โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: ข่าวกิจกรรมพรรค

พปชร.ประกาศความเหนียวแน่น พร้อมศึกเลือกตั้งครั้งหน้า มั่นใจกวาดได้เกิน 150 คน

,

พปชร. ประกาศความเหนียวแน่นเตรียมพร้อมศึกเลือกตั้งครั้งหน้า มั่นใจกวาดส.ส. ได้เกิน 150 คน

ส.ส.ดร.พัชรินทร์ เผย พล.อ. ประวิตร ย้ำในที่ประชุมพรรค พปชร.เป็นหนึ่งเดียว เหนียวแน่น เป็นสถาบันการเมืองที่เข้มแข็ง แต่งตั้ง “สันติ” รักษาการเลขาธิการพรรคฯ และ “สุรสิทธิ์”รักษาการนายทะเบียนพรรค แทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้ง “สุชาติ” รักษาการ ผอ.พรรค และ “ชัยวุฒิ” รักษาการนั่งรองหัวหน้าพรรค จนกว่าจะมีการประชุมสามัญประจำปี เตรียมลุยสนามเลือกตั้งครั้งหน้า สั่งลงพื้นที่รับฟังเสียงสะท้อนประชาชน กำหนดเป็นนโยบายพรรค ดูแลผลประโยชน์ประชาชนทุกกลุ่ม มั่นใจทำได้เกิน 150 เสียง

วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ ถนนรัชดา ส.ส.ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ กทม.เขต2 ในฐานะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร. ) เปิดเผยว่าในวันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นประธานการประชุมพรรค โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) เข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก ซึ่งที่ประชุมได้แต่งตั้งกรรมการบริหารพรรครักษาการ 2 ตำแหน่งที่ว่างลง โดยให้นายสันติ พร้อมพัฒน์ ดำรงตำแหน่ง รักษาการเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ และ นายสุรสิทธิ์ นิธิวุฒิวรรักษ์ รักษาการตำแหน่งนายทะเบียนพรรค ไปจนกว่าจะมีการประชุมพรรคสามัญประจำปีของพรรค พร้อมกับการแต่งตั้ง นายสุชาติ ชมกลิ่น เป็นรักษาการผู้อำนวยการพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมนุสรณ์ เป็นรักษาการรองหัวหน้าพรรค เพื่อให้การบริหารงานพรรคสามารถขับเคลื่อนการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการหารือการเตรียมการเลือกตั้ง ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผ่านโครงสร้างทั้ง 10 ภาค และยังให้ส.ส. ของพรรค ทำหน้าหน้าที่ในพื้นที่ที่จะรับฟังปัญหาพี่น้องประชาชนเพื่อให้สะท้อนประเด็นต่างๆ ที่ประชาชนมีความต้องการในครั้งถัดไป เพื่อนำมาสู่การเตรียมความพร้อมการกำหนดนโยบายในแต่ละพื้นที่ และผลักดันให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง รวมทั้งการทำหน้าที่ในสภาในด้านต่างๆ อย่างเต็มที่ มั่นใจว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า พปชร. จะได้รับเลือกตั้ง ส.ส.เข้าสู่สภาฯ ไม่น้อยกว่า 150 เสียง

ทั้งนี้ในการประชุมครั้งนี้ หัวหน้าพรรค ยังได้ย้ำว่า พรรคพลังประชารัฐยังมีคงมีความเหนียวแน่น มีความกลมเกลียวและยังคงที่จะมุ่งมั่นทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน เพื่อสถาบัน เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ยังคงให้พรรคเป็นสถาบันการเมืองที่เข้มแข็งต่อไป ขณะเดียวกันทางหัวหน้าพรรคฯ ยังได้เปิดรับฟังข้อเสนอแนะจากสมาชิกทุกๆคน เพื่อให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นในที่ประชุมในประเด็นต่างๆ

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 7 กุมภาพันธ์ 2565

“พล.อ.ประวิตร” เดินหน้าโครงการบำบัดน้ำเสียมีนบุรี ฟื้นฟูน้ำใสคลองแสนแสบ

,

“พล.อ.ประวิตร” เดินหน้าโครงการบำบัดน้ำเสียมีนบุรี ฟื้นฟูน้ำใสคลองแสนแสบ ยกระดับคุณภาพชีวิต ปชช.

เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหาร พัฒนา อนุรักษ์ และฟื้นฟูคลองแสนแสบ ครั้งที่ 1/2565 โดยมี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าตามที่มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการของแผนหลักการพัฒนาฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 จำนวน 84 โครงการ ดำเนินงานโดย 8 หน่วยงาน ได้แก่ กทม.กรมโรงงานอุตสาหกรรม องค์การจัดการน้ำเสีย กรมควบคุมมลพิษ กรมเจ้าท่า กรมชลประทาน กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และจังหวัดฉะเชิงเทรา ดำเนินการใน 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเร่งด่วน (ปี64) ระยะกลาง (ปี65–70) และระยะยาว (ปี71–74)

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ที่ประชุมได้ติดตามและเร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามแผน รวมถึงโครงการบำบัดน้ำเสียมีนบุรีที่อยู่ในแผนระยะเร่งด่วน เป็นโครงการที่บรรจุไว้ในแผนการในการแก้ไขปัญหาและบำบัดน้ำเน่าเสียในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร แบ่งการดำเนินโครงการเป็น 2 ระยะ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ระยะที่ 1 ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 4.43 ตารางกิโลเมตร จะรับน้ำเสียในพื้นที่ส่วนใหญ่ของเขตมีนบุรี และพื้นที่บางส่วนของเขตคลองสามวา เขตสะพานสูง และเขตคันนายาว คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 โดยจะสามารถบำบัดน้ำเสียได้ 10,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน

