โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: พรรคพลังประชารัฐ

พปชร.เตือนรัฐบาล เศรษฐกิจไทยอาจก้าวสู่จุดพลิกผันจะฟื้นหรือฟุบ แนะแก้ 2 โจทย์ใหญ่ เร่งฟื้นเศรษฐกิจ “แก้หนี้ครัวเรือน-กระตุ้นขีดความสามารถแข่งขัน” ชี้ ศก.จะเติบโตต้องมีวินัยการคลัง สร้างความเชื่อมั่นต่างชาติ

,

พปชร.เตือนรัฐบาล เศรษฐกิจไทยอาจก้าวสู่จุดพลิกผันจะฟื้นหรือฟุบ แนะแก้ 2 โจทย์ใหญ่ เร่งฟื้นเศรษฐกิจ “แก้หนี้ครัวเรือน-กระตุ้นขีดความสามารถแข่งขัน” ชี้ ศก.จะเติบโตต้องมีวินัยการคลัง สร้างความเชื่อมั่นต่างชาติ

เมื่อวันที่ 1 พ.ย.67 เวลา 11.00 น.ที่พรรคพลังประชารัฐ ดร.อุตตม สาวนายน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานร่วมศูนย์นโยบายและวิชาการพรรคพลังประชารัฐ ร่วมกันแถลงข่าวส่งสัญญาณเตือนรัฐบาลให้ตระหนักถึงภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังเข้าสู่จุดพลิกผัน ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลก เน้นย้ำรัฐบาลต้องเร่งฟื้นคืนเศรษฐกิจให้กลับมา แก้หนี้อย่างจริงจัง ลดค่าใช้จ่ายพลังงาน พร้อมยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ

โดย ดร.อุตตม ชี้ว่าเศรษฐกิจเพื่อนบ้านอาเซียนเติบโตและฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง เช่น เวียดนามโต 6.1% ฟิลิปปินส์ 6.0% อินโดนีเชีย 5.0% มาเลเซีย 4.9% และสิงคโปร์ 3.0% แต่ประเทศไทยยังคงฟื้นตัวช้าและโตต่ำเพียง 2.4% (World Bank) โตสูงกว่าพม่า (1%) ประเทศเดียวเท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับโพลสำรวจ ม.หอการค้า (ล่าสุด ก.ย.67) ที่พบว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำสุดในรอบ 18 เดือน (เหลือ 48.8%) สะท้อนความวิตกกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เชื่อมั่นในสถานการณ์ปัจจุบัน แม้แจกเงิน 10,000 บาท

ดร.อุตตม กล่าวเพิ่มเติมว่า หากรัฐบาลไม่สามารถสร้างความแข็งแกร่งภายในประเทศได้ เศรษฐกิจไทยยิ่งฟื้นตัวช้า การเติบโตที่ไม่เพียงพอจะทำให้ไทยเสียโอกาสทางการค้าและดึงดูดเงินลงทุน รวมทั้งพัฒนาประเทศ และล่าสุด IMF คาดปี 2571 ขนาดเศรษฐกิจเวียดนามและฟิลิปปินส์จะแซงไทย ขนาดเศรษฐกิจไทยจะหล่นเป็นอันดับ 4 ของอาเซียน เหตุเพื่อนบ้านโตสูงกว่าไทยถึง 2 เท่าทุกปี ขณะที่ SCB EIC เตือนไทยเสี่ยงถูกลดเครดิตเรตติ้ง ทั้งหมดสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วน ต้องฟื้นคืน พร้อมปฏิรูประบบเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง

ดร.อุตตม กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลมี 2 โจทย์ใหญ่ในการแก้เศรษฐกิจ คือ 1.เร่งฟื้นเศรษฐกิจให้กลับคืนมาโดยเร็ว แก้หนี้อย่างจริงจัง โดยหนี้ครัวเรือนไทยสูงเป็นอันดับ 7 ของโลก แตะระดับ 16.32 ล้านล้านบาท หรือ 89.61% ของ GDP รัฐบาลประกาศแก้หนี้เป็นนโยบายเร่งด่วนลำดับแรก โดยรัฐบาลต้องปรับโครงสร้างให้ลูกหนี้สามารถชำระได้จริง พร้อมเพิ่มทักษะ สร้างโอกาสหารายได้ และต้องเริ่มจากฐานรากอย่างเท่าเทียม ด้วยความร่วมมือจากทุกฝ่าย

ด้านนายสนธิรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมในประเด็นนี้ว่า ในฐานะที่เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและกระทรวงพาณิชย์ ตนเห็นการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลในสามเรื่อง ซึ่งสร้างผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนเป็นวงกว้าง อยากใช้โอกาสนี้ให้ข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาล เพื่อจะได้ตอบสนองต่อความคาดหวังของพี่น้องประชาชนให้ทันสถานการณ์ยิ่งขึ้น

“รัฐบาลเพื่อไทยได้เคยประกาศนโยบายในช่วงหาเสียงไว้ว่า จะลดราคาน้ำมัน ลดค่าไฟฟ้า ลดราคาก๊าซหุงต้ม เป็นชุดนโยบายพลังงานที่ประกาศออกไปเพื่ออยากจะได้คะแนนเสียงจากพี่น้องประชาชน แต่เมื่อจัดตั้งรัฐบาลแล้ว มีอำนาจแล้ว ต้องถามว่า ได้ลงมือขับเคลื่อนนโยบายตามที่ได้ประกาศไว้หรือไม่ อีกทั้งก็ไม่ได้กำชับให้กระทรวงพลังงานดำเนินนโยบายลดค่าครองชีพของพี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน หรือเป็นเพียงการอุดหนุนระยะสั้น แต่ปัญหาโครงสร้างยังมีความไม่ชัดเจน” นายสนธิรัตน์ กล่าว

