โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: ข่าวประชาสัมพันธ์

“ชาญกฤช” ไขข้อข้องใจ ทำไมนายกฯ คนที่ 30 ต้องชื่อ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” พร้อมปลุกพลังเงียบ เข้าคูหากาเบอร์ 37 และเลือกผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคพลังประชารัฐ

,

“ชาญกฤช” ไขข้อข้องใจ ทำไมนายกฯ คนที่ 30 ต้องชื่อ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” พร้อมปลุกพลังเงียบ เข้าคูหากาเบอร์ 37 และเลือกผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคพลังประชารัฐ

เมื่อวันที่ 9 พ.ค. 66 นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐ เปิด 5 คุณสมบัติของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่เหมาะสมจะก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ดังนี้

คุณสมบัติที่ 1 การลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ เพื่อผ่านการเลือกตั้งจากประชาชนทั้งประเทศตามวิถีประชาธิปไตย เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากประชาชน มีความสง่างามในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดังคำพูดของ พล.อ.ประวิตร ที่ระบุว่า “ถ้าผมไม่มีชื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง แล้วผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่าประชาชนเลือกผมด้วย ไม่ใช่กาบัตรเลือกคนอื่น แล้วผมเป็นแค่ผลพลอยได้ ผมจึงเลือกที่จะเป็นทั้งหัวหน้าพรรค ผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ผมมั่นใจว่า คะแนนที่ได้มานั้น ประชาชนเลือกผม” คุณสมบัติที่ 2 การเป็นมือประสาน 10 ทิศ สามารถทำงานกับฝ่ายการเมืองได้กับ​ทุกพรรค ทุกฝ่าย โดยเฉพาะการเป็นผู้จัดการประสานการจัดตั้งรัฐบาลเมื่อปี 2562 ดังปรากฎในผลโพล ที่ประชาชนต่างยกให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง และเป็นนายกรัฐมนตรีที่จะสามารถประสานงานจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างราบรื่น ไม่เกิดการแบ่งสี แบ่งขั้ว คุณสมบัติที่ 3 สามารถทำงานกับข้าราชการ และเข้าถึงคนรุ่นใหม่ โดยเปิดโอกาสให้เยาวชน นิสิต นักศึกษาเข้าพบ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันบ่อยครั้งอย่างเป็นกันเอง คุณสมบัติที่ 4 การเป็นผู้มากบารมี สามารถเชื้อเชิญบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ ให้มาร่วมกันแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน และทำงานขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้าโดยไม่สะดุด หรือไร้รอยต่อระหว่างเปลี่ยนผ่านรัฐบาล โดยเห็นได้จากดรีมทีมเศรษฐกิจของพรรค ซึ่งล้วนเป็นกูรูเศรษฐกิจระดับแนวหน้าของประเทศ และคุณสมบัติที่ 5 พล.อ.ประวิตร จะเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ เกิดความมั่นคงตลอดระยะเวลา 4 ปี โดยไม่ต้องเปลี่ยนตัวผู้นำกลางคัน ทำให้เกิดความต่อเนื่อง และเกิดความเชื่อมั่นทั้งประชาชนคนไทยและนักลงทุนต่างชาติ

“พล.อ.ประวิตร มีความพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าท่านจะเดินช้า แต่ระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ขาทั้งสองข้างของท่าน ได้ลงพื้นที่ไป 77 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนในทุกเรื่อง หวังให้ประชาชนพ้นจากความยากจนและคลายทุกข์ลงได้ ทั้งปัญหาที่ดินทำกิน ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง และปัญหาปากท้อง เช่นเดียวกับครั้งนี้ พล.อ.ประวิตร จะขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยสมอง สองมือ และประสบการณ์ที่มีของตัวท่านเอง ทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข และประชาชนอยู่ดีกินดี ขอเพียงพี่น้องประชาชนเปิดใจเลือก พล.อ.ประวิตร และเลือกพรรคพลังประชารัฐ เข้ามาทำหน้าที่ เพื่อทลายปัญหาความขัดแย้ง และนำพาประเทศไทยก้าวข้ามความยากจนไปได้อย่างยั่งยืน” นายชาญกฤช กล่าว

โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ ​ขอให้คนไทยใช้โอกาสการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ในวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค.นี้ พิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบในการเลือกผู้นำประเทศและผู้แทนฯ ของตัวเอง เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ จะเป็นการชี้ชะตาอนาคตประเทศไทยในอีก 4 ปีข้างหน้า พร้อมเชิญชวนประชาชนให้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค.นี้ และหากพรรคพลังประชารัฐคือคำตอบ โปรดอย่าลังเลที่จะเลือกหมายเลข 37 บนบัตรเลือกตั้งสีเขียว และเลือกผู้สมัครฯ ของพรรคทั่วประเทศ ผ่านบัตรเลือกตั้งสีม่วง เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย ให้ก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 พฤษภาคม 2566

“อุตตม – สนธิรัตน์” ควงคู่ร่วมแถลงสรุปนโยบายเศรษฐกิจโค้งสุดท้าย “อุตตม” ชูนโยบาย 3 เร่งด่วนทำทันที แก้ปัญหาเศรษฐกิจ-ปากท้อง ขณะที่ “สนธิรัตน์” โชว์เขตเศรษฐกิจพิเศษปาล์ม น้ำมัน พร้อมยกระดับเกษตรกรไทยเป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ย้ำนโยบายสาธารณสุขครบวงจร “ลุงป้อมขอพาหมอไปหา เอายาไปส่งถึงบ้าน”

,

“อุตตม – สนธิรัตน์” ควงคู่ร่วมแถลงสรุปนโยบายเศรษฐกิจโค้งสุดท้าย “อุตตม” ชูนโยบาย 3 เร่งด่วนทำทันที แก้ปัญหาเศรษฐกิจ-ปากท้อง ขณะที่ “สนธิรัตน์” โชว์เขตเศรษฐกิจพิเศษปาล์ม น้ำมัน พร้อมยกระดับเกษตรกรไทยเป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ย้ำนโยบายสาธารณสุขครบวงจร “ลุงป้อมขอพาหมอไปหา เอายาไปส่งถึงบ้าน”

วันที่ 4 พ.ค. 2566 ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ ดร.อุตตม สาวนายน ประธานคณะจัดทำนโยบายพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงษ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง ร่วมแถลงข่าวเรื่อง “สรุปนโยบาย โค้งสุดท้าย สู่การเลือกตั้งเป็นรัฐบาล พลังประชารัฐ” โดย ดร.อุตตม กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ได้พูดชัดเจนแล้วว่าพรรคพลังประชารัฐมีความพร้อมที่จะทำงานให้ประชาชน และทำให้บรรลุผลสำเร็จ โดยเริ่มจากนโยบายสำคัญคือการก้าวข้ามความขัดแย้ง ซึ่งถือเป็นนโยบายที่ครอบคลุม และอยู่เหนือทุกนโยบายของพรรค เพราะหากปราศจากการก้าวข้ามความขัดแย้งแล้ว เราก็ไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายที่ตอบโจทย์ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้ และไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลก็จะไม่สามารถส่งมอบอนาคตที่ดีให้ประชาชนได้อย่างเต็มที่ นอกจากนั้น พรรคยังมีนโยบายที่ชัดเจน และสามารถทำได้ทันที หากพรรคได้เข้าไปเป็นรัฐบาล ด้วยนโยบาย 3 เร่งด่วน ซึ่งภารกิจหลักเร่งด่วนที่ต้องทำทันที ได้แก่ 1. กระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นอย่างแท้จริง และทันที 2. เร่งเศรษฐกิจให้โต และเต็มตามศักยภาพให้ได้ และ 3. เร่งรัดการวางพื้นฐานการพัฒนาที่ยั่งยืนให้ประเทศและคนไทย พร้อมแก้ปัญหาความยากจน และความเหลื่อมล้ำอย่างครบวงจร ด้วยการแก้หนี้ เติมทุน เพิ่มทักษะและโอกาสให้ประชาชนคนตัวเล็กมีโอกาสทำมาหากินได้

“ในการปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ เราให้ความสำคัญตั้งแต่ระบบฐานราก โดยมุ่งเน้นให้เข้มแข็งตั้งแต่ฐานราก ไปจนถึงการพัฒนาเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ๆ ซึ่งวันนี้ ประเทศไทยต้องการการลงทุนขนาดใหญ่ ประเทศเรายังมีหลายอย่างที่เป็นจุดแข็งและสามารถขับเคลื่อนได้ทั้งเรื่อง BCG สุขภาพ รถยนต์ไฟฟ้า ดิจิทัล และการพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ เช่น การต่อยอด EEC สิ่งเหล่านี้พรรคมีแนวนโยบายที่ชัดเจน และสามารถทำได้จริง ซึ่งพรรคพลังประชารัฐจะทำให้เกิดขึ้น และทำให้เกิดการลงทุนที่คึกคัก เศรษฐกิจเดินหน้า นอกจากนี้ ยังมีเรื่องรัฐสวัสดิการที่จะทำให้คนไทยมีความเข้มแข็งและได้รับประโยชน์อย่างเท่าเที่ยม ทั่วถึง และเป็นธรรมอีกด้วย” ดร.อุตตม กล่าว

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายที่เป็นรูปธรรม เรื่องแรกที่จะทำคือใช้โครงสร้างกองทุนหมู่บ้าน (กทบ.) ดำเนินโครงการที่เคยทำไว้แล้ว โดยสนับสนุนเงินทุนให้กองทุนหมู่บ้าน กองทุนละ 2 แสนบาท ภายใต้วงเงินงบประมาณ 16,000 ล้านบาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งของฐานราก พร้อมต่อยอดให้พี่น้องในพื้นที่ใช้เงินกองทุนให้เกิดประโยชน์ เรื่องที่สองคือนโยบายภาคเกษตร การลดภาระค่าใช้จ่ายให้พี่น้องเกษตรกร คือนโยบายปุ๋ยคนละครึ่ง
เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้พี่น้องเกษตรกร พร้อมตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาปุ๋ย นอกจากนั้น ยังมีนโยบายที่จะให้ทุนการเพาะปลูกของเกษตรกร ครัวเรือนละ 30,000 บาท ครอบคลุม 8 ล้านครัวเรือน เพื่อแก้หนี้ และเพิ่มผลผลิตในพื้นที่ เราต้องการทำให้พี่น้องหลุดจากวังวนหนี้สิน มีรายได้เหลือ โดยการยกระดับพี่น้องเกษตรกรไปสู่ระบบสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษปาล์มน้ำมัน ซึ่งจะช่วยให้พี่น้องมีรายได้ที่มั่นคง

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ขณะที่นโยบายด้านสาธารณสุข พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายที่ครอบคลุม และได้ดำเนินการไปแล้วหลายเรื่อง โดยเน้นการป้องกันก่อนป่วยมากกว่าการรักษา เราจะใช้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพ.สต.) เป็นฐานหลัก เป็นเหมือนโรงพยาบาลหน้าบ้าน นอกจากนี้ ยังใช้เทคโนโลยีในการดูแลพี่น้องประชาชน ตามนโยบาย “ลุงป้อมขอพาหมอไปหา เอายาไปส่งถึงบ้าน” ผู้ป่วยไม่ต้องเข้าคิวรอที่โรงพยาบาล ไม่ต้องเดินทางไกล ลดภาระค่าใช้จ่าย สามารถใช้ รพ.สต. รักษาผ่านมือถือ ใช้ร้านขายยาเข้าระบบเทเลฟาร์มาซี ที่ผ่านมา เรายังได้ดำเนินการศูนย์ข้อมูลกลางของผู้ป่วยไปแล้วกว่า 1,064 โรงพยาบาล หากพี่น้องเจ็บป่วยก็มีฐานข้อมูล ทำให้สามารถรักษาได้ทันสถานการณ์ และมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ในอนาคตจะมีผู้ป่วยติดเตียงมากขึ้น เราจะสร้างอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่น 1 แสนตำแหน่ง เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยติดเตียง ให้ไม่เป็นภาระลูกหลานอย่างเดียว ขอเรียนยืนยันว่าทุกนโยบายสาธารณสุขของพรรคพลังประชารัฐ หากเราได้บริหารกระทรวงสาธารณสุขสามารถ ก็จะสามารถขับเคลื่อนทุกนโยบาย เพื่อทำให้คนไทยแข็งแรง เข้าถึงบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึง และเท่าเทียม

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 พฤษภาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” เข้าใจศักยภาพแรงงานไทย สานต่อนโยบายยกระดับแรงงาน เสริมสร้างทักษะ รับการเปลี่ยนแปลง สร้างรายได้ สร้างเศรษฐกิจมั่นคง

,

“พล.อ.ประวิตร” เข้าใจศักยภาพแรงงานไทย สานต่อนโยบายยกระดับแรงงาน เสริมสร้างทักษะ รับการเปลี่ยนแปลง สร้างรายได้ สร้างเศรษฐกิจมั่นคง

(วันที่ 1 พฤษภาคม 2566 ) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวเนื่องในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2566 ซึ่งตรงกับวันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ใช้แรงงานทุกคนว่า ตนตระหนักถึงหยาดเหงื่อของผู้ใช้แรงงานในประเทศ ที่ได้ทำประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม ตนขอให้ผู้ใช้แรงงานทุกท่านมีความสุข ร่างกายแข็งแรง และมีพลานามัยที่ดีในทุกๆ วัน พร้อมที่จะร่วมกันพัฒนาประเทศ ให้เจริญก้าวหน้า และขอให้ทุกคน ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพ เดินตามความฝันของตนเองที่วางไว้ ขออวยพรให้ทุกคนมีพลังใจ มีพลังงาน มีแรงทำงานต่อไป

