โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: ข่าวประชาสัมพันธ์

“ธีระชัย” ชำแหละแผนชวนเชื่อรายย่อยลงทุน จีโทเคน ส่อสร้างปัญหาให้ปชช.รับความเสี่ยง จี้จุดอ่อนกฎหมายรองรับอาจไม่ชัดเจน แนะรัฐควรพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเงินดิจิทัลให้แน่นอนเสียก่อน

,

“ธีระชัย” ชำแหละแผนชวนเชื่อรายย่อยลงทุน จีโทเคน ส่อสร้างปัญหาให้ปชช.รับความเสี่ยง จี้จุดอ่อนกฎหมายรองรับอาจไม่ชัดเจน แนะรัฐควรพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเงินดิจิทัลให้แน่นอนเสียก่อน

วันนี้ (14 พ.ค. 2568) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ  พปชร. อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าวถึงกรณีที่กระทรวงการคลังเสนอคณะรัฐมนตรีจะออกพันธบัตรรัฐบาลในรูปแบบโทเคนดิจิทัล G-Token ว่า จะไม่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาประเทศไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลดังที่รัฐบาลโฆษณาชวนเชื่อ

นายธีระชัยกล่าวว่าวิธีการในการเปิดให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลนั้นมีอยู่แล้วในปัจจุบัน ด้วยกลไกผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ดังนั้น จึงต้องชี้แจงก่อนว่าการออกพันธบัตรรัฐบาลในรูปแบบ G-Token จะเพิ่มความสะดวกอย่างใดแก่ผู้ลงทุน โดยเฉพาะในเรื่องการขายคืน ซึ่งราคาในกองทุนรวมจะเป็นไปตามกติกาโดยมี ก.ล.ต. กำกับดูแล แต่กรณี G-Token ผู้ลงทุนจะต้องไปขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งราคาอาจจะผันผวนไปแต่ละชั่วโมงตามแรงเก็งกำไรได้

นอกจากนี้ ยังมีจำเป็นจะต้องมีเงื่อนไขบังคับ เพื่อไม่ให้ผู้ถือ G-Token นำไปใช้เพื่อชำระหนี้ตามกฎหมายแก่บุคคลอื่น เพราะจะเข้าข่ายเป็นเงินตราอย่างหนึ่งซึ่งจะต้องขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน

ส่วนกรณีที่นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่าการออก G-Token จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินการ จากเดิมที่ออกพันธบัตรมีค่าธรรมเนียมดำเนินการจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 0.03% ของกรอบวงเงินจำหน่ายนั้น ก็ขอให้แจกแจงว่ามีต้นทุนค่าใช้จ่ายจริงเท่าไหร่ และใครจะเป็นผู้ทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนโดยมีค่าธรรมเนียมเท่าใด รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นแล้วต่ำกว่า ธปท. อย่างไร ทั้งนี้ ขอแนะนำอย่าไปหมกมุ่นกับเงินที่รัฐบาลต้องจ่ายแก่ ธปท. เพราะเป็นองค์กรของรัฐ เงินไม่รั่วไหลไปไหน

นายธีระชัยแนะนำว่าการนำประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลให้สำเร็จนั้น มีเรื่องที่ต้องดำเนินการก่อนหลายอย่าง กล่าวคือ
(1) ต้องช่วยให้ประชากรเข้าถึงระบบอินเทอร์เนตอย่างกว้างขวาง
(2) ต้องให้ความรู้ทั้งในระบบโรงเรียนและในกลุ่มประชาคม
(3) ต้องพัฒนาธุรกิจการเงินแบบดิจิทัลให้กว้างขวางมากขึ้น
(4) ต้องกระตุ้นคนรุ่นหนุ่มสาวให้ลองทำธุรกิจขนาดย่อมด้านดิจิทัลให้มากขึ้น และ
(5) รัฐต้องให้บริการทางออนไลน์มากขึ้นรวมทั้งใช้บล็อกเชนในการบริหารราชการให้โปร่งใส

นายธีระชัยเห็นว่าการจะทำให้โทเคนเกิดขึ้นในหลักทรัพย์ต่างๆ (tokenization) จะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานครบถ้วน ทั้ง stable coin สกุลบาท ทั้ง smart contract   ทั้งระบบเคลียริ่ง และมีกฎหมายรองรับเรื่องเหล่านี้ทั้งหมดรวมไปถึงการนำโทเคนไปใช้เป็นหลักประกัน โดยต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเอกชนเป็นผู้ริเริ่ม ส่วนรัฐบาลเองไม่ควรมีหน้าที่ไปออกโทเคน ดังเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ยังไม่มีประเทศที่ระบบการเงินล้ำหน้าใดที่รัฐบาลเป็นผู้ออกโทเคนเอง

นอกจากนี้ นายธีระชัยมีความเห็นว่าถึงแม้กฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะมาตรา 10 วรรคหนึ่งเปิดให้ใช้วิธีการอื่นใดก็ได้ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ แต่ถ้าอ่านตามเนื้อความที่บัญญัติไว้ย่อมจะต้องหมายถึงหลักฐานแห่งหนี้ในทำนองเดียวกับสัญญาหรือตราสารหนี้ อย่างไรก็ดี นิยามโทเคนดิจิทัลในกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ไม่น่าจะเข้าข่ายเป็นหลักฐานแห่งหนี้ตามข้อบัญญัตินี้

