โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: พรรคพลังประชารัฐ

พปชร. วิเคราะห์ถึงข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่าง ไทยกัมพูชา “รัฐบาลฝันว่า-ฝ่าวิกฤตชายแดน” หวังเคลมผลงานฝ่าวิกฤติชายแดน

, ,

พปชร. วิเคราะห์ถึงข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่าง ไทยกัมพูชา “รัฐบาลฝันว่า-ฝ่าวิกฤตชายแดน” หวังเคลมผลงานฝ่าวิกฤติชายแดน

“ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว วิเคราะห์ข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่าง ไทย – กัมพูชา พิลึกพิลั่น หวังเคลมผลงานฝ่าวิกฤติชายแดน

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2568 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ด้านเศรษฐกิจ และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Thirachai Phuvanatnaranubala – – ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เปิดประเด็นน่าสนใจ ว่า “รัฐบาลฝัน ว่า ฝ่าวิกฤตชายแดน” วิเคราะห์ถึงข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่าง ไทย – กัมพูชา ภายใต้การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป GBC โดยชี้ให้เห็นพิรุธสำคัญ ดังนี้

1.ไม่สมควรยกย่องรัฐบาล ว่า ฝ่าวิกฤตปะทะไทย-กัมพูชา เพราะผลงานตกชั้นหลายอย่าง เช่น การสนับสนุนกองทัพ แต่กองทัพไทย ต้องหันไปอาศัยมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน แสวงหาอุปกรณ์โดรนมาเพื่อใช้บินหย่อนระเบิด จนภาพศักยภาพโดรนที่ปรากฎไปทั่วโลก ไม่ใช่โดรนที่สนับสนุนโดยรัฐบาล
2.การมีท่าทีด้อยค่าทหารไทย กรณี นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี มีคลิประบุถึงการโจมตีวันที่ 29 ก.ค. หลังข้อตกลงหยุดยิง วันที่ 28 ก.ค. จนทำให้กำลังพลเสียชีวิตและบาดเจ็บในบริเวณปราสาทตาควาย พูดเพียงว่า “ผมทราบที่มันเกิดขึ้นบางจุด เป็นทหารที่อาจจะไม่มีวินัย ได้มารบและตอบโต้”
3.ท่าทีปกป้องผู้นำกัมพูชา โดย พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง กรณีกัมพูชายังยิงโจมตีหลังข้อตกลงหยุดยิง ว่า อาจเป็นการกระทำโดยหน่วยในพื้นที่ เพื่อปกป้องระดับผู้นำกองทัพกัมพูชา ซึ่งการกระทำนี้ไม่จำเป็นและไม่สมเหตุผล
4.ลากยาวการเจรจา ภาษีทรัมป์ จนเสียหมากการทหาร ทั้งที่ในการรบฝ่ายไทยกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ ซึ่งจำเป็นต้องขยายเวลาเพิ่ม เพื่อเก็บกู้และทำลายระเบิด เปิดทางให้ทางไทยรุกกลับคืนพื้นที่ได้ปลอดภัย แต่เมื่อ ไทย โดนประธานาธิบดีทรัมป์ ให้เดทไลน์หยุดยิง เพราะปมเจรจาภาษี ทั้งที่เห็นแล้วว่า ประเทศอาเซียน เวียดนาม ฟลิปินส์ อินโดนีเซีย เข้าเส้นชัยไปแล้ว ซึ่งก็ไม่มีหวังจะได้อัตราต่ำว่า 19% แต่ทีมเจรจาไทยกลับยอมลากยาว สุดท้ายก็โดนบีบให้ยุติศึก ทั้งที่การศึกยังไม่บรรลุผล
5.ยอมให้กัมพูชาเป็นฝ่ายได้เปรียบ ในประเด็นกับระเบิด เพราะกัมพูชาจะไม่ต้องการตกลงในประเด็นกับระเบิด เพื่อยอมรับว่าตนปฏิบัติผิดกติกาสากล จึงต้องลอบใช้กับระเบิดป้องกันมิให้ทหารไทยรุกคืบ แต่ กระทรวงกลาโหม กลับไปยอมรับข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งไม่มีการบังคับให้กัมพูชาเคลียร์ปมกับระเบิด จนทำให้ วันที่ 9 ส.ค. มีทหารไทย 3 นาย บาดเจ็บจากกับระเบิดเพิ่มเช่นเดิม
6.การปฏิบัติตาม อนุสัญญาเจนีวา กรณี การปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกจับกุมตัว การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในสถานพยาบาลของอีกฝ่าย โดยจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการรองรับของสถานพยาบาลแล้วแต่กรณี ซึ่งข้อความภาษาอังกฤษในข้อตกลงนั้น ระบุชัดเจนว่า “If one side wishes to bring in its own wounded soldiers or civilians who are not under the control of the other side for medical treatment, the receiving side may determine its response based on the capacity of its medical facilities… on a case-by-case basis.”

