โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: สื่อออนไลน์

“ไพบูลย์”มอง พท. แค่ซื้อเวลาส่งศาลฯ ตีความแก้รธณ. ม.256  เชื่อถูกตีตก เหตุเคยชี้ชัดแล้ว มั่นใจอายุรัฐบาล“แพทองธาร”น่าห่วง

,

“ไพบูลย์”มอง พท. แค่ซื้อเวลาส่งศาลฯ ตีความแก้รธณ. ม.256  เชื่อถูกตีตก เหตุเคยชี้ชัดแล้ว มั่นใจอายุรัฐบาล“แพทองธาร”น่าห่วง

นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยได้เสนอญัตติด่วนเรื่องขอรัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา210 วรรคหนึ่ง (2)ว่า เป็นเพียงแค่การซื้อเวลาของพรรคเพื่อไทย เพื่อที่จะตอบคำถามกับประชาชนหรือมวลชนที่เขาไปหาเสียงว่า จะแก้รัฐธรรมนูญ ว่าขั้นตอนการแก้ไขยังอยู่ในสภาฯ เรายังพยายามทำอยู่ แต่ต้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความก่อนเพื่อให้เกิดความรอบคอบ เพราะพรรคเพื่อไทยรู้ดีอยู่แล้วว่า ทันทีที่มีการพิจารณาเรื่องนี้ในวาระแรก ก็จะถูกตีตกไปทันที ก็เลยใช้เทคนิคเพื่อซื้อเวลาออกไป

นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า ตนไม่เข้าใจว่า จะไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญอีกเพื่ออะไร เพราะเคยยื่นไปแล้ว 2 ครั้ง โดยตนเป็นผู้ที่ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตามแบบที่พรรคเพื่อไทยกำลังทำ ตนเป็นคนดำเนินการคนแรก เพราะอำนาจที่รัฐสภามี ก็คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราเท่านั้น ไม่ได้ให้อำนาจให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และเมื่อตนถามไป ศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยกลับมาว่า รัฐสภามีอำนาจในการดำเนินการ แต่ก่อนที่จะดำเนินการจะต้องไปถามความคิดเห็นของประชาชน ก็คือ การทำประชามติ เมื่อตีความแล้ว ก็คือ รัฐสภาไม่มีอำนาจนั่นเอง

”ประเด็นนี้มันชัดเจนมาตั้งแต่ปี 2564 แล้ว และสมัยนั้นก็ทำให้ร่างแก้ไข รธน.ฉบับนั้นตกไป ต่อมาก็ในสมัยรัฐสภาชุดนี้ก็มีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญในลักษณะเดียวกัน ซึ่งศาลก็ตอบมาว่า เป็นเรื่องที่เคยตอบไปแล้ว ก็คือเรื่องซ้ำกับเรื่องเดิม และครั้งนี้ก็เช่นกัน ตนเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งยกคำร้อง เนื่องจากได้วินิจฉัยไปแล้ว สุดท้ายเพื่อไทยก็หน้าแตกเหมือนเดิม“นายไพบูลย์ กล่าว

นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า คำถามคือ ทำไมพรรคเพื่อไทยถึงพยายามที่จะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ทำไมถึงไม่แก้รายมาตราทั้งที่สามารถดำเนินการได้เลย นั่นก็เพราะว่า จะสามารถแก้ได้มั่วเลย โดยเฉพาะการสอดไส้เรื่องทำลายระบบองค์กรอิสระทิ้งทั้งหมด จึงเป็นเหตุผลที่ต้องแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยมี สสร.ร่างขึ้นมาใหม่ สิ่งที่พรรคเพื่อไทยคิดเอาไว้ต่อจากนี้ ก็คือการพยายามแก้กฎหมายประชามติให้เหลือแค่ชั้นเดียวให้ได้ ก็คือ  ยึดเอาแค่เสียงข้างมากจากประชาชนที่มาใช้สิทธิ แต่ตอนนี้กฎหมายประชามติยังคงเป็น 2 ชั้น และมีเงื่่อนไขระบุว่า ต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง ซึ่งถือว่า ยากมาก แต่ที่ยากยิ่งกว่า ก็คือ อายุของรัฐบาลชุดนี้คงอยู่ไม่ถึงวันที่จะได้แก้

“สิ่งที่น่าห่วงกว่าการแก้รัฐธรรมนูญคือ อายุของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ที่วันนี้สถานะ เสถียรภาพต่างๆ ฝีมือบริหารประเทศในเรื่องเศรษฐกิจ ปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้ารอบด้าน จนกลายเป็นปัญหาที่หมักหมม มีแต่เรื่องเสียหายเต็มไปหมด คือ ปัจจัยที่จะทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์
วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2568

“พล.ต.ท.ปิยะ” เผยรองฯสันติ มอบศูนย์นโยบายฯ พปชร.ศึกษา ร่าง พรบ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน ก่อนกำหนดท่าที ห่วง กระทบเสถียรภาพการเงินประเทศ

,

“พล.ต.ท.ปิยะ” เผยรองฯสันติ มอบศูนย์นโยบายฯ พปชร.ศึกษา ร่าง พรบ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน ก่อนกำหนดท่าที ห่วง กระทบเสถียรภาพการเงินประเทศ

เมื่อวันที่ 18 ก.พ.เวลา 14.00 น.ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค และคณะทำงานนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคที่มีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุม แทน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคว่าที่ประชุมได้พิจารณาถึงปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ไม่สามารถประกอบอาชีพ และสร้างรายได้ที่มั่นคง จึงเป็นข้อห่วงใยที่ประชุมมอบหมายให้ศูนย์วิชาการ ฯ หาแนวทางร่วมกันในการแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าว เพราะเห็นว่าวันนี้รัฐบาลไม่มีนโยบายที่จะแก้ปัญหาปากท้องให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริง

“รัฐบาลทำได้เพียงใช้วิธีการบริหารจัดการนำงบประมาณมาแจกจ่ายให้กับประชาชน เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ก็พบว่า  ตัวเลขเศรษฐกิจที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นนั้นไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ชี้ให้เห็นว่า นโยบายของรัฐบาลยังขาดในเรื่องการยกระดับคุณภาพของแรงงาน ไม่มีการส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพการพัฒนาฝีมือแรงงาน การพัฒนาบุคลากรในทุกมิติ และนโยบายการเพิ่มความสามารถการแข่งขันของประเทศ” พล.ต.ท.ปิยะ

