โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: ข่าวกิจกรรม

พล.อ.ประวิตร จัดเตรียมประชุมร่วม ไทย-อเมริกาต้านค้ามนุษย์ปราบปรามผู้กระทำผิด

,

“พล.อ.ประวิตร” จัดเตรียมประชุมร่วม ไทย-อเมริกาต้านค้ามนุษย์ เดินหน้าทำหลักสูตรเพิ่มประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่ปราบปรามผู้กระทำผิด

เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยปัญหาค้ามนุษย์ และมุ่งหวังดัน ประเทศไทยกลับขึ้นสู่ สถานะ เทียร์ 2 ในการจัดลำดับ ตามรายงานสถานการณ์การต่อต้านการค้ามนุษย์ (TIP Report) จึงได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายอย่างเต็มที่ พร้อมได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ดร.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการร่วมว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ไทย – สหรัฐอเมริกา (ฝ่ายไทย) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทย ร่วมกับ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ Mr. Adam West รักษาการที่ปรึกษาด้านการเมือง (Acting Political Counselor) สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย พร้อมด้วย Ms. Angeline Bickner (Political Affairs Associate) และคณะ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการจัดทำรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP Report) เพื่อหารือความคืบหน้าการดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ฉบับปี 2564 และรายงานฉบับเพิ่มเติม ตั้งแต่เดือนมกราคม – มีนาคม 2565
พล.ต.อ.ดร.ธรรมศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งดำเนินคดีค้ามนุษย์ โดยเพิ่มประสิทธิภาพการสืบสวนสอบสวนช่องทางออนไลน์ในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ทำให้ในปี 2564 ดำเนินคดีค้ามนุษย์ได้ถึง 186 คดี เพิ่มจากปี 2563 ร้อยละ 39.84 รวมทั้งขยายผลดำเนินคดีอาญาและทางวินัยกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ มีจำนวนเพิ่มขึ้น 17 ราย และเร่งรัดดำเนินการทางวินัยอีก 15 ราย นอกจากนี้ ได้ช่วยเหลือคนไทยที่โดนหลอกไปทำงานที่กัมพูชา 536 คน ซึ่งเข้าข่ายคดีค้ามนุษย์ 239 คน และมีผู้ต้องหา 43 คน จับกุมได้แล้ว 18 คน

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยขับเคลื่อนการดำเนินการตามข้อเสนอแนะใน TIP Report ของสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่เป็นโครงการสำคัญ หรือ Flagship อาทิ จัดตั้งศูนย์คัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ (ดอนเมือง) เพื่อใช้เป็นสถานที่คัดกรองและคัดแยกผู้ที่มีเหตุอันควรเชื่อว่าอาจเข้าข่ายเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จัดทำขั้นตอนและแนวทางปฏิบัติ (SOP) ในการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ด้านแรงงานและการบังคับใช้แรงงาน กลไกการส่งต่อผู้เสียหายระดับชาติ (National Referral Mechanism) และกิจกรรมช่วงระยะเวลาฟื้นฟูไตร่ตรอง (Reflection Period) แก่บุคคลที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า เป็นผู้เสียหายจากการกระทำผิดฐานค้ามนุษย์ เพื่อยกระดับให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และสอดคล้องกับอนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ (ACTIP) และแผนปฏิบัติอาเซียน (APA)

นอกจากนี้ ได้ให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพผู้ปฏิบัติงาน ได้แก่ การอบรมพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ทีมสหวิชาชีพให้เป็นผู้ชำนาญการ/ เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ให้เป็นผู้สนับสนุนการปฏิบัติในพื้นที่ พัฒนาครูฝึกสอนด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (IDC) โดยความร่วมมือกับ FBI และสถาบันฝึกอบรมระหว่างประเทศ ILEA Bangkok จัดทำหลักสูตรพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยร่วมมือกับโครงการ ASEAN-ACT และมูลนิธิ IJM เพื่อสร้างมาตรฐานและแนวปฏิบัติในการดำเนินงานให้เป็นสากล และพัฒนาไปสู่การจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมแห่งความเป็นเลิศในการต่อต้านการค้ามนุษย์ของภูมิภาค (Center of Excellence for Combating Trafficking in Person) รวมถึงส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับเด็ก (Child Safe Friendly Tourism)

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 23 กุมภาพันธ์ 2565

“พล.อ.ประวิตร”ย้ำรัฐเร่งขับเคลื่อนแผนแม่บทน้ำ20ปี พร้อมเพิ่มน้ำพื้นที่ชลประทาน

,

“พล.อ.ประวิตร”ย้ำรัฐเร่งขับเคลื่อนแผนแม่บทน้ำ20ปี พร้อมเพิ่มน้ำพื้นที่ชลประทาน
ดูแลปชช.อีก18ล้านไร่

เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(กนช.) และผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ(กอนช.) ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชาระยะ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ชี้แจงกรณีการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหา ต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) ตามที่พรรคฝ่ายค้านได้ซักถามเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำของรัฐบาล โดยทางสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)ได้ให้ข้อมูลว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างด้านน้ำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทรัพยากรน้ำของประเทศเกิดความมั่นคงสูงสุดและประชาชนได้รับประโยชน์ โดยเพิ่มพื้นที่ชลประทานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันมีพื้นที่ที่พัฒนาเป็นพื้นที่ชลประทานแล้ว 33.92 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 22.7 ของพื้นที่เกษตรทั้งหมด และมีเป้าหมายที่จะพัฒนาพื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้นอีก 18 ล้านไร่ภายในปี 2580 ตามแผนแม่บทน้ำ 20 ปี