ดังนั้น เพื่อให้ระบบบำบัดน้ำเสียมีนบุรีทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและฟื้นฟูคุณภาพน้ำคลองแสนแสบและคลองสาขาได้กลับมาดีขึ้น ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบโครงการบำบัดน้ำเสียมีนบุรีในระยะที่ 2 ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (ปี66-69) เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียในคลองต่างๆ ในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร เช่น คลองแสนแสบ คลองสามวา และคลองสองต้นนุ่น ในเขตมีนบุรี เขตคลองสามวา เขตคันนายาว และเขตสะพานสูง ครอบคลุมพื้นที่ 15.39 ตารางกิโลเมตร ซึ่งจะช่วยบำบัดน้ำเสียได้ 42,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน โดยจะเสนอต่อคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญและคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ต่อไป

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า จากที่ ได้รับรายงานจากทุกหน่วยงาน ในวันนี้ จะเห็นได้ว่า การดำเนินงานทุกกิจกรรมมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงมีปัญหาอุปสรรค ในอีกหลายจุดที่ต้องเร่งแก้ไข เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ ตามแผนที่ได้วางไว้ อย่างต่อเนื่องขอฝากให้ทุกหน่วยงาน ร่วมมือ ร่วมใจ ดำเนินการอย่างจริงจังตลอดจน เร่งประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้กับประชาชน เพื่อให้คลองแสนแสบแห่งนี้ เป็นต้นแบบการพัฒนาของคลองอื่นๆ ต่อไป

เมื่อโครงการบำบัดน้ำเสียมีนบุรี ทั้งระยะที่ 1 และระยะที่ 2 แล้วเสร็จสมบูรณ์ จะทำให้กรุงเทพมหานครมีระบบรวบรวมน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสียที่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ก่อนระบายลงคลองแสนแสบ และน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วจะสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ อีกทั้งยังช่วยทำให้คลองสายหลักที่สำคัญ ได้แก่ คลองแสนแสบ รวมทั้งคลองสาขาในพื้นที่บริการน้ำเสีย มีคุณภาพน้ำที่ดีขึ้น ลดปัญหาน้ำเน่าเสียและกลิ่นเหม็น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงปัญหาด้านสุขภาพของประชาชนต่อการป่วยเป็นโรคระบบทางเดินอาหาร โรคผิวหนัง และโรคระบาดทางน้ำอื่นๆ อีกด้วย

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 7 กุมภาพันธ์ 2565

“พล.อ.ประวิตร” ช่วยเกษตรกรชาวสวนปาล์มเร่งพัฒนา 8 ผลิตภัณฑ์

,

“พล.อ.ประวิตร” ช่วยเกษตรกรชาวสวนปาล์มเร่งพัฒนา 8 ผลิตภัณฑ์ เพิ่มมูลค่าปาล์มน้ำมันด้วยนวัตกรรมไบโอแก้ปัญหาราคาระยะยาว

วันนี้ (4 ก.พ.65) เวลา 10.30 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ 1/2565 ผ่านระบบประชุมทางไกล (Video Conference) โดยที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มในประเทศและตลาดโลก ที่ได้รับผลกระทบจากแนวโน้มราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และไบโอดีเซล (B100) ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยกระทรวงพลังงานได้รายงานผลการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 65 เห็นชอบให้ปรับลดสูตรผสมน้ำมันไบโอดีเซล (B100) จากปัจจุบันมี B7 เกรดเดียว ให้เป็น B5 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. – 31 มี.ค. 65 โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการต่างๆ รองรับฤดูกาลปาล์มที่จะออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ดังนี้

โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2564 -2565 โดยกำหนดราคาเป้าหมายผลปาล์มทะลาย (อัตราน้ำมัน 18%) ณ หน้าโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม กิโลกรัมละ 4.00 บาท ใช้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 2,774 กิโลกรัม วงเงิน 7,660.00 ล้านบาท

โครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี 2565 โดยจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการสำหรับการส่งออกเฉพาะน้ำมันปาล์มดิบ (Crude Palm Oil : CPO) ในอัตรา ไม่เกิน 2.00 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อระดับสต็อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่า 300,000 ตัน และราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลก

มาตรการและแนวทางขับเคลื่อนการเพิ่มมูลค่าปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม กำหนดผลิตภัณฑ์เป้าหมายทั้งหมด 8 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1) ผลิตภัณฑ์สารหล่อลื่นพื้นฐาน (Base oil) 2) น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ (Bio-Transformer oil) 3) สารซักล้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (สารตั้งต้น MES : Methyl Ester Sulfonate) 4) น้ำมันหล่อลื่น และจาระบีชีวภาพ (Bio Lubricant and Greases) 5) พาราฟิน (Paraffin) 6) สารกำจัดศัตรูพืช/แมลง (Pesticides/Insecticides) 7) น้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ กรีนดีเซล (Bio Hydrogenated Diesel: BHD) และ น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ ไบโอเจ็ต (Biojet fuels)

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า กนป. ยังคงดำเนินนโยบายและมาตรการเดิมทุกประการที่ขับเคลื่อนมาตั้งแต่ปี 62 ถือว่าประสบความสำเร็จทำให้ปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย ดันราคาปาล์มทะลายเฉลี่ยทั้งปีจาก กก.ละ 3.05 บาท ในปี 2562 เพิ่มเป็น 4.78 บาทในปี 63 และสูงถึง 6.66 บาทในปี 2564 สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ชาวสวนปาล์มเพิ่มขึ้นจาก 5 หมื่นล้านบาท จนทะลุแสนล้านบาทเมื่อปีที่ผ่านมา ตามโครงสร้างราคาจึงทำให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบและแบบบรรจุขวด รวมทั้งไบโอดีเซลมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย จึงจำเป็นต้องออกมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงฤดูปาล์มที่ออกสู่ตลาดน้อยระยะสั้นๆ คาดว่าในปีนี้ ราคาปาล์มทะลายจะยังอยู่ในเกณฑ์ดีสูงกว่า กก.ละ 5 บาท โดยเฉลี่ย