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวต่อว่า คณะตัวแทนพรรคพลังประชารัฐ ได้รายงานมติของที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านให้กรรมการบริหารพรรคทราบว่า ฝ่ายค้านมีมติยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในวันที่ 27 ก.พ.นี้ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาถึงร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. ที่รัฐบาลจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ซึ่งพรรคพลังประชารัฐเห็นว่า ในอนาคตจะกระทบต่อการบริหารจัดการด้านการเงินของประเทศเป็นอย่างมาก เพราะจะไปจำกัดอำนาจตามมาตรา 26 ของธนาคารแห่งประเทศไทยของผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยและเป็นการให้อำนาจคนกลางซึ่งจะถูกแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี ตลอดจนเสถียรภาพทางการเมืองก็จะถูกบั่นทอนโดยคณะกรรมการศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงินที่จะนำเสนอนี้ ท่านสันติจึงมอบให้ศูนย์นโยบายและวิชาการฯศึกษา ร่าง พรบ.ฉบับนี้ให้มีมติและดำเนินการต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์
วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2568

“ธีระชัย” เผย พปชร.พร้อมลุยศึกซักฟอกรัฐบาล เล็งชำแหละ พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์-MOU 44

,

“ธีระชัย” เผย พปชร.พร้อมลุยศึกซักฟอกรัฐบาล เล็งชำแหละ พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์-MOU 44

เมื่อวันที่ 17 ก.พ.เวลา 10.30 น. นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะประธานกรรมการวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงความคืบหน้าการเตรียมการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในส่วนของพรรคพปชร.ว่า ทางพรรคได้มีการประสานงานกับพรรคร่วมฝ่ายค้านและได้มีการกำหนดวันที่จะมีการยื่นญัตติและมีการกำหนดแนวทาง รวมถึงหัวข้อที่จะมีการกำหนดนำไปอภิปราย โดยขณะนี้ พรรคพลังประชารัฐอาจจะขอไม่เปิดเผยประเด็นอย่างเต็มที่ แต่หากช่วงที่ผ่านมา ได้ติดตามการแถลงข่าวของพรรคประชารัฐ หลาย ๆ เรื่องที่เรามีความเห็นคัดค้านและโต้แย้ง ก็คงเป็นประเด็นที่พรรคจะนำไปพิจารณาในการอภิปราย

นายธีระชัย กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐมีความพร้อมและกำลังเดินหน้ารวบรวมข้อมูลเพื่อนำเสนอต่อประชาชนอย่างเต็มที่ ที่ผ่านมาทางพรรคได้มีการคัดค้านในเรื่องของร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …ซึ่งเรื่องนี้ก็น่าจะมีประเด็นที่นำมาพิจารณาในการนำเสนอกับประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบในแง่ของจุดด้อยและปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ รวมไปถึง MOU44 ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่เราคัดค้านและต่อสู้มาอย่างเข้มแข็ง ก็อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พรรคจะนำไปเสนอให้กับประชาชนได้รับรู้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2568

“พปชร.” จี้ครม.ทบทวน ร่างพ.ร.บ.ศูนย์กลางการเงิน ชี้ ตรากฎหมายไม่สามารถบรรลุเป้าได้จริง อาจหวังรวบอำนาจนโยบายการเงินจาก ธปท.มองสร้างความหายนะ กระทบความน่าเชื่อถือ

,

“พปชร.” จี้ครม.ทบทวน ร่างพ.ร.บ.ศูนย์กลางการเงิน ชี้ ตรากฎหมายไม่สามารถบรรลุเป้าได้จริง อาจหวังรวบอำนาจนโยบายการเงินจาก ธปท.มองสร้างความหายนะ กระทบความน่าเชื่อถือ

เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2568 เวลา 10.00 น. นายอุตตม สาวนายน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการนโยบายพรรคพลังประชารัฐและนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะประธานกรรมการวิชาการร่วมกันแถลงข่าวคัดค้านร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. ….

โดยนายอุตตม ตั้งข้อสังเกตว่ากระบวนการรับฟังความคิดเห็นต่อ ร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. …. ได้ดำเนินการอย่างครบถ้วน รอบคอบ และเพียงพอแล้วหรือไม่ โดยเฉพาะการหารือกับหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง เช่น ธปท. ก.ล.ต. และหน่วยงานอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง แม้ ธปท. เพิ่งมีหนังสือถึงคณะรัฐมนตรีแสดงข้อสังเกตต่อ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ แต่ก็ยังเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้านเนื่องจากกฎหมายนี้เกี่ยวข้องกับระบบการเงินที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจ อาทิ การให้คณะกรรมการฯ ตามกฎหมายนี้มีอำนาจกำหนดประเภทธุรกิจ และเกี่ยวเนื่องไปถึงการให้ใบอนุญาต การกำกับดูแลในรูปแบบที่ค่อนข้างเหมารวม ซึ่งในทางปฏิบัติจะต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับอำนาจหน้าที่และกระบวนการของหน่วยงานกำกับใช้อยู่แล้วในปัจจุบัน รวมถึงต้องระมัดระวังไม่ให้เปิดช่องให้เกิดการแทรกแซงทางการเมือง

“ผมสนับสนุนให้มีกลไกรองรับการประชุมหารือร่วมกันเป็นประจำระหว่างกระทรวงการคลังและหน่วยงานกำกับด้านการเงินต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล แนวคิด และการวิเคราะห์ ทั้งในภาวะปกติ และเมื่อมีสัญญาณของการเกิดวิกฤต เพื่อให้สามารถสร้างความพร้อมในการรับมือวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ รวมถึงการระดมความคิดในการพัฒนาระบบการเงิน ตลาดทุนและที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องและเหมาะสมกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศโดยรวมกลไกหารือเช่นนี้สามารถจัดตั้งได้ทันทีโดยอาศัยคำสั่งนายกรัฐมนตรีด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะไม่เกิดปัญหาและความซ้ำซ้อนในการดำเนินการของหน่วยงานที่ดูแลอยู่แล้ว”นายยอุตตม กล่าว

นายอุตตม กล่าวทิ้งท้ายว่า กฎหมายเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการเงินได้ เพราะนักลงทุนจะเลือกประเทศที่พร้อมที่สุด เช่น สิงคโปร์ประสบความสำเร็จด้วย (1) นโยบายภาครัฐที่เอื้อต่อธุรกิจ อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่เหมาะสม พร้อมสิทธิประโยชน์ดึงดูดฟินเทคและกองทุนบริหารสินทรัพย์ กฎระเบียบโปร่งใสภายใต้การกำกับของธนาคารกลางสิงคโปร์ (2) โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแข็งแกร่ง เช่น ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ และศูนย์กลางแลกเปลี่ยนเงินตรา ระบบดิจิทัลที่รองรับธุรกรรมทางการเงิน และเครือข่ายธนาคารระดับโลก (3) แรงงานคุณภาพสูงจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ และโครงการพัฒนาทักษะด้านการเงินและ ฟินเทค