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ในส่วนของพรรค พปชร.มี นโยบายในการยกระดับแรงงานให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ โดยเรามีเป้าหมายในการยกระดับภาคอีสานให้เป็นแหล่งงาน สร้างรายได้ สร้างเศรษฐกิจ เกิดแรงงานใหม่ให้กับในพื้นที่ ลูกหลานคนอีสานจะได้ไม่ต้องย้ายถิ่นฐานออกไปอยู่ที่อื่นหรือกรุงเทพฯ เพื่อประกอบอาชีพ เพราะเราจะผลักดัน นโยบายอีสานประชารัฐฯ สู่การพัฒนา สร้างเมืองอีสานให้มีเศรษฐกิจที่สมบูรณ์ และจะเชื่อมโยงระบบขนส่งคมนาคมที่ครอบคลุมทั้งการโดยสารและขนส่งสิงค้า เชื่อมโยงเศรษฐกิจระภูมิภาค เพื่อสร้างการค้าการลงทุนทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว พม่า กัมพูชา เวียดนาม จีน ดังนั้นแรงงานอีสานต้องรวย มีชีวิตที่ดี มีความมั่นคง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 พฤษภาคม 2566

ปุ๋ยคนละครึ่ง-กองทุนปุ๋ยประชารัฐ ลดต้นทุน เพิ่มรายได้เกษตรกร

,

ปุ๋ยคนละครึ่ง-กองทุนปุ๋ยประชารัฐ ลดต้นทุน เพิ่มรายได้เกษตรกร

พปชร.เอาใจเกษตรกร 8 ล้านครัวเรือน ชู “ปุ๋ยคนละครึ่ง” รัฐช่วยเหลือ 50% พร้อมตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ ลดต้นทุนการเพาะปลูก เพิ่มรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวไร่-ชาวนา

นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยถึงนโยบายด้านการเกษตร ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้ความสำคัญกับเกษตรกรทุกกลุ่ม มีนโยบายด้านการเกษตรออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อหวังแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติ

จากภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาปุ๋ยขยับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าปัจจุบัน ปัญหาราคาปุ๋ยแพงจะคลี่คลายลงบ้าง จากราคาวัตถุดิบในตลาดโลกที่เริ่มทยอยปรับลดลง แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เกษตรกรเกิดความไม่มั่นใจ และเป็นห่วงว่าราคาปุ๋ยเคมีที่แพงและผันผวนมาก จะกระทบต่อต้นทุนการเพาะปลูก รวมถึงรายได้ของเกษตรกรอาจไม่เพียงพอต่อภาระค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น

ที่สำคัญ ปีนี้ มีแนวโน้มว่า สถานการณ์ “ผลผลิตเกษตร” ของโลกลดลง จากปัญหา “ร้อน-แล้ง” และยังมีความ “ต้องการ” เพิ่มขึ้น ฉะนั้น เกษตรกรไทยจึงควรทำให้พืชผลทางการเกษตรมีศักยภาพในการแข่งขัน โดยรัฐบาลต้องเข้ามาช่วยดูแลให้เกษตรกรมีต้นทุนการเพาะปลูกที่ต่ำ อีกทั้ง จำหน่ายผลผลิตเกษตรให้ได้ในราคาสูง

ล่าสุด พรรคพลังประชารัฐ มีนโยบาย “ปุ๋ยคนละครึ่ง” ออกมาเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของเกษตรกร ทำให้สามารถซื้อปุ๋ยได้ในราคาถูก เนื่องจากรัฐบาลจะช่วยอุดหนุน 50 % พร้อมกับจัดตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ เพื่อรักษาเสถียรภาพ ซึ่งจะครอบคลุมเกษตรกร จำนวน 8 ล้านครัวเรือน เพื่อลดต้นทุนการเพาะปลูก ทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างยั่งยืน พร้อมฝากประชาชน พิจารณาเลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 และเลือกผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคทุกเขตทั่วทั้งประเทศ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย เพื่อก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 เมษายน 2566

“พล.อ.ประวิตร”นำทัพ พปชร.ปราศรัย จ.ฉะเชิงเทรา ส่งผู้สมัคร 4 เขต คนดี คนเก่งรับใช้ปชช. ลั่นลดราคาพลังงานทุกชนิดทันทีที่เป็น รบ.ชวน คนไทยก้าวข้ามความยากจนและความขัดแย้ง

,

“พล.อ.ประวิตร”นำทัพ พปชร.ปราศรัย จ.ฉะเชิงเทรา ส่งผู้สมัคร 4 เขต คนดี คนเก่งรับใช้ปชช. ลั่นลดราคาพลังงานทุกชนิดทันทีที่เป็น รบ.ชวน คนไทยก้าวข้ามความยากจนและความขัดแย้ง

เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2566 เวลา 17.50 น. พรรคพลังประชารัฐ ได้เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ บริเวณลานจอดรถวัดสมานรัตนาราม ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา นำโดย พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง และนายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง และ ดร.รัฐสภา นพเกต ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 เบอร์ 3 ,นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ผู้สมัคร ส.ส. เขต 2 เบอร์ 4, นายสายัณห์ นิราชผู้สมัคร ส.ส. เขต 3 เบอร์ 4 และ พล.ต.ท พิทักษ์ จารุสมบัติ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 4 เบอร์ 7 โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักมีประชาชน จำนวน 12,000 คน รอเข้าร่วมรับฟังการปราศรัย

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า วันนี้รู้สึกอบอุ่นที่มาพบปะพี่น้องประชาชนในวันนี้ ผมและพรรคพลังประชารัฐพร้อมแล้วที่จะทำงานรับใช้พี่น้องชาว จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อให้ จ.ฉะเชิงเทรา ได้เจริญรุ่งเรือง ฝากพรรคพลังประชารัฐด้วย พรรคได้เลือกคนดี คนเก่งมาเป็นผู้แทนของพี่น้องชาว จ.ฉะเชิงเทรา ทั้ง 4 เขตโปรดเลือกผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐทั้ง 4 เขต ด้วย และการเลือกพรรคพลังประชารัฐขอให้เลือก 37 ด้วย ทั้งนี้ อยากจะสื่อสารให้พี่น้องทราบว่า พรรคพลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมาย ทำนโยบายบัตรประชารัฐเพิ่มเป็น 700 บาทต่อเดือน ลดราคาน้ำมัน แก๊สหุงต้ม และค่าไฟฟ้าลงในทันทีเมื่อได้เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยน้ำมันเบนซินลดลง 18 บาท ต่อลิตร ดีเซล ลดลง 6.30 บาทต่อลิตร ในทันทีที่พรรคได้มาเป็นรัฐบาล รวมทั้งมีมาตรการลดราคาแก๊สหุงต้มเหลือ 250 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ที่สำคัญคือ ลดราคาค่าไฟฟ้าสำหรับบ้านที่อยู่ที่อาศัย เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย ภาคอุตสาหกรรม เหลือ 2.70 บาทต่อหน่วย

อย่างไรก็ตาม พลังประชารัฐจะทำทุกอย่างให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังนั้นขอฝากพี่น้องประชาชนทุกคนช่วยเลือกพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 และเลือกผู้สมัครทั้ง 4 เขตของพรรคด้วย ทั้งนี้เพื่อมอบความสุขให้กับประชาชนด้วยความจริงใจ นอกจากจะดูแลคนไทยทุกช่วงวัยทั้งเบี้ยผู้สูงอายุ โดย อายุ 60 ปี ได้รับการดูแล เดือนละ 3,000 บาท อายุ 70 ปี ขึ้นไป ได้รับการดูแล 4,000 บาท อายุ 80 ปีขึ้นไปจะได้รับการดูแล 5,000 บาท ช่วยดูแลผู้สูงอายุให้สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข นอกจากนี้ยังมีนโยบายดูแลสุภาพสตรีตั้งครรภ์ ตั้งแต่ 5 เดือนเป็นต้นไป เดือนละ10,000 บาท จนถึงคลอด และเมื่อคลอดออกมาแล้วจะดูแลไปจนถึง 6 ขวบ เดือนละ 3,000 บาท

