จัดหนักเพิ่ม! ทีม ศก. พรรคพลังประชารัฐ ‘ชาญกฤช-ธีระชัย’ วิพากษ์ นโยบาย ศก. รัฐบาลใหม่ แนะให้เน้นทำงานเรื่องสถาบันการเงินแทน กระทุ้งให้พูดความจริงเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต เตือนเรื่องกองทุนวายุภักษ์ และอันดับเครดิต
วันที่ 24 กันยายน 2567 ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ ประกอบด้วย นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ร่วมกันแถลงข่าวตรวจสอบนโยบายรัฐบาลนายกฯ แพทองธารที่แถลงต่อรัฐสภา โดยมุ่งตรงไปยังนโยบาย ศก. เรื่องความสัมพันธ์กับแบงค์ชาติ ดิจิทัลวอลเล็ต กองทุนวายุภักษ์ และอันดับเครดิต
นายธีระชัย อดีตรัฐมนตรีคลัง กล่าวว่ารัฐบาลควรเลิกทะเลาะกับแบงค์ชาติเรื่องนโยบายการเงิน เพราะจะทำให้ทั่วโลกขาดความเชื่อมั่นในระบบการเงินของไทย
“การวิจารณ์ในลักษณะด้อยค่า จะกระทบความน่าเชื่อถือของแบงค์ชาติ แต่กลับทำให้ทั่วโลกรู้ว่า รัฐมนตรีคลังขาดทักษะในการประสานงาน ทั้งนี้ กลยุทธที่รัฐบาลจะบีบผู้ว่าแบงค์ชาติ ด้วยการตั้งนักการเมืองฝ่ายตนเข้าไปเป็นประธาน ธปท. เป็นครั้งแรก รวมทั้งที่รัฐมนตรีคลังกำลังคิดจะบีบให้ลดดอกเบี้ย ด้วยยกเป้าหมายเงินเฟ้อให้สูงขึ้นนั้น นักวิเคราะห์ทั่วโลกก็มองออกว่าเป็นการแทรกแซงความเป็นอิสระ ซึ่งตราบใดที่รัฐบาลไม่รักษาวินัยการคลังอย่างเคร่งครัด ยังเน้นกู้หนี้มาอุดหนุนการบริโภค ธปท. ก็ย่อมต้องตั้งการ์ดสูงเรื่องดอกเบี้ยเป็นธรรมดา” นายธีระชัยกล่าว
นายธีระชัยเสริมว่า การที่รัฐบาลเรียกร้องให้ลดดอกเบี้ยหวังจะให้สินเชื่อขยายตัว นั้น จะไม่ได้ผลจริงถ้าหากไม่กระตุ้นการแข่งขันในระบบแบงค์พาณิชย์เสียก่อน จึงขอแนะนำให้มุ่งไปที่นโยบายด้านสถาบันการเงินก่อน โดยหารือแบงค์ชาติ 3 เรื่อง
(1) เร่งปรับโครงสร้างลูกหนี้ด้อยคุณภาพแบบจริงจัง ไม่ใช่แค่เลื่อนกำหนดชำระ แต่ให้ตัดลดหนี้ (haircut) โดยรัฐกับแบงค์พาณิชย์รับภาระร่วมกัน (burden sharing) ผ่านกลไกกองทุนฟื้นฟูฯ เหมือนดังที่ทีมของพรรคพลังประชารัฐเคยเสนอไว้ และท่านอดีตนายกทักษิณได้นำไปพูดในการแสดงวิสัยทัศน์ รัฐมนตรีคลังรับตำแหน่งมาตั้งแต่ 27 เม.ย. ผ่านมา 5 เดือนแล้ว ไม่ได้ทำเรื่องนี้เพื่อช่วยคนจนเลย กลับไปเร่งทำเรื่องกองทุนวายุภักษ์ ที่อุดหนุนคนรวย และบูมราคาหุ้น
(2) พิจารณาความเหมาะสมการอนุญาตตั้งธนาคารท้องถิ่น (regional bank) ใน 10 ภาค เพราะจะเข้าใจประวัติเบื้องหลังของลูกหนี้ภูธรในพื้นที่ได้ดีกว่า และควรเชิญธนาคารใหญ่ 3 อันดับแรกจาก อาเซียน+จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย และออสเตรเลียมาเปิดสาขา เพื่อเร่งการแข่งขันทุกระดับลูกหนี้
(3) พิจารณาความเหมาะสมการเพิ่มอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับดอกเบี้ยแบงค์พาณิชย์ ซึ่งปัจจุบัน 15% ให้สูงขึ้น เช่นเป็น 20% เพื่อกระตุ้นให้ผู้ออมนำเงินไปลงทุนหรือสนับสนุนธุรกิจแทนการฝากแบงค์
ด้านนายชาญกฤช เดชวิทักษ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง และกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงประชาชนที่มาลงทะเบียนดิจิทัลวอลเล็ต จำนวน 36 ล้านคน ขณะนี้สำหรับกลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคนชัดเจนแล้ว แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ประชาชนที่เหลืออีกประมาณ 22 ล้านคน ที่ยังไม่รู้อนาคต จึงเรียกร้องให้รัฐบาลทำให้เกิดความชัดเจนเร็วที่สุด
