โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: กิจกรรม ส.ส. และสมาชิก

พปชร. เตือนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ฟังดูสวยหรู แต่คิดไม่รอบคอบ ไม่ต่างจากนโยบายแจกเงินดิจิทัล ฟังดูสวยหรู แต่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง

, , ,

พปชร. เตือนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ฟังดูสวยหรู แต่คิดไม่รอบคอบ ไม่ต่างจากนโยบายแจกเงินดิจิทัล ฟังดูสวยหรู แต่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง

เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 68 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง วิเคราะห์นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายของรัฐบาล หลังจากที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมายอมรับว่า การดำเนินโครงการติดขัด เนื่องจากต้องรอการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม และ พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543

นายธีระชัยระบุว่า นโยบายนี้ฟังสวยหรูเหมือนแจกเงินดิจิทัลช่วงหาเสียง แต่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง และไม่ได้คิดให้รอบคอบตลอดรอดฝั่ง โดยเฉพาะเมื่อกระทรวงคมนาคมพยายามหาทางเลือก เช่น การขอใช้งบกลาง แต่คณะกรรมการกฤษฎีกายืนยันว่าไม่สามารถใช้ได้เพราะไม่ถือเป็นกรณีเร่งด่วน และการเริ่มโครงการก่อนแล้วชดเชยย้อนหลังก็ไม่สามารถทำได้ตามกฎหมาย

นายธีระชัยชี้ว่า รัฐบาลต้องตระหนักว่าการออกกฎหมายเพื่อทำให้โครงการนี้เป็นจริง จะไม่สามารถมองแค่ใช้เงินจากกำไรสะสมของ รฟม. หรือเงินชั่วคราวจากงบกลาง ซึ่งพอใช้ได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น รัฐบาลควรชี้ชัดต่อรัฐสภาและประชาชนว่า แต่ละปีจะใช้เงินเท่าไหร่ และหาแหล่งเงินจากที่ไหน พร้อมแสดงให้เห็นว่ากระแสเงินหมุนเวียนเพียงพอรองรับโครงการในระยะยาว

หากปราศจากข้อมูลที่ชัดเจน การผลักดันร่างกฎหมายทั้งสามฉบับให้ผ่านคงเป็นไปได้ยาก และอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายวินัยการเงินการคลัง ดังนั้น การแถลงข่าวว่าจะเริ่มใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายทุกสายในวันที่ 15 พ.ย. 2568 จึงมีแนวโน้มเป็นเพียงโคมลอย

ปัจจุบัน ร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม และ พ.ร.บ.รฟม. ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 แล้ว แต่ยังรอพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 รวมถึงการพิจารณาของสมาชิกวุฒิสภา ทำให้ไม่ทันกำหนดเดิม 1 ต.ค. 2568 คาดว่าจะต้องรอกฎหมายลูกอีกประมาณ 45 วัน จึงจะสามารถเริ่มใช้ได้จริงในวันที่ 15 พ.ย. 2568

พลังประชารัฐย้ำชัด MOU44 ทำไทยเสียเปรียบ

, ,

พลังประชารัฐย้ำชัด MOU44 ทำไทยเสียเปรียบ

ไม่สอดคล้องกฎหมายทะเลสากล UNCLOS 1982 อาจทำให้ประเทศสูญเสียทรัพยากรและสิทธิของประชาชน

ทางออกเดียวคือ ยกเลิก MOU44 ก่อน แล้วเจรจาฉบับใหม่บนกติกาที่ถูกต้อง เพื่อรักษาอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ

พปชร. จี้ทวงคืนหนองจาน–สกัดกัมพูชารุกล้ำชายแดน พบหลักฐานกัมพูชาวางทุ่นระเบิด PMN-2 สนับสนุนรั้วลวดหนามและฟ้องศาลโลก

, , ,

พปชร. จี้ทวงคืนหนองจาน–สกัดกัมพูชารุกล้ำชายแดน พบหลักฐานกัมพูชาวางทุ่นระเบิด PMN-2 สนับสนุนรั้วลวดหนามและฟ้องศาลโลก

เมื่อวันที่ 20 ส.ค. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แถลงว่า ชุดเก็บกู้ทุ่นระเบิดกองทัพเรือพบคลิปหลักฐานทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิด PMN-2 แม้สำนักข่าวของกัมพูชาจะโต้ว่าเป็นการจัดฉาก แต่ความจริงยังคงเป็นความจริง และเชื่อว่าหลักฐานนี้จะชี้ให้โลกเห็นถึงความไม่จริงใจของกัมพูชา ซึ่งเป็นการฉวยโอกาสจากความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่ไทยเคยมอบให้ พร้อมย้ำคำถามจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐว่า รัฐบาลจะมีมาตรการใดในการทวงคืนผืนแผ่นดินและคืนความเป็นธรรมให้ประชาชนไทยที่ทนทุกข์มานานกว่า 40 ปี

พรรคพลังประชารัฐสนับสนุนการติดตั้งรั้วลวดหนามในเขตชายแดน ซึ่งไม่ขัดต่อข้อตกลงคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 เพราะเป็นมาตรการป้องกันการบุกรุกและการวางทุ่นระเบิด ที่อาจละเมิดอธิปไตยและคุกคามชีวิตประชาชนไทย