ทั้งนี้ จากรายงานของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ระบุว่า ปี 2564 ไทยมีผลผลิตปาล์มน้ำมัน 16.79 ล้านตัน คิดเป็นผลผลิตในรูปน้ำมันปาล์มดิบ ประมาณ 3.17 ล้านตัน ในขณะที่มีความต้องการใช้ 3.00 ล้านตัน (การใช้ในประเทศ 2.38 ล้านตัน และการส่งออก 0.62 ล้านตัน) ทำให้ ณ สิ้นปี 2564 มีสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ 0.17 ล้านตัน ส่งผลทำให้ราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มปรับตัวเพิ่มขึ้น

สำหรับราคาปาล์มดิบล่าสุด ในเดือนม.ค.2565 ราคาปาล์มทะลายเฉลี่ย กก. 10.49 บาท ราคาน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ย กก.ละ 54.27 บาท ส่วนราคาตลาดมาเลเซีย ตันละ 5,628 ริงกิต หรือ คิดเป็น กก. ละ 45.31 บาท โดยมีสต๊อก ณ สิ้นเดือน ม.ค.นี้ อยู่ที่ 1.31 แสนตัน หากปี 2565 ผลผลิตสูงขึ้นตามคาดการณ์ของ สศก. ขณะเดียวกันความต้องการใช้ภายในประเทศมีแนวโน้มลดลงจากสัดส่วนของไบโอดีเซล จำเป็นต้องอาศัยการส่งออกให้ได้ 5 แสนตัน เพื่อดูดซับสต็อกส่วนเกินที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มาตรการต่างๆ ที่ กนป. เห็นชอบในครั้งนี้ยังคงเป็นกลไกสำคัญที่ต้องดำเนินการไปพร้อมๆ กันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการเพิ่มมูลค่า 8 ผลิตภัณฑ์เป้าหมาย ซึ่งจะเป็นทางออกที่ยั่งยืนในอนาคต คาดว่านโยบายและมาตรการของ พล.อ.ประวิตร ประธาน กนป. รวมทั้ง การบริหารจัดการเชิงบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงาน จะส่งผลให้ราคาปาล์มทะลายโดยเฉลี่ยทั้งปี 2565 อยู่ที่ กก.ละ 6-8 บาท สูงกว่าต้นทุนที่แท้จริง (กก.ละ 3.50 – 4.0 บาท) ของเกษตรกรชาวสวนปาล์ม รวมทั้ง ผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันทุกชนิด น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์บรรจุขวด ไบโอดีเซล (บี 100) อยู่ในระดับราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย สำหรับผู้บริโภค พลังงานทดแทน และส่งออก เพื่อผลักดันให้ปาล์มน้ำมันคงความเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคตของไทยอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 4 กุมภาพันธ์ 2565

“พล.อ.ประวิตร” ช่วยเกษตรกรชาวสวนปาล์มเร่งพัฒนา 8 ผลิตภัณฑ์

,

“พล.อ.ประวิตร” ช่วยเกษตรกรชาวสวนปาล์มเร่งพัฒนา 8 ผลิตภัณฑ์ เพิ่มมูลค่าปาล์มน้ำมันด้วยนวัตกรรมไบโอแก้ปัญหาราคาระยะยาว

วันนี้ (4 ก.พ.65) เวลา 10.30 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ 1/2565 ผ่านระบบประชุมทางไกล (Video Conference) โดยที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มในประเทศและตลาดโลก ที่ได้รับผลกระทบจากแนวโน้มราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และไบโอดีเซล (B100) ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยกระทรวงพลังงานได้รายงานผลการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 65 เห็นชอบให้ปรับลดสูตรผสมน้ำมันไบโอดีเซล (B100) จากปัจจุบันมี B7 เกรดเดียว ให้เป็น B5 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. – 31 มี.ค. 65 โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการต่างๆ รองรับฤดูกาลปาล์มที่จะออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ดังนี้

โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2564 -2565 โดยกำหนดราคาเป้าหมายผลปาล์มทะลาย (อัตราน้ำมัน 18%) ณ หน้าโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม กิโลกรัมละ 4.00 บาท ใช้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 2,774 กิโลกรัม วงเงิน 7,660.00 ล้านบาท

โครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี 2565 โดยจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการสำหรับการส่งออกเฉพาะน้ำมันปาล์มดิบ (Crude Palm Oil : CPO) ในอัตรา ไม่เกิน 2.00 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อระดับสต็อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่า 300,000 ตัน และราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลก

มาตรการและแนวทางขับเคลื่อนการเพิ่มมูลค่าปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม กำหนดผลิตภัณฑ์เป้าหมายทั้งหมด 8 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1) ผลิตภัณฑ์สารหล่อลื่นพื้นฐาน (Base oil) 2) น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ (Bio-Transformer oil) 3) สารซักล้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (สารตั้งต้น MES : Methyl Ester Sulfonate) 4) น้ำมันหล่อลื่น และจาระบีชีวภาพ (Bio Lubricant and Greases) 5) พาราฟิน (Paraffin) 6) สารกำจัดศัตรูพืช/แมลง (Pesticides/Insecticides) 7) น้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ กรีนดีเซล (Bio Hydrogenated Diesel: BHD) และ น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ ไบโอเจ็ต (Biojet fuels)

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า กนป. ยังคงดำเนินนโยบายและมาตรการเดิมทุกประการที่ขับเคลื่อนมาตั้งแต่ปี 62 ถือว่าประสบความสำเร็จทำให้ปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย ดันราคาปาล์มทะลายเฉลี่ยทั้งปีจาก กก.ละ 3.05 บาท ในปี 2562 เพิ่มเป็น 4.78 บาทในปี 63 และสูงถึง 6.66 บาทในปี 2564 สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ชาวสวนปาล์มเพิ่มขึ้นจาก 5 หมื่นล้านบาท จนทะลุแสนล้านบาทเมื่อปีที่ผ่านมา ตามโครงสร้างราคาจึงทำให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบและแบบบรรจุขวด รวมทั้งไบโอดีเซลมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย จึงจำเป็นต้องออกมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงฤดูปาล์มที่ออกสู่ตลาดน้อยระยะสั้นๆ คาดว่าในปีนี้ ราคาปาล์มทะลายจะยังอยู่ในเกณฑ์ดีสูงกว่า กก.ละ 5 บาท โดยเฉลี่ย

