โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: พรรคพลังประชารัฐ

“สนธิรัตน์” แท็กทีม “พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ – บุรินทร์” ลุยเมืองคอนปราศรัยช่วย “อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ” เขต 4 เบอร์ 6 ประกาศแก้ความยากจน พลิกชีวิตพี่น้องคนใต้ด้วยปาล์มน้ำมัน

,

“สนธิรัตน์” แท็กทีม “พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ – บุรินทร์” ลุยเมืองคอนปราศรัยช่วย “อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ” เขต 4 เบอร์ 6 ประกาศแก้ความยากจน พลิกชีวิตพี่น้องคนใต้ด้วยปาล์มน้ำมัน

วันที่ 10 พ.ค. 2566 ที่ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ ประธานอนุกรรมการเพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันทั้งระบบ และดร.บุรินทร์ สุขพิศาล อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ และกรรมการฝ่ายจัดทำนโยบายพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่พบปะประชาชน และตัวแทนเกษตรกรชาวสวนปาล์ม เพื่อรับฟังปัญหาและนำเสนอนโยบายด้านการเกษตรของพรรค พร้อมปราศรัยย่อยช่วยนายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ผู้สมัคร ส.ส. นครศรีธรรมราช เขต 4 เบอร์ 6 หาเสียงช่วงโค้งสุดท้าย โดยก่อนเข้าร่วมงานนายสนธิรัตน์ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยังวัดเขาขุนพนม ที่ อ.พรหมคีรี เพื่อร่วมพิธีบวงสรวงสักการะอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อเป็นสิริมงคลด้วย

นายสนธิรัตน์ ได้ปราศรัยตอนหนึ่งว่า วันนี้ตั้งใจมา จ.นครศรีธรรมราช เพราะที่นี่คือดินแดนของคนที่จะรวยด้วยปาล์มน้ำมัน เราเป็นทีมงานที่ทำจริงเรื่องปาล์มน้ำมัน ทำกันมาตั้งแต่ก่อนปี 2562 ผลักดันจนราคาเคยขึ้นไปถึง 12 บาท แต่วันนี้ราคาปาล์มน้ำมันตกลงอีก เหลือ 5 บาทกว่า ตนจึงต้องมาที่นี่เพื่อบอกว่าทีมที่แก้ปัญหา และรู้เรื่องปาล์มน้ำมันดีที่สุดคือพวกตนที่อยู่ตรงนี้ หากพวกตนกลับไปเป็นรัฐบาล จะเอาน้ำมัน B10 กลับมา ราคาจะกลับไป 10 บาทกว่าอีก แต่ต่อให้ได้ราคาสูง ก็ขาดทุนได้ เพราะราคาปุ๋ยแพง พรรคพลังประชารัฐจึงมีนโยบายปุ๋ยคนละครึ่ง นอกจากนี้จะทำให้ภาคใต้กลายเป็นแผ่นดินของปาล์มน้ำมันทั้งภาคใต้ ด้วยการนำปาล์มน้ำมันไปทำน้ำมันอากาศยานชีวภาพ หรือไบโอเจ็ท นี่คือสิ่งที่พรรคพลังประชารัฐจะทำ และเตรียมทำไว้แล้ว ทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล นอกจากนี้พรรคประกาศนโยบายแล้วว่าจะให้เงินทุนแก่พี่น้องที่เป็นเกษตรกรครอบครัวละ 3 หมื่นบาทเพื่อนำไปเพิ่มผลผลิตต่อไร่ด้วยนวัตกรรมต่างๆ
“หากวันนี้ทีมงานของผมคิดได้แค่การทำน้ำมัน B10 หรือแค่ประกันรายได้ คงไม่มาหาพี่น้อง ผมคงไม่กล้ามาบอกว่าจะทำให้เราร่ำรวยอย่างไร แต่วันนี้ตัดสินใจเลือกเวทีปราศรัยต่างจังหวัดที่สุดท้ายที่ จ.นครศรีธรรมราช และผมไม่ได้แค่มาหาเสียงแต่เอาทีมงานตัวจริงเสียงจริงที่ทำเรื่องปาล์มน้ำมันมา ระยะเวลา 6 – 7 ปี พิสูจน์แล้วว่าทำได้จริง พวกผมมาอาสากับพี่น้องที่นครศรีธรรมราช และประกาศจากที่นี่ไปยังทุกจังหวัดที่ปลูกปาล์มน้ำมันว่าพรรคพลังประชารัฐ จะเอาปาล์มน้ำมันมาแก้ปัญหาความยากจนให้พี่น้องลืมตาอ้าปากได้ตลอดไป ด้วยนโยบายน้ำมัน B10 ปุ๋ยคนละครึ่ง ไบโอเจ็ท และจะทำให้ภาคใต้เป็นศูนย์กลางน้ำมันอากาศยานชีวภาพจากปาล์มน้ำมันของเอเชีย ยกระดับราคาให้พี่น้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข นี่คือความตั้งใจของผม และทีมงาน จากหัวใจของคนทำงานปาล์มน้ำมัน เรื่องอื่นผมไม่รู้ แต่ปาล์มน้ำมันพวกผมเชี่ยวชาญ และสามารถพลิกชีวิตพี่น้องได้จริงๆ ผมไม่ได้แค่มาหาเสียง แต่มาคารวะพี่น้องที่นี่ด้วยหัวใจคนปาล์มน้ำมัน และอยากเห็นพี่น้องอยู่ดีกินดี ร่ำรวย ดังนั้นเลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 และเลือกนายอาญาสิทธิ์ เบอร์ 6 เพื่อเข้าไปผลักดันนโยบายต่างๆ ให้สำเร็จ” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ขณะที่พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ฝากความห่วงใยมายังพี่น้องชาวสวนปาล์มน้ำมัน จ.นครศรีธรรมราช ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ถือเป็นผู้พลิกชีวิตปาล์มน้ำมันไทย และอนาคตจะพลิกโฉมเกษตรกรไทยให้พัฒนาแบบก้าวกระโดด โดย พล.อ.ประวิตร มอบหมายให้ทีมงานแก้ปัญหาให้ทำได้จริง ที่ผ่านมาเราได้แก้ปัญหาน้ำมันปาล์มล้นตลาด มีการนำปาล์มน้ำมันไปเป็นส่วนผสมน้ำมัน B10 พร้อมทั้งเร่งผลักดันส่งออกน้ำมันปาล์มดิบไปต่างประเทศ ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าส่งออก 1.5 ล้านตัน นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร มีนโยบายการนำน้ำมันปาล์มดิบมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ และการนำน้ำมันปาล์มดิบไปผลิตเป็นน้ำมันอากาศยานชีวภาพ หรือไบโอเจ็ท ในอนาคตจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตน้ำมันอากาศยานของเอเซีย นอกจากนี้ยังมีนโยบายเกษตรอัจฉริยะ พลิกโฉมให้เกษตรกรเป็นปราชญ์รอบรู้ เป็นเกษตรกรอัจฉริยะ เกษตรกรจะร่ำรวย จะแปรรูปสร้างการใช้ปาล์มน้ำมันให้มั่นคง ราคาจะคงที่ทั้งปี รวมถึงการเป็นเกษตรรักษ์โลก เป็นมิตรสิ่งแวดล้อมด้วย อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าผลงานใครก็ขโมยไปไม่ได้ ท่านทำจริง ตนเชื่อมั่นว่า พล.อ.ประวิตร จะทำให้พี่น้องอยู่ดีกินดี และเราเป็นทีมงานที่รู้เรื่องปาล์มน้ำมันดีที่สุด