“หากไทยต้องการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการเงินของโลก ต้องสร้างความพร้อมในทุกมิติ ไม่ใช่แค่ออกกฎหมาย   แต่รวมถึงเสถียรภาพทางการเมืองที่เป็นรากฐานของความเชื่อมั่น หลักนิติธรรมและธรรมาภิบาลที่โปร่งใสและเป็นมาตรฐานสากล และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน ทั้งด้านกฎระเบียบ เทคโนโลยี และบุคลากร หากไม่เร่งปฏิรูปไทยอาจไม่ใช่ตัวเลือกของนักลงทุนในเวทีการเงินโลก”

ด้านนายธีระชัย กล่าวว่า ตนเชื่อว่ารัฐบาลรู้ดีอยู่แล้วว่าประเทศไทยยังขาดสององค์ประกอบสำคัญในการเป็นศูนย์กลางฯทั้งด้านกฎหมาย และด้านธรรมาภิบาลในด้านกฎหมาย การเชิญชวนสถาบันการเงินระดับโลกให้เข้ามาในศูนย์กลางฯ เพื่อทำธุรกรรม offshore ระหว่างกันที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนนั้น จะเป็นที่สนใจก็ต่อเมื่อศูนย์กลางฯ มีกลไกยุติข้อพิพาทที่รวดเร็ว เป็นธรรม และปราศจากการแทรกแซง ทั้งกลไกอนุญาโตตุลาการและกลไกศาล แต่ระบบกฎหมายของไทยยังไม่สามารถให้ ความมั่นใจได้

นอกจากนี้ เคยมีกรณีที่ศาลไทยไม่ยอมรับคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการ และรัฐบาลไทยเองก็ไม่ยอมรับกลไกอนุญาโตตุลาการ ดังนั้น องค์ประกอบนี้จึงเป็นลบชัดเจนในด้านธรรมาภิบาล ดัชนีคอร์รัปชัน Corruption Perception Index ปี 2024 ของไทยก็ต่ำอยู่เพียงอันดับ 107 จาก 180 ประเทศ ไม่อาจเทียบกับสิงคโปร์อันดับ 3 และฮ่องกงอันดับ 17 ดังนั้น เป็นไปไม่ได้ทีีสถาบันการเงินระดับโลกที่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นจะยอมเข้ามาในศูนย์กลางฯ ที่มีอันดับแค่ 107 รัฐมนตรีคลังจึงย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า ในสององค์ประกอบข้างต้นไทยไม่สามารถแข่งขันกับฮ่องกงหรือสิงคโปร์ได้เลย เป้าหมายนี้ไม่สามารถเกิดได้จริง

“ผมสงสัยว่า เป้าหมายแท้จริงอาจไม่ใช่ตลาดนอกประเทศ (offshore) แต่อาจเพื่อออกเงินดิจิทัลสำหรับตลาดในประเทศ (onshore) ด้วยข้อพิรุธ 2ข้อ
ข้อที่หนึ่ง ถึงแม้มติคณะรัฐมนตรีระบุว่า “ให้บริการเฉพาะผู้ไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย (non-residents) เท่านั้น” แต่ในมาตรา 53 (2) มีการสอดใส้ให้บริการแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ (residents) เอาไว้ด้วย  
ข้อที่สอง หนังสือของกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี ระบุว่า “ผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมาย” หมายถึงผู้ที่ไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย (non-residents) แต่ในร่าง พ.ร.บ. ได้ตัดเงื่อนไขนี้ออกไป จึงส่อพิรุธว่า เป้าหมายที่แท้จริงอาจเพื่อการออกเงินดิจิทัลที่มีลักษณะเป็นเงินตราสำหรับใช้ในประเทศ“นายธีระชัย กล่าว

ทั้งนี้ นายธีระชัย ตั้งข้อสงสัยว่า ร่างกฎหมายนี้มีเป้าหมายแฝงเพื่อปลดล็อคสองปัญหาเรื่องเงินดิจิทัล ใช่หรือไม่ ปัญหาที่หนึ่ง ปัจจุบันการพิจารณาอนุญาตตามกฎหมายเงินตราต้องผ่าน ธปท.ซึ่งอาจจะไม่เห็นด้วย ร่างมาตรา 10 ปลดอำนาจ ธปท.ไปให้คณะกรรมการพิจารณาแทน ปัญหาที่สอง ปัจจุบันการพิจารณาอนุญาตเชื่อมเงินดิจิทัลกับระบบบาทเนต (Bahtnet) ซึ่งธปท.อาจจะไม่เห็นด้วย ร่างมาตรา 36 ได้ปลดอำนาจในกฎหมายว่าด้วยระบบการชำระเงินทิ้งไปเลย

“ผมเรียกร้องให้คณะรัฐมนตรีทบทวน เพราะการตรากฎหมายที่ไม่สามารถบรรลุเป้าประสงค์ได้จริง แต่กลับมีผลแฝงเป็นการรวบอำนาจนโยบายการเงินไปจาก ธปท. จะสร้างความหายนะให้แก่ประเทศ และจะกระทบความน่าเชื่อถือในระดับสากล”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2568

“พล.อ.ประวิตร”ลงนามคำสั่งแต่งตั้งแกนนำรับผิดชอบพื้นที่รายภาค ให้เร่งคัดสรรผู้สมัคร สส. ทั่วประเทศเตรียมความพร้อมรับศึกเลือกตั้ง

,

“พล.อ.ประวิตร”ลงนามคำสั่งแต่งตั้งแกนนำรับผิดชอบพื้นที่รายภาค ให้เร่งคัดสรรผู้สมัคร สส. ทั่วประเทศเตรียมความพร้อมรับศึกเลือกตั้ง

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 4 ก.พ.ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายภัครธรณ์ เทียนไชย รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ แถลงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค และคณะทำงานนโยบายและยุทธศาสตร์พรรค ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรค เป็นประธานว่า พล.อ.ประวิตร ได้ลงนามในคำสั่งพรรคพลังประชารัฐ ที่ 5 / 2568 เพื่อมอบหมายบุคคลรับผิดชอบพื้นที่ในระดับภาค ให้การบริหารงานของพรรคพลังประชารัฐ และหัวหน้าพรรคเป็นไปด้วยความเรียบร้อย บรรลุอุดมการณ์ วัตถุประสงค์ทางการเมืองและนโยบายของพรรค

โดยอาศัยอำนาจตามข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ พ.ศ 2561 และแก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 17(3) (ช)จึงมอบหมายบุคคลรับผิดชอบพื้นที่ในระดับภาค ดังต่อไปนี้

ภาคเหนือ คือ นายสันติ พร้อมพัฒน์ และนายวราเทพ รัตนากร
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน คือ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงค์,นายชัยมงคล ไชยรบ และนายวิริยะ ทองผา
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนล่าง คือ พลตรียศวัจน์ นิมิตรภานนท์
ภาคกลาง คือ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์
ภาคตะวันออก คือ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง และนายภัครธรณ์ เทียนไชย
ภาคใต้ คือ นายฉกาจ พัฒนกิจวิบูลย์ ,นายคอรีย์ มามุ และ นายสุธรรม จริตงาม
กรุงเทพมหานคร คือ นายวัน อยู่บำรุง และนายภัครธรณ์ เทียนไชย