“ผมขอแนะนำให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการออกโทเคนดิจิทัลมีกฎหมายรองรับอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ การพัฒนาโทเคนนั้น เป็นเพียงเสี้ยวเดียวของงานเศรษฐกิจดิจิทัลทั้งหมด แต่ไม่ใช่เรื่องที่มีความจำเป็นในลำดับต้น ดังนั้น การที่กระทรวงการคลังเอามาโปรโมทเป็นด่านหน้านั้น สะท้อนว่าคิดงานเป็นชิ้นๆแทนที่จะวางแผนเป็นระบบ ผมขอแนะนำให้ศึกษาแนวการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลให้ถ่องแท้ทะลุปรุโปร่งเสียก่อน มิฉะนั้นก็จะเป็นการวาดฝันสวยหรูแต่ไม่สามารถทำได้จริง ดังที่เกิดขึ้นกรณีโครงการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ที่หาเสียงเอาไว้ใหญ่โตเป็นนโยบายเรือธง แต่เวลาผ่านมาสองปีก็ยังทำไม่ได้” นายธีระชัยเตือน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 14 พฤษภาคม 2568

“เลขา พปชร.” แจง “อุตตม-สนธิรัตน์” ลาจากกันด้วยดี  ไปทำธุรกิจส่วนตัว

,

“เลขา พปชร.” แจง “อุตตม-สนธิรัตน์” ลาจากกันด้วยดี  ไปทำธุรกิจส่วนตัว

เมื่อเวลา 14.05 น. วันที่ 13 พ.ค. ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค พปชร.กล่าวถึงกรณีนายอุตตม สาวนายน และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ลาออกจากสมาชิกพรรค ว่า นายอุตตมและนายสนธิรัตน์ ได้ไปกราบลาพล.อ.ประวิตร เพื่อที่จะไปทำธุระเกี่ยวกับส่วนตัว ซึ่งส่วนงานของท่านก็ทำเรียบร้อยแล้ว และไปดำเนินการยื่นเรื่องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ทั้งนี้ ยืนยันว่า ที่ผ่านมาร่วมงานกันด้วยดีและก็จากกันด้วยดี

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 13 พฤษภาคม 2568

“โฆษก พปชร.” ทวงแรงถาม รัฐบาลกลัวอะไร กับ“กัมพูชา” ร้องเพลงชาติบนปราสาทตาเมืองธม   พร้อมแจงมติพรรค ตั้งทีมเศรษฐกิจ ธีระชัย นำทีม พร้อมเดินหน้าตรวจสอบด้านเศรษฐกิจรัฐ ชูนโยบาย พปชร. แก้ปัญหาปากท้องลงมือทำจริง  ซัด รบ. แก้ปัญหา ศก.ประเทศติดอันดับรั้งท้ายภูมิภาค ซ้ำเติมขึ้น“ภาษีน้ำมัน” ปชช. ต้องจ่ายแพงกว่าความเป็นจริง

,

“โฆษก พปชร.” ทวงแรงถาม รัฐบาลกลัวอะไร กับ“กัมพูชา” ร้องเพลงชาติบนปราสาทตาเมืองธม   พร้อมแจงมติพรรค ตั้งทีมเศรษฐกิจ ธีระชัย นำทีม พร้อมเดินหน้าตรวจสอบด้านเศรษฐกิจรัฐ ชูนโยบาย พปชร. แก้ปัญหาปากท้องลงมือทำจริง  ซัด รบ. แก้ปัญหา ศก.ประเทศติดอันดับรั้งท้ายภูมิภาค ซ้ำเติมขึ้น“ภาษีน้ำมัน” ปชช. ต้องจ่ายแพงกว่าความเป็นจริง

เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม เวลา 14.00 น.ที่พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย  โฆษกพรรคพลังประชารัฐ   กล่าวว่า ในการประชุมกรรมการบริหารพรรค  โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เป็นประธาน ได้พิจารณา ออกคำสั่ง แต่งตั้งทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ  โดยให้นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐฝ่ายเศรษฐกิจ เป็นหัวหน้าทีม หม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ เกษมศรี  เป็นรองหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ  พร้อมด้วย นายอัคร ทองใจสด นางสาวพิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์  นางสาวบุณณดา สุปิยะพันธุ์  และนายมนูญ พรหมลักษณ์ ร่วมคณะทีมเศรษฐกิจ  ซึ่งนับ เป็นทีมเศรษฐกิจคนรุ่นใหม่  และเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านการเงินการธนาคาร เศรษฐกิจระดับมหภาคและจุลภาค รวมถึงการแก้หนี้ครัวเรือน อย่างเชี่ยวชาญและชัดเจน