ด้าน ดร.บุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้เหมือนได้กลับมาบ้านของพ่อ ตนตั้งใจอย่างยิ่งที่จะพัฒนา จ.นครศรีธรรมราช ให้ร่ำรวยไปด้วยกัน ซึ่งเราแก้ปัญหาน้ำมันปาล์มล้นตลาดด้วยการบริหารสต็อก ต้องระบายส่งออก เพราะถ้าสต๊อคสูง จะทำให้ราคาผลปาล์มตก ในอดีตได้นำไปทำน้ำมัน B10 นำไปเผาผลิตไฟฟ้า รวมถึงสนับสนุนการส่งออกไปประเทศอินเดีย 1 ล้านตัน ทำให้ได้ราคาเฉลี่ย 7 บาทกว่า ซึ่งคนที่นำไปอ้างว่าทำเรื่องนี้ ไม่จริง เพราะคนที่ทำจริงๆ คือพวกเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ โดยมีพล.อ.ประวิตร เป็นคนสั่งการ นอกจากนี้ การแปรรูปเกษตรเป็นอีกเรื่องที่สำคัญมาก ทั้งแปรรูปเป็นน้ำมันหล่อลื่นชีวภาพ ผงซักฟอกชีวภาพ แชมพู เครื่องสำอางค์ ที่ล้วนมีส่วนผสมของปาล์มน้ำมัน ซึ่งเวลาน้ำมันปาล์มดิบราคาลง แต่ผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปแล้วไม่ลดลงตาม หากเราไม่รู้จักปรับตัว มัวแต่ผลิตน้ำมันพืชขายก็ต้องเจอสถานการณ์ผันผวนของราคาเป็นวงจรแบบนี้ไปตลอด

อย่างไรก็ตาม ส่วนประกอบที่ราคาสูงในผลิตภัณฑ์ที่ว่านั้นปัจจุบันต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งทำมาปาล์มน้ำมันจากสวนของพี่น้องที่ส่งออกแล้วมีการนำไปแปรรูป แล้วนำกลับมาขายให้พี่น้องใช้ในราคาแพง ต่อไปในอนาคตเราจะปฏิวัติระบบนี้ เราจะผลิตเอง ขายเอง ใช้กันเองและรวยกันเอง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 พฤษภาคม 2566

“ดร.นฤมล” หนุน “ภักดีหาญส์” พร้อมทำงานลาดพร้าว-บึงกุ่ม ลุยแก้ปัญหาอาชญากรรมพื้นที่ เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้ปชช.

,

“ดร.นฤมล” หนุน “ภักดีหาญส์” พร้อมทำงานลาดพร้าว-บึงกุ่ม
ลุยแก้ปัญหาอาชญากรรมพื้นที่ เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้ปชช.

วันนี้ (11 พ.ค.66) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ลงพื้นที่ช่วย นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 13 เขตลาดพร้าว เขตบึงกุ่ม หมายเลข 8 ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ เพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะต่างๆ และขอให้ประชาชนช่วยลงคะแนนเสียงให้ตัวผู้สมัครและพรรค พปชร. โดยมีพี่น้องประชาชน และพ่อค้า-แม่ค้า ในตลาด ต.รวมโชค (โชคชัย4) ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีและขอถ่ายรูปร่วมเฟรมอย่างเป็นกันเอง

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ทางผู้สมัคร และพรรคได้ทำงานกันอย่างเต็มที่ ผู้สมัครทุกคนลงพื้นที่อย่างหนักซึ่งในเขตลาดพร้าว “หาญส์ หิมะทองคำ” และภรรยา ปู-มัณฑนา ได้เข้ามาทำงานในพื้นที่มาโดยตลอดและทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเป็นผู้ค้ารายย่อยได้รับผลกระทบเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งพรรคมีเรื่องแหล่งทุนที่จะเข้ามาเติมเต็ม มาดูแลในเรื่องการประกอบอาชีพที่มั่นคงมากขึ้น ดังนั้นผู้สมัครของพรรคได้เตรียมพร้อมที่จะนำนโยบายเข้ามาช่วยเหลือและแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดเมื่อได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ในสภา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน จากการสะท้อนเสียงในการลงพื้นที่ ตลาดโชคชัย 4 ครั้งนี้ มีพี่น้องให้การตอบรับเป็นอย่างดี เชื่อว่าจะเมตตาให้หาญ ได้เข้ามารับใช้เขตนี้ พร้อมผู้สมัคร กทม.อีก 32 คน ที่พร้อมแล้วที่จะทำงานเพื่อคน กทม.

“อย่างไรก็ตามในวันที่ 12 พฤษภาคม นี้ พรรคได้มีแผนการหาเสียงในเวทีปิดท้ายอีกครั้ง ซึ่งจะมีขึ้นที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง (กรุงเทพ 2) แม้ว่าจะเป็นวันเดียวกับที่พรรคต่างๆ ได้จัดกิจกรรมปราศรัย รวมถึงสถานที่เดียวกันพรรคอื่นก็ไม่มีความกังวล เนื่องจากจัดปราศรัยคนละช่วงเวลา ในส่วนของพรรคเองก็มีการจัดเวทีย่อยในพื้นที่อื่นๆ อีก ซึ่งผู้สมัครทุกคนก็มีกลุ่มอาสาสมัครเข้ามาร่วมแสดงพลังโค้งสุดท้ายให้กับพรรค เพราะครั้งนี้ถือเป็นเวทีใหญ่ที่สมาชิกพรรคมารวมตัวกันในพื้นที่แห่งนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงเวทีเฉพาะ กทม. เท่านั้น” ศ.ดร.นฤมล กล่าว

นายภักดีหาญส์ กล่าวว่า นอกจากเป้าหมายการแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจและปากท้องให้กับคนในพื้นที่แล้ว ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักของพรรคแล้ว ยังมีนโยบายเฉพาะพื้นที่ที่จะมาดูแลพี่น้องประชาชนซึ่งถือเป็นภัยใกล้ตัวในพื้นที่ โดยเฉพาะการเพิ่มจุด CCTV ติดตั้งไฟส่องสว่างตามจุดต่างๆ เช่น สะพาน พื้นที่ทางเข้าชุมชน ที่เป็นจุดอับและจุดมืดค่อนข้างเยอะ และมีแหล่งมั่วสุมเกิดขึ้น จำเป็นต้องดำเนินการเพิ่มมาตราการสร้างความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อป้องปรามการก่ออาชญากรรมในพื้นที่ ร่วมถึงการขยายขอบเขตการดูแลความปลอดภัยของประชาชนโดยอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) และกู้ภัย ซึ่งในประเทศไทยมีจำนวน 1 ล้านกว่าคน ให้เข้ามาดูแลพี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่างใกล้ชิดมากขึ้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 พฤษภาคม 2566

“ชาญกฤช” ไขข้อข้องใจ ทำไมนายกฯ คนที่ 30 ต้องชื่อ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” พร้อมปลุกพลังเงียบ เข้าคูหากาเบอร์ 37 และเลือกผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคพลังประชารัฐ

,

“ชาญกฤช” ไขข้อข้องใจ ทำไมนายกฯ คนที่ 30 ต้องชื่อ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” พร้อมปลุกพลังเงียบ เข้าคูหากาเบอร์ 37 และเลือกผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคพลังประชารัฐ

เมื่อวันที่ 9 พ.ค. 66 นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐ เปิด 5 คุณสมบัติของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่เหมาะสมจะก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ดังนี้