โดยตั้งแต่ปี 2561-2564 เพิ่มพื้นที่ชลประทานได้แล้ว 1.17 ล้านไร่ ขณะเดียวกัน ยังปรับปรุงแหล่งน้ำธรรมชาติ ขยายระบบประปา และวางระบบการป้องกันน้ำท่วมภัยแล้ง ครอบคลุมทั่วทุกภาคของประเทศ อาทิ ภาคเหนือ การพัฒนาบึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์กว่า 8 หมื่นไร่ ภาคกลาง คลองระบายน้ำหลาก บางบาล-บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา 1 ใน 9 แผนงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยา และลดปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ลุมน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ภาคอีสาน ที่มีโครงการแหล่งน้ำเกิดขึ้นประมาณ 78,000 แห่ง ขยายเขตประปา พัฒนาประปาเมือง/พื้นที่เศรษฐกิจ 199 แห่ง ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 525 ล้าน ลบ.ม. เป็นต้น รวมถึงภาคใต้ เช่น โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ เมื่อแล้วเสร็จจะช่วยบรรเทาน้ำท่วมพื้นที่ในเขตชุมชนและเขตเศรษฐกิจของเมือง เป็นต้น

สำหรับการพัฒนาพื้นที่เกษตรน้ำฝนรัฐบาลได้มุ่งเน้นการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก ฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติ พัฒนาน้ำบาดาล สระน้ำในไร่นา โคกหนองนาโมเดล เพื่อสนับสนุนการอุปโภค-บริโภค และการเกษตรอย่างต่อเนื่องเช่นกันโดยยึดหลักให้เป็นไปตามความต้องการและการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่

ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังใช้กลไกการบูรณาการหน่วยงานภายใต้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เพื่อขับเคลื่อนมาตรการในเชิงป้องกันและผลกระทบเมื่อเกิดสถานการณ์วิกฤติด้านน้ำทั้งภัยน้ำท่วมหรือภัยแล้ง เช่น การประเมินพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม การเตรียมความพร้อมรับมือน้ำท่วม-ภัยแล้ง อาทิ 10 มาตรการฤดูฝน ปี2564 และ 9 มาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำฤดูแล้ง ปี 2564/2565 ที่สำคัญรัฐบาลได้จัดสรรงบกลางในด้านน้ำเพื่อใช้ในภาวะฉุกเฉินหรือจำเป็นเท่านั้น เช่น ในปี 2563 ได้นำมาใช้แก้ไขปัญหาภัยแล้งและการป้องกันน้ำท่วม สามารถดำเนินได้ถึง 20,824 โครงการ ครอบคลุมพื้นที่ 76 จังหวัด เพิ่มปริมาณน้ำได้ 1,057 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่รับประโยชน์กว่า 7.58 ล้านไร่ เช่นเดียวกับปี 2564 ที่ผ่านมามีทั้งสิ้น 6,206 โครงการ สามารถน้ำเก็บกักเพิ่มขึ้น 49.95 ล้าน ลบ.ม. ได้ปริมาณน้ำบาดาล 44 ล้าน ลบ.ม. มีครัวเรือนรับประโยชน์ 364,167 ครัวเรือน พื้นที่รับประโยชน์ 507,849 ไร่ ถือเป็นการใช้งบกลางอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

สำหรับประเด็นข้อห่วงใยที่หลายฝ่ายมีข้อกังวลในเรื่องการจัดเก็บค่าน้ำที่จะกระทบถึงประชาชนและเกษตรกรรายย่อยนั้น สทนช.ขอชี้แจงว่า พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ.2561 กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ใช้น้ำประเภทที่ 1 ได้แก่ การใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อการดำรงชีพ อุปโภคบริโภคในครัวเรือน ทำเกษตรหรือเลี้ยงสัตว์เพื่อยังชีพ รวมถึงอุตสาหกรรมในครัวเรือน รักษาระบบนิเวศ จารีตประเพณี บรรเทาสาธารณภัย คมนาคม และการใช้น้ำในปริมาณเล็กน้อย ไม่ต้องขอรับใบอนุญาตการใช้น้ำและไม่ต้องชำระค่าใช้น้ำแต่อย่างใด ดังนั้น จึงไม่มีการเก็บค่าน้ำจากเกษตรกรอย่างแน่นอน แต่จะเก็บเฉพาะประเภทที่ 2 คือ การใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อการอุตสาหกรรม และประเภทที่ 3 การใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อกิจการขนาดใหญ่ที่ใช้น้ำปริมาณมาก โดยกำหนดอัตราค่าใช้น้ำจะมีความเป็นธรรม ไม่แสวงหากำไร เป็นการดำเนินการเพื่อให้ผู้ใช้น้ำได้มีจิตสำนึกในการใช้น้ำร่วมกันอย่างประหยัดเท่านั้น
โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำร่างกฏหมายลำดับรองในการกำหนดหลักเกณฑ์การจัดเก็บค่าน้ำประเภทที่ 2 และประเภทที่ 3 ที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำฯ ซึ่งต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ตามกฏหมายต่อไป

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 22 กุมภาพันธ์ 2565

‘รมว.ชัยวุฒิ’ ผลักดันแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นวาระแห่งชาติ

,

‘รมว.ชัยวุฒิ’ ผลักดันแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นวาระแห่งชาติ เดินหน้าปราบปรามการหลอกลวงประชาชนร่วมมือเพื่อนบ้านทลายแก๊ง

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ว่า ในเรื่องปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงประชาชน ตนตั้งใจจะหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ และครม. ผลักดันปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นวาระแห่งชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงประชาชน โดยขอให้ทุกหน่วยงานช่วยกันแก้ปัญหาและแจ้งเตือนประชาชน อีกทั้งจะร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้ได้ ทั้งหมดเป็นแนวทางที่จะเสนอต่อนายกรัฐมนตรี และครม.ในวันนี้