นายสนธิรัตน์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่เป็นห่วงคือการจะเปิดประมูลไฟฟ้ารอบใหม่ ที่อาจมีความไม่โปร่งใสจนเกิดการฟ้องร้องเหมือนการประมูลในรอบที่ผ่านมา เช่น การเน้นคุณสมบัติผู้สมัครและความพร้อมของโครงการที่น่าจะทำให้เกิดการแข่งขันทั้ง 3 มิติ มากกว่าการ Fix ราคา ซึ่งจะทำให้การเปิดประมูลนำไปสู่ราคาค่าไฟฟ้าที่ถูกลง การเร่งประมูลเพื่อเป้าหมายพลังงานสีเขียวรองรับอนาคต แต่ในแผน PDP โดยรวมปริมาณเกินกว่าความต้องการใช้หรือไม่ และภาระจะตกต่อประชาชนแค่ไหน การประมูลควรกำหนดราคาควบคู่ไปกับประเภทของเทคโนโลยีที่จะผลิตไฟฟ้า และควรมีทิศทางราคาที่ถูกลงเนื่องจากเทคโนโลยีใหม่ๆ มีต้นทุนถูกลง จะช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และการประมูลต้องโปร่งใส ไม่สร้างความกังขาให้สังคม

“ในการแถลงข่าวครั้งที่แล้ว ตนได้วิจารณ์ถึงนโยบายเติมเงินในบัตรประชารัฐ 1 หมื่นบาท ซึ่งเป็นการทำงานไม่ตรงปกกับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตที่ได้เคยประกาศไว้เมื่อตอนหาเสียง เมื่อแจกเงิน 1 หมื่นบาท ในเดือนกันยายน ซึ่งนิด้าโพลบอกว่า คนเอาเงินไปใช้หนี้ ไปใช้จ่ายทั่วไป รวมถึงเป็นเงินเก็บ จึงทำให้พายุหมุนทาง ศก.ไม่เกิด เงินไม่ถูกใช้เป็นทอดๆ ขณะที่นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 ก็ยังไม่มีความชัดเจน วันนี้จะเห็นว่าสองนโยบายเรือธงของรัฐบาลเพื่อไทยที่ประกาศไว้ ทั้งราคาพลังงานและดิจิตอลวอลเลตยังไม่ตรงปก ไม่สร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจ” นายสนธิรัตน์กล่าว

นายสนธิรัตน์ กล่าวต่ออีกว่า หลายสัปดาห์ก่อนได้เห็นรัฐบาลดำเนินโครงการที่เป็นภาคต่อของโครงการแจกเงิน 1 หมื่น ชื่อโครงการฟื้นฟู ศก.ดำเนินการโดยกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งประกาศว่าจะสามารถกระตุ้น ศก.ได้มากถึง 110,000 ล้านบาท ตนได้ไปตรวจสอบตัวเลขของโครงการนี้ รู้สึกว่าเป็นการประเมินที่เกินจริง เขาประเมินกันว่า กลุ่มที่ได้รับเงิน 1 หมื่นบาท น่าจะนำเงินมาใช้จ่ายซื้อสินค้าราคาถูก ประมาณคนละ 5 พันกว่าบาท ซึ่งเป็นทั้งอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องใช้ภายในบ้าน เครื่องแต่งกาย เมื่อนำเงิน 5 พันกว่าบาท คูณด้วยจำนวนประชาชนประมาณ 14 ล้านคน ก็จะเป็นเงินประมาณ 78,000 ล้านบาท การประเมินตัวเลขแบบนี้ต้องทบทวน เพราะเหมารวมเกินไป รัฐบาลแน่ใจหรือไม่ว่า ประชาชนใช้เงินกับกิจกรรมอะไร ใช้ผ่านการจัดกิจกรรมของรัฐบาลหรือไม่ วันนี้ รัฐบาลก็ตอบคำถามนี้ได้ไม่ชัดเจน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมาของรัฐบาลอาจไม่บรรลุเป้าหมายอย่างที่ต้องการ

ดร.อุตตม กล่าวต่อว่า โจทย์ที่ 2 คือ การเร่งยกระดับขีดความสามารถของประเทศ ด้วยการเร่งลงทุนเพิ่มทักษะคนไทย สร้างความเข็มแข็งตั้งแต่เศรษฐกิจฐานรากพร้อมยกระดับศักยภาพ SME ส่งเสริมอุตสาหกรรม ยุทธศาสตร์ปฏิรูประบบภาษีอากรและงบประมาณ พร้อมสังคยานากฎหมายที่เป็นอุปสรรค เพราะการส่งออกไทยฟื้นตัวช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน ยอดส่งออกของไทย 9 เดือนแรก ขยายตัว 3.9% ส่วนเวียดนามและมาเลเซียพุ่ง 15.3% และ 8.4% ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนโดยรวมยังขยายตัวต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค นอกจาก ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุน ต้องดู ‘เม็ดเงินลงทุนจริง’ ในระบบเศรษฐกิจ

“การจัดงบประมาณเพื่อฟื้นเศรษฐกิจต้องคุ้มค่า ลำดับความสำคัญ การเติบโตต้องควบคู่กับวินัยการคลัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นจากภายในและเรียกคืนความน่าเชื่อถือจากนานาชาติ จะทำให้เศรษฐกิจไทยไม่ฟุบลงท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในเวทีโลก” ดร.อุตตม กล่าวเพิ่มเติม