คุณสมบัติที่ 1 การลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ เพื่อผ่านการเลือกตั้งจากประชาชนทั้งประเทศตามวิถีประชาธิปไตย เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากประชาชน มีความสง่างามในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดังคำพูดของ พล.อ.ประวิตร ที่ระบุว่า “ถ้าผมไม่มีชื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง แล้วผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่าประชาชนเลือกผมด้วย ไม่ใช่กาบัตรเลือกคนอื่น แล้วผมเป็นแค่ผลพลอยได้ ผมจึงเลือกที่จะเป็นทั้งหัวหน้าพรรค ผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ผมมั่นใจว่า คะแนนที่ได้มานั้น ประชาชนเลือกผม” คุณสมบัติที่ 2 การเป็นมือประสาน 10 ทิศ สามารถทำงานกับฝ่ายการเมืองได้กับ​ทุกพรรค ทุกฝ่าย โดยเฉพาะการเป็นผู้จัดการประสานการจัดตั้งรัฐบาลเมื่อปี 2562 ดังปรากฎในผลโพล ที่ประชาชนต่างยกให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง และเป็นนายกรัฐมนตรีที่จะสามารถประสานงานจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างราบรื่น ไม่เกิดการแบ่งสี แบ่งขั้ว คุณสมบัติที่ 3 สามารถทำงานกับข้าราชการ และเข้าถึงคนรุ่นใหม่ โดยเปิดโอกาสให้เยาวชน นิสิต นักศึกษาเข้าพบ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันบ่อยครั้งอย่างเป็นกันเอง คุณสมบัติที่ 4 การเป็นผู้มากบารมี สามารถเชื้อเชิญบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ ให้มาร่วมกันแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน และทำงานขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้าโดยไม่สะดุด หรือไร้รอยต่อระหว่างเปลี่ยนผ่านรัฐบาล โดยเห็นได้จากดรีมทีมเศรษฐกิจของพรรค ซึ่งล้วนเป็นกูรูเศรษฐกิจระดับแนวหน้าของประเทศ และคุณสมบัติที่ 5 พล.อ.ประวิตร จะเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ เกิดความมั่นคงตลอดระยะเวลา 4 ปี โดยไม่ต้องเปลี่ยนตัวผู้นำกลางคัน ทำให้เกิดความต่อเนื่อง และเกิดความเชื่อมั่นทั้งประชาชนคนไทยและนักลงทุนต่างชาติ

“พล.อ.ประวิตร มีความพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าท่านจะเดินช้า แต่ระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ขาทั้งสองข้างของท่าน ได้ลงพื้นที่ไป 77 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนในทุกเรื่อง หวังให้ประชาชนพ้นจากความยากจนและคลายทุกข์ลงได้ ทั้งปัญหาที่ดินทำกิน ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง และปัญหาปากท้อง เช่นเดียวกับครั้งนี้ พล.อ.ประวิตร จะขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยสมอง สองมือ และประสบการณ์ที่มีของตัวท่านเอง ทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข และประชาชนอยู่ดีกินดี ขอเพียงพี่น้องประชาชนเปิดใจเลือก พล.อ.ประวิตร และเลือกพรรคพลังประชารัฐ เข้ามาทำหน้าที่ เพื่อทลายปัญหาความขัดแย้ง และนำพาประเทศไทยก้าวข้ามความยากจนไปได้อย่างยั่งยืน” นายชาญกฤช กล่าว

โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ ​ขอให้คนไทยใช้โอกาสการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ในวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค.นี้ พิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบในการเลือกผู้นำประเทศและผู้แทนฯ ของตัวเอง เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ จะเป็นการชี้ชะตาอนาคตประเทศไทยในอีก 4 ปีข้างหน้า พร้อมเชิญชวนประชาชนให้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค.นี้ และหากพรรคพลังประชารัฐคือคำตอบ โปรดอย่าลังเลที่จะเลือกหมายเลข 37 บนบัตรเลือกตั้งสีเขียว และเลือกผู้สมัครฯ ของพรรคทั่วประเทศ ผ่านบัตรเลือกตั้งสีม่วง เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย ให้ก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 พฤษภาคม 2566

“ศันสนะ”ลงพื้นที่วอนชาวฝั่งธนกาเบอร์1 ชูนโยบายหยุดสุรา-กัญชาเสรี-ยาเสพติด

,

“ศันสนะ”ลงพื้นที่วอนชาวฝั่งธนกาเบอร์1
ชูนโยบายหยุดสุรา-กัญชาเสรี-ยาเสพติด

ดร.ศันสนะ สุริยะโยธิน ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตธนบุรี-คลองสาน-ราษฎร์บูรณะ พรรคพลังประชารัฐ หมายเลข 1 กล่าวถึงการลงพื้นที่ขณะนี้ว่า เมื่อวานนี้ตนพบผู้เสียชีวิตอีกแล้ว ตรงบริเวณริมถนนในซอยโกวบ๊อ ซึ่งเป็นจุดใกล้เคียงกับผู้เสียชีวิตรายก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าจะเสียชีวิตเพราะความร้อน แต่ผู้ตายดื่มสุราเมามานอนเต๊นท์ขายของริมถนน ซึ่งเมื่ออากาศร้อนอยู่แล้ว ยิ่งดื่มสุรา ก็ยิ่งร้อนทั้งภายนอกและภายใน
ทั้งนี้ตนเคยพูดถึง ร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า’ หรือ ร่าง พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่เคยมีความพยายามของพรรคการเมืองหนึ่งให้ผ่านสภา โดยอ้างว่าเป็นการเปิดช่องให้ประชาชนทั่วไปมีโอกาสทำธุรกิจ โดยไม่ต้องเจออุปสรรคเรื่องเงินทุนที่สูงไป และเพื่อหยุดการผูกขาดของนายทุน ซึ่งในประเด็นนี้ตนไม่เห็นด้วย เพราะมีคำถามว่า สุราเสรีหยุดนายทุน 2-3 รายได้จริงหรือ เพราะนายทุนก็เปิดบริษัทย่อยมาคุมตลาดได้ และยังเพิ่มนายทุนรายย่อยที่อยากทำสุราขาย ชาวบ้านประชาชนจะมาปั้นตัวเองผลิตสุราขายหรือส่งออกได้ ต้องมีทุนเพียงพอ
“ทุกวันนี้คนในสังคมมีแต่การรณรงค์ และข้อห้ามหลายอย่างในการลดการดื่ม อุปสรรคที่เกิดขึ้นทำให้ระดับนายทุนใหญ่ยังสะเทือน แล้วรายเล็กที่อยากจะเข้ามาในธุรกิจนี้จะทำอย่างไร เรื่องหยุดสุราเสรี หรือยาเสพติดเสรี ไม่ใช่เรื่องของพรรคพลังประชารัฐ แต่เป็นความตั้งใจส่วนตัว ที่ไม่สนับสนุน ในขณะที่เรายังไม่พร้อม และการตัดสินเรื่องระดับชาติ ก็จำเป็นที่ต้องคำนึงถึงอนาคตของลูกหลาน ที่จะเป็นผู้ดื่มหน้าใหม่เร็วเกินไป ผมห่วงในฐานะพ่อคนหนึ่ง”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 พฤษภาคม 2566

ดร.ลั่น – สฤษดิ์ ไพรทอง ลงพื้นที่เยาวราชหาเสียงโค้งสุดท้าย พบแฟนคลับต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมชูนโยบายท่องเที่ยวแก้เศรษฐกิจปากท้องเร่งด่วน ผลักดันกรุงเทพฯชั้นในสู่จุดหมายที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องมาเยือน ย้ำทำได้ทันทีไม่ต้องรอ

,

ดร.ลั่น – สฤษดิ์ ไพรทอง ลงพื้นที่เยาวราชหาเสียงโค้งสุดท้าย พบแฟนคลับต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมชูนโยบายท่องเที่ยวแก้เศรษฐกิจปากท้องเร่งด่วน ผลักดันกรุงเทพฯชั้นในสู่จุดหมายที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องมาเยือน ย้ำทำได้ทันทีไม่ต้องรอ