 ทั้งนี้ ทีมเศรษฐกิจทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์การบริหารราชการ ด้านเศรษฐกิจ ของรัฐบาล ในการดูแล ความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ที่จะนำไปสู่การเสนอแนะ ที่เป็นประโยชน์ แก่สังคม รวมถึงการนำเสนอนโยบายสำคัญ ในการแก้ปัญหาต่างๆ ของประเทศ เพื่อแสดงศักยภาพ และความพร้อมของพรรค โดยการขับเคลื่อนของ ทีมเศรษฐกิจ ที่พร้อม ลงมือทำงานได้ทันที อาศัยอำนาจตามข้อบังคับพรรดพลังประชารัฐ พ.ศ.2561 ดังนี้ โดย
1.การติดตามวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในรัฐสภาและภายนอกและทั้งในประเทศและในต่างประเทศ เพื่อวางแนวทางที่จะแถลงแนวทางในแต่ละเรื่องให้แก่ประชาชนได้รับทราบ โดยบางเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยประชุมรัฐสภาก็จะพิจารณาทำการแถลงข่าวจุดยืนร่วมกับ สส. ของพรรค
2. ประสานให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยรวบรวมข่าวและคำวิจารณ์ในสื่อต่างๆ ในแต่ละวัน เพื่อทีมเศรษฐกิจ จะได้พิจารณาแถลงข่าวเพื่อตอบโต้หรือเสนอแนะได้ทันท่วงที
3. ปฏิบัติงานอื่นตามที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าพรรค

ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้มีการหารือถึงปัญหาเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชนที่มีรายได้น้อย ที่ขณะนี้ได้รับความเดือดร้อนค่อนข้างมาก ซึ่งรัฐบาลขับเคลื่อนในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไปอย่างเชื่องช้าและไม่ถูกทิศทาง ก่อให้เกิดผลเสียต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ เห็นได้ชัดเจนจากสภาผู้ว่าการธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดระดับทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และเป็นที่น่าตกใจก็คือ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ลำดับทางเศรษฐกิจของประเทศไทยต่ำกว่าประเทศกัมพูชาและลาว โดยเราอยู่ในลำดับเกือบรั้งท้ายในแถบประเทศอาเซียน

“วันนี้พี่น้องประชาชนกำลังจะอดตาย แต่นายกรัฐมนตรียังปล่อยให้เพิ่มภาษีน้ำมัน สิ่งที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการแข่งขันทางด้านธุรกิจและการขนส่ง ในขณะที่ราคาน้ำมันลดลง แต่รัฐบาลกลับตัดแขนตัดขาประชาชนด้วยการเพิ่มภาษีน้ำมัน ทำให้ราคาแพงกว่าที่ประเทศเวียดนาม แล้วเราจะแข่งขันกับเขาได้อย่างไร“ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าว

“นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้พิจารณาถึงความคืบหน้าของกรณีที่นายทหารชั้นนายพล ได้นำชาวกัมพูชาจำนวนหนึ่ง ขึ้นมาร้องเพลงชาติกัมพูชา บริเวณปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ม และมีการบันทึกภาพและเสียง ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ล่วงละเมิดอธิปไตยของไทยในดินแดนของไทย แต่รัฐบาลไม่ดำเนินการประท้วงผ่านกระทรวงการต่างประเทศ หรือดำเนินคดี หรือดำเนินการใดๆ แต่อย่างใด เป็นลายลักษณ์อักษร หรือให้เป็นพยานหลักฐานในการต่อสู้คดีที่อาจเกิดขึ้นในภายภาคหน้าหากทางประเทศกัมพูชาจะเรียกร้องพื้นที่นี้เป็นอาณาเขตของประเทศตนเอง  พร้อมทั้งกล่าวว่า ไม่รูัว่ากลัวอะไรทางกัมพูชา อีกทั้ง รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมยังมีคำสั่งให้ทหารไทยถอยออกจากพื้นที่ที่เป็นอธิปไตยของประเทศ  ซึ่งในเรื่องนี้  ทางพรรคพลังประชารัฐ ได้เคยเรียกร้องให้ทางรัฐบาลดำเนินการประท้วง หรือท้วงติงเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังรัฐบาลกัมพูชา  ในการแถลงข่าว เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 จนถึงวันนี้ เป็นเวลาหลายเดือนแล้วยังไม่ได้รับคำตอบจากรัฐบาลแต่อย่างใด“

“ถ้าทหารและครอบครัวกลุ่มนั้นมาร้องเพลงชาติในห้องนอนของนายกฯ หรือในห้องนอนของท่าน รองนายกฯ ท่านจะยังนิ่งเฉย และสั่งให้คนในบ้านของท่านออกจากห้องนอน หรือออกจากบ้าน ไปอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านหรือไม่ ผมอยากรู้ว่า ท่านจะทำอย่างเดียวกับที่ท่านทำกับประเทศไทยหรือแผ่นดินไทยอันเป็นที่รักของเราหรือไม่ พรรคพลังประชารัฐต้องขอบคุณพี่น้องทหารหาญทุกท่านและพี่น้องประชาชนคนไทยที่รักชาติและแผ่นดิน วันนี้ประเทศไทยเป็นสุขได้เพราะบรรพบุรุษของไทยทุกคนช่วยกันรักและพิทักษ์ไว้ซึ่งแผ่นดินไทย เราจะไม่ยอมให้ประเทศเพื่อนบ้านเอาแผ่นดินของประเทศไทยไปแม้แต่นิ้วเดียว   รัฐบาลไทยกลัวอะไรถึงขนาดนี้  กลัวว่า จะมีการเพิกถอนสัญชาติของญาติท่านบางคน  หรือจะเอาญาติของท่านที่ไปแต่งงานกับคนใกล้ชิดท่านนายกฮุนเซน  เอามาคืนหรือ   พรรคพลังประชารัฐจะไม่ยอมให้ ผู้หนึ่งผู้ใดนำผืนแผ่นดินไทยไปแลกผลประโยชน์ ส่วนตนและเครือญาติโดยเด็ดขาด”พล.ต.ท.ปิยะ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 13 พฤษภาคม 2568