นายชัยวุฒิกล่าวว่า ส่วนความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) นั้นล่าสุด กสทช. ยังไม่สามารถมีระบบปิดกั้นการโทรได้ เพราะเราให้สิทธิเสรีภาพกับประชาชนในการติดต่อสื่อสารกัน ถ้าเราไปปิดกั้นการโทรก็จะมีปัญหาในเรื่องการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน แต่ขณะนี้กสทช. ประสานกับบริษัทมือถือทุกค่ายว่าถ้ามีการโทรผ่านอินเตอร์เน็ตที่เรียกว่าวีโอไอพีจากต่างประเทศ ให้ขึ้นเครื่องหมายบวกข้างหน้า และขึ้นรหัสประเทศนั้นๆ ซึ่งก็จะเป็นเบอร์ยาวและแปลก ดังนั้นถ้ารับโทรศัพท์ขึ้นมามีรหัสจากต่างประเทศและมีหมายเลขยาว รวมทั้งมีเครื่องหมายบวกข้างหน้า ก็จะรู้แน่นอนว่าไม่ใช่คนไทยโทรมาหาจากในประเทศ ขอให้คาดการณ์ไว้ก่อนว่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่จะมาหลอกลวง และขอให้สื่อมวลชนช่วยกันแจ้งเตือนประชาชนว่าถ้าไม่มีญาติพี่น้องอยู่ต่างประเทศก็อย่าไปรับ เพราะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์แน่นอน

“การผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ มีหลายแนวทาง แต่ขอให้นายกรัฐมนตรีได้พูดคุยกันกับครม.ก่อน วันนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและกระทรวงดิจิทัลฯ มีแนวทางอยู่แล้ว ต้องขอบคุณสื่อมวลชนที่ช่วยเสนอข่าวนี้เรื่องดังกล่าว สิ่งสำคัญวันนี้เราต้องช่วยกันแจ้งเตือนประชาชนให้รู้เท่าทันและมีภูมิต้านทานกับสิ่งเหล่านี้”นายชัยวุฒิกล่าว

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 22 กุมภาพันธ์ 2565

พลเอกประวิตร” สั่งทุกหน่วยความมั่นคงปราบปรามการค้ามนุษย์เชิงรุก

,

“พลเอกประวิตร” สั่งทุกหน่วยความมั่นคงปราบปรามการค้ามนุษย์เชิงรุก ผลักดันไทยขึ้นสู่ระดับเทียร์ 2ในปี 65 สร้างความเชื่อมั่นนานาประเทศ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ได้เป็นประธาน ประชุม คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดย พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิ โดย ได้มอบหมายให้ทุกหน่วยเร่งแก้ปัญหาค้ามนุษย์เชิงรุก เพื่อให้ประเทศไทยกลับขึ้นสู่ระดับเทียร์ 2 ให้ได้ในปี 2565 พร้อมดำเนินการตามกฎหมาย ให้มีการเร่งจับกุมการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ทั้งหมด โดยในปี 2564 สามารถปราบปรามจับกุม ตามนโยบายของรัฐบาล มียอดสะสางคดีในปี 2564 จำนวน 186 คดี แบ่งเป็นการแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณี 135 คดี ผลิตหรือเผยแพร่ วัตถุ สื่อลามก 12 คดี แสวงหาประโยชน์ทางเพศรูปแบบอื่น 6 คดี การบังคับใช้แรงงาน 30 คดี ขอทาน 2 คดี และแรงงานบังคับ (ม.6/1) 1 คดี ในปี 2565 จำนวน 20 คดี แบ่งเป็นการแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณี 16 คดี ผลิตหรือเผยแพร่ วัตถุ สื่อลามก 2 คดี และการบังคับใช้แรงงาน 2 คดี

ส่วนคดีค้ามนุษย์ “โรฮีนจา” พื้นที่ สภ.ปาดังเบซาร์ จว.สงขลา เมื่อวันที่ 1 พ.ค.58 เป็นคดีความผิดนอกราชอาณาจักร ตาม ป.วิอาญา มาตรา 20 ซึ่งอัยการสูงสุดเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ต่อมาได้แต่งตั้งพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจและฝ่ายอัยการ เป็นคณะพนักงานสอบสวน ร่วมทำการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาในข้อหาค้ามนุษย์, อาชญากรรมข้ามชาติ และข้อหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก่อนหน้านี้พนักงานสอบสวนได้ขอให้ศาลออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้ จำนวน 155 ราย โดยจับกุมตัวได้แล้ว 120 ราย เสียชีวิต 2 ราย และหลบหนี อยู่ระหว่างติดตามจับกุมเพิ่มเติม 33 คน ซึ่งในส่วนของผู้ต้องหาที่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีแล้ว ศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาพิพากษาลงโทษจำคุกไปแล้วหลายราย ปัจจุบันคดีนี้อยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา

โดยภาพรวมในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ตามข้อเสนอแนะใน TIP Report มีความก้าวหน้าอย่างสำคัญ อาทิ การจัดตั้งศูนย์คัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ เพื่อช่วยเหลือให้ที่พักพิงแก่ผู้ที่อาจเข้าข่ายเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ในระหว่างการคัดกรองเบื้องต้น จนถึงการคัดแยกเพื่อระบุตัวผู้เสียหายอย่างเป็นทางการ

การออกกฎกระทรวงแรงงานให้ใช้สัญญาจ้างแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ 4 ภาษา ได้แก่ ไทย เมียนมา กัมพูชา และลาว การยกระดับฝ่ายศูนย์บัญชาการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ขึ้นเป็น สำนักงานเลขานุการศูนย์บัญชาการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ซึ่งเป็นหน่วยงานถาวรเทียบเท่ากอง ซึ่งจะทำให้การต่อต้านการค้ามนุษย์ของรัฐบาลไทยก้าวสู่มาตรฐานระดับสากลในภูมิภาคนี้

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 21 กุมภาพันธ์ 2565

“รมว.ตรีนุช” ผุดแอพพิเคชั่น ‘MOE SAFETY CENTER’ รับเรื่องร้องทุกข์

,

“รมว.ตรีนุช”คิกออฟสถานศึกษาปลอดภัยภูมิภาค8จังหวัด ผุดแอพพิเคชั่น ‘MOE SAFETY CENTER’ รับเรื่องร้องทุกข์

เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่โรงเรียนปากคาดพิทยาคม จ.บึงกาฬ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวในการประธานเปิดงาน Kick-off สถานศึกษาปลอดภัย ระดับภูมิภาค 8 จังหวัด โดยมีนายสุภัทร จำปาทอง นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) และผู้บริหารระดับสูง ศธ.เข้าร่วม ว่า สถานศึกษาปลอดภัย เป็นนโยบายที่ตนเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ ศธ.? ในฐานะที่ตนเป็นแม่คนหนึ่ง ซึ่งอยากให้สถานศึกษาเป็นบ้านหลังที่สองที่ปลอดภัย และอยากให้เด็กมีความสุขที่อยากมาโรงเรียน ดังนั้นการสร้างความปลอดภัยทั้งร่ายกาย จิตใจ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่เพราะสถานศึกษาไม่ได้มอบความรู้และการศึกษาเท่านั้น แต่ต้องสร้างกำลังใจ กำลังกายที่เข้มแข็ง ซึ่งจะทำให้เด็กและเยาวชนเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยนักเรียนสามารถแจ้งเหตุได้ 4 ช่องทาง ดังนี้ ใน แอพพลิเคชั่น , www.MOESafetyCenter.com, LINE @MOESafetyCenter หรือที่ call center 0-2126-6565 มองว่าแอพพิลเคชั่น MOE SAFETY CENTER จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่รวดเร็ว และช่วยให้เด็กสามารถโหลดและแจ้งเรื่องร้องเรียนถึงส่วนกลางได้โดยตรง จะทำให้ ศธ.สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันท้วงที มีความเป็นธรรมและโปร่งใส นอกจากนี้ข้อมูลที่ได้รับแจ้ง จะกลายเป็นบิ๊กดาต้า ที่ทำให้ ศธ.ทราบว่าอะไรที่เป็นปัญหาหลักได้รับการร้องเรียนมากที่สุด และหาทางแก้ไขปัญหาให้นักเรียนต่อไป

น.ส.ตรีนุช กล่าวต่อว่า ขั้นต่อไป ศธ.จะจัดทำเป็นโรดโชว์กระจายไป 8 จังหวัด เพื่อสร้างความเข้าใจให้ นักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้แต่ละพื้นที่เกิดความตื่นตัว เข้าไปแก้ไขปัญหาให้กับเด็กๆได้ ซึ่ง ศธ. มุ่งเน้น 3 มาตรา คือ ป้องกัน ปลูกฝัง ปราบปราม ให้เด็ก และเยาวชนปลอดจากภัยทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ภัยที่เกิดจากการใช้ความรุนแรงของมนุษย์ ภัยที่เกิดจากอุบัติเหตุ ภัยที่เกิดจากการถูกละเมิดสิทธิ์ ภัยที่เกิดจากผลกระทบต่อสุขภาวะทางกายและจิตใจ เพื่อร่วมกันส่งเสริมการจัดการเรียน อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยเป็นเรื่องของทุกคน ศธ.เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ดูแลเด็กและเยาวชน แต่ภัยต่างๆ สามารถเกิดกับเด็กได้ทุกด้าน ดังนั้น ศธ.จึงร่วมมือกับ 8 กระทรวง 2 หน่วยงาน ในการประสานงานและช่วยเหลือกัน ทั้งนี้ขอฝากหัวหน้าหน่วยงานราชการในจังหวัดต่างๆ ร่วมกันเป็นหูเป็นตา สร้างความปลอดภัยให้กับสถานศึกษา และเป็นที่พึ่งพาให้เด็กและเยาวชนต่อไป

“ศธ.มุ่งเน้นสร้างสถานศึกษาทุกแห่งในสังกัดของ ศธ. เป็นสถานที่ปลอดภัย ที่ผ่านมา ศธ.เร่งระดมฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับเด็ก เพื่อให้เด็กสามารถกลับเข้ามาเรียนในสถานศึกษาได้ หรือการส้รางความปลอดภัยทั้งร่างกายและจิตใจของเด็ก การที่ ศธ.สร้างแอพพิเคชั่น MOE SAFETY CENTER ขึ้นมา เพื่อให้น้องๆ และผู้ปกครอง สามารถโหลดและแจ้งปัญหามาที่ส่วนกลางโดยตรง ซึ่งเชื่อว่าเมื่อเราทราบปัญหาเร็ว จะสามารถแก้ไขปัญหาได้เร็วตามไปด้วย ต่อไป ศธ.จะนำเร่งสร้างความรับรู้ ความเข้าใจเรื่องความปลอดภัยไปทุกภูมิภาค เพราะแต่ละภูมิภาคมีความเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยไม่เหมือนกัน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกันต่อไป”น.ส.ตรีนุช กล่าว

ด้านนายอัมพร กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาสถานศึกษามีเหตุไม่ปลอดภัยอยู่ก่อนแล้ว โดยที่ผ่านมาจะมีระบบรายงานโดยใช้วิธีการโทรศัพท์ให้ทราบ ซึ่งในปัจจุบันอาจจะไม่ทันท้วงทีแล้ว ดังนั้นต้องสร้างการรับรู้เรื่องความปลอดภัยให้กับผู้ปกครอง นักเรียน และครูประจำชั้นซึ่งเป็นผู้ที่ใกล้ชิดนักเรียนมากที่สุด จากนั้นสร้างการรับรู้ในระดับสถานศึกษา ระดับเขตพื้นที่ฯ และระดับประเทศ เพื่อสร้างเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกันทั้งหมด ซึ่งเชื่อว่าถ้าทุกโรงเรียนมีความเข็มแข็ง ผู้ปกครองและครูตระหนักและเข้าใจ ก็จะทำให้สถานศึกษามีความอบอุ่นและปลอดภัย อย่างไรก็ตามขณะนี้อยู่ในระหว่างการสร้างความรับรู้ และในอนาคตจะสามารถเก็บข้อมูลสถิติรายวัน รายสัปดาห์ว่ามีเรื่องร้องเรียนเข้ามาจำนวนเท่าใด และร้องเรียนเรื่องอะไรเข้ามามากที่สุด