ดร.สฤษดิ์ ไพรทอง หรือ ดร.ลั่น ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กรุงเทพมหานคร เขต 1 หมายเลข 11 กล่าวในระหว่างลงพื้นที่หาเสียงย่านเยาวราชว่า จากการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนในช่วงที่ผ่านมา เสียงสะท้อนที่ได้รับฟังส่วนใหญ่ที่ต้องการให้ทางพรรคฯ ผลักดันเร่งด่วนยังคงเป็นเรื่องเศรษฐกิจและปัญหาปากท้อง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาปากท้องประชาชนโดยเร็วเช่นกัน

ทั้งนี้ หนึ่งในนโยบายของ พปชร.นั้น จะมีนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ผ่านกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาท เพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นมหานครแห่งอาเซียน เพื่อเร่งนำเงินเข้าประเทศให้เร็วที่สุด ตามนโยบายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคฯ เนื่องจากการท่องเที่ยวเป็นช่องทางที่เร็วที่สุดในการหารายเข้าประเทศ เพราะการท่องเที่ยวนั้น ไม่ต้องรอการก่อสร้าง รอเพียงแต่นักท่องเที่ยวมาในประเทศ ก็ได้เงินเข้าประเทศทันที ซึ่งกรุงเทพฯเป็นหมุดหมาย และเป็นแลนด์มาร์คการท่องเที่ยวของภูมิภาคนี้อยู่แล้ว
.
ขณะเดียวกัน ในพื้นที่กรุงเทพฯชั้นใน มีย่านการค้าและการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวรู้จักดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นย่านของกินชื่อดังอย่างเยาวราช ย่านศิลปวัฒนธรรมอย่างพระบรมมหาราชวัง และย่านถนนข้าวสาร ซึ่งสามารถพัฒนาพื้นที่ใกล้เคียงต่อยอดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวไปสู่ชุมชนต่าง ๆ ในพื้นที่ได้เช่นกัน

พร้อมกันนี้ ดร.สฤษดิ์ ยังได้นำเสนอ นโยบายลดค่าครองชีพให้กับประชาชน หาก พปชร.ได้เป็นรัฐบาล ที่จะผลักดันทันที เช่น ลดค่าไฟฟ้าเหลือหน่วยละ 2.50 บาท, ลดราคาน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 6.30 บาท และเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุแบบขั้นบันได คือ ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็น 3,000 บาทต่อเดือน, อายุ 70 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็น 4,000 บาทต่อเดือน อายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็น 5,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น

สำหรับบรรยากาศในการลงพื้นที่เยาวราช ของดร.สฤษดิ์ ในครั้งนี้ ยังคงมีประชาชน พ่อค้า แม่ค้า และแฟนคลับ ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมกับส่งเสียงเชียร์เหมือนเช่นเคย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 พฤษภาคม 2566

นักศึกษา มศว. ปลื้ม “พี่โอ๋ ตัวตึง” เป็นกันเองกว่าที่คิด

,

นักศึกษา มศว. ปลื้ม “พี่โอ๋ ตัวตึง” เป็นกันเองกว่าที่คิด

(9 พฤษภาคม 2566) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เข้าร่วมเสวนาทางการเมือง ซึ่งหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร จัดขึ้นในหัวข้อ นโยบายด้านการศึกษาและสังคม ณ สนามกีฬากลาง ม.ร.ว.จุรีพรหม กมลาศน์ (มศว.ประสานมิตร) โดยมีตัวแทนจาก ทั้งหมด 8 พรรคการเมืองเข้าร่วม
.
ทั้งนี้ได้กล่าวถึงนโยบายระบบการศึกษาว่า ส่วนมากหลายพรรคการเมืองมักไม่ค่อยพูดถึงเรื่องการศึกษาในเวทีดีเบตต่าง ๆ เท่าที่ควร เนื่องจากเป็นนโยบายที่ไม่ค่อยมีความขัดแย้งทางความคิดกันมากนัก หลาย ๆ พรรคมักจะมีนโยบายเกี่ยวกับระบบการศึกษาที่คล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเปิดโอกาส การเรียนเสริมด้านภาษา เทคโนโลยีและดิจิทัล ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาก็มีการพัฒนามาโดยตลอดเพราะไม่ต้องใช้การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่หนึ่งปัญหาใหญ่ของประเทศ คือยังขาดแรงงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล หรือ STEM ยังค่อนข้างน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และเรื่องของภาษาก็มีส่วนสำคัญ ที่ต้องพัฒนา เพราะมีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติ ที่จะเข้ามาเปิดโรงงาน หรือ ฐานการผลิตภายในประเทศ
.
ขณะที่ปัญหาความเหลื่อมล้ำของระบบการศึกษาระหว่างพื้นที่ห่างไกล กับเขตเมือง ซึ่งยังคงมีคุณภาพที่แตกต่างกันอยู่ ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเร่งแก้ไข โดยทุกรัฐบาลก็พยายามแก้ไข ให้โอกาสเด็ก ๆ ทั้งประเทศได้มีความเท่าเทียมกันทางด้านการศึกษา
.
นอกจากนี้นายชัยวุฒิ ยังได้กล่าวทิ้งท้ายในการเสวนาครั้งนี้อีกด้วยว่า เห็นด้วยกับหลายนโยบายด้านการศึกษาของพรรคต่าง ๆ ที่มาร่วมเสวนาในวันนี้ ซึ่งถือเป็นการร่วมมือกันพัฒนาประเทศ ทั้งนี้เรื่องของการเมืองนั้นไม่ได้สำคัญแค่เรื่องนโยบาย แต่สำคัญที่ว่าหากพรรคนั้นได้เป็นรัฐบาลแล้ว สามารถทำให้รัฐบาลมีสเถียรภาพได้หรือไม่ ทำงานได้ บ้านเมืองก้าวไปข้างหน้าได้ โดยไม่มีความขัดแย้ง ซึ่งพรรคพลังประชารัฐ ขออาสาแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง บางเรื่องสามารถคิดต่างกันได้ เห็นไม่ตรงกันได้ แม้ความจริงจะมีอยู่เรื่องเดียว แต่รับข้อมูลมาไม่เหมือนกันก็เกิดเป็นความขัดแย้ง พรรคพลังประชารัฐจึงสามารถประสานให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน พูดคุยทำความเข้าใจกันได้ หาทางออกแก้ไขร่วมกัน จับมือไปด้วยกัน ให้ประเทศไทย เป็นบ้านเมืองที่น่าอยู่ตลอดไป
.
ด้านน้องมังกร นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มศว. ปี 1 นักศึกษาที่มาร่วมรับฟังการเสวนา ได้สะท้อนมุมมองที่มีต่อพรรคพลังประชารัฐ และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค ว่า รู้สึกปลื้มใจ ไม่คิดว่าจะเป็นกันเองมากขนาดนี้ จากที่เห็นภาพลักษณ์ตามเวทีดีเบตต่าง ๆ ที่ได้ฉายาตัวตึง คิดว่าจะเข้าถึงได้ยาก แต่กลับกัน เป็นคนที่อัธยาศัยดี เป็นกันเอง ขอถ่ายรูปก็ได้ถ่ายด้วยอย่างใกล้ชิด จึงรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก พร้อมขอบคุณที่มาร่วมในการเสวนา และให้ความรู้ในวัน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 พฤษภาคม 2566