โดยให้มีหน้าที่รับผิดชอบในการกำกับดูแลการดำเนินกิจกรรมโครงการของพรรคในพื้นที่รับผิดชอบ รายละเอียดตามบัญชีแนบท้ายคำสั่ง พร้อมจัดให้มีรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนสมัครเป็นสมาชิกพรรค และรวบรวมข้อมูลผู้ที่สมควรลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งแบบบัญชีรายชื่อและแบบเขตเลือกตั้งอีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และบุคคลที่พรรคมอบหมายให้ดำเนินกิจกรรมในพื้นที่รับผิดชอบ และปฏิบัติงานอื่นๆตามที่หัวหน้ามอบหมาย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2568

คัดค้าน ร่าง พ.ร.บ. จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ของฝ่ายการเมือง

,

คัดค้าน ร่าง พ.ร.บ. จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ของฝ่ายการเมือง

พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า “ตามที่พรรคการเมืองบางพรรค ได้เตรียมนำเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม เพื่อแก้ไขสาระสำคัญของ พระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑ นั้น

กรณีดังกล่าว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หน.พรรคพลังประชารัฐ  มีความเห็นว่า สาระสำคัญของร่าง พระราชบัญญัติดังกล่าว มุ่งเน้นไปที่ มาตรา ๒๕ เพื่อให้ฝ่ายการเมือง มีอำนาจเหนือผู้บัญชาการเหล่าทัพ ในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพล โดยกล่าวอ้างว่า มีการเล่นพรรคเล่นพวก ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้ว ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บังคับบัญชาในทุกระดับ ย่อมจะต้องรู้จักศักยภาพและประสิทธิภาพของกำลังพลใต้การบังคับบัญชาดีกว่า ฝ่ายการเมือง ซึ่งเข้ามามีอำนาจเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง และหมุนเวียนเปลี่ยนไป ตามกลไกของการเลือกตั้ง

ที่สำคัญภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๖๐ หมวด ๒ พระมหากษัตริย์ มาตรา ๘ ได้เขียนเอาไว้ชัดเจนว่า “ พระมหากษัตริย์ ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย” และตามมาตรา ๒๗ ของพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑ ได้กำหนดเอาไว้ชัดเจนว่า “ การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลดำรงตำแหน่งให้นำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง” ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่า เนื้อหาของ มาตรา ๒๗ ของพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑ นั้น สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ที่ต้องการให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพพิจารณา การแต่งตั้งและโยกย้ายนายทหารชั้นนายพล แล้วนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์ ที่ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย โดยไม่ต้องการให้ฝ่ายการเมืองเข้าแทรกแซง

นอกเหนือจากนั้น ตามมาตรา ๑๐ ของพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๖  ได้กำหนดเอาไว้ว่า “ กระทรวงกลาโหมมีส่วนราชการดังต่อไปนี้
(๑) สำนักงานรัฐมนตรี
(๒) สำนักงานปลัดกระทรวง
(๓) กรมราชองครักษ์
(๔) หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์
(๕) กองทัพไทย

ซึ่งนั่นหมายความว่าเจตนาของพรรคการเมืองที่ยกร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม เพื่อฝ่ายการเมือง เข้ามามีอำนาจเหนือกองทัพนั้น จะมีอำนาจเหนือ ตาม(๓)(๔) ซึ่งเป็นการไม่บังควรอย่างยิ่ง

พรรคพลังประชารัฐ เห็นว่า การเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหมของพรรคการเมืองนั้น จะเป็นการบั่นทอนให้กองทัพอ่อนแอลง และจะนำกองทัพ ไปใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น
จึงขอคัดค้าน อย่างถึงที่สุด”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 ธันวาคม 2567

“บิ๊กป้อม” ค้านขึ้น VAT 15% ลั่นข้าวของแพง อย่าซ้ำเติม ปชช.

,

“บิ๊กป้อม” ค้านขึ้น VAT 15% ลั่นข้าวของแพง อย่าซ้ำเติม ปชช.

ทำเนียบ 7 ธ.ค.- โฆษกพรรคพลังประชารัฐ เผย “บิ๊กป้อม” ค้านขึ้น VAT 15% ชี้รัฐบาลควรศึกษาเศรษฐกิจไทย ลั่นข้าวของแพง อย่าซ้ำเติมประชาชน

พล.ต.ท. ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ตามที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศกลางเวทีในงานสัมมนาหนึ่งว่า รัฐบาลมีแนวคิดปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็น 15% และปรับภาษีเงินได้นิติบุคคล 15% นั้น ในประเทศไทยได้กำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ 10% ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 แต่ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในขณะนั้น เห็นว่า อัตราดังกล่าว สูงเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกับ สภาวะทางเศรษฐกิจและรายได้ประชาชนตลอดจนบริบทของสังคมไทย จึงได้ออกพระราชกฤษฎีกาลดภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือ 7% เป็นประจำทุกปี โดยที่ภาษีมูลค่าเพิ่ม 1 ใน 9 ที่เก็บได้ จะถูกโอนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และที่เหลืออีก 8 ส่วนจะถูกโอนให้แก่รัฐบาล ซึ่งทุกรัฐบาลได้ดำเนินการคงภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรานี้มาโดยตลอด

โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ยังกล่าวว่ารัฐบาลควรจะต้องศึกษาระบบเศรษฐกิจของไทยให้มากกว่านี้ ตอนนี้ชาวบ้าน จะอดตายอยู่แล้ว ทุกวันนี้ข้าวของก็แพงจะมาเพิ่มภาษีส่วนนี้อีก ราคาสินค้า บริการต่างๆ จะแพงมากขึ้นอีก อย่าซ้ำเติมประชาชนอีกเลย การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจะส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อย คนหาเช้ากินค่ำ เด็กนักเรียนนักศึกษา ตลอดจนคนพิการ และผู้ยากไร้ต่างๆ เนื่องจากเป็นผู้บริโภคมีฐานะเป็น end user ซึ่งต้องแบกรับภาระการจ่ายภาษี ภาวะเศรษฐกิจที่ประชาชนมีความเดือดร้อนเช่นนี้รัฐบาลไม่ควรขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม

นอกจากนี้ การเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม จะไม่มีผลกระทบต่อนายทุนหรือเจ้าสัว เพราะนายทุนหรือผู้ประกอบการสามารถหักภาษีซื้อภาษีขายไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด แต่เป็นการผลักภาระ การหารายได้ให้แก่รัฐบาลไปยังคนจนคนมีรายได้น้อย เปรียบเสมือนกับปล้นคนจน เอื้อคนรวย เป็นการผลักภาระมาให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวอีกว่า รัฐบาลควรหาแนวทางและมาตรการต่างๆ ที่เหมาะสม กับสภาพเศรษฐกิจและบริบทของสังคมไทย ไม่ใช่ไปลอกแบบจากต่างประเทศเหมือนลอกข้อสอบ ยังมีมาตรการอื่นๆ เช่น ภาษีที่ดิน ภาษีมรดก การจัดเก็บภาษีจากเศรษฐกิจดิจิทัล ภาษีกลุ่มฟุ่มเฟือย หรือภาษีกลุ่มคนรวย หรือเก็บภาษีกลุ่มคนมั่งคั่งจะดีกว่า การปรับปรุงประสิทธิภาพและพัฒนาโครงสร้าง การจัดเก็บภาษี ซึ่งยังมีการประกอบธุรกิจหรือกิจการบางอย่างที่ยังไม่ได้อยู่ในระบบภาษี การขยายฐานภาษี และการปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่รัฐ ยังดีกว่าการผลักภาระให้แก่คนทั้งประเทศ ดังนั้นรัฐบาลต้องวางแผนและตัดสินใจให้รอบคอบ

“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะค้านการขึ้น VAT15% และจะพิจารณานำเรื่องนี้ เข้าคณะทำงานศูนย์วิชาการและนโยบาย พรรคพลังประชารัฐ เพื่อหาแนวทางและวิธีการที่เหมาะสมเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่มีรายได้น้อย และจะไม่ทอดทิ้ง พี่น้องประชาชนอย่างแน่นอน” โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ระบุ.-316-สำนักข่าวไทย

ที่มา: สำนักข่าวไทย https://tna.mcot.net/
วันที่: 7 ธันวาคม 2567

ธีระชัย-หม่อม กร ชี้ MOU ปี 2544 โมฆะ ฟาดรัฐบาลทำขั้นตอนผิด เสี่ยงเสียดินแดน

,

ธีระชัย-หม่อม กร ชี้ MOU ปี 2544 โมฆะ ฟาดรัฐบาลทำขั้นตอนผิด เสี่ยงเสียดินแดน

(วันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ) พรรคพลังประชารัฐ – นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่าแถลงการณ์ร่วมวันที่ 18 มิ.ย. 2544 ลงนามโดยนายทักษิณ ชินวัตร และ นายฮุน เซนนั้น มีข้อความรับรอง MOU จึงทำให้ MOU มีสถานะเป็นสนธิสัญญาครบตามเงื่อนไขของอนุสัญญากรุงเวียนนาฯ นอกจากนี้ ยังมีเอกสารวิชาการที่ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทยยืนยันว่า MOU เป็นสนธิสัญญาอีกด้วย

นายธีระชัยเห็นว่า MOU เป็นสนธิสัญญาที่กระทบเขตอำนาจแห่งรัฐ เพราะมีการกำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมเป็นอาณาเขตเฉพาะที่เปลี่ยนแปลงเขตไหล่ทวีปของไทยตามที่ประกาศเมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2516 แต่ไม่ได้เสนอต่อรัฐสภา และไม่ได้ทูลเกล้าฯต่อพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ 2540 จึงเป็นโมฆะตั้งแต่ต้น

นายธีระชัยกล่าวว่าประชาชนสงสัยมีข้อพิรุธสำคัญ ทำไมรัฐบาลในปี 2544 จึงทำขั้นตอนกลับทางจากกรณี ไทย-มาเลเซียที่การกำหนดอาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมเป็นผลสุดท้ายจากการเจรจา แต่ MOU กลับไปให้กำเนิดอาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมตั้งแต่ต้นอันเป็นกรอบที่บีบการเจรจา ทั้งที่จะทำให้ไทยเสี่ยงเสียดินแดน ประชาชนจึงกังวลว่า MOU ที่ไม่เจรจาอาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมให้เสร็จเสียก่อน น่าสงสัยว่ามีประโยชน์ซ่อนเร้น

นอกจากนี้ น่าสงสัยว่าเหตุผลแท้จริงของแถลงการณ์ร่วมนั้นอาจเพื่อมุ่งเรื่องปิโตรเลียมเป็นสำคัญ เพราะประเด็นอื่นในแถงการณ์ดังกล่าวมีการประสานกันปกติอยู่แล้ว

“ผมเองเคารพต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและเห็นว่ารัฐมนตรีจากพรรคร่วมจะช่วยลดอุณหภูมิลงได้ โดยถ้าเห็นว่าเรื่องนี้ถูกต้อง ก็ควรเร่งให้รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศชี้แจงเหตุผลในทุกด้านให้ประชาชนคลายใจ เพราะประเด็นที่พรรคฝ่ายค้านยกขึ้นล้วนเป็นการอ้างข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่สามารถถกแถลงกันให้กระจ่างได้ แต่ถ้าเห็นว่าไม่ถูกต้อง ก็ต้องเร่งให้มีการแก้ไข” นายธีระชัยกล่าว

ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรค ได้กล่าวถึงกรณี ที่ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย บรรยายเรื่อง MOU 44 เมื่อวันที่14 พฤศจิกายน 2567 นั้นผิดพลาดคลาดเคลื่อนอยู่มากถึงสาเหตุของการเกิดพื้นที่ทับซ้อน ดร.สุรเกียรติ์ กล่าวว่า “เนื่องจากกฎหมายทะเลสากลให้ทุกประเทศประกาศเขตเศรษฐกิจออกไปได้ 200 ไมล์ทะเล แต่อ่าวไทยมีความกว้างไม่ถึง 200 ไมล์ทะเล เมื่อไทยและกัมพูชาต่างฝ่ายต่างประกาศเขตเศรษฐกิจ 200 ไมล์ทะเล จึงทับซ้อนกัน”

ขณะที่ ม.ล.กรกสิวัฒน์ ชี้ว่า ขณะที่ ดร.สุรเกียรติ์ เซ็นต์ MOU 44 กับกัมพูชานั้น  น่าจะเข้าใจกฎหมายทะเลสากลไม่ถูกต้องทั้ง เรื่องทะเลอาณาเขต และการลากเส้นเขตเศรษฐกิจจำเพาะ 200 ไมล์ทะเล ปรากฎตาม อนุสัญญาเจนีวา 1958 ข้อ 12 และอนุสัญญาสหประชาชาติ 1982 (UNCLOS3) ข้อ 15 ที่บัญญัติว่า “กรณีที่ฝั่งทะเลสองรัฐประชิดกัน ถ้าไม่ได้ตกลงเป็นอย่างอื่น รัฐใดย่อมไม่มีสิทธิขยายทะเลอาณาเลยเลยเส้นมัธยะ“