ด้านนายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ประเด็นสุดท้ายเกี่ยวข้องกับปากท้องของคนเป็นวงกว้างคือ พี่น้องผู้ประกอบการ SME ที่กำลังได้รับผลกระทบจากการเข้ามาของแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ ตรงนี้ ขอฝากโจทย์ให้รัฐบาล ทบทวนว่า ได้ออกมาตรการปกป้องต่อผลกระทบที่มีต่อ SME อย่างไร รวมทั้งเราจะมีมาตรการชัดเจนที่จะปกป้อง SME อย่างอินโดนีเซียหรือไม่ ที่เขาดำเนินมาตรการอย่างเด็ดขาดเพื่อปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศ อีกทั้งมาตรการช่วยเหลือส่งเสริมพี่น้อง SMEs ชาวไทย ยังไม่เห็นความชัดเจนดีพอ เป็นคำถามและโจทย์การบริหารประเทศที่อยากฝากให้กับรัฐบาล

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 พฤศจิกายน 2567

พรรคพลังประชารัฐ ประกาศแต่งตั้ง ‘อัคร ทองใจสด’ รองโฆษกพรรค ดึงคนรุ่นใหม่เสริมศักยภาพภารกิจสื่อสารครอบคลุมทุกมิติเพื่อ ปชช.

,

พรรคพลังประชารัฐ ประกาศแต่งตั้ง ‘อัคร ทองใจสด’ รองโฆษกพรรค ดึงคนรุ่นใหม่เสริมศักยภาพภารกิจสื่อสารครอบคลุมทุกมิติเพื่อ ปชช.

(31 ตุลาคม 2567) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ลงนามในคำสั่งที่ 28/2567 เพื่อแต่งตั้ง นายอัคร ทองใจสด เข้ารับตำแหน่งรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ โดยมีภารกิจสำคัญ เพื่อสื่อสาร และประชาสัมพันธ์ถึงแนวทางการขับเคลื่อนนโยบาย มุ่งแก้ไขปัญหาปากท้องความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน รวมถึงการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ ธำรงไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ด้วยเป้าหมายของการเป็น “พรรคอนุรักษ์นิยม ทันสมัย”
 
ทั้งนี้ การแต่งตั้งเป็นไปตามข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ พ.ศ.2561 ข้อ 17 (1) (ช) ซึ่งได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับภารกิจที่เปลี่ยนแปลง โดยพรรคเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสื่อสารที่ชัดเจน โปร่งใส และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง จึงแต่งตั้งให้นายอัคร ทองใจสด สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่เป็นรองโฆษกพรรค เพื่อเข้ามาทำหน้าที่เสริมทัพให้กับทีมโฆษกของพรรค พร้อมสานต่อภารกิจด้านประชาสัมพันธ์ให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งที่สภาผู้แทนราษฎรและที่พรรคพลังประชารัฐ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 31 ตุลาคม 2567

“พล.ต.ท.ปิยะ” เผย เลขาฯพรรค ขอขยายเวลาทำงานชุดกรรมการสอบ 20 สส. “ก๊วนธรรมนัส” ฝ่าฝืนข้อบังคับพรรค เพิ่ม 30 วัน

,

“พล.ต.ท.ปิยะ” เผย เลขาฯพรรค ขอขยายเวลาทำงานชุดกรรมการสอบ 20 สส. “ก๊วนธรรมนัส” ฝ่าฝืนข้อบังคับพรรค เพิ่ม 30 วัน

พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมพรรคว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุมพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้มีมติให้นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบ และนายฉกาจ พัฒนกิจวิบูลย์ นายชัยมงคล ไชยรบ เป็นกรรมการ นายสุธรรม จริตงาม เป็นเลขาธิการคณะกรรมการตรวจสอบ กรณีสมาชิก สส.พรรคพลังประชารัฐ จำนวน 20 คน มีการกระทำอันอาจเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับพรรค ข้อ 56 อนุ 1 อนุ 3 และอนุ 4 และข้อ 64 กำหนดกรอบเวลาตรวจสอบภายใน 60 วัน

“วันนี้ นายไพบูลย์ ได้แจ้งต่อที่ประชุมเพื่อขอขยายระยะเวลาทำงานไปอีก 30 วัน และจะนำมารายงานผลต่อคณะกรรมการบริหารพรรคอีกครั้งหนึ่ง” พล.ต.ท.ปิยะ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 ตุลาคม 2567

“พล.อ.ประวิตร” ยืนยัน พปชร.จะปกป้องอธิปไตยของชาติเต็มที่ ด้าน “หม่อมกร” ชี้ MOU 2544 ขัดกับพระบรมราชโองการ อาจจะเป็นเหตุให้ไทยเสียพื้นที่เหมือนเขาพระวิหาร เตรียมยื่นนายกฯ ยกเลิกด่วน

,

“พล.อ.ประวิตร” ยืนยัน พปชร.จะปกป้องอธิปไตยของชาติเต็มที่ ด้าน “หม่อมกร” ชี้ MOU 2544 ขัดกับพระบรมราชโองการ อาจจะเป็นเหตุให้ไทยเสียพื้นที่เหมือนเขาพระวิหาร เตรียมยื่นนายกฯ ยกเลิกด่วน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้เป็นประธานการประชุมศูนย์นโยบายและวิชาการ กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ซี่งได้สั่งการให้ศูนย์นโยบายฯ และวิชาการของพรรค ไปเร่งติดตามความคืบหน้าของ MOU 2544 ที่รัฐบาลไทยได้ไปลงนามไว้ ที่นำไปสู่การปกป้องผลประโยชน์และอธิปไตยของชาติอย่างสูงสุดในฐานะฝ่ายค้านอย่างเป็นรูปธรรม