ทั้งนี้ จากรายงานของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ระบุว่า ปี 2564 ไทยมีผลผลิตปาล์มน้ำมัน 16.79 ล้านตัน คิดเป็นผลผลิตในรูปน้ำมันปาล์มดิบ ประมาณ 3.17 ล้านตัน ในขณะที่มีความต้องการใช้ 3.00 ล้านตัน (การใช้ในประเทศ 2.38 ล้านตัน และการส่งออก 0.62 ล้านตัน) ทำให้ ณ สิ้นปี 2564 มีสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ 0.17 ล้านตัน ส่งผลทำให้ราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มปรับตัวเพิ่มขึ้น

สำหรับราคาปาล์มดิบล่าสุด ในเดือนม.ค.2565 ราคาปาล์มทะลายเฉลี่ย กก. 10.49 บาท ราคาน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ย กก.ละ 54.27 บาท ส่วนราคาตลาดมาเลเซีย ตันละ 5,628 ริงกิต หรือ คิดเป็น กก. ละ 45.31 บาท โดยมีสต๊อก ณ สิ้นเดือน ม.ค.นี้ อยู่ที่ 1.31 แสนตัน หากปี 2565 ผลผลิตสูงขึ้นตามคาดการณ์ของ สศก. ขณะเดียวกันความต้องการใช้ภายในประเทศมีแนวโน้มลดลงจากสัดส่วนของไบโอดีเซล จำเป็นต้องอาศัยการส่งออกให้ได้ 5 แสนตัน เพื่อดูดซับสต็อกส่วนเกินที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มาตรการต่างๆ ที่ กนป. เห็นชอบในครั้งนี้ยังคงเป็นกลไกสำคัญที่ต้องดำเนินการไปพร้อมๆ กันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการเพิ่มมูลค่า 8 ผลิตภัณฑ์เป้าหมาย ซึ่งจะเป็นทางออกที่ยั่งยืนในอนาคต คาดว่านโยบายและมาตรการของ พล.อ.ประวิตร ประธาน กนป. รวมทั้ง การบริหารจัดการเชิงบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงาน จะส่งผลให้ราคาปาล์มทะลายโดยเฉลี่ยทั้งปี 2565 อยู่ที่ กก.ละ 6-8 บาท สูงกว่าต้นทุนที่แท้จริง (กก.ละ 3.50 – 4.0 บาท) ของเกษตรกรชาวสวนปาล์ม รวมทั้ง ผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันทุกชนิด น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์บรรจุขวด ไบโอดีเซล (บี 100) อยู่ในระดับราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย สำหรับผู้บริโภค พลังงานทดแทน และส่งออก เพื่อผลักดันให้ปาล์มน้ำมันคงความเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคตของไทยอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 4 กุมภาพันธ์ 2565

“ส.ส. พัชรินทร์” เสนอกทม.เร่งติดตั้งสัญญาณไฟคนข้ามทางม้าลายเขตสาทร

,

“ส.ส. พัชรินทร์” เสนอกทม.เร่งติดตั้งสัญญาณไฟคนข้ามทางม้าลายเขตสาทร ลดปัญหาอุบัติเหตุซ้ำซากเพิ่มความปลอดภัย ดูแลประชาชนบนท้องถนน

ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.เขตปทุมวัน-สาทร-บางรัก พรรคพลังประชารัฐ(พปชร. ) หารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร กรณีสัญญาไฟจราจรบริเวณทางม้าลายคนข้ามถนนเจริญราษฎร์ ระหว่างชุมชนบ้านแบกและชุมชนโรงน้ำแข็ง เขตสาทร กทม.เป็นจุดที่รถลงจากทางด่วนและรถยนต์ใช้ความเร็วสูง ทำให้เกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง ทั้งกรณีมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องได้นำเสนอผ่านสภาฯแล้วหลายครั้ง แต่ยังไม่รับการดำเนินการใดๆ จึงขอฝากท่านประธานฯ ไปยังกทม.เพื่อพิจารณาและติดตั้งสัญญาณไฟจราจรคนข้าม รวมทั้งติดตั้งป้ายสัญญาณเตือนต่างๆ หรือเครื่องมือเตือน เพื่อให้ผู้สัญจรลดความเร็วในการขับขี่ ก่อนถึงบริเวณทางม้าลายจุดนี้ เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถข้ามถนนได้อย่างปลอดภัย

นอกจากนี้ได้หารือท่านประธานฯ ฝ่านไปยังการไฟฟ้านครหลวง เพื่อแก้ไขเสาไฟฟ้าไม้ ที่ทั้งเก่าและผุพัง เอียงพิงหลังคาบ้านของพี่น้องประชาชน บริเวณ ซ.รองเมือง 1 เกรงว่าจะก่อให้เกิดอันตรายกับพี่น้องประชาชนหากโค่นล้มลงมา บริเวณชุมชนการเคหะฯ บ่อนไก่ เขตประทุมวัน มีต้นไม้ใหญ่เป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมาได้ประสานงานและทำการตัดต้นไม้ เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน แต่ยังคงมีบางจุดยังมีแนวต้นไม้ละสายไฟอยู่ เกรงจะก่อให้เกิดอันตราย ไฟฟ้าลัดวงจร จึงขอให้การไฟฟ้านครหลวง ดำเนินการตัดต้นไม้บริเวณริมถนนโดยรอบศูนย์เยาวชนบ่อนไก่ เพื่อความปลอดภัยของผู้สัญจร และบ้านเรือนที่อยู่ริมถนน

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 4 กุมภาพันธ์ 2565

“พัชรินทร์” ขอบคุณสภาฯรับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันผิดซ้ำในคดีอุกฉกรรจ์