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 21 กุมภาพันธ์ 2565

“พล.อ.ประวิตร” เปิดงาน “พระนครคีรี เมืองเพชร” มอบโล่ห์คนดีศรีเมืองเพชร

,

“พล.อ.ประวิตร” เปิด “พระนครคีรี เมืองเพชร” มอบโล่ห์คนดีศรีเมืองเพชร “สุชาติ” ส.ส.เพชรบุรี รับรางวัลด้านนิติบัญญัติ ศิลปะ และวัฒนธรรม

“พล.อ.ประวิตร” ให้เกียรติเป็นประธานพิธีเปิด “พระนครคีรี – เมืองเพชร” ครั้งที่ 35 มอบโล่ห์ “คนดีศรีเมืองเพชร” เชิดชูเกียรติผู้เสียสละทำความดีเพื่อส่วนรวม โดยมี “สุชาติ อุสาหะ” ส.ส.เพชรบุรี รับรางวัลด้านนิติบัญญัติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม

เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินทางเข้าร่วมพิธีเปิดงาน “พระนครคีรี – เมืองเพชร” ครั้งที่ 35 ประจำปี 2565 ในฐานะประธานในพิธีฯ โดยมี นายสุชาติ อุสาหะ ส.ส.เพชรบุรี เขต 3 และนายสาธิต อุ๋ยตระกูล ส.ส.เพชรบุรี เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นายณัฐวุฒิ เพ็ชรพรหมศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชน ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระนครคีรี อ.เมืองเพชรบุรี จ.เพชรบุรี

จากนั้น พล.อ.ประวิตร รับฟังคำกล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงานฯ จากผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี พร้อมกล่าวเปิดงานฯ อย่างเป็นทางการ และมอบโล่ห์ขอบคุณผู้สนับสนุนผู้จัดงาน ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบุรี บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)

ในโอกาสนี้ พล.อ.ประวิตร ยังได้มอบโล่ห์เชิดชูเกียรติ ให้แก่ “คนดีศรีเมืองเพชร” เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติภาคีเครือข่ายภาคประชาชน ภาคราชการ และภาคประชาสังคม ที่มีผลงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ถึงความมุ่งมั่น เสียสละร่วมทำคุณประโยชน์ ทุ่มเทต่อการส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงานของจังหวัดเพชรบุรี และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคมในมิติต่างๆ โดยในปีนี้มีผู้ที่ได้รับรางวัล จำนวน 31 ท่าน ใน 16 สาขา ดังนี้

1. ด้านรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาทางศิลปะและวัฒนธรรมเมืองเพชร ช่างฝีมือ ได้แก่ นายทองร่วง เอมโอษฐ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประณีตศิลป์-งานศิลปะปูนปั้น), ผู้ช่วยศาสตราจารย์บุญมา แฉ่งฉายา ศิลปินสาขาทัศนศิลป์, นายสัณฐาน ถิรมนัส ศิลปินสาขาทัศนศิลป์, นายธานินทร์ ชื่นใจ ครูช่างลายรดน้ำ, นางสาวสิริลักษณ์ ศรีทองคำ ช่างทำทองโบราณ และนายวิริยะ สุสุทธิ ครูแทงหยวก
2. ด้านส่งเสริมศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมเมืองเพชร ได้แก่ นายแสวง เอี่ยมองค์ นายกพุทธสมาคมจังหวัดเพชรบุรี และนางถนอม คงยิ้มละมัย
3. ด้านอนุรักษ์ภูมิปัญญาอาหารเมืองเพชร ได้แก่ นางสมาน กลิ่นนาคธนกร เจ้าของธุรกิจขนมหม้อแกงแม่สมาน
4. ด้านมนุษยศาสตร์รากฐานเมืองเพชร ได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์แสนประเสริฐ ปานเนียม และนายกฤษดากร อินกงลาศ
5. ด้านบริหารจังหวัดด้วยหลักธรรมาภิบาล ได้แก่ นายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม
6. ด้านบริหารกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ พลตำรวจโทต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
7. ด้านบริหารรัฐกิจ ได้แก่ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเกษตรและสหกรณ์, นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
8. ด้านนิติบัญญัติ ได้แก่ นายสุชาติ อุสาหะ ประธานคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม
9. ด้านการบริหารงานท้องถิ่น ได้แก่ นายนุกูล พรสมบูรณ์ศิริ นายกเทศมนตรีเมืองชะอำ, นางนฤมล กิจพ่วงสุวรรณ นายกเทศมนตรีตำบลท่ายาง และนายวรวิสูตร ฉิมพาลี ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลนาพันสาม
10. ด้านบริหารส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษา ได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์เสนาะ กลิ่นงาม อธิการบดีมหาวัทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
11. ด้านสนับสนุนกิจการสาธารณสุข ได้แก่ นายพงศ์ศักดิ์ เกตุสวัสดิวงศ์ ประธานคณะกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
12. ด้านพัฒนาการเกษตรยั่งยืน ได้แก่ นายไพโรจน์ พ่วงทอง สมาชิกวุฒิสภา, นายสุริยะ ชูวงศ์ และดร.ทัดทอง พราหมณี
13. ด้านการสร้างเศรษฐกิจและนักธุรกิจรุ่นใหม่ ได้แก่ นายสุพจน์ เพชราภิรัชต์ เจ้าของธุรกิจบ้านขนมนันทวัน, นางชปาพันธ์ เงินมูล เจ้าของธุรกิจพันธ์สุข, นายประวิทย์ เครือทรัพย์ เจ้าของธุรกิจลุงอเนกขนมหวานเมืองเพชร์
14. ด้านสื่อมวลชนสร้างสรรค์เมืองเพชร ได้แก่ รองศาสตราจารย์สุนันท์ นีลพงษ์
15. ด้านศิลปะการแสดง ได้แก่ นายณัฐวุฒิ สกิดใจ
16. ด้านเยาวชนรู้รักษ์ศิลปะเมืองเพชร ได้แก่ กลุ่มลูกหว้า