“ดร.นฤมล” สวมบทเด็กแว้นซ้อนมอเตอร์ไซค์พี่วิน ช่วย “เบล-สุชาดา” ลุยตรอกซอกซอยเขตดอนเมือง ขอเสียงสนับสนุน ชูนโยบาย “ลุงป้อมพาหมอมาหา เอายามาส่ง” เข้าถึงสาธารณสุขอย่างเท่าเทียม

,

“ดร.นฤมล” สวมบทเด็กแว้นซ้อนมอเตอร์ไซค์พี่วิน ช่วย “เบล-สุชาดา” ลุยตรอกซอกซอยเขตดอนเมือง ขอเสียงสนับสนุน ชูนโยบาย “ลุงป้อมพาหมอมาหา เอายามาส่ง” เข้าถึงสาธารณสุขอย่างเท่าเทียม

วันนี้ (10 พ.ค.66) พรรคพลังประชารัฐนำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ลงพื้นที่ช่วยดร.ภญ.สุชาดา เวสารัชตระกูล (เบล) ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 10 เขตดอนเมือง เบอร์ 3 ลงพื้นที่หาเสียงในตลาดวัฒนานันท์ (ฝั่งโขง) และหมู่บ้านรัตนาวลัยดอนเมือง ซึ่งครั้งนี้เป็นการหาเสียงโค้งสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้ง14 พ.ค.66 โดยนั่งวินมอเตอร์ไซค์ร่วมกับผู้สมัครและทีมงาน เข้าพบปะทักทายพูดคุยกับผู้คนตามตรอกซอกซอย ซึ่งบรรยากาศการหาเสียงได้รับความสนใจจากพี่ป้าน้าอาในการขอคะแนนเสียงของสองสาวสายลุยในครั้งนี้

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ในพื้นที่ดอนเมืองเป็นพื้นที่เป้าหมายของ พปชร.ที่สำคัญขอโอกาสให้กับผู้หญิงเข้ามาทำงานในสภาเพื่อเป็นปากเสียงให้ประชาชน โดยเฉพาะเรื่องการดูแลผู้สูงอายุที่อยากให้ดอนเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น ตอนนี้นับถอยหลังเหลืออีก 3 วัน ที่จะถึงวันเลือกตั้ง พรรค พปชร.เน้นการหาเสียงอย่างเข้มข้นลงไปในเขตต่างๆ โดยเฉพาะพื้นที่เป้าหมาย แบบเคาะทุกประตูบ้านเข้าถึงประชาชนอย่าง ดร.ภญ.สุชาดา หรือ เบล ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 10 ที่ได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างดี ด้วยการลงพื้นที่ต่อเนื่องและทราบปัญหาที่แท้จริงของชาวดอนเมือง

สำหรับประเด็นที่หลายฝ่ายมองว่ากระแสหลายพรรคมาแรงนั้น ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่าเรื่องนี้ พปชร.ไม่กังวลเพราะผู้สมัครทำหน้าที่อย่างดีที่สุดในการเข้าถึงความต้องการของพี่น้องประชาชน เพราะถ้าเลือกตามกระแสก็จะได้เพียงแค่กระแสเท่านั้น แต่ถ้าเลือกผู้สมัครของ พปชร.อย่างน้องเบล ก็จะได้ ส.ส.ที่จริงใจและพร้อมที่จะเข้ามาช่วยเหลือประชาขนอย่างแท้จริง

ด้าน ดร.ภญ.สุชาดา กล่าวว่า จากการเป็นคนในพื้นที่เข้าใจปัญหามาโดยตลอด ซึ่งพื้นที่นี้มีผู้สูงอายุจำนวนมาก ด้วยประชากรที่มีอยู่ 200,000-300,000 คน พบว่ามีประชาชนอยากเข้าถึงระบบสาธารณสุขที่ดี ซึ่งพรรคมีนโยบายโดยตรง “ลุงป้อมพาหมอมาหา เอายามาส่ง” เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบการรักษาที่เท่าเทียม หรือเรียกว่า ระะบบ Telemed หรือการแพทย์ทางไกลมาใช้ โดยประชาชนอยู่ที่ไหน ก็สามารถพบแพทย์ได้ ซึ่งนโยบายนี้ คือสิ่งที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค จะทำให้เกิดขึ้นทันทีที่เข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศซึ่งจะเป็นประโยชน์กับพี่น้องทุกคน เพราะนอกจากประหยัด แล้วยังไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทาง ตนขอโอกาสเข้ามาทำงานให้กับชาวดอนเมือง โดยกาบัตรสีม่วง เบอร์3 และบัตรสีเขียว เลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 พฤษภาคม 2566

“อุตตม – สนธิรัตน์” แอ่วเหนือให้กำลังใจ “ผู้การกริช” ผู้สมัคร ส.ส. ลำพูน เขต 2 เบอร์ 8 พร้อมปราศรัยย่อยขอคะแนนเสียงอ้อนคนลำพูนเปลี่ยน ส.ส.ใหม่

,

“อุตตม – สนธิรัตน์” แอ่วเหนือให้กำลังใจ “ผู้การกริช” ผู้สมัคร ส.ส. ลำพูน เขต 2 เบอร์ 8 พร้อมปราศรัยย่อยขอคะแนนเสียงอ้อนคนลำพูนเปลี่ยน ส.ส.ใหม่

วันที่ 8 พ.ค. 2566 ที่ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน นายอุตตม สาวนายน ประธานคณะจัดทำนโยบายพรรคพลังประชารัฐ และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ ร่วมพบปะแกนนำ และปราศรัยย่อยช่วย “พล.ต.ต.กริช กิติลือ ผู้สมัคร ส.ส. ลำพูน เขต 2 เบอร์ 8” พร้อมขึ้นรถแห่หาเสียงในพื้นที่เขต 2 และพบปะประชาชน และพ่อค้าแม่ค้าในตลาดแม่ทองริ้ว โดยบรรยากาศการปราศรัยเป็นไปอย่างคึกคัก ประชาชนให้การตอบรับ และเข้าร่วมรับฟังปราศรัยเป็นจำนวนมาก

โดยนายอุตตม ได้กล่าวช่วงหนึ่งในการพบปะแกนนำว่า วันนี้ตน และนายสนธิรัตน์ ขอมาให้กำลังใจ พล.ต.ต.กริช และทีมงานทุกคนในการหาเสียงช่วงเลือกตั้งช่วงโค้งสุดท้ายนี้ ซึ่งตนเชื่อว่าโค้งสุดท้ายนี้ จะมีการแข่งขันกันอย่างหนักมาก แต่ขอให้ทุกคนทำงานให้เต็มที่ อย่าหวาดกลัวต่อการแข่งขัน และขอให้มั่นใจว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคที่มีความพร้อมที่จะเข้าไปเป็นรัฐบาล เข้าไปบริหารประเทศ รวมถึงเข้าไปแก้ไขปัญหาในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ และปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ซึ่งเป็นความตั้งใจของพรรคพลังประชารัฐ พล.ต.ต.กริช เป็นคนที่มีคุณภาพ มีทีมงานในพื้นที่ที่เข้มแข็ง จึงมั่นใจว่าจะสามารถเข้าไปเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนในสภาผู้แทนราษฎร ในการแก้ไขปัญหาของพี่น้องเขต 2 ลำพูน โดยเฉพาะปัญหาราคาพืชผลการเกษตรอย่างลำไย ที่ผ่านมา ได้ทราบว่า พล.ต.ต.กริช ได้ลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่องเพื่อรับฟังและรวบรวมทุกปัญหาที่จะนำไปสู่การต่อสู้และแก้ไขในสภาให้สำเร็จ

