โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ผู้เขียน: pprpadmin

“รมว.ชัยวุฒิ” ประสานความร่วมมือกัมพูชาทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์

,

“รมว.ชัยวุฒิ” ประสานความร่วมมือกัมพูชาทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เร่งจับกุมเป็นผลสำเร็จขานรับนโยบายนายกฯ ป้องกันปชช.ตกเป็นเหยื่อ

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า กระทรวงดิจิทัลฯ พร้อมขานรับข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.ว่าการกระทรวงกลาโหม ที่มีนโยบายในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างเร่งด่วน เพื่อลดความเดือดร้อนให้กับประชาขนจากการสูญเสียทรัพย์สินและตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยเฉพาะปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยจะมีการประสานการทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) อย่างใกล้ชิดเพื่อติดตามกวาดล้างขบวนการผู้กระทำผิดกฎหมาย และจับกุมมาดำเนินคดี รวมถึงเตรียมเพิ่มความร่วมมือกับรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน ในการแก้ไขและปราบปรามปัญหานี้ร่วมกัน

ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล เลขานุการ ดีอีเอส ในการปฏิบัติภารกิจร่วมกับคณะของ สตช. ภายใต้การนำทีมของพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร ) หรือ PCT เดินทางไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อพบกับ พล.อ.เซา ซกคา รอง ผบ.สส. และ ผบ.สห. (Gendarmerrie) ผู้แทนฝ่ายรัฐบาลกัมพูชา เพื่อประสานความร่วมมือปฏิบัติการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ฝังตัวอยู่ในกัมพูชา

สำหรับการปฏิบัติการ เมื่อวันที่ 11 ก.พ.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยกับเจ้าหน้าที่กัมพูชา ได้เปิดปฏิบัติการเข้าตรวจค้นเป้าหมายจำนวน 3 จุดพร้อมกันในกรุงพนมเปญ และเมืองพระสีหนุ ซึ่งถูกใช้เป็นฐานในการหลอกลวงผู้เสียหาย โดยมีคนจีนเป็นหัวหน้าและผู้ควบคุมการทำงาน จับกุมผู้ต้องหาได้รวม 21 ราย และสำหรับผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี เจ้าหน้าที่กัมพูชาจะเร่งรัดดำเนินการติดตามตัวเพื่อส่งตัวให้กลับประเทศไทยโดยเร็ว โดยพฤติกรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ มีทั้งชักชวนหลอกลงทุนซื้อขายเหรียญสกุลดิจิทัลผ่านผ่านเว็บไซต์ Digital Alliance การโทรหลอกลวงผู้เสียหายที่ประเทศไทยโดยแอบอ้างเป็นดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงการหลอกลวงให้เล่นเกมส์แบบพิชิตเป็นภารกิจโดยส่งลิงก์ผ่านเว็บไซต์ 888168hs.com เพจ ct make money โดยอ้างตัวเป็นเครือของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และ ปตท. หรือกลุ่ม PTTEP มีผู้เสียหายเป็นคนไทยจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายรวมไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท

ทั้งนี้รัฐบาลมีความห่วงใยปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องนี้ และได้สั่งการให้เร่งระดมกวาดล้าง พร้อมกันนี้อยากฝากเตือนประชาชนว่า อย่าไปหลงเชื่อการโทรแอบอ้างใดๆ อย่าโอนเงินให้กับคนที่ไม่รู้จัก และขอประชาสัมพันธ์ไปยังคนไทยที่ไปทำงานในประเทศกัมพูชา และเข้าร่วมขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ ว่าจะมีความผิดและต้องถูกดำเนินคดี ในข้อหาฉ้อโกงประชาชนด้วย

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 11 กุมภาพันธ์ 2565

อธิรัฐ เผย นายกฯ ห่วงเหตุน้ำมันรั่วซ้ำที่มาบตาพุด สั่งระดมทุกหน่วยเร่งแก้ไข

,

“อธิรัฐ เผย นายกฯ ห่วงเหตุน้ำมันรั่วซ้ำที่มาบตาพุด สั่งระดมทุกหน่วยเร่งแก้ไข ลดผลกระทบประชาชน”

นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงถึงเหตุน้ำมันรั่วไหลซ้ำเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 ในระดับ Tier 1 (น้ำมันรั่วไหลขนาดเล็ก ไม่เกิน 20 ตัน) โดยพบฟิล์มน้ำมันดิบ(สีเงิน) บริเวณทิศเหนือ ห่างจากทุ่นผูกเรือน้ำลึก แบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเล หรือจุดขนถ่ายน้ำมันในทะเลของบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) ประมาณ 3 ไมล์ ใกล้กับจังหวัดระยอง ซึ่งกรมเจ้าท่าได้เคยมีคำสั่งระงับการใช้งานทุ่นเทียบเรือดังกล่าวไปแล้วตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2565 ส่วนสาเหตุการรั่วไหล เบื้องต้นทราบว่าเกิดจากการที่บริษัทฯ ได้ยกท่ออ่อนขนถ่ายน้ำมันบริเวณทุ่นลอยขนถ่ายน้ำมันกลางทะเล จุดที่พบการรั่วไหลก่อนหน้าขึ้นมาตรวจสอบ แต่พบว่ามีน้ำมันค้างท่ออยู่ จนทำให้เกิดรั่วไหลลงทะเลอีกครั้ง และภายหลังเกิดเหตุกรมเจ้าท่าได้เร่งดำเนินการ ดังนี้