“ม.ล.กรกสิวัฒน์”ชี้ รบ.ขึ้นภาษีน้ำมัน ซ้ำเติมปากท้อง ประชาชน ไร้ความจริงใจ เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนมากกว่า ปชช.   แนะ รบ.ตั้งรับให้ดี หลัง ‘เวิลด์แบงก์-IMF’ กดจีดีพีไทยต่ำสุดในอาเซียน สูงกว่าแค่เมียนมา

,

“ม.ล.กรกสิวัฒน์”ชี้ รบ.ขึ้นภาษีน้ำมัน ซ้ำเติมปากท้อง ประชาชน ไร้ความจริงใจ เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนมากกว่า ปชช.   แนะ รบ.ตั้งรับให้ดี หลัง ‘เวิลด์แบงก์-IMF’ กดจีดีพีไทยต่ำสุดในอาเซียน สูงกว่าแค่เมียนมา

เมื่อวันที่ 13 พ.ค.เวลา 14.45 น.ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี รองหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการขึ้นภาษีน้ำมัน ที่เรียกว่า ประกาศกฎกระทรวง ที่มีการวางแผนกันล่วงหน้าว่า จะล้วงเงินจากกระเป๋าประชาชน เพราะมีการประกาศในราชกิจจาทันทีในวันที่ประชุม ค.ร.ม. ซึ่งต้นทุนราคาน้ำมันดิบเพียง 13 บาทต่อลิตร แต่ราคาหน้าปั๊มเมื่อบวกภาษีแล้วจึงไม่ควรเกิน 26 บาท แต่กลับอยู่ที่ 30-40 บาท

แสดงว่ารัฐบาลไม่ได้เห็นว่าจะต้องแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนจริงจัง ขณะที่ ประเทศไทยส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปไปขายที่เวียดนาม โดยเวียตนามมีราคาเบนซิน 95 อยู่ที่ 24 บาท น้ำมันดีเซลเราขายส่งไปให้เขาขายหน้าปั๊ม 21 บาท แต่เราขาย 30 กว่าบาท ทั้งที่ วันนี่ราคาน้ำมันดิบถูกมากๆ เพราะค่าเงินบาทแข็ง ที่รัฐบาลหาเสียงกันมาจึงเป็นการให้ความหวังประชาชน อย่างเลื่อนลอย

“ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลไม่มีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาให้ประชาชนจริงๆ เราไม่สามารถไว้วางใจรัฐบาลได้เลยในการจัดการเศรษฐกิจ ต้องบอกว่า ท่านไม่มีความสามารถที่จะแก้ปัญหา ถ้าตั้งข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่ง หรือเพราะท่านมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับกลุ่มทุนพลังงาน รักกลุ่มทุนพลังงานมากกว่ารักประชาชนหรือไม่ อันนี้ต้องให้ประชาชนตั้งคำถาม วันนี้เศรษฐกิจแย่ ต้องช่วยกันลดราคาน้ำมัน ช่วยกันลดราคาไฟฟ้า ถามว่ามันลดได้จริงไหม ลดได้จริง เพราะต้นทุนพลังงานต่ำแล้ว จึงขอให้ติดตามดูพฤติกรรมของรัฐบาลว่า จะทำจะสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนเมื่อไร แต่วันนี้กลับขึ้นภาษี ก็ต้องแสดงความเสียใจกับประชาชนด้วย“ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าว

ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ ธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จัดอันดับให้ประเทศไทยมีจีดีพีต่ำที่สุดในอาเซียน ชนะประเทศเดียวคือ พม่า เนื่องจากว่าการจัดการเศรษฐกิจที่ผิดพลาด จะมีการกู้เงินมากขึ้น โดยไม่เห็นว่า จะหารายได้จากไหน ขอฝากรัฐบาลว่าประเทศไทยไม่ได้อยู่โดดเดียว เรามีเพื่อนบ้านในแถบอาเซียนที่ทำได้ดีกว่าเรา หากไม่แก้ปัญหาและซ้ำเติมด้วยการไม่ลดราคาน้ำมันทั้งที่ทำได้ง่ายๆ เราคงแพ้แน่นอน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 13 พฤษภาคม 2568

“ธีระชัย” ส่องตัวเลขจีดีพีสิ้นหวัง ธ.โลกหั่นเหลือ 1.6%

,

“ธีระชัย” ส่องตัวเลขจีดีพีสิ้นหวัง ธ.โลกหั่นเหลือ 1.6% ไร้หนทางกระตุ้นแก้เศรษฐกิจชาติฟื้น รัฐบาลจนแต้ม อุ้มเพียงกลุ่มทุนใหญ่ไม่กระจายโอกาสสร้างเม็ดเงินใหม่
วันนี้ ( 30 เมษายน 2568) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พปชร. อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าวถึงกรณีที่เมื่อวันที่ 28 เม.ย. ธนาคารโลกปรับลดประมาณการ GDP ไทยปี 2568 ลงสู่ 1.6% ต่ำสุดในภูมิภาค จากที่เคยประเมินไว้ที่ 2.9% นายธีระชัยแสดงความกังวลว่า ประชาชนจะไม่สามารถตั้งความหวังกับการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้ได้เลย และกรณีเมื่อวันที่ 29 เม.ย. ที่บริษัทจัดอันดับเครดิต มูดี้ส์ ได้ประกาศลดอันดับไทยจาก “ทรงตัว” เป็น “โน้มลง” ก็ตอกย้ำด้วยว่า ประชาชนชาวไทยจะเผชิญความยากลำบากมากขึ้น

