โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

วัน: 5 กุมภาพันธ์ 2025

“สส.พิมพ์พร“เผย เครือข่ายองค์กรงดเหล้า กังวล มาตรา 10 ของ ร่าง พ.ร.บ.คุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจถูกแทรกแซงจากผลประโยชน์ทางการค้า พร้อมแนะควรห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่สตรีมีครรภ์

,

สส.พิมพ์พร เผย เครือข่ายองค์กรงดเหล้า กังวล มาตรา 10 ของ ร่าง พ.ร.บ.คุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจถูกแทรกแซงจากผลประโยชน์ทางการค้า พร้อมแนะควรห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่สตรีมีครรภ์

เมื่อวันที่ 5 ก.พ.เวลา 10.00 น.ที่อาคารรัฐสภา น.ส.พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ สส.เพชรบูรณ์ เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรถึงข้อห่วงใยในสุขภาพของเยาวชนและประชาชนในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยเมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา ตนได้รับหนังสือแสดงข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากศูนย์ประสานงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า จังหวัดเพชรบูรณ์ ภาคีเครือข่ายร่วมและชมรมคนหัวใจเพชร เกี่ยวกับการแก้ไขพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับที่ พ.ศ….ซึ่งกำลังจะเข้าสู่ที่ประชุมสภาเพื่อพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ในสัปดาห์นี้

น.ส.พิมพ์พร กล่าวต่อว่า ทางเครือข่ายสนับสนุนและเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งในเรื่องของการเพิ่มความรับผิดชอบของผู้ขาย ด้วยการตรวจสอบอายุผู้ซื้อก่อนขาย รวมถึงการเพิ่มบทลงโทษทางเพ่ง การเพิ่มการตักเตือน การระงับการโฆษณา การพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตผู้ขาย ซึ่งจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกจะพบว่า กว่า 60% ของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนมักจะมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด

“เครือข่ายฯจึงมีความกังวลใจในมาตราที่ 10 ของร่างพ.ร.บ.ที่เสนอให้มีผู้แทนองค์กรที่เป็นนิติบุคคลด้านการผลิต นำเข้า หรือขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อมาเป็นกรรมการ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการถูกแทรกแซงจากผลประโยชน์ทางการค้า และไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์โลก และขาดแผนการปฏิบัติงานขององค์การอนามัยโลก ซึ่งเสนอแนะเพิ่มเติมในมาตราที่ 29 ในเรื่องห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่สตรีมีครรภ์ เพื่อประโยชน์ต่อการคุ้มครองสุขภาพแก่แม่และเด็กมากขึ้น รวมทั้งขอฝากถึงเรื่องการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าให้แก่เด็กและเยาวชน ดิฉันขอฝากไปยังกรรมาธิการและ สส.ในสภาฯให้รับข้อเสนอแนะดังกล่าวไว้พิจารณาด้วย“น.ส.พิมพ์พร กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 05 กุมภาพันธ์ 2568

พปชร.ซัด มาตรการแก้ฝุ่น PM 2.5 ของรัฐบาล ยังไม่ถึงแก่น เสนอภาษีฝุ่นพิษ จัดหอคอยฟอกอากาศ – คุมเข้มยานพาหนะ จี้ รัฐบาลแก้ปัญหาให้จริงจัง อย่าปล่อยให้กระทบสุขภาพของ ปชช.

,

พปชร.ซัด มาตรการแก้ฝุ่น PM 2.5 ของรัฐบาล ยังไม่ถึงแก่น เสนอภาษีฝุ่นพิษ จัดหอคอยฟอกอากาศ – คุมเข้มยานพาหนะ จี้ รัฐบาลแก้ปัญหาให้จริงจัง อย่าปล่อยให้กระทบสุขภาพของ ปชช.

วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568  เวลา 11.10 นาฬิกา ณ ห้องวันนี้(5 ก.พ.)เวลา 11.00 น.ที่อาคารรัฐสภา พรรคพลังประชารัฐ นำโดย นายชัยมงคล ไชยรบ รองหัวหน้าพรรค และ สส.สกลนคร เขต 5 ,นายฉกาจ พัฒนกิจวิบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และ สส.พังงา เขต 2 นายสุธรรม จริตงาม สส.นครศรีธรรมราช , นายคอซีย์ มามุ สส. ปัตตานี เขต 2 , นายวิริยะ ทองผา สส.มุกดาหาร เขต 1, นายกระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ สส.หนองคาย เขต 1 ,นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานกรรมการด้านวิชาการ,ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ที่ปรึกษาศูนย์นโยบายและวิชาการ,พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรค พปชร.ร่วมกันแถลงข่าวเกี่ยวกับมาตรการลดมลพิษและปัญหาฝุ่น PM 2.5

โดยนายฉกาจ กล่าวว่า ฝุ่น PM 2.5 สร้างผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งรัฐบาลควรเร่งแก้ไฃปัญหาอย่างเร่งด่วน และดำเนินมาตรการที่เป็นรูปธรรมและเข้มงวดให้มากขึ้น ตามที่รัฐบาลได้เคยกล่าวไว้กับประชาชนในช่วงรณรงค์หาเสียงว่า จะแก้ปัญหามลพิษของประเทศไทย และถูกบรรจุเป็นนโยบายของรัฐบาล แต่วันนี้พื้นที่ กทม.นั้นประสบปัญหาฝุ่น PM 2.5 จนกระทบต่อปัญหาสุขภาพของพี่น้องประชาชนในระยะยาว แต่รัฐบาลกลับไม่สนใจที่จะแก้ไข

“ผมไม่เข้าใจว่ารัฐบาลนี้ต้องการอะไร การท่องเที่ยวและหารายได้จากการพนันแต่ปัจจุบันประเทศไทยมีรายได้หลักจากการท่องเที่ยวของ 7,000,000 ล้าน บาทกระทบนักท่องเที่ยวเห็นได้จากที่ดอนเมืองไม่สามารถลงได้แต่ละรัฐบาลมีเพื่อนเป็นคนติดแทนที่จะมุ่งไปแก้ปัญหาฝุ่นที่คุณมองบ้างที่ประชาชนจะต้องไปผ่อนตรง ประชารัฐขอนำเอกชนไปยังกระทงให้รัฐรัฐบาลโดยทวีไปดำเนินการแก้ไขเป็นปัญา”

ด้านนายธีระชัย กล่าวว่า การแก้ปัญหาฝุ่นพิษจะต้องแก้ครบวงจร ในด้านปลายน้ำ รัฐบาลควรสร้างหอคอยยักษ์ฟอกอากาศในทุกเมืองใหญ่ ตามที่ประเทศจีนได้เคยดำเนินการ ต้นทุนไม่ถึงหนึ่งร้อยล้านบาท และล่าสุด มีการค้นคว้าที่ประเทศเนเธอร์แลนด์

ในด้านต้นน้ำ รัฐบาลจะต้องแก้ปัญหาการเผาเศษพืชในการปลูกข้าวโพด อ้อยและข้าว ซึ่งภาพถ่ายดาวเทียม  แต่ละปีมีจุดเผาในประเทศเพื่อนบ้านเกิดขึ้นมากกว่า 8 แสนจุด และเกิดขึ้นในไทยมากกว่า 2 แสนจุด

“วิธีแก้ปัญหาให้ได้ผลจริงจะต้องใช้มาตรการด้านการคลัง ให้ผู้นำเข้าและผู้ผลิตอาหารสัตว์และน้ำตาลต้องจ่ายภาษีฝุ่นพิษในอัตราสูงสุดถึง 100% ยกเว้นกรณีที่มีบริษัทเซอเวเยอร์รับรองว่าแปลงนั้นไม่มีการเผาในรอบ 12 เดือนก่อนหน้า โดยกระทรวงเกษตรกำหนดมาตรฐานขึ้นทะเบียนบริษัทเซอเวเยอร์ รวมทั้งให้ผู้ส่งออกข้าวต้องจ่ายภาษี 5% โดยเมื่อครบปีรัฐบาลคืนภาษีให้ อบต.และอบจ.ตามสัดส่วนการผลิตข้าว ยกเว้นแหล่งทีุ่มีการเผา

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีต้องเป็นประธานดังกล่าว รวมทั้งต้องจัดหารถตัดอ้อยชุมชน บังคับการเว้นระยะปลูกอ้อยเพื่อให้รถเข้าถึงได้ข้ามทุกแปลง รวมทั้งเครื่องมืออัดฟางข้าวชุมชน“นายธีระชัย กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 05 กุมภาพันธ์ 2568