นายชาญกฤช กล่าวอีกว่า ไม่เชื่อว่าการตั้งคณะกรรมการนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหม่จะดำเนินการสำเร็จ เพราะเคยมีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องนี้ยาวนานกว่าหนึ่งปีแล้ว แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด จึงขอเสนอแนะวิธีการที่จะทำให้การดำเนินการชัดเจนและรวดเร็วยิ่งขึ้นคือ รัฐมนตรีคลังเร่งหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย 2 เรื่อง คือ (1) การอนุญาตเงินดิจิทัลตามกฎหมายเงินตรา ทำได้หรือไม่ สมควรหรือไม่ และ (2) เทคนิคที่จะเชื่อมระบบคอมพิวเตอร์เงินดิจิทัล เข้ากับระบบบัญชีในธนาคารพาณิชย์นั้น ทำได้ปลอดภัยจริงหรือไม่ ต้องใช้เวลานานเท่าใด โดยเห็นว่าถ้าหากรัฐบาลมีความคืบหน้าใน 2 ประเด็นนี้ ประชาชน 22 ล้านคนก็จะอุ่นใจได้ว่าจะได้รับเงินดิจิทัล 10,000 บาทอย่างแน่นอน
“ผมเอาใจช่วยประชาชน 22 ล้านคนที่รัฐบาลไปเชิญชวนให้มาลงทะเบียน และเตือนว่ารัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบ ต้องไม่ปล่อยให้มีความหวังแบบเลื่อนลอย เพราะเงิน 10,000 บาทถือเป็นเงินจำนวนมาก สำหรับประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ ที่ต้องการนำไปใช้จ่ายในครอบครัว รัฐบาลต้องไม่ทำให้ประชาชน 22 ล้านคนต้องรู้สึกผิดหวังมากไปกว่านี้ที่ต้องได้รับเงินล่าช้า” นายชาญกฤชกล่าว
นายธีระชัยกล่าวถึง เงินกำไรสะสมของกระทรวงการคลังในกองทุนวายุภักษ์ว่า ตามแนววินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งผูกพันทุกองค์กร เงินนี้ถือเป็น “เงินแผ่นดิน” ซึ่งจะจ่ายได้เฉพาะตามกฎหมายงบประมาณหรือกฎหมายวินัยการเงินฯ ดังนั้น นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลังจึงควรปฏิบัติเป็นตัวอย่างด้านมาตรฐานจริยธรรมโดยเคารพคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
“ผมตั้งสมญานามว่า เป็น ‘กองทุนเฉือนเนื้อคนจน ไปแปะให้คนรวย’ เพราะในวงเงินจองซื้อหน่วย 1.5 แสนล้านบาทนั้น จัดสรรให้ผู้ลงทุนสถาบันถึง 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งผู้ลงทุนสถาบันประกอบด้วยแบงค์พาณิชย์ บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันภัย กองทุนรวม เป็นต้น ทั้งที่เป็นกลุ่มคนรวยอยู่แล้ว รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเอาเงินแผ่นดินของคนไทยทั้งชาติ ไปอุดหนุนเพื่อประกันผลตอบแทนหรือคุ้มครองเงินต้นให้แก่กลุ่มนี้
มาถึงวันนี้ ผมจึงหายสงสัยแล้ว ทำไมไม่มีคนในตลาดเงินตลาดทุนร่วมคัดค้านโครงการนี้ น่าจะเป็นเพราะมีการแจกจ่ายผลประโยชน์กันอย่างทั่วถึงนี้เอง” นายธีระชัยกล่าว
นายธีระชัยยกตัวอย่างผู้ที่ได้ประโยชน์ซึ่งรวยอยู่แล้ว เช่น แบงค์พาณิชย์ที่มีกำไรปีที่ผ่านมาสูงถึง 2.5 แสนล้านบาท จึงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแถลงข่าวให้ชัดเจน โครงการอุดหนุนคนรวย ที่รัฐมนตรีคลังเสนอครม.ไว้ในช่วงรัฐบาลของนายเศรษฐา “ขอถามว่า รัฐบาลของนางสาวแพรทองธาร ยังเห็นด้วยกับการเอาเงินหลวงไปอุดหนุนคนรวยหรือไม่?”
นอกจากนี้ นายธีระชัยได้วิจารณ์ที่รัฐมนตรีคลังแถลงข่าว ตั้งความหวังว่าสถาบันจัดอันดับเครดิตจะเลื่อนอันดับเครดิตของไทยให้สูงขึ้น โดยอ้างว่าสัดส่วนภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลเทียบกับรายได้ยังอยู่ในระดับต่ำ
นายธีระชัยกล่าวว่า “ผมไม่แน่ใจว่าท่าน ลับ-ลวง-พราง สถาบันจัดอันดับเครดิตหรือไม่ แต่คงไม่ได้ผล เพราะเขาย่อมเห็นได้เองว่า รัฐบาลนี้กำลังจะแจกเงิน 1.4 แสนล้านบาท โดยไม่ได้ตัดลดงบประมาณอื่น ซึ่งต่อไปจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่ม และรัฐบาลก็ยังผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ตต่อไปอีก เพื่อจะแจกเงินแก่ 22 ล้านคนที่เหลือจนครบ ซึ่งจะเพิ่มหนี้สาธารณะขึ้นไปอีก ดังนั้น ในอนาคต สัดส่วนดอกเบี้ยต่อรายได้ก็ยังจะเพิ่มขึ้นอีกมาก ปัญหานี้ ท่านปิดไม่มิด”
ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 กันยายน 2567