กรณีไทย-กัมพูชา เส้นมัธยะ คือ เส้นที่มีจุดเริ่มต้นจากหลักเขตที่ 73 สุดแดนจังหวัดตราดลากลงทะเล “แบ่งกึ่งกลางระหว่างเกาะกูด กับ เกาะกง” เพื่อความเป็นธรรมในการเดินเรือ

ดังนั้น การขีดเส้น 200 ไมล์ทะเลจึงต้องลากต่อออกไปจากเส้นมัธยะนี้ มิใช่ดังที่ ดร.สุรเกียรติ์ อธิบายทำให้ผู้ฟังเข้าใจผิดได้ว่า ทุกประเทศมีสิทธิไปลากเส้นจากฝั่งทะเลไปทิศทางใดก็ได้ 200 ไมล์ ตามอำเภอใจแบบกัมพูชาทำ พื้นที่ทะเลรอบเกาะกูดของไทยจึงถูกกัมพูชาลากเส้นทับซ้อนตั้งแต่ชายฝั่งไปชนเกาะกูดซึ่งกรณีแบบนี้ไม่ปรากฏแบบนี้ที่ใดในโลก

นอกจากนี้ ท่านยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับการเจรจาระหว่าง ไทย กับ มาเลเซีย พม่า และเวียตนาม ที่ประสบผลสำเร็จมีลำดับขั้นตอนดังนี้
1)คณะรัฐมนตรีตั้งคณะเจรจาขึ้นก่อน
2)กรอบการเจรจา คือ กฎหมายทะเลสากล
3)ทำ MOU เพื่อบันทึกผลสำเร็จของการเจรจา
4)ประกาศพระบรมราชโองการ รองรับเส้นเขตแดนใหม่ที่เป็นผลของการเจรจา

ทุกกรณีจะใช้กฎหมายทะเลสากลเป็นกรอบในการเจรจาทั้งสิ้น (ตามที่ ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์ อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ผู้แทนการเจรจากรณี ไทย-มาเลเซีย ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ให้ฟัง)  ส่วน MOU จะเกิดขึ้นเป็นขั้นตอนเกือบสุดท้าย เพื่อบันทึกผลสำเร็จของการเจรจานั้นๆ

การเจรจาทุกประเทศมีเป้าหมายสำคัญสูงสุด คือ การกำหนดเส้นเขตแดนให้ถูกต้องเป็นอันดับแรก ไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ปิโตรเลียม กรณีของไทย มาเลเซีย การพัฒนาร่วมเกิดขึ้นจากการเจรจาจนเหลือพื้นที่เล็กที่สุดแล้วยังตกลงไม่ได้ เรื่องเกาะโลซิน ทางมาเลเซียเห็นว่า มีบ่อน้ำมันอยู่ตรงกลางหากแบ่งพื้นที่คนละครึ่งจะมีปัญหาแย่งกันสูบน้ำมันจึงเสนอการพัฒนาร่วมกัน

กรณี ไทย กัมพูชา จึงผิดแผกแตกต่างจากทุกกรณีที่เคยมีมา เรียกว่า เกิดขึ้นแบบย้อนเกล็ด คือ เกิด MOU ขึ้นก่อน แล้วอ้างว่า MOU เป็นกรอบการเจรจา และอาจขัดพระบรมราชโองการ เพราะนำเส้นเขตแดนทางทะเลที่ผิดกฎหมายสากลของกัมพูชามาใส่ไว้ในแผนที่แนบท้าย แม้จะเขียนไว้ในข้อ 5 ของ MOU ว่าไม่ได้ยอมรับเส้นของกัมพูชา แต่การรับรู้ถึงเส้นอ้างสิทธิที่ผิดกฏหมาย ก็ถือว่า ขัดกับหลักการเดิมโดยสิ้นเชิง

ดร.สุรเกียรติ์ กล่าวถึงข้อดีของ MOU 44 ผมขอโต้แย้งดังนี้
1. เป็นครั้งแรกที่ตั้งคณะกรรมการเจรจา ไม่มีการเสียดินแดน

ม.ล.กรกสิวัฒน์ เห็นว่า ไม่ถูกต้อง เพราะเคยมีการเจรจามาแล้ว 3 ครั้ง ใน พ.ศ. 2513 พ.ศ. 2535 และพ.ศ. 2538 ไทยยึดกรอบกฎหมายสากลทางทะเลในการเจรจา กัมพูชาไม่ยอมปฏิบัติตามกฏหมายสากลจึงเจรจาไม่ได้ หากไทยอ่อนข้อให้กัมพูชาละเมิดกฎหมาย ไทยมีแต่จะเสียเปรียบ

2. ดร.สุรเกียรติ์ กล่าวว่าเจรจาผลประโยชน์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องเจรจาเรื่องเส้นเขตแดนที่ทับซ้อนกันอยู่เป็น Indivisible Package ที่แบ่งแยกไม่ได้

ม.ล.กรกสิวัฒน์ เห็นว่าข้อนี้อันตราย เพราะกัมพูชาจะยอมเจรจาเส้นเขตแดน 11 องศาเหนือบริเวณเกาะกูดทั้งที่ตามกฎหมายทะเลเป็นของไทยอยู่แล้ว ส่วนพื้นที่ใต้เส้น 11 องศาเหนือ ก็ขุดปิโตรเลียมไปพร้อมกัน แบ่งเงินค่าภาคหลวงกันคนละคนละครึ่ง หากทำเช่นนี้เมื่อใด ก็ตกลงหลุมพรางทันที กัมพูชาจะเอาหลักฐานการแบ่งค่าภาคหลวงซึ่งถือเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ขึ้นศาลโลกและแบ่งพื้นที่ใต้เส้น 11 องศาเหนือครึ่งหนึ่ง เรียกว่าเสียทั้งปิโตรเลียมเสียทั้งดินแดนไปพร้อมกันแบบ Indivisible Package เรียบร้อยโรงเรียนกัมพูชา!!!