จากนั้นนายสนธิรัตน์ ได้ขึ้นรถแห่หาเสียงไปยังตลาดแม่ทองริ้วพร้อมกล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า ตนมาช่วยหาเสียงที่ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน วันนี้ เพราะอยากให้พี่น้องชาวป่าซาง เปลี่ยน ส.ส. เป็นผู้การกริช คนที่จะอยู่รับใช้พี่น้องอย่างใกล้ชิด เพราะ ส.ส.บางคนเขามองว่าพี่น้องเป็นของตาย อย่างไรเขาก็ได้เป็น ส.ส. ทั้งนี้เป็นเวลาหนึ่งปีเต็มที่ผู้การกริช ตัดสินใจอาสามารับใช้พี่น้อง เชื่อว่าพี่น้องเห็นเขาเดินหาเสียงมาทั้งปี ถามว่าพี่น้องเคยเห็น ส.ส. เก่าเดินหาเสียงเท่าผู้การกริชหรือไม่ ดังนั้นการจะเลือกคนมาเป็น ส.ส. ในดวงใจพี่น้อง ต้องเลือกคนที่อาสามารับใช้พี่น้องอย่างใกล้ชิด และต้องเลือก ส.ส. ในพรรคที่จะได้เป็นรัฐบาล ถ้าพี่น้องเลือก ส.ส. แล้วพรรรคนั้นไม่ได้เป็นรัฐบาล เขาก็มาช่วยพี่น้องได้ไม่เต็มที่

“วันนี้ผมมาในนามตัวแทนพรรค เพื่อบอกพี่น้องว่าคนทั้งวงการการเมืองเขาบอกว่าพรรคอะไรก็แล้วแต่หลังเลือกตั้งจะจัดตั้งรัฐบาล แต่พรรคที่แบเบอร์เป็นรัฐบาล 100% ชื่อพรรคพลังประชารัฐ ดังนั้นหากพี่น้องเลือกผู้การกริช จะได้คนที่ไปเป็น ส.ส.ของรัฐบาลแน่นอน คนที่สามารถเข้าไปขับเคลื่อนเพื่อแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะลำไย ซึ่งเมืองลำพูนถือว่าเป็นเมืองลำไย และประสบปัญหาราคาตกต่ำมาทุกฤดูกาล นอกจากนี้ หากผู้การกริช ได้เป็น ส.ส.และพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล พี่น้องจะได้นโยบายปุ๋ยคนละครึ่งทันที นอกจากนี้ยังมีบัตรประชารัฐ 700 บาท เบี้ยผู้สูงอายุ 60-80 ปี ได้รับเงิน 3,000-5,000 บาท วันนี้พี่น้องจะรักใครชอบใครเป็นเรื่องทางการเมือง แต่ถ้าจะเลือกพรรค หรือ ส.ส. ต้องเลือกคนที่จะมาช่วยพี่น้องจริงๆ เลือก ส.ส. ที่จะไปช่วยผลักดันจัดตั้งรัฐบาลนั่นคือผู้การกริช ผมยืนยันว่าพรรคของเราภูมิใจที่ได้คนอย่างผู้การกริช มาเป็นผู้แทนให้พี่น้อง เขาจะอยู่ใกล้ชิด และทุ่มเทให้พี่น้องอย่างแน่นอน“ นายสนธิรัตน์ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 พฤษภาคม 2566

สกลธี ควง บุณณดา ปราศรัยชูนโยบายปากท้องเพื่อพี่น้องย่านฝั่งธน พร้อมย้ำจุดยืนไม่ร่วมกับพรรคการเมืองที่จะแก้ไข ม.112

,

สกลธี ควง บุณณดา ปราศรัยชูนโยบายปากท้องเพื่อพี่น้องย่านฝั่งธน พร้อมย้ำจุดยืนไม่ร่วมกับพรรคการเมืองที่จะแก้ไข ม.112

เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ และหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ ของพรรคฯ ลงพื้นที่ลานออกกำลังกายชุมชนวัดโมลีฯ ใต้สะพานข้ามคลองบางกอกใหญ่ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ ร่วมกับ ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 32 เขตบางกอกน้อย (เฉพาะแขวงศิริราช) เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ (ยกเว้นแขวงบางหว้า แขวงบางด้วน และแขวงคลองขวาง) เขตตลิ่งชัน (เฉพาะแขวงบางเชือกหนัง) เขตธนบุรี (เฉพาะแขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจี และแขวงบางยี่เรือ) หมายเลข 6 เพื่อพบปะประชาชน พร้อมชูนโยบายหลักของพรรคประชารัฐเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของพี่น้องย่านฝั่งธน

​นายสกลธีกล่าวว่า ในย่านนี้จะเป็นหมุดหมายการท่องเที่ยวแห่งใหม่ เพราะมีความน่าสนใจที่เป็นชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีเรื่องราวในชุมชนมากมายที่สามารถนำมาสร้าง Story ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศได้ แต่ยังขาดการสนับสนุนจากรัฐและท้องถิ่นอย่างยั่งยืน เพราะงบประมาณไม่เพียงพอ ซึ่งพรรคพลังประชารัฐจะนำกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านมาช่วยพัฒนาจุดนี้เพิ่มขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ให้คนในพื้นที่นี้ต่อไป

“พรรคพลังประชารัฐย้ำมาตลอดว่าเรามีจุดยืนที่จะไม่ร่วมกับพรรคการเมืองที่จะแก้ไข ม.112 เพราะเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ประชาชนรวยขึ้นหรือจนลง ควรมองไปที่นโยบายที่จะทำให้ความเป็นอยู่ของทุกคนดีขึ้น ดังนั้นถ้ามีเงื่อนไขว่าถ้าจะร่วมตั้งรัฐบาลกับเขาแล้วต้องเอาอันนี้ด้วย แล้วทำให้ประเทศลุกเป็นไฟ เราไม่เอาแน่นอน รวมถึงเรื่องนโยบายที่เอาไปใช้แล้วประเทศล่มจมทางเศรษฐกิจ เราก็ไม่เอาเหมือนกัน”

​ด้าน ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตรมีจุดยืนที่ชัดเจนเรื่องการก้าวข้ามความขัดแย้ง และสามารถนำพาประเทศให้เดินไปข้างหน้าได้โดยไม่ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน แม้ลุงป้อมจะโดนบูลลี่ล้อเลียนในโลกโซเชี่ยลอย่างไร ก็ไม่เคยตอบโต้ และบอกสมาชิกพรรคไม่ให้ตอบโต้ ขัดแย้ง และสาดโคลนใส่กัน เพราะท่านเห็นคนรุ่นใหม่เป็นเหมือนลูกหลาน สิ่งที่ลุงป้อมคิดมีเพียงแต่จะทำให้ลูกหลาน ทำให้ประเทศชาติเท่านั้น จึงอยากขอฝากทุกคนในเขตเลือกตั้งที่ 32 บัตรสีม่วงกาเบอร์ 6 บัตรสีเขียวทั่วประเทศกาเบอร์ 37 ด้วย เพื่อความสุขสงบของชาติและเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 พฤษภาคม 2566

“ศ.ดร.นฤมล”ควง”ชวน ชูจันทร์”ลุยเขตทวีวัฒนา ตลิ่งชัน ชู”ป๊อป นิธิ”ทางเลือกพร้อมดูแลปชช.สานต่อตลิ่งชันโมเดลเน้นท่องเที่ยวชุมชน – ศูนย์ดูแลผู้สูงวัย 360 องศา ดูแลสุขภาพให้ ปชช.เชิงรุก

,

“ศ.ดร.นฤมล”ควง”ชวน ชูจันทร์”ลุยเขตทวีวัฒนา ตลิ่งชัน
ชู”ป๊อป นิธิ”ทางเลือกพร้อมดูแลปชช.สานต่อตลิ่งชันโมเดลเน้นท่องเที่ยวชุมชน – ศูนย์ดูแลผู้สูงวัย 360 องศา ดูแลสุขภาพให้ ปชช.เชิงรุก