1. ออกประกาศกรมเจ้าท่าให้ระมัดระวังการเดินเรือ และระมัดระวังความปลอดภัย
2. สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 สาขาระยอง ได้แจ้งความร้องทุกข์ ต่อพนักงานสอบสวนอีกครั้ง ในการกระทำดังกล่าวฝ่าผืนคำสั่งระงับใช้ทุ่นเทียบเรือ และก่อให้เกิดมลพิษฯ
3. มีหนังสือแจ้งให้บริษัทฯ ดำเนินการปฎิบัติตามแผนเผชิญเหตุฯ ในระดับ Tier 1 และแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดรับทราบเพื่อเตรียมการรองรับเหตุที่เกิดขึ้นกรณีขยายวงกว้าง
4. ได้สั่งการให้บริษัทฯ เข้าระงับเหตุฯ อาทิ ล้อมบูม จัดเรือสนับสนุน และรายงานผลการทำงาน
5. กรมเจ้าท่า จัดเรือตรวจการณ์ เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ

นอกจากนี้ ตนได้สั่งการให้กรมเจ้าท่าเร่งดำเนินการขจัดคราบน้ำมันเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง รวมทั้งให้เร่งประสานบริษัทฯ ตรวจสอบจุดที่รั่วไหลว่ายังคงมีปริมาณน้ำมันตกค้างอยู่ในท่ออีกหรือไม่ เพื่อการวางแผนและเตรียมการป้องกันเกิดเหตุซ้ำ

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 11 กุมภาพันธ์ 2565

‘พล.อ.ประวิตร’ สั่งทุกหน่วยงานเร่งช่วยประชาชน แก้ปัญหาความเดือดร้อน

,

‘พล.อ.ประวิตร’ สั่งทุกหน่วยงานเร่งช่วยประชาชน แก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว

เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกำกับติดตามการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของมวลชน ครั้งที่ 1/2565 ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (Video Conference) ทั้งนี้ที่ประชุมมีเรื่องรับทราบ การแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของมวลชนกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของมวลชน (ทุกกระทรวง) และรับทราบรายงานผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนของประชาชน กรณี นายกรัฐมนตรีมีบัญชาให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาตามข้อร้องเรียนของประชาชน และนำเสนอคณะกรรมการฯ

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า โดยที่ประชุมมีเรื่องเพื่อพิจารณา การแก้ไขปรับปรุงและเพิ่มเติมองค์ประกอบคณะอนุกรรมการฯ ภายใต้คณะกรรมการกำกับติดตามการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของมวลชน จำนวน 3 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของกลุ่มมวลชน คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาของเครือข่ายเกษตรกรช่วยชาติและคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชชาเกษตรกรภาคอีสาน

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า การประชุมในวันนี้เพื่อให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และเร่งรัดติดตามการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนให้ได้ข้อยุติ หากประเด็นปัญหาใดที่ต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไขปัญหา ขอให้สร้างการรับรู้ ชี้แจงทำความเข้าใจแก่ประชาชน เพื่อป้องกันปัญหาความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น ระหว่างรัฐบาลกับประชาชนในภายหลัง ขอให้ทุกหน่วยงานได้ร่วมกันปฏิบัติงานกันอย่างเต็มที่แม้ว่าต้องมีการปรับรูปแบบการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่มีอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รวมถึงรายงานผลให้คณะกรรมการทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ข้อยุติโดยเร็วต่อไป

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 10 กุมภาพันธ์ 2565

“ส.ส. กานต์กนิษฐ์” ลงพื้นที่ตรวจโควิด พ่นหมอกควันกำจัดยุงลาย ป้องกันไข้เลือดออก

,

“ส.ส. กานต์กนิษฐ์” ลงพื้นที่ตรวจโควิด-พ่นหมอกควันกำจัดยุงลาย ป้องกันโรคไข้เลือดออก ดูแลห่วงใยสุขภาพชุมชนนรนาถ

นางสาวกานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ ส.ส.กทม.เขตพระนคร-ป้อมปรามฯ-สัมพันธวงศ์-ดุสิต พร้อมด้วยทีมงาน ลงพื้นที่ตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุก ให้กับพี่น้องประชาชนภายในชุมชนนรนาถ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ภายในชุมชน พร้อมกันนี้ ยังได้หมอกควันกำจัดยุงลายภายในชุมชนดังกล่าว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออกอันมียุงลายเป็นพาหะ

“ขอให้ทุกท่านช่วยกันเว้นระยะห่าง สวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือตลอดเวลา ช่วยกันทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ปิดฝาภาชนะบรรจุน้ำให้สนิท และสุดท้ายขอให้ทุกท่านรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ”

ทั้งนี้ ยังได้พบปะร่วมพูดคุยรับฟังปัญหาและเรื่องร้องเรียน รวมถึงข้อเสนอแนะจากชุมชน เพื่อให้รับรู้ถึงความต้องการและความเดือดร้อนต่างๆ และพร้อมนำไปพัฒนาและแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อสร้างความสุขและคุณภาพที่ดีให้กับชาวบ้านในพื้นที่

