ซึ่งถ้าพี่น้องประชาชนโดนหลอกสามารถแจ้งเลขบัญชีที่ธนาคารได้เพื่อปิดบัญชี ไม่ให้คนร้ายดำเนินการทางธุรกรรมได้” นายชัยวุฒิ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 19 มีนาคม 2566

“ธรรมนัส” ชูนโยบาย พปชร.สร้างความเข้มแข็งคนฐานราก ขอบคุณพี่น้องชาวเหนือที่ยังรักกันเหมือนเดิม ย้ำดูแลสวัสดิการ-กินดีอยู่ดี

,

“ธรรมนัส” ชูนโยบาย พปชร.สร้างความเข้มแข็งคนฐานราก
ขอบคุณพี่น้องชาวเหนือที่ยังรักกันเหมือนเดิม ย้ำดูแลสวัสดิการ-กินดีอยู่ดี

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2566 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานภาคเหนือพรรคพลังประชารัฐ กล่าวปราศรัยบนเวทีอาคารยิมเนเชี่ยมสนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี จังหวัดเชียงใหม่ ว่า ตนทราบว่ามีพี่น้องชาวเชียงใหม่มานั่งรอพรรคพลังประชารัฐอย่างคับคั่งเหมือนเช่นปี 62 เพื่อมารอฟังการปราศรัยของผู้บริหารพรรค ตนตั้งใจมาหาชาวเชียงใหม่ แต่วันนี้มีพายุโซนร้อนเข้าที่จังหวัดเชียงใหม่ ก็เข้าใจได้ที่อาจจะไม่ได้เจอกันครบทุกคน ล่าสุด ได้ไปปราศรัยกับพี่น้องชาวจังหวัดเชียงรายมา ประมาณ 10,000 คน ท่ามกลางอากาศที่ร้อนมาก แต่พี่น้องก็ยังมีใจมาให้การต้อนรับ และสนับสนุนพวกเรา

“การเลือกตั้งครั้งนี้ทุกพรรคการเมืองมีนโยบายที่ดี เพื่อให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชน แต่พรรคพลังประชารัฐพูดเสมอว่า เราเป็นพรรคของประชาชน ชื่อพรรคก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่า เป็นการรวมกันของพลังของคน 2 กลุ่ม นั่นก็คือ การร่วมพลังของประชาชนทั้งแผ่นดินทั้ง 77 จังหวัด ภายใต้การดูแลของรัฐ ก็คือรัฐบาล ประเทศไทยของเรามีโครงสร้างเป็นฐานพิระมิด เริ่มจากฐานรากหญ้า คือ พี่น้องประชาชน นโยบายที่พรรคนำเสนอออกมา คือ ต้องการทำให้คนฐานรากมีความเข้มแข็ง เช่น บัตรประชารัฐ ที่จะมีการเพิ่มเงินจากมูลค่า 300 เป็น 700 บาท ทันทีเมื่อพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ” ร.อ.ธรรมนัส

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายดูแลผู้สูงอายุ 345 678 ที่ทุกวันนี้ผู้สู่งอายุได้รับอยู่ที่ 600 ถึง 1000 บาท แต่หลังการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐ พร้อมดูแลผู้สูงอายุ 60 ปี เอาไปเลย 3,000 บาท 70 ปี 4,000 บาท และ 80 ปีขึ้นไป 5,000 บาท การสร้างความเข้มแข็งให้กับคนฐานรากต่อสิ่งสำคัญที่สุดที่พรรคพลังประชารัฐตั้งใจทำ เพราะเราต้องการสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มเปราะบาง และพรรคจะดูแลราคาพืชผลทางการเกษตร ที่สำคัญของชาวภาคเหนือ ทั้งราคาลำไย ที่ได้มีการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร โดย พล.อ.ประวิตร ให้การสนับสนุนเพราะท่านมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม เพื่อต้องการให้กินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 19 มีนาคม 2566

สกลธี”มั่นใจ พปชร.” ทำจริง ทำเร็ว ทำทันที ” ลั่น กองทุนประชารัฐพัฒนาประเทศ พร้อมพัฒนากรุงเทพฯ ให้ดีขึ้นกว่าเดิม