ทั้งนี้ “คนดีศรีเมืองเพชร” เป็นรางวัลที่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการทำความดีของคนในสังคม ตลอดจนเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ทำคุณงามความดีเสียสละเพื่อส่วนรวม และสร้างขวัญกำลังใจให้กับต้นแบบของสังคม เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคน ได้ทำความดีเพื่อส่วนรวมเพื่อจังหวัดเพชรบุรีและประเทศชาติ โดยคณะกรรมการคัดเลือก “คนดีศรีเมืองเพชร” ได้พิจารณาทุกกลุ่มเป้าหมาย ผู้ที่ได้ทำคุณประโยชน์ในด้านต่างๆ อาทิ ด้านศิลปกรรม นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ข้าราชการที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต สร้างชื่อเสียงให้จังหวัด รวมถึงกลุ่มเด็กเยาวชน

#พลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณ
#สุชาตอุสาหะ
#เพชรบุรี
#คนดีศรีเมืองเพชร
#พลังประชารัฐ
#พปชร
#https://pprp.or.th/
#https://twitter.com/pr_pprpthailand
#https://www.blockdit.com/pprp

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 19 กุมภาพันธ์ 2565

พปชร. หนุน “บิ๊กตู่” สานนโยบาย บริหารประเทศในสถานการณ์วิกฤต

,

พปชร. หนุน “บิ๊กตู่” สานนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ ขอปชช.เข้าใจรัฐบาล บริหารประเทศในสถานการณ์วิกฤต ย้ำเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 ชูบริหารจัดการน้ำ หัวใจสำคัญภาคการเกษตร ถือเป็นการรับมือภัยธรรมชาติระยะยาว

ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.เขต2 ในฐานะโฆษกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่าพรรคพลังประชารัฐ นั้นพร้อมผลักดันนโยบายต่างๆ ที่เคยหาเสียงไว้ ทั้งที่ที่ประสบความสำเร็จ และกำลังดำเนินการ เช่นการต่อยอดบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และการผลักดันนโยบายยานยนต์ไฟฟ้า(EV ) ซึ่งล่าสุด พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้นำระบบ AI มาใช้เชื่อมโยงกับระบบจราจร และนำมาใช้ในส่วนอื่นเพื่อให้เกิดมิติความปลอดภัย ทั้งในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

ทั้งนี้ขอย้ำว่า การดำเนินนโยบาย ต้องพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ประชาชน มีความเดือด ร้อน และต้องได้รับการสนับสนุนหลายเรื่อง นโยบายของพรรค จึงต้องผลักดันให้สอดคล้องกับปัญหาของประชาชน ให้เหมาะสม ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล เราจึงเข้าใจรัฐบาล ที่ต้องจัดสรรงบประมาณ นำมาใช้ในห้วงวิกฤตของโลกนี้ เพราะมีผลกระทบในวงกว้าง และพร้อมสนับสนุนการทำงานของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถเพื่อประชาชน

ดังนั้น จึงขอย้ำว่าการขับเคลื่อนนโยบาย จะต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ในสภาวะ ที่เกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่นการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่นการเยียวยาให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 ทั้ง อาชีพอิสระ ที่กระทรวงแรงงาน ได้เยียวยาไปแล้วนั้น รวมถึงนโยบายคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน และอีกหลายนโยบาย รวมไปจนถึงการพัฒนาแหล่งน้ำทั่วประเทศ ที่ถือเป็นหัวใจของชีวิต และภาคการเกษตร ที่หัวหน้าพรรค ได้เน้นย้ำ และให้ความสำคัญสำหรับการพัฒนาแหล่งน้ำ ในทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งถือเป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาว ให้กับประชาชน และลดผลกระทบ จากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทั้งอุทุกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ต่างๆ จนเป็นผลสำเร็จในหลายพื้นที่ อาทิ จ. สกลนคร นครพนม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และนครสวรรค์ เป็นต้น

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 19 กุมภาพันธ์ 2565

พล.อ.ประวิตร ลงพื้นที่คลองระบายน้ำ แก้ปัญหาน้ำท่วมเมืองเพชรบุรี

,

“พล.อ.ประวิตร” ลงพื้นที่คลองระบายน้ำ D9ปึกเตียน ติดตามความสำเร็จการแก้ปัญหาน้ำท่วมเมืองเพชรบุรี

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) และผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ลงพื้นที่ จ.เพชรบุรี ติดตามการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการก่อสร้างคลองระบายน้ำ D9 ณ ประตูระบายน้ำคลอง D9 ต.ปึกเตียน อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี โดยมี นายณัฐวุฒิ เพ็ชรพรหมศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี กล่าวต้อนรับ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) รายงานภาพรวมแผนพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำจังหวัดเพชรบุรี นายสันต์ จรเจริญ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเพชรบุรี รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการก่อสร้างคลองระบายน้ำ D9 พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานราชการ เอกชน และท้องถิ่น ให้การต้อนรับ และพบปะประชาชนในพื้นที่

การลงพื้นที่ในวันนี้เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ และผลสัมฤทธิ์ของโครงการพัฒนาแหล่งน้ำต่างๆ ที่รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณให้อย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการก่อสร้างคลองระบายน้ำ D9 ที่เป็นความสำเร็จจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผันน้ำจากเขื่อนเพชรบุรีออกสู่ทะเลได้ในปริมาณ 100 ลบ.ม.ต่อวินาที ทำให้ในปี 2563 และ 2564 จ.เพชรบุรี รอดพ้นจากวิกฤติภัยน้ำท่วม สามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้กับบ้านเรือนประชาชนและพื้นที่การเกษตรได้หลายพันไร่