ซึ่งมีความหมายว่า “พยายามให้คนเข้าใจผิดว่า การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในอีกฝ่ายเป็นไปตามอนุสัญญาเจนีวา” ซึ่งเป็นเรื่องผิด เพราะอนุสัญญาเจนีวาครอบคลุมเฉพาะทหารที่ตกเป็นเชลยและอยู่ในความควบคุมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึงทหารบาดเจ็บที่ยังอยู่ในการควบคุมของอีกฝ่าย

“ในทางปฏิบัติ ฝ่ายไทยสามารถตัดสินใจรับหรือไม่รับผู้บาดเจ็บที่ฝ่ายกัมพูชาประสงค์ส่งมาได้ตามศักยภาพของโรงพยาบาล และตามดุลยพินิจ ไม่ใช่ข้อบังคับแบบตายตัวอย่างที่แปลเป็นไทย”

กรณีนี้ จึงกลายเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลและความไม่พอใจในหมู่ประชาชนและนักการเมืองไทย เพราะเปิดช่องให้ “รัฐบาลไส้ศึก” ใช้อำนาจเลือกปฏิบัติ “on a case-by-case basis” ในการให้การรักษาพยาบาลเฉพาะบางบุคคล ซึ่งอาจกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างสองประเทศ ทั้งที่ไทยสามารถแสดงจุดยืนด้านมนุษยธรรมได้ โดยการเสนอให้ไปรักษาตัวในประเทศที่สาม เช่น มาเลเซียหรือสิงคโปร์

ส่วนสาระสำคัญ ข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ไทย – กัมพูชา อาจสรุปได้ 6 ข้อ คือ 1.ยุติการใช้อาวุธและการโจมตีพลเรือนทุกกรณี 2.รักษาสถานะกำลังพลและห้ามเคลื่อนย้ายที่ตั้ง ตั้งแต่ 28 ก.ค. 2568 3.งดเว้นการยั่วยุและกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ชายแดน 4.ยืนยันการปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวาในการดูแลเชลยศึก 5.กำหนดกลไกตรวจสอบและสังเกตการณ์โดยอาเซียน และ 6.นัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ทุก 1 เดือน เพื่อติดตามสถานการณ์

โดยภาพรวม “การเจรจานี้ ถือว่ากลางๆ เน้นมาตรการป้องกันการล้ำเขตที่เหมาะสม และใช้ประเด็นเรื่อง Call Center, scammer กดดันกัมพูชาได้ในทางบวก” แต่ “ข้อ 6 กลายเป็นจุดอ่อนสำคัญ เพราะพูดเกินกว่าขอบเขตของอนุสัญญาเจนีวา และทำให้เกิดความรู้สึกถูกผูกมัดโดยไม่จำเป็น ทั้งนี้ การใส่ข้อความเกินจำเป็นนี้ จะขยายความไม่พอใจต่อกัมพูชา และสร้างความกังวลในหมู่ประชาชนไทย”

“ดังนั้น แทนที่จะหวังให้เป็นผลงาน ฝ่าวิกฤตชายแดน รัฐบาลนี้ควรจะถอยออกไป เปิดโอกาสให้บุคคลที่ไม่อยู่ในแวดวงความขัดแย้ง เข้ามาทำหน้าที่แทนเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียทางการเมืองและความมั่นคงในอนาคต”

พปชร. ห่วงการเจรจา GBC ไร้ผล กัมพูชาไร้ความรับผิดชอบเก็บกู้วัตถุระเบิดที่วางไว้ จี้รัฐบาล เร่งดำเนินคดี “ฮุนเซน” ตามกฎหมายไทยและอาชญากรสงคราม

, ,

พปชร. ห่วงการเจรจา GBC ไร้ผล กัมพูชาไร้ความรับผิดชอบเก็บกู้วัตถุระเบิดที่วางไว้ จี้รัฐบาล เร่งดำเนินคดี “ฮุนเซน” ตามกฎหมายไทยและอาชญากรสงคราม

วันนี้ (8 ส.ค.68) พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า “ในการเจรจา GBC ที่ผ่านมา มีความเป็นห่วงในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นความจริงใจของประเทศกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ว่าจะมีการหยุดยิงจริงหรือไม่ เพราะที่ผ่านมากัมพูชารับปากอะไรไปแล้ว บิดพริ้วโดยตลอด และที่สำคัญ ข้อตกลง 2 ข้อ กัมพูชาไม่ยอมเอาลงในบันทึกการประชุม GBC ในครั้งนี้ คือความร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิด ที่ประเทศกัมพูชาได้นำไปวางไว้ในเขตพื้นที่ต่าง ๆ และการให้ความร่วมมือในการปราบปรามแก็งค์คอลเซนเตอร์ ซึ่งทั้งสองข้อนี้ มีผลกระทบต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก

อยากให้พี่น้องประชาชน และสื่อมวลชน จับตามองรัฐบาลในการเจรจาต่อไป และให้กำลังใจทหารขอให้ยืนยันการใช้มาตราส่วน 1:50,000 ซึ่งเป็นสากล และใช้ในทุกประเทศในปัจจุบันนี้ มากกว่า 1:200,000 ตามแนวทางที่ประเทศกัมพูชาต้องการ หากมีการยินยอมให้ใช้มาตราส่วน 1:200,000 ประเทศไทยอาจจะเสียพื้นที่ แผ่นดินไทยเหมือนกับที่เคยเสียดินแดนใกล้กับเขาพระวิหาร เมื่อปีพ.ศ. 2556