#กานต์กนิษฐ์แห้วสันตติ
#สสกทม
#พลังประชารัฐ
#พปชร
#https://pprp.or.th/
#https://twitter.com/pr_pprpthailand
#https://www.blockdit.com/pprp

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 9 กุมภาพันธ์ 2565

“ส.ส. จองชัย” ลงตรวจงานก่อสร้างทางเท้าไม่ปิดฝาท่อย่าน ร.ร.อนุบาลชลฯ

,

“ส.ส. จองชัย” ลงตรวจงานก่อสร้างทางเท้าไม่ปิดฝาท่อย่าน ร.ร.อนุบาลชลฯ หลังรับร้องเรียนหวั่นเกิดอุบัติเหตุกับกลุ่มนักเรียนและผู้สัญจรไปมา

ร.อ.ดร.จองชัย วงศ์ทรายทอง ส.ส.ชลบุรี เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ และทีมงาน ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าและตรวจสอบความเรียบร้อยของโครงการก่อสร้างทางเดินเท้า บริเวณ ร.5 ถึง ร.ร.อนุบาลชลบุรี ถ.วชิรปราการ ต.บางปลาสร้อย อ.เมือง หลังได้รับเรื่องร้องเรียนจากพี่น้องประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการก่อสร้างที่ขาดมาตรฐานความปลอดภัย ถึงกรณีไม่ปิดฝาท่อระบายน้ำ เกรงว่าอาจจะเกิดอันตรายกับผู้ที่สัญจรไปมาในบริเวณดังกล่าวโดยเฉพาะกลุ่มเด็กนักเรียน

“หากคิดจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องมืออาชีพมากกว่านี้ ส่วนประชาชนต้องเข็มแข็งช่วยกันสอดส่องเป็นหูเป็นตา เพื่อทำให้เรื่องแบบนี้หมดไป และเพื่อไม่ให้มีเหตุการสูญเสียทั้งชีวิตหรือทรัพย์สินขึ้นอีก”

ทั้งนี้ จากการสำรวจบริเวณการก่อสร้างดังกล่าว พบว่าไม่มีการทำเครื่องหมาย ป้ายเตือน หรือปิดกั้นปากท่อแต่อย่างใด จึงอยากขอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบและผู้รับจ้างเร่งดำเนินการแก้ไขโดยด่วน เพื่ออำนวยความสะดวกและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับผู้ที่สัญจรไปมาบริเวณดังกล่าว

#จองชัยวงศ์ทรายทอง
#สสชลบุรี
#พลังประชารัฐ
#พปชร
#https://pprp.or.th/
#https://twitter.com/pr_pprpthailand
#https://www.blockdit.com/pprp

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 9 กุมภาพันธ์ 2565

พปชร.ประกาศความเหนียวแน่น พร้อมศึกเลือกตั้งครั้งหน้า มั่นใจกวาดได้เกิน 150 คน

,

พปชร. ประกาศความเหนียวแน่นเตรียมพร้อมศึกเลือกตั้งครั้งหน้า มั่นใจกวาดส.ส. ได้เกิน 150 คน

ส.ส.ดร.พัชรินทร์ เผย พล.อ. ประวิตร ย้ำในที่ประชุมพรรค พปชร.เป็นหนึ่งเดียว เหนียวแน่น เป็นสถาบันการเมืองที่เข้มแข็ง แต่งตั้ง “สันติ” รักษาการเลขาธิการพรรคฯ และ “สุรสิทธิ์”รักษาการนายทะเบียนพรรค แทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้ง “สุชาติ” รักษาการ ผอ.พรรค และ “ชัยวุฒิ” รักษาการนั่งรองหัวหน้าพรรค จนกว่าจะมีการประชุมสามัญประจำปี เตรียมลุยสนามเลือกตั้งครั้งหน้า สั่งลงพื้นที่รับฟังเสียงสะท้อนประชาชน กำหนดเป็นนโยบายพรรค ดูแลผลประโยชน์ประชาชนทุกกลุ่ม มั่นใจทำได้เกิน 150 เสียง

วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ ถนนรัชดา ส.ส.ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ กทม.เขต2 ในฐานะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร. ) เปิดเผยว่าในวันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นประธานการประชุมพรรค โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) เข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก ซึ่งที่ประชุมได้แต่งตั้งกรรมการบริหารพรรครักษาการ 2 ตำแหน่งที่ว่างลง โดยให้นายสันติ พร้อมพัฒน์ ดำรงตำแหน่ง รักษาการเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ และ นายสุรสิทธิ์ นิธิวุฒิวรรักษ์ รักษาการตำแหน่งนายทะเบียนพรรค ไปจนกว่าจะมีการประชุมพรรคสามัญประจำปีของพรรค พร้อมกับการแต่งตั้ง นายสุชาติ ชมกลิ่น เป็นรักษาการผู้อำนวยการพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมนุสรณ์ เป็นรักษาการรองหัวหน้าพรรค เพื่อให้การบริหารงานพรรคสามารถขับเคลื่อนการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการหารือการเตรียมการเลือกตั้ง ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผ่านโครงสร้างทั้ง 10 ภาค และยังให้ส.ส. ของพรรค ทำหน้าหน้าที่ในพื้นที่ที่จะรับฟังปัญหาพี่น้องประชาชนเพื่อให้สะท้อนประเด็นต่างๆ ที่ประชาชนมีความต้องการในครั้งถัดไป เพื่อนำมาสู่การเตรียมความพร้อมการกำหนดนโยบายในแต่ละพื้นที่ และผลักดันให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง รวมทั้งการทำหน้าที่ในสภาในด้านต่างๆ อย่างเต็มที่ มั่นใจว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า พปชร. จะได้รับเลือกตั้ง ส.ส.เข้าสู่สภาฯ ไม่น้อยกว่า 150 เสียง