นายธีระชัยกล่าวว่าตนได้เคยเผยแพร่เตือนรัฐบาลหลายครั้ง ให้เตรียมรับมือพายุสมบูรณ์แบบ ซึ่งบัดนี้ธนาคารโลกก็ยืนยันพ้องกันแล้วว่า กำลังจะเกิดแรงกดดันจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าที่สูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออก การบริโภค และการลงทุน แต่ผ่านมา รัฐบาลไม่ได้เตรียมรับมือไว้เลย ไม่เคยแนะว่าประชาชนควรจะวางแผนส่วนตัวอย่างไร
สำหรับ 3 แนวทางที่ธนาคารโลกเสนอเพื่อรับมือ คือ การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ กระตุ้นผลิตภาพ การปฏิรูปเพื่อยกระดับการแข่งขัน และการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศนั้น ประชาชนก็ไม่สามารถตั้งความหวังอะไรได้ เพราะสวนทางกับแนวทางที่ผ่านมาของรัฐบาล ที่เน้นการกู้หนี้มาแจกเงินหมื่น อันเป็นการเน้นให้เกิดผลต่อจีดีพีเร็ว ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าไม่มีแรงส่งที่ยั่งยืน
“รัฐบาลที่จะทำตามคำแนะนำของธนาคารโลก จะต้องยึดหลักการวางนโยบายระยะยาว จะต้องเน้นการกระจายรายได้ กระจายโอกาส และจะต้องรื้ออุปสรรคต่อพ่อค้ารายย่อย ที่เกิดจากการผูกขาดโดยกลุ่มทุนของพรรคการเมือง รวมทั้งเร่งให้แบงค์แข่งขันกันมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลนี้ไม่ได้ทำ” นายธีระชัยกล่าว

ที่มา: https://www.facebook.com/pprpthailand/
วันที่: 1 พฤษภาคม 2568

“นายก ลุงตู่” กับพรรค “ลุงป้อม” ย้อนอดีตพรรคพลังประชารัฐ

,

อดีต “คลัง” ค้านกู้เงิน 5 แสนลบ. เพิ่มภาระ จับตา 5 ประเด็นแก้เศรษฐกิจ

ก่อนที่พรรคพลังประชารัฐจะมีแคนดินเดตนายกรัฐมนตรีชื่อ “พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หรือ “ลุงป้อม” และอยู่ในซีกพรรคฝ่ายค้าน (?) อย่างทุกวันนี้ ในอดีตช่วงเลือกตั้ง 2562 พรรคพลังประชารัฐเคยมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีชื่อ “พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่หาเสียงด้วยสโลแกนยอดฮิต “เลือกความสงบจบที่ลุงตู่”

หลังการเลือกตั้งจบลง ประชาชนได้ความสงบหรือไม่ก็ตามแต่จะประเมินกัน แต่ที่แน่ๆ พรรคพลังประชารัฐสามารถรวมเสียงข้างมากในสภาฯ ทั้ง สส.-สว. โหวต “ลุงตู่” กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ทั้งผลการเลือกตั้ง กฎกติกาที่ใช้ รวมถึงสถานการณ์ที่ไม่ชอบมาพากลต่างๆ ทำให้คนในสังคมต่างตั้งคำถามว่า การเลือกตั้งครั้งแรกหลังยุคเผด็จการทหาร คสช. นี้บริสุทธิ์ยุติธรรมแค่ไหน? ว่าแล้วก็ลองย้อนไปดูบริบทคร่าวๆ กัน

คสช. เตรียมมาตรการรักษาอำนาจ?

ก่อนเลือกตั้ง คสช. ภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ ดำเนินมาตรการหลายอย่างเพื่อรักษาอำนาจของตนไว้ เช่น การนำระบบการเลือกตั้งแบบใหม่มาใช้เพื่อลดจำนวนที่นั่งในสภาฯ ของพรรคการเมืองที่ทักษิณ ชินวัตร สามารถควบคุมได้ การแต่งตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดใหม่ การแจกจ่ายทรัพยากรของรัฐให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ยากจนหลายล้านคนผ่านโครงการต่างๆ ฯลฯ

ตั้งพรรคการเมืองเฉพาะกิจ?

กลยุทธ์พื้นฐานที่ คสช. ใช้ก็เฉกเช่นเดียวกับคณะรัฐประหารในอดีตที่ต้องการรักษาอำนาจผ่านการเลือกตั้ง โดยอาศัย “เจ้าพ่อ” ผู้ทรงอิทธิพลในท้องถิ่น และนักการเมืองที่มีชื่อเสียง (หลายคนเคยอยู่ในเครือข่ายทักษิณ) เพื่อจัดตั้งพรรคเฉพาะกิจ (ขณะนั้น) ในนาม “พรรคพลังประชารัฐ” นอกจากนี้ คสช. ยังแทรกแซงกระบวนการเลือกตั้งในลักษณะที่เอื้อประโยชน์ต่อการรักษาอำนาจของตน อย่างกรณีที่พูดถึงกันมากคือ ออกแบบบัตรเลือกตั้งให้เกิดความสับสน

สว. 250 คน ที่ตั้งรอไว้แล้ว?