ในขณะนี้ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า MOU 2544 ที่รัฐบาลพยายามจะดำเนินการจะส่งผลเสียอย่างใหญ่หลวง จากกรณีศึกษาในภูมิภาคต่างๆ ของโลกที่มีลักษณะองค์ประกอบคล้ายกันนี้และนำไปสู่การเสียดินแดนในที่สุด ดังนั้น พรรคฯ จะดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อปกป้องทรัพยากรและอาณาเขตแห่งราชอาณาจักรไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างถึงที่สุดที่จะดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อให้มีการยกเลิก MOU 2544 หรือขัดขวางการเจรจาใดๆ ที่อาจเป็นการฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญ

ในการประชุมคณะกรรมการบริหารครั้งนี้ เป็นสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะปิดสมัยประชุมสมัยสามัญประจำปี 2567 และได้มอบหมายให้ สส.ทุกคนลงพื้นที่ปฎิบัติหน้าที่ เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นและปัญหาของพี่น้องประชาชน เพื่อปัญหาดังกล่าวเสนอต่อสภาฯ ให้สามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนอย่างแท้จริง
 
จากนั้น ภายหลังการประชุม นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรค ได้แถลงข่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ สั่งการให้ สส.และบุคลากรของพรรค ขับเคลื่อนเพื่อที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเต็มที่ เพราะเราต้องคุ้มครองดูแลทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นสมบัติของคนไทย พรรคพลังประชารัฐจะไม่เป็นที่พึ่งของประชาชนในเรื่องนี้ไม่ได้

ด้าน ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวว่า เมื่อปี 2516 ได้มีพระบรมราชโองการ (Royal Command) ของในหลวงรัชกาลที่ 9 สรุปความว่า เพื่อการใช้สิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอ่าวไทย จึงกำหนดเขตไหล่ทวีปตามแผนที่และพิกัดภูมิศาสตร์โดยยึดถือมูลฐานแห่งสิทธิตามหลักกฏหมายระหว่างประเทศ ตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป เจนีวา 1958 อันเป็นที่ยอมรับกัน โดยท้ายพระบรมราชโองการยังกำหนดไว้ว่า สำหรับสิทธิที่เป็นอาณาเขตต่อเนื่องกับประเทศใกล้เคียง ก็ให้ยึดถือบทบัญญัติแห่งอนุสัญญา เจนีวา 1958

ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวต่อว่า การที่กัมพูชาขีดเส้นเขตแดนทางทะเลทับน่านน้ำภายในของจังหวัดตราด ขีดข้ามเกาะกูด ทะลุไปกลางอ่าวไทย ซึ่งขัดอนุสัญญาเจนีวา 1958 เส้นดังกล่าวจึงขัดกับแผนที่แนบ พระบรมราชโองการที่ประกาศไว้ โดย MOU 2544 ซึ่งรับรองการขีดเส้นแดนทางทะเลของกัมพูชาที่ไม่ถูกต้อง จึงเป็นการกระทำที่ขัดกับพระบรมราชโองการใช่หรือไม่ เพราะท้ายพระบรมราชโองการระบุชัดเจนว่า อาณาเขตต่อเนื่องกับประเทศใกล้เคียง ก็ให้ยึดถือบทบัญญัติแห่งอนุสัญญา เจนีวา 1958

“เมื่อเอกสารราชการมีการขัดกัน จึงมีความสุ่มเสี่ยงที่ต่างประเทศจะนำไปอ้างและอาจจะทำให้เราสูญเสียเหมือนกรณีเขาพระวิหาร นี่คือสาเหตุที่เราสมควรต้องยกเลิก MOU 2544 ซึ่งเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรี จึงจำเป็นที่จะยื่นต่อนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการ เพราะเป็นเรื่องอันตราย“ ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าว

ทั้งนี้ ในวันพรุ่งนี้ (30 ต.ค.) เวลา 09.00 น.ทีมพรรคพลังประชารัฐจะแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่อาคารรัฐสภา พร้อมทั้งยื่นจดหมายเปิดผนึกให้กับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 ตุลาคม 2567

“ผู้กองมาร์ค” เปิดโปงต้นตอฝุ่นพิษภาคเหนือ! ทุนไทยหนุน “โรงไฟฟ้า ห.” แนะนายกฯ จัดการด่วน ก่อนวิกฤตลุกลาม!

,

“ผู้กองมาร์ค” เปิดโปงต้นตอฝุ่นพิษภาคเหนือ! ทุนไทยหนุน “โรงไฟฟ้า ห.” แนะนายกฯ จัดการด่วน ก่อนวิกฤตลุกลาม!

25 ต.ค. 2567 / ภาคเหนือของไทยกำลังเผชิญกับมลพิษร้ายแรงอย่างไม่หยุดหย่อน ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช รองประธานคณะกรรมาธิการ พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่ทำให้ทุกฝ่ายต้องจับตา โรงไฟฟ้าถ่านหิน “ห.” ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีทุนจากไทยเป็นส่วนสำคัญ ถูกระบุว่าเป็นต้นเหตุหลักที่ทำให้ภาคเหนือจมอยู่ในมลพิษมาแล้วกว่า 7 ปี! ปัญหานี้ไม่เพียงแต่ทำลายสุขภาพคนในพื้นที่ แต่ยังส่งผลต่อสภาพแวดล้อมอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง

“โรงไฟฟ้าถ่านหินนี้อาจอยู่ในต่างแดน แต่ฝุ่นพิษที่ถูกปล่อยออกมา ทำลายคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างไม่มีข้อยกเว้น” ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าว ข้อมูลที่นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เก็บรวบรวมในพื้นที่จังหวัดน่าน พบสารปรอทปนเปื้อนในดิน น้ำ และอากาศ ซึ่งเป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่

ความจริงที่ถูกเปิดเผยออกมานี้ ทำให้เกิดความกังวลในวงกว้าง ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ จึงเร่งเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ดำเนินการแก้ไขโดยด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการกับกลุ่มทุนที่อยู่เบื้องหลังโรงไฟฟ้า “ถึงเวลาหรือยังที่ผู้นำประเทศจะแสดงความจริงจังในการจัดการปัญหานี้ เริ่มจากคนใกล้ตัว?” เขากล่าว พร้อมชี้ว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องของธุรกิจพลังงาน แต่เป็นการละเมิดสิทธิพื้นฐานในการมีอากาศบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน

นอกจากนั้น เขายังเน้นถึงความจำเป็นในการที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามหลักการ “ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน” ที่องค์การสหประชาชาติ (UNGP) กำหนดไว้ “ถึงเวลาแล้วที่ทุนพลังงานต้องโปร่งใส หยุดการทำลายสิ่งแวดล้อม ก่อนที่ภาคเหนือจะไม่มีอากาศให้หายใจ!”

การแก้ไขปัญหามลพิษนี้จะเป็นของขวัญปีใหม่ที่ล้ำค่าสำหรับคนไทยทุกคน ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวปิดท้ายว่า “สิทธิในอากาศสะอาดไม่ใช่แค่ความหวัง แต่เป็นสิทธิที่ทุกคนต้องมี!”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 ตุลาคม 2567

“พลเอก ประวิตร” ประธานโอลิมปิค ต้อนรับอบอุ่น “คณะมนตรีซีเกมส์” ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ ครั้งที่ 33 จัดยิ่งใหญ่ มาตรฐานสากล

,

“พลเอก ประวิตร” ประธานโอลิมปิค ต้อนรับอบอุ่น “คณะมนตรีซีเกมส์” ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ ครั้งที่ 33 จัดยิ่งใหญ่ มาตรฐานสากล

วันที่ 25 ตุลาคม 2567 เวลา 10.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมการ โอลิมปิคแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้การต้อนรับคณะมนตรีซีเกมส์ รวม 11 ประเทศ ที่เดินทางมาเข้าร่วมประชุมหารือติดตามความพร้อมการเตรียมจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 9 – 20 ธันวาคม 2568 สำหรับการประชุมคณะมนตรีซีเกมส์ครั้งที่ 2 จัดขึ้น ณ ห้องประชุมอาคารสำนักงานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ โดยพลเอก.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้เดินทางมาเป็นประธาน และกล่าวต้อนรับในฐานะประธานสหพันธ์กีฬาซีเกมส์ และประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ซึ่งได้ยืนยันว่าประเทศไทยได้เตรียมความพร้อมในการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 33 ที่มีความก้าวหน้ามาอย่างต่อเนื่องเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของธรรมนูญซีเกมส์ทุกประการ และจะดำเนินการจัดการแข่งขันในครั้งนี้ ภายใต้มาตรฐานในระดับสากลเพื่อรักษาชื่อเสียงของสหพันธ์กีฬาซีเกมส์และประเทศไทยอย่างดีที่สุด

ทั้งนี้ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้รับมอบของที่ระลึกจากนายกองเอก ชัยภักดิ์ศิริวัฒน์ หัวหน้าสำนักงานซีเกมส์ ซึ่งเป็นประธานการประชุมคณะมนตรีซีเกมส์ และได้ร่วมถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึกกับคณะมนตรีซีเกมส์ ทั้ง 11 ประเทศ  อย่างไรก็ตาม คณะมนตรีซีเกมส์ได้กล่าวชื่นชมและขอบคุณ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ด้วยมิตรไมตรีอีกทั้งแสดงความเชื่อมั่นความสำเร็จอย่างดียิ่งต่อประเทศไทย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 ตุลาคม 2567

“พรรคพลังประชารัฐเสนอ ยกเลิกมาตรฐานอุตสาหกรรม มาตรฐาน มอก. 2333 เพื่อป้องกันมิให้เกิดโศกนาฏกรรมกลับรถโดยสารที่ใช้ก๊าซ NGV ซ้ำอีก”

,

“พรรคพลังประชารัฐเสนอ ยกเลิกมาตรฐานอุตสาหกรรม มาตรฐาน มอก. 2333 เพื่อป้องกันมิให้เกิดโศกนาฏกรรมกลับรถโดยสารที่ใช้ก๊าซ NGV ซ้ำอีก”

วันที่ 24 ตุลาคม 2567 พรรคพลังประชารัฐ นำโดย ดร. ม.ล. กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรค และนายชัยมงคล ไชบรบ รองหัวหน้าพรรค พร้อมด้วย สส. ของพรรค ได้ยื่นหนังสือด่วนต่อ นายเอกนัฐ พร้อมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ยกเลิก มาตรฐาน มอก. 2333 ที่ใช้ติดตั้งระบบก๊าซ NGV ทันที เพราะเปิดช่องให้ไม่ต้อง ปฏิบัติตาม มาตรฐานความปลอดภัยสากล
มาตรฐาน ECE  R110 และ ISO 15501 กำหนดว่า ถังก๊าซ NGV ต้องมีลิ้นเปิดปิดอัตโนมัติ (วาร์วไฟฟ้า) เพื่อควบคุมการรั่วของก๊าซท่อก๊าซแตก แต่มาตรฐาน มอก. 2333 ระบุว่า ผู้ติดตั้งเลือกได้ว่า จะใช้ ลิ้นเปิด-ปิดด้วยมือ หรือ ลิ้นเปิด-ปิดอัตโนมัติ  (วาร์วไฟฟ้า) ก็ได้ ดังนั้น รถโดยสารสาธารณะส่วนใหญ่จึงติดตั้งเพียงลิ้นเปิด-ปิดด้วยมือที่ถังแต่ละใบ เพราะมีราคาถูกกว่า เมื่อเกิดอุบัติจึงขาดอุปกรณ์ตัดก๊าซจากหัวถัง เพราะคงไม่มีใครสามารถเอามือไปหมุนลิ้นเปิด-ปิดด้วยมือได้ขณะเกิดเพลิงไหม้