ในส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียชีวิต การได้รับบาดเจ็บของทหารและประชาชน ในการสู้รบในครั้งนี้ ความเสียหายของบ้านเรือนที่เกิดขึ้น ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการอพยพพี่น้องประชาชนในช่วงที่ผ่านมา ทางตระกูลฮุน และตระกูลชิน จะมีส่วนในการรับผิดชอบอย่างไร

การที่ น.ส.แพทองธารฯ นายกรัฐมนตรี เคยกล่าวแก้ตัวว่า การเจรจาส่วนตัวระหว่างลุงกับหลาน ‘ตัวเองไม่ได้อะไรและประเทศชาติก็ไม่เสียหายอะไร’ ตอนนี้ ท่านนายกฯ คงตระหนักดีแล้วว่า ประเทศชาติเสียหายอะไรบ้าง ทหาร และประชาชนเสียชีวิต ไปจำนวนเท่าไหร่ เกิดความเสียหายในภาพรวมของประเทศอย่างไร ซึ่งกรณีดังกล่าว ศาลรัฐธรรมนูญสามารถนำผลจากการเจรจาของ น.ส.แพทองธารฯ กับนายฮุนเซนฯ ที่เป็นต้นเหตุของปัญหา ไปเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้อย่างชัดเจน

ทางรัฐบาลต้องเป็นแกนกลาง ในการดำเนินคดีกับนายฮุนเซนฯ ในคดีอาญาของไทยและอาชญากรสงคราม พร้อมทั้งเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากนายฮุนเซนฯ และประเทศกัมพูชาโดยเร็ว นอกจากนี้ การเตรียมความพร้อมในการรองรับปัญหาแรงงานระดับล่าง เพื่อทดแทนแรงงานจากประเทศกัมพูชา โดยใช้แรงงานทดแทนจากเมียนมา บังคลาเทศ หรือประเทศอื่น ๆ มาทดแทน เพื่อไม่ให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจมีผลกระทบ ซึ่งในขณะนี้ทางกระทรวงแรงงานยังไม่ได้ดำเนินการอะไรเป็นรูปธรรมเลย”

“สถานการณ์ตามแนวชายแดน ไทยกัมพูชา เป็นเรื่องที่ผมให้ความสำคัญและติดตามมาโดยตลอด ผมขอแสดงความห่วงใยอย่างยิ่งต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่และขอให้มั่นใจว่าภาครัฐไม่ได้นิ่งนอนใจ”

, ,

“สถานการณ์ตามแนวชายแดน ไทยกัมพูชา เป็นเรื่องที่ผมให้ความสำคัญและติดตามมาโดยตลอด ผมขอแสดงความห่วงใยอย่างยิ่งต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่และขอให้มั่นใจว่าภาครัฐไม่ได้นิ่งนอนใจ”

“เจ้าหน้าที่ทุกคนได้ทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อรักษาความสงบและอธิปไตยของชาติ ผมขอขอบคุณและเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกท่านครับ ขอให้พวกเราทุกคนร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อปกป้องบ้านเมืองและรักษาความสงบสุขของประเทศไทยไว้ให้ได้ครับ”

พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้าพรรค พลังประชารัฐ กล่าวในงานวันคล้ายวันเกิดครบ80ปี

โดยภายในงาน มีส.ส. สมาชิก และคนในวงการการเมืองเข้าร่วมงานจำนวนมาก

พปชร.เร่งรัฐรับมือปัญหาจากแรงงานต่างชาติ

, ,

พปชร.เร่งรัฐรับมือปัญหาจากแรงงานต่างชาติ

วันนี้ 31 ก.ค.68 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าวเตือนให้รัฐบาลเตรียมเร่งรับมือปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดจากความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

นายธีระชัยกล่าวว่าสถานการณ์มีความไม่แน่นอนว่าความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจจะกลับสู่ปกติเมื่อใด รัฐบาลจึงควรประกาศแผนรองรับสำหรับภาคธุรกิจได้แล้ว โดยเน้นหาทางออกให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย ดังที่ตนเคยแถลงข่าวว่ารัฐบาลควรทบทวนการใช้งบประมาณ 157,000 ล้านบาท แทนที่จะทุ่มไปในการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบทั่วไป ควรกันส่วนหนึ่งมาเพื่อรองรับสถานการณ์นี้

”ภาคอุตสาหกรรมที่ถูกกระทบจากแรงงานกัมพูชากลับประเทศไปนั้น ส่วนใหญ่น่าจะมีความสามารถยืดหยุ่นโดยปรับขบวนการผลิต แต่ภาคเกษตรโดยเฉพาะธุรกิจที่อาศัยแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านในการเก็บผลไม้เป็นหลัก จะมีความเสี่ยงเกิดความเสียหายได้ง่าย รัฐบาลจึงต้องประกาศแผนรองรับแต่เนิ่นๆ“ นายธีระชัยกล่าว