3.  ดร.สุรเกียรติ์ กล่าวว่า MOU จะไม่กระทบต่อการอ้างสิทธิของไทยและกัมพูชา หากการเจรจาล้มเหลว

ม.ล.กรกสิวัฒน์ เห็นว่าข้อนี้ เสียเหลี่ยมให้กัมพูชา เพราะเส้นเขตแดนทางทะเลของกัมพูชานั้นนำไปอ้างที่ไหนในโลกไม่ได้เพราะผิดกฎหมายสากล แต่กลับปรากฏขึ้นในเอกสารราชการไทยที่ลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศและนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยนำมาลงนามในแถลงการณ์ร่วม ก็จะกลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ให้กัมพูชานำมาอ้างในอนาคตได้เช่นกัน

ส่วนประเด็นที่ ดร.สุรเกียรติ์ ตั้งคำถามว่า หากยกเลิก MOU 44 แล้วจะได้ความตกลงที่ดีกว่านี้หรือไม่ ขอตอบว่ามี คือใช้กฎหมายสากลระหว่างประเทศเป็น กรอบในการเจรจา เหมือนกับกรณีที่เจรจากับมาเลเซีย เวียดนาม และพม่า จนประสบความสำเร็จมาแล้ว

ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านอาจารย์ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ทำเรื่องนี้ด้วยความสุจริตใจ และหวังดีต่อชาติบ้านเมือง แต่ข้าราชการบางคนกลับให้ข้อมูลท่านไม่ถูกต้องในการตัดสินใจ ผมกราบขออภัยท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงที่จำเป็นต้องโต้แย้ง เพราะ หากให้ MOU 2544 เดินหน้าต่อไปจะ เป็นเรื่องอันตรายต่อบ้านเมืองในอนาคต”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 ธันวาคม 2567

“เลขาฯพปชร.เตรียมดำเนิน คดีแพ่ง-อาญา บุคคลทั้งที่เคยและไม่เคยเป็นสมาชิกพรรค ที่พูดพาดพิงให้ชื่อเสียงพรรคและบุคคลในพรรคเสียหาย ย้ำ เอาผิดให้ถึงที่สุด

,

“เลขาฯพปชร.เตรียมดำเนิน คดีแพ่ง-อาญา บุคคลทั้งที่เคยและไม่เคยเป็นสมาชิกพรรค ที่พูดพาดพิงให้ชื่อเสียงพรรคและบุคคลในพรรคเสียหาย ย้ำ เอาผิดให้ถึงที่สุด

วันนี้(29 พ.ย.)นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมการฝ่ายกฎหมายของพรรคพลังประชารัฐ ได้เปิดเผยว่า ตามที่ขณะนี้ปรากฏตามสื่อสารมวลชนต่างๆ มีบุคคลที่ทั้งเคยหรือไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์พาดพิงถึงพรรคหรือบุคคลในพรรคในลักษณะที่ใส่ความอันเป็นเท็จ ทำให้พรรคหรือบุคคลในพรรคถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทางเสียหายต่อชื่อเสียง ทำให้ประชาชนที่รับชมสื่อต่างๆเกิดความเข้าใจผิดว่า พรรคหรือบุคคลในพรรค ไปเกี่ยวข้องกับผู้ถูกเจ้าหน้าที่กล่าวหาว่ากระทำผิดความผิด ทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของพรรคและบุคคลในพรรค

“ฝ่ายกฏหมายของพรรคกำลังรวบรวมพยานหลักฐานจากข่าวหรือคลิปข่าวที่บุคคลทั้งเคยหรือไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ในลักษณะใส่ความด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ทำให้พรรคเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง พรรคจะพิจารณาใช้สิทธิทางศาลเพื่อปกป้องชื่อเสียงและเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องของประชาชน ทั้งนี้พรรคจะมอบหมายให้ทนายความดำเนินคดีฟ้องต่อศาลแพ่งและศาลอาญา เพื่อเอาผิดบุคคลดังกล่าวจนถึงที่สุด” นายไพบูลย์ กล่าว 

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 ธันวาคม 2567

พล.อ. ประวิตร มอบบิ๊กอ๊อด ประชุมโอลิมปิค ติดตามความก้าวหน้า เจ้าภาพซีเกมส์ ครั้งที่ 33 เพิ่มเชียงใหม่ เจ้าภาพ แข่งฟุตบอลรอบคัดเลือก

พล.อ. ประวิตร มอบบิ๊กอ๊อด ประชุมโอลิมปิค ติดตามความก้าวหน้า เจ้าภาพซีเกมส์ ครั้งที่ 33 เพิ่มเชียงใหม่ เจ้าภาพ
แข่งฟุตบอลรอบคัดเลือก

วันนี้ (29 พฤศจิกายน 2567) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ได้มีการจัดการประชุมกรรมการบริหารคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ครั้งที่ 4 ประจำปี 2567 โดยวันนี้ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ        ได้มอบหมายให้ พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ประธานกิตติมศักดิ์ตลอดชีพฯ เป็นประธาน
การประชุมฯ แทน ซึ่งมีวาระสำคัญ คือการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในปีหน้า และการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ฤดูหนาว ครั้งที่ 9 ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงโครงการส่งเสริมการกีฬาเพื่อพัฒนาชาติไทยในพระบรมราชูปถัมภ์

ความก้าวหน้าของ สมาคมสหพันธ์กีฬาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAGF Office) เกี่ยวกับผลการประชุมมนตรีกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 2 จากผู้แทนชาติสมาชิก 11 ชาติ ที่เข้าร่วมประชุม เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยที่ประชุมมีมติอนุมัติชนิดกีฬา ประเภทกีฬา และรายการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พร้อมสนามแข่งขัน 3 จังหวัดเจ้าภาพ คือ กรุงเทพฯ ชลบุรี และสงขลา ประกอบไปด้วย 50 ชนิดกีฬา 105 ประเภทกีฬา 569 รายการ และกีฬาสาธิต อีก 3 ชนิดกีฬา ได้แก่ ชักกะเย่อ จานร่อน และกีฬาทางอากาศ นอกจากนี้ ได้อนุมัติบรรจุ 3 ชนิดกีฬา คือ กาบัดดี้ วู้ดบอล และเจ็ตสกี ให้สามารถจัดการแข่งขันได้ ซึ่ง กรุงเทพฯ จะใช้แข่งขันจำนวน 38 สนาม ชลบุรี 14 สนาม สงขลา 6 สนาม และจะเพิ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลรอบคัดเลือก ขณะที่ มาเลเซีย ยืนยันการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 34 ในปี 2570 แน่นอนแล้ว ส่วนการเตรียมเป็นเจ้าภาพของไทยในปีหน้านั้น สิ่งที่กำลังดำเนินการ คือการปรับปรุงสถานที่การปฏิบัติงานของคณะกรรมการจัดการแข่งขัน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน ธันวาคมนี้ การเตรียมข้อมูลต่างๆในการเตรียมทีมนักกีฬา ทั้งเรื่องทดสอบสมรรถภาพร่างกายนักกีฬา ความต้องการด้านงบประมาณ ที่เตรียมจะขออนุมัติงบกลางเพิ่มเติม เพื่อให้การเตรียมทีมนักกีฬาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