ทั้งนี้ในการประชุมครั้งนี้ หัวหน้าพรรค ยังได้ย้ำว่า พรรคพลังประชารัฐยังมีคงมีความเหนียวแน่น มีความกลมเกลียวและยังคงที่จะมุ่งมั่นทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน เพื่อสถาบัน เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ยังคงให้พรรคเป็นสถาบันการเมืองที่เข้มแข็งต่อไป ขณะเดียวกันทางหัวหน้าพรรคฯ ยังได้เปิดรับฟังข้อเสนอแนะจากสมาชิกทุกๆคน เพื่อให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นในที่ประชุมในประเด็นต่างๆ

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 7 กุมภาพันธ์ 2565

“พล.อ.ประวิตร” เดินหน้าโครงการบำบัดน้ำเสียมีนบุรี ฟื้นฟูน้ำใสคลองแสนแสบ

,

“พล.อ.ประวิตร” เดินหน้าโครงการบำบัดน้ำเสียมีนบุรี ฟื้นฟูน้ำใสคลองแสนแสบ ยกระดับคุณภาพชีวิต ปชช.

เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหาร พัฒนา อนุรักษ์ และฟื้นฟูคลองแสนแสบ ครั้งที่ 1/2565 โดยมี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าตามที่มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการของแผนหลักการพัฒนาฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 จำนวน 84 โครงการ ดำเนินงานโดย 8 หน่วยงาน ได้แก่ กทม.กรมโรงงานอุตสาหกรรม องค์การจัดการน้ำเสีย กรมควบคุมมลพิษ กรมเจ้าท่า กรมชลประทาน กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และจังหวัดฉะเชิงเทรา ดำเนินการใน 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเร่งด่วน (ปี64) ระยะกลาง (ปี65–70) และระยะยาว (ปี71–74)

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ที่ประชุมได้ติดตามและเร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามแผน รวมถึงโครงการบำบัดน้ำเสียมีนบุรีที่อยู่ในแผนระยะเร่งด่วน เป็นโครงการที่บรรจุไว้ในแผนการในการแก้ไขปัญหาและบำบัดน้ำเน่าเสียในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร แบ่งการดำเนินโครงการเป็น 2 ระยะ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ระยะที่ 1 ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 4.43 ตารางกิโลเมตร จะรับน้ำเสียในพื้นที่ส่วนใหญ่ของเขตมีนบุรี และพื้นที่บางส่วนของเขตคลองสามวา เขตสะพานสูง และเขตคันนายาว คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 โดยจะสามารถบำบัดน้ำเสียได้ 10,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน

ดังนั้น เพื่อให้ระบบบำบัดน้ำเสียมีนบุรีทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและฟื้นฟูคุณภาพน้ำคลองแสนแสบและคลองสาขาได้กลับมาดีขึ้น ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบโครงการบำบัดน้ำเสียมีนบุรีในระยะที่ 2 ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (ปี66-69) เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียในคลองต่างๆ ในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร เช่น คลองแสนแสบ คลองสามวา และคลองสองต้นนุ่น ในเขตมีนบุรี เขตคลองสามวา เขตคันนายาว และเขตสะพานสูง ครอบคลุมพื้นที่ 15.39 ตารางกิโลเมตร ซึ่งจะช่วยบำบัดน้ำเสียได้ 42,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน โดยจะเสนอต่อคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญและคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ต่อไป

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า จากที่ ได้รับรายงานจากทุกหน่วยงาน ในวันนี้ จะเห็นได้ว่า การดำเนินงานทุกกิจกรรมมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงมีปัญหาอุปสรรค ในอีกหลายจุดที่ต้องเร่งแก้ไข เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ ตามแผนที่ได้วางไว้ อย่างต่อเนื่องขอฝากให้ทุกหน่วยงาน ร่วมมือ ร่วมใจ ดำเนินการอย่างจริงจังตลอดจน เร่งประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้กับประชาชน เพื่อให้คลองแสนแสบแห่งนี้ เป็นต้นแบบการพัฒนาของคลองอื่นๆ ต่อไป

เมื่อโครงการบำบัดน้ำเสียมีนบุรี ทั้งระยะที่ 1 และระยะที่ 2 แล้วเสร็จสมบูรณ์ จะทำให้กรุงเทพมหานครมีระบบรวบรวมน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสียที่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ก่อนระบายลงคลองแสนแสบ และน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วจะสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ อีกทั้งยังช่วยทำให้คลองสายหลักที่สำคัญ ได้แก่ คลองแสนแสบ รวมทั้งคลองสาขาในพื้นที่บริการน้ำเสีย มีคุณภาพน้ำที่ดีขึ้น ลดปัญหาน้ำเน่าเสียและกลิ่นเหม็น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงปัญหาด้านสุขภาพของประชาชนต่อการป่วยเป็นโรคระบบทางเดินอาหาร โรคผิวหนัง และโรคระบาดทางน้ำอื่นๆ อีกด้วย