พปชร. จี้รัฐบาลอย่าอ้ำอึ้ง เร่งฟ้องโลก “กัมพูชา” ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ซัดฝ่ายตรงข้ามปั่นข้อมูลใส่ร้ายไทย

, ,

พปชร. จี้รัฐบาลอย่าอ้ำอึ้ง เร่งฟ้องโลก “กัมพูชา” ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ซัดฝ่ายตรงข้ามปั่นข้อมูลใส่ร้ายไทย

วันนี้ 30 ก.ค. 68 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เรียกร้องรัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศ เร่งดำเนินการตอบโต้เชิงหลักการต่อกรณี “กัมพูชา” ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงในหลายพื้นที่ชายแดน พร้อมส่งหลักฐานแจ้งต่อเวทีโลก ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา จีน และประชาคมนานาชาติ

นายชัยวุฒิระบุว่า ขณะนี้รัฐบาลไทยที่นำโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี ยังขาดความชัดเจนและล่าช้าในการสื่อสารกับประชาคมโลก ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาเร่งเผยแพร่ข้อมูลฝ่ายเดียวเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริง เช่น กรณีประธานรัฐสภากัมพูชา ควน โซะดารี ที่ถึงขั้นสะอื้นกลางเวทีการประชุมรัฐสภาสตรีนานาชาติในเจนีวา กล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีและรุกรานกัมพูชา ทั้งที่ไม่เป็นความจริง

“เราจะปล่อยให้ประเทศอื่นเข้าใจผิด และทหารไทยที่เสียสละปกป้องแผ่นดินไม่มีความหมายไม่ได้ รัฐบาลต้องตอบโต้อย่างเด็ดขาด อย่าปล่อยให้กัมพูชาปั้นภาพฝ่ายเดียวบนเวทีโลก” นายชัยวุฒิกล่าว

นอกจากนี้ พรรคยังตั้งข้อสังเกตถึงการเคลื่อนไหวล่าสุดของกัมพูชา ที่เชิญผู้ช่วยทูตทหารจาก 13 ประเทศอาเซียนและชาติมหาอำนาจ ลงพื้นที่ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เพื่อสร้างภาพว่ากัมพูชาเคารพข้อตกลงหยุดยิง ทั้งที่ความจริงยังคงมีการกระทำที่ละเมิดสิทธิเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา
“รัฐบาลไทยต้องเร่งตั้งโต๊ะแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงให้ชัดเจน และดำเนินการฟ้องร้องในเวทีโลกทันที อย่าให้ประเทศไทยต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกต่อไป” พรรคพลังประชารัฐย้ำจุดยืน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เสนอ 4 แนวทางเร่งด่วนให้รัฐบาลรับมือวิกฤตชายแดนไทย–กัมพูชา

, ,

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เสนอ 4 แนวทางเร่งด่วนให้รัฐบาลรับมือวิกฤตชายแดนไทย–กัมพูชาอย่างเฉียบขาด

พร้อมเรียกร้องความชัดเจนจากรัฐบาลต่อประชาชน และผลักดันมาตรการถาวรป้องกันการรุกล้ำ ดังนี้

1.ยืนยันอธิปไตยไทยทุกตารางนิ้ว พร้อมตอบโต้เชิงการทูตและความมั่นคงทันที

2.เรียกร้องให้นายกฯ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง แถลงต่อรัฐสภาและประชาชนโดยตรง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น

3.จัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ตรวจสอบสถานการณ์ชายแดน และบทบาทนักการเมืองที่อาจขัดขวางการทำงานของฝ่ายความมั่นคง

4.เร่งสร้าง “กำแพงคอนกรีตถาวร” ในจุดเสี่ยง เพื่อป้องกันการรุกล้ำในระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรม

พล.อ.ประวิตร ย้ำ แผ่นดินไทยไม่ใช่พื้นที่ให้ใครรุกล้ำแล้วจากไปโดยไม่มีความรับผิดชอบ ชีวิตของทหารไทย และศักดิ์ศรีของชาติ ต้องได้รับการปกป้อง ไม่ใช่ถูกมองข้ามโดยฝ่ายการเมือง

พปชร.เรียกร้องทีมเจรจาใช้แผนที่ 1/50,000 เพื่อรักษาดินแดนไทยทุกตารางนิ้ว อย่าลืม “อธิปไตยต้องมาก่อนทุกแรงกดดัน”

, ,

พปชร.เรียกร้องทีมเจรจาใช้แผนที่ 1/50,000 เพื่อรักษาดินแดนไทยทุกตารางนิ้ว อย่าลืม “อธิปไตยต้องมาก่อนทุกแรงกดดัน”

วันที่ 28 ก.ค.68 นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แสดงจุดยืนชัดเจนต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา เรียกร้องให้รัฐบาลปกป้องผลประโยชน์ของชาติอย่างถึงที่สุด โดยย้ำว่าควร ยึดแผนที่มาตราส่วน 1/50,000 ซึ่งมีความชัดเจนกว่าแผนที่ที่กัมพูชาใช้ พร้อมเสนอให้ ยกเลิก MOU ฉบับที่ 43 และ 44 ซึ่งไม่เอื้อต่อไทย