,

“พัชรินทร์” ขอบคุณสภาฯรับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันผิดซ้ำในคดีอุกฉกรรจ์ พร้อมกลั่นกรองวาระ 2 ทันที เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.เขต 2 ปทุมวัน บางรัก สาทร และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่เห็นความสำคัญและร่วมกันผ่าน “ร่างพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำความผิดซ้ำของผู้กระทำความผิดอุกฉกรรจ์ที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. ….” ที่ตน พร้อมด้วยสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ได้เสนอ รวมทั้งร่างของ ครม. ในวาระที่ 1 รับหลักการ ด้วยมติ 277 เสียงสนับสนุน จากผู้ลงมติทั้งหมด 286 เสียง ซึ่งหวังว่าจะได้เร่งพิจารณากฎหมายฉบับนี้ เพื่อให้เป็นประโยชน์ และเป็นเกราะคุ้มกัน ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่ม เด็กเยาวชน ผู้หญิง ผู้พิการ และผู้สูงอายุ ที่มักตกเป็นเหยื่อความรุนแรง ด้วยข้อจำกัดทางกายภาพ และสรีระร่างกาย

ดร.พัชรินทร์ กล่าวว่า ทั้งนี้ ต้องขอขอบพระคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่าน ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ที่เห็นถึงความสำคัญของปัญหาการใช้ความรุนแรง การก่อเหตุอาชญากรรม ที่นับวันจะยิ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชนในทุกมิติ โดยได้ร่วมกันลงมติผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวในวาระที่ 1 ซึ่งตนพร้อมจะกลั่นกรองในวาระที่ 2 ร่วมกับเพื่อนสมาชิก เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนทุกกลุ่ม

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 2 กุมภาพันธ์ 2565

“พล.อ.ประวิตร” เร่งมาตรการดูแลคนข้ามทางม้าลาย เพิ่มโทษผู้ขับขี่ผิด กม.

,

“พล.อ.ประวิตร”เร่งมาตรการดูแลคนข้ามทางม้าลาย เพิ่มโทษผู้ขับขี่ผิดกม.-สร้างจิตสำนึกการใช้รถใช้ถนน

พล.อ.ประวิตร มอบศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างจิตสำนึกและความตระหนักในการใช้รถใช้ถนน เร่งสร้างกระแสการรับรู้ ด้านความปลอดภัยทางถนนทั่วประเทศ

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (1 ก.พ. 2565) ว่าคณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติได้เห็นชอบมาตรการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนจากกรณี รถจักรยานยนต์ชนคนเดินข้ามถนนบริเวณทางข้าม ดังนี้

1. มาตรการด้านกฎหมาย โดยเพิ่มโทษกรณีผู้ขับขี่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามสัญญาณหรือเครื่องหมายจราจรการนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย จัดให้มีข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับประวัติและการกระทำความผิดของผู้ได้รับใบอนุญาตขับขี่ข้อมูลทะเบียนรถและข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง เพิ่มฐานความผิดกรณีฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามสัญญาณจราจร หรือเครื่องหมายจราจรให้เป็นฐานความผิดที่ต้องบันทึกคะแนนความประพฤติในการขับรถเพื่อตัดคะแนนความประพฤติเมื่อผู้ขับขี่กระทำผิด

2. มาตรการด้านถนนด้วยการจัดทำมาตรฐานทางข้ามที่มีความปลอดภัย สำรวจมาตรฐานวิศวกรรมจราจร บริเวณทางข้ามเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไข อาทิ การตีเส้นหยุดและการจัดทำป้ายเตือนให้หยุด หรือให้ทางแก่คนเดินข้าม การติดตั้งสัญญานไฟจราจรเพื่ออำนวยความปลอดภัยสำหรับคนข้าม การตีเส้นสีจราจรก่อนถึงทางข้ามเพื่อให้ลดความเร็ว การจัดทำเครื่องหมายจราจรบนพื้นผิวทางข้ามให้มีความชัดเจน ทั้งเส้นทางข้าม และข้อความบนพื้นทาง และจัดให้มีไฟส่องทางทั่วประเทศ

3. มาตรการด้านผู้ใช้รถใช้ถนน เช่น การสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการข้ามถนนที่ปลอดภัยให้กับประชาชนทุกกลุ่ม การพัฒนาหลักสูตรและสื่อการเรียนการสอนโดยเน้นการให้ความรู้ และเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ เกี่ยวกับการข้ามทางที่ปลอดภัยในทุกช่วงวัย ตลอดจนการปลูกฝั่งเพื่อสร้างความตระหนักรู้ ทั้งในรูปแบบสื่อสร้างสรรค์ และ รูปแบบออนไลน์

ทั้งนี้ ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ได้มอบหมายคณะอนุกรรมการด้านการรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างจิตสำนึกและความตระหนักในการใช้รถใช้ถนน เร่งสร้างกระแสการรับรู้และความตระหนักด้านความปลอดภัยทางถนน นอกจากนี้ได้มอบหมายให้อนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน 8 คณะ เร่งนำมาตรการข้างต้นไปขับเคลื่อนและนำเสนอผลการดำเนินงานให้รับทราบโดยเร็วต่อไป

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 1 กุมภาพันธ์ 2565

อธิรัฐ ให้เจ้าท่าดำเนินการตามกฎหมายกับบริษัทฯ รับผิดชอบความเสียหาย

,

“อธิรัฐ ให้เจ้าท่าดำเนินการตามกฎหมายกับบริษัทฯ รับผิดชอบความเสียหายครอบคลุมทุกด้าน พร้อมเร่งขจัดคราบน้ำมันโดยเร็ว”

วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2565 เวลา 10.30 น. ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ท่าเรือมาบตาพุด จ.ระยอง ตามข้อสั่งการท่านนายกรัฐมนตรี เพื่อติดตามสถานการณ์และการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบกรณีน้ำมันดิบรั่วไหล ท่าเรือมาบตาพุด ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการฉีดพ่นน้ำยาขจัดคราบน้ำมันทั้งทางเรือและเฮลิคอปเตอร์ และสามารถลดปริมาณคราบน้ำมันและควบคุมให้อยู่ในวงจำกัด