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 7 กุมภาพันธ์ 2565

“พล.อ.ประวิตร” ช่วยเกษตรกรชาวสวนปาล์มเร่งพัฒนา 8 ผลิตภัณฑ์

,

“พล.อ.ประวิตร” ช่วยเกษตรกรชาวสวนปาล์มเร่งพัฒนา 8 ผลิตภัณฑ์ เพิ่มมูลค่าปาล์มน้ำมันด้วยนวัตกรรมไบโอแก้ปัญหาราคาระยะยาว

วันนี้ (4 ก.พ.65) เวลา 10.30 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ 1/2565 ผ่านระบบประชุมทางไกล (Video Conference) โดยที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มในประเทศและตลาดโลก ที่ได้รับผลกระทบจากแนวโน้มราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และไบโอดีเซล (B100) ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยกระทรวงพลังงานได้รายงานผลการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 65 เห็นชอบให้ปรับลดสูตรผสมน้ำมันไบโอดีเซล (B100) จากปัจจุบันมี B7 เกรดเดียว ให้เป็น B5 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. – 31 มี.ค. 65 โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการต่างๆ รองรับฤดูกาลปาล์มที่จะออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ดังนี้

โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2564 -2565 โดยกำหนดราคาเป้าหมายผลปาล์มทะลาย (อัตราน้ำมัน 18%) ณ หน้าโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม กิโลกรัมละ 4.00 บาท ใช้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 2,774 กิโลกรัม วงเงิน 7,660.00 ล้านบาท

โครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี 2565 โดยจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการสำหรับการส่งออกเฉพาะน้ำมันปาล์มดิบ (Crude Palm Oil : CPO) ในอัตรา ไม่เกิน 2.00 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อระดับสต็อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่า 300,000 ตัน และราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลก

มาตรการและแนวทางขับเคลื่อนการเพิ่มมูลค่าปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม กำหนดผลิตภัณฑ์เป้าหมายทั้งหมด 8 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1) ผลิตภัณฑ์สารหล่อลื่นพื้นฐาน (Base oil) 2) น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ (Bio-Transformer oil) 3) สารซักล้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (สารตั้งต้น MES : Methyl Ester Sulfonate) 4) น้ำมันหล่อลื่น และจาระบีชีวภาพ (Bio Lubricant and Greases) 5) พาราฟิน (Paraffin) 6) สารกำจัดศัตรูพืช/แมลง (Pesticides/Insecticides) 7) น้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ กรีนดีเซล (Bio Hydrogenated Diesel: BHD) และ น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ ไบโอเจ็ต (Biojet fuels)

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า กนป. ยังคงดำเนินนโยบายและมาตรการเดิมทุกประการที่ขับเคลื่อนมาตั้งแต่ปี 62 ถือว่าประสบความสำเร็จทำให้ปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย ดันราคาปาล์มทะลายเฉลี่ยทั้งปีจาก กก.ละ 3.05 บาท ในปี 2562 เพิ่มเป็น 4.78 บาทในปี 63 และสูงถึง 6.66 บาทในปี 2564 สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ชาวสวนปาล์มเพิ่มขึ้นจาก 5 หมื่นล้านบาท จนทะลุแสนล้านบาทเมื่อปีที่ผ่านมา ตามโครงสร้างราคาจึงทำให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบและแบบบรรจุขวด รวมทั้งไบโอดีเซลมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย จึงจำเป็นต้องออกมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงฤดูปาล์มที่ออกสู่ตลาดน้อยระยะสั้นๆ คาดว่าในปีนี้ ราคาปาล์มทะลายจะยังอยู่ในเกณฑ์ดีสูงกว่า กก.ละ 5 บาท โดยเฉลี่ย

ทั้งนี้ จากรายงานของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ระบุว่า ปี 2564 ไทยมีผลผลิตปาล์มน้ำมัน 16.79 ล้านตัน คิดเป็นผลผลิตในรูปน้ำมันปาล์มดิบ ประมาณ 3.17 ล้านตัน ในขณะที่มีความต้องการใช้ 3.00 ล้านตัน (การใช้ในประเทศ 2.38 ล้านตัน และการส่งออก 0.62 ล้านตัน) ทำให้ ณ สิ้นปี 2564 มีสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ 0.17 ล้านตัน ส่งผลทำให้ราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มปรับตัวเพิ่มขึ้น