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายมีเราไม่มีแล้ง ได้ลงพื้นที่ดูแลเรื่องน้ำหลายครั้งเพื่อดูแลแก้ปัญหาเรื่องน้ำให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะเรื่องน้ำเค็ม น้ำอุปโภค บริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร และได้ทำโครงการต่าง ๆ ให้กับพี่น้องชาว จ.ฉะเชิงเทรา เป็นจำนวนมาก เรื่องที่ทำกินได้มอบหนังสืออนุญาตทำประโยชน์หลายครั้ง โดยเฉพาะพื้นที่เขาตะเกียบ

พรรคพลังประชารัฐจะแก้ปัญหาความยากจน และก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน ด้วยการลดความเหลื่อมล้ำ การสร้างงาน สร้างรายได้ ยกระดับการศึกษา ยกระดับภาคอุตสาหกรรม และจะพัฒนาเขตพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC โดยการขยายเส้นทางถนนหมายเลข 304 ให้สะดวกในการคมนาคม ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

“ผมพูดไม่เก่ง แต่ทำงานและประสานประโยชน์ได้ทุกฝ่าย จะนำคนเก่ง ๆ มาร่วมมือกันทำงาน ก้าวข้ามความขัดแย้ง สร้างความรุ่งเรืองให้ประเทศ เราจะก้าวข้ามความยากจนและความขัดแย้งไปด้วยกัน ทำให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศมีความเป็นหนึ่งเดียว รักใคร่สามัคคีกัน ขอให้เชื่อมั่นใน พปชร. ผมขอประกาศกับพี่น้องว่าเราทำได้ พร้อมจะรับใช้ประชาชนให้มีความสุขต่อไป โดยการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค.นี้ โปรดเลือก พปชร.เบอร์ 37 และเลือกผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ขอฝาก พปชร.ไว้กับชาวฉะเชิงเทราด้วย” พล.อ.ประวิตร กล่าว

ด้านนายสนธิรัตน์ กล่าวปราศรัยว่า ขอให้ประชาชนศึกษาวิธีของการกาบัตรให้ดี เพราะครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ หลังการเลือกตั้ง ไม่ว่าฝ่ายไหนชนะการเลือกครั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐยืนยันชัดเจนว่า ไม่เป็นศัตรูกับใคร แต่จะเป็นกาวใจเชื่อมประสานทุกพรรค เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี หลังการเลือกตั้งจะต้องไม่ตีกันและไม่ขัดแย้ง ความคิดแตกต่างกันได้ แต่คนไทยต้องรักกัน วันนี้เรามาขอคะแนน โดยจะเป็นกาวใจเชื่อมทุกฝ่ายเพื่อดูแลประชาชน

อีกทั้ง พล.อ.ประวิตร สามารถประสานงานได้ทุกฝ่ายเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด และบุคลากรในพรรคของเราก็มีความรู้ ความสามารถ และเรายังมีมือเศรษฐกิจที่ดีที่สุด ตนจึงขอให้ประชาชนพิจารณาเลือกพรรคพลังประชารัฐด้วย

นายสันติ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐ มีนโยบายเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรประชารัฐ เดือนละ 700 บาท เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางได้มีเงินยังชีพ ปัจจุบันที่ผ่านเกณฑ์ทั้งหมด 14.5 ล้านคน หรือประมาณ 25% ของคนไทยทั้งประเทศ โดยพรรคมีแนวคิดให้พี่น้องกลุ่มเปราะบางที่ถือบัตรสามารถขึ้นทะเบียนเพื่อ ฝึกอบรมอาชีพ จำนวน 15 วัน และเมื่อผ่านการอบรมจะได้รับทุน จำนวน 30,000 บาทต่อคน เพื่อนำไปเป็นทุนในการประกอบอาชีพ โดยผู้ที่ถูกคัดเลือกจะผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้กลุ่มเหล่านี้มีอาชีพที่มั่นคง ก้าวพ้นจากความยากจน และเป็นผู้ประกอบการรายใหม่

นอกจากนี้ทางพรรคพลังประชารัฐยังมีโครงการที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จะสร้างประโยชน์ให้กับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก โดยการสร้างทางรถไฟทางคู่เริ่มจาก จ.บึงกาฬ มายัง จ.มหาสารคาม จ.กาฬสินธุ์ จ.ร้อยเอ็ด และ จ.สุรินทร์ มา จ.ปราจีนบุรี มา จ.สระแก้ว มา จ.ฉะเชิงเทรา จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคตามนโยบายที่จะพัฒนา “อีสานประชารัฐ”

ด้านนายอรรถกร หนึ่งในผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ กล่าวปราศรัยว่า ตนต้องขอบคุณชาวฉะเชิงเทราที่ให้ความเอ็นดูมากกว่า 10 ปีตั้งแต่สมัยคุณพ่อและวันนี้ตนมาขอคะแนนและขอความเอ็นดูจากพี่น้องอีก 1 สมัย ตนขอโอกาสได้เข้าสภาไปผลักดันการแก้ปัญหาเรื่องน้ำให้พี่น้องชาวฉะเชิงเทราทุกคน ทั้งนี้ ขอให้วันที่ 14 พ.ค.พี่น้องเข้าคูหากาเบอร์ 37 หากจำไม่ได้ให้คิดถึงนโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่จะเพิ่มจำนวนเงินในบัตรประชารัฐ จาก 300 เป็น 700


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 เมษายน 2566

ขอบคุณโหวต “ลุงป้อม” นายกฯ สมานฉันท์

,

ขอบคุณโหวต “ลุงป้อม” นายกฯ สมานฉันท์

“ลุงป้อม” ขอบคุณ ปชช. โหวตเป็นนายกฯ โดดเด่น “ก้าวข้ามความขัดแย้ง – นำจัดตั้งรัฐบาลราบรื่น” ประเดิมภารกิจสมานฉันท์ ตั้ง กก.คัดเลือกนโยบายเด็ดแต่ละพรรค มาบริหารประเทศ ย้ำอายุไม่ใช่อุปสรรค เดินช้า แต่คิดเร็ว-ทำเร็ว

เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 66 นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่สวนดุสิตโพล สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ ในหัวข้อ “นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ในสายตาประชาชน” ที่ยกให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ เป็นอันดับ 1 ของนายกรัฐมนตรี ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง และเป็นอันดับ 1 ของนายกรัฐมนตรีที่สามารถประสานงานจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างราบรื่น ว่า พล.อ.ประวิตร กล่าวขอบคุณประชาชนที่ร่วมกันโหวตให้ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีความโดดเด่นในทั้งสองด้านดังกล่าว ซึ่งผลโพลที่ออกมาสอดคล้องกับแนวคิด “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ที่ตนเองและพรรคพลังประชารัฐชูธงนำมาโดยตลอด พร้อมให้ความมั่นใจว่า จะพาคนไทยออกจากวังวนความขัดแย้งได้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อเดินหน้าพลิกโฉมประเทศไทยต่อไป