,

สกลธี”มั่นใจ พปชร.” ทำจริง ทำเร็ว ทำทันที ” ลั่น กองทุนประชารัฐพัฒนาประเทศ พร้อมพัฒนากรุงเทพฯ ให้ดีขึ้นกว่าเดิม

เมื่อเวลา 18.51 น. นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมกทม.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวปราศรัยบนเวที”พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ”ว่า พรรคพลังประชารัฐไม่ใช่แค่ ทำงาน ทำงาน ทำงาน แต่เรา “ทำจริง ทำเร็ว ทำทันที”และพร้อมสานงานที่ทำเอาไว้ และก่องานใหม่ ไม่ต้องเรียนรู้งาน

“พรรคพลังประชารัฐมี กองทุนประชารัฐพัฒนาประเทศ 3 แสนล้านบาท ที่จะพัฒนากรุงเทพฯ ขอเพียงแค่ประชาชนให้โอกาสผู้สมัครของพรรคเราได้เข้าไปลงมือทำ โดยเรามั่นใจว่าจะทำกรุงเทพฯให้ดีกว่านี้ได้แน่นอน เพราะเรามีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคของเรา เป็นผู้จัดการตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังการทำงาน จนทำให้รัฐบาลอยู่มาได้ถึง4 ปี ผลงานที่ทุกคนรู้กันดีก็คือ แก้หนี้นอกระบบ และแก้ปัญหาน้ำ”

นายสกลธี กล่าวต่อว่า กทม.มีดีหลายอย่าง ทั้งพื้นที่เกษตร ของดีชุมชนต่าง ๆ และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และที่ดีกว่านั้นคือ พลังใหม่ทั้ง 33 คน ที่มาเสนอตัวให้พี่น้องประชาชนได้เรียกใช้ เราขอเพียงแค่โอกาสเป็นเบอร์หนึ่งในใจของคนกรุงเทพฯ และเราจะผลักดันสิ่งเหล่านี้เป็นนโยบายทำเพื่อประชาชนอย่างแน่นอน

ทั้งนี้นายสกลธี แนะนำผู้สมัครทั้ง 33 เขต ประกอบด้วย เขต 1 พระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย สัมพันธวงศ์ ดุสิต บางรัก นายสฤษดิ์ ไพรทอง, เขต 2 สาทร ราชเทวี ปทุมวัน นายพณิชย์ วิทยาภัทร์, เขต 3 บางคอแหลม ยานนาวา น.ส.ชญาภา ธารดำรงค์ , เขต 4 คลองเตย วัฒนา นายภูวกร ปรางภรพิทักษ์

เขต 5 ห้วยขวาง วังทองหลาง นายกานต์ กิตติอำพน ,เขต 6 ดินแดง พญาไท ร.อ.รชฏ พิสิษฐบรรณกร , เขต 7 บางซื่อ ดุสิต ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช, เขต 8 จตุจักร หลักสี่ นายรังสรรค์ กียปัจจ์ , เขต 9 บางเขน จตุจักร หลักสี่ นายปราโมทย์ เพ็ชรฤทธิ์ , เขต 10 ดอนเมือง ภญ.สุชาดา เวสารัชตระกูล

เขต 11 สายไหม น.อ. บัญชาพล อรัณยะนาค, เขต 12 บางเขน สายไหม ลาดพร้าว ภญ.นพวรรณ หัวใจมั่น , เขต 13 ลาดพร้าว วังทองหลาง นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ , เขต 14 บางกะปิ วังทองหลาง น.ส. นฤมล รัตนาภูบาล , เขต 15 คันนายาว บึงกุ่ม น.ส.ณิรินทร์ เงินยวง ,เขต 16 คลองสามวา นายกิติภูมิ นีละไพจิตร, เขต 17 หนองจอก คลองสามวา นายศิริพงษ์ รัสมี
เขต 18 หนองจอก มีนบุรี ลาดกระบัง นายพีระพงษ์ รัสมี , เขต 19 มีนบุรี สะพานสูง นางนาถยา แดงบุหงา ,เขต 20 ลาดกระบัง นายบุญรุ่ง เต๋งจงดี, เขต 21 ประเวศ สะพานสูง น.ส.แพรว กิจสุวรรณ, เขต 22 สวนหลวง ประเวศ นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ,เขต 23 พระโขนง บางนา นายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ

เขต 24 คลองสาน ธนบุรี ราษฎรบูรณะ นายศันสนะ สุริยะโยธิน , เขต 25 ทุ่งครุ ราษฎร์บูรณะ นายระพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธา , เขต 26 จอมทอง บางขุนเทียน นายสุวัฒน์ ม่วงศิริ , เขต 27 บางบอน บางขุนเทียน นายสาโรจน์ ซึ้งไพศาลกุล ,เขต 28 หนองแขม บางบอน จอมทอง นายมานพ มารุ่งเรือง , เขต 29 บางแค หนองแขม นายเอกชัย ผ่องจิตร์ , เขต 30 บางแค ภาษีเจริญ นายสิทธิโชค คล้อยแสงอาทิตย์, เขต 31 ทวีวัฒนา ตลิ่งชัน น.ต.นิธิ บุญยรัตกลิน ,เขต 32 บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ ภาษีเจริญ ตลิ่งชัน ธนบุรี น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์ และเขต 33 เขตบางพลัด บางกอกน้อย นายคมสัน พันธุ์วิชาติกุล

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18 มีนาคม 2566

มิ่งขวัญ”ชู แคมเปญ”น้ำมันเพื่อประชาชน”ลดเบนซิน-ดีเซล ลุยลดค่าครองชีพ ลดต้นทุนการผลิตสร้างเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง

,

มิ่งขวัญ”ชู แคมเปญ”น้ำมันเพื่อประชาชน”ลดเบนซิน-ดีเซล ลุยลดค่าครองชีพ ลดต้นทุนการผลิตสร้างเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง

เมื่อเวลา 18.20 น.นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพรรคพลังประชารัฐ กล่าวปราศรัยบนเวที”พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ”ว่า พลังประชารัฐมีแคมเปญเรื่องราคาน้ำมัน ซึ่งจะเป็นแคมเปญที่ส่งให้พรรคพลังประชารัฐ เข้าไปนั่งอยู่ในใจของประชาชนทุกคย โดยราคาพลังงานจะสามารถปรับลงลด เพื่อช่วยประชาชนได้ ซึ่งเรามีแนวคิดที่จะรื้อโครงสร้างราคาน้ำมัน โดยจะปรับลด 1 ปี นับตั้งแต่เราเป็นรัฐบาล และเมื่อเป็นรัฐบาลแล้ว ช่วง 3-4 เดือนแรก จะมีคณะกรรมการขึ้นมาปรับโครงสร้างใหญ่ คือ ภาค 2 ที่จะดำเนินการ ซึ่งการปรับลดสามารถทำได้ เมื่อเราเป็นรัฐบาล เพื่อลดรายจ่าย ค่าเดินทาง การขนส่งสินค้า
ที่สำคัญที่สุด คือ ลดต้นทุนการผลิตสินค้า ทุกขั้นตอนลดอัตราเงินเฟ้อ และจะทำให้ราคาสินค้า อุปโภคบริโภคของประชาชนถูกลง หากโครงสร้างถูกปรับเปลี่ยน จะสามารถลดราคาน้ำมันเบนซิน ลงได้ประมาณลิตรละ 18 บาท และลดราคาน้ำมันดีเซล ลงประมาณลิตรละ 6 บาท

“หากนำเอาราคาน้ำมันในวันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา มาอ้างอิง โดยที่ราคาน้ำมันเบนซิน อยู่ที่ลิตรละ 44.06 เมื่อปรับลงประมาณ ลิตรละ 18.07 บาท คนไทยจะได้ใช้น้ำมันเบนซินที่ราคาลิตรละ 25.99 บาท เช่นเดียวกับราคาน้ำมันดีเซล ที่ปัจจุบันราคา 34.44 ต่อลิตร เมื่อปรับลดลงประมาณลิตรละ 6.37 บาท คนไทยก็จะได้ใช้น้ำมันดีเซลที่ราคาลิตรละ 28.07 บาท ทั้งนี้ การลดราคาน้ำมันด้วยมาตรการดังกล่าวประมาณ 1 ปี จะมีมาตรการอื่น ที่จะทำให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศได้ใช้น้ำมันอย่างมีความสุข”