สำหรับราคาปาล์มดิบล่าสุด ในเดือนม.ค.2565 ราคาปาล์มทะลายเฉลี่ย กก. 10.49 บาท ราคาน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ย กก.ละ 54.27 บาท ส่วนราคาตลาดมาเลเซีย ตันละ 5,628 ริงกิต หรือ คิดเป็น กก. ละ 45.31 บาท โดยมีสต๊อก ณ สิ้นเดือน ม.ค.นี้ อยู่ที่ 1.31 แสนตัน หากปี 2565 ผลผลิตสูงขึ้นตามคาดการณ์ของ สศก. ขณะเดียวกันความต้องการใช้ภายในประเทศมีแนวโน้มลดลงจากสัดส่วนของไบโอดีเซล จำเป็นต้องอาศัยการส่งออกให้ได้ 5 แสนตัน เพื่อดูดซับสต็อกส่วนเกินที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มาตรการต่างๆ ที่ กนป. เห็นชอบในครั้งนี้ยังคงเป็นกลไกสำคัญที่ต้องดำเนินการไปพร้อมๆ กันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการเพิ่มมูลค่า 8 ผลิตภัณฑ์เป้าหมาย ซึ่งจะเป็นทางออกที่ยั่งยืนในอนาคต คาดว่านโยบายและมาตรการของ พล.อ.ประวิตร ประธาน กนป. รวมทั้ง การบริหารจัดการเชิงบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงาน จะส่งผลให้ราคาปาล์มทะลายโดยเฉลี่ยทั้งปี 2565 อยู่ที่ กก.ละ 6-8 บาท สูงกว่าต้นทุนที่แท้จริง (กก.ละ 3.50 – 4.0 บาท) ของเกษตรกรชาวสวนปาล์ม รวมทั้ง ผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันทุกชนิด น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์บรรจุขวด ไบโอดีเซล (บี 100) อยู่ในระดับราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย สำหรับผู้บริโภค พลังงานทดแทน และส่งออก เพื่อผลักดันให้ปาล์มน้ำมันคงความเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคตของไทยอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 4 กุมภาพันธ์ 2565

“พล.อ.ประวิตร” ช่วยเกษตรกรชาวสวนปาล์มเร่งพัฒนา 8 ผลิตภัณฑ์

,

“พล.อ.ประวิตร” ช่วยเกษตรกรชาวสวนปาล์มเร่งพัฒนา 8 ผลิตภัณฑ์ เพิ่มมูลค่าปาล์มน้ำมันด้วยนวัตกรรมไบโอแก้ปัญหาราคาระยะยาว

วันนี้ (4 ก.พ.65) เวลา 10.30 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ 1/2565 ผ่านระบบประชุมทางไกล (Video Conference) โดยที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มในประเทศและตลาดโลก ที่ได้รับผลกระทบจากแนวโน้มราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และไบโอดีเซล (B100) ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยกระทรวงพลังงานได้รายงานผลการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 65 เห็นชอบให้ปรับลดสูตรผสมน้ำมันไบโอดีเซล (B100) จากปัจจุบันมี B7 เกรดเดียว ให้เป็น B5 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. – 31 มี.ค. 65 โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการต่างๆ รองรับฤดูกาลปาล์มที่จะออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ดังนี้

โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2564 -2565 โดยกำหนดราคาเป้าหมายผลปาล์มทะลาย (อัตราน้ำมัน 18%) ณ หน้าโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม กิโลกรัมละ 4.00 บาท ใช้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 2,774 กิโลกรัม วงเงิน 7,660.00 ล้านบาท

โครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี 2565 โดยจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการสำหรับการส่งออกเฉพาะน้ำมันปาล์มดิบ (Crude Palm Oil : CPO) ในอัตรา ไม่เกิน 2.00 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อระดับสต็อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่า 300,000 ตัน และราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลก

มาตรการและแนวทางขับเคลื่อนการเพิ่มมูลค่าปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม กำหนดผลิตภัณฑ์เป้าหมายทั้งหมด 8 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1) ผลิตภัณฑ์สารหล่อลื่นพื้นฐาน (Base oil) 2) น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ (Bio-Transformer oil) 3) สารซักล้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (สารตั้งต้น MES : Methyl Ester Sulfonate) 4) น้ำมันหล่อลื่น และจาระบีชีวภาพ (Bio Lubricant and Greases) 5) พาราฟิน (Paraffin) 6) สารกำจัดศัตรูพืช/แมลง (Pesticides/Insecticides) 7) น้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ กรีนดีเซล (Bio Hydrogenated Diesel: BHD) และ น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ ไบโอเจ็ต (Biojet fuels)

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า กนป. ยังคงดำเนินนโยบายและมาตรการเดิมทุกประการที่ขับเคลื่อนมาตั้งแต่ปี 62 ถือว่าประสบความสำเร็จทำให้ปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย ดันราคาปาล์มทะลายเฉลี่ยทั้งปีจาก กก.ละ 3.05 บาท ในปี 2562 เพิ่มเป็น 4.78 บาทในปี 63 และสูงถึง 6.66 บาทในปี 2564 สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ชาวสวนปาล์มเพิ่มขึ้นจาก 5 หมื่นล้านบาท จนทะลุแสนล้านบาทเมื่อปีที่ผ่านมา ตามโครงสร้างราคาจึงทำให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบและแบบบรรจุขวด รวมทั้งไบโอดีเซลมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย จึงจำเป็นต้องออกมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงฤดูปาล์มที่ออกสู่ตลาดน้อยระยะสั้นๆ คาดว่าในปีนี้ ราคาปาล์มทะลายจะยังอยู่ในเกณฑ์ดีสูงกว่า กก.ละ 5 บาท โดยเฉลี่ย