นายชาญกฤช กล่าวต่อว่า แนวคิดการก้าวข้ามความขัดแย้งของหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นความมุ่งมั่นที่พยายามทำลายกำแพงความแตกแยก และเป็นการประกาศเริ่มต้นประเทศไทยใหม่ ซึ่งได้เสียงตอบรับที่ดีจากสังคม โดยเฉพาะใจความสำคัญในจดหมายเปิดใจของ พล.อ.ประวิตร ได้พูดถึงแนวทางสมานฉันท์ที่น่าสนใจ คือ ภายหลังการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาคัดเลือกนโยบายที่ทุกพรรคการเมืองใช้ในการรณรงค์หาเสียง เพื่อนำมาปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริง โดยไม่ได้เกี่ยงว่าเป็นพรรคใหญ่ พรรคเล็ก หรือเป็นพรรคการเมืองฝ่ายใด หากนโยบายเหล่านั้นเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เพราะเชื่อว่านโยบายของทุกพรรคการเมืองผ่านการกลั่นกรองมาในระดับหนึ่งแล้ว และมองว่า การเมืองไม่มีผู้ชนะเด็ดขาด และไม่มีฝ่ายใดต้องแพ้ราบคาบ ทุกคนทุกฝ่ายต้องตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องช่วยกัน ร่วมมือกันฟื้นฟูและพัฒนาประเทศให้เดินไปข้างหน้าอย่างเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลก จึงหมดเวลาที่คนไทยจะทะเลาะกันเอง

นายชาญกฤช ยังให้ความมั่นใจด้วยว่า พล.อ.ประวิตร มีความพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี แม้จะอยู่ในวัย 78 ปี ก็ไม่ถือเป็นอุปสรรค ดังคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.ประวิตร ที่เปิดเผยถึงกลยุทธ์ในการทำงานที่ประสบความสำเร็จ ผ่านเทคนิคการบริหาร คือ “ช้า เร็ว หนัก เบา” โดยยอมรับว่า ตัวเองเดินช้า แต่คิดเร็ว ทำเร็ว ตัดสินใจเร็ว เป็นคนหนักแน่น ไม่หูเบา ส่วนที่เบา คือ เป็นคนไม่มีภาระ ไม่มีครอบครัว ไม่มีห่วง จึงทำงานเพื่อประชาชนและส่วนรวมได้อย่างเต็มที่

“ถึงแม้ว่า พล.อ.ประวิตร จะเดินช้า ขาไม่ดี แต่ระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ขาทั้งสองข้างของ พล.อ.ประวิตร ได้ลงพื้นที่ไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชน ทั้งการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง ปัญหาความยากจน รวมถึงการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย จนประเทศไทยสามารถปลดใบเหลืองจากสหภาพยุโรปได้สำเร็จ คนไทยไม่ต้องเดือดร้อนจากการถูกกีดกันการส่งออกสินค้าประมง เหล่านี้เป็นผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ และเป็นที่ยอมร้บอย่างกว้างขวาง” นายชาญกฤช กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนหัวข้ออื่นๆ ที่ประชาชนยังไม่เทคะแนนให้กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ทางพรรคฯ ขอน้อมรับเพื่อนำไปปรับปรุง และเสริมให้เป็นจุดแข็งต่อไป พร้อมฝากประชาชนพิจารณาเลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 และเลือกผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคทุกเขตทั่วทั้งประเทศ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย เพื่อก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 19 เมษายน 2566

“พล.อ.ประวิตร ” ขอบคุณ เจ้าหน้าที่-พนง. ผู้ปิดทองหลังพระ ไม่หยุดฉลองสงกรานต์ อดรวมญาติวันครอบครัว หวังอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยชาวบ้าน พร้อมยกให้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสุขของคนไทยทั้งประเทศ

,

“พล.อ.ประวิตร ” ขอบคุณ เจ้าหน้าที่-พนง. ผู้ปิดทองหลังพระ ไม่หยุดฉลองสงกรานต์ อดรวมญาติวันครอบครัว หวังอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยชาวบ้าน พร้อมยกให้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสุขของคนไทยทั้งประเทศ

เมื่อวันที่ 14 เม.ย. นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคพลังประชารัฐ ขออนุญาตใช้พื้นที่สื่อมวลชนกล่าวขอบคุณไปยังเจ้าหน้าที่และพนักงานให้บริการประชาชน อาทิ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ทหาร พนักงานรักษาความปลอดภัย แพทย์-พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัคร หน่วยกู้ชีพ กู้ภัย พนักงานขับรถสาธารณะ และพนักงานให้บริการอื่นๆ ที่ยังคงต้องทำงานรับผิดชอบต่อภารกิจ คอยอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนทั่วไปในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ ปี 2566 โดยไม่ได้เดินทางกลับภูมิลำเนา หรือเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ เพื่อพักผ่อนและร่วมสังสรรค์กับครอบครัว พ่อแม่ ญาติสนิท มิตรสหาย ซึ่งเป็นโอกาสที่ทุกคนในครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน โดยเฉพาะในวันที่ 14 เมษายน ที่ตรงกับวันครอบครัว โดย พล.อ.ประวิตร มองว่ากลุ่มคนเหล่านี้ ถือเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสุขของผู้คนจำนวนมากในช่วงเทศกาลสงกรานต์

“ทุกเทศกาล ไม่ว่าจะปีใหม่หรือสงกรานต์ เจ้าหน้าที่และพนักงานเหล่านี้ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย บางคนทำงานเกือบ 24 ชั่วโมง โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้เดินทางกลับภูมิลำเนา กลับไปเยี่ยมญาติ และร่วมรื่นเริงกับเทศกาลสงกรานต์ด้วยความสะดวกและปลอดภัย รวมถึงการสอดส่องดูแลความมั่นคงและความสงบสุขภายในบ้านเมือง เช่น สกัดกั้นยาเสพติด การลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ที่ผู้ก่อเหตุมักจะอาศัยช่วงวันหยุดเทศกาลดำเนินการ ผมขอชื่นชมเจ้าหน้าที่และพนักงานเหล่านี้ ที่เปรียบเสมือนผู้ปิดทองหลังพระ” นายชาญกฤช กล่าว พร้อมชูนโยบายพรรคพลังประชารัฐ ที่จะเข้ามายกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่ม และทำให้สังคมไทยน่าอยู่ ผ่านนโยบายสังคมสีขาว โดยมีเป้าหมายในการปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด ผู้มีอิทธิพลอาชญากรรมข้ามชาติ แก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น หนี้นอกระบบ แชร์ลูกโซ่ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมฝากให้ประชาชนพิจารณาเลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 และเลือกผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคทุกเขตทั่วทั้งประเทศ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย เพื่อก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 14 เมษายน 2566