กฎเกณฑ์การเลือกตั้งใหม่ที่ คสช. นำมาใช้มีความซับซ้อนอย่างมาก ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ไม่เข้าใจระบบการลงคะแนนอย่างถ่องแท้ ซึ่งระบบแบบใหม่นี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้พรรคเพื่อไทยสามารถชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะลงคะแนนเสียงเลือก สส. จำนวน 500 คน ขณะที่ คสช. แต่งตั้ง สว. ไว้แล้ว 250 คน แถมนายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องมาจาก สส. โดยจะมาจากการเลือกร่วมกันของ สส. และ สว.

กกต. ขาดความโปร่งใส?

ในบรรดาความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งรอบนี้ กกต. ในฐานะหน่วยงานที่จัดการเลือกตั้งถูกตั้งคำถามจากหลายกรณี อย่างเช่นตัวเลขผลการเลือกตั้งคลาดเคลื่อนในหลายเขต แม้จะมีข้อเรียกร้องอย่างหนักจากพรรคการเมืองและกลุ่มภาคประชาสังคม แต่ กกต. กลับปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลการเลือกตั้งในแต่ละหน่วยเลือกตั้งอย่างละเอียด นำไปสู่ความไม่พอใจอย่างกว้างขวางต่อความไร้ประสิทธิภาพและขาดความโปร่งใส จนมีการรณณรงค์ออนไลน์เพื่อถอดถอน กกต. ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย

“สองลุง” ครองอำนาจต่อได้ แม้ความชอบธรรมเปราะบาง?

ต่อให้ผลการเลือกตั้งจะเต็มไปด้วยคำถาม แต่ด้วยการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจาก สว. ทำให้พรรคพลังประชารัฐสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมที่ประกอบด้วยพรรคการเมืองขนาดเล็กและขนาดกลางถึง 20 พรรค พลเอก ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เช่นเดียวกับพลเอก ประวิตรที่ได้นั่งเก้าอี้รองนายกฯ ต่อ

แม้จะเป็นรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ (อันเป็นผลพวงจากรัฐธรรมนูญ 2560) ประสบกับวิกฤตระดับโลกอย่างโควิด-19 ที่พ่วงมาด้วยความยากลำบากทางเศรษฐกิจ รวมถึงเผชิญกับการประท้วงจากกลุ่มเยาวชนครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่ทศวรรษ 2510 แต่รัฐบาลนี้ก็ยังดำรงอยู่ท่ามกลางความไม่นิยมอย่างกว้างขวางนี้ได้ครบ 4 ปี

จนกระทั่งถึง “ทางแยกใหม่ทางการเมือง” ในการเลือกตั้ง 2566 พรรคพลังประชารัฐเหลือเพียง “หนึ่งลุง” อีก “หนึ่งลุง” แยกพรรค ซึ่งผลการเลือกตั้งครั้งนี้ได้เปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองไทยไปเป็นอีกแบบ พรรคพลังประชารัฐกลายเป็นพรรคฝ่ายค้าน อย่างน้อยก็จนถึงตอนนี้ …

ประชาธิปไตยไทยที่ถดถอย: สมรภูมิการเมืองไทยสู่ความขัดแย้งใหม่ที่ยังไม่จบ
ผู้เขียน: ประจักษ์ ก้องกีรติ | ผู้แปล: ฐนพงศ์ ลือขจรชัย
บรรณาธิการ: กษิดิศ อนันทนาธร

ทดลองอ่านได้ที่: https://bit.ly/4idRYQ2

#ประชาธิปไตยไทยที่ถดถอย #ประจักษ์_ก้องกีรติ #การเมืองไทย #คสช #พลังประชารัฐ
#สำนักพิมพ์มติชน #matichonbook

_____________________

ติดตามทุกช่องทางของสำนักพิมพ์มติชนที่
Line : @matichonbook
Youtube : @MatichonBooks
Tiktok : @matichonbook
Twitter : @matichonbooks
Instagram : matichonbook

ที่มา: https://www.facebook.com/matichonbook/
วันที่: 28 เมษายน 2568

อดีต “คลัง” ค้านกู้เงิน 5 แสนลบ. เพิ่มภาระ จับตา 5 ประเด็นแก้เศรษฐกิจ

,

อดีต “คลัง” ค้านกู้เงิน 5 แสนลบ. เพิ่มภาระ จับตา 5 ประเด็นแก้เศรษฐกิจ

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อดีตรมว.คลัง กล่าวถึงกรณี รมว.คลังมีแนวคิดในการกู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ว่า ขอให้ประชาชนคัดค้านการก่อหนี้เพิ่มถ้าหากไม่สร้างประโยชน์อย่างแท้จริง

อ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติม คลิก
https://www.tnnthailand.com/wealth/investment/197521/

ติดตามข่าวหุ้นและการลงทุนทางไลน์
Line @TNNWEALTH : https://lin.ee/TQ14oAe

ที่มา: https://www.instagram.com/tnn_wealth/
วันที่: 28 เมษายน 2568

“ธีระชัย” เตือนกู้ 5 แสนล้านกระตุ้นเศรษฐกิจแบบไร้ประสิทธิภาพ “หยุดขายฝันปั้นวิกฤติเป็นโอกาส” เร่งเก็บกระสุนการคลังเดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย

,

“ธีระชัย” เตือนกู้ 5 แสนล้านกระตุ้นเศรษฐกิจแบบไร้ประสิทธิภาพ “หยุดขายฝันปั้นวิกฤติเป็นโอกาส” เร่งเก็บกระสุนการคลังเดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย

วันที่ 28 เม.ย. 2568 ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะรองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พปชร. แถลงถึงกรณีรัฐมนตรีคลังเตรียมกู้เงิน 5 แสนล้าน ซึ่งอ้างว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฝ่าวิกฤตภาษีสหรัฐ ภายหลังจากกองทุนการเงินฯ (IMF) หั่นจีดีพีไทยของปี 2567 จากเดิม 2.9% เหลือ 1.8% และของปี 2568 จากเดิม 2.6% เหลือ 1.6% โดยหากรัฐบาลเลือกที่จะกู้เงิน 5 แสนล้านบาท ก็จะทำให้หนี้สาธารณะจากปัจจุบัน 64.21% ของจีดีพี เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 3% นั้น

นายธีระชัยเตือนว่า หนี้ที่รัฐบาลกู้ 10.69 ล้านล้านบาท หารด้วยจำนวนคนไทย 66 ล้านคนนั้น เป็นภาระต่อคนกว่า 160,000 บาทอยู่แล้ว จึงขอให้ประชาชนคัดค้านการก่อหนี้เพิ่มถ้าหากไม่สร้างประโยชน์อย่างแท้จริง โดยแนะนำให้ประชาชนจับตารัฐบาลใน 5 เรื่อง
1. รัฐบาลควรลดการกู้เพื่อแจกอุดหนุนอุปโภคบริโภค เพราะถึงแม้จะทำให้จีดีพีสูงขึ้นบ้าง แต่เป็นเพียงชั่วคราว การใช้กระสุนแบบนี้ไม่เพิ่มประสิทธิภาพของประเทศ จึงจะไม่ช่วยเพิ่มรายได้อนาคตที่จะเอามาใช้คืนหนี้ ดังเห็นได้ว่าโครงการแจกเงินหมื่นที่ใช้งบประมาณไปแล้วถึง 1.75 แสนล้านบาท ก็ได้ผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยมาก และไม่เกิดแรงส่งที่ยั่งยืน
2. เงินที่จะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจจะต้องเกลี่ยจากงบประมาณให้เต็มที่ก่อน โดยรัฐบาลจะต้องเด็ดขาดในการตัดลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นหรือไม่เร่งด่วน จะต้องแสดงผลงานด้านนี้ให้ประชาชนเห็นก่อน
3. สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) เป็นเรื่องปลายทาง แต่กระทรวงการคลังควรเร่งหารือกับแบงค์ชาติในเรื่องต้นทาง 4 เรื่องก่อน คือ (ก) ด้านผ่อนคลายนโยบายการเงิน (ข) ด้านเพิ่มการแข่งขันในระบบสถาบันการเงิน (ค) ด้านการปรับโครงสร้างหนี้ที่จริงจังโดยให้สถาบันการเงินต้องควักกำไรสะสมเข้ามารับภาระมากขึ้น และ (ง) ด้านการบีบลดกำไรส่วนต่างดอกเบี้ยของสถาบันการเงิน
4. รัฐบาลควรประกาศยกเลิกการแจกเงินหมื่นเฟส 3 ทันที เพราะสถานการณ์โลกข้างหน้ามีหลายความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง จึงควรเก็บกระสุนการคลังเอาไว้เพื่อใช้ยามจำเป็น
5. รัฐบาลควรปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีศักยภาพสูงขึ้น ทั้งด้านการศึกษาของเยาวชน การช่วยให้ผู้ใหญ่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ การเพิ่มทักษะของแรงงาน และการจับมือกับประเทศภูมิภาคเพื่อเร่งการค้าและการลงทุนระหว่างกัน
“ประชาชนควรจับตาว่า ท่ามกลางวิกฤตภาษีสหรัฐ รัฐบาลนี้จะพยายามขายฝัน ’เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส‘ แต่แทนที่จะเป็นโอกาสสำหรับพี่น้องไทย กลับจะเป็นโอกาสเพื่อนายทุนพรรคมากกว่าหรือไม่” นายธีระชัยกล่าว

#ตะวันสยามนิวส์
#tawansiamnews

ที่มา: https://www.facebook.com/tawansiamnewsonline
วันที่: 28 เมษายน 2568

วิเคราะห์โลโก้ใหม่พปชร. ซินแสเข่งทักแรง

,

ผ่าดวงวิเคราะห์โลโก้ใหม่พปชร. ซินแสเข่งทักแรง

ซินแสเข่ง ทักแรงโลโก้ใหม่พรรคพลังประชารัฐ ส่งผลโดยตรงต่อหัวหน้าพรรค แนะจับตาปี 68 พล.อ.ประวิตร ขาขึ้น
#ซินแสเข่ง #โลโก้พรรค #พลังประชารัฐ
#ข่าวในกระแส #ข่าวทั่วไป #ข่าวด่วน #ข่าวล่าสุด
#ข่าววันนี้ #เรื่องร้อนอมรินทร์ #AmarinTV…