วันนี้( 9 พ.ค.)พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.ร่วมกับนายชวน ชูจันทร์ ผู้ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ช่วย “ป๊อป” นิธิ บุญยรัตกลิน ผู้สมัคร สส. เขตทวี วัฒนา-ตลิ่งชั่น(ยกเว้นแขวงบางเชือกหนัง)โดยล่องเรือเลาะคลองลัดมะยม คลองบ้านไทร หาเสียงริมคลองสองฝั่ง ซึ่งมีประชาชน ออกมาร่วมพูดคุย และทักทายด้วยบรรยากาศเป็นกันเอง ทั้งนี้ทีมผู้สมัครได้เชิญชวนให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ เลือกตั้ง ในวันอาทิตย์ ที่ 14 พค นี้

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ กล่าวว่า เขตตลิ่งชันทวีวัฒนา ถือเป็นจุดกำเนิดของพรรคพลังประชารัฐ เพราะ นายชวน ชูจันทร์ หรือ ส.ส.ชวน เป็นผู้จดทะเบียนตั้งพรรคพลังประชารัฐ และพรรคเราได้มาดำเนินกิจกรรมในพื้นที่ ตั้งแต่ช่วงปี 2561 -ปี 2562 เรื่องเศรษฐกิจฐานราก ที่คลองลัดมะยม และ ส.ส.ชวน ก็ได้พัฒนาพื้นที่มาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง ครั้งนี้ขอโอกาสสนับสนุนผู้สมัครของพรรคซึ่งเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ แต่เป็นคนคุ้นเคยในพื้นที่ที่จะมารับใช้พี่น้องในเขตตลิ่งชันและทวีวัฒนา วันที่ 14 พ.ค.นี้ บัตรใบสีม่วง เลือก”ป๊อป” นิธิ บุญยรัตกลิน หมายเลข 1 เขตทวีวัฒนา ตลิ่งชัน ส่วนบัตรใบสีเขียว เลือก “ชวน ชูจันทร์” เข้าไปเป็นส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ หมายเลข 37

ด้านนายชวน ชูจันทร์ กล่าวว่า ตนและหลาย ๆ ชุมชนในพื้นที่ได้ร่วมกันพัฒนาท้องถิ่นมาตลอด 24 ปี จนวันนี้มีการเรียกขานว่าเป็น “ตลิ่งชันโมเดล” หมายถึงการพัฒนาชุมชนทั้งเรื่องอาหาร การกิน เรื่องตลาดการเกษตรและเรื่องท่องเที่ยวให้มาดูที่ตลิ่งชัน ซึ่งวันนี้ยังมีงานอีกหลายอย่าง ที่จะต้องทำต่อ การเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญมาก ที่พี่น้องชาวตลิ่งชันและทวีวัฒนาเป็นผู้ตัดสินใจ ผมเป็นผู้ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ พร้อมนำปัญหาของชุมชนเข้าสู่รัฐบาลให้เร็วที่สุด ซึ่งถ้าเราจะพัฒนาต่อไป โดยมีตัวแทนของพรรคพลังประชารัฐที่มีความรู้ ความสามารถ เชื่อมโยงการทำงานผสานระหว่าง คนรุ่นเก่า และคนรุ่น
ร่วมกันเริ่มต้นพัฒนา คูคลอง สู่การพัฒนาเป็น พื้นที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ ถือเป็นรูปแบบสำคัญในการเศรษฐกิจแบบใหม่ที่เกิดขึ้น

ด้านนายนิธิ กล่าวว่า ตนขอโอกาสจากพี่น้องประชาชนชาวทวีวัฒนา และตลิ่งชัน ให้ผมได้เข้ามาพัฒนาพื้นที่ มาสานต่อยอดสิ่งที่ ลุงชวนได้พัฒนาพื้นที่มาแล้วทำตลิ่งชันให้เป็นตลิ่งชันโมเดล และเราจะขยายตลิ่งชันโมเดลไปที่ทวีวัฒนาด้วย เพื่อให้ตลิ่งชัน และทวีวัฒนาเป็นต้นแบบ วิสาหกิจชุมชน เศรษฐกิจชุมชน เศรษฐกิจฐานราก การพัฒนา พื้นที่การท่องเที่ยว เชิงวัฒนธรรมเชิงเกษตรเพื่อเป็นต้นแบบ ให้กับเขตอื่นๆในกรุงเทพฯและ พื้นที่อื่นๆ ในประเทศไทย

“ในส่วนของศูนย์ดูแลผู้สูงวัย 360 องศา ผมก็จะผลักดันให้เกิดขึ้นในพื้นที่ให้ได้ เพราะจะสามารถสร้างประโยชน์ให้ทุกคนและเป็นการลดภาระของคนในครอบครัวที่ไม่สะดวกดูแลผู้สูงอายุ เวลาออกไปทำงานนอกบ้าน รวมถึง ส่งเสริมสุขภาพที่ดี เพื่อให้พวกเขายังคงใช้ชีวิตและทำประโยชน์ต่อสังคมได้ต่อไป

ทั้งนี้ ก็จะเกิดการสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่คนพื้นที่ เช่น ทีมรับส่งผู้สูงวัยและผู้ป่วยติดเตียง วันนี้ ผม ป๊อป นิธิ และพรรคพลังประชารัฐพร้อมจะเข้ามาทำให้คุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนดีขึ้น เราจะมาสร้างเมืองในฝันร่วมกัน ขอฝากให้ชาวทวีวัฒนา ตลิ่งชัน กาเบอร์ 1 ในบัตรเลือกตั้งสีม่วง และเบอร์ 37 บัตรสีเขียว”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 พฤษภาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” จับมือเกษตรกรก้าวข้ามความยากจนในเวทีปราศรัย จ.พิษณุโลก มั่นใจ มี พปชร.คุณภาพชีวิตจะดีขึ้น มีน้ำมีที่ทำกิน รายได้มั่นคง พ้นหนี้นอกระบบ

,

“พล.อ.ประวิตร” จับมือเกษตรกรก้าวข้ามความยากจนในเวทีปราศรัย จ.พิษณุโลก
มั่นใจ มี พปชร.คุณภาพชีวิตจะดีขึ้น มีน้ำมีที่ทำกิน รายได้มั่นคง พ้นหนี้นอกระบบ

8 พฤษภาคม 2566 เวลา 17. 30 น พรรคพลังประชารัฐ เปิดปราศรัยใหญ่ ณ ลานอเนกประสงค์ หน้าธนาคารออมสิน อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประขารัฐ ,นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค,ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.,ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งในภาคเหนือ ,นายวราเทพ รัตนากร คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค และนายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค พร้อมด้วยผู้สมัคร ทั้ง 5 เขตของจังหวัดพิษณุโลก ประกอบด้วย นาย อดุลวิทย์ วิวัฒน์ธนาฒย์ หมายเลข 11 เขต 1 นาย ศิริชิน หาญพิทักษ์พงศ์ หมายเลข 4 เขต 2 นาย หัสนัยน์ สอนสิทธิ์ หมายเลข 7 เขต 3 นาย อัศวิน นิลเต่า หมายเลข 7 เขต 4 นาย เอกพงษ์ กุลเจริญ หมายเลข 1 เขต 5 โดยมีประชาชนมาร่วมรับฟังการปราศรัยรวมกว่า 5,000 คน พร้อมตะโกนเลือกเบอร์ 37