นอกจากนี้ พรรคยังผลักดันให้รัฐบาลฟ้องสมเด็จฮุน เซน และนายฮุน มาเนต ต่อศาลไทยและศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เพื่อเอาผิดการโจมตีพลเรือน การวางทุ่นระเบิด และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยย้ำว่าการปกป้องทุกตารางนิ้วของผืนแผ่นดินไทยคือหน้าที่สำคัญ และพร้อมเดินหน้าทุกมาตรการเพื่อคืนความเป็นธรรมให้ประชาชน

พปชร.เตือนนโยบายรัฐบาล ที่ในปี 2570 จะบังคับให้ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบภาษี จะกระทบเกษตรกร-ประชาชนกว่า 40–50 ล้านคน

, ,

พปชร.เตือนนโยบายรัฐบาล ที่ในปี 2570 จะบังคับให้ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบภาษี จะกระทบเกษตรกร-ประชาชนกว่า 40–50 ล้านคน

โดยเฉพาะเกษตรกรที่ไม่คุ้นชินกับระบบภาษี พร้อมตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลไม่จัดเก็บภาษีจากผู้มีรายได้สูงและธุรกิจต่างชาติที่ยังเลี่ยงภาษีให้ครบถ้วนเสียก่อน พรรคย้ำรัฐบาลควรทบทวนเพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนในวงกว้าง

วันนี้ 19 ส.ค.68 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ว่าพรรคได้รับทราบนโยบายรัฐบาลซึ่งเตรียมปรับระบบการยื่นภาษีตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป จากเดิมที่บังคับเฉพาะเพียงผู้มีรายได้เกิน 120,000 บาทต่อปี หรือประมาณ 10 ล้านคน ที่ต้องยื่นแบบภาษี จะเปลี่ยนเป็นให้ประชาชนทุกคนต้องยื่น โดยรัฐบาลอ้างว่าจะช่วยให้จัดทำสวัสดิการและดูแลผู้มีรายได้น้อยได้สะดวกขึ้น ภายใต้นโยบาย “Negative Income Tax (NIT)”

นายธีระชัยกล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยืนยันไม่ขัดข้องต่อการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย แต่เห็นว่านโยบายนี้จะสร้างภาระอย่างรุนแรง เพราะจำนวนผู้ที่ต้องยื่นแบบภาษีจะพุ่งจาก 10 ล้านคนเป็น 40–50 ล้านคน โดยเฉพาะเกษตรกรกว่า 25–30 ล้านครัวเรือนซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์กรอกแบบภาษีมาก่อน จะต้องเสียค่าใช้จ่ายจ้างทำบัญชี และเสี่ยงถูกดำเนินคดีหากกรอกผิดพลาด จะต้องรับผิดตามกฎหมายภาษีทั้งในทางแพ่งและทางอาญา

พรรคพลังประชารัฐยังตั้งคำถามต่อรัฐบาลว่า เหตุใดไม่เร่งแก้ปัญหาการจัดเก็บภาษีจากกลุ่มผู้มีรายได้สูงและธุรกิจซับซ้อน รวมถึงต่างชาติที่ยังไม่เสียภาษีอย่างถูกต้อง เช่น การปลูกต้นมะนาวหรือต้นกล้วยในที่ดินราคาแพงกลางเมืองเพื่อหลบภาษีอัตราแพง โรงงานผลิตเหล็กของชาวต่างชาติที่ไม่ได้มาตรฐานและหนีภาษี หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่หาผลประโยชน์จากโฆษณาในไทยโดยไม่รัฐบาลไม่หาหนทางเก็บภาษี

สำหรับการเปรียบเทียบกับต่างประเทศ นายธีระชัยระบุว่า ประเทศที่พรรคเพื่อไทยอ้างถึง เช่น สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ล้วนเป็นประเทศที่มีฐานะร่ำรวย และแม้มีการทดลองนโยบาย NIT แต่ก็ยังไม่มีประเทศใดในโลกที่บังคับให้ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบภาษี ขณะเดียวกันการช่วยเหลือแบบเหวี่ยงแห แทนที่จะเน้นแต่เฉพาะกลุ่มเปราะบาง และการแจกเงินก้อนให้กลุ่มรายได้ต่ำ ก็จะเป็นภาระผูกพันงบประมาณระยะยาวตลอดไป และไม่สามารถแยกแยะว่าผู้ที่รายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่รัฐบาลต้องช่วยชดเชยเงินให้โดยอัตโนมัตินั้น ปัญหาเกิดจากเจ้าตัวตกงานหรือแท้จริงไม่ยอมหางานทำ

นายธีระชัยย้ำว่า ประเทศไทยมีฐานข้อมูลประชาชนรายได้น้อยอยู่แล้วจากโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละครึ่ง และเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทุนพัฒนาระบบใหม่ให้สิ้นเปลืองงบประมาณ จึงขอให้รัฐบาลทบทวนอย่างจริงจัง เพราะนโยบายนี้จะสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนวงกว้าง โดยเฉพาะเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยที่กลายเป็นผู้แบกรับภาระหนักมาก