นายสุรเดชระบุว่า พื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น ปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทตาเมือนธม และแนวชายแดนเสียมราฐ–พระตะบอง มีหลักฐานทางภูมิศาสตร์ที่ชัดเจนว่าเคยอยู่ในเขตแดนไทย จึงต้องปกป้องด้วยจุดยืนที่หนักแน่น ไม่ประนีประนอมในเรื่องอธิปไตย

รอง หน.พรรคพลังประชารัฐ กล่าวต่อว่า ตนกังวลต่อท่าทีของรัฐบาลในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ โดยเฉพาะกรณีลดภาษีนำเข้า ซึ่งไม่ควรถูกใช้เป็นเงื่อนไขในช่วงที่ประเทศเผชิญแรงกดดันด้านเขตแดน นายสุรเดชเสนอให้ เลื่อนเส้นตายการเจรจาทางการค้าออกไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพื่อแสดงให้เห็นว่าไทยให้ความสำคัญกับอธิปไตยเหนือผลประโยชน์ระยะสั้น

สำหรับภารกิจของทีมเจรจาที่เดินทางไปมาเลเซีย พรรคพลังประชารัฐสนับสนุนแนวทางสันติวิธี แต่ขอเน้นว่า ทุกกระบวนการต้องตั้งอยู่บนหลักอธิปไตยของไทยเป็นหลัก

“พรรคพลังประชารัฐขอยืนเคียงข้างประชาชนในการปกป้องแผ่นดินไทย และพร้อมสนับสนุนทุกแนวทางที่ยึดมั่นใน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างไม่ประนีประนอม” นายสุรเดชกล่าว

สส.ตรีนุช ห่วงใยเยาวชน เสริมทักษะ สร้างภูมิคุ้มกัน ต้านข่าวปลอม ป้องกันถูกหลอกเป็นเหยื่อ

,

สส.ตรีนุช ห่วงใยเยาวชน เสริมทักษะ สร้างภูมิคุ้มกัน ต้านข่าวปลอม ป้องกันถูกหลอกเป็นเหยื่อ

“สส.ตรีนุช”นำ กมธ.การสื่อสาร สภาฯเปิดสัมมนา”รู้ไว้ได้ประโยชน์ โทษของ Fake News เช็คให้ชัวร์ ก่อนแชร์“ควรรู้เท่าทันสื่อโลกออนไลน์

นางสาวตรีนุช เทียนทอง สส.สระแก้ว เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการสื่อสารโทรคมนาคมและดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สภาผู้แทนราษฎรเปิดเผยว่า ตนมีโอกาสได้พูดคุยกับน้องๆ นักเรียน นักศึกษาในงานสัมมนา “รู้ไว้ได้ประโยชน์ โทษของ Fake News เช็คให้ชัวร์ ก่อนแชร์ต้องแน่ใจ และใช้สื่อออนไลน์อย่างมีสติ” ณ หอประชุมร่วมใจพัฒน์ วิทยาลัยเทคนิคสระแก้ว

โดยการสัมมนาครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับภัยจากข่าวปลอม (Fake News) บนโลกออนไลน์ อันอาจก่อให้เกิดผลกระทบล่อลวงเยาวชนและประชาชน เป็นเครื่องมือ สร้างกระทบทั้งในด้านสังคมและกฎหมาย พร้อมทั้งปลูกฝังทักษะในการตรวจสอบข้อมูลก่อนเผยแพร่ และส่งเสริมการใช้สื่อออนไลน์อย่างมีวิจารณญาณและรับผิดชอบ พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และวิธีการป้องกันตนเองจากการเป็นทั้งผู้เผยแพร่และเหยื่อของข่าวปลอม ซึ่งได้รับความร่วมมือจากตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรม (บก.ปอท.) มาร่วมเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้ด้วย

“ในยุคของข้อมูลข่าวสารนี้ การรู้เท่าทันสื่อเป็นทักษะสำคัญที่เยาวชนและประชาชนทุกคนควรมี โดยเฉพาะการตระหนักถึงผลกระทบของข่าวปลอมที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในโลกออนไลน์ เชื่อมั่นว่าการสร้างภูมิคุ้มกันด้านข้อมูลข่าวสารผ่านกิจกรรมการเรียนรู้เช่นนี้ จะช่วยให้เยาวชนชาวสระแก้วรู้จักคิดวิเคราะห์ แยกแยะข้อเท็จจริงจากข้อมูลเท็จ และใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างสร้างสรรค์และปลอดภัย”นางสาวตรีนุช กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 พฤษภาคม 2568

”พล.อ.ประวิตร“ ชูจุดยืนพรรคอนุรักษ์นิยมทันสมัย  ผ่านงานทำพื้นที่ “รองสุรเดช” จ.น่าน  เร่งเจาะข้อมูลปัญหา ปชช