พลังประชารัฐ ประกาศจุดยืนไม่เอากาสิโน จี้ รัฐบาลยุติการเสนอร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ วอนประชาชนร่วมปกป้องอนาคตประเทศ อย่าปล่อยให้คนไทยตกเป็นทาสการพนัน

,

พลังประชารัฐ“ประกาศจุดยืนไม่เอากาสิโน จี้ รัฐบาลยุติการเสนอร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ วอนประชาชนร่วมปกป้องอนาคตประเทศ อย่าปล่อยให้คนไทยตกเป็นทาสการพนัน

วันนี้(5 ก.พ.)เวลา 11.00 น.ที่อาคารรัฐสภา พรรคพลังประชารัฐ นำโดย นายชัยมงคล ไชยรบ รองหัวหน้าพรรค และ สส.สกลนคร เขต 5 ,นายฉกาจ พัฒนกิจวิบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และ สส.พังงา เขต 2 นายสุธรรม จริตงาม สส.นครศรีธรรมราช , นายคอซีย์ มามุ สส. ปัตตานี เขต 2 ,นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานกรรมการด้านวิชาการ,ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ที่ปรึกษาศูนย์นโยบายและวิชาการ,พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรค พปชร. ร่วมกันแถลงข่าวประกาศจุดยืนคัดค้านและต่อต้านร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ.

โดย นายชัยมงคล กล่าวว่า การเปิดบ่อนกาสิโนในประเทศจะทำให้ปัญหาการติดการพนันทวีความรุนแรงขึ้น รวมถึงสร้างผลกระทบต่อครอบครัว เช่น การใช้ความรุนแรงในบ้าน การหย่าร้าง และความล้มเหลว ทางการเงิน นอกจากนี้ การมีบ่อนกาสิโนจะเปลี่ยนค่านิยมในสังคม ส่งเสริมวัฒนธรรมการพนัน และทำให้ คนไทยเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิต เช่น ความเครียดจากหนี้สินและการฆ่าตัวตาย การเปิดกาสิโนอาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ในระยะยาวจะไม่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เนื่องการพนันไม่สร้างผลผลิตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงเป็นเพียงการโยกย้ายเงินจาก ผู้แพ้ไปสู่ผู้ชนะ ซึ่งเจ้าของกาสิโนคือผู้ได้ประโยชน์หลักแม้จะอ้างว่าจำกัดพื้นที่กาสิโนเพียง 10% แต่ตัวอย่างจากสิงคโปร์ที่กำหนดพื้นที่กาสิโนเพียง 3% กลับสร้างรายได้ถึง 70% ของอุตสาหกรรมบันเทิง แสดงให้เห็นว่าเป้าหมายของเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่แท้จริงอาจเป็นการเปิดบ่อนเสรีนั้นเอง

“ในอดีตรัชกาลที่ 5 เคยเสด็จไปมอนติคาโลและเห็นผลกระทบของกาสิโน ทรงตระหนักว่า หากเปิดในไทยจะเป็นหายนะต่อประเทศและประชาชน จึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกบ่อนเบี้ยในสมัยนั้น ซึ่งวันนี้ผมไม่เข้าใจว่าแนวคิดเช่นนี้ทำไมถึงเกิดขึ้นในประเทศของเรา หรือเป็นเพราะว่ารัฐบาลไม่สามารถหารายได้เข้าประเทศได้จากทางอื่นจึงปล่อยให้ประเทศชาติเกิดบาดแผลเพราะการพนัน“นายชัยมงคล กล่าว

ขณะที่ ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของร่างกฎหมายคาสิโนว่า มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการลงทุนและส่งเสริมการท่องเที่ยวยั่งยืน แต่ตนมองว่าเป็นเพียงแค่ “มายาคติ” ที่ขาดความละเอียดรอบคอบทางนโยบาย เนื่องจากการท่องเที่ยวไทยมีจุดขายจาก “ซอฟพาวเวอร์ทางวัฒนธรรมไทย” ที่แข็งแกร่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การเปิดบ่อนคาสิโนในประเทศไทยจึงไม่ได้เพิ่มเสน่ห์ให้ประเทศมากขึ้น ตรงกันข้ามเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้ คนไทยติดการพนันเพิ่มขึ้นเป็นการทำร้ายคนไทยด้วยกันเอง