พปชร. วิเคราะห์ถึงข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่าง ไทยกัมพูชา “รัฐบาลฝันว่า-ฝ่าวิกฤตชายแดน” หวังเคลมผลงานฝ่าวิกฤติชายแดน

, ,

พปชร. วิเคราะห์ถึงข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่าง ไทยกัมพูชา “รัฐบาลฝันว่า-ฝ่าวิกฤตชายแดน” หวังเคลมผลงานฝ่าวิกฤติชายแดน

“ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว วิเคราะห์ข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่าง ไทย – กัมพูชา พิลึกพิลั่น หวังเคลมผลงานฝ่าวิกฤติชายแดน

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2568 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ด้านเศรษฐกิจ และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Thirachai Phuvanatnaranubala – – ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เปิดประเด็นน่าสนใจ ว่า “รัฐบาลฝัน ว่า ฝ่าวิกฤตชายแดน” วิเคราะห์ถึงข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่าง ไทย – กัมพูชา ภายใต้การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป GBC โดยชี้ให้เห็นพิรุธสำคัญ ดังนี้

1.ไม่สมควรยกย่องรัฐบาล ว่า ฝ่าวิกฤตปะทะไทย-กัมพูชา เพราะผลงานตกชั้นหลายอย่าง เช่น การสนับสนุนกองทัพ แต่กองทัพไทย ต้องหันไปอาศัยมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน แสวงหาอุปกรณ์โดรนมาเพื่อใช้บินหย่อนระเบิด จนภาพศักยภาพโดรนที่ปรากฎไปทั่วโลก ไม่ใช่โดรนที่สนับสนุนโดยรัฐบาล
2.การมีท่าทีด้อยค่าทหารไทย กรณี นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี มีคลิประบุถึงการโจมตีวันที่ 29 ก.ค. หลังข้อตกลงหยุดยิง วันที่ 28 ก.ค. จนทำให้กำลังพลเสียชีวิตและบาดเจ็บในบริเวณปราสาทตาควาย พูดเพียงว่า “ผมทราบที่มันเกิดขึ้นบางจุด เป็นทหารที่อาจจะไม่มีวินัย ได้มารบและตอบโต้”
3.ท่าทีปกป้องผู้นำกัมพูชา โดย พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง กรณีกัมพูชายังยิงโจมตีหลังข้อตกลงหยุดยิง ว่า อาจเป็นการกระทำโดยหน่วยในพื้นที่ เพื่อปกป้องระดับผู้นำกองทัพกัมพูชา ซึ่งการกระทำนี้ไม่จำเป็นและไม่สมเหตุผล
4.ลากยาวการเจรจา ภาษีทรัมป์ จนเสียหมากการทหาร ทั้งที่ในการรบฝ่ายไทยกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ ซึ่งจำเป็นต้องขยายเวลาเพิ่ม เพื่อเก็บกู้และทำลายระเบิด เปิดทางให้ทางไทยรุกกลับคืนพื้นที่ได้ปลอดภัย แต่เมื่อ ไทย โดนประธานาธิบดีทรัมป์ ให้เดทไลน์หยุดยิง เพราะปมเจรจาภาษี ทั้งที่เห็นแล้วว่า ประเทศอาเซียน เวียดนาม ฟลิปินส์ อินโดนีเซีย เข้าเส้นชัยไปแล้ว ซึ่งก็ไม่มีหวังจะได้อัตราต่ำว่า 19% แต่ทีมเจรจาไทยกลับยอมลากยาว สุดท้ายก็โดนบีบให้ยุติศึก ทั้งที่การศึกยังไม่บรรลุผล
5.ยอมให้กัมพูชาเป็นฝ่ายได้เปรียบ ในประเด็นกับระเบิด เพราะกัมพูชาจะไม่ต้องการตกลงในประเด็นกับระเบิด เพื่อยอมรับว่าตนปฏิบัติผิดกติกาสากล จึงต้องลอบใช้กับระเบิดป้องกันมิให้ทหารไทยรุกคืบ แต่ กระทรวงกลาโหม กลับไปยอมรับข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งไม่มีการบังคับให้กัมพูชาเคลียร์ปมกับระเบิด จนทำให้ วันที่ 9 ส.ค. มีทหารไทย 3 นาย บาดเจ็บจากกับระเบิดเพิ่มเช่นเดิม
6.การปฏิบัติตาม อนุสัญญาเจนีวา กรณี การปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกจับกุมตัว การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในสถานพยาบาลของอีกฝ่าย โดยจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการรองรับของสถานพยาบาลแล้วแต่กรณี ซึ่งข้อความภาษาอังกฤษในข้อตกลงนั้น ระบุชัดเจนว่า “If one side wishes to bring in its own wounded soldiers or civilians who are not under the control of the other side for medical treatment, the receiving side may determine its response based on the capacity of its medical facilities… on a case-by-case basis.”