“ศ.ดร.นฤมล” สะท้อนสนามเลือกตั้งกทม.แข่งขันเดือดกว่าปี62 โค้งสุดท้ายเป็นตัวตัดสิน หวังคนกทม. ให้โอกาสพปชร.ได้เสียงไม่น้อยกว่าเดิม

,

“ศ.ดร.นฤมล” สะท้อนสนามเลือกตั้งกทม.แข่งขันเดือดกว่าปี62 โค้งสุดท้ายเป็นตัวตัดสิน หวังคนกทม. ให้โอกาสพปชร.ได้เสียงไม่น้อยกว่าเดิม

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกและกรรมการบริหาร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงมุมมองการเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครว่า ส่วนตัวเองมองว่าหากให้ประเมินล่วงหน้าขณะนี้ความแม่นยำจะน้อย ต้องดูช่วงใกล้ๆหรือโค้งสุดท้ายของเลือกตั้งว่าแต่ละพรรคจะมีอาวุธลับอะไรออกมา แต่หากถามเป้าหมายของพปชร.พยายามจะรักษาฐานคะแนนเสียงเดิมที่เคยทำไว้ในปี 2562 ที่ได้กว่า 7.9 แสนเสียงและหากเพิ่มได้ก็คาดหวังจะไปสู่ระดับ 1 ล้านเสียง

“ ปี ’62 เราได้ส.ส.มา 12 ที่นั่งเราก็พยายามรักษาไว้แต่ยอมรับว่าเมื่อมีการแตกเป็น 2 พรรคไปแล้ว และยังมีผู้เล่นที่เพิ่มขึ้นอื่นๆอีก การแข่งขันสูงขึ้นกว่าเดิมในปี 66 นี้ เราถึงต้องพยายามคัดผู้สมัครส.ส.ไปลงพื้นที่แบบเข้มข้น ส่วนตัวมองว่าอะไรก็เป็นไปได้หมด คนกทม.เองมีลักษณะเป็นคนเปิดกว้าง และพร้อมเปิดโอกาสให้กับพรรคและคนที่เสนอตัวทำงาน การกาบัตรให้ไม่ได้ขึ้นอยู่นโยบายเพียงอย่างเดียว แต่เขาเลือกที่แคนดิเดตนายก แล้วก็เลือกพรรคว่ามีจุดยืนอย่างไรตรงกับ ที่เขารู้สึกว่าอยากให้ประเทศเดินไปแบบไหนในช่วงนั้นด้วย ประเมินวันนี้เลยตอบยาก ต้องดูช่วง2-3สัปดาห์สุดท้ายก่อนเลือกตั้ง”ศ.ดร.นฤมลกล่าว

สำหรับจุดยืนทางการเมือง พรรคพปชร.ได้ย้ำเสมอในหลายเวทีว่า ไม่ทะเลาะกับใครแน่ๆ ให้มันจบในสภาฯ และไม่มีทางที่จะร่วมมือกับผู้ที่ทุจริต คอร์รัปชั่น และไม่เห็นด้วยที่จะก่อรัฐประหารอีกครั้งและหากพปชร.ไม่สามารถรวบรวมเสียงสภาล่างได้เกินกึ่งหนึ่งก็จะไม่ฝืน แต่พรรคเองก็ยังคงเดินหน้าต่อไปผ่านคนรุ่นต่อๆไปที่จะมารับช่วงต่อในการเป็นสถาบันทางการเมือง

ทั้งนี้นโยบายของพปชร.ที่ชูแคมเปญก้าวข้าวความขัดแย้งนั้น หากมองย้อนไปเป็นจุดยืนเดิมตั้งแต่ปี 62 แล้วเพียงแต่ตอนนั้นช่วง1-2สัปดาห์สุดท้ายหาเสียงได้เกิดแคมเปญ ความสงบ จบที่ลุงตู่ ซึ่งวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนจุดยืนคือไม่ทะเลาะกับใครและไม่อยากให้ประชาชนลงถนนมาทะเลาะกันเอง อยากให้พรรคฯเป็นสถาบันทางการเมือง ที่เดินหน้า ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยที่ให้ความเห็นต่างทั้งหลายจบในสภาฯ

อย่างไรก็ตามหากถามว่าแคมเปญนี้พอไหม ยอมรับว่าไม่เพียงพอ เพราะประชาชนคนไทยย่อมต้องการนโยบายที่ไปตอบโจทย์เรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้นในพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัดเองความต้องการในรายละเอียดก็ต่างกันออกไป จึงเป็นสิ่งที่พปชร.ได้เปิดเวทีต่างๆ ที่จะรับฟังปัญหาโดยตรงในการนำมาสู่การวางนโยบายที่จะเข้าถึงประชาชนในแต่ละพื้นที่ให้มากสุด ดังนั้นผู้สมัครของกทม.จึงนำเสนอสิ่งที่จะทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นก่อนเลยคือ ความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยเพราะพบว่ามีคนกรุงจำนวนมาก ที่ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยมองรูปแบบอาจเป็นภาครัฐร่วมเอกชน(PPP)พื้นที่อาจเป็นของรัฐแต่ให้เอกชนมาร่วมบริหารจัดการ ให้ธนาคารรัฐมาสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้เขามีบ้านเป็นของตนเองในที่สุด เพราะเมื่อมีความมั่นคงในชีวิตคุณภาพอื่นๆก็จะตามมา เป็นต้น

“ว่าที่ผู้สมัครส.ส.ที่คุยกันคือไม่อยากเห็นการนำเสนอนโยบายมาบลั๊ฟกันแล้วกลายเป็นภาระของคนไทยทั้งหมด การแจกเงินหรือประชานิยมจะทำให้ระยะยาวชาวบ้านเคยตัวและจะไม่แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้เลย จะเห็นว่าพปชร.โยบายไม่ได้มีเม็ดเงินที่จะให้อย่างเดียวเรามองครบทุกมิติแก้ไขที่ต้นเหตุ เช่น กรณีผู้พิการเขาไม่ได้อยากได้เงินอย่างเดียวนะ เขาอยากมีศักดิ์ศรีอยากมีงานทำ แก้ปัญหาต้นเหตุคือให้เขามีงานทำ วิชาชีพไหนที่จะรับเขาได้โดยใช้ธุรกิจเพื่อสังคม(SE) เข้าไปดำเนินการ ให้เขามีงานทำไม่ใช่มาพึ่งเบี้ยยังชีพผู้พิการอย่างเดียว นโยบายที่ดีต้องคำนึงถึงความยั่งยืนและคิดคำนึงถึงภาระการคลังหรือภาษีประชาชนที่ต้องจ่ายในอนาคต“ศ.ดร.นฤมลกล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 6 เมษายน 2566

“สนธิรัตน์” ประกาศ ทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ พร้อมทำงานทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล

,

“สนธิรัตน์” ประกาศ ทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ พร้อมทำงานทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล // ตั้งเป้าเพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศไทย // หนุนมิติความยั่งยืน ส่งเสริมเครื่องยนต์ Soft Power-การท่องเที่ยว สร้างรายได้เข้าประเทศ // ขยายเขตเศรษฐกิจพิเศษทั่วประเทศ ดึงดูดนักลงทุน