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวปราศรัยว่า ตนและพรรคพลังประชารัฐพร้อมจะรับใช้ชาวจังหวัดพิษณุโลก เราเลือกคนดีและคนเก่งมาเป็นผู้แทนของประชาชน จึงขอให้เลือกผู้สมัครของพลังประชารัฐทั้ง 5เขต และเลือกพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 บัตรสีเขียว วันนี้ตนอยากให้คนไทยรักกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง และความยากจนไปด้วยกัน ขอให้เชื่อมั่นในพรรคพลังประชารัฐและผู้สมัครทั้ง 5 คนที่ยืนอยู่ตรงนี้

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ พลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมาย ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เพิ่มเป็น 700 บาทต่อเดือน วงเงินประกันชีวิตอีก 2 แสนบาท ลดราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส และค่าไฟฟ้าลงในทันทีที่เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยจะลดราคาน้ำมันเบนซินลง 18 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลลด 6.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำทันทีที่พลังประชารัฐได้เข้ามาเป็นรัฐบาล

“เราจะแก้ปัญหาให้เกษตรกรทั้ง 8 ล้านครอบครัว มีเกษตรกร 8 ล้านครอบครัวซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ พรรคพลังประชารัฐ หลังจากการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว เราจะเติมเงินให้ครอบครัวละ 30,000 บาท ส่วนเรื่องน้ำ มีเราไม่มีแล้ง มีน้ำไม่มีจน และนโยบายเรื่องที่ดิน คือ มีเรามีที่ทำกิน มีที่ดินไม่มีจน เราต้องการทำทุกอย่าง เพื่อไม่ให้ประชาชนมีความยากจน ให้ประชาชนหายจน ถ้ามีพรรคพลังประชารัฐ จะไม่มีคนจนในประเทศ เรายืนยันว่าจะทำให้ประชาชน 20 ล้านคน หายจากความยากจนจากการดำเนินการของพรรคพลังประชารัฐ ดังนั้นขอฝากให้ชาวพิษณุโลกทุกคนเลือกผู้สมัครทั้ง 5 เขตของเราในบัตรสีม่วงและบัตรสีเขียวเลือกพรรคพลังประชารัฐหมายเลข 37 ด้วย” พล.อ.ประวิตร กล่าว

ด้าน ศ.ดร.นฤมล กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า อาชีพหลักของชาวพิษณุโลก ก็คือการทำเกษตรกร อย่างเช่นการทำนา ปลูกข้าว เรื่องน้ำ ถือเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะถ้ามี พปชร.ก็จะไม่มีแล้ง มีน้ำไม่มีจน โดยพรรคเราจะสานต่อนโยบายการบริหารจัดการน้ำ เติมน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ เพิ่มแหล่งกักเก็บน้ำ แหล่งน้ำสำรอง และแหล่งน้ำทางเลือก แก้ปัญหาน้ำแล้งน้ำท่วมซ้ำซาก จัดทำผังน้ำชุมชน จัดระเบียบทางน้ำทั่วประเทศ ยกระดับการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับเกษตรกรทั่วประเทศ และยังมีในส่วนส่วนนโยบายจัดที่ดินทำกิน จะสานต่อให้คนไทยมีที่อยู่อาศัย และที่ทำกินด้วยการปฏิรูประบบที่ดิน คืนที่ทำกินให้ประชาชน โดย เร่งรัดออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินทุกประเภท เปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด จัดที่ดินของรัฐที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้คนไร้ที่ทำกินกว่า 2 ล้านราย

“นโยบายเหล่านี้ พล.อ.ประวิตร ทำมาตลอด 4 ปี และเราจะเข้าไปพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติและประชาชน ซึ่งถ้าทุกคนอยากได้วันที่ 14 พ.ค.นี้ ขอให้เลือกพรรคพลังประชารัฐ บัตรเขียว เบอร์ 37 เลือกให้ลุงป้อมเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วเราจะมาก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน”

ด้านนายวราเทพ กล่าวว่า ภูมิศาสตร์ที่ตั้งของจังหวัดพิษณุโลกถือว่าเป็นทำเลทองแต่วันนี้ต้องการคนที่จะเข้ามาพัฒนาและแก้ไขปัญหา และตอนนี้อนาคตของพิษณุโลกอยู่ในมือของพี่น้องประชาชนโดยทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ถือว่าตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกพรรคพลังประชารัฐ เพราะพลเอกประวิตร เป็นผู้มีประสบการณ์ในการแก้ปัญหาเรื่องที่ดิน และเรื่องน้ำ ถ้าพี่น้องเลือกพรรคพลังประชารัฐ ยืนยันว่า ลุงป้อมเป็นคนที่ทำได้แน่นอน

“การเลือกตั้งครั้งนี้ เราต้องเลือกให้ดี ถ้าเลือกไม่ดีมีโอกาสที่จะกลับไปทำให้พี่น้องลำบาก แต่ถ้าเลือกให้ดีพี่น้องมีโอกาสสบาย นโยบายสั้นๆ ที่ผมอยากจะบอกกับพี่น้องประชาชนในวันนี้ คือเรื่องของบัตรประชารัฐ ที่ทุกคนทราบดีอยู่แล้ว นโยบายของผู้สูงวัย และนโยบายอีกหลายๆอย่างที่สำคัญ ที่เกี่ยวกับพี่น้องชาวพิษณุโลก รวมถึงเรื่องของที่ดินที่ทำกิน พรรคพลังประชารัฐยืนยันว่าจะมีการดำเนินงานเรื่องเอกสารสิทธิ์ให้กับพี่น้องประชาชน ปัญหาเรื่องน้ำท่วมน้ำแล้งน้ำจะไม่มีอย่างแน่นอน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 พฤษภาคม 2566

พล.อ.ประวิตร สักการะพระพุทธชินราชเมืองสองแคว เบิกฤกษ์ก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ ขอใจประชาชนโค้งสุดท้าย ก่อนเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมนี้

,

พล.อ.ประวิตร สักการะพระพุทธชินราชเมืองสองแคว เบิกฤกษ์ก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ ขอใจประชาชนโค้งสุดท้าย ก่อนเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมนี้

วันที่ 8 พฤษภาคม 2,566 เวลา 16.30 น พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมแกนนำพรรค นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค นายวราเทพ รัตนากร คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ เดินทางเยือนจังหวัดสองแคว พร้อมด้วยผู้สมัคร ทั้ง 5 เขตของจังหวัดพิษณุโลกนาย อดุลวิทย์ วิวัฒน์ธนาฒย์ หมายเลข 11 เขต 1 นาย ศิริชิน หาญพิทักษ์พงศ์ หมายเลข 4 เขต 2 นาย หัสนัยน์ สอนสิทธิ์ หมายเลข 7 เขต 3 นาย อัศวิน นิลเต่า หมายเลข 7 เขต 4 นาย เอกพงษ์ กุลเจริญ หมายเลข 1 เขต 5 เพื่อขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ ณ ลานอเนกประสงค์ หน้าธนาคารออมสิน อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก โดยก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ได้แวะเข้าสักการะ พระพุทธชินราช ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมืองของชาวจังหวัดพิษณุโลก

โดยบรรยากาศมีประชาชนที่ทราบข่าวการเดินทางมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพลเอกประวิตรมารอให้การต้อนรับกว่า 100 คน พร้อมมอบดอกไม้ เป็นดอกกุหลาบและดอกดาวเรืองให้กำลังใจ แล้วส่งเสียงเชียร์ “รักลุงป้อม”

โดยพลเอกประวิตรได้กล่าว ขอบคุณประชาชนที่มารอต้อนรับ ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ก่อนเข้าสักการะพระพุทธชินราช

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 พฤษภาคม 2566