สำหรับความสำเร็จโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ จ.เพชรบุรี ผลการดำเนินงานในปี 61-64 รัฐบาลได้บูรณาการขับเคลื่อนแผนงาน/โครงการรวม 728 แห่ง สามารถเพิ่มความจุน้ำได้ 6.84 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่รับประโยชน์ 43,192 ไร่ประชาชนได้รับประโยชน์ 75,856 ครัวเรือน ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งยาว 11,742 เมตร อาทิ แผนงานที่อยู่ในความดูแลของกรมชลประทาน ได้แก่ การก่อสร้างประตูระบายน้ำกลางคลองระบายน้ำ D9 (ปตร.กะจิว) ปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จ การก่อสร้างประตูระบายน้ำกลางคลองระบายน้ำ D9 (ปตร.มาบปลาเค้า) ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ และการก่อสร้างระบบส่งน้ำพร้อมอาคารประกอบโครงการจัดหาน้ำเพื่อช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่ ต.แก่งกระจาน และ ต.วังจันทร์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ รวมทั้งการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำ ต.ดอนยาง อ.เมือง ของการประปาส่วนภูมิภาค และการปรับปรุงฟื้นฟูระบบบำบัดน้ำเสียเทศบาลเมืองชะอำ ขององค์การจัดการน้ำเสีย เป็นต้น

ความสามารถในการผันน้ำจากเขื่อนเพชรบุรีออกสู่ทะเลได้ในปริมาณ 100 ลบ.ม.ต่อวินาที ทำให้ในปี 2563 และ 2564 จ.เพชรบุรี รอดพ้นจากวิกฤติภัยน้ำท่วม สามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้กับบ้านเรือนประชาชนและพื้นที่การเกษตรได้หลายพันไร่ และได้กล่าวว่ารัฐบาลมีความห่วงใยและมุ่งหวังให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมมุ่งมั่นขับเคลื่อนโครงการ พัฒนา ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ ที่จำเป็นให้ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องน้ำ ที่ต้องบูรณาการทุกหน่วยงานและภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้เกิดแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม สามารถแก้ปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จ และให้เกิดความมั่นคงด้านน้ำได้อย่างยั่งยืนโดยเร็วต่อไป

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 18 กุมภาพันธ์ 2565

อธิรัฐ เร่งเจ้าท่า เข้าระงับจุดพบน้ำมันรั่วเพิ่ม พร้อมเตรียมป้องกันตลอด 24 ช.ม.

,

“ อธิรัฐ เร่งเจ้าท่า เข้าระงับจุดพบน้ำมันรั่วเพิ่ม พร้อมเตรียมป้องกันตลอด 24 ช.ม.”

นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลที่ จ.ระยอง ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 บริษัทสตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จก.(มหาชน) SPRC มีหนังสือแจ้งมายังกรมเจ้าท่า พบจุดเสียหายบริเวณท่ออ่อนส่งน้ำมันในตำแหน่งที่สองเพิ่มเติมส่งผลให้น้ำมันที่ค้างท่ออาจรั่วไหลออกมาได้ บริษัทฯ จึงขอปฏิบัติงานพันท่อเพื่อป้องกันการรั่วไหลของน้ำมันดังกล่าว

ตนจึงได้สั่งการให้กรมเจ้าท่าประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมกำลังคนและอุปกรณ์ เตรียมความพร้อมเข้าระงับเหตุ ได้จัดเรือรวมจำนวน 32 ลำ วางแนวบูมล้อมรอบบริเวณใกล้จุดเกิดเหตุ เพื่อป้องกันคราบน้ำมันดิบแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง เตรียมใช้เรือดูด ตักคราบน้ำมันดิบที่ลอยอยู่ในทะเลแล้ว นอกจากนี้ได้สั่งกำชับมาตรการและแผนรองรับเหตุที่เกิดขึ้นให้มีความรัดกุม และป้องกันการเกิดเหตุซ้ำ ดังนี้

1. การปฏิบัติการในทะเล ให้บริษัทฯ ดำเนินการแก้ไขให้รัดกุมเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมและเตรียมแผนรองรับเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นอีก
2. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่ วัสดุอุปกรณ์ ตลอด 24 ชั่วโมง
3. การสื่อสาร ขอให้บริษัทฯ ชี้แจง ทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนให้ทราบสถานการณ์และมาตรการในการดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจในสถานการณ์ที่ถูกต้อง

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 18 กุมภาพันธ์ 2565

พปชร. ดันนโยบายพรรคคลอดแพคเกจยานยนต์ EV หนุนปชช.เข้าถึงยานยนต์

,

“พปชร.“ดันนโยบายพรรคฯสำเร็จ รัฐคลอดแพคเกจยานยนต์ EV “ส.ส.ภาดาท์” หนุนปชช.เข้าถึงยานยนต์สะอาดดันไทยฐานผลิตฟื้นศก.

พปชร. ปลื้มผลักดันนโยบายพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV หลังครม.ไฟเขียว ส่งเสริมการผลิตและใช้ในประเทศ “ภาดาท์”ส.ส.กทม.พรรคพปชร. ชูผลงานคลอดแพคเกจEV สำเร็จ หนุนประชาชนเข้าถึงยานยนต์สะอาดตามเทรนด์ของโลกที่ช่วยทั้งลดฝุ่นPM2.5 และก๊าซฯคาร์บอนไดออกไซด์ช่วยลดโลกร้อน ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้เกิดฐานการผลิตEV สู่การเป็นฮับในภูมิภาค มั่นใจการใช้จะเติบโตขึ้น

ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ โฆษกพรรคพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า ขอขอบคุณรัฐบาล ที่ได้นำนโยบาย พรรคพลังประชารัฐในหลายเรื่องมาสู่การเดินหน้าขับเคลื่อนเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการอนุมัติให้มีการผลักดัน กระตุ้นการใช้ยานยนตำไฟฟ้าในประเทศไทย( EV) ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพปชร.ที่ให้ความสำคัญ กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ควบคู่ไปกับการดูแลด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดความยั่งยืนต่อการพัฒนาประเทศ และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว

น.ส.ภาดาท์ วรกานนท์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า จากมติของคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 16 ก.พ. ที่เห็นชอบแพคเกจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อกระตุ้นการใช้รถยนต์แบตเตอรี่ไฟฟ้า 3 ประเภท ได้แก่ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และรถกระบะโดยครอบคลุมทั้งการให้เงินอุดหนุน และการปรับลดภาษีฯต่างๆ ในการเอื้อให้เกิดการใช้และการผลิตในประเทศ นับเป็นความสำเร็จของนโยบายพรรคพปชร.ที่ผลักดันมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ไทยได้ก้าวสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สะอาดที่สอดรับกับกระแสของโลก เพื่อลดฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน(PM2.5)และลดภาวะโลกร้อนจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตในภูมิภาค(EV Hub)