ลิ้นเปิดปิดอัตโนมัติ (วาร์วไฟฟ้า) ประจำหัวถัง ถือเป็นอุปกรณ์จำเป็นในการป้องกันเพลิงไหม้ตามมาตรฐานยุโรป และ ISO กรณี รถบัสนักเรียนเพลาหน้าหักจนท่อก๊าซหลุด หากการติดตั้งเป็นไปตามมาตรฐานสากลแล้ว วาร์วไฟฟ้าจะตัดการจ่ายเชื้อเพลิงทันที โศกนาฏกรรมครั้งนี้ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น

พรรคพลังประชารัฐ เห็นว่า การเรียกรถโดยสารเข้ามาตรวจสอบตามระเบียบเดิมที่มีอยู่ จะไม่บรรลุมาตรฐานความปลอดภัยสากลอย่างแน่นอน และการห้ามการมีถังก๊าซ NGV ในห้องโดยสารหรือใต้ท้องรถ ก็ต้องให้เวลาผู้ประกอบการในการแก้ไข แต่การยกเลิกมาตรฐาน มอก. 2333 พร้อมรณรงค์ให้เร่งติดตั้งลิ้นเปิดปิดอัตโนมัติ (วาร์วไฟฟ้า) ที่ถังก๊าซในรถขนส่งสาธารณะจะช่วยป้องกันปัญหาได้อย่างฉับพลัน

พรรคพลังประชารัฐตั้งข้อสังเกตุว่า ในปี 2547 รัฐบาลได้ผลักดันนโยบายการใช้ก๊าซ NGV ในยานยนต์ โดยรณรงค์ว่า ก๊าซ NGV ปลอดภัยติดไฟยากกว่าเชื้อเพลิงทุกชนิด ซึ่งเป็นสภาพในอุดมคติที่ไม่มีประกายไฟ การรณรงค์เช่นนี้ นำไปสู่ความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนถึงอันตรายของก๊าซ NGV อันเป็นต้นเหตุนำไปสู่มาตรฐาน มอก. 2333 ที่หละหลวม จึงควรทำความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชนเป็นการเร่งด่วนที่สุด

“สส.อัคร” ปลื้ม เป็นตัวแทนอภิปรายในฐานะยุวสมาชิก บนเวทีประชุม 149th IPU ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เผย ได้เปิดมุมมองใหม่ นำมาใช้ในการทำงานการเมือง

,

“สส.อัคร” ปลื้ม เป็นตัวแทนอภิปรายในฐานะยุวสมาชิก บนเวทีประชุม 149th IPU ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เผย ได้เปิดมุมมองใหม่ นำมาใช้ในการทำงานการเมือง
     
นายอัคร ทองใจสด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า ตนได้เป็นตัวแทนของรัฐสภาไทย เดินทางไปประชุมสหภาพรัฐสภาที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 11-18 ต.ค.ที่ผ่านมา และได้เป็นตัวแทนขึ้นอภิปรายในฐานะยุวสมาชิกในหัวข้อ “Science Technology and Innovation” ในการประชุม 149th IPU ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งการได้รับเกียรติขึ้นอภิปรายในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2 แล้วบนเวทีโลกแห่งนี้

“นอกจากการประชุมในเวทีรัฐสภาโลกแล้วยังได้แลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนสส.ในอีกหลายๆประเทศ ซึ่งได้มีการยกประเด็นยุวสมาชิกและนโยบายที่อาจเป็นประโยชน์ต่อแต่ละประเทศมาหารืออีกด้วยครับ” นายอัคร กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 ตุลาคม 2567

“บิ๊กป้อม” ขยับ ปรับทัพใหม่ เซ็นตั้ง “ชาญกฤช-พล.ต.ท.ปิยะ” คุมสื่อสารทางการเมืองเข้มข้น

,

“พล.อ.ประวิตร” ปรับทัพ เซ็นตั้ง “ชาญกฤช-พล.ต.ท.ปิยะ” ดูแลการสื่อสารทางการเมือง เข้มข้น ทันสมัย หวังเพิ่มกลุ่มเป้าหมาย เข้าถึงรวดเร็ว เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ลงนามคำสั่งเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา มอบหมายให้นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ และ พล.ต.ท. ปิยะ ต๊ะวิชัย กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ปฏิบัติหน้าที่กำกับดูแลสั่งการฝ่ายสื่อสารทางการเมืองและเทคโนโลยี เพื่อดูแลการสื่อสารภารกิจขององค์กรผ่านสื่อทั่วไปและสื่อสมัยใหม่ โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ และสื่อโซเชียล ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน สร้างความเข้าใจอันดีต่อประชาชนและสังคม เสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กรและบุคลากรของพรรคฯ ให้ตรงจุดและเกิดความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ตลอดจนเสริมสร้างและรักษาสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับประชาชนในยุคที่การสื่อสารเปลี่ยนแปลงไป ภายหลังเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น และมีความสำคัญต่อการเคลื่อนไหวทางการเมือง ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