ทั้งนี้ จากรายงานของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ระบุว่า ปี 2564 ไทยมีผลผลิตปาล์มน้ำมัน 16.79 ล้านตัน คิดเป็นผลผลิตในรูปน้ำมันปาล์มดิบ ประมาณ 3.17 ล้านตัน ในขณะที่มีความต้องการใช้ 3.00 ล้านตัน (การใช้ในประเทศ 2.38 ล้านตัน และการส่งออก 0.62 ล้านตัน) ทำให้ ณ สิ้นปี 2564 มีสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ 0.17 ล้านตัน ส่งผลทำให้ราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มปรับตัวเพิ่มขึ้น

สำหรับราคาปาล์มดิบล่าสุด ในเดือนม.ค.2565 ราคาปาล์มทะลายเฉลี่ย กก. 10.49 บาท ราคาน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ย กก.ละ 54.27 บาท ส่วนราคาตลาดมาเลเซีย ตันละ 5,628 ริงกิต หรือ คิดเป็น กก. ละ 45.31 บาท โดยมีสต๊อก ณ สิ้นเดือน ม.ค.นี้ อยู่ที่ 1.31 แสนตัน หากปี 2565 ผลผลิตสูงขึ้นตามคาดการณ์ของ สศก. ขณะเดียวกันความต้องการใช้ภายในประเทศมีแนวโน้มลดลงจากสัดส่วนของไบโอดีเซล จำเป็นต้องอาศัยการส่งออกให้ได้ 5 แสนตัน เพื่อดูดซับสต็อกส่วนเกินที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มาตรการต่างๆ ที่ กนป. เห็นชอบในครั้งนี้ยังคงเป็นกลไกสำคัญที่ต้องดำเนินการไปพร้อมๆ กันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการเพิ่มมูลค่า 8 ผลิตภัณฑ์เป้าหมาย ซึ่งจะเป็นทางออกที่ยั่งยืนในอนาคต คาดว่านโยบายและมาตรการของ พล.อ.ประวิตร ประธาน กนป. รวมทั้ง การบริหารจัดการเชิงบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงาน จะส่งผลให้ราคาปาล์มทะลายโดยเฉลี่ยทั้งปี 2565 อยู่ที่ กก.ละ 6-8 บาท สูงกว่าต้นทุนที่แท้จริง (กก.ละ 3.50 – 4.0 บาท) ของเกษตรกรชาวสวนปาล์ม รวมทั้ง ผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันทุกชนิด น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์บรรจุขวด ไบโอดีเซล (บี 100) อยู่ในระดับราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย สำหรับผู้บริโภค พลังงานทดแทน และส่งออก เพื่อผลักดันให้ปาล์มน้ำมันคงความเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคตของไทยอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 4 กุมภาพันธ์ 2565

“ส.ส. พัชรินทร์” เสนอกทม.เร่งติดตั้งสัญญาณไฟคนข้ามทางม้าลายเขตสาทร

,

“ส.ส. พัชรินทร์” เสนอกทม.เร่งติดตั้งสัญญาณไฟคนข้ามทางม้าลายเขตสาทร ลดปัญหาอุบัติเหตุซ้ำซากเพิ่มความปลอดภัย ดูแลประชาชนบนท้องถนน

ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.เขตปทุมวัน-สาทร-บางรัก พรรคพลังประชารัฐ(พปชร. ) หารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร กรณีสัญญาไฟจราจรบริเวณทางม้าลายคนข้ามถนนเจริญราษฎร์ ระหว่างชุมชนบ้านแบกและชุมชนโรงน้ำแข็ง เขตสาทร กทม.เป็นจุดที่รถลงจากทางด่วนและรถยนต์ใช้ความเร็วสูง ทำให้เกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง ทั้งกรณีมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องได้นำเสนอผ่านสภาฯแล้วหลายครั้ง แต่ยังไม่รับการดำเนินการใดๆ จึงขอฝากท่านประธานฯ ไปยังกทม.เพื่อพิจารณาและติดตั้งสัญญาณไฟจราจรคนข้าม รวมทั้งติดตั้งป้ายสัญญาณเตือนต่างๆ หรือเครื่องมือเตือน เพื่อให้ผู้สัญจรลดความเร็วในการขับขี่ ก่อนถึงบริเวณทางม้าลายจุดนี้ เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถข้ามถนนได้อย่างปลอดภัย

นอกจากนี้ได้หารือท่านประธานฯ ฝ่านไปยังการไฟฟ้านครหลวง เพื่อแก้ไขเสาไฟฟ้าไม้ ที่ทั้งเก่าและผุพัง เอียงพิงหลังคาบ้านของพี่น้องประชาชน บริเวณ ซ.รองเมือง 1 เกรงว่าจะก่อให้เกิดอันตรายกับพี่น้องประชาชนหากโค่นล้มลงมา บริเวณชุมชนการเคหะฯ บ่อนไก่ เขตประทุมวัน มีต้นไม้ใหญ่เป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมาได้ประสานงานและทำการตัดต้นไม้ เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน แต่ยังคงมีบางจุดยังมีแนวต้นไม้ละสายไฟอยู่ เกรงจะก่อให้เกิดอันตราย ไฟฟ้าลัดวงจร จึงขอให้การไฟฟ้านครหลวง ดำเนินการตัดต้นไม้บริเวณริมถนนโดยรอบศูนย์เยาวชนบ่อนไก่ เพื่อความปลอดภัยของผู้สัญจร และบ้านเรือนที่อยู่ริมถนน

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 4 กุมภาพันธ์ 2565

“พัชรินทร์” ขอบคุณสภาฯรับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันผิดซ้ำในคดีอุกฉกรรจ์