ซึ่งมีความหมายว่า “พยายามให้คนเข้าใจผิดว่า การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในอีกฝ่ายเป็นไปตามอนุสัญญาเจนีวา” ซึ่งเป็นเรื่องผิด เพราะอนุสัญญาเจนีวาครอบคลุมเฉพาะทหารที่ตกเป็นเชลยและอยู่ในความควบคุมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึงทหารบาดเจ็บที่ยังอยู่ในการควบคุมของอีกฝ่าย

“ในทางปฏิบัติ ฝ่ายไทยสามารถตัดสินใจรับหรือไม่รับผู้บาดเจ็บที่ฝ่ายกัมพูชาประสงค์ส่งมาได้ตามศักยภาพของโรงพยาบาล และตามดุลยพินิจ ไม่ใช่ข้อบังคับแบบตายตัวอย่างที่แปลเป็นไทย”

กรณีนี้ จึงกลายเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลและความไม่พอใจในหมู่ประชาชนและนักการเมืองไทย เพราะเปิดช่องให้ “รัฐบาลไส้ศึก” ใช้อำนาจเลือกปฏิบัติ “on a case-by-case basis” ในการให้การรักษาพยาบาลเฉพาะบางบุคคล ซึ่งอาจกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างสองประเทศ ทั้งที่ไทยสามารถแสดงจุดยืนด้านมนุษยธรรมได้ โดยการเสนอให้ไปรักษาตัวในประเทศที่สาม เช่น มาเลเซียหรือสิงคโปร์

ส่วนสาระสำคัญ ข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ไทย – กัมพูชา อาจสรุปได้ 6 ข้อ คือ 1.ยุติการใช้อาวุธและการโจมตีพลเรือนทุกกรณี 2.รักษาสถานะกำลังพลและห้ามเคลื่อนย้ายที่ตั้ง ตั้งแต่ 28 ก.ค. 2568 3.งดเว้นการยั่วยุและกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ชายแดน 4.ยืนยันการปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวาในการดูแลเชลยศึก 5.กำหนดกลไกตรวจสอบและสังเกตการณ์โดยอาเซียน และ 6.นัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ทุก 1 เดือน เพื่อติดตามสถานการณ์

โดยภาพรวม “การเจรจานี้ ถือว่ากลางๆ เน้นมาตรการป้องกันการล้ำเขตที่เหมาะสม และใช้ประเด็นเรื่อง Call Center, scammer กดดันกัมพูชาได้ในทางบวก” แต่ “ข้อ 6 กลายเป็นจุดอ่อนสำคัญ เพราะพูดเกินกว่าขอบเขตของอนุสัญญาเจนีวา และทำให้เกิดความรู้สึกถูกผูกมัดโดยไม่จำเป็น ทั้งนี้ การใส่ข้อความเกินจำเป็นนี้ จะขยายความไม่พอใจต่อกัมพูชา และสร้างความกังวลในหมู่ประชาชนไทย”

“ดังนั้น แทนที่จะหวังให้เป็นผลงาน ฝ่าวิกฤตชายแดน รัฐบาลนี้ควรจะถอยออกไป เปิดโอกาสให้บุคคลที่ไม่อยู่ในแวดวงความขัดแย้ง เข้ามาทำหน้าที่แทนเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียทางการเมืองและความมั่นคงในอนาคต”

“สส.พิมพ์พร“เผย เครือข่ายองค์กรงดเหล้า กังวล มาตรา 10 ของ ร่าง พ.ร.บ.คุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจถูกแทรกแซงจากผลประโยชน์ทางการค้า พร้อมแนะควรห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่สตรีมีครรภ์

,

สส.พิมพ์พร เผย เครือข่ายองค์กรงดเหล้า กังวล มาตรา 10 ของ ร่าง พ.ร.บ.คุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจถูกแทรกแซงจากผลประโยชน์ทางการค้า พร้อมแนะควรห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่สตรีมีครรภ์

เมื่อวันที่ 5 ก.พ.เวลา 10.00 น.ที่อาคารรัฐสภา น.ส.พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ สส.เพชรบูรณ์ เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรถึงข้อห่วงใยในสุขภาพของเยาวชนและประชาชนในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยเมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา ตนได้รับหนังสือแสดงข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากศูนย์ประสานงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า จังหวัดเพชรบูรณ์ ภาคีเครือข่ายร่วมและชมรมคนหัวใจเพชร เกี่ยวกับการแก้ไขพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับที่ พ.ศ….ซึ่งกำลังจะเข้าสู่ที่ประชุมสภาเพื่อพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ในสัปดาห์นี้

น.ส.พิมพ์พร กล่าวต่อว่า ทางเครือข่ายสนับสนุนและเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งในเรื่องของการเพิ่มความรับผิดชอบของผู้ขาย ด้วยการตรวจสอบอายุผู้ซื้อก่อนขาย รวมถึงการเพิ่มบทลงโทษทางเพ่ง การเพิ่มการตักเตือน การระงับการโฆษณา การพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตผู้ขาย ซึ่งจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกจะพบว่า กว่า 60% ของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนมักจะมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด

“เครือข่ายฯจึงมีความกังวลใจในมาตราที่ 10 ของร่างพ.ร.บ.ที่เสนอให้มีผู้แทนองค์กรที่เป็นนิติบุคคลด้านการผลิต นำเข้า หรือขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อมาเป็นกรรมการ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการถูกแทรกแซงจากผลประโยชน์ทางการค้า และไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์โลก และขาดแผนการปฏิบัติงานขององค์การอนามัยโลก ซึ่งเสนอแนะเพิ่มเติมในมาตราที่ 29 ในเรื่องห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่สตรีมีครรภ์ เพื่อประโยชน์ต่อการคุ้มครองสุขภาพแก่แม่และเด็กมากขึ้น รวมทั้งขอฝากถึงเรื่องการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าให้แก่เด็กและเยาวชน ดิฉันขอฝากไปยังกรรมาธิการและ สส.ในสภาฯให้รับข้อเสนอแนะดังกล่าวไว้พิจารณาด้วย“น.ส.พิมพ์พร กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 05 กุมภาพันธ์ 2568

“ชัยวุฒิ”แนะ รบ.ลองขึ้นรถไฟฟรีดูว่าทำให้ฝุ่นหายไปหรือไม่ ซัด แก้ปัญหาไม่ถูกจุด แนะคุมเข้ม เผาอ้อย-ข้าวโพด

,

“ชัยวุฒิ”แนะ รบ.ลองขึ้นรถไฟฟรีดูว่าทำให้ฝุ่นหายไปหรือไม่ ซัด แก้ปัญหาไม่ถูกจุด แนะคุมเข้ม เผาอ้อย-ข้าวโพด

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 27 มกราคม ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค พปชร.กล่าวถึงแนวทางที่รัฐบาลให้ประชาชนใช้รถไฟฟ้า และรถโดยสารได้ฟรี ลดการใช้รถยนต์ เพื่อลดฝุ่น PM2.5 ในระยะเวลา 7 วัน ใข้งบ 140 ล้าน ว่า ให้ลองขึ้นรถไฟฟรีดูว่าทำให้ฝุ่นหายไปหรือไม่ หรือทำให้ตนเองหายคัดจมูกหรือไม่

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า คนที่ใช้รถส่วนตัวอยู่แล้วก็คงใช้เหมือนเดิม เพราะคนที่เดินทางโดยรถไฟฟ้าได้ ก็เพราะอยู่ใกล้รถไฟฟ้าขึ้นลงได้สะดวก ส่วนคนที่ต้องใช้รถยนต์ก็เพราะเขามาขึ้นรถไฟฟ้าไม่สะดวก ตนเองมองว่า ให้ขึ้นรถไฟฟ้าฟรีก็คงไม่มีผลกับการลดจำนวนรถยนต์บนท้องถนนได้เท่าไหร่ เหมือนกับแก้ปัญหาไม่ถูกจุดและไม่ใช่ประเด็น

“พรรค พปชร.จะมีมาตราการในเรื่องการควบคุมการเผาอ้อย เผาข้าวโพด ซึ่งปัจจุบันมีเยอะมาก ซึ่งมาตราการที่เราอยากผลักดันมากที่สุดก็คือทางภาษี จำกัดการนำเข้าและเรื่องภาษีในการเผา ถ้ามีการเผาก็จะมีบทลงโทษในเรื่องนี้ เพื่อให้เป็นมาตราการลดการเผา”นายชัยวุฒิ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 มกราคม 2568

“อุตตม”ชี้ชะตา ศก.ไทย ฟื้นหรือฟุบ อยู่ที่การจัดการ พร้อม ชูแผนฟื้นเศรษฐกิจ-พัฒนาคน ดันเป็นวาระแห่งชาติ มุ่งแก้ปัญหาคนไทย ข้ามผ่านวิกฤต สู่อนาคตที่ยั่งยืน

,

“อุตตม”ชี้ชะตา ศก.ไทย ฟื้นหรือฟุบ อยู่ที่การจัดการ พร้อม ชูแผนฟื้นเศรษฐกิจ-พัฒนาคน ดันเป็นวาระแห่งชาติ มุ่งแก้ปัญหาคนไทย ข้ามผ่านวิกฤต สู่อนาคตที่ยั่งยืน