สำหรับการช่วยเหลือเยียวยา โดยเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2565 กรมเจ้าท่าได้ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนแล้ว เพื่อให้บริษัทฯ รับผิดชอบชดใช้ความเสียหายในทุกมิติ ประกอบด้วย

• ด้านสังคม : วิถีชีวิตชาวประมง กิจกรรมทางน้ำต่างๆ สภาพจิตใจของประชาชนบริเวณน้ัน ทัศนียภาพ ส่งกลิ่นเหม็นรบกวน กระทบต่อความเช่ือมั่นของผู้บริโภคอาหารทะเลบริเวณน้ัน
• เศรษฐกิจ : กระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว สูญเสียโอกาสในการใช้ทรัพยากรปิโตรเลียม ความเช่ือมั่นด้านการขนส่งน้ำมัน รายได้ของชาวประมง
• สิ่งแวดล้อม : ระบบนิเวศทางทะเลและสัตว์น้ำ กระทบต่อชายหาดปนเปื้อน มีกลิ่นเหม็น และสิ่งมีชิวิตบริเวณชายฝั่ง

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยืนยันพร้อมเยียวยาทั้งในระยะเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว พร้อมตั้งศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์สำหรับผู้ได้รับผลกระทบ เบอร์โทรศัพท์ 038-699090

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 28 มกราคม 2565

อธิรัฐ รมช.คมนาคม สั่งการเจ้าท่า ปฏิบัติการตามแผนแห่งชาติฯ รับมือน้ำมันดิบรั่วไหล

,

“อธิรัฐ รมช.คมนาคม สั่งการเจ้าท่า ปฏิบัติการตามแผนแห่งชาติฯ รับมือน้ำมันดิบรั่วไหลที่มาบตาพุด”

นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เผยว่าตนได้รับรายงาน เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2565 เวลาประมาณ 21.00 น. เกิดเหตุน้ำมันดิบรั่วไหล บริเวณทุ่นผูกเรือน้ำลึกเดี่ยวกลางทะเล ท่าเรือมาบตาพุด จ.ระยอง จากการตรวจสอบไม่พบผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จุดที่รั่วไหลนั้นทราบว่าเกิดจากท่อขนส่งน้ำมันดิบใต้ทะเล ปรากฎคราบน้ำมันครอบคลุมพื้นที่ กว้าง 200 เมตร ยาว 600 เมตร ส่วนปริมาณในการรั่วไหลยังไม่สามารถประเมินได้เนื่องจากขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน

ทั้งนี้ตนได้สั่งการด่วนที่สุดให้กรมเจ้าท่าปฏิบัติตาม “แผนป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันแห่งชาติ” โดยให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและยับยั้งไม่ให้น้ำมันเคลื่อนที่เข้าสู่ฝั่งเนื่องจากทิศทางลมพัดขึ้นไปทางด้านเหนือซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อพื้นที่จังหวัดระยองได้ รวมทั้งให้รายงานสถานการณ์และความคืบหน้าให้ทราบอย่างต่อเนื่อง

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 26 มกราคม 2565

พล.อ.ประวิตร ลงพท.จ.ชัยนาทติดตามแผนรับมือภัยแล้ง เร่งรัดแผนพัฒนาแหล่งน้ำ

,

พล.อ.ประวิตร ลงพท.จ.ชัยนาทติดตามแผนรับมือภัยแล้ง เร่งรัดแผนพัฒนาแหล่งน้ำ-ป้อนภาคเกษตรให้มีเพียงพอ

เมื่อวันที่ 25 มกราคม ที่ห้องประชุมเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.ชัยนาทและสิงห์บุรี เพื่อติดตามมาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 64/65 และแผนบริหารจัดการการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งในเขตพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา โดยมี นายรังสรรค์ ตันเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท กล่าวต้อนรับ นายชยันต์ เมืองสง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) รายงานสถานการณ์น้ำในภาพรวมการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งและมาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 64/65 และผู้แทนกรมชลประทาน นำเสนอแผนบริหารจัดการน้ำและแผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งในเขตพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า รัฐบาลมีความห่วงใยต่อสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคกลางในช่วงแล้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์น้ำปัจจุบันของ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา (ข้อมูล 24 ม.ค.65) ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยฯ และเขื่อนป่าสักฯ มีปริมาณน้ำใช้การรวมกันอยู่ที่ 6,616 ล้าน ลบ.ม. หรือ 36% โดยเขื่อนภูมิพลและสิริกิติ์อยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย สำหรับสถานการณ์การเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2 ในช่วงฤดูแล้ง ปี 2564/65 พื้นที่ในเขตชลประทาน 22 จังหวัด ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำข้างเคียง มีการเพาะปลูกเกินแผน จึงได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำและแผนบริหารจัดการการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา รวมถึงแผนการปลูกข้าวนาปรังในเขตพื้นที่ลุ่มต่ำที่ได้รับผลกระทบจากการผันน้ำเข้าทุ่งในช่วงอุทกภัยที่ผ่านมา เพื่อเร่งชดเชยผลกระทบเพื่อให้เกษตรกรมีน้ำทำนาตลอดฤดูการเพาะปลูก

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สามารถบริหารจัดการน้ำได้ตามแผนที่วางไว้ ได้กำชับให้ สทนช. กรมชลประทาน กรมส่งเสริมการเกษตร และกระทรวงมหาดไทย ควบคุมการใช้น้ำให้เป็นไปตามแผนที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เห็นชอบ รวมทั้งให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดแผนงาน/โครงการพัฒนาแหล่งน้ำต่างๆ ในพื้นที่ ที่ได้รับงบประมาณให้เสร็จโดยเร็ว โดยเฉพาะโครงการที่ได้รับงบกลางไปแล้ว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนโดยเร็ว พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์ข้อมูลสถานการณ์น้ำเพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง และเกิดความร่วมมือในการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและยังคงมุ่งมั่นบูรณาการขับเคลื่อนโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาด้านน้ำในทุกมิติอย่างเป็นระบบและเกิดความมั่นคงด้านน้ำอย่างยั่งยืนต่อไป