ทั้งนี้ กฎหมายที่ร่างขึ้นไม่ต่างจากการตีเช็คเปล่าให้นักการเมืองตั้ง “คณะกรรมการนโยบาย” ขึ้นมา โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีอำนาจสูงสุดในการกำหนดหลักเกณฑ์สำคัญทุกอย่าง ปรากฏตามมาตรา 11 เช่น การให้ใบอนุญาต จำนวนใบอนุญาต จังหวัดที่อนุญาต เพื่อนำเข้า ครม. โดยจากปราศจากการประมูลแข่งขันผลประโยชน์ของรัฐส่วนค่าธรรมเนียมต่างๆ ก็อยู่ในกรอบ “ห้ามเกิน” ได้แก่ ค่าธรรมเนียมครั้งแรก 5,000 ล้านบาทต่อ 30 ปี หรือเฉลี่ยปีละ 166 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมรายปี 1,000 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการนโยบายฯ สามารถปรับลดลงได้ตามดุลยพินิจ และที่ร้ายที่สุดคือ เรื่องภาษีจาก “ยอดเงินพนัน” (Gross Gambling Revenue: GGR) ซึ่งในต่างประเทศถือเป็นรายได้หลักของรัฐ แต่ร่างกฎหมายใหม่นี้มอบอำนาจให้คณะกรรมการนโยบายฯ กำหนดเอง โดยไม่มีหลักประกันความโปร่งใส หากนักการเมืองเข้าไปเป็นเจ้าของบ่อนผ่านนอมินี เท่ากับเป็นการเปิดช่องให้นักการเมืองบางกลุ่ม “ชงเอง กินเอง” อย่างไร้การตรวจสอบและถ่วงดุล

ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวต่อว่า โครงการนี้ยังขาดการประเมินความเสียหายต่อสังคมจากผู้ติดการพนัน โดยงานวิจัยของสหรัฐฯ (ปี 2546) ชี้ว่า การพนันสร้างความเสียหายสูงถึง 700,000 บาทต่อคน ขณะที่ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้เก็บสถิติ ในประเทศไทยปี 2564 พบว่ามีผู้ติดพนัน 3.5 ล้านคน หากเปิดเสรีบ่อนการพนัน ผู้ติดพนันอาจเพิ่มเป็น 5 ล้านคน ดังนั้น อาจสร้างต้นทุนทางสังคมสูงถึง 3.5 ล้านล้านบาท โดยไม่มีหลักประกันว่า จะแก้ปัญหาบ่อนเถื่อนได้ เลยเพราะบ่อนเถื่อนไม่มีข้อจำกัดในการเข้าเช่นเดียวกับบ่อนถูกกฎหมายในร่างกฎหมายฉบับนี้ นโยบายนี้จึงถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย

ด้านนายสุธรรม กล่าวว่า การเปิดกาสิโนอาจเป็นช่องทางการฟอกเงินจากธุรกิจทุนสีเทาและคอร์รัปชัน และอาจทำให้กลุ่มทุนใหญ่ใช้อิทธิพลครอบงำนโยบายของรัฐบาลอีกทั้งการเปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติยังขาดการมีส่วนร่วมจากประชาชน และไม่มีมาตรการป้องกันผลกระทบที่ชัดเจน รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหาการพนันที่แพร่ระบาด ทั้งหวยใต้ดิน หวยประเทศเพื่อนบ้าน และการพนันออนไลน์ที่กำลังบั่นทอนเศรษฐกิจครัวเรือน และสร้างปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุนแรง ซึ่งการตั้งบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายไม่ใช่คำตอบของการแก้ไขปัญหาพนันทุกรูปแบบที่อยู่ในประเทศไทย ณ เวลานี้

“พรรคพลังประชารัฐเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการเสนอร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เข้าสู่ที่ประชุม ครม. พร้อมเชิญชวนประชาชนทุกภาคส่วนแสดงพลังคัดค้านผ่านการติดแฮชแท็ก #ไม่เอากาสิโน บนโซเชียลมีเดีย ทุกแพลตฟอร์ม เพื่อสร้างกระแสตระหนักรู้และปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ เพราะการพนันจะเป็นเหตุทำให้เศรษฐกิจของประเทศพังพินาศ และตามมาด้วยปัญหาครอบครัว รวมถึงยังปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนของประเทศถูกชึมซับการพนันด้วย“นายสุธรรม กล่าว

#พรรคพลังประชารัฐ #พปชร

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 05 กุมภาพันธ์ 2568