สำหรับฝ่ายสื่อสารทางการเมืองและเทคโนโลยี มีหน้าที่วิเคราะห์ กำหนดแนวทาง ประเด็นและสนับสนุนเนื้อหาการประชาสัมพันธ์ข้อมูลและภารกิจต่างๆ ภายในพรรคฯ ผ่านสื่อหลัก สื่อโซเชียล และสื่อสมัยใหม่ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบุคลากรและพรรคพลังประชารัฐ ตลอดจนเก็บรวบรวมข้อมูล ข่าวสาร เพื่อประเมินสถานการณ์การเมืองและปรับการสื่อสารให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

ที่มา: https://www.tnnthailand.com/news/politics/179165
วันที่: 21 ตุลาคม 2567

“ไพบูลย์” เผย พปชร.มีคำสั่งให้ “สามารถ” พ้นจากการตำแหน่งรองโฆษกพรรคแล้ว พร้อมติดตามความคืบหน้าคดีดิไอคอน ก่อนรายงาน กก.บห.29 ต.ค.นี้

,

“ไพบูลย์” เผย พปชร.มีคำสั่งให้ “สามารถ” พ้นจากการตำแหน่งรองโฆษกพรรคแล้ว พร้อมติดตามความคืบหน้าคดีดิไอคอน ก่อนรายงาน กก.บห.29 ต.ค.นี้

18 ตุลาคม 2567 นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ได้เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเมื่อวานนี้เจ้าพนักงานสอบสวน บก.ปคบ. นำตัวกลุ่มผู้ต้องหาของดิไอคอน กรุ๊ป จำนวน 17 คน มายื่นขอฝากขังต่อศาลอาญา และส่งตัวไปฝากขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพและทัณฑสถานหญิงกลางนั้น และในคดีดิไอคอน กรุ๊ป คาดว่าเจ้าพนักงานสอบสวน บก.ปคบ.จะมีการสอบสวนขยายผลเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งอาจจะมีการสอบสวนพาดพิงไปถึงบุคคลในพรรคพลังประชารัฐอย่างใดหรือไม่

ดังนั้นเพื่อความสงบเรียบร้อยในการดำเนินงานของพรรคพลังประชารัฐ ตนในฐานะเลขาธิการพรรคจึงเสนอหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐออกคำสั่งให้นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช พ้นจากการดำรงตำแหน่งรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

นายไพบูลย์กล่าวต่อว่า ตนจะติดตามความคืบหน้าการสอบสวนดำเนินคดีดิไอคอน กรุ๊ป ของเจ้าพนักงานสอบสวน บก.ปคบ.ว่ามีความคืบหน้าเป็นประการใด เพื่อเสนอรายงานและความเห็นต่อที่ประชุม คณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ในคราวประชุมวันอังคารที่ 29 ตุลาคม 2567 นี้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18ตุลาคม 2567

“พล.ต.ท.ปิยะ” เผย พปชร.ตั้ง “สนธิรัตน์” เป็นหัวหน้าทีมศึกษาข้อมูลยกเลิก MOU 2544 ประกาศ ไม่ยอมให้เสียผืนแผ่นดินไทย

,

“พล.ต.ท.ปิยะ” เผย พปชร.ตั้ง “สนธิรัตน์” เป็นหัวหน้าทีมศึกษาข้อมูลยกเลิก MOU 2544 ประกาศ ไม่ยอมให้เสียผืนแผ่นดินไทย

พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) พปชร. ที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นประธานว่า          ที่ประชุมได้มีการพูดคุยถึงความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางตอนบน ซึ่งสส.และสมาชิกพรรคได้ดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยมาอย่างต่อเนื่อง

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังได้หารือถึงประเด็นการยกเลิก MOU 2544 โดย พรรคพลังประชารัฐ ยืนยันว่า เกาะกูดเป็นพื้นที่และอาณาเขตของประเทศไทย โดยในสมัยรัชกาลที่ 5 ท่านทรงมีพระราชดำรัสว่า เกาะกูดแห่งนี้เป็นพื้นที่ของแผ่นดินไทย พรรคพลังประชารัฐจะทำทุกวิถีทาง เพื่อรักษาไว้ซึ่งอาณาเขตอาณาจักรของประเทศไทย โดยเฉพาะเกาะกูดจะต้องเป็นของคนไทยทุกคนจะไม่มีการแบ่งเกาะกูดไปให้กับประเทศอื่นประเทศใด เพื่อประโยชน์ของกลุ่มบุคคลใดหรือครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวใดเป็นอันขาด

“พล.อ.ประวิตร ได้มอบหมายให้นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นหัวหน้าทีมในการศึกษาข้อมูลการยกเลิก MOU 2544 เชิงลึก เพื่อทำทุกวิถีทางในรักษาไว้ซึ่งพื้นแผ่นดินไทย โดยเราจะไม่ยอมเสียผืนแผ่นดินไทยเป็นอันขาด”

นอกจากนี้ ศูนย์วิชาการและนโยบายของพรรคประชารัฐมีเรื่องที่ต้องดำเนินการศึกษาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องขบวนการกรณีศึกษารถแก๊สที่ก่อเหตุและทำให้ต้องสูญเสียครูและนักเรียนจากจังหวัดอุทัยธานีหลายคนโทษว่า เป็นความผิดอยู่ที่ทัศนศึกษา แต่ทางพรรคมองถึงต้นเหตุที่แท้จริงในขบวนการใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับแก๊สเอ็นจีวี ซึ่งเรื่องนี้ทางทีมงานศูนย์วิชาการนโยบายพรรคพลังประชารัฐได้ดำเนินการศึกษาเพื่อขอเสนอแก้ไขแนวทางและมาตรการการใช้แก๊ส NGV มีความปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิม และลดการสูญเสียที่เกิดขึ้น ปัญหาเหล่านี้จะต้องหมดไปจากประเทศไทย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18ตุลาคม 2567