นายชยันต์ กล่าวว่า นอกจากการติดตามแผนบริหารจัดการน้ำและการเพาะปลูกพืชลุ่มน้ำเจ้าพระยาแล้ว รองนายกรัฐมนตรี ยังได้ติดตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อบรรเทาและแก้ไขปัญหาภัยแล้งที่มีผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่เป็นการเร่งด่วน โดยมอบให้กรมชลประทาน เร่งดำเนินการเตรียมความพร้อมเรื่องที่ดิน การสำรวจ และออกแบบของโครงการสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า ต.ประศุก และโครงการแก้มลิงหนองอ้อ จ.สิงห์บุรี โดยให้ สทนช. กำกับขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว อีกทั้งเน้นย้ำจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความร่วมมือสนับสนุนโครงการดังกล่าวให้เกิดขึ้นโดยเร็ว นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรี ยังได้ลงพื้นที่ติดตามโครงการซ่อมสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ต.ไม้ดัด อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี และโครงการสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าตำบลหัวป่า ที่กรมชลประทานได้ดำเนินการแล้วเสร็จ เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งสามารถช่วยเหลือพื้นที่เกษตรกว่า 1,400 ไร่ ด้วย

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 25 มกราคม 2565

พล.อ.ประวิตรตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนมรดกโลก ส่งทะเลอันดามันขึ้นบัญชี

,

พล.อ.ประวิตรตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนมรดกโลก ส่งทะเลอันดามันขึ้นบัญชีทรัพยากรที่มีคุณค่าของประเทศ

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ (24 มกราคม 2565)ว่าจากการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกเกี่ยวกับข้อมติคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 44 ปี 2564 ที่ให้ดำเนินการจัดทำรายงานสถานภาพการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก พื้นที่กลุ่มป่าดง พญาเย็น – เขาใหญ่และรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาในการประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ 45 ในปี 2565 ซึ่งคณะกรรมการมรดกโลกแสดงความยินดีที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ยุติการขยายทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 348 และให้หาทางเลือกอื่นเพื่อทบทวนความจำเป็นและเหมาะสมในการก่อสร้างเขื่อน และอ่างเก็บน้ำในพื้นที่แหล่งมรดกโลก รวมถึงการยกเลิกโครงการก่อสร้างเขื่อนลำพระยาธาร เพื่อลดผลกระทบทางลบต่อคุณค่า ความโดดเด่น อันเป็นสากลของแหล่งมรดกโลก แต่ยังมีความห่วงกังวลเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างเขื่อน และอ่างเก็บน้ำอื่นในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียงว่าจะมีผลกระทบต่อคุณค่าและความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่

โดยรายงานดังกล่าวจะเป็นการนำเสนอผลการดำเนินงานความคิดริเริ่มและความมุ่งมั่นในการดำเนินงาน เพื่อปกป้อง คุ้มครอง และป้องกันให้คงคุณค่าความเป็นแหล่งมรดกโลก และไม่ให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกในภาวะอันตราย และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน การนำเสนอพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามันเป็นมรดกโลก ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามันเข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้นของศูนย์มรดกโลก ดังนั้น เพื่อให้มีกลไกในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน เพื่อนำเสนอพื้นที่ดังกล่าว ให้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก คณะกรรมการแห่งชาติฯ จึงเห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการนำเสนอพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามันเป็นมรดกโลกขึ้น

พลเอก ประวิตรฯ ระบุการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก นอกจากจะสร้างความภาคภูมิใจ และความตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญของทรัพยากรของประเทศแล้ว ยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายหลังสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา – ๒๐๑๙ ให้กับชุมชนและภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้ ทั้งทางตรงและทางอ้อมอีกด้วย

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 24 มกราคม 2565

‘รมว.ตรีนุช’ เปิดโครงการ ‘อาชีวะอยู่ประจำ เรียนฟรี มีอาชีพ’ ตั้งเป้าดึงเด็ก 5.2 พัน

,

‘รมว.ตรีนุช’ เปิดโครงการ ‘อาชีวะอยู่ประจำ เรียนฟรี มีอาชีพ’ ตั้งเป้าดึงเด็ก 5.2 พัน เข้าระบบ

เมื่อวันที่ 22 มกราคม ที่วิทยาลัยการอาชีพป่าซาง จ.ลำพูน น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธานในการเปิดโครงการ “สร้างโอกาสทางการศึกษาให้เยาวชน เพื่อผลิตกำลังคนของประเทศ” และร่วมในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ดึงเด็กยากจนเข้าสู่ระบบการศึกษา

น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า โครงการนี้เป็นกิจกรรมต่อเนื่องกับโครงการ “พาน้องกลับมาเรียน” โดยมีวัตถุประสงค์ในการสร้างโอกาสทางการศึกษา และการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ เพื่อให้ผู้ที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่ขาดโอกาสทางการศึกษาได้เข้าศึกษาต่อในสายอาชีพ ตามนโยบาย ศธ. ที่จะลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ในการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียนที่ตกหล่น จากระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานภาคบังคับ ได้เรียนต่อ 100% ซึ่งเป็นการผนึกกำลัง บูรณาการการทำงานภายในร่วมกันของ 4 หน่วยงานหลัก ประกอบด้วย สอศ. สพฐ. สช. และ กศน. ซึ่งรับผิดชอบกำกับดูแลเกี่ยวกับการศึกษาของเด็กนักเรียนโดยตรง