“ ทั่วโลกกำลังมุ่งไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าหรือ EV เนื่องจากจะมีส่วนสำคัญในการลดภาวะโลกร้อนเพราะจะลดการใช้รถยนต์สัปดาปที่ใช้น้ำมัน โดยไทยเองจะต้องค่อยๆ เปลี่ยนผ่านเพื่อให้ก้าวทันกระแสโลกและต้องเตรียมความพร้อม รองรับซึ่งพรรคพปชร.มุ่งมั่นที่จะดูแลฐานการผลิตรถยนต์ของไทยไปสู่ EV เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้สอดรับกับกระแสโลกพร้อมๆ ไปกับสนับสนุนให้ประชาชนได้ใช้ยานยนต์สะอาดเพื่อลดฝุ่นPM2.5”น.ส.ภาดาท์กล่าว

ทั้งนี้นโยบายพรรคพปชร.ที่ผ่านมาได้ตระหนักถึงปัญหาฝุ่นPM2.5 โดยเฉพาะใน กทม. ที่ค่าเฉลี่ย ฝุ่น PM 2.5 อยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจของประชาชน เนื่องจากระบบขนส่งในกรุงเทพที่มีรถยนต์ประเภทเครื่องยนต์สันดาปเป็นจำนวนมาก ซึ่งนโยบายที่ออกมาล่าสุดทั้งในเรื่องของเงินอุดหนุนรถยนต์คันละ 70,000 – 150,000 บาทต่อคัน และรถจักรยานยนต์ 18,000 บาทต่อคัน ,การลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์จาก 8% เป็น 2% และรถกระบะเป็น 0%

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 16 กุมภาพันธ์ 2565

อธิรัฐ เร่งเปิดใช้ท่าเรือท่าช้างโฉมใหม่ รับอุโมงค์ทางเดินลอดถนนหน้าพระลาน

,

“อธิรัฐ เร่งเปิดใช้ท่าเรือท่าช้างโฉมใหม่ รับอุโมงค์ทางเดินลอดถนนหน้าพระลานและถนนมหาราช“

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 13.00 น. ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ติดตามความคืบหน้างานพัฒนาท่าเทียบเรือโดยสารแม่น้ำเจ้าพระยาท่าเรือท่าช้าง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยมีนายสมพงษ์ จิรศิริเลิศ รองอธิบดีกรมเจ้าท่าและคณะร่วมให้การต้อนรับ ซึ่งท่าเรือท่าช้างให้บริการทั้งท่าเรือโดยสาร ท่าเรือข้ามฟากและท่าเรือท่องเที่ยว มีผู้ใช้บริการเฉลี่ย 12,324 คน/วัน รองรับเที่ยวเรือ 394 เที่ยว/วัน ส่งผลให้ท่าเรือเดิมที่มีขนาดเล็กมีความแออัด ไม่ปลอดภัยต่อผู้ใช้บริการ กรมเจ้าท่าจึงได้ดำเนินการ

•ก่อสร้างอาคารพักคอย จำนวน 2 หลัง ด้วยสถาปัตยกรรมที่สอดคล้องกับทัศนียภาพเขตเมืองกรุงเก่า
•เพิ่มขนาดพื้นที่ท่าเรือ 1,941 ตร.ม.
•ติดตั้งโป๊ะขนาด 6×12 ม.จำนวน 4 โป๊ะ และ 5×10 ม.จำนวน 2 โป๊ะ เพื่อให้ท่าเรือมีพื้นที่รองรับผู้โดยสารได้เพียงพอ ขณะนี้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วเหลือเพียงการตรวจสอบความเรียบร้อย

ท่านรัฐมนตรีช่วยฯ ได้สั่งการให้กรมเจ้าท่าเร่งรัดการเปิดให้บริการภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 นี้ เพื่อรองรับผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดใช้อุโมงค์ทางเดินลอดถนนหน้าพระลานและถนนมหาราช เขตพระนคร ทางเชื่อมจากท่าเรือท่าช้างไปยังพระบรมมหาราชวังบริเวณหน้าประตูสุนทรทิศา เป็นการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาทางเรือเพื่อเข้าชมพระบรมมหาราชวัง และปรับปรุงท่าเรือให้มีความสวยงาม เข้ากับสถานที่ท่องเที่ยวบริเวณโดยรอบ พร้อมทั้งให้จัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยผู้เดินทางตลอดเวลา ดูน้อยลง

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 14 กุมภาพันธ์ 2565

“ส.ส.ดร.พัชรินทร์” ลงพื้นที่ชุมชนรับฟังปัญหาปชช. รณรงค์ดูแลสุขภาพ

,

“ส.ส.ดร.พัชรินทร์” ลงพื้นที่ชุมชนรับฟังปัญหาปชช.-รณรงค์ดูแลสุขภาพ

ส.ส.ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ (ส้ม) กทม.เขต2 ปทุมวัน บางรัก สาทร และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย ดร.อภิชาติ ซำศิริพงษ์ (เอ) และทีมงาน ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนชุมชน พร้อมรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากชุมชน และรณรงค์ ในการป้องกัน ดูแลสุขภาพ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ต้องขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยกันทำงานดูแลพี่น้องประชาชนร่วมกัน รวมทั้งประธานชุมชน คณะกรรมการชุมชนที่ทำงานกันอย่างเข้มแข็ง

ติดตามผลงาน ดร.ส้ม พัชรินทร์ ได้ที่:
Facebook => https://www.facebook.com/DrPacharin/
Twitter => @drpacharin
#เราจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน
#FightCovid19
#ดรส้ม #สสส้ม #พัชรินทร์ #พูดจริงทำจริงจริงใจ #สภาเต็มที่พื้นที่เต็มร้อย #กทมเขต2 #ปทุมวัน #บางรัก #สาทร #พปชร

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 13 กุมภาพันธ์ 2565