โฆษกพปชร.ยืนยัน พร้อมเอาผิดทางวินัยและอาญาหากมีข้อมูล หรือพยานหลักฐานเชื่อมโยงคนในพรรค  ไม่ปกป้องคนผิดอย่างแน่นอน

,

โฆษกพปชร.ยืนยัน พร้อมเอาผิดทางวินัยและอาญาหากมีข้อมูล หรือพยานหลักฐานเชื่อมโยงคนในพรรค  ไม่ปกป้องคนผิดอย่างแน่นอน

เวลา 14.00 น. วันที่ 15 ตุลาคม 2567 – พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีการปล่อยคลิปเสียง ถึงการเรียกร้องผลประโยชน์โดยอาศัยกลไกทางรัฐสภา เพื่อช่วยเหลือธุรกิจของกลุ่มดิไอคอน ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจของประชาชนและภาคสังคม และมีการเชื่อมโยงเป็นบุคคลในพรรคว่า จากการนำประเด็นดังกล่าวเข้าหารือในคณะกรรมการบริหารและสมาชิก ในเรื่องดังกล่าว พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ  หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  ยืนยันมาตรฐานทางจริยธรรมของพรรค   พร้อมเอาผิดทางวินัยและอาญาหากมีข้อมูล หรือพยานหลักฐานเชื่อมโยงคนในพรรค  ไม่ปกป้องคนผิดอย่างแน่นอน  แต่ในขณะนี้   แม้ว่าบอสพอล” นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ The iCon Group จะออกมายอมรับว่าเป็นเสียงของตัวเองจริง  แต่ไม่มีการยืนยันผู้ที่สนทนาด้วยเป็นใคร จึงยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเสียงของผู้หนึ่งผู้ใด ดังนั้น การที่จะกล่าวหาผู้หนึ่งผู้ใดนั้น หรือใครเป็นผู้กระทำผิดต้องรอการพิสูจน์  และมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้มีผู้ยื่นให้ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา  ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเรื่องนี้ไว้พิจารณาแล้ว  เพื่อหาความจริงให้ปรากฎ  หากปรากฎหลักฐานที่ชัดเจนว่า เป็นผู้หนึ่งผู้ใดที่อยู่ในพรรคพลังประชารัฐ  หรือตำแหน่งใดก็ตาม ทางพรรคโดยพล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค  ยืนยันชัดเจนว่าจะไม่เอาไว้ จะต้องมีการดำเนินการในทุกมิติ  ไม่ว่าจะเป็นทางวินัยของพรรค และ คดีอาญา

พล.ต.ท.ปิยะฯ กล่าวว่า “ นอกจากนี้ สำนักตำรวจแห่งชาติ โดยขณะนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)ได้มีการตั้งคณะทำงาน  เพื่อดำเนินคดีกับกลุ่ม The Icon แล้ว  ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดอย่างแน่นอน  หากผลการสอบสวนปรากฏ ว่าผู้หนึ่งผู้ใดของพรรคเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่  หรือมีส่วนกระทำความผิด เราก็จะดำเนินการตามมาตรการของพรรคเช่นเดียวกัน

ตอบข้อซักถามผู้สื่อข่าว กรณีนี้แตกต่างกับกรณีของพรรคเพื่อไทยขับ พล.อ.พิศาลฯ หรือไม่  พล.ต.ท.ปิยะฯ กล่าวว่า กรณีพล.อ. พิศาลฯ ลาออก ไม่ใช่ พรรคขับออก และกรณีนั้นศาลได้ออกหมายจับให้นำตัวมาดำเนินคดี  แตกต่างจากกรณีคลิปเสียง ยังไม่รู้เลยว่าเป็นเสียงของใคร ยังไม่มีมีการร้องทุกข์กล่าวโทษหรือดำเนินคดีกับใครเลย  มันไม่เหมือนกัน  และที่สำคัญที่พรรคพลังประชารัฐ ได้มีการเรียกร้องให้ท่านนายกรัฐมนตรีดำเนินการตามหน้าที่ ใน 3 ฐานะ คือ 1. หัวหน้ารัฐบาล 2. หัวหน้าพรรคเพื่อไทย 3. หัวหน้าส่วนราชการ ที่ดูแลงานการต่างประเทศ งานยุติธรรม และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  กรณีดังกล่าว ศาลได้ออกหมายจับ มาตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2567 นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าส่วนราชการที่ดูแลกระทรวงการต่างประเทศได้มีการดำเนินการมาตรการทางการต่างประเทศเพื่อให้ได้มาซึ่งตัวผู้มีหมายจับมาดำเนินคดีตามกฎหมายหรือไม่  ไม่ว่าจะเป็นการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน  เพิกถอนหนังสือเดินทาง หรือการดำเนินการอื่นๆเพื่อ ตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายในอายุความ ได้มีสั่งการให้สำนักงานแห่งชาติประสานตำรวจสากลออกหมายแดงเพื่อให้ได้ตัว สส. บัญชีรายชื่อ ของพรรคเพื่อไทยมาตามกฎหมาย  ซึ่งในกรณีนี้ญาติผู้สูญเสียชีวิตครางแครงใจว่ามีการพยายามปล่อยให้ขาดอายุความหรือไม่

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18ตุลาคม 2567