สำหรับความคืบหน้า การแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ฤดูหนาว ครั้งที่ 9 ที่เตรียมจะเปิดฉากขึ้นระหว่างวันที่ 7-14 กุมภาพันธ์ ปี 2568 ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน กับ 6 ชนิดกีฬา โดยจะมี 2 ชนิดกีฬาที่เริ่มแข่งขันก่อนพิธีเปิด คือ กีฬาฮอกกี้น้ำแข็ง และกีฬาเคอร์ลิ่ง โดยไทยเตรียมส่งนักกีฬาและเจ้าหน้าที่เข้าร่วมชิงชัยจำนวนทั้งสิ้น 132 คน นอกจากนี้ยังมีโครงการส่งเสริมการกีฬาเพื่อพัฒนาชาติไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สำหรับการพัฒนาการกีฬาของชาติ เพื่อส่งเสริมให้ยุวชน เยาวชน และประชาชนทั่วไปให้มีนิสัยรักการออกกำลังกาย และเล่นกีฬาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตสู่สังคมที่น่าอยู่ ห่างไกลยาเสพติดและอบายมุข มีโอกาสเข้าร่วมแข่งขัน พัฒนาทักษะและความสามารถในการเล่นกีฬาสู่ความเป็นเลิศอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ โดยให้มีการสนับสนุน การใช้วิทยาศาสตร์การกีฬา นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาศักยภาพนักกีฬา ภายใต้ความร่วมมือจากหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการกีฬาของประเทศทั้งจากภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ซึ่งจะมีพิจารณาโรงเรียนกีฬานำร่อง ประเภทต่างๆ ได้แก่ มวยไทย มวยสากล ฟุตบอล วอลเล่ย์บอล กรีฑา ตะกร้อ และกีฬาอื่นๆ ตามความถนัดของแต่ละภูมิลำเนา สำหรับพื้นที่ดำเนินการ คือ จังหวัดที่มีโรงเรียนกีฬาในสังกัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ ในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ

โดยประธานการประชุมยังได้เน้นย้ำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ร่วมเตรียมทีมนักกีฬา และความพร้อมด้านต่างๆ อย่างเต็มที่ ในการเตรียมเป็นเจ้าภาพกีฬาซีเกมส์ของไทยในปีหน้า พร้อมกำชับให้ใช้วิทยาศาสตร์การกีฬา และด้านโภชนาการ เข้ามาช่วยสนับสนุนผลักดันให้การเตรียมทีมมีประสิทธิภาพมากที่สุด รวมถึงเข้มงวดการงดใช้สารต้องห้ามอย่างเด็ดขาด และขอให้พิจารณาส่งเสริมเปิดโอกาสให้นักกีฬาหน้าใหม่ได้สร้างผลงานเพื่อพัฒนาตนเองด้วย โอกาสนี้ ประธานการประชุมได้กล่าวขอบคุณและให้กำลังใจ กับเจ้าหน้าที่และทุกสมาคมกีฬา เชื่อมั่นว่าทุกคนจะช่วยกันเตรียมความพร้อมได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งนี้เพื่อเป้าหมายความสำเร็จ ซึ่งจะนำความภาคภูมิใจมาสู่ประเทศชาติ และประชาชน ต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 พฤศจิกายน 2567

“พล.อ.ประวิตร”มอบหมาย สส.คอซีย์ ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม จ.ปัตตานี พร้อม ส่งเสบียงน้ำดื่ม-อาหารปรุงสุก เข้าพื้นที่บรรเทาความเดือดร้อนให้ ปชช.

“พล.อ.ประวิตร”มอบหมาย สส.คอซีย์ ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม จ.ปัตตานี
พร้อม ส่งเสบียงน้ำดื่ม-อาหารปรุงสุก เข้าพื้นที่บรรเทาความเดือดร้อนให้ ปชช.

วันนี้(29 พ.ย.)  นายคอซีย์ มามุ สส.ปัตตานี เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวถึง สถานการณ์อุทกภัยใน จ.ปัตตานีว่า ขณะนี้ยังมีปริมาณฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณน้ำเอ่อล้นตลิ่ง ในแม่น้ำสายหลัก โดยเฉพาะแม่น้ำปัตตานี และคลองตุยง ทำให้มีน้ำเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่เกษตร สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนจำนวนมาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จึงได้สั่งการให้ตนเข้าดูแลประชาชนในพื้นที่ เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนในเบื้องต้น และรับมือกับสถานการณ์วิกฤติในครั้งนี้ โดยการจัดหาอาหารปรุงสุกใหม่ และน้ำดื่ม เพื่อสนับสนุนร่วมกับหน่วยงานของภาครัฐ

“พล.อ.ประวิตร เป็นห่วงพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ฝนตกหนักในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  โดยเฉพาะพื้นที่ปัตตานี ที่มีประชาชนได้รับผลกระทบอย่างมาก เนื่องจากเป็นพื้นที่รับน้ำของ จ.ยะลา ส่งผลให้พื้นที่มีน้ำท่วมเป็นวงกว้าง จึงได้สั่งให้มีการติดตามสถานการณ์ และช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างใกล้ชิด”นายคอซีย์ กล่าว

นายคอซีย์ กล่าวต่อว่า เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ในช่วงที่เกิดภาวะน้ำท่วมเรายังได้จัดตั้งโรงครัว ที่ทำการ สส.ของพรรคพลังประชารัฐ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการกระจายอาหารให้ถึงมือพี่น้องประชาชน พร้อมทั้งมีการประสานกับหน่วยงานรัฐ เพื่อประเมินสถานการณ์ความรุนแรงของภัยธรรมชาติในครั้งนี้ เพราะถือว่าสถานการณ์น้ำท่วมมีความรุนแรงมากที่สุดในรอบ 30 ปี และหากฝนยังตกหนักต่อเนื่องไปอีก ตนเชื่อว่า จะส่งผลกระทบต่อพืชผลทางเกษตรอย่างแน่นอน โดยเรื่องนี้ตนจะประสานกับหน่วยงานรัฐ เพื่อหาทางช่วยเหลือเยียวยาความเสียหายของพืชผลทางการเกษตรต่อไป

ทั้งนี้ สถานการณ์ล่าสุดในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยังคงต้องเฝ้าระวัง สถานการณ์ปริมาณน้ำในเขื่อนบางลาง จ.ยะลา ซึ่งทางกรมชลประทานยังไม่มีการปล่อยน้ำจากเขื่อนลงมา หากสถานการณ์ฝนยังตกต่อเนื่อง จะส่งผลให้ปริมาณน้ำในเขื่อนเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นเมื่อถึงจุดวิกฤติของความจุน้ำในเขื่อน  กรมชลฯ จะปล่อยน้ำเพื่อบริหารจัดการน้ำในเขื่อน  อาจส่งผลให้มีปริมาณน้ำเข้าท่วมบ้านเรือนเพิ่มขึ้น ซึ่งประชาชนจะได้รับความเดือดร้อนอย่างยาวนานเช่นกัน ขณะนี้ทุกฝ่ายคาดหวังว่า ฝนจะมีการทิ้งช่วงหยุดตก เพื่อให้เกิดการเร่งระบายน้ำลงสู่ทะเล

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 พฤศจิกายน 2567