“ผมจะบอกว่า ปรัชญาของการเก็บภาษีอากร คือ เสมอภาค เท่าเทียม มีเงินมากเสียมาก น้อยก็ตามอัตราส่วน แต่ปรัขญาที่สำคัญที่สุขต้องทอนคืนเป็นความสุขให้พี่น้องประชาขน ดังนั้น แคมเปญเรื่องน้ำมันจะขับเคลื่อนยให้พรรคพลังประชารัฐให้เข้าไปนั่งในหัวใจของพี่น้องประชาชน ถ้าอยากได้น้ำมันราคานี้ อยากได้ต้องรักพลังประชารัฐให้มากๆ เข้าคูหากาคะแนนให้เรา รักทั้งคนรักทั้งพรรค

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร”ขอโอกาสคนกรุงฯ นำความรัก ความสามัคคีมาสู่ประเทศชาติ หมดเวลาจะทะเลาะกัน ย้ำ พร้อม แก้ไขปัญหาทุกเรื่องให้ กทม.ดีขึ้น

,

“พล.อ.ประวิตร”ขอโอกาสคนกรุงฯ นำความรัก ความสามัคคีมาสู่ประเทศชาติหมดเวลาจะทะเลาะกัน ย้ำ พร้อม แก้ไขปัญหาทุกเรื่องให้ กทม.ดีขึ้น

เมื่อเวลา 19.20 น.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวปราศรัยบนเวที”พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ”ว่า ก่อนอื่นขอสวัสดีพี่น้อง ชาวกรุงเทพมหานคร และพี่น้องชาวไทยที่รักทุกคน ผมรู้สึกดีใจ และอบอุ่นที่ได้มาอยู่ท่ามกลางพี่น้องทุกท่านในวันนี้ ซึ่งเป็นการปราศรัยในกรุงเทพฯครั้งแรก ของผม วันนี้ผมมาพร้อมกับผู้บริหารและสมาชิก พรรคพลังประชารัฐ รวมถึงว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 33 คน เพื่อยืนยันให้พี่น้องมั่นใจว่าพวกเราพร้อมแล้ว ที่จะทำงานรับใช้ กรุงเทพมหานคร

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐตระหนักดีว่า กรุงเทพมหานครเป็นศูนย์รวม เป็นหน้าตา และศักดิ์ศรีของประเทศ เราต้องช่วยกันดูแล รักษา ให้สะอาด สวยงาม ปลอดภัย น่าอยู่ น่าอาศัย น่าที่จะมาท่องเที่ยว ผมและพรรคพลังประชารัฐ จะมุ่งมั่น ทำงาน ร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อพัฒนา และแก้ไขปัญหาทุกเรื่อง ที่เป็นประโยชน์ กับ คนกรุงเทพฯ ปัญหาต่าง ๆ ทั้งในเรื่อง การจราจร ติดขัด ปัญหา ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม มลพิษ PM 2.5 การขาด พื้นที่สีเขียวน้ำท่วม น้ำเน่าเสีย ระบบขนส่งมวลชน ปัญหายาเสพติด และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย

“พรรคพลังประชารัฐจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้โดยเร็ว พร้อมกับนำนโยบายที่เป็นประโยชน์มามอบให้กับ พี่น้องประชาชน ทั้งในเรื่อง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การลดราคา น้ำมัน แก๊ส ไฟฟ้า สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ดูแลคนไทย ทุกช่วงวัย ทั้งเบี้ยผู้สูงอายุ แม่ และเด็ก ดูแลผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส อย่างเท่าเทียมเพื่อลดช่องว่าง ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมในสังคม ขอให้ พี่น้องประชาชนให้โอกาส พรรคพลังประชารัฐพวกเราอาสาที่จะนำความรัก ความสามัคคีมาสู่ประเทศชาติ ของเราหมดเวลาที่เราคนไทยจะมาทะเลาะกันเองแล้วพวกเราคนไทย ต้องจับมือกันนำพาประเทศ ก้าวไปข้างหน้าเพื่อความสุขของคนไทยทุกคน”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18 มีนาคม 2566