วันที่ 30 มี.ค. 2566 ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ ร่วมเวทีตอบคำถามจากภาคธุรกิจ พร้อมนำเสนอนโยบาย ในงานเสวนา “มุมมองของภาคธุรกิจต่อนโยบายขับเคลื่อนประเทศ” ซึ่งจัดขึ้นโดยหอการค้าไทย โดยมีตัวแทนภาคธุรกิจ เอกชน และพรรคการเมืองเข้าร่วม

นายสนธิรัตน์ กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ว่า ทันทีที่พรรคพลังประชารัฐเป็นรัฐบาล นโยบายด้านเศรษฐกิจหลักๆ ที่พรรคจะบูรณาการและทำทันที คือ 1. การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ด้วยมิติความยั่งยืน โดยการนำ BCG เป็นกรอบของการผลักดันนโยบาย ควบคู่มิติใหม่คือ ESG เช่น ในภาคการเกษตร ต้องสนับสนุนเรื่อง Smart Agriculture เพื่อให้เราเป็นฐานใหญ่เรื่องความสามารถในการแข่งขันภาคเกษตรของโลก 2. ส่งเสริมซอฟท์พาวเวอร์ และการท่องเที่ยวชุมชน ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่สำคัญของรัฐบาลในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ โดยการท่องเที่ยวที่ดีจำเป็นต้องเชื่อมโยงซอฟท์พาวเวอร์และเศรษฐกิจฐานราก อาทิ ชอฟท์พาวเวอร์สายศรัทธา อาหาร เป็นต้น 3. ต่อยอดโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ (อีอีซี) ให้เกิดประสิทธิภาพ และบรรลุผลตามที่เริ่มไว้ โดยเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ เช่น ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใต้ ตะวันตก และเหนือ เพื่อเป็นเครื่องยนต์ใหม่ในการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมของประเทศ เพราะอีอีซีไม่เพียงยกระดับอุตสาหกรรม แต่จะดึงดูดการลงทุน นักลงทุนเข้ามาในประเทศ

“ทันทีที่พรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล ซึ่งมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เป็นบุคคลที่นำพาประเทศก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อขับเคลื่อนสังคม เศรษฐกิจของประเทศ ให้ก้าวข้ามผ่านทุกวิกฤติ วันนี้ เราขอแสดงความมุ่งมั่นว่า พรรคพลังประชารัฐมีความพร้อม ทั้งในด้านนโยบาย และบุคคลากรที่มีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมือง พร้อมที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ทั้งนี้ในช่วงการตอบคำถาม นายสนธิรัตน์ ได้ตอบคำถามในประเด็นการส่งเสริมภาคธุรกิจเกษตร และอาหาร เรื่องนโยบายหรือแผนงานเกี่ยวกับการสร้างมูลค่าเพิ่ม และประสิทธิภาพการแข่งขันด้านการเกษตร และอาหารของประเทศไทยในเวทีโลกว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งของประเทศ แต่ปัญหาคือภาคเกษตรมีแรงงานเกี่ยวข้องมาก แต่ยังขายสินค้าเป็นชุมชน ซึ่งที่ผ่านมาพรรคพลังประชารัฐพยายามยกระดับ และเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการของกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ ยังต้องแก้ไขเรื่องการบริหารให้สอดรับกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อสร้างมูลค่า และความยั่งยืน

นายสนธิรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การนำสินค้าเกษตรไปสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้ไทยเป็นครัวของโลก จะต้องมีการสร้างแพลตฟอร์มด้านอาหาร และสินค้าเกษตรในระดับโลกที่เป็นของเราเอง เช่น นโยบาย From Farm to Table ที่เป็นจุดแข็ง และต้องเร่งสนับสนุน เพื่อนำสินค้าเกษตรไปสู่ระดับโลก และสอดรับกับซอฟท์พาวเวอร์การท่องเที่ยวของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม สินค้าเกษตรไม่เพียงแค่เรื่องอาหาร แต่ยังรวมถึงเรื่องพลังงาน คือการเปลี่ยนพืชเศรษฐกิจเป็นไบโอเจ็ท นอกจากนี้ ควรใช้จุดแข็งในการเป็นประเทศเกษตรกรรม ดำเนินการเรื่องคาร์บอนเครดิต เพื่อเป็นอีกช่องทางในการเพิ่มรายได้ให้ประเทศ ทั้งหมดนี้หากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล จะเร่งขับเคลื่อนในทันที เพื่อฟื้นเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาแข็งแกร่ง และสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 30 มีนาคม 2566

“เลขาฯสันติชูปาร์ตี้ลิสต์” พล.อ.ประวิตร”เบอร์ 1 – เลขาฯเบอร์ 2 มั่นใจ 20 ลำดับแรกยังเป็นเซฟโซน พร้อมผุด นโยบายเอาใจรากหญ้า ช่วยSME กู้ดอกเบี้ยเป็นธรรม

,

“เลขาฯสันติชูปาร์ตี้ลิสต์” พล.อ.ประวิตร”เบอร์ 1 – เลขาฯเบอร์ 2 มั่นใจ 20 ลำดับแรกยังเป็นเซฟโซน
พร้อมผุด นโยบายเอาใจรากหญ้า ช่วยSME กู้ดอกเบี้ยเป็นธรรม

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เปิดเผยว่า ขณะนี้พรรคได้เตรียมความพร้อมของการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครเป็นที่เรียบร้อย ทั้ง400 เขตแม้ว่ามีบางเขตมีผู้แสดงความจำนงเป็นผู้สมัครเกินกว่าจำนวน แต่วันนี้ได้ข้อสรุปแล้ว จากนั้นจะนำเข้าสู่กระบวนการไพรมารีโหวต สำหรับการทำสส.แบบบัญชีรายชื่อ กำลังได้ข้อยุติในเร็วๆนี้ รวมทั้งจะมีการปรับพื้นที่ในแต่ละภาค แต่ละจังหวัด ส่วนกลางของพรรคก็จะดูตามความเหมาะสม

“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 อย่างแน่นอน ในส่วนของลำดับถัดไป ก็น่าจะเป็นเลขาพรรค และตามมาด้วยคณะกรรมการบริหารพรรคท่านอื่น ๆ แต่เชื่อว่าจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อที่พรรคจะได้รับเลือกตั้งนั้น ลำดับที่ 1-20 ถือเป็นลำดับที่ปลอดภัย”

นายสันติ กล่าวต่อว่า ถ้าเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งเมื่อปี 62 พรรคพลังประชารัฐได้คะแนนเสียงประมาณ 8 ล้านเสียง โดยครั้งนี้เราตั้งเป้าหมายจะได้ 6 ล้านเสียง เพราะการลงพื้นที่ของ พล.อ.ประวิตร ได้รับกระแสตอบรับจากประชาชนดีมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด นั่นก็เป็นเพราะประชาชนเห็นถึงความมุ่งมั่นในการทำงาน ที่มุ่งแก้ไขปัญหาความยากจนให้ชาวรากหญ้า ทั้งราคาสินค้าเกษตร น้ำแล้งน้ำท่วม และยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย

นายสันติ ยังกล่าวต่อด้วยว่า พรรคพลังประชารัฐให้ความสำคัญ ในการแก้ปัญหาเรื่องหนี้สินของประชาชนให้เข้ามาอยู่ในระบบ เพื่อให้ดอกเบี้ยได้มาตรฐาน เพราะการอยู่นอกระบบจะมีอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 20-30% ซึ่งส่งผลกระทบคนยากจน เกษตรกร พ่อค้าแผงลอย ไม่ได้รับความเสมอภาค เพราะในสถานการออมของประเทศ ทำให้เงินอยู่ในระบบสถาบันการเงินมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่สถาบันการเงินมักจะพิจารณาการปล่อยสินเชื่อให้กับกิจการขนาดใหญ่เท่านั้น ในขณะที่ผ่านมา พรรค ได้รับเรื่อง คำร้องขอจากวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs รวมถึงแม่ค้าแผงลอย ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบกิจการ จึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 มีนาคม 2566

“ดร.ศันสนะ” ลุยธนบุรี-คลองสาน ผลักดัน “สวัสดิการผู้สูงวัย” เพิ่มเบี้ยยังชีพแบบขั้นบันได ให้สูงวัยอย่างมีคุณค่า ชราอย่างมีศักดิ์ศรี

,

“ดร.ศันสนะ” ลุยธนบุรี-คลองสาน ผลักดัน “สวัสดิการผู้สูงวัย” เพิ่มเบี้ยยังชีพแบบขั้นบันได ให้สูงวัยอย่างมีคุณค่า ชราอย่างมีศักดิ์ศรี

ดร.ศันสนะ สุริยะโยธิน ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตธนบุรี-คลองสาน พรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นพบปะประชาชนในพื้นที่เขตธนบุรี-คลองสาน เพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อน และนำเสนอนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะนโยบายสวัสดิการผู้สูงอายุ ซึ่งได้มีการปรับเพิ่มเบี้ยแบบขั้นบันไดให้ผู้สูงอายุในรูปแบบ 3 4 5 และ 6 7 8 โดยผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป จะได้รับเบี้ยยังชีพเพิ่มเป็น 3,000 บาท อายุ 70 ปี ขึ้นไป จะได้รับเบี้ยยังชีพเพิ่มเป็น 4,000 บาท และ อายุ 80 ปี ขึ้นไป จะได้รับเบี้ยยังชีพเพิ่มเป็น 5,000 บาท

“ผู้สูงวัยนั้นถือว่าเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลาน เป็นผู้ที่ได้ทำประโยชน์ดูแลประเทศชาติมายาวนาน และในช่วงชีวิตปั้นปลายก็จำเป็นที่ต้องได้รับการดูแลให้เต็มที่ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยไม่ให้เป็นภาระลูกหลาน พรรคพลังประชารัฐจึงผลักดันนโยบายเพิ่มเบี้ยผู้สูงวัย เพื่อให้เป็นผู้สูงวัยอย่างมีคุณค่า ชราอย่างมีศักดิ์ศรี” ดร.ศันสนะ กล่าว

นายศันสนะ กล่าวต่อว่า ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 62 ถึง 66 ตนได้ลงพื้นที่ติดตาม เยี่ยมเยียนกลุ่มผู้สูงวัยและผู้พิการมาโดยตลอดไม่เคยทอดทิ้งกัน ซึ่งในรอบ 4 ปีนี้พบว่ามีผู้สูงวัยที่ตนเคยได้ไปเยี่ยมเสียชีวิตไปจำนวนมาก ทั้งจากภาวะปกติ และจากการติดเชื้อโควิด-19 จึงเห็นว่ามาตรการการดูแลผู้สูงวัยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่ภาครัฐจะต้องให้ความสำคัญ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 17 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร”ติดตามงานจ.ชายแดนใต้ดันสู่ศูนย์กลางอาหารฮาลาล มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจใต้มั่นคง ชาวบ้านแห่ต้อนรับเชียร์นั่งนายกคนที่ 30

,

“พล.อ.ประวิตร”ติดตามงานจ.ชายแดนใต้ดันสู่ศูนย์กลางอาหารฮาลาล
มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจใต้มั่นคง ชาวบ้านแห่ต้อนรับเชียร์นั่งนายกคนที่ 30

เมื่อ 17 มี.ค.66 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. พร้อมด้วย รมช.กห. และคณะ ได้ลงพื้นที่ภาคใต้ เพื่อไปปฏิบัติราชการในการประชุมสัญจร คณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้.หรือ(กพต.)และติดตาม โครงการสำคัญตามแผนงาน พื้นที่ 3 จชต. โดย พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ชาวยโฆษกรองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าพล.อ.ประวิตร ได้เป็นประธานพิธี เปิดศูนย์การเรียนรู้ฟาร์มมาตรฐานการเลี้ยงวัว ตามกรอบระเบียงเศรษฐกิจฮาลาล จังหวัดชายแดนใต้และมอบพันธุ์กระถิน ,หญ้าเนเปียร์ ให้แก่เกษตรกร โดยได้กล่าวเปิดงาน ในฐานะประธาน กพต. ที่ต้องการสร้างอาชีพ เศรษฐกิจ และรายได้แก่ประชาชนในพื้นที่ ให้อยู่ดีกินดี และเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารฮาลาล ของโลกมุสลิม ต่อไป

จากนั้น ได้พบปะพี่น้องประชาชน ที่มาให้การต้อนรับ อย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง พร้อมทั้งได้ทำการมอบผ้าละหมาด และอินทผาลัมแก่ผู้แทน หน่วยงาน/องค์กร ในพื้นที่ 5 จชต. บริเวณห้องโถงอาคาร ม.ราชภัฎยะลา ซึ่งได้มีผู้แทนกล่าวขอบคุณ ในโอกาสที่ท่านให้การช่วยเหลือและสนับสนุนโครงการต่างๆ ต่อจากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.)ครั้งที่ 2/2566 ณ ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ม.ราชภัฎยะลา โดยได้เห็นชอบโครงการสำคัญ เพื่อการพัฒนาพื้นที่ จชต.ได้แก่โครงการพัฒนาสวนสาธารณะพรุบาโกย ให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ (Yala City Tower Entertainment Complex) ,โครงการยกระดับ จ.ยะลา ให้เป็นเมืองแห่งกีฬา จชต. (SPORT COMPLEX) และโครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงแผ่นดิน (แนวเส้นทางใหม่-อุโมงค์บ้านกระป๋อง) ระยะทาง 1.4 ก.ม.

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวชื่นชม กพต.,หน่วยงานด้านความมั่นคง และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วยประชาชนในพื้นที่ จชต. ที่ได้ให้ความร่วมมือ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ จนสามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนต่างๆของประชาชน อย่างได้ผล และมีความก้าวหน้าด้วยดีที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลจะเร่งผลักดันให้บรรลุผลสำเร็จตามประสงค์ของประชาชน โดยเร็วที่สุด เพื่อให้พี่น้องคนไทยทุกคน ทุกศาสนาในพื้นที่ จชต.ได้มีความอยู่ดีกินดีร่วมกัน ในสังคมที่มีความสงบสุข ร่มเย็น ภายใต้พหุวัฒนธรรม อย่างยั่งยืน ตลอดไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 17 มีนาคม 2566