วันที่ 20 ม.ค.เวลา 11.20 น.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ได้จัดกิจกรรมสัมมนา ประจำปี 2568 ภายใต้หัวข้อ “Now & Next พรรคพลังประชารัฐ“ณ โรงแรมซี แซนด์ ซัน หัวหิน รีสอร์ท โดย ดร.อุตตม สาวนายน ประธานกรรมการนโยบาย เเละรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในปี 2568 ถือเป็นปีแห่งความท้าทายครั้งใหญ่ของประเทศไทย เศรษฐกิจจะฟื้นตัวหรือฟุบลง ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดการกับความท้าทายทั้งภายในและภายนอกประเทศ ความท้าทายสำคัญที่อยู่เบื้องหน้าคือ เศรษฐกิจปากท้องของคนไทย ซึ่งยังคงเป็นปัญหาหลัก และยังต้องเผชิญกับสัญญาณเตือนจากภายนอก เช่นเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้าและไม่ครอบคลุม ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ดร.อุตตม กล่าวต่อว่า ประเทศไทยยังเผชิญกับข้อจำกัดภายในคือขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง เครื่องยนต์หลักทางเศรษฐกิจอ่อนกำลังลงอย่างต่อเนื่อง การส่งออกเผชิญความเสี่ยงที่จะหลุดจากขบวนเศรษฐกิจโลกใหม่ การท่องเที่ยวฟื้นตัวไม่เต็มศักยภาพ ความสามารถในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติลดลง การลงทุนรวมในประเทศตกต่ำถึงจุดต่ำสุดในรอบ 30 ปี เศรษฐกิจซบเซาอย่างต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่หลังวิกฤตโควิด-19 และฟื้นตัวช้ากว่าเพื่อนบ้านในอาเซียน เราจำเป็นต้องพลิกเกมเศรษฐกิจใหม่ เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้อย่างเร่งด่วน และสร้างความมั่นคงให้กับอนาคตเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ดร.อุตตม ยังกล่าวเพิ่มเติมถึง โจทย์ใหญ่สำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะรัฐบาลคือ การเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างแท้จริงและยั่งยืน รวมถึงการเร่งวางรากฐานเศรษฐกิจและยกระดับการปฏิรูประบบเศรษฐกิจไทยอย่างเป็นรูปธรรม โดยมุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งและสร้างความมั่งคั่งของเศรษฐกิจฐานรากและชุมชนพรรคพลังประชารัฐ

“ผมจึงอยากเห็นรัฐบาลจัดสรรงบประมาณอย่างเพียงพอ โดยเน้นการสร้างงานในชุมชนท้องถิ่น ส่งเสริมความเข้มแข็งในตัวเอง พร้อมยึดโยงกับการยกระดับภาคการเกษตร การท่องเที่ยว และวิสาหกิจชุมชน/การผลิตชุมชน ให้ผสานกันเพื่อผลักดันการพัฒนาให้ก้าวหน้าได้อย่างเต็มศักยภาพ”ดร.อุตตม กล่าว

ดร.อุตตม กล่าวต่อว่า พปชร.ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขึ้นเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้คนไทยมีทักษะและองค์ความรู้ที่จำเป็น สร้างศักยภาพการเติบโตในเศรษฐกิจโลกใหม่ (New Economy) อย่างแท้จริง ทั้งนี้ หลายประเทศในอาเซียนได้เร่งลงทุนมหาศาลใน “การพัฒนาคน” แทนที่จะมุ่งเน้นเพียง การลงทุนใน “โครงสร้างพื้นฐาน” หรือ Hardware อย่างเดียว

ดร.อุตตม ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า พรรคพลังประชารัฐมีพลังและความมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อประชาชนอย่างเต็มที่ พร้อมสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวข้ามความท้าทายครั้งใหญ่ เพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นในประเทศและสร้างความน่าเชื่อถือจากต่างประเทศ ผ่านการทำงานทั้งในสภาและพื้นที่ โดยอาศัยเครือข่ายที่เข้มแข็งทั่วประเทศ นอกจากบทบาทฝ่ายค้าน พรรคยังมุ่งพัฒนาการเมืองที่ตอบสนองความต้องการคนไทย แก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ และวางรากฐานอนาคตที่มีคุณค่า

ที่มา: พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 มกราคม 2568

“สนธิรัตน์”มั่นใจ พปชร.มีโอกาสอีกมาก ประกาศยุทธศาสตร์ ปรับตัวพรรคครั้งใหญ่ ชูอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมทันสมัย ขยายฐานเสียง คว้าชัยชนะทางการเมือง

,

“สนธิรัตน์” มั่นใจ พปชร.มีโอกาสอีกมาก ประกาศยุทธศาสตร์ ปรับตัวพรรคครั้งใหญ่ ชูอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมทันสมัย ขยายฐานเสียง คว้าชัยชนะทางการเมือง

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานศูนย์นโยบายและวิชาการ พรรคพลังประชารัฐและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และพลังงาน กล่าวว่า หากมองไปยังการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองต่างๆ บนกระดานการเมืองเวลานี้ ตนมั่นใจว่าพรรค พปชร.​ยังมีโอกาสทางการเมืองอีกมาก โดยมีปัจจัยสำคัญจากการโต้กลับของพลังอนุรักษ์นิยมที่จะขยายตัวกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ จากการบริหารงานของรัฐบาลปัจจุบันซึ่งเอาแต่จะขับเคลื่อนนโยบายเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เช่น กรณีคาสิโนเสรี พนันบนดิน และเมื่อดูโพลต่างๆ ก็พบว่า พปชร. ยังคงเป็นพรรคที่อยู่บนกระดานการเมือง อยู่ในใจประชาชน ยังมี ส.ส. ในสภาไว้เป็นปากเป็นเสียง มีกลุ่มการเมือง มีบ้านใหญ่ต่างๆ รวมพลังกันอย่างเหนียวแน่น