“โครงการนี้ ทาง สอศ.ได้จัดเตรียมงบประมาณสำหรับปีการศึกษา 2565 ไว้แล้ว โดยสามารถให้การสนับสนุนน้องๆที่สนใจเข้าเรียนทางสายอาชีพในระดับประกาศณียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) จำนวน 5,200 คน ในวิทยาลัยการอาชีพ และวิทยาลัยเกษตร จำนวน 87 แห่ง โดยเป็นการเรียนฟรี และมีที่พักมาตรฐานให้พักฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลา3 ปีของการเรียน อีกทั้งยังสนับสนุนให้น้องๆ มีรายได้ผ่านการจัดทำโครงการหารายได้ระหว่างเรียน รวมถึงการหาแหล่งงานให้ทำภายหลังจบการศึกษาอีกด้วย คาดหมายว่าตลอด 10 ปีของโครงการ จะรับได้จำนวน 8 รุ่น จะมีน้องๆที่เข้าร่วมโครงการ ประมาณ 110,000 คน และภายใต้การดูแลของวิทยาลัยอาชีวศึกษาทั่วประเทศใน 77 จังหวัด รวม169 แห่ง” น.ส.ตรีนุช กล่าว

น.ส.ตรีนุช กล่าวต่อว่า ในปีการศึกษา 2565 เราจะเปิดทุกสาขาวิชาของระดับ ปวช. ที่สถานศึกษานั้นเปิดทำการสอนโดยจะเน้นให้ความสำคัญในภาคปฏิบัติ ส่วนวิชาสามัญที่เป็นพื้นฐานในการเรียนยังคงมีอยู่ แต่จะบูรณาการเข้ากับการเรียนเนื้อหาทางวิชาชีพ ในทางปฏิบัติ ทาง สอศ.จะประสานกับ สพฐ.เพื่อสำรวจนักเรียนที่กำลังจะจบการศึกษาม.3 ที่มีความประสงค์ในการเรียนต่อทางด้านสายอาชีพ แต่ครอบครัวขาดทรัพย์ที่จะให้การสนับสนุน ซึ่งเป็นเด็กกลุ่มเป้าหมายหนึ่งในการลดความเหลื่อมล้ำ และป้องกันเด็กตกหล่นจากระบบการศึกษา ให้เข้ารับการศึกษาสายอาชีพแทน

นายสุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า สอศ.ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายศธ. ภายใต้โครงการ “อาชีวะสร้างโอกาสทางการศึกษาให้เยาวชน เพื่อผลิตกำลังคนของประเทศ” หรือ “อาชีวะอยู่ประจำ เรียนฟรี มีอาชีพ” โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ได้คัดเลือกสถานศึกษาที่มีความพร้อมในการรับผู้เรียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 87 แห่ง ทั่วประเทศ โดยสามารถรับปริมาณนักเรียนเข้าร่วมโครงการฯ ได้จำนวน 5,200 คน ระยะที่ 2 ตั้งแต่ปีการศึกษา 2566 เพิ่มสถานศึกษาที่มีความพร้อมในการรับผู้เรียนเข้าร่วมโครงการฯ ให้ได้จำนวนรวมทั้งสิ้น 169 แห่ง ทั่วประเทศ โดยสามารถสร้างโอกาสทางการศึกษาให้เยาวชน จำนวนรวมทั้งสิ้น 116,000 คน

“เด็กกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าร่วมโครงการ มี 2 กลุ่ม กลุ่มแรก เป็นเด็กที่ตกหล่นจากระบบการศึกษาไปแล้ว คือ จบม.3 แล้วไม่ได้เรียนต่อ ซึ่งตกค้างมาหลายปี จะสามารถเข้ามาเรียนในโครงการนี้ได้ทั้งการศึกษานอกระบบและการศึกษาปกติ และกลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่กำลังจะจบ ม.3 ซึ่งจะเป็นการป้องกันไม่ให้เด็กกลุ่มนี้ตกหล่นจากระบบการศึกษาเนื่องจากวิเคราะห์แล้วพบว่ามีเด็กที่คาดว่าจะตกหล่นจากระบบการศึกษาด้วยสาเหตุหลักคือเรื่องของฐานะทางครอบครัวที่ยากจน และความไม่พร้อมในการศึกษา ถึงแม้จะมีโครงการเรียนฟรี15 ปี แต่ยังมีเรื่องของค่าใช้จ่ายในการเรียน ทั้งค่าอาหาร ค่าที่พักและค่าใช้จ่ายอื่นอีก แต่โครงการนี้จะมีทั้งหอพักให้อยู่ฟรี มีอาหารเลี้ยง 3 มื้อ และยังให้เด็กทำงานหารายได้ระหว่างเรียนอีกด้วย “นายสุเทพ กล่าว

นายธีรศักดิ์ อรุณวัชรพันธ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพป่าซาง จ.ลำพูน กล่าวว่า ทางวิทยาลัยการอาชีพป่าซางเน้นบริหารจัดการศึกษา ภายใต้แนวคิด “การอาชีพ…เพื่อชุมชน” ที่ต้องการส่งเสริมให้เด็กที่มีต้นทุนชีวิตไม่มาก ได้มีโอกาสเข้าศึกษาต่อสายอาชีพ ซึ่งผู้เรียนส่วนใหญ่ เป็นชนเผ่าชาติพันธุ์ต่างๆ เช่น ม้ง อาข่า กะเหรี่ยง จากดอยสูงสู่การเรียนรู้ 7 สาขาวิชาอาชีพ ส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ในศาสตร์ที่ผู้เรียนมีความสนใจ

สำหรับจำนวน 87 สถานศึกษาที่จะเปิดรับนักเรียนที่จบมัธยมศึกษาตอนต้น ในระยะแรก ประกอบด้วย วิทยาลัยเทคนิค 1 แห่งวิทยาลัยการอาชีพ 39 แห่ง วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี 47 แห่ง แยกเป็นภูมิภาค ประกอบด้วยภาคเหนือ 26 แห่ง ภาคกลาง 19 แห่ง ภาคใต้ 19 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 18 แห่งภาคตะวันออกและกรุงเทพมหานคร 5 แห่ง

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 22 มกราคม 2565