,

“พัชรินทร์” ขอบคุณสภาฯรับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันผิดซ้ำในคดีอุกฉกรรจ์ พร้อมกลั่นกรองวาระ 2 ทันที เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.เขต 2 ปทุมวัน บางรัก สาทร และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่เห็นความสำคัญและร่วมกันผ่าน “ร่างพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำความผิดซ้ำของผู้กระทำความผิดอุกฉกรรจ์ที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. ….” ที่ตน พร้อมด้วยสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ได้เสนอ รวมทั้งร่างของ ครม. ในวาระที่ 1 รับหลักการ ด้วยมติ 277 เสียงสนับสนุน จากผู้ลงมติทั้งหมด 286 เสียง ซึ่งหวังว่าจะได้เร่งพิจารณากฎหมายฉบับนี้ เพื่อให้เป็นประโยชน์ และเป็นเกราะคุ้มกัน ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่ม เด็กเยาวชน ผู้หญิง ผู้พิการ และผู้สูงอายุ ที่มักตกเป็นเหยื่อความรุนแรง ด้วยข้อจำกัดทางกายภาพ และสรีระร่างกาย

ดร.พัชรินทร์ กล่าวว่า ทั้งนี้ ต้องขอขอบพระคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่าน ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ที่เห็นถึงความสำคัญของปัญหาการใช้ความรุนแรง การก่อเหตุอาชญากรรม ที่นับวันจะยิ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชนในทุกมิติ โดยได้ร่วมกันลงมติผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวในวาระที่ 1 ซึ่งตนพร้อมจะกลั่นกรองในวาระที่ 2 ร่วมกับเพื่อนสมาชิก เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนทุกกลุ่ม

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 2 กุมภาพันธ์ 2565

“พล.อ.ประวิตร” เร่งมาตรการดูแลคนข้ามทางม้าลาย เพิ่มโทษผู้ขับขี่ผิด กม.

,

“พล.อ.ประวิตร”เร่งมาตรการดูแลคนข้ามทางม้าลาย เพิ่มโทษผู้ขับขี่ผิดกม.-สร้างจิตสำนึกการใช้รถใช้ถนน

พล.อ.ประวิตร มอบศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างจิตสำนึกและความตระหนักในการใช้รถใช้ถนน เร่งสร้างกระแสการรับรู้ ด้านความปลอดภัยทางถนนทั่วประเทศ

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (1 ก.พ. 2565) ว่าคณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติได้เห็นชอบมาตรการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนจากกรณี รถจักรยานยนต์ชนคนเดินข้ามถนนบริเวณทางข้าม ดังนี้

1. มาตรการด้านกฎหมาย โดยเพิ่มโทษกรณีผู้ขับขี่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามสัญญาณหรือเครื่องหมายจราจรการนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย จัดให้มีข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับประวัติและการกระทำความผิดของผู้ได้รับใบอนุญาตขับขี่ข้อมูลทะเบียนรถและข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง เพิ่มฐานความผิดกรณีฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามสัญญาณจราจร หรือเครื่องหมายจราจรให้เป็นฐานความผิดที่ต้องบันทึกคะแนนความประพฤติในการขับรถเพื่อตัดคะแนนความประพฤติเมื่อผู้ขับขี่กระทำผิด

2. มาตรการด้านถนนด้วยการจัดทำมาตรฐานทางข้ามที่มีความปลอดภัย สำรวจมาตรฐานวิศวกรรมจราจร บริเวณทางข้ามเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไข อาทิ การตีเส้นหยุดและการจัดทำป้ายเตือนให้หยุด หรือให้ทางแก่คนเดินข้าม การติดตั้งสัญญานไฟจราจรเพื่ออำนวยความปลอดภัยสำหรับคนข้าม การตีเส้นสีจราจรก่อนถึงทางข้ามเพื่อให้ลดความเร็ว การจัดทำเครื่องหมายจราจรบนพื้นผิวทางข้ามให้มีความชัดเจน ทั้งเส้นทางข้าม และข้อความบนพื้นทาง และจัดให้มีไฟส่องทางทั่วประเทศ

3. มาตรการด้านผู้ใช้รถใช้ถนน เช่น การสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการข้ามถนนที่ปลอดภัยให้กับประชาชนทุกกลุ่ม การพัฒนาหลักสูตรและสื่อการเรียนการสอนโดยเน้นการให้ความรู้ และเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ เกี่ยวกับการข้ามทางที่ปลอดภัยในทุกช่วงวัย ตลอดจนการปลูกฝั่งเพื่อสร้างความตระหนักรู้ ทั้งในรูปแบบสื่อสร้างสรรค์ และ รูปแบบออนไลน์

ทั้งนี้ ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ได้มอบหมายคณะอนุกรรมการด้านการรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างจิตสำนึกและความตระหนักในการใช้รถใช้ถนน เร่งสร้างกระแสการรับรู้และความตระหนักด้านความปลอดภัยทางถนน นอกจากนี้ได้มอบหมายให้อนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน 8 คณะ เร่งนำมาตรการข้างต้นไปขับเคลื่อนและนำเสนอผลการดำเนินงานให้รับทราบโดยเร็วต่อไป

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 1 กุมภาพันธ์ 2565