”วันนี้ประชาชนยังหาพรรค ยังหาคนที่เหมาะสมสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ได้ โพลบอกว่าเป็นจำนวนมากถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ พรรคของเราต้องเป็นตัวแทนของคนกลุ่มนี้ให้ได้ สร้างนโยบายให้โดนใจคนกลุ่มนี้ให้ได้ เราต้องปลุกคลื่นพลังอนุรักษ์นิยมให้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้งหนึ่ง ใช้จุดเด่นของบุคลากรพรรค คือเรื่องปากท้อง ศก. มีมือ ศก. ที่มีประสบการณ์ มาร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์ให้ข้อเสนอแนะต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาลอย่างสม่ำเสมอ เดินหน้าตรวจสอบรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ตนคิดว่า คำวิจารณ์ที่มีเหตุมีผล กลั่นกรองจากข้อมูลที่เข้มข้นของพวกเรา จะช่วยดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่ไม่ชอบดราม่าทางการเมือง ให้มาสนใจพรรคมากขึ้น แต่การมีข้อมูลเหล่านั้น ก็จำเป็นต้องสร้างทีม ต้องลงแรง ต้องมีระบบการทำงานที่เข้มแข็ง ซึ่งท่านหัวหน้าพรรคได้ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี“นายสนธิรัตน์

นายสนธิรัตน์ ยังนำเสนอถึงยุทธศาสตร์การทำงานของพรรคในช่วงเวลาสองปีข้างหน้าที่รัฐบาลจะหมดวาระ และมีการเลือกตั้ง เราจำเป็นต้อง 1. สร้างและรวมพลังชุดความคิดใหม่ ใช้ความคิดอนุรักษ์นิยมทันสมัย เป็นชุดอุดมการณ์ที่จะใช้เพื่อชนะทางความคิด เพื่อชนะทางการเมือง 2.เตรียมการทำงานในพื้นที่เป้าหมาย สร้างความเข้มแข็งของพื้นที่ และขยายฐานผู้สนับสนุนของเราออกไปให้กว้าง 3.เร่งปรับภาพลักษณ์ สร้างแบรนด์ ทำให้พลังประชารัฐ​เป็นพรรคการเมืองแห่งความหวัง

นายสนธิรัตน์ กล่าวต่อว่า ตนพูดได้เต็มปากว่า พรรคพลังประชารัฐ ยังมีโอกาส พรรคพลังประชารัฐกับตนมีความผูกพันกันมานาน เพราะตนเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรคในปี 2561 วันนั้น เรานับหนึ่ง ถือว่ายากและท้าทาย แต่ในที่สุด เรารวบรวมกลุ่มการเมือง คนการเมือง มาเป็นพรรคการเมือง จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ วันนี้ ปี 2568 ผมรู้ว่ายากและท้าทายกว่ามาก แต่ตนเชื่อว่า ยังคงมีประชาชนที่นิยมพรรคพลังประชารัฐอยู่ทั่วประเทศ ถ้าเราหาเจอ แล้วเชื่อมต่อด้วยชุดความคิด ความเชื่อแบบเดียวกัน เราจะหาคะแนนเสียงจนเจอ นี่คือสิ่งที่ทำให้ผมเชื่อว่า พรรคพลังประชารัฐยังมีโอกาส

“Now วันนี้ ผมเชื่อว่า พรรคพลังประชารัฐยังมีโอกาส Next วันข้างหน้า โอกาสในการเป็นรัฐบาลจะอยู่ในมือเรา เพื่อให้เราได้ดูแลพี่น้องประชาชนอีกครั้งหนึ่ง”นายสนธิรัตน์ กล่าว

ที่มา: พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 มกราคม 2568

“ผู้กองมาร์ค” เปิดโปงต้นตอฝุ่นพิษภาคเหนือ! ทุนไทยหนุน “โรงไฟฟ้า ห.” แนะนายกฯ จัดการด่วน ก่อนวิกฤตลุกลาม!

,

“ผู้กองมาร์ค” เปิดโปงต้นตอฝุ่นพิษภาคเหนือ! ทุนไทยหนุน “โรงไฟฟ้า ห.” แนะนายกฯ จัดการด่วน ก่อนวิกฤตลุกลาม!

25 ต.ค. 2567 / ภาคเหนือของไทยกำลังเผชิญกับมลพิษร้ายแรงอย่างไม่หยุดหย่อน ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช รองประธานคณะกรรมาธิการ พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่ทำให้ทุกฝ่ายต้องจับตา โรงไฟฟ้าถ่านหิน “ห.” ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีทุนจากไทยเป็นส่วนสำคัญ ถูกระบุว่าเป็นต้นเหตุหลักที่ทำให้ภาคเหนือจมอยู่ในมลพิษมาแล้วกว่า 7 ปี! ปัญหานี้ไม่เพียงแต่ทำลายสุขภาพคนในพื้นที่ แต่ยังส่งผลต่อสภาพแวดล้อมอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง

“โรงไฟฟ้าถ่านหินนี้อาจอยู่ในต่างแดน แต่ฝุ่นพิษที่ถูกปล่อยออกมา ทำลายคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างไม่มีข้อยกเว้น” ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าว ข้อมูลที่นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เก็บรวบรวมในพื้นที่จังหวัดน่าน พบสารปรอทปนเปื้อนในดิน น้ำ และอากาศ ซึ่งเป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่