,

”พล.อ.ประวิตร“ ชูจุดยืนพรรคอนุรักษ์นิยมทันสมัย  ผ่านงานทำพื้นที่ “รองสุรเดช” จ.น่าน  เร่งเจาะข้อมูลปัญหา ปชช

”พล.อ.ประวิตร“ รอเก็บข้อมูลปัญหา พี่น้องชาวน่าน   หลังรองหัวหน้า พปชร. ลงพื้นที่ รับฟัง ปชช.เชิงลึก รวบรวมทุกประเด็น  ส่งต่อ สส.ใช้กลไกพรรคแก้ไขให้ตรงจุด      ผ่าน  การทำงาน พรรค อนุรักษ์นิยมทันสมัย เข้าถึงทุกคน

นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า ตนได้ลงพื้นที่บ้านปัวชัย ตำบลฝายแก้ว อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน เพื่อพบปะและรับฟังพี่น้องประชาชนถึงความต้องการและปัญหาต่าง ๆ ตามแนวทางของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค  เพื่อรวบรวมข้อมูลที่ได้ส่งต่อให้ สส.ของพรรคนำไปผลักดันโดยอาศัยกลไกของพรรคพลังประชารัฐ และสามารถนำไปต่อยอดเป็นนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้

“พรรคให้ความสำคัญกับพื้นที่ภาคเหนืออย่างยิ่ง และมีนโยบายเตรียมพร้อมเลือกตั้งเสมอ ไม่ว่าจะเกิดการยุบสภา หรือหมดวาระตามปกติ โดยเน้นการส่งผู้สมัครฯ ที่มีศักยภาพและเข้าใจปัญหาในแต่ละพื้นที่อย่างแท้จริง จากการลงพื้นที่พบประชาชนมีปัญหาค่าครองชีพ และพืชผลการเกษตรตกต่ำ รวมถึงปัญหาต่างๆที่ต้องได้รับการแก้ไข ”

นายสุรเดช กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนและพรรคให้ความสำคัญเรื่องของประชาชน เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่า พรรคมีความพร้อมทุกเมื่อที่ประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลง ยังมั่นคงไม่หวั่นแม้เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล เพราะพรรคยังมีคนเก่งมีความสามารถที่ผ่านการบริหารประเทศอีกหลายท่าน รวมทั้งยังมีผู้ที่สนใจเข้ามาทำงานในอุดมการณ์เดียวกับพรรคเป็นจำนวนมากที่พร้อมชูจุดยืนของพรรคฯ อนุรักษ์นิยมทันสมัย ยึดมั่นในการปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สืบสานวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และค่านิยมอันดีงามของชาติ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 พฤษภาคม 2568

”พล.อ.ประวิตร“ ส่ง รองสุรเดช  ลุย พื้นที่รับ ฟังความเดือดร้อนปชช.  ดัน นโยบาย ดูแลเด็ก-สตรี-คนชรา ทั่วถึง

,

”พล.อ.ประวิตร“ ส่ง รองสุรเดช  ลุย พื้นที่รับ ฟังความเดือดร้อนปชช.  ดัน นโยบาย ดูแลเด็ก-สตรี-คนชรา ทั่วถึง

“พล.อ.ประวิตร”มอบภาระกิจ รองหัวหน้า พปชร.ลุยรับฟังปัญหาเกษตรกรภาคเหนือ ชู นโยบายจูงใจ เด็ก-สตรี-คนชรา

 เมื่อวันที่ 23 พ.ค.นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ  หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้มอบหมายให้เดินสายรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ จังหวัดน่าน ลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่ โดยพูดคุยกับเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน กลุ่มแปรรูปลำไยสีทอง ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่ก็มีความกังวลกับราคาลำไย และอยากจะให้ พปชร.ช่วยผลักดันด้านราคา และหาตลาดแหล่งใหม่ให้กับกลุ่มวิสาหกิจและเกษตรกร ในการส่งออกสู่ต่างประเทศ ตนจึงจะได้รับเรื่องไว้และจะส่งต่อให้กับ สส.ของพรรคผลักดันและขับเคลื่อนหาทางแก้ไขปัญหา รวมถึงในด้านกฎหมายที่เกี่ยวกับลำไย

 นายสุรเดช กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐ ได้มีการเตรียมพร้อมในการคัดสรรผู้สมัครเพื่อลงสู้ศึกเลือกตั้งในอนาคต เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของพรรคในการเตรียมการเลือกตั้งครั้งต่อไป  ซึ่งจะมีขึ้นอีกปีกว่าๆ หรืออาจจะเร็วกว่านั้น หากสถานการณ์การเมืองมีการเปลี่ยนแปลง แต่ในฐานะที่ตนเคยเป็น สส.มาก่อน คงไม่มีใครอยากให้มีการยุบสภา ก็ต้องยื้อให้นานที่สุดเราเคยเป็นรัฐบาลมาก่อน เรามีประสบการณ์ แต่ถ้าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริง ๆ การเตรียมความพร้อมไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย

 “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตั้งเป้าหมายปักธงไว้ทุกจังหวัดอยู่แล้วโดยหลังการเลือกตั้ง เราพร้อมจะร่วมรัฐบาลกับพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์เดียวกัน หากความคิดเห็นและนโยบายไม่ตรงกัน เราก็ไม่เอา เช่น เรื่องของกาสิโนเราไม่เอาเลย ยืนยันชัดเจน“

 นายสุรเดช ยังกล่าวถึงนโยบายที่จะใช้ในการหาเสียงครั้งหน้าว่า พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายดีๆ หลายเรื่อง เช่น ด้านการศึกษาที่จะให้เยาวชน และผู้สูงวัย  นโยบายส่งเสริมสุภาพสตรีที่ตั้งครรภ์ รวมทั้งปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร หากพรรคได้เป็นรัฐบาล เราก็พร้อมแก้ปัญหาให้พี่น้องเกษตรกรในเรื่องของพืชผลได้ เรื่องนี้เราทำเป็น ทำได้เพราะเรามองปัญหาออก

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 23 พฤษภาคม 2568

โฆษก พปชร. งงคำตอบ รองนายกฯ แจงภาระกิจนายก ไปอังกฤษ วาระชาติใช้เงินหลวงหรือส่วนตัว หมายเดินทางไม่ชัด

,

โฆษก พปชร. งงคำตอบ รองนายกฯ แจงภาระกิจนายก ไปอังกฤษ วาระชาติใช้เงินหลวงหรือส่วนตัว หมายเดินทางไม่ชัด

วันนี้ (23พ.ค.2568) พลตำรวจโทปิยะ ต๊ะวิชัย  โฆษก พปชร.       กล่าวว่า  “ตนเองและประชาชนรู้สึก งง  ท่านรองนายกฯ ไม่เข้าใจคำถามหรือตอบคำถามไม่ได้ กรณีที่พี่น้องประชาชนเกิดความสงสัยว่า น.ส. แพทองทาน ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  เดินทางไปประเทศอังกฤษ  โดยใช้งบประมาณของทางราชการ  และไม่เปิดเผยรายละเอียดกำหนดการ และรายละเอียดการเดินทาง ว่าไปติดต่อราชการกับหน่วยงานใด  เรื่องอะไร  มีรายละเอียดอย่างไร  และเกิดประโยชน์กับทางประเทศชาติและประชาชนอย่างไร  ได้แต่ตอบเพียงว่า  ท่านนายกฯ รวยล้นฟ้า  มีเงินมากมาย ไม่เอางบประมาณหลวงไปเที่ยวส่วนตัวเพียงเท่านั้น ”

       “ พี่น้องประชาชนมีความสงสัยว่า หาก ท่านนายกฯไปด้วยภารกิจส่วนตัว  ทำไมจึงต้องใช้งบประมาณของพี่น้องประชาชนไปใช้ในการเดินทางด้วย  แต่ถ้าเดินทางไปราชการจริง ก็ไม่ยากที่จะแสดงกำหนดการ  รายละเอียดการเดินทาง  ผู้ร่วมคณะการเดินทาง งบประมาณที่ใช้เป็นจำนวนเท่าใด     วัตถุประสงค์การเดินทางว่าเกิดประโยชน์กับประเทศชาติเพียงใด  คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือไม่   เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พี่น้องประชาชนประชาชนอยากจะรู้  เพราะท่านนายกฯ ถือเป็นคนสาธารณะ อาสามาทำงานให้บ้านเมือง และกรณีดังกล่าว ใช้งบงบประมาณของราชการ ซึ่งเป็นภาษีของพี่น้องประชาชน  ในขณะที่  ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้  สวนดุสิตโพล ระบุชัดเจนว่า เศรษฐกิจไทยดิ่งลงอย่างมาก คนไทยครึ่งประเทศ “ไม่มีเงินสำรอง” 48.32% อยู่ไม่ถึง 1 เดือนถ้าตกงาน  อีก 35.24% อยู่ได้แค่ 1-3 เดือน   ร้านอาหารทยอยปิดเป็นรายวัน  ประชาชนตกงาน  โรงงานอุตสาหกรรมย้ายฐานการผลิต  อันนี้เป็นข้อเท็จจริงของประเทศ  ขณะเดียวกัน ท่านนายกฯ กลับใช้เงินภาษีของพี่น้องประชาชน  ไปต่างประเทศโดย ไม่แจ้งรายละเอียด  ทำให้พี่น้องประชาชนสงสัย  ในทำนองเดียวกัน  ถ้าอยากไปส่วนตัวเพื่อไปพบใครบางคน ก็ควรใช้เงินส่วนตัวไม่ใช่เงินงบประมาณของประชาชน เมื่อใช้เงินส่วนตัว ก็ไม่มีใครสนใจเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว  ที่สำคัญ พี่น้องประชาชนก็ไม่ได้สนใจว่า ท่านนายกฯ จะรวยล้นฟ้า แค่ไหน ขณะที่พี่น้องประชาชนกำลังอดอยากตกงานอยู่“