ที่มา: https://www.facebook.com/amarinnews
วันที่: 28 เมษายน 2568

ผ่าดวง”ลุงป้อม”เปลี่ยนโลโก้ใหม่ ปังหรือแป้กไม่รู้ หัวเด็ดตีนขาดไม่ร่วมรัฐบาลแน่

,

ผ่าดวง”ลุงป้อม”เปลี่ยนโลโก้ใหม่ ปังหรือแป้กไม่รู้ หัวเด็ดตีนขาดไม่ร่วมรัฐบาลแน่

ผ่าดวง”ลุงป้อม”เปลี่ยนโลโก้ใหม่ ปังหรือแป้กไม่รู้ หัวเด็ดตีนขาดไม่ร่วมรัฐบาลแน่
#TOPNEWS #topupdate
#ลุงป้อม #เปลี่ยนโลโก้ #พลังประชารัฐ
#ธรรมนัส #ซินแสเข่ง #รัฐบาล

ที่มา: https://www.facebook.com/topnewslive2021
วันที่: 28 เมษายน 2568

นัดรวมพลัง พปชร. อนุรักษ์นิยมทันสมัย ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 68 ประกาศพร้อมทำงานเพื่อประชาชน !!

,

นัดรวมพลัง พปชร. อนุรักษ์นิยมทันสมัย ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 68 ประกาศพร้อมทำงานเพื่อประชาชน !!

นัดรวมพลัง พปชร. อนุรักษ์นิยมทันสมัย
ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 68
ประกาศพร้อมทำงานเพื่อประชาชน !!

ที่มา: https://www.facebook.com/PPRPThailand
วันที่: 28 เมษายน 2568

บิ๊กป้อม นำทัพ พปชร.ประชุมใหญ่สามัญ เปิดโฉมโลโก้พรรค ปลุกพลังตัวใหม่

,

บิ๊กป้อม นำทัพ พปชร.ประชุมใหญ่สามัญ เปิดโฉมโลโก้พรรค ปลุกพลังตัวใหม่

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 27 เมษายน ที่พรรคพลังประชารัฐ มีการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2568 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย คณะกรรมการบริหารพรรค ส.ส. ตัวแทนภาค และตัวแทนสาขา และสมาชิกพรรค เข้าร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค, นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค, นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค, น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รองหัวหน้าพรรค, นายอุตตม สาวนายน รองหัวหน้าพรรค, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รองหัวหน้าพรรค, นายชัยมงคล ไชยรบ รองหัวหน้าพรรค และนายวัน อยู่บำรุง กรรมการบริหารพรรค

โดยประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2568 ดำเนินการพรรคการเมืองตามกฎหมายพรรคการเมือง เพื่อรายงานผลการดำเนินงาน ตามมาตรา 43 และรับรองงบการเงิน ประจำปี 2567 ตามมาตรา 61 ของ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค ผู้แทนสาขาพรรคแตัวแทนพรรคประจำจังหวัดสมาชิกพรรค รวมทัังสิ้นเกินกว่า 250 คนครบองค์ประชุมตามที่กฎหมายกำหนด

พล.อ.ประวิตร กล่าวเปิดประชุมว่า พรรคพลังประชารัฐขอประกาศจุดยืนทางการเมืองในการเป็นพรรค “อนุรักษ์นิยมทันสมัย” ที่มีเจตจำนงอันแน่วแน่ที่จะยึดมั่นและปกป้องสถาบันชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ อนุรักษ์และสืบสาน วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม จารีต ประเพณี และค่านิยมอันดีงามของชาติ โดยขอขอบคุณสมาชิกพรรคทุกคนที่เดินทางมาร่วมประชุมใหญ่ของพรรคในวันนี้

จากนั้นที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบการดำเนินกิจการของพรรคการเมืองที่ได้ดำเนินในรอบปี 2567 รวมถึงให้ความเห็นชอบงบการเงินของพรรคการเมืองประจำปี 2567 นอกจากนี้ ยังได้เห็นชอบตราสัญลักษณ์พรรคและความหมายของพรรคพลังประชารัฐตราใหม่ มีลักษณะดังนี้ คำว่า “พรรค” อยู่บนกึ่งกลางด้านในของเครื่องหมายพรรคการเมือง เหนือตัวอักษรคำว่า “พลังประชารัฐ” โดยมี คำว่า “พลัง” เป็นสีเขียว, คำว่า “ประชา” เป็นสีน้ำเงิน, คำว่า “รัฐ” เป็นสีแดง อยู่ภายในวงล้อพลวัต ที่มี 3 แถบสี เป็นสีแดง สีน้ำเงิน สีเขียว บนพื้นสีขาว

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เลือกกรรมการบริหารพรรคเพิ่มเติมตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค 2 ตำแหน่ง ได้แก่ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล และนายสุรเดช ยะสวัสดิ์ ด้วยคะแนน 339 ทั้ง 2 คน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรรมการบริหารชุดใหม่ได้มีการปรับเปลี่ยนจากชุดเดิมหนึ่งตำแหน่งโดยมีการปลด น.ส.กาญจนา จังหวะ ออกจะกรรมการบริหารพรรค เนื่องจากปรากฎภาพว่าไปร่วมกิจกรรมกับพรรคกล้าธรรม จึงมีการแต่งตั้ง นายธีระชัย และนายสุรเดช เข้ามาเป็นรองหัวหน้าพรรคเพิ่มเติม

ที่มา: มติชนออนไลน์
วันที่: 27 เมษายน 2568