ความจริงที่ถูกเปิดเผยออกมานี้ ทำให้เกิดความกังวลในวงกว้าง ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ จึงเร่งเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ดำเนินการแก้ไขโดยด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการกับกลุ่มทุนที่อยู่เบื้องหลังโรงไฟฟ้า “ถึงเวลาหรือยังที่ผู้นำประเทศจะแสดงความจริงจังในการจัดการปัญหานี้ เริ่มจากคนใกล้ตัว?” เขากล่าว พร้อมชี้ว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องของธุรกิจพลังงาน แต่เป็นการละเมิดสิทธิพื้นฐานในการมีอากาศบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน

นอกจากนั้น เขายังเน้นถึงความจำเป็นในการที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามหลักการ “ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน” ที่องค์การสหประชาชาติ (UNGP) กำหนดไว้ “ถึงเวลาแล้วที่ทุนพลังงานต้องโปร่งใส หยุดการทำลายสิ่งแวดล้อม ก่อนที่ภาคเหนือจะไม่มีอากาศให้หายใจ!”

การแก้ไขปัญหามลพิษนี้จะเป็นของขวัญปีใหม่ที่ล้ำค่าสำหรับคนไทยทุกคน ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวปิดท้ายว่า “สิทธิในอากาศสะอาดไม่ใช่แค่ความหวัง แต่เป็นสิทธิที่ทุกคนต้องมี!”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 ตุลาคม 2567

“สส.อัคร” ปลื้ม เป็นตัวแทนอภิปรายในฐานะยุวสมาชิก บนเวทีประชุม 149th IPU ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เผย ได้เปิดมุมมองใหม่ นำมาใช้ในการทำงานการเมือง

,

“สส.อัคร” ปลื้ม เป็นตัวแทนอภิปรายในฐานะยุวสมาชิก บนเวทีประชุม 149th IPU ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เผย ได้เปิดมุมมองใหม่ นำมาใช้ในการทำงานการเมือง
     
นายอัคร ทองใจสด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า ตนได้เป็นตัวแทนของรัฐสภาไทย เดินทางไปประชุมสหภาพรัฐสภาที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 11-18 ต.ค.ที่ผ่านมา และได้เป็นตัวแทนขึ้นอภิปรายในฐานะยุวสมาชิกในหัวข้อ “Science Technology and Innovation” ในการประชุม 149th IPU ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งการได้รับเกียรติขึ้นอภิปรายในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2 แล้วบนเวทีโลกแห่งนี้

“นอกจากการประชุมในเวทีรัฐสภาโลกแล้วยังได้แลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนสส.ในอีกหลายๆประเทศ ซึ่งได้มีการยกประเด็นยุวสมาชิกและนโยบายที่อาจเป็นประโยชน์ต่อแต่ละประเทศมาหารืออีกด้วยครับ” นายอัคร กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 ตุลาคม 2567

“วรโชติ” เผย ลงพื้นที่ ต.ดงขุย แจกกระสอบทรายเตรียมรับมือน้ำเริ่มท่วมแล้ว หลังฝนตกหนักต่อเนื่อง หวั่น ชาวบ้านกว่า 1,200 ครัวเรือนจะเดือดร้อนหนัก

,

“วรโชติ” เผย ลงพื้นที่ ต.ดงขุย แจกกระสอบทรายเตรียมรับมือน้ำเริ่มท่วมแล้ว หลังฝนตกหนักต่อเนื่อง หวั่น ชาวบ้านกว่า 1,200 ครัวเรือนจะเดือดร้อนหนัก

นายวรโชติ สุคนธ์ขจร สส.เพชรบูรณ์ เขต 4 พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ได้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณจากน้ำฝนและน้ำป่าไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่ ตำบล ดงขุย ทั้งในเขตเทศบาลและเขต.อบต ดงขุย เป็นบริเวณกว้าง กระทบต่อชาวบ้านใน ม2. ม3. ม5. ม 4. ม14 ม 15. จำนวน 1200 ครัวเรือน ในขณะนี้เดือดร้อนอย่างหนัก บ้านเรือน ทรัพย์สิน รวมถึงพื้นที่ทางการเกษตร เสียหายจากเหตุอุทกภัย เพราะน้ำมาค่อนข้างเร็วและมีปริมาณมากจนทำให้ระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ผมได้ลงพื้นที่ร่วมกับนายกเทศมนตรี ต.ดงขุย กำนันผู้ใหญ่บ้าน ตำบลดงขุย เพื่อแจกกระสอบทรายให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และได้เตรียมการจัดตั้งโรงครัว เพื่อทำอาหารมอบให้กับประชาชนทั้งเขตเทศบาล และเขต อบต.ดงขุย ซึ่งยังเป็นที่น่ากังวลว่า ปริมาณน้ำที่เพิ่มอย่างรวดเร็วอาจจะทำให้การสัญจรถูกตัดขาด และจะทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 1,200 ครัวเรือน โดยชจะไม่สามารถเข้าออกมาซื้ออาหาร เครื่องอุปโภค-บริโภคได้“นายวรโชติ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 กันยายน 2567