           ” พี่น้องประชาชนหลายท่าน  สงสัยตรรกะให้ในการตอบคำถามของท่านรองนายกฯ โดยเฉพาะคำถาม ที่ประชาชนและฝ่ายค้านสงสัย เช่น MOU44 มีความเสี่ยงให้ประเทศไทยสูญเสียดินแดนหรืออาณาเขตประเทศไทยหรือไม่  ท่านก็ตอบอย่างชัดเจนว่า  เกาะกูดยังเป็นของไทย  แต่พื้นน้ำรอบๆเกาะกูด เป็นพื้นที่ใช้ร่วมกัน  ซึ่งพี่น้องประชาชน งงมาก อยู่ดีๆ พื้นน้ำที่รอบเกาะกูด 12 ไมล์ทะเล ตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงประกาศอาณาเขตไว้ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อปีพ.ศ. 2516 เป็นอาณาเขตพื้นน้ำของ ประเทศไทยแท้ๆ ท่านรองนายกฯ กลับบอกว่า เป็นพื้นที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน   หรือพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ก็เป็นอาณาเขตประเทศไทยเช่นเดียวกัน  แต่ท่านกลับ สั่งถอนทหารไทยออกจากพื้นที่อาณาเขตของประเทศไทยและ ยินยอมให้ ทหารต่างชาติ เข้ามาประจำในเขตพื้นที่ประเทศไทย  โดยบอกว่าเป็นความสัมพันธ์อันดี  หรือในกรณี มีรถBMWเฉี่ยวชน บนทางด่วนและคู่กรณีฝ่ายหนึ่งประกาศลั่นกลางสถานีตำรวจทางหลวง  ว่าเป็นญาติของนายตำรวจใหญ่  และอดีตนายกฯ ท่านหนึ่งไปร่วมงานบวช คนเขาเห็นคลิป กันทั้งประเทศ  ท่านยังบอกว่า ไม่เกี่ยวกัน เป็นการจับแพะชนแกะ  คนเชิญ ไปงานบวช อาจจะเชิญ สุ่มๆ มั่วๆ แต่คนตอบรับ และไปเป็นประธานฯให้  ไม่ใช่แค่ไปคนเดียว กลับมาพาลูกสาวไปด้วย  คนที่เป็นคนเชิญต้องมีความสำคัญจริงๆ ถึงยอมสละเวลาไปเป็นประธานงานบวช ขณะที่ขอเลื่อนการรายงานตัวต่อพนักงานอัยการ ในคดีอาญา มาตรา 112   พี่น้องประชาชน  งงว่า ท่านรองนายกฯ ไม่เข้าใจคำถามหรือตอบคำถามไม่ได้กันแน่”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 23 พฤษภาคม 2568

พปชร.วอนรัฐ เร่งด่วน ปาล์มล้นตลาด ราคาดิ่งเหลือ 4 บาท

,

พปชร.วอนรัฐ เร่งด่วน ปาล์มล้นตลาด ราคาดิ่งเหลือ 4 บาท

ลานเทซื้อไม่ไหว โรงงานไม่รับ เกษตรกรช้ำหนัก พปชร.ขอรัฐเร่งช่วยชาวสวนปาล์ม หาทางออกฉุกเฉิน ก่อนพังทั้งระบบ

เมื่อวันที่ 23 พ.ค.68 นายสุธรรม จริตงาม ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 6 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เผยหลังลงพื้นที่พบปะเกษตรกรและผู้ประกอบการลานเทรับซื้อปาล์มน้ำมันในพื้นที่ ว่าตอนนี้ชาวสวนปาล์มกำลังเผชิญวิกฤตหนักจาก “ราคาปาล์มสดร่วงเหลือแค่ 4 บาทต่อกิโล” และยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง

สาเหตุหลักมาจากผลผลิตล้นตลาด ลานเทไม่สามารถรับซื้อได้ทั้งหมดเพราะโรงงานไม่รับของ หากชะลอการตัด ปาล์มน้ำหนักลด เกษตรกรก็ขาดทุน แต่หากลานเทรับไว้แล้วขายต่อช้า ก็เจอขาดทุนเช่นกัน สุดท้ายโรงงานกลับได้เปรียบที่สุดในระบบ

นายสุธรรม ระบุว่า ตนเตรียมนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการการเกษตร สภาผู้แทนราษฎร พร้อมผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจง และร่วมกันวางแนวทางแก้ไข ทั้งระยะสั้นและระยะยาว

“ตอนนี้พี่น้องชาวสวนปาล์มลำบากกันจริงๆ ราคาตกต่ำสุดในรอบหลายปี ขอวิงวอนกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ ช่วยเร่งหาทางออกฉุกเฉิน อย่าปล่อยให้เกษตรกรต้องล้มทั้งยืน” นายสุธรรม กล่าว

#ราคาปาล์มตก #ชาวสวนปาล์ม #เดือดร้อนเกษตรกร #ปาล์มล้นตลาด #ช่วยชาวสวนด่วน #พปชร #เกษตรกรไทย #วิกฤตปาล์ม #ข่าวการเมือง #ข่าวเศรษฐกิจ #สภาผู้แทนราษฎร

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 23